คำถาม 
โดย : ธีรวัฒน์ ถามเมื่อวันที่ 14 ธ.ค. 2547

พิจารณาแยกกาย

กราบเท้าหลวงตาที่เคารพอย่างสูงสุด
             ผมได้ติดตามคำสั่งสอนของหลวงตา และพยายามนำมาปฏิบัติชำระจิตใจจากหยาบมาสู่ละเอียด  ผมขออนุญาตกราบเรียนผลต่อหลวงตาดังนี้ครับ
1.ระยะหลังนี้ ผมเดินภาวนา พุทโธ ไปสักพักหนึ่ง รู้สึกจิตใจผ่องใสมาก ละเอียดบริสุทธิ์ใสจนเหมือนเป็นแก้ว มีแสงสว่างกระจายออกโดยรอบ  ต่อจากนั้น ก็พิจารณากาย แสงนั้นทะลุ ทุกรูขุมขน จนกายนั้นโปร่งแสง  พิจารณากายแยกเป็นธาตุดินน้ำลมไฟ ให้แตกสลายเป็นผง เป็นละอองธุลี หมดไป  แล้วพิจารณากระจายไปถึงแผ่นดิน ต้นไม้รอบข้าง  ก็เป็นลักษณะผงธุลีเหมือนกัน  มีครั้งหนึ่งรู้สึกเหมือนทะลุออกจากโลกแผ่นดินที่เป็นธาตุหยาบ  เหมือนอยู่เหนือโลกมองลงมา  จิตใจเหมือนอยู่ในอีกดินแดนหนึ่งซึ่งใสละเอียด  ผมกำลังพยายามพิจารณาแยกความใสละเอียดนั้นให้กระจายแยกออกจากกันครับ  บางครั้งพิจารณาจิตใจแยกออกไปเรื่อยๆ จนเหมือนเป็นอณูละเอียดไปหมด  จนทะลุเข้าไปเป็นความสว่าง รู้สึกสบายในใจเป็นอย่างมาก มีความเบาสบายมากครับ ผมใคร่ขอคำแนะนำสั่งสอนเพิ่มเติมจากหลวงตาด้วยครับ
2. ในยามที่ไม่สบายเป็นหวัด  หรือคนข้างเคียงไม่สบายเช่นเป็นหวัดเจ็บคอ ปวดหัว  ผมได้พิจารณาแยกกาย แยกรูปออกจากกัน แยกออกจากกันแล้ว  ได้พบสิ่งแปลกปลอมที่แฝงอยู่ในรูปกายผมคาดว่าเป็นเชื้อโรค  มีรูปนิมิตลักษณะต่างๆกัน เป็นรูปสัตว์แปลกๆ คล้ายตัวหนอนบ้าง  คล้ายปูบ้างซึ่งมักจะทำให้ไอคันคอ  ผมได้แยกเชื้อโรคต้นเหตุออกจากกาย  และนึกน้อมนำเชื้อโรคนั้นไปทิ้งถังขยะบ้าง ทิ้งทะเลบ้าง  สังเกตผลว่าทำให้หายเจ็บไข้ได้อย่างรวดเร็ว  ผมได้รักษาลูกสาวบ้าง รักษาตนเองบ้าง  รักษาคนในครอบครัวบ้าง  สังเกตว่าได้ผลดีครับ  การทำอย่างนี้เป็นการฝ่าฝืนกรรมลิขิตหรือไม่ครับ  และจะมีโทษภายหลังหรือไม่ครับ  หรือควรปล่อยให้เจ็บไข้เป็นไปตามกรรมธรรมชาติของเขาครับ
3.ผมขอกราบขอบพระคุณหลวงตาเป็นอย่างสูงที่ได้กรุณาเมตตาสั่งสอนชี้ทางสว่างให้แก่มวลมนุษย์ ได้พัฒนาจิตใจของตนยกระดับขึ้น  ผมได้นำธรรมะมาใช้ในการทำงาน เช่นการประชุม  พิจารณาแยกปัญหา  แยกอารมณ์ออก  ทำให้มีปัญญาใช้เหตุผล  ไม่ใช้อารมณ์โกรธขุ่นมัว ในการพูดในที่ประชุม  ซึ่งทำให้การทำงานกับคนอื่นๆ ที่ยุ่งยาก ซับซ้อนได้รับความร่วมมือดีขึ้น  สามารถทำให้งานลุล่วงไปด้วยดีครับ 

คำตอบ
เมื่อวันที่ 26 ธ.ค. 2547

เรียนคุณผู้ถาม
หลวงตาเมตตาแสดงธรรมตอบให้คุณ
เมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๔๗ ณ สวนแสงธรรม กรุงเทพฯ ดังนี้

ผู้กำกับ       :      กราบเรียนนะครับเป็นปัญหาธรรมะจากเว็บไซต์ของหลวงตา วันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2547 ครับ  คนแรกนะครับ ผมได้ติดตามคำสั่งสอนของหลวงตา และพยายามนำมาปฏิบัติชำระจิตใจ จากหยาบมาสู่ละเอียด ผมขออนุญาตกราบเรียนผลต่อหลวงตาดังนี้ครับ ข้อ ๑. ระยะหลังนี้ ผมเดินภาวนาพุทโธไปสักพักหนึ่ง รู้สึกจิตใจผ่องใสมาก ละเอียดบริสุทธิ์ใสจนเหมือนเป็นแก้ว มีแสงสว่างกระจายออกโดยรอบ ต่อจากนั้นก็พิจารณากาย แสงนั้นทะลุทุกรูขุมขน จนกายนั้นโปร่งแสง พิจารณากาย แยกเป็นธาตุดินน้ำลมไฟ ให้แตกสลายเป็นผง เป็นละอองธุลีหมดไป แล้วพิจารณากระจายไปถึงแผ่นดิน ต้นไม้รอบข้าง ก็เป็นลักษณะผงธุลีเหมือนกัน มีครั้งหนึ่งรู้สึกเหมือน ทะลุออกจากโลกแผ่นดินที่เป็นธาตุหยาบเหมือน อยู่เหนือโลกมองลงมา จิตใจเหมือนอยู่ในอีกดินแดนหนึ่งซึ่งใสละเอียด ผมกำลังพิจาณา แยกความใสละเอียดนั้น ให้กระจายแยกออกจากกันครับ บางครั้งพิจารณาจิตใจแยกออกไปเรื่อยๆ  จนเหมือนเป็นอณู ละเอียดไปหมด จนทะลุเข้าไปเป็นความสว่าง รู้สึกสบายใจเป็นอย่างมาก มีความสบายมากครับ ผมใคร่ขอคำแนะนำสั่งสอนเพิ่มเติมจากหลวงตาด้วยครับ

หลวงตา     :     เท่าที่พิจารณามานี้ถูกต้องแล้ว ไม่มีที่ต้องติ ให้พิจารณาซ้ำๆ ซากๆ แต่อย่าไปเอาอดีตมาเป็นอารมณ์ ให้พิจารณาตั้งใหม่ (ครับ) เป็นปัจจุบันเข้าใจไหม(ครับ) และมันค่อยชำนิชำนาญคล่องตัวไปเอง ถูกต้องแล้วที่เล่ามานี้ 

ผู้กำกับ        :     ข้อ ๒. ในยามที่ผมไม่สบาย เป็นหวัด หรือคนข้างเคียงไม่สบาย เช่นเป็นหวัดเจ็บคอ ปวดหัว ผมได้พิจารณาแยกกาย แยกรูปออกจากกัน แยกออกจากกันแล้ว ได้พบสิ่งแปลกปลอมที่แฝงอยู่ในรูปกายผม คาดว่าเป็นเชื้อโรค มีรูปนิมิตลักษณะต่างๆ กัน และนึกน้อมนำเจ้าโรคนั้นไปทิ้งถังขยะบ้าง ทิ้งทะเลบ้าง สังเกตผลว่าทำให้หายเจ็บไข้ได้อย่างรวดเร็ว ผมได้รักษาลูกสาวบ้าง รักษาตนเองบ้าง รักษาคนในครอบครัวบ้าง สังเกตว่า ได้ผลดีครับ การทำอย่างนี้เป็นการฝืนกรรมลิขิตหรือไม่ครับ และจะมีโทษภายหลังหรือไม่ครับ หรือควรปล่อยให้เจ็บไข้เป็นไปตามธรรมชาติของเขาครับ  

หลวงตา     :     ถูกต้องแล้วนี่ จะเป็นไปตามนิสัยนะ ไม่ได้เป็นอย่างนี้ทุกคน  แต่สำหรับเราแล้ว เรานี้ถูกต้องแล้ว ตามนิสัยของเรานะ (ครับ) ตามแต่จะแยกแยะไปใช้ในเวลาใดเหมาะสมกับความถนัดใจของเราก็พิจารณาได้ จะถูกต้อง 

ผู้กำกับ       :     ไม่เป็นการฝ่าฝืนกรรมลิขิตนะครับ

หลวงตา     :     ไม่ฝืน 

ผู้กำกับ       :     ครับผม ข้อ ๓. ผมได้นำธรรมะไปใช้ในการทำงาน พิจารณาแยกปัญหา แยกอารมณ์ออก ทำให้มีปัญญาใช้เหตุผลไม่ใช้อารมณ์โกรธ ขุ่นมัว ในการพูดในที่ประชุม ซึ่งทำให้การทำงานกับคนอื่นๆ ที่ยุ่งยากซับซ้อน ได้รับความร่วมมือดีขึ้น สามารถทำให้งานลุล่วงไปด้วยดีครับ จาก ธีรวัฒน์

หลวงตา     :     คนแรกล่ะ พูดน่าฟัง (ครับ) มีหลักมีเกณฑ์  การภาวนานี้พิสดารมากนะ ที่เอามาพูดเหล่านี้ พูดเพียง เท่าที่จะพอจะพูดได้ๆ พอเข้าใจกันได้เท่านั้น ที่นอกจากนี้ ที่จะสุดวิสัยของผู้ฟังแล้ว พูดหาประโยชน์อะไร แต่ความรู้มันไม่เป็นยังนั้น เต็มเหนี่ยวของความรู้ แล้วแต่มันจะรู้อย่างไร เห็นอย่างไรขึ้นมา ตลอดความสว่างไสวของจิตจะมีเหมือนกัน ทุกอย่างเราคาดไม่ถูกล่ะ เป็นขึ้นมาแล้วก็รู้เอง 
                                                __________

<< BACK

 


หน้าแรก