|
/SCRIPT LANGUAGE="javascript1.1" page="dhamma_online";
/SCRIPT LANGUAGE="javascript1.1" src="http://truehits1.gits.net.th/data/e0008481.js">
|
|
|
คำถาม
|
|
โดย : วาสนา สุขไพศาล ถามเมื่อวันที่
25 ก.ย. 2547 |
สิ่งที่เกิดจริงหรือจิตปรุงแต่ง
กราบนมัสการหลวงตาที่เคารพอย่างสูง
ลูกขอกราบเรียนถามถึงการปฏิบัติ ซึ่งลูกไม่ทราบว่าการปฏิบัติของลูกเป็นอย่างไร จะถูกต้องหรือไม่ 1.ลูกได้ปฏิบัติโดยวิธีจับเวทนา ไล่ความรู้สึก ไปตามร่างกาย และลูกได้เห็นสภาวะของร่างกายไปตามความเป็นจริง โดยไม่ได้คิดปรุงแต่งแต่เกิดเอง จากเห็นเป็นกระดูก แตกออก เห็นภายในกระดูกจนกระทั่งปลิวสลายไป เห็นเป็นอนุภาคเล็กๆคล้ายฟองอากาศแตกดับตลอดเวลา จนเห็นความว่างทั้งหมดตลอดกาย จนสุดท้ายบอกว่าไม่มีอะไรเลย มีเพียงความรู้สึกของเราเท่านั้นที่นึกคิดให้เป็นรูปร่างตัวตนขึ้นมา ทุกอย่างไม่ใช่เกิดคราวเดียวกัน แต่เกิดทีละขั้น คนละวัน เหมือนค่อยพัฒนาไปตามลำดับ และพอถึงสุดท้ายจึงเกิดเร็วไม่ได้เป็นทีละขั้นอีก 2. ขณะนั่งภาวนา ลูกจะน้ำตาไหลพรากตลอดเวลา สลับกับการหาวอย่างมาก พิจารณาที่ใจ ใจก็สงบไม่ได้ทุกข์หรืออะไรทั้งสิ้น ไม่ทราบว่าทำไมเป็นอย่างนั้น เป็นมากตลอดเวลาที่การปฏิบัติ เกิดการรู้เห็นสิ่งอัศจรรย์ต่างๆนั้น 3.ในช่วงนั่งอธิษฐานจิตที่เกิดทุกขเวทนามากๆ พิจารณาตำแหน่งที่เจ็บปวดนานๆ โดยไม่ยอมแพ้ที่จะลุกขึ้นจากการภาวนา เกิดเป็นนิมิตรเห็นพระพุทธเจ้า 2 ครั้ง ตามด้วย คำว่า "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราคถาคต" และ"ธรรมะ จะคุ้มครองผู้ประพฤติธรรม" 4.ปัจจุบันขณะนั่งสมาธิเมื่อรู้สึกว่าจิตสงบ ร่างกายจะเกิดการสั่น โยกคลอนมาก บางครั้งหัวสั่นจนน่าจะคอแทบหัก เป็นทั้งหลับตาและลืมตา ขณะที่จิตสงบอยู่ เกิดความคิดว่า แท้จริงกายกับใจมันคนละส่วนกัน กายก็ไปตามกาย จิตเราก็สงบอยู่ได้ ไม่ได้เคลื่อนไหวไปตามกาย และครั้งสุดท้ายเกิดความรู้สึกว่าใจเป็นใหญ่กว่ากาย เพราะลองพิจารณาใจบอกให้กายสงบ ไม่สั่น ก็ไม่สั่น แต่ถ้าไม่บังคับจะสั่น ใจเท่านั้นที่เป็นใหญ่และคงอยู่ไม่เสื่อมหรือตายไปเหมือนกาย 5. ขณะที่นั่งสมาธิแล้วเจ็บปวดมากๆจะระลึกได้ว่าทำกรรมอะไรไว้ และขออโหสิกรรม อาการจะหายไป แต่ครั้งหนึ่ง กลับเห็นว่าขณะที่ช่วยคนไข้ใกล้ตาย ไม่เคยคิดว่าเป็นกรรมเพราะเจตนาต้องการช่วยเขา แต่กลับเป็นกรรมที่ขออโหสิไม่หาย จึงคิดว่ากรรมที่ทำกับคน แล้วเขาอาฆาตจะขออโหสิกรรมยากมาก ต้องน้อมเอาคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้อโหสิถึงหาย เกิดความรู้ว่า "กรรมจะเจตนา หรือไม่เจตนา ก็เป็นกรรม" จึงต้องระมัดระวังอย่างมากในทุกการกระทำ 6.ตอนนี้ลูกนั่งสมาธิจะเกิดเห็นนิมิตบ่อย เช่นเห็นดอกบัว ลอยพ้นน้ำจะถูกน้ำพัด กดอย่างไร ก็ลอยขึ้นมาเหนือน้ำ รู้สึกว่าใจของเราพ้นมาแล้วจะอย่างไรก็จะไม่จมไปอีก เป็นต้น 7.บางครั้งเกิดความรู้สึกภายนอกที่ไม่ได้เกิดในจิตแต่เกิดจริงๆที่กาย ว่ามีอะไรมากระทำกับเราจริงๆ แล้วเราเกิดความกลัวมากมาก ควรทำอย่างไรคะ พิจารณาในจิตไม่กลัว แต่กลัวที่มากระทบกายภายนอกค่ะ กลัวเสียสติค่ะ ขอกราบรียนถามหลวงตาว่าทั้งหมดที่ลูกเล่าถวาย หลวงตามีคำแนะนำอย่างไรแก่ลูก สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่เกิดจริงหรือจิตลูกปรุงแต่งขึ้น เวลาเกิดนิมิต ลูกคิดไปเองหรือมีสิ่งใดบอกลูกกันแน่คะ ลูกไม่แน่ใจ ขออนุญาตหลวงตาช่วยกรุณาชี้แนะสิ่งที่เหมาะสมกับอัตภาพของลูกด้วยค่ะ เพราะลูกก็ลำดับไม่ถูกว่าควรจะถามอะไรบ้าง แต่ลูกจะเชื่อมั่นและยึดถือในคำแนะนำของหลวงตาไปตลอดชีวิตค่ะ และลูกขอเรียนถามสุดท้ายว่า 1.ลูกชอบที่จะทำบุญทีละมากๆ อยากจะทำบุญตลอด มีหลายคนเตือนว่าลูกทำผิดควรเก็บออมบ้างเพื่ออนาคตหรือเวลาเจ็บป่วย แต่ลูกชอบคิดว่าเราจะตายเมื่อไรไม่รู้ มีโอกาสก็รีบทำ ทำให้เต็มกำลังของเรา ไม่คิดถึงวันข้างหน้า เวลาเห็นคนตายจะคิดว่าเขาเหล่านั้นต้องคิดจะทำโน่น ทำนี่ และเก็บเงินไว้แน่ แล้วเห็นไหมเขาก็ตาย เป็นอย่างนี้ตลอด ทำให้ลูกไม่มีสมบัติอะไรติดตัวเลย ไม่มีเงินเก็บ ขณะนี้อายุ38 ปี อาชีพรับราชการค่ะ ลูกคิดผิดหรือถูกกันแน่คะ ควรทำอย่างไร 2.ลูกชอบอธิษฐานว่าขอให้ลูกหูแจ้ง ตาสว่างในทางธรรม ได้พบพระนิพพานในปัจจุบันชาตินี้ และมีโอกาสช่วยรื้อขนสัตว์เข้าสู่ฝั่งพระนิพพานด้วย ตามกำลังของลูก คือลูกจะคิดในแง่ชักจูงเขาเข้าสู่ทางธรรมก็คือเข้าสู่ฝั่งพระนิพพานแล้ว แต่มีคนบอกว่าลูกอธิษฐานแรงไปไ ม่เหมาะสมมันยากมากที่เราจะนิพพานเชียวหรือ เป็นฆราวาสผู้หญิงเนี่ยนะ และถ้าลูกจะช่วยรื้อขนสัตว์ ลูกก็จะต้องตายเกิดอีก จะนิพพานไม่ได้ ขอหลวงตาช่วยชี้แนะลูกด้วยค่ะ ขอกราบนมัสการมาด้วยความเคารพอย่างสูง
|
คำตอบ |
|
เมื่อวันที่ 27 ก.ย. 2547 |
เรียนคุณผู้ถาม หลวงตาเมตตาแสดงธรรมตอบปัญหาให้คุณ เมื่อวันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๔๗ ณ วัดป่าบ้านตาด ดังนี้
หลวงตา : ที่พูดมาให้ฟังนั้นถูกต้องมาโดยลำดับ ตั้งแต่การพิจารณาทุกขเวทนาอะไรๆ เป็นระยะๆ มา ก็ถูกต้องมาเป็นลำดับ ให้อยู่ในวงนี้ พิจารณาอย่างนี้ ไม่ผิดแหละ แต่อาการเป็นสุดท้ายเราไม่วินิจฉัยอะไรแหละ เราเอาแต่ส่วนใหญ่มาถึงจวนสุดท้ายว่าถูกต้องมาเป็นลำดับ ให้พิจารณาให้ชำนิชำนาญ อย่าไปคาดไปหมาย ให้ถือปัจจุบันจิต ปัจจุบันธรรม พิจารณาเป็นปัจจุบัน ส่วนที่เกิดไปแล้วผ่านไปแล้วอย่าถือมาเป็นอารมณ์ ไม่ว่าดีว่าชั่วไม่ต้องถือเป็นอารมณ์ เอาปัจจุบันเป็นอารมณ์ พิจารณาอยู่ในปัจจุบันนั้น จะเกิดสิ่งแปลกๆ ต่างๆ ขึ้นมาจากงานของตนที่ทำนั่นแหละ เอาเพียงเท่านั้นละ ถูกต้องแล้วที่พูด
ผู้กำกับ : และลูกขอเรียนถามสุดท้ายว่า 1.ลูกชอบที่จะทำบุญทีละมากๆ อยากจะทำบุญตลอด มีหลายคนเตือนว่าลูกทำผิดควรเก็บออมบ้างเพื่ออนาคตหรือเวลาเจ็บป่วย แต่ลูกชอบคิดว่าเราจะตายเมื่อไรไม่รู้ มีโอกาสก็รีบทำ ทำให้เต็มกำลังของเรา ไม่คิดถึงวันข้างหน้า เวลาเห็นคนตายจะคิดว่าเขาเหล่านั้นต้องคิดจะทำโน่น ทำนี่ และเก็บเงินไว้แน่ แล้วเห็นไหมเขาก็ตาย เป็นอย่างนี้ตลอด ทำให้ลูกไม่มีสมบัติอะไรติดตัวเลย ไม่มีเงินเก็บ ขณะนี้อายุ 38 ปี อาชีพรับราชการค่ะ ลูกคิดผิดหรือถูกกันแน่คะ ควรทำอย่างไร
หลวงตา : เราก็คิดถูกของเรา ทำถูกของเรา เขาก็คิดถูกของเขา ทำถูกของเขา ตามขั้นภูมิของเขาของเรา เอาละเหมาะแล้ว
ผู้กำกับ : 2.ลูกชอบอธิษฐานว่าขอให้ลูกหูแจ้ง ตาสว่างในทางธรรม ได้พบพระนิพพานในปัจจุบันชาตินี้ มีคนบอกว่าลูกอธิษฐานแรงไป ไม่เหมาะสม มันยากมากที่เราจะนิพพานเชียวหรือ เป็นฆราวาสผู้หญิงนะ และถ้าลูกจะช่วยรื้อขนสัตว์ ลูกก็จะต้องตายเกิดอีก จะนิพพานไม่ได้ ขอหลวงตาช่วยชี้แนะลูกด้วยค่ะ
หลวงตา : จะแนะอะไร อะไรๆ ก็มาถาม อะไรๆ ก็มาถาม ไม่รู้จะว่าอะไร อย่างนี้เราขี้เกียจตอบ _________
(คุณสามารถรับชมวิดีโอและอ่านพระธรรมเทศนากัณฑ์นี้เต็มกัณฑ์ที่ http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=3041&CatID=2)
|
|
|