|
/SCRIPT LANGUAGE="javascript1.1" page="dhamma_online";
/SCRIPT LANGUAGE="javascript1.1" src="http://truehits1.gits.net.th/data/e0008481.js">
|
|
|
คำถาม
|
|
โดย : ธนดิศ ถามเมื่อวันที่
27 ส.ค. 2547 |
กายหายไปขณะภาวนา
กราบ นมัสการหลวงตาที่เคารพบูชาสูงสุด ผมเป็นเด็กผู้ชายอายุ 15 ปีครับ ได้กราบหลวงตามาตั้งแต่ผมอายุ 3 ขวบ แม่ของผมได้สอนให้ผมได้ภาวนาโดยกำหนดบริกรรม พุทโธ ตั้งแต่อายุ 7ขวบ และจิตของผมได้รวมดิ่งวูบลงไปเหมือนตกเหว บางครั้งที่ผมได้ภาวนาก็จะเกิดแสงสว่างจ้าที่ผมรู้สึกว่าเหมือนออกมาจากกายของตนเอง และค้างอยู่อย่างนั้นไม่นานจิตก็จะถอนออกมาสู่สภาพปกติ หรือบางครั้งที่ภาวนา ก็จะมีความรู้สึกว่ากายหายไป แต่ยังคงได้ยินเสียงรอบข้างอยู่ หรือบางครั้งจิตก็จะหายเงียบไปไม่รับรู้ภายนอกเลย เหลือแต่ความรู้สึกที่เด่นอยู่ตัวเดียว แต่ทุกครั้งที่ภาวนาจิตของผมจะรวมได้ไม่นาน ประมาณ 10 นาทีก็จะถอนออกมาสู่สภาพปกติ ผมอยากกราบเรียนถามหลวงตาว่า ที่ทำอยู่อย่างนี้ถูกหรือไม่ และอยากให้หลวงตาเมตตาชี้นำสั่งสอนผมด้วยครับ
ขอหลวงตาได้โปรดเมตตาตอบผมด้วยครับ
|
คำตอบ |
|
เมื่อวันที่ 6 ส.ค. 2547 |
เรียนคุณธนดิศ
หลวงตาเมตตาแสดงธรรมตอบปัญหาภาวนาให้คุณ เมื่อเช้าวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๔๗ ณ วัดป่าบ้านตาด ดังนี้
หลวงตา : ที่ทำนี้ถูกต้องแล้ว ที่จะแนะนำสั่งสอนก็คือ ให้พยายามทำไปอย่าขี้เกียจ มันจะสงบไปเรื่อยๆ และง่ายเข้าๆ ให้พยายามทำเสมอด้วยความมีสติ เรื่องสตินี่สำคัญมาก ก็มีเท่านั้น ภาวนานี่ทำถูกต้อง จิตบางทีวูบลงไปเหมือนตกเหวตกบ่อก็มี บางทีค่อยสงบเข้าไปๆ แล้วสงบเงียบไปเลยก็มี เป็นไปตามจริตนิสัย ในจริตนิสัยนั้นบางทีมันวูบลงไปเลยก็มี บางทีค่อยสงบลงไปก็มี ในคนๆ เดียวกันนั้นแหละ อย่าไปตื่นเต้นกับมัน อาการของจิตเป็นไปได้ทุกอย่าง เราอยากเห็นความพิสดารให้ทำตามแบบพระพุทธเจ้า ไม่มีใครเหมือนเลยแบบพระพุทธเจ้า เข้าไปจิตนั่นซีที่ว่าไม่มีใครเหมือน ภาวนาเข้าไปหาจิต จิตนี้คือมหาเหตุดังเคยพูดแล้ว กิเลสสั่งสมตัวอยู่เต็มทับธรรมอยู่ในนั้น ธรรมก็อยู่ในจิตแต่แสดงตัวออกไม่ได้เมื่อไม่มีผู้เปิดทาง คือ ความเพียร สติ อุบายวิธีการต่างๆ ทำจิตตภาวนาดูใจตัวเอง แล้วจะได้เริ่มเห็นเรื่องของกิเลส เรื่องของธรรมจะเริ่มเห็น เพราะอยู่ในจุดเดียวกัน เป็นแต่เพียงว่ากิเลสหนาแน่นมากกว่า ในเบื้องต้นเป็นอย่างนั้น ธรรมแทบจะไม่มี ถูกปิด
ทีนี้เวลาเราจ่อเข้าไปดูเรื่อยๆ นี้ เรื่องราวนี้จะขยายออกในนี้ๆ จึงเรียกว่ามหาเหตุอยู่ที่จิต เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นจากจิต ไม่ได้เกิดขึ้นจากอะไร จิตนี้ไปวาดภาพหลอกตัวเองไปเรื่อยๆ เราไม่รู้ว่ามันวาดภาพหนา ดูจิตนั่นแหละต่อไปมันก็รู้เอง ภาพของจิต ตัวของจิตก็รู้เอง ไม่มีอะไรพิสดารยิ่งกว่าใจ ใจนี่พิสดารมาก เพราะฉะนั้นจึงว่าไม่มีใครเหมือนองค์ศาสดาที่สอนโลกมานี้เลย สอนได้อย่างถูกต้องแม่นยำทีเดียว จ่อเข้าไปหาจิตนี้คือมหาเหตุ ความเกิด ความตาย ความทุกข์ความทรมานอะไรอยู่ในนี้หมด จิตรวมไว้หมดเลย
อย่างที่ท่านว่าโลกสูญหมด นั่นเป็นยังไง คือไม่มีในหัวใจเลย ว่างไปหมดเลย ทั้งๆ ที่โลกก็มีอยู่อย่างนี้ ก็คือใจไปหมายว่าสิ่งนั้นมีสิ่งนี้มี เวลาใจทำตัวของตัวให้ละเอียดลงไปแล้ว มันก็ลบล้างตัวของมันเองนั้นแหละ สิ่งเหล่านั้นเขาก็มีอยู่ตามเดิม ต้นไม้ ภูเขา ดินฟ้าอากาศ มีอยู่ตามเดิม จิตเปลี่ยนแปลงตัวเองไปในอาการต่างๆ เวลาเข้าไปดูจิตแล้วจะเห็นเรื่องของตัวอย่างนั้น ถ้าไม่ได้ดูจิตไม่เห็นเรื่องเหล่านี้ มีแต่ยุ่งตลอดเวลา คือจิตไปยุ่งกับเขาต่างหาก เขาไม่ได้มายุ่งนะ อะไรก็เป็นอันนั้นอยู่อย่างนั้น ทีนี้ว่าโลกนี้สูญก็คือว่าจิตนี้มันว่างในตัวเองไปหมด ไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งใดเลย เลยว่าง นี่คำว่าโลกสูญเปล่า โลกเขาไม่ได้สูญ เป็นตามความจริงของเขาอย่างนั้น ตามความจริงของจิตหากว่างในตัวเอง เป็นโลกสูญ นั่น เป็นความจริงคนละอย่าง
เรื่องภาวนา เอ้า ว่าไปซิ ลองภูมิหลวงตาบัวดูซิ ที่เทศน์ว้อกๆ มานี้ ๖ ปีเต็มแล้วนะ เอา มาลองภูมิหลวงตาบัวดู ท่านทั้งหลายมีภูมิทางด้านจิตตภาวนา เอา มาลองดูจะเป็นยังไง จะรู้กันตอนนี้ละนะ อันนี้พูดออกได้เฉพาะที่เขามาเกี่ยวข้องอะไรก็พูดเฉพาะเท่านั้นๆ ที่ว่าเหล่านี้มาเกี่ยวข้องก็พูดอย่างนี้ให้ฟัง เอ้า เกี่ยวข้องอะไรมาอีก นั่นฟังซิน่ะ
จิตเวลาได้เปิดออกแล้วมันมีอะไรมาปิดบัง พูดตรงๆ อย่างนี้แหละมันจวนจะตายแล้วนี่นะ ไม่มีอะไรมาผ่านเลย แม้เม็ดหินเม็ดทรายไม่มี เป็นสมมุติทั้งหมด จิตที่นอกจากสมมุติไปแล้วจะไม่มีสิ่งนี้เกี่ยวข้อง สามแดนโลกธาตุไม่มีเลยในจิต จึงเรียกว่าจิตเป็นวิมุตติ จิตหลุดพ้นแล้วจากสมมุติทั้งมวล ตั้งแต่หยาบถึงละเอียดสุด หมด ไม่มีอะไรภายในจิต นั่นละท่านว่าจิตว่าง จิตบริสุทธิ์ เป็นอย่างนั้น ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องเลย แต่ก่อนเป็นมหาเหตุอยู่ในนั้นหมด ปราบลงไปได้หมด สิ่งที่ก่อกวนที่สุดมหาเหตุก็คือกิเลส ธรรมก็เป็นมหาเหตุฝ่ายดับฝ่ายระงับ น้ำดับไฟ ระงับลงไปจนกระทั่งหมดโดยสิ้นเชิงแล้ว โลกที่ว่าจิตไปวาดนู้นวาดนี้หดตัวเข้ามาหมด เขาก็มีอยู่อย่างนั้นละโลกแต่ไม่ไปยุ่งกับเขา
เหมือนเวลาเรานอนหลับสนิท อะไรมีเวลาหลับสนิท อะไรก็มีอยู่อย่างนั้นแหละ เสื่อ หมอน ทุกสิ่งทุกอย่างมีอยู่ตามปรกติ แต่เวลาจิตหลับสนิทเป็นยังไง มีเขามีเรา มีตนมีตัว มีสัตว์มีบุคคลมีอะไรที่ไหน ไม่มี ไม่มีห่วงใยอะไรทั้งนั้นเวลาหลับสนิท แต่ถ้าไม่สนิทก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง อย่างฝันอย่างนี้ ถ้าหลับสนิทแล้วเป็นอย่างนั้นละ ไม่มีอะไรเคลื่อนไหวเลย พอตื่นขึ้นมาก็รู้ว่า โห เมื่อคืนนี้นอนหลับดีเหลือเกิน เป็นอย่างนั้นละ นี่เราเทียบหลับสนิทเฉยๆ นะ กับจิตที่บริสุทธิ์สุดส่วนแล้วปล่อยวางโดยสิ้นเชิงแล้ว ดับสนิทอย่างนั้น มันต่างกันที่ว่า หลับสนิทของคนมีกิเลส จิตนั้นดับสนิทของผู้สิ้นกิเลส มันต่างกันอย่างนี้ละ
เราจึงสอนอยากให้ภาวนา พุทธศาสนาจะเด่นขึ้นที่หัวใจของผู้ภาวนานะ ในคัมภีร์ใบลานในที่ไหนจะพรรณนาสักเท่าไรก็ไม่สิ้นสุด มาสิ้นสุดที่หัวใจนี้ มหาเหตุก็สิ้นสุดลงที่นี่ มหาเหตุทั้งปวงหมดก็สิ้นสุดลงที่นี่ ไม่ได้สิ้นสุดลงที่ไหน ใจจึงพิสดารมากทีเดียว ไม่มีอะไรเกินใจแหละ เรื่องความพิสดารอยู่กับใจทั้งหมด เพราะฉะนั้นจึงให้จ่อเข้าไปดูที่จิตตภาวนา จะแสดงขึ้นตามนิสัยของตนๆ และกำลังของตัวเองนั้นแหละ จะแสดงขึ้นที่นั่น ก็มีเท่านั้น แล้วมีอะไรอีกล่ะ
_________
(คุณสามารถเปิดชมวิดีโอและอ่านพระธรรมเทศนากัณฑ์นี้เต็มกัณฑ์ได้ที่ http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=3017&CatID=2)
|
|
|