ศาสนาของท่านผู้วิเศษ
วันที่ 30 กรกฎาคม. 2550 เวลา 18:00 น. ความยาว 112.17 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)

ค้นหา :

เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐

ศาสนาของท่านผู้วิเศษ

         ขึ้นข้างบนก็ลำบากแล้วเดี๋ยวนี้ จึงไม่ขึ้น ขึ้นก็เหมือนขึ้นภูเขาทั้งลูกนั่นแหละ เสียงก็ไม่ออก เสียงเป็นอย่างนี้แหละ เสียงไม่ออกนะวันนี้ เสียงหมดกำลัง พูดไม่ออก ต่อไปนี้มันจะเทศน์ไม่ได้ละ นี่ก็เริ่มแล้ว เสียงแหบเสียงอะไรไป วันนี้ไม่สบายด้วย ตั้งแต่ตอนกลางคืนมา เมื่อเช้าฉันจังหันเสร็จแล้วก็ไม่สบาย ปวดระบมหมดในร่างกายนี้ มันเป็นอะไรก็ไม่รู้ เลยไปให้พระนวดเส้นที่หนองกอง เราก็ลืมกินยา ยาพาราเซตามอลดีอยู่แต่ลืมฉัน สำหรับเรื่องหยูกเรื่องยากับผมนี่ไม่ได้เรื่องละ มันเคยฟัดกันมาตั้งแต่ออกปฏิบัติ ยาเม็ดเดียวไม่เคยติดตัวเลย เวลาเป็นมานี้เอา เอากันเลย เวลาเป็นไข้มันเอาไข้มาจากไหน เวลามันหายมันจะเอาความหายมาจากไหน มันก็อยู่ในกายอันเดียวกันนี้ ทีนี้ก็ซัดกันเลย เอากำลังใจสู้

กำลังใจนี้สำคัญมาก มันจะหนักขนาดไหนร่างกาย ใจไม่หวั่นนี้ข้ามไปได้ๆ เป็นอย่างนั้นละ เวลาอยู่หนองผือนิสัยมันก็เป็นอย่างนั้นด้วย เวลาเจ็บไข้ พ่อแม่ครูอาจารย์ให้พระเอายามาให้ฉันเม็ดหนึ่ง เรากำลังนอนไข้อยู่แคร่เล็กๆ ในป่า เอามาให้ฉัน ไม่ฉัน บอกงั้นเลย คงไม่เสียความเคารพในครูบาอาจารย์ทั้งหลาย เพราะเราเคารพธรรม ธรรมครูบาอาจารย์ทั้งหลายก็กราบอยู่แล้ว นั่นเอาตรงนั้นนะ บอกไม่ฉันว่างั้น นั่นละเอาธรรมเข้าว่าเลย การต่อสู้กันเป็นธรรม ท่านให้พระเอายามาให้ฉัน เราบอกไม่ฉัน พระท่านก็ถือกลับไป ถือกลับไปถึงท่านแล้ว สักเดี๋ยวท่านมาเองนะ

พอมาปั๊บ ไหนเป็นยังไงไข้น่ะ ท่านว่างั้น ขบขันดีนะ มันเป็นยังไงไข้นั่นน่ะ มันจะไม่ยอมฟังยาเชียวเหรอ ท่านพูดมีลักษณะแปลกๆ อยู่นะ ไข้ทั้งหลายทั่วโลกเขาฟังยากัน ทำไมไข้นี้มันจะไม่ฟังยาเหรอ เอ้า ปุ๊บๆ เอายามาให้เราเม็ดนึง เอาเลยเดี๋ยวนี้ หายเดี๋ยวนี้แหละ ยานี้ยาเทวดาสู้ไม่ได้ นั่นเห็นไหมเวลาท่านจะพูด เอา ยานี้ยาเทวดาสู้ไม่ได้ ฉันเดี๋ยวนี้ หายเดี๋ยวนี้เลย ยื่นเข้ามา ก็ความเคารพครูบาอาจารย์ เราก็ต้องฉันให้

พอฉันเสร็จแล้วทั้งท่านทั้งเราไม่เคยถามถึงว่า ยาฉันแล้วเป็นยังไง เราก็ไม่เคยพูดถึง จนกระทั่งป่านนี้ เป็นยังงั้นละ เพราะท่านรู้นิสัยเรา เอาจริงนี่นะ ไม่ได้ธรรมดา  ทำอะไรเอาจริงเอาจังทุกอย่าง ไม่เหลาะแหละ ความเหลาะแหละไม่ใช่ธรรม คือกิเลสทั้งนั้น ความจริงจังในอรรถในธรรม ถึงขั้นที่ควรจะเป็นขนาดไหน เอ้า ทุ่มกันลงไปๆ เรียกว่าผู้ปฏิบัติธรรม

วันนี้เสียงไม่ออกนะ มันเป็นอะไรก็ไม่รู้แหละ วันนี้ก็เป็นวันเข้าพรรษา พระที่อยู่ในที่ต่างๆ ขอให้พากันตั้งอกตั้งใจ เมืองไทยเราเป็นเมืองพุทธศาสนา ไม่เหมือนเมืองทั้งหลาย พุทธศาสนาในโลกนี้มีศาสนาเดียว พูดตามเหตุตามผล ตามหลักความจริง ไม่ได้ดูถูกเหยียดหยามศาสนาใด พูดด้วยการพิสูจน์ปฏิบัติตาม เป็นที่ยอมรับแล้วว่าเป็นศาสนาพุทธ คือยังผู้ที่บำเพ็ญตามและปฏิบัตินั้นตามให้ถึงความพ้นทุกข์ และรู้ได้จริงๆ จึงเรียกว่าพุทธศาสนา ศาสนาของท่านผู้รู้ ท่านผู้รู้ก็คือองค์ศาสดา เป็นผู้สิ้นกิเลสโดยสิ้นเชิง ไม่มีอะไรเหลือในพระทัยแล้วนำธรรมมาสอนโลก ศาสนาเหล่านั้นก็เป็นหลักธรรมชาติตามความจริงของเขา

ศาสนาใดก็มีแต่คลังกิเลสเป็นเจ้าของศาสนา ไม่ใช่คลังแห่งธรรมเป็นเจ้าของศาสนา ผู้เป็นคลังแห่งธรรมเป็นเจ้าของศาสนาก็คือพระพุทธเจ้าของเรา กิเลสแม้เม็ดหินเม็ดทรายไม่มีเลย มีแต่ธรรมล้วนๆ ในพระทัย การแสดงออกของพระพุทธเจ้าผู้สิ้นกิเลสแล้วจึงแสดงถูกต้องแม่นยำ ที่เรียกว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว ดังที่สวดกันอยู่ทุกวันนี้ว่า สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม เป็นต้น พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ชอบแล้ว ไม่มีอะไรบกพร่อง เป็นธรรมที่สมบูรณ์แบบ ออกมาจากท่านผู้สมบูรณ์ในธรรมทั้งหลายแล้วคือพระพุทธเจ้า จึงมีศาสนาเดียว พูดตามหลักความจริง

นอกจากนั้นเจ้าของศาสนาเป็นคลังกิเลส คือเป็นคนมีกิเลสอยู่ เหมือนท่านๆ เราๆ การสอนจะไม่พ้นจากกิเลสที่จะนำหน้าๆ สอนด้นๆ เดาๆ เกาหมัดไปอย่างงั้น หาความจริงไม่ได้ คือชอบใจอย่างไรก็สอนไปว่า สิ่งนั้นถูก สิ่งนี้ถูก ไม่ชอบใจก็ว่าสิ่งนั้นผิดไปอย่างนั้นก็ได้ เรื่องของกิเลสต้องเข้าตัวเองเสมอ ไม่ได้เข้าความจริงเหมือนธรรม

ธรรมเป็นหลักความจริง พระพุทธเจ้านี้แสดงเป็นหลักความจริง ไม่เอนไม่เอียง อคติไม่มี เป็นความจริงล้วนๆ จึงเป็นศาสนาชั้นเอก มีศาสนาเดียวในโลกนี้ ที่จะรื้อขนสัตว์โลกให้ได้หลุดพ้นจากทุกข์เป็นลำดับลำดาจากการบำเพ็ญของตน จะเป็นการให้ทานก็ดี การรักษาศีลก็ดี การเจริญเมตตาภาวนาก็ดี ล้วนแล้วตั้งแต่เป็นการบำเพ็ญความดีงาม ตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้าที่ทรงสั่งสอนไว้ด้วยความถูกต้องแล้ว ผู้ปฏิบัติก็ดำเนินตามนั้น เรียกว่าสวากขาตธรรม ทางสายนี้เป็นทางที่ถูกต้องแล้ว ตั้งแต่พื้นๆ จนกระทั่งถึงพระนิพพาน ไม่นอกเหนือไปจากทาง คือสวากขาตธรรมที่ตรัสไว้ชอบแล้วนี้ได้เลย

เรียกว่าศาสนาของท่านผู้รู้ ของท่านผู้วิเศษ ท่านสอนอย่างนั้น เราเป็นชาวพุทธนับว่ามีวาสนา ใครจะพบได้ง่ายๆ หรือเรื่องพุทธศาสนา ในโลกนี้ก็มีพุทธศาสนาแห่งเดียว การพูดทั้งนี้เราพูดตามหลักความจริง เลือกเฟ้นไปหาที่ไหน ท่านเหมือนเรา เราเหมือนท่าน เป็นอย่างนั้นละ แต่พุทธศาสนาเรานี้ไม่ได้เหมือน เพราะฉะนั้นในสามแดนโลกธาตุนี้ บรรดาสัตว์ทั้งหลายถึงยอมกราบพระพุทธเจ้า กราบธรรมของพระพุทธเจ้าได้สนิทติดใจตลอดมาตั้งกัปตั้งกัลป์ แม้พระพุทธเจ้าพระองค์ใด จะมาตรัสรู้ก็ตรัสรู้แบบเดียวกัน คือฆ่าฟันกิเลสให้ขาดสะบั้นลงจากพระทัย กลายเป็นใจที่บริสุทธิ์หลุดพ้น เป็นโลกวิทู รู้แจ้งทั้งโลกนอกโลกใน โลกคนโลกผี โลกนรกอเวจี โลกสวรรค์ชั้นพรหม จนกระทั่งถึงพระนิพพาน ไม่มีปิดบังลี้ลับในพระทัยที่ทรงหยั่งทราบแล้วเลย จึงเรียกว่าพุทธศาสนานี่เป็นศาสนาโลกวิทู รู้แจ้งโลกนอกโลกในหมด

ไม่มีโลกไหนที่จะปิดบังลี้ลับ พระญาณของพระองค์ไม่ให้หยั่งทราบได้ หยั่งทราบได้ทั้งนั้น แม้นรกอเวจีที่สัตว์ทั้งหลายตกอยู่นั้น สัตว์มีกี่ประเภทในนรกหลุมหนึ่งๆ นั้น ในหลุมหนึ่งๆ นั้นมีสัตว์จำนวนมากมายก่ายกอง ตัวเองก็ไม่ทราบว่าได้สร้างกรรมอันใด จึงได้มาตกนรกหมกไหม้เช่นนี้ ไม่ว่าสัตว์นรกตัวใด ในนรกหลุมใด ไม่มีสัตว์นรกรายใดเลยที่จะทราบได้ในกรรมของตน ว่าได้ทำกรรมนั้นไว้ๆ จึงได้มาตกนรกหลุมต่างๆ กัน เสวยทุกข์ทรมานหนักเบาต่างกันอย่างนี้ ไม่มีใครทราบ แต่พระพุทธเจ้าทรงทราบได้ตลอดทั่วถึง ในสัตว์แต่ละรายๆ ได้สร้างกรรมอะไรไว้ๆ หนักเบามากน้อยเพียงไร พระพุทธเจ้าทรงหยั่งทราบด้วยพระญาณหมด ไม่มีคำว่าจะมาลี้ลับต่อพระญาณหยั่งทราบของพระพุทธเจ้าได้เลย จึงสมควรอย่างยิ่ง ที่เป็นศาสดาเอกของโลก

การพูดถึงเรื่องนรก เราพูดเพียงย่อๆ เป็นเอกเทศ นรกหลุมใดก็ตาม สัตว์นรกรายใดก็ตาม ที่พระพุทธเจ้าจะไม่ทรงทราบสาเหตุแห่งกรรมที่เขาทำกันมาๆ มากน้อยนั้น ไม่มี ทรงทราบตลอดทั่วถึง แม้แดนสวรรค์พรหมโลกจนขึ้นถึงนิพพานก็เช่นเดียวกัน ทรงทราบตลอดทั่วถึง ว่าเทวบุตรเทวดา เหล่านี้อยู่ชั้นนั้นๆ จนถึงพรหมโลก ว่าได้สร้างกรรมดีประการใดบ้าง ถึงได้มาเสวยสมบัติอยู่บนสวรรค์ชั้นต่างๆ กัน นี้ก็ทรงทราบโดยละเอียดทั่วถึง ตามกรรมของวาสนาของผู้ที่สร้างมา

เช่นอย่างไปสวรรค์ เอา ชั้นนี้ มีบุญกรรมได้เพียงเท่านี้ ชั้นนั้นๆ แล้วผู้เสวยสมบัติของตนตามอำนาจวาสนาบุญญาภิสมภารที่ตนได้สร้างเอาไว้นั้น มากน้อยเพียงไร พระพุทธเจ้าทรงหยั่งทราบตลอดทั่วถึง สวรรค์ชั้น ๑ ชั้น ๒ ชั้น ๓ จนกระทั่งพรหมโลก ๑๖ ชั้น เป็นชั้นใดที่พระพุทธเจ้าจะไม่ทรงทราบของพวกทวยเทพทั้งหลายเหล่านั้น ว่าได้สร้างกรรมอะไรไว้ จึงต้องมาเสวยต่างๆ กันอย่างนี้ แม้สวรรค์พรหมโลกการเสวยกรรมก็ต่างกัน หนักเบาต่างกัน เช่นจาตุมฯ เป็นชั้นหนึ่งของพวกเทพ ชั้นปรนิมมิตวสวัตดีเป็นชั้นสูงสุดของเทวดา วาสนาสูงสุดในชั้นนั้น ก็ได้ไปอยู่ในชั้นตั้งแต่ จาตุมฯ ขึ้นไปหาปรนิมมิตวสวัตดี ชั้นที่ ๖ เหมือนกันหมด จะนอกเหนือไป ข้ามรั้วข้ามราว ข้ามสวรรค์ชั้นนั้นชั้นนี้ ไปเกิดตามความต้องการของตนอย่างนั้นไม่ได้ เพราะกรรมเป็นผู้พาไป กรรมเป็นผู้พาเกิด

ท่านจึงสอนไว้ว่า นตฺถิ กมฺมสมํ พลํ ไม่มีอานุภาพใดที่จะมีอำนาจมากเหนือกรรมดีกรรมชั่วนี้ไปได้เลย ใครจะทำกรรมชนิดใดก็ตาม อำนาจแห่งกรรมจะปกครองหรือบังคับไว้ได้ทุกๆ กรรม ไม่เหนืออำนาจแห่งกรรมนี้ไปได้ ด้วยเหตุนี้ท่านจึงสอนให้สร้างคุณงามความดี ให้ละสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลาย ตั้งใจสั่งสมคุณงามความดีให้เกิดมีแก่ตน แล้วตั้งใจละสิ่งที่ชั่วช้าลามกซึ่งเป็นภัยแก่ผู้สร้างผู้ทำนั้นแหละ เหมือนๆ กันกับสร้างความดี ผู้นี้เมื่อเป็นเช่นนั้นก็ได้ไปสู่ทางความดี

ความดีก็มีหลายขั้นหลายภูมิ ความดีในสวรรค์ชั้นนี้กับพวกเทพทั้งหลายชั้นนี้ พอเหมาะพอดีกับเทพรายนั้นๆ ที่จะไปเสวยสมบัติในกรรมของตนอยู่ในสวรรค์ชั้นนั้นๆ จนกระทั่งถึงสวรรค์ชั้นที่ ๖ จากนั้นไปถึงพรหมโลกก็เหมือนกัน พวกท้าวมหาพรหมทั้งหลาย พรหมทั้งหลายก็เป็นผู้สร้างความดีงามมาเช่นเดียวกันหมด จะต้องไปเกิดในสถานที่เหมาะสมกับกรรม ผลแห่งกรรมของตนที่สร้างเอาไว้มากน้อย จะก้าวก่ายกันไม่ได้ จึงเรียกว่าธรรมไม่ลำเอียง กรรมไม่ลำเอียง ใครทำได้มากน้อยเพียงไร ก็เป็นกรรมของผู้ทำนั้น ดีก็ตามชั่วก็ตาม ก็ชื่อว่าได้ทำลงไปแล้ว แล้วกรรมนั้นจะตามให้ผล

ท่านจึงสอนให้ละกรรมชั่ว ระมัดระวังกรรมชั่ว เพราะทำลงไปแล้ว เป็นภัยแก่เราเอง การทำชั่วก็คือทำลายตัวเราเอง การทำดีก็คือบำรุงส่งเสริมตัวเราเอง เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ผลก็ได้ต่างๆ กันไป ไม่ใช่ว่าไปเกิดลอยๆ พวกตกนรกก็ตกอย่างลอยๆ ไม่มีฝั่งมีฝา ไม่มีเหตุมีผล ไม่มีสักขีพยานแห่งการทำของตน แต่อยู่ๆ แล้วก็ไปตกนรกเอาเฉยๆ นี่ไม่มีในคติธรรมของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ที่สอนไว้แล้วด้วยความถูกต้อง ท่านสอนไว้ตามหลักความเป็นจริง ใครจะจำได้ก็ตามไม่ได้ก็ตาม การทำลงไปแล้วเป็นอันว่าทำทั้งดีทั้งชั่วเหมือนกันหมด ผู้ทำจึงต้องระมัดระวังรักษาให้ดี

เราเกิดมาแดนพุทธศาสนานี้นับว่าเรามีวาสนามากแล้ว มีทั้งเพศของพระ มีทั้งเพศของฆราวาสที่อาศัยความร่มเย็นจากกันและกัน เพราะฉะนั้นพุทธศาสนาจึงให้ความร่มเย็นแก่โลก เช่น ชาวบ้านเขามีพระ พระบวชเข้ามาในพระพุทธศาสนา พระที่จะให้ความร่มเย็นแก่โลกต้องเป็นผู้ปฏิบัติให้ความร่มเย็นแก่ตน ความอบอุ่นแก่ตน ด้วยการสร้างคุณงามความดี เริ่มตั้งแต่ศีล สมาธิ ปัญญา ขึ้นไปโดยลำดับ นี่คือการสร้างความดีแก่ตน ให้เป็นความอบอุ่น อยู่ที่ไหนก็ตาม ศีลก็ดี สมาธิก็ดี ปัญญาก็ดี จนกระทั่งศรัทธา วิมุตติ แล้วก็เรียกว่าธรรมเข้าไปอีก

ธรรมจะเป็นสมถธรรม วิปัสสนาธรรม รวมแล้วเรียกว่า พระธรรมวินัย พระวินัยก็คือศาสดาองค์เอกๆ พระธรรมก็คือศาสดาองค์เอก ศาสดาองค์เอกทั้ง ๒ ประเภทนี้แล ที่เป็นที่ยึดพึ่งเป็นพึ่งตายของพระ ของฆราวาสเรา เฉพาะอย่างยิ่งพูดถึงพระ ผู้บวชเข้ามามุ่งต่อมรรคผลนิพพานอย่างสูงสุด เมื่อบวชเข้ามาแล้วก็ให้ตั้งหน้าตั้งตารักษาศีลรักษาธรรมของตนให้ดี ชีวิตจะขาดไปก็ขอให้ขาดไป เขาไม่มีศีล เขาก็ตายได้เช่นเดียวกับเรา เรามีศีลมีธรรม จะไปกลัวตายด้วยการสร้างความดีนี้ได้ยังไง เราต้องตั้งใจปฏิบัติ

ศีลมีอยู่กับผู้ใด นั้นแหละคือศาสดาองค์เอกอยู่กับองค์นั้น ศีลก็คือพระวินัย พระวินัยก็คือองค์ศาสดา ธรรมก็ตั้งแต่ สมถธรรม วิปัสสนาธรรมขึ้นไป เริ่มตั้งแต่ พุทโธ ธัมโม สังโฆ เรานำมาบริกรรมเหล่านี้เรียกว่าธรรมทั้งนั้น จนเป็นผลขึ้นมาให้เกิดความสงบใจ จากนั้นก็เป็นสมาธิจิตใจแน่นหนามั่นคง เป็นวิปัสสนาทางด้านปัญญา ความคิดความอ่านแก่กล้าสามารถ พิจารณาค้นสกลกายทั้งตัวเขาตัวเรา รวมแล้วค้นทั้งโลกธาตุ ในโลก อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา นี้มันมีครบถ้วน เราพิจารณาสิ่งเหล่านี้ให้ครบถ้วน เพราะเรายึดถือสิ่งเหล่านี้เต็มหัวใจเรา

เมื่อต่างคนต่างพิจารณาสิ่งเหล่านี้ เฉพาะอย่างยิ่งดังอุปัชฌาย์ท่านมอบให้ว่า เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นี้ละเป็นภูเขา หนายิ่งกว่าภูเขาทั้งลูกเสียอีก ภูเขาทั้งลูกเขายังทำลายให้แตกกระจาย เอามาทำประโยชน์ เช่นถนนหนทาง หรือสิ่งต่างๆ ได้ตามความต้องการ ใครทำลายได้ภูเขา แต่ภูเขาภูเรานี้ไม่มีใครสนใจทำลาย มีแต่ส่งเสริมขึ้นมา ให้สวยให้งาม ให้มีความแน่นหนามั่นคง อนิจจังเต็มหัวอยู่ก็ไม่ได้ว่าจะเป็นจะตายอะไร ประหนึ่งว่าไม่มีป่าช้า คนหูหนวกตาบอดเป็นอย่างนั้น ไม่มองอรรถมองธรรม เพราะฉะนั้นท่านจึงให้สอนสิ่งเหล่านี้ให้เป็นอุบายของสติปัญญา

สมถธรรม เมื่อจิตยังไม่ได้รับความสงบ เราจะเจริญกรรมฐาน ๕ คือ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นี้เป็นคำบริกรรม เพื่อเป็นสมถธรรม ได้ทุกคำได้ทุกบท ในเกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เมื่อมีจิตสงบแล้ว เราจะนำกรรมฐานทั้ง ๕ คือ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ มาเป็นหินลับปัญญา เอาเกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นี้ละเป็นหินลับปัญญา พินิจพิจารณากลับไปกลับมา ข้างบนข้างล่าง ด้านขวางสถานกลาง ตลอดทั่วถึงในสกลกายของเขาของเรา แล้วจิตของเราก็จะสว่างไสวขึ้นมา อารมณ์มีเกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เป็นต้น จึงเป็นได้ทั้งสมถะ เป็นได้ทั้งวิปัสสนา

ในเบื้องต้นก็อาศัยกรรมฐาน ๕ นี้เป็นสมถะเครื่องกล่อมใจ ให้ใจได้อาศัยกรรมฐาน ๕ นี้ บทใดตามแต่เจ้าของจะชอบใจ พิจารณามันจะซึมซาบไปหมด ทั้ง ๕ อย่าง หรือซึมซาบตลอดทั่วถึงในสกลกายเรานี้ ก็เป็นกรรมฐานด้วยกัน ก็ให้พิจารณาสิ่งเหล่านี้ไป จนใจมีความสงบร่มเย็นๆ ไปโดยลำดับ เมื่อร่มเย็น จิตมีฐานแห่งความสงบ และค่อยก้าวขึ้นสู่สมาธิ สมควรแก่ทางด้านปัญญาแล้ว ก็เอากรรมฐานทั้ง ๕ นี่ละ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก ตับ ไต ไส้พุง อาหารใหม่ อาหารเก่า เต็มสรรพางค์ร่างกาย นี้แยกออกมาเป็นวิปัสสนา คลี่คลายดูให้เห็นชัดเจน

สิ่งเหล่านี้ในตัวของเรานี้ มีอะไรที่มีความสะอาดสวยงาม ที่น่าติดพัน น่ารักใคร่ชอบใจ มันมีตรงไหน ตั้งแต่ผิวหนังก็ยังมีขี้ไคล เป็นเหงื่อเป็นขี้ไคล เริ่มแล้วตั้งแต่นี้ เข้าไปลึกเท่าไรก็ยิ่งมีตั้งแต่ส้วมแต่ถานของปฏิกูลเต็มตัวมนุษย์เรา แล้วเอามนุษย์นี้อวดใครว่า เป็นความสะอาด เป็นคนสะอาด มันเหมือนๆ กันกับสัตว์ทั้งหลายทั่วๆ ไป แต่สัตว์ทั้งหลายเขายังไม่มีความสามารถที่จะคลี่คลายสิ่งเหล่านี้ ให้มาเป็นประโยชน์ทางด้านสติปัญญา เพื่อคุณธรรมขั้นสูงขึ้นไปเท่านั้น ท่านจึงไม่ได้กล่าวถึงสัตว์ ท่านมากล่าวถึงผู้ที่มุ่งมั่นต่อแดนมรรคผลนิพพาน เช่น นักบวชเรา ยกเกสา โลมา นี้ให้เลย  เอานี้ละสนามรบกับกิเลส อยู่ที่ตรงนี้

เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นี้ภูเขาลูกใหญ่โตที่สุด อะไรจะมาทำลายภูเขาลูกนี้ไม่ได้ นอกจากธรรม มีสติปัญญาธรรม เป็นต้นเท่านั้น ด้วยความเพียรเป็นเครื่องหนุน ความอดความทน ความอุตส่าห์พยายาม เป็นเครื่องหนุนกันๆ มีสติปัญญาเป็นเครื่องพาก้าวเดินนี้เท่านั้น เมื่อคลี่คลายไปหลายครั้งหลายหน สิ่งเหล่านี้ที่เคยเป็นอารมณ์แห่งสมถะ คือทำใจให้สงบ อิ่มอารมณ์ ไม่แส่ส่ายไปแล้ว ก็นำความสงบนี้ไปทำงานทางด้านปัญญา คลี่คลายดู ขน ผม เล็บ ฟัน นี้แหละ แต่ก่อนเราบริกรรมให้เป็นความสงบ ทีนี้คลี่คลายสิ่งเหล่านี้ออกให้เป็นทางด้านปัญญา เอาตั้งแต่ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก ทะลุเข้าไปหมด

ในสกลกายนี้มีอะไรเป็นของสวยงาม ไม่มีอะไร ที่อยู่ที่อาศัย จะสะอาดสะอ้านขนาดไหน ขัดถูกันด้วยอะไรก็ตาม ราค่ำราคาปลูกบ้านปลูกเรือนหลังหนึ่ง มันเท่าไรราคาของมัน เป็นกี่ล้านกี่ร้อยล้าน เอามาปลูกมาสร้างขึ้นแล้ว เพื่อป่าช้าผีดิบ เพื่อศพคนเป็นนี้ละไปอยู่ที่นั่น จะเป็นใครที่ไหนไป ตัวของเรานี่ละเป็นเจ้าของบ้านเจ้าของเรือน ตัวนี้คือตัวสกปรก บ้านเรือนจะปลูกสร้างขึ้นสวยงามขนาดไหน ตกแต่งให้ดีขนาดไหนก็ไม่พ้นความสกปรก ที่ร่างกายตัวสกปรกอันใหญ่หลวง ป่าช้าผีดิบ ซากดิบๆ นี้เข้าไปคละเคล้าทำลาย จึงต้องได้ซักได้ถู จึงต้องได้ชะได้ล้าง ขัดถูกันตลอดเวลา ย่นเข้ามาหาร่างกายอันนี้ ร่างกายอันนี้ก็คือซากผีดิบ ต้องชะต้องล้าง ต้องอาบต้องสรง อยู่อย่างนั้นตลอด

แม้เสื้อผ้าอะไรที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับตนก็ต้องได้ซักได้ฟอกๆ ได้ชะได้ล้าง บ้านเรือน ที่นอน หมอนมุ้ง ถ้าร่างกายมนุษย์นี้เข้าไปเกี่ยวข้องกับอะไร สิ่งนั้นจะสะอาดขนาดไหนก็ตาม กลายเป็นของสกปรกไปตามๆ กันหมด ต้องถูกชะถูกล้าง เหมือนกันกับร่างกายตัวสกปรกนี้แหละ ท่านให้พิจารณาอย่างนี้ นี่ละการที่จะมาพิจารณาเพื่อจะปล่อยวางสิ่งเหล่านี้ อันเป็นภาระอย่างหนักอึ้งทีเดียว ภูเขาไม่ได้หนักเท่าภูเรานี่นะ ภูเรานี้หนักมาก แต่ไม่มีใครทำลาย มีพระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลายเท่านั้นเป็นผู้ทำลาย แตกกระจัดกระจาย ไม่มีชิ้นใดต่อกัน ว่าจะเป็นสัตว์เป็นบุคคล เป็นเขาเป็นเรา เป็นหญิงเป็นชาย เป็นของสดสวยงดงาม พอจะยึดถือแบกกองทุกข์เข้ามาจากอุปาทานความถือสิ่งเหล่านี้ หมดไปโดยลำดับ

จนกระทั่งสิ่งเหล่านี้ขาดไปหมด ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ นี้ก็เป็นธาตุธรรมดา ก็คือธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ สติปัญญาแก่กล้าสามารถสลัดออกได้ ไม่มีอะไรเหลือภายในใจ จิตใจก็ยิ่งสง่างามขึ้นเป็นลำดับ เริ่มต้นตั้งแต่ภาวนา เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นี่เป็นคำบริกรรม จิตมีฐานสงบขึ้นมาแล้ว ก้าวเข้าสู่สมาธิ แน่นหนามั่นคงขึ้นไป ทีนี้ก็ออกปัญญา พิจารณาชะล้างสิ่งที่กล่าวมาแล้วนี้ มันสกปรกอยู่ตรงไหน สติปัญญาผ่านได้หมด ชะล้างได้หมด ไม่มีน้ำใดที่จะสะอาดสะอ้าน มีความสามารถชำระล้างสิ่งที่สกปรก คือกิเลสนี้ได้เหมือนธรรม

สติธรรม ปัญญาธรรม ชะล้างเข้าไปได้หมด ชะล้างเข้าไปจนกระทั่งถึงขั้นจิตบริสุทธิ์พุทโธเต็มดวง กิเลสคือความสกปรกขาดสะบั้นไปจากใจ กลายเป็นพุทธะขึ้นมาทั้งดวง นี่ละท่านว่าตรัสรู้ธรรม จากการชะล้างด้วยกรรมฐานของเราที่รับมาจากอุปัชฌาย์ว่า เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ให้นำเอามาพินิจพิจารณา ตั้งอกตั้งใจทำ นี่เราพูดแต่เพียงย่อๆ ไม่พูดกว้างขวาง ทั้งธาตุขันธ์และเวล่ำเวลาจะไม่อำนวย สำคัญก็คือธาตุขันธ์ เรื่องเวล่ำเวลาอรรถธรรมนั้นพอพูดกันได้ แต่เรื่องธาตุขันธ์นี้อ่อนลงๆ ทุกวัน จึงพูดได้เพียงย่อๆ ขอให้ทุกๆ ท่าน ได้นำไปประพฤติปฏิบัติ

พระเราเท่านั้น เป็นผู้ที่จะตักตวงเอามรรคผลนิพพานได้ก่อนผู้อื่นผู้ใด เพราะหน้าที่การงานไม่มี ประชาชนญาติโยมเขาผู้เป็นอุปถัมภ์อุปัฏฐาก เลี้ยงดูตลอดทั่วถึง ไม่มีอะไรบกพร่อง ไม่ว่าที่อยู่ที่อาศัย สบง จีวร เครื่องใช้บริขารทั้งหลายนี้ มีเต็มบ้านเต็มเมือง ศรัทธาผู้ที่บริจาคก็มีเต็มบ้านเต็มเมือง เขาศรัทธาอยากถวาย แต่พระไปตีข้อมือเขาไม่ให้เขาศรัทธา คือดูพระแล้วเหมือนเปรตเหมือนผี ไม่ได้เหมือนพระของศาสดา พระนี้กลายเป็นโจรเป็นมารเข้ามาแล้ว ปัจจุบันนี้เห็นได้อย่างชัดเจน บวชเข้ามาเอาพระเป็นผ้าเหลือง ไม่ว่าท่านว่าเรา พูดให้เสมอหน้ากันไปหมด แม้ที่สุดผู้เทศน์ก็ต้องถูกธรรมะเขกเหมือนกันนี่ละ เราเอาธรรมะมาเขกมาสับมายำ มาชะมาล้าง

เวลาบวชเข้ามาแล้วแทนที่จะสั่งสมอรรถธรรม ชำระกิเลสให้สิ้นไปจากใจ ใจจะเป็นของสะอาด กลายเป็นผู้สั่งสม ได้ลาภได้ยศ สรรเสริญเยินยอ ทั้งๆ ที่พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เสียสละหมด ผู้บวชนี้เป็นผู้เสียสละ นักเสียสละไม่มีใครเกินนักบวช แม้ที่สุดพระราชามหากษัตริย์ และพระพุทธเจ้าของเรา พอเสด็จออกทรงผนวช สลัดหมดไม่ปรากฏเลยว่า พระพุทธเจ้าของเรานี้ ย้อนเข้าไปมีความอาลัยอาวรณ์อยู่กับสำนักพระราชวัง หรือความเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ตัดหมดไม่มีอะไรเหลือ เห็นแต่ธรรมทั้งแท่ง ที่เป็นธรรมอันประเสริฐเลิศเลอในพระทัยเท่านั้น จึงต้องพยายามไปบำเพ็ญ สละเป็นสละตาย

ลูกใครเมียใคร บริษัทบริวารของใคร ใครจะไม่รัก ใครจะไม่ห่วงใย สิทธัตถราชกุมารท่านก็เป็นคนเหมือนเรา  ท่านมีลูกมีเต้า มีหลานมีเหลน มีภรรยาสามีเช่นเดียวกับเรา ทำไมท่านสละได้ นั่นละหัวใจท่านเด็ด ท่านเด็ดต่อมรรคผลนิพพาน ซึ่งเป็นสมบัติอันล้นค่ายิ่งกว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ซึ่งเต็มไปด้วยกฎอนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา อสุภะอสุภัง ส่วนธรรมอันนั้นไม่มี ท่านมุ่งต่อธรรมนั้น จึงได้อุตส่าห์พยายามออกไป สละหมด พระสละหมด ศากยบุตรเป็นอย่างนั้น ปฏิบัติตนเพื่อละ การยืน การเดิน การนั่ง การนอน มีสติเป็นเครื่องกำกับรักษา ศีลสมบูรณ์ตลอดเวลา เท่ากับตามเสด็จพระพุทธเจ้าอยู่ตลอดเวลา

อิริยาบถทั้ง ๔ คือ ยืนเดินนั่งนอน เว้นแต่หลับเท่านั้น เป็นผู้ตามเสด็จพระพุทธเจ้าด้วยความมีสติ รักษาศีล รกษาธรรมของตนอยู่ตลอด ไม่ให้ห่างเหินจากนี้ ก็ชื่อว่าผู้ตามเสด็จพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าคือใคร ก็คือ พระธรรมและพระวินัย พระธรรมกับพระวินัยนั้นแล จะเป็นศาสดาของเธอทั้งหลายแทนเราตถาคตเมื่อเราตายไปแล้ว เมื่อใครเป็นผู้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติ ทั้งศีลทั้งธรรมให้สมบูรณ์ในจิตใจ ความประพฤติหน้าที่การงาน อยู่ในวงของสมณะ ที่จะบำรุงส่งเสริมจิตใจของตนให้ดีจากหน้าที่การงานนั้นๆ  ผู้นี้แลเป็นผู้ตามเสด็จพระพุทธเจ้าทุกฝีก้าว

พระพุทธเจ้าไม่ได้นิพพาน ก็ธรรมวินัยอยู่กับเรา นิพพานไปไหน ท่านประกาศหรือมอบให้แล้ว ว่าธรรมและวินัยนั้นแลเป็นครูเป็นอาจารย์ ก็คือสมบัติอันล้นค่านี้แลเป็นครูเป็นอาจารย์ เป็นผู้จะแนะนำสั่งสอนท่านทั้งหลายแทนเราตถาคต เรานี้ก็มีแต่ร่างกระดูกเหมือนกับท่านทั้งหลายนั้นแหละ เอาของวิเศษวิโสอะไร สิ่งที่วิเศษวิโส เราตถาคตได้มอบให้แล้ว คือพระธรรมพระวินัย ให้ตั้งใจรักษาอยู่ที่ไหน อย่าปล่อยวางเรื่องศีลเรื่องธรรม จะเท่ากับตามเสด็จพระพุทธเจ้าตลอดเวลา หรือมีพระพุทธเจ้าติดตัวๆ พุทฺธํ ธมฺมํ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ติดตัวตลอดเวลา จากการประพฤติปฏิบัติดีของเรานี่ต่างหากนะ เป็นผู้ปฏิบัติดี นี้ละ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ แล้วจากนั้นก็มรรคผลนิพพาน

เรื่องศีล เรื่องสมาธิ ปัญญา วิชชา วิมุตติ จะอยู่กับการประพฤติปฏิบัติดีปฏิบัติชอบของเรา แล้วรวมมาศาสดาก็อยู่ที่ตัวของเรา ตามเสด็จพระพุทธเจ้าตลอดเวลาด้วยความประพฤติดีงามของเรา จากศีล สมาธิ ปัญญา ก้าวเข้าไปๆ เรียกว่าตามเสด็จพระพุทธเจ้าด้วยความพากเพียร ไม่ละไม่ท้อไม่ถอย มีความขยันหมั่นเพียร พระพุทธเจ้าพาตายๆ พระพุทธเจ้าจะพาสัตว์ตกนรกมีเราเป็นต้น เอา ให้ตก ศาสดาองค์เอกสอนโลกให้ตกนรกที่ไหนมี มีแต่กิเลสนั่นละเป็นเครื่องหลอกลวงสัตว์โลก ให้ตกนรกหมกไหม้ตลอดมา เราเป็นลูกศิษย์ตถาคต มีแต่ชำระล้างออกไป

ทำให้สมชื่อสมนามของพระนะ เราบวชเป็นพระเป็นศากยบุตรมาแล้ว เช่นเดียวกับศากยบุตรในครั้งพุทธกาล คือลูกตถาคตเหมือนกันหมด ศีล สมาธิ ที่มอบให้ลูกให้เต้า มาเป็นมรดกอันเลิศเลอก็เหมือนกันหมด การประพฤติปฏิบัติของเราให้สมศักดิ์ศรีกับธรรมและศีลที่ท่านมอบให้แล้ว อย่าเอาความเลอะๆ เทอะๆ ไปคละเคล้าไปเหยียบย่ำทำลายศีลธรรม จะกลายเป็นพระเลอะๆ เทอะๆ พระกวนบ้านกวนเมือง พระสกปรก โดยอาศัยผ้าเหลืองคลุมหัว ยิ่งมียศมีลาภขึ้นมาในหัวใจแล้วสั่งสมกิเลสขึ้นเรื่อย แทนที่จะสละกิเลสทั้งหลาย สั่งสมธรรมขึ้นมา กลับกลายเป็นธรรมไม่มอง ธรรมไม่เหลียวแล หัวใจไม่มีธรรม มีตั้งแต่ความโลภ ราคะตัณหา เต็มอยู่ในหัวใจ แล้วความโกรธให้ได้สมใจ ไม่ได้สมใจใครมาขวางไม่ได้ฆ่าเลยๆ ฆ่าไม่ได้จ้างให้ไปฆ่า เห็นไหมพระสมัยปัจจุบันนี้ มี

เวลานี้พระเป็นมหาโจร พระอยู่ในกลางผ้าเหลืองนี้แหละ กลางพุทธศาสนาเป็นท่านเป็นเราหรือเป็นใคร สอนด้วยกันทั้งหมดอยู่เวลานี้ ไม่ได้สอนว่าคนนั้นไม่ดี คนนี้ไม่ดี ใครทำผิดเป็นแบบเดียวกันหมด พระพุทธเจ้าสอนให้ละ เดี๋ยวนี้มันสั่งสมทั้งนั้น ลาภก็ให้ได้มากกว่าเพื่อน ทุกสิ่งทั้งลาภ ยศ สรรเสริญ เยินยอ ให้ได้กว่าประชาชนเขา ซึ่งเขาไม่ได้ประกาศตนว่าเสียสละ อันนี้ประกาศตนว่าเป็นนักเสียสละแล้ว กลับกลายเป็นผู้สั่งสมสิ่งสกปรกโสมมทั้งหลายนี้เข้าสู่ตัวเสมอๆ ก็เป็นพระสกปรก พระทำลายชาติ ทำลายศาสนา บ้านเมืองจะไม่มีเหลือ แล้วประชาชนญาติโยมเขาจะกราบที่ไหน ไหว้ลงคอ ไหว้ไม่ลง

จะตั้งเป็นขนาดไหน จรวดดาวเทียม หมามันก็ไม่ไหว้ อย่าว่าแต่มนุษย์จะไหว้เลย ชั่วก็เห็นกันอยู่นี้ เมื่อดีแล้วอยู่ที่ไหน ใครไหว้ไม่ไหว้ ใครนับถือไม่นับถือก็ตาม ธรรมกับเราเป็นอันเดียวกันแล้วมีความอบอุ่นตลอดเวลา  ให้ยึดข้อนี้ให้ดี อย่าไปเป็นบ้าโลกธรรม โลกธรรมคือ มีลาภ มียศ ได้ลาภ ได้ยศ มีแต่เสื่อมเสียไปทั้งนั้น ไม่เกิดประโยชน์อะไร อย่าพากันดีดกันดิ้น ถ้าหากเป็นของดี พระพุทธเจ้าจะสั่งสอนแล้วว่า ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกธรรม ๘ เอาเข้ามาให้เต็มหัวอก มันเผาคนให้ตกนรกทั้งเป็น นั่น พระพุทธเจ้าไม่ได้สอน เพราะกลัวศากยบุตรนี้จะตกนรกกันทั้งนั้น

ถึงขนาดนั้นมันยังปีนลงไป จะไปลงนรก ด้วยความโลภมาก ได้ลาภ ได้ยศ ได้ความสรรเสริญเยินยอ ปีนเกลียวกันไป ลุกลี้ลุกลน ไม่มีใครเกินพระที่มีความโลภมาก ไม่มองดูหน้าพระพุทธเจ้าเลย เหยียบหัวพระพุทธเจ้าไป ด้วยการฝ่าฝืนหลักธรรมหลักวินัย ธรรมวินัยไม่สนใจ แต่เรื่องกิเลสเอาได้วันยังค่ำ คืนยังรุ่งทีเดียว นี่มันเสียมาก พระเรายิ่งเลวลงทุกวันนะ ใจเลวลงทุกวันๆ มีแต่ผ้าเหลือง ใครจะไปกราบได้ลงคอง่ายๆ ถ้าความประพฤติไม่ดี ความประพฤติดีเจ้าของดีอยู่แล้ว ใครจะกราบไม่กราบไม่สำคัญ ไม่มีอะไรเลิศยิ่งกว่าธรรมในใจของเรา ที่ประพฤติและสั่งสมอยู่ทุกวันนี้ อันนี้เป็นของเลิศ ไม่สนใจกับใครจะมาสรรเสริญเยินยอประการใด โลกธรรม ๘ เป็นสมบัติของโลก ส่วนธรรมนี้เป็นสมบัติของสมณะเรา ได้เสียสละโลกธรรม ๘ มาแล้ว เข้ามาสั่งสมธรรมของเรา ให้ดิบให้ดีขึ้นไปโดยลำดับ

ท่านกล่าวไว้ตั้งแต่ก่อนว่า พระที่ท่านไล่เข้าไปอยู่ในป่า ขณะที่บวชเสร็จแล้วว่า รุกฺขมูลเสนาสนํ นิสฺสาย ปพฺพชฺชา ตตฺถ เต ยาวชีวํ อุสฺสาโห กรณีโย บรรพชาอุปสมบทแล้ว ให้ท่านทั้งหลายไปอยู่ในป่า ในเขา ตามถ้ำ เงื้อมผา ป่าช้า ป่ารกชัฏ ที่แจ้ง ลอมฟาง อัพโภกาส อันเป็นที่สะอาด สะดวกสบาย โล่งโถง เพื่อประกอบความเพียร ปราศจากสิ่งรบกวนทั้งหลาย ขอให้เธอทั้งหลายอุตส่าห์อยู่และบำเพ็ญในสถานที่นั้นตลอดชีวิตเถิด

ทุกวันนี้บวช พระวาจานี้ก็ติดอุปัชฌาย์มาทุกคน อุปัชฌาย์ไม่สอนธรรมบทนี้ไม่ได้ เป็นธรรมที่เคร่งครัดมาก ถูกปลดอุปัชฌาย์ ไม่สอนอนุศาสน์อันนี้แล้วอุปัชฌาย์ไม่สมบูรณ์แบบ อุปัชฌาย์ปลอม ถึงตนไม่ชอบขนาดไหน โอวาทข้อนี้ต้องสอนตามพระพุทธเจ้า ที่บังคับบัญชาไว้แล้วให้สอน ก็เป็นอย่างนั้นเห็นไหม แล้วไล่เข้าในป่าในเขา มันอยากไล่เข้าบ้าน หากระดูกหมู กระดูกวัว กระดูกควาย ไล่เข้าหายศหาลาภ หาความสรรเสริญเยินยอ ปีนหน้าปีนหลัง ปีนลมปีนแล้ง อรรถธรรมมันไม่สนใจ บวชเข้ามาปีนตั้งแต่หาโลกหาสงสาร ความสกปรกโสมม ส้วมๆ ถานๆ ไปอย่างงั้น อรรถธรรมที่เลิศเลอไม่มองดู

นี่ละถ้าจิตใจต่ำแล้ว เอาผ้าเหลืองมาครอบสักร้อยผืนมันก็ต่ำอยู่อย่างงั้น เอาผ้าเหลืองครอบส้วมครอบถาน ครอบมูตรครอบคูถ ก็คือผ้าห่อมูตรห่อคูถ ไม่ได้เป็นผ้าเหลืองห่อทองคำนะ เราจะให้เป็นผ้าเหลืองห่ออะไร เวลานี้ห่ออรรถห่อธรรม ห่อศีล สมาธิ ปัญญา วิชชา วิมุตติ ห่อมรรคผลนิพพาน หรือจะห่อความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหานั้นเหรอ ห่อตั้งแต่สิ่งที่เป็นส้วมเป็นถาน ที่พระพุทธเจ้ารับสั่งให้เสียสละๆ นั้นเหรอ คิดดูซี บรรดากษัตริย์ในครั้งพุทธกาลเสด็จออกทรงผนวชนี้ไม่ว่าพระองค์ใด เป็นกษัตริย์เป็นพระเจ้าแผ่นดิน พอสละออกมาบวชแล้วไม่มองดูเลย สกุลกษัตริย์ไม่ทราบว่าเป็นอะไรๆ ไม่สนใจ มุ่งตั้งแต่อรรถแต่ธรรม แต่มรรคผลนิพพาน จนได้สำเร็จผลว่าเป็น สรณํ คจฺฉามิ ของเรา คือ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ คือท่านเหล่านี้เอง ท่านนักเสียสละ

เรามันนักสั่งสมจะเข้ากันได้ยังไง พระโอวาทของพระพุทธเจ้าก็ไม่มีความหมาย ไปมีความหมายแต่กิเลสพอกหัวพระไปเสียหมด ขอให้ท่านทั้งหลายจำให้ดีทุกคนๆ พระมาปฏิบัติอยู่ที่ไหนให้ตัวเองชุ่มเย็น ดูซี เห็นใจประชาชนญาติโยมบ้างซิ เขาบวชไม่ได้ เราบวชได้ ตั้งบ้านตั้งเรือนที่ไหนเขาก็สร้างวัดสร้างวาขึ้นมา บ้านนอกบ้านนาที่ไหน เขาไม่ได้เบื่อหน่ายอิดหนาระอาใจกับพระเลย เขาถือเป็นหัวใจของเขาเอง ตั้งบ้านตั้งเรือนที่ไหน เขาต้องสร้างวัดๆ เพราะอะไร เอาไว้กราบไหว้บูชา เป็นขวัญตาขวัญใจ ให้เป็นความอบอุ่นแก่ตัวเอง

ตื่นขึ้นมาได้ไหว้พระ เช้าก็ได้ใส่บาตร จะเข้าหาพระเจ้าพระสงฆ์เมื่อไรก็ไปได้ ไปแล้วมีความสงบร่มเย็นจากผ้าเหลือง จากกิริยามารยาท จากการพูดการจาเป็นอรรถเป็นธรรมของท่าน ได้ธรรมะอันเย็นฉ่ำเข้ามาสู่หัวใจ ไปในบ้านในเรือนก็มีความสงบร่มเย็น นี่พระให้ประโยชน์แก่โลก ปุญฺญกฺเขตฺตํ โลกสฺส คือพระประเภทนี้เอง พระเป็นเนื้อนาบุญของโลก ใครเข้าไปเป็นเนื้อนาบุญออกมา จิตใจชุ่มเย็นๆ

นี่ละไปที่ไหนเราเห็นไหม บ้านไหนมีที่ไหนที่ว่าไม่มีวัด บรรดาชาวพุทธเราไปที่ไหนมีวัดทั้งนั้นๆ อยู่ในป่าในเขาเขาก็มีวัด อย่าว่าอยู่ในบ้านในเมืองนี้เลย เราผู้เป็นพระเสียเองทำไมลืมเนื้อลืมตัว มันเสียขนาดไหนกับความมุ่งหมายของประชาชน ที่เขาหวังพึ่งพระน่ะ พระพึ่งตัวได้แล้วยัง ศีลเป็นยังไง สมาธิเป็นยังไง ปัญญาเป็นยังไง ตลอดวิมุตติหลุดพ้น มรรคผลนิพพานมีวี่แววบ้างหรือไม่ ถ้ายังไม่มีวี่แววนี่เน่าเฟะนะ ไม่เกิดประโยชน์อะไร พระผ้าเหลืองคลุมศีรษะเฉยๆ ผ้าเหลืองเต็มตลาด เอามาจากที่ไหนก็ได้มาห่อหัวโล้นๆ โกนคิ้ว นี้จะโกนจนหนังถลอกหมด ยังเหลือแต่กะโหลกศีรษะก็ได้ แต่มันไม่เป็นศีลเป็นธรรม ไม่เป็นมรรคผลนิพพานขึ้นมา เหมือนผู้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติศีลธรรมอย่างแท้จริงนะ ให้พากันตั้งอกตั้งใจ

เวลานี้ทางพระของเรา เฉพาะอย่างยิ่งวงกรรมฐานของเรานี้ จะอ่อนลงๆ แล้วนะ มีครูบาอาจารย์ฉุดลากไว้ๆ ก็ยังพอทำเนา เฉพาะวัดกรรมฐานนี้รู้สึกว่ามีมากอยู่ ในป่าในเขา อยู่ที่ไหนเฉพาะภาคอีสานนี้มีมากกว่าทุกภาค ก็เพราะต้นตออันสำคัญรากเหง้าอันสำคัญคือ หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ ประสิทธิ์ประสาทธรรมะอันเลิศเลอ ให้แก่บรรดาลูกศิษย์ทั้งหลาย ไปอบรมประพฤติปฏิบัติตาม แล้วสำเร็จเป็นเพชรน้ำหนึ่งๆ ออกมา ครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่เรากราบไหว้อยู่ทุกวันนี้เป็นใครไปว่ะ ถ้าไม่เป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์เหล่านี้จะเป็นลูกศิษย์ของใคร เรากราบอาจารย์องค์นั้นๆ มีแต่เพชรน้ำหนึ่ง จากการอบรมของท่าน มาจากพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นเรานี่ละ เป็นอย่างนั้นละ

เพราะฉะนั้นพระจึงมีมากอยู่ทางภาคอีสาน เพราะต้นลำใหญ่ โรงงานใหญ่อยู่ที่นั่น แล้วแตกกระจัดกระจายไปทุกภาคนั้นแหละ แต่ว่าต้นลำจริงๆ อยู่ทางภาคอีสาน เพราะฉะนั้นทางภาคอีสาน จึงมักมีกรรมฐานมาก เป็นเพราะเหตุไร เป็นเพราะมีครูบาอาจารย์คอยแนะนำสั่งสอนมากพอประมาณ ที่อื่นๆ ไม่ค่อยมีนะ คือพระกรรมฐานนี้มุ่งหาครูหาอาจารย์เท่านั้น เมื่อมีครูมีอาจารย์อยู่ที่ไหน ท่านจะด้นดั้นเข้าไปเลย ไม่เห็นแก่ความลำบากยากเย็นเข็ญใจ ครูบาอาจารย์อยู่ที่ไหน ท่านจะบึกบึนเข้าไปหา เพื่ออรรถเพื่อธรรมให้เป็นความร่มเย็นแก่ทางจิตใจ เพราะฉะนั้นกรรมฐานจึงมีมาก อยู่ในสถานที่มีครูบาอาจารย์ให้อรรถให้ธรรมได้เป็นอย่างดี ไม่มีอยู่ในที่ไม่มีอรรถมีธรรม ถ้าไม่มีอรรถมีธรรมอยู่ที่ไหน จะเป็นร้อยๆ ก็อย่างนั้นละ ดีไม่ดีวัดก็เลยเป็นส้วมเป็นถานไปแล้ว พระก็เลยกลายเป็นมูตรเป็นคูถในส้วมในถานไปหมด ใครจะเข้าไปกราบ

วัดหนึ่งๆ วัดเป็นสถานที่อยู่ของผู้บำเพ็ญศีลธรรม เป็นผู้มีกายวาจาอันสงบ ตัวเองเป็นผู้สงบแล้ว ใครไปเจอเข้าก็มีความยิ้มแย้มแจ่มใส กลางคืนก็นอนด้วยหน้าชื่นตาบาน มีครูบาอาจารย์ มีพระท่านผู้มีศีลมีธรรม ไปให้กราบให้ไหว้ มันเย็นไปในหัวใจ เป็นอย่างนั้นนะ ธรรมนี้ให้ความร่มเย็นได้มาก เพราะฉะนั้นการสร้างวัดสร้างวาของประชาชนทั้งหลาย จึงมีอยู่ทั่วไป แต่พระเราที่อยู่ในวัดในวา อย่าให้เป็นสร้างส้วมสร้างถานนะ พระไปบรรจุในนั้น ก็เป็นมูตรเป็นคูถเต็มวัดเต็มวา ให้เขาเบื่อหน่ายทั่วประเทศไทย ดูไม่ได้นะพระเรา ขอให้พากันคิดให้ดี

อยู่กับเขาไม่ได้ทำไร่ทำนา ซื้อถูกขายแพงอะไรก็ตาม ไม่มี เขาขวนขวายให้หมด ถ้าพูดถึงเรื่องความสมบูรณ์พูนผล ใครจะเกินพระ จะกินสักเท่าไรกินให้ตายก็ได้ ใช้สอยก็เหมือนกัน เครื่องบำรุงรักษาเต็มหมด กุฏิจะสร้างให้หลังสวยๆ งามๆ หอปราสาทบนสวรรค์นี้ยังจะสู้ไม่ได้ ถ้าจะเอาตามที่เขาขอนะ แต่ท่านผู้เป็นธรรมแล้ว ไม่มีอะไรเลิศเลอยิ่งกว่าธรรม นั่นท่านเอาตรงนั้น ธรรมอยู่ที่ไหนอยู่ได้ ในร่มไม้ชายเขาอยู่ได้ ธรรมมีอยู่ความเลิศเลอมีอยู่ที่นั่น ท่านเอาตรงนั้น ที่ไหนอยู่ได้หมด ขอให้มีธรรมในใจสบายไปหมด อดบ้างอิ่มบ้างไม่สำคัญ ธรรมนี้พาให้อิ่มตลอดเวลา

ถ้าขาดธรรมแล้วเป็นยังไง สร้างกี่ตึกกี่ร้านกี่ชั้น มันก็ไปครวญครางอยู่เหมือนคนไข้ที่ไปอยู่ในโรงพยาบาล ตึกชั้นสูงขนาดไหนก็ตาม เอาขึ้นไปๆ ครวญครางอยู่นั้น อือๆ เหมือนเสือถูกปืน เป็นยังไงถึงเป็นอย่างนั้น ก็มันไม่เป็นสุขอยู่ที่โรงพยาบาลตึกสูงๆ นั้น มันเป็นทุกข์ก็ไม่เป็นทุกข์อยู่ที่โรงพยาบาลสูงๆ มันเป็นทุกข์อยู่ที่ตัวบุคคล คนไปอยู่ที่ไหนความทุกข์ก็อยู่ที่นั่น ถ้าหายจากโรคแล้วอยู่ไหนก็อยู่ได้สบาย เราสร้างความสุขให้มีในใจของเรา อยู่ในป่าเขาลำเนาไพร ดังพระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน เป็นยังไง รุกฺขมูลเสนาสนํ จืดชืดไปหมดแล้วเหรอ หรือมีตั้งแต่ตลาดกระดูกหมู กระดูกวัวหรือ เป็นบ่อแห่งมรรคผลนิพพานของพระสมัยปัจจุบันนี้น่ะ มันเป็นยังไง ยศ ลาภ สรรเสริญ เยินยอ เป็นบ้าอยู่นี้เหรอ นี่เป็นมรรคเป็นผลของพระสมัยปัจจุบันหรือ

เราเป็นพระสมัยไหนให้ตื่นตัวนะ ถ้าไม่ตื่นตัวจะจมไปนะ แล้วไม่ทราบว่าใครดิบใครดี เห็นแต่ผ้าเหลืองเต็มบ้านเต็มเมือง แต่ของดิบของดีที่จะมีผู้ทรงไว้ด้วยศีลด้วยธรรม การประพฤติดีประพฤติชอบ จะไม่มีแล้วนะเวลานั้น ให้สร้างตัวเอง ใครไม่สร้างให้เราสร้างตัวเองอยู่ในใจของเรา อยู่ที่ไหนก็ดีหมด ถ้าเราตั้งใจสร้างตัวของเราให้ดี นี้ละธรรมอยู่ที่นี่ ธรรมไม่ได้จืดได้ชืด ธรรมะเป็นมัชฌิมาตลอด อยู่ในท่ามกลางหัวใจของโลกผู้มีความสนใจประพฤติปฏิบัติธรรม ไม่ได้อยู่ที่ไหน

มัชฌิมาๆ อยู่ท่ามกลางหัวใจของสัตว์โลก ผู้ใดมีความเคารพเลื่อมใส เอา ขวนขวายเข้ามาความดีงาม เช่นพระเราตั้งใจประพฤติปฏิบัติให้เป็นพระโดยสมบูรณ์ อย่าให้เป็นพระขาดบาทขาดตาเต็ง พระ ๓๐ สตางค์ พระ ๒๐ สตางค์ พระ ๕๐ สตางค์ ๖๐ สตางค์ก็มี เดี๋ยวนี้ไม่มีพระเต็มบาทนะ มันมีแต่พระ ๒ สลึงเป็นอย่างมากนะ อย่างหนึ่งมีแต่ผ้าเหลือง ไม่มีพระในหัวใจเลย ไม่มีศีลมีธรรม ให้กิเลสตัณหากลืนเอาไปหมดไม่มีเหลือ เป็นยังไงพระเราลูกศิษย์ตถาคต ถึงให้กิเลสตัณหากลืนเอาหมด มันไม่น่าสลดสังเวชหรือ พวกเราเป็นยังไงนั่งอยู่เวลานี้น่ะ ฟังเทศน์ฟังธรรม

ตั้งใจปฏิบัตินะ เวลานี้เข้าพรรษา เข้าพรรษาคืออยู่ในขอบเขต แล้วปฏิบัติศีลธรรม ไม่เป็นกังวลกับสิ่งใดละใน ๓ เดือนนี้ ให้ตั้งหน้าตั้งตาภาวนา แต่ก่อนจริงๆ ท่านก็ไม่มีการเข้าพรรษา แต่ก็ได้รับความเดือดร้อนจากทางประชาชนญาติโยมเขา โดยที่พระท่านก็ไปตามภาษาของท่านนั่นแหละ ไปที่ไหนท่านก็ไป คันนาเขาท่านก็เหยียบย่ำไปบ้าง ก็ท่านมีเท้าจะไม่ให้เหยียบได้ยังไง แต่หมามันก็เหยียบคันนาเขาน่ะ พระก็เป็นคน ท่านมีเท้าท่านก็เหยียบ คนเขาเดือดร้อนเขาว่า ถึงเวลาทำไร่ทำนา ควรจะอยู่แล้วไม่อยู่พระ ไปหาเดินโน้นเดินนี้ เหยียบคันไร่คันนาเขาแหลกเหลวไปหมด เขาก็ร้องทุกข์บ้าง

บ่นกันอื้ออ้าๆ เรื่องราวกระเทือนถึงพระพุทธเจ้าว่า พระไปหากวนบ้านกวนเมืองเขา เหยียบคันไร่คันนาเขา เลยจำกัดจำเขี่ย เวลาเขาทำไร่ทำนาในระยะเวลา ๓ เดือนนี้ ให้พระจำพรรษาอย่าไปเที่ยวเพ่นพ่านที่อื่น ให้เหยียบทางจงกรมเจ้าของ อย่าไปหาเหยียบคันไร่คันนาเขา เหยียบทางจงกรมเอาให้มันเป็นเหวให้ดูซิน่ะ แล้วประชาชนเขาจะมาร้องทุกข์ไหม ทางจงกรม เขามาฟ้องก็ให้ฟ้องนะ ถ้าหากว่าเขามาฟ้องแล้ว เราจะพาไปทูลพระพุทธเจ้า ว่าพระองค์พาเดินจงกรมจนฝ่าเท้าแตกก็มี ทางจงกรมเป็นเหวด้วยความมีสติสตัง ไม่เห็นได้มรรคผลนิพพาน ไปเหยียบแต่คันไร่คันนาเขาอย่างนั้น แล้วก็ไปฟ้องพระพุทธเจ้า จะพาไปเอง

คันไร่คันนาเขาแหลกหมด แต่กิเลสตัณหาในใจไม่แหลก มีแต่ส่งเสริมขึ้นทุกวันๆ มันน่าดูไหมพระเราน่ะ สิ่งที่มันส่งเสริมขึ้นทุกวันคือมูตรคือคูถ พวกลาภ ยศ สรรเสริญ เยินยอ เป็นบ้าไปหมดเวลานี้ ผู้ใหญ่เท่าไรยิ่งเป็นบ้าหนัก ทุกวันนี้เราอย่าเข้าใจว่า ผู้ใหญ่จะเป็นคุณเป็นประโยชน์แก่ผู้น้อยนะ เห็นต่อหน้าต่อตากระเทือนกันทั่วประเทศไทยเรา ได้ยศได้ลาภสูงขนาดไหนออกนอกลู่นอกทาง ไม่มีแบบมีฉบับ เอากิเลสตัณหา เอายศถาบรรดาศักดิ์ บ้าๆ นั่นแหละเข้ามาติดหัวตนเอง ดินเหนียวติดหัวก็ว่าตัวมีหงอน ข้าเป็นสมุห์ ข้าเป็นใบฎีกา ข้าเป็นปลัด ข้าเป็นเจ้าฟ้าเจ้าคุณ ข้าเป็นสมเด็จ

เป็นไหนก็เป็นเถอะน่ะ กิเลสมันจะกลัวที่ไหน มันขี้รดพวกที่ยศสูงๆ นี้ละ มันขี้รดตัวนี้ คือชอบมันมันก็ขี้รดเอาละซิ สูงเท่าไรยิ่งชอบ มันก็ยิ่งสนุกขี้น่ะซี เกิดประโยชน์อะไรอย่างนี้ ของดีหรือสิ่งเหล่านี้ พระพุทธเจ้าสอนให้สลัดปัดทิ้งทั้งหมด ไม่มีอะไรเลิศยิ่งกว่าธรรม ถ้าลงธรรมในใจมีแล้ว ตั้งไม่ตั้งไม่สนใจ พุทโธ ธัมโม สังโฆ เป็นแท่งเดียวกันในใจ อยู่ในหัวใจนี้เต็มสัดเต็มส่วนแล้ว นี่ละธรรมความเลิศ อยู่ในหัวใจไม่อยู่ที่อื่นที่ใด อย่าพากันเป็นบ้านะ

ไปที่ไหนอย่าลืมพุทโธ ธัมโม สังโฆ ภายในใจ พระก็ให้อยู่ตามขั้นภูมิของตน อยู่ในขั้นบริกรรม เอ้า อยู่ให้จริงให้จัง สติติดแนบอย่าเผลอ สมถะ สมาธิ ปัญญา ขึ้นหามรรคผลนิพพาน ไม่นอกเหนือไปจากสติปัญญาศรัทธาความเพียรนี้ไปได้เลย ผู้นี้แลเป็นผู้ที่จะตั้งรากฐาน ตั้งตนขึ้นภายในใจ โดยไม่ต้องให้ใครมายกยอปอปั้นว่าเป็นชั้นนั้นชั้นนี้ ขอให้เป็นชั้นภายในใจของตัวเอง กิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้ว ไม่มีใครบอกก็รู้ สิ้นสุดแล้ว เรื่องข้าศึกอันใหญ่หลวง คือข้าศึกของกิเลส ตัวสร้างวัฏจักรในหัวใจ บัดนี้กิเลสทั้งหลายได้พังลงไปแล้ว เหลือแต่ความบริสุทธิ์ วุสิตํ พฺรหมฺจริยํ กตํ กรณียํ พรหมจรรย์คือการรบราฆ่าฟันกับกิเลสตัณหา ตัวเป็นมหาภัยและอำนาจใหญ่หลวงนี้ได้ขาดสะบั้นลงไปแล้ว นี่ละ วุสิตํ พฺรหมฺจริยํ  กิจการทั้งหลายจึงสิ้นเสร็จลงในขณะนั้น กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว ควรทำก็คือการฆ่ากิเลสได้ทำไปแล้ว กิจอื่นที่จะทำให้ยิ่งกว่านี้ ไม่มี นั่นละเป็นสรณะของพวกเรา ท่านทำจนสิ้นเสร็จ

ทำงานทางธรรมนี้สิ้นเสร็จได้ งานทางโลกไม่มีสิ้นเสร็จ ทำเท่าไรยิ่งเป็นบ้ากันเข้าไป ถ้าทำพออยู่พอกินธรรมดาค่อยยังชั่ว อันนี้มันชิงกันซิ ว่าชิงดีชิงเด่น มันชิงดีอะไรมันชิงบ้ากัน ได้เท่าไรไม่พอๆ ได้เท่าไรยิ่งโลภ จนกระทั่งตายทิ้งเปล่าๆ ของกองเป็นเท่าภูเขา ว่าเป็นสมบัติมันก็มีแต่ชื่อ เจ้าของไปจมในนรก โดยไม่เคยสนใจในอรรถในธรรมเวลามีชีวิตอยู่ สนใจกับสิ่งเหล่านั้น วัตถุต่างๆ อันนั้นดีอันนี้ดี เขามายกยอนิดหน่อย คนนี้เขามั่งเขามีนะ เขามียศถาบรรดาศักดิ์ เป็นบ้ากับเขาเจ้าของก็เป็นบ้าไปเรื่อยๆ ตายแล้วจมไปเกิดประโยชน์อะไร

พิจารณาให้ดีนะ นักปฏิบัติทั้งฆราวาส ผู้มีกิเลสอยู่เต็มตัว เป็นผู้ถูกย่ำยีสีไฟ ถูกทรมานเหมือนกัน ให้นำอุบายของธรรมไปแก้ ไม่งั้นไม่ตกนะ อะไรที่ควรจะพออยู่พอกินก็ให้มีพอบ้าง ถ้าพูดอย่างนี้มันกระเทือนโลก กระเทือนกิเลสเขา เราจึงไม่เคยพูด มองไปตำหูตำตาสลดสังเวชก็ดูไปอย่างนั้นแหละ สร้างนี่แล้วนึกว่าจะพอ มันไม่พอนะ พอสร้างนี้แล้วขึ้นอันนี้ ขึ้นอันนั้นอีก จนตายทิ้งเปล่าๆ มันน่าสลดสังเวช กิเลสหลอกคน หลอกไม่ให้รู้เนื้อรู้ตัว หลอกจนวันตาย ถ้าไม่มีธรรมเข้าไปแทรก ไม่มีวันมีความสุข

ใครจะเป็นเศรษฐีมหาเศรษฐีก็ตาม ถ้าไม่มีธรรมแล้วจมไปด้วยกันทั้งนั้น ไม่มีฝั่งมีฝา ไม่มีหลักมีเกณฑ์ ไม่มีที่พึ่งพิงอิงอาศัยได้เลยถ้าไม่มีธรรม อาศัยสิ่งเหล่านี้ตายแล้วก็หมดค่า เขาจะเผาไม่เผา หรือจะปล่อยทิ้งให้แมลงวันตอมอยู่หึ่งๆ ก็ได้ยากอะไร ไม่เห็นเกิดประโยชน์อะไร สมบัติเงินทองข้าวของมีมากมีน้อยเกิดประโยชน์อะไร ก็เสกสรรปั้นยอกันไปอย่างนั้นเวลามีชีวิตอยู่นี้เท่านั้น พอตายแล้วก็หมดท่า ถ้าไม่มีธรรมในใจ ไม่มีเงื่อนต่อนะ ขาดสะบั้นไปเลย สมบัติภายนอกที่เราได้มาเป็นสมบัติของเรา เราพูดไม่ได้ตำหนิ ให้รู้ภายนอกภายในเท่านั้นเอง ให้รู้ความพอดิบพอดีให้มีบ้าง

กิเลสมันไม่เคยมีละไอ้ความพอดิบพอดี น้ำล้นฝั่ง น้ำกิเลสตัณหานี้ล้นไปเลย ท่านบอกว่า นตฺถิ ตณฺหาสมา นที แม่น้ำเสมอด้วยตัณหาไม่มี คือแม่น้ำมหาสมุทรทะเลมันมีฝั่ง แต่แม่น้ำแห่งตัณหานี้ไม่มีฝั่ง ท่วมไปได้หมดเลย อันนี้แม่น้ำคือตัณหา ความอยากความหิวโหยไม่มีเมืองพอนี้จมไปเลย ถ้าไม่มีอรรถมีธรรมภายในใจยับยั้งตัวไม่ได้ ถ้ามีอรรถมีธรรมยับยั้งได้ ดังที่ธรรมสุดยอดที่แสดงมาตะกี้นี้ว่า วุสิตํ พฺรหมฺจริยํ ท่านทำงานมาตั้งแต่ล้มลุกคลุกคลาน เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เอากันจนเต็มเหนี่ยวๆ จนถึงขั้นนี้แล้ว วุสิตํ พฺรหมฺจริยํ งานสิ้นเสร็จแล้ว นั่นเห็นไหม วุสิตํ พฺรหมฺจริยํ พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว งานในวัฏวนทั้งหลายนี้ วิวัฏฏจักรตีขาดสะบั้นไปหมดแล้ว ไม่มีงานอะไรเหลือ นั่นละถึงแล้วพระนิพพาน ไม่ต้องทำอะไร นิพพานๆ คือเที่ยงที่สุด หรือธรรมธาตุอยู่กับท่านผู้สำเร็จงานการฆ่ากิเลสให้ขาดสะบั้นลงไปจากใจ ไม่มีอะไรเข้ามากีดขวางจิตใจ

จึงขอให้ท่านทั้งหลายตั้งอกตั้งใจปฏิบัตินะพระเรา พระนี้ตั้งใจมาประพฤติปฏิบัติ มองอย่ามองตั้งแต่สิ่งภายนอก อย่าเป็นบ้ากับโลกกับสงสารเขา อันนั้นก็ดีอันนี้ก็ดี มันเป็นโลกไปหมดแล้วนะพระกรรมฐานเรานี้ ให้มองหัวใจตัวเองซิมันเผลอหรือไม่เผลอ กิเลสเข้าเหยียบย่ำทำลายหัวใจเป็นฟืนเป็นไฟนั้นน่ะ คือข้าศึกหรือคืออะไร หรือมหาคุณหรือนั่น ดูตัวนั้นซิ สติจับเข้าไปมันก็รู้ ปัญญาพิจารณาเข้าไป เดินจงกรมนั่งสมาธิเป็นหน้าที่ของเรา ภาวนาการชำระกิเลสเป็นหน้าที่ของพระโดยตรง มันหายไปหมดจากพระกรรมฐานเรา แล้วมันหายไปไหน หายไปหากิเลสตัวเป็นบ้ากับโลกกับสงสารเขานั้นแหละ ให้รู้เนื้อรู้ตัวนะ ตั้งอกตั้งใจ

เดี๋ยวนี้จิตมันเป็นโลกไปหมดแล้วนะ มันไม่ได้เป็นธรรมเป็นกรรมฐาน ไปที่ไหนทางจงกรมมันจะไม่มีแล้วนะเวลานี้ มันจะมีแต่ทางเข้าบ้านเข้าเมือง เข้าตลาดลาดเล เข้าเสาะแสวงหานั้นหานี้ เข้ากวนบ้านกวนเมืองไปแล้วนะทางของพระน่ะ ทางจงกรมของพระจะไม่มี ทางจงกรมคือทางแก้กิเลสเพื่อความสงบร่มเย็นมันไม่มีแล้วนะ จะไม่มี มีบ้างก็นิดๆ หน่อยๆ ไอ้ทางกวนบ้านกวนเมืองเต็มบ้านเต็มเมืองเวลานี้ เขามองเห็นพระเขาไม่อยากดูพระนะ โอ้ มาแล้ว จะมาขอ ๕ ขอ ๑๐ ขอ ๑๐๐ ขอ ๑๐๐๐ พอเผ่นได้เขาเผ่นหนีเลย เขาเบื่อพระ แต่เขาไม่กล้าพูด เขากลัวบาป

ตัวเราให้รู้บ้างนะ เรานี่คือตัวเปรตตัวผี รบกวนชาวบ้านชาวเมืองไม่รู้จักประมาณ พอเห็นหน้าก็ อาตมากำลังสร้างนั้นนะโยม กำลังสร้างนี้ เราอยากจะพูดให้เต็มยัน ให้ถึงกิเลสตัวมันหยาบๆ สร้างหาพ่อหาแม่มึงอะไร พระพุทธเจ้าไม่พาสร้างสิ่งเหล่านี้นะ พาสร้างมรรคสร้างผล ศีล สมาธิ ปัญญา นี้ต่างหาก ว่าอย่างนี้ ไม่หยาบ พูดน้ำหนักให้เท่ากันให้ถึงกัน เราไม่ได้หมายถึงส่วนหยาบ หมายถึงน้ำหนักให้มันถึงกัน ไม่งั้นมันไม่ถึง เอามันลงไปซิน่ะฆ่ากิเลส กิเลสหนักเราต้องหนัก ความเพียรต้องหนัก ฟัดกันลง หมัดหนึ่งไม่พอสองหมัดตีเข้าไป เอาให้กิเลสมันหงายหมาทีซิ เราไปไหนเห็นแต่พระหงายหมา หงายลงเสื่อลงหมอน หลับครอกๆ แครกๆ มีแต่พวกหงายหมา หงายกับธรรมไม่มี

เอาละการเทศนาว่าการก็เห็นว่าสมควรแก่ธาตุแก่ขันธ์ แก่กาลเวลา ให้พากันตั้งอกตั้งใจ วันนี้เป็นวันเข้าพรรษา ให้ตั้งอกตั้งใจนะ ว่าจะจบยังจบไม่ได้ เรื่องยังมี การทำข้อวัตรปฏิบัติในพรรษานี้บิณฑบาตรับเฉพาะของในบาตร พอเข้าถึงเขตวัดแล้วก็งด ธุดงค์ข้อนี้รับบิณฑบาตที่เขามาใส่นอกเขตนอกแดน ถึงเขตแดนแล้วหยุด แล้วฉันมื้อเดียว เราฉันมื้อเดียวอยู่แล้ว ให้ฉันในบาตรๆ อย่าให้ได้เห็นนะ เราไปในวัดในวาไปที่ต่างๆ เห็นพระกรรมฐานเรา ไปร่วมฉันด้วยกัน นี้ดูจริงๆ นะดูคน ดูพระนั่นละมาก ประชาชนไม่ต้องดูมันก็รู้แล้ว ทีนี้ดูพระอีก เฉพาะอย่างยิ่งพระพวกกรรมฐานเราเป็นยังไง ไปดู การขบการฉันเป็นยังไง ตาสอดแทรกดูหมด ใครไม่รู้ว่าดูนะ ดูจนตับนู่น ให้มันชัดเสียบ้าง

วันนี้เปิดเสียบ้าง พวกพระเรานี้ไปบิณฑบาตมาขบมาฉัน เป็นบ้ากับลิ้นกับปาก กับท้องกับอาหารการกิน ลืมธรรมไปหมด ในกิริยาอาการของการขบการฉัน จนเกิดความสลดสังเวช มันเป็นบ้าขนาดนี้เชียวเหรอ พระนี่เห็นแก่ลิ้นแก่ปาก เห็นแก่ท้อง เห็นแก่อาหารการกินยิ่งกว่าธรรม ดูลักษณะเวลานั้นไม่มองดูธรรมเลย มองดูตั้งแต่อาหารการกิน สลดสังเวชนะ เออ ฉันลงไปก็เอาช้อนฟาดลงไป ฉันลงไปเป็นแบบขุนนางเข้าอีกนะ ฉันในบาตรนี้แล้วยังไม่แล้ว เอาช้อนตักลงไปในบาตร ซดกึกๆ โอ๊ย ยิ่งหนักเข้าไป สลดสังเวชนะ กรรมฐานฉันช้อนในบาตร มันดูได้หรือ

ขอพูดให้ฟังว่า พ่อแม่ครูจารย์พูด เราฝังกึ๊กใจเราตั้งแต่บัดนั้นจนกระทั่งป่านนี้ไม่เคยฉันช้อนนะ นอกจากเวลาเฒ่าแก่ชรามานี้ก็ทำไปบ้าง อย่างที่เราขอร้องพ่อแม่ครูจารย์ ท่านก็ทำให้บ้าง แต่ใครอย่าไปตำหนิท่าน ทุกสิ่งทุกอย่างท่านตักตวงมาเต็มหัวใจ เป็นมรรคผลนิพพานล้นโลกแล้ว ท่านพูดให้ฟังว่า พระกรรมฐานเรานี้น่ะ ท่านสอนพระนะ เวลาฉันจังหันนี้ ฉันในบาตร ขอให้รู้ให้เห็นความเป็นภัย อย่าเห็นตั้งแต่อาหารนั้นดี อาหารนี้ดี ตะกละตะกลามใช้ไม่ได้ ฉันในบาตรก็ให้ฉันด้วยสติปัญญา ให้เห็นคุณค่าของธรรม อย่าไปเห็นคุณตั้งแต่อาหารการกิน นั้นมันคือโทษ คือความนอนใจ

แล้วการฉันในบาตร ยังเอาช้อนตักในบาตร ฉันซดโก้กๆ เข้าอย่างนี้ โอ๊ย เราเป็นแล้วท่านว่างั้น มันสะเทือนใจเจ้าของ พระธรรมท่านว่าอย่างนั้น ภาวนาอยู่นี่เวลาไปฉันในบาตร ก็เห็นเพื่อนฝูงฉัน ซดในบาตรมาตำตาเรา สะดุดหัวใจเรา เออ ฉันนี้ก็ฉันพอยังอัตภาพให้เป็นไป ไม่ได้ฉันเพื่อยศเพื่อลาภ เพื่อสรรเสริญเยินยอ แบบโลกๆ ลาๆ ฉันโก้ฉันเก๋อย่างนั้น ฉันพอยังอัตภาพให้เป็นไป แล้วจำเป็นอะไรจะต้องเอาช้อนไปตักลงในบาตร รวมในบาตร พิจารณาดูของปฏิกูลนั้นแล้ว เราจะหาช้อนมาประดับอะไรอีก นี่เห็นพระท่านฉันช้อน ซดโก้กๆ พระกรรมฐานเรานี้ ลืมตัวขนาดไหน ท่านไปเห็นแล้ว ท่านบอกสลดสังเวช ท่านว่างั้น ท่านไม่เคยฉันเลย นั่นเห็นไหมล่ะ

เราก็ดูตั้งแต่ไปอยู่ทีแรก ไม่เห็นท่านฉันช้อนเลย พอท่านว่าอย่างนั้นถึงหัวใจตั้งแต่วันนั้นมา ไม่เอา ฉันช้อนในบาตร ซดโก้กๆ ให้ท่านทั้งหลายจำเอานะ การพูดมานี้พูดสอนคน เอาให้มันหนักๆ กว่านี้ ไม่ใช่พูดสอนหมานะ พระเรา ผู้สอนก็ไม่ใช่หมา ผู้ฟังก็เป็นคนเป็นพระไม่ใช่หมา คนสอนคน พระสอนพระ ขอให้ฟังอรรถธรรมของพระพุทธเจ้าที่นำมาสอน ธรรมนี้เป็นธรรมที่คู่ควรแก่เราผู้เป็นนักบวชเพื่อมรรคผลนิพพานจะฟังให้ถึงใจ นำไปประพฤติปฏิบัติให้ถึงจิตถึงใจ ตักตวงเอามรรคผลนิพพานเข้าสู่ใจ ไปที่ไหนโลกวิทู รู้แจ้งโลกหมดเลย

เอาละเทศน์วันนี้ก็เห็นว่าสมควรแก่กาลเวลา บรรดาประชาชนทั้งหลายก็มาฟังเทศน์กันมากวันนี้ ให้นำไปประพฤติปฏิบัติ เทศน์สอนพระสอนคน คนมีกิเลสถูกบีบบี้สีไฟจากกิเลสด้วยกัน เอาอาวุธคือธรรมนี้นำไปแก้ไขดัดแปลงตนเอง เราจะได้มีความสุขความเจริญตามขั้นตามภูมิของเรา เอาละการแสดงธรรม ก็เห็นว่าสมควรแก่กาลเวลา ขอความสวัสดีจงมีแก่พี่น้องทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญ 

พูดท้ายเทศน์

เหนื่อยเทศน์ไปเทศน์มา มันเน้นเข้าเรื่อยก็เลยเหนื่อย ธรรมะยังไม่พอนะในวันนี้ แต่ธาตุขันธ์มันไม่อำนวยแล้ว ธาตุขันธ์อ่อนลงจะไปไม่ได้เลยหยุด ธรรมะที่จะมาสอนนี้ ยังไม่ทั่วถึง ให้สมกับว่านานๆ มาประชุมทีหนึ่ง แต่ธาตุขันธ์มันไม่อำนวยซิ

ไปอยู่กับพ่อแม่ครูจารย์มั่นเรานี้ โอ้ อำนาจแห่งธรรมนี้สำคัญมาก เป็นเครื่องดึงดูดจิตใจของผู้ไปศึกษาอบรมกับท่านได้เป็นอย่างดี นิพพานเหมือนอยู่ชั่วเอื้อมๆ อยู่กับท่านนะ ดูพระองค์ไหนๆ ก็ดี มีท่านเป็นหัวหน้า เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรอันใหญ่หลวง บรรดาพระเณรทั้งหลายที่มุ่งหน้าต่ออรรถต่อธรรมอย่างยิ่งไปอยู่กับท่าน มององค์ไหนนี้เหมือนผ้าพับไว้ๆ นี่เราก็เคยพูดให้หมู่เพื่อนฟัง เราไปทีแรก ไปแล้วก็ดูพระดูเณร เณรไม่มีละ ดูแต่พระ กับท่าน ท่านไม่รับมากนะ ๘ องค์ ๙ องค์ เป็นอย่างมาก นี่เรียกว่าท่านรับมากที่สุดในสมัยนั้น มาแก่นี้มันก็จำเป็น ไหลเข้ามาทางนั้น ไหลเข้ามา ก็มากกว่านั้นอีก

แต่ก่อนท่านอยู่องค์เดียว สององค์ พระที่อยู่กับท่าน ๑ องค์อยู่กับท่าน นอกนั้นไล่ออกไปอยู่ข้างนอก ท่านไม่ให้มาอยู่ใกล้ท่าน นี่ท่านอาจารย์ฝั้นเล่าให้ฟังด้วย สำหรับท่านก็เล่าบ้างยิบๆ แย็บๆ ไม่ละเอียดทั่วถึง แต่ท่านอาจารย์ฝั้นเล่านี้แหม ละเอียดมากทีเดียว ท่านเล่าละเอียดมาก เพราะควรที่จะได้ละเอียด ถ้าท่านพูดเฉพาะท่านเอง มาพูดนี้ โลกของเขามันก็มีสมมุติ สมมุติจะแย่งไปกินกันหมด หาว่าท่านโอ้ท่านอวด เข้าใจไหมล่ะ ท่านก็กลัวโลกจะเป็นภัย ท่านก็ไม่พูดเสีย แต่ท่านอาจารย์ฝั้นมาพูดนี่ซิมันน่าฟัง

ไปอยู่กับท่าน โอ๊ย เอาจริงๆ นะ เรียกว่าเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ความรู้ของท่านภายในใจร้อยเปอร์เซ็นต์ ท่านนำออกใช้แก่ผู้ปฏิบัติใกล้ชิดกับท่าน ไปนั่งคุยกันที่ไหน นั่นน่ะฟังซิ ลงไปท่าน้ำหรือแอ่งน้ำ อยู่ในภูในเขา มี ๒ องค์ ๓ องค์ บางทีก็มีพระอยู่ทางอื่นมีแห่งละองค์ ๒ องค์ ทีนี้เวลาไปคุยกันในท่าน้ำท่านว่า ไปอาบน้ำในแอ่งหินอะไร เรื่องราวอะไรๆ นี่ คิดว่าจะไปเที่ยวทางโน้น ปรึกษากันเรื่องไปเที่ยว อันนี้ที่เร็วมากที่สุดเลย รวดเร็วมาก ไหน พอขึ้นไปนะ ไหน จะไปเที่ยวที่ไหน เอาแล้วนะ คือถ้าไม่ดีท่านก็บอกไม่ดี สู้ที่นี่ไม่ได้ ท่านบอกเลย ทางนั้นไม่ต้องพูดอะไร พูดกันกระซิบกระซาบกันอยู่ในเหวโน่น ท่านนั่งอยู่นี้ ท่านได้ยินแล้ว ดีอะไรสู้นี้ไม่ได้ ท่านว่าอย่างนั้น

อะไรพูดที่ไหนถ้าไม่ควร ท่านจะบอกทันที โดยเราไม่ได้พูดอะไรกับท่าน ว่างั้นนะ เพียงกระซิบกระซาบกันบ้าง คิดจะไปเที่ยวตรงนั้นตรงนี้ เอาละคอยฟัง พอไปนี้ก็เปรี้ยงแล้ว นั่นเห็นไหม ตาทิพย์ก็มี หูทิพย์ก็มี อย่างที่พวกเขาว่าท่านเป็นเสือเย็น นั่นก็เขาพูดอยู่ในบ้านเขา เก่งไหม อาจารย์มหาทองสุกนี่ละไป คู่เป็นคู่ตายกัน ไป นี่ท่านมหา เรามาว่าจะมาพักที่นี่เห็นว่าสะดวกสบายกับพวกมูเซอเขา เห็นว่าเป็นที่สะดวกสบาย แต่ทำไมเขาถึงเป็นอย่างนี้ เขายังไม่เคยเห็นพระก็เห็นใจเขา ฟังซิ กลางคืนเขาประชุมกัน มี ๔-๕ หลังคาเรือนประชุมกัน นี่เสือเย็นมาอยู่ที่นี่แล้ว ๒ ตัว ไม่ได้ว่าพระ ๒ องค์ ๓ องค์ มีเสือเย็นมาอยู่นี้ ๒ ตัว เราต้องระมัดระวังนะ

เสือเย็นหมายถึงว่า พระที่เป็นภัยเป็นอันตรายต่อบ้านของเขา ความหมายว่าอย่างนั้น แล้วก็บอกกับบ้านของเขาเองนั่นละ ท่านอยู่ในป่า ท่านจะไปสนใจอะไรพูดกับเขา พอตื่นขึ้นมา นี่ท่านมหา เราก็ตั้งใจว่าจะอยู่ที่นี่สะดวกสบาย ไม่ได้เป็นกังวลกับผู้ใดๆ อันนี้เรื่องก็เกิดแล้ว ถ้าเราไปจากที่นี่ พวกนี้ตายแล้วจะเป็นสัตว์เป็นเสือไปหมด เวลานี้เขากำลังยกโทษเราอย่างแรง เขาไม่พอใจให้ไปอยู่ที่นั่น เสือเย็นมาอยู่ที่นี่ ห้ามไม่ให้ผู้หญิงไปแถวนั้น ส่วนผู้ชายให้ไปดูลาดเลา เสือเย็นนี้ทำอะไรกันอยู่ ให้ไปดู จัดคนไปดูวันละสามคนๆ ไปดูก็ไม่มีอะไร

จอมโง่กับจอมปราชญ์ จอมปราชญ์ก็คือท่าน จอมโง่ก็คือเขาเอง ไปดูก็ดูอ้าปากอย่างนี้ใช่ไหมล่ะ ไปดูจอมปราชญ์ เวลาเขาไปท่านไม่สนใจนะ เพราะรู้เต็มหัวใจแล้วว่าเขากำลังถือเราว่าเป็นภัย พูดอะไรเขาจะถือเป็นภัยหมด จะแสดงออกไม่ได้ แน่ะท่านระวังหมด คือแสดงอะไรออกไปนี้เขาจะถือว่าเป็นภัย เวลานี้เขาไม่ถือเป็นคุณ เขาถือเป็นศัตรูของเขา เอ้า ทนไปท่านมหา สงสารพวกนี้ อยู่ๆ เขาก็จะตกนรก บอกตรงๆ เลย ถ้าหากว่าเราไปเสียตามความเคียดแค้นของเขานี้ ตายแล้วจะไปเป็นสัตว์เป็นเสือ ไปตกนรก ให้ทนเอานะ ทนเอาเขาจะมีวันฟื้น ฟังซิ ตอนนี้เขากำลังทรุดลงมาก เราต้องช่วยฟื้นเขา ด้วยการทนอยู่เอาอย่างนี้แหละ ไปบิณฑบาตได้อะไรเขาให้อะไรก็ทนเอา ฉันเอา ได้เท่าไรก็ฉันเท่านั้นแหละ แต่บิณฑบาตเขาก็ให้อยู่แหละ พอได้ฉันก็เอาท่านว่า

พอตอนบ่ายตอนเย็นเขาก็มา ท่านก็ทำหน้าที่ของท่าน สถานที่อยู่ กลด แขวนกลด ใบไม้เขาเรียกใบอะไร ใบกุงใบพวงอะไรที่มันร่วงหล่นลงมา ท่านเอามาเย็บมุง ไม่ได้ทำลายต้นไม้นะ ท่านก็ทำของท่านอย่างนั้น ที่นี่เขาก็มาดูทุกวันๆ ท่านพูดเองนะ เราจึงพูดได้เต็มปากของเรา เวลาท่านมีโอกาส ท่านไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตาจะพูดเรื่องเขานะ คือพูดไปๆ มันผ่านไป ในป่าในเขา ในที่นั่นที่นี่ มันก็เลยไปสัมผัสพวกนี้ ทีนี้พอตอนเย็นเขาก็ให้คนของเขาละมาดู วันละ ๓ คน ผู้ชาย ผู้หญิงเขาห้ามขาดไม่ให้ไป เพราะเสือเย็นนี้เป็นอันตรายมาก เขาก็มาดูๆ

ท่านอยู่นานพอสมควร ทีนี้หัวหน้าเขาก็ถาม เป็นยังไง ผู้ไปดูเสือเย็น ๒ ตัวนั้นน่ะ เขาไม่ได้ว่าพระนะ เสือเย็น ๒ ตัว ไปดูเสือเย็น ๒ ตัวนี้เป็นยังไง คือเวลาท่านอยู่ เวลาเขามาเขาก็เซ่อๆ มาตามประสาของเขา ท่านก็เดินจงกรมของท่านไม่มองใคร บางทีก็นั่ง บางทีก็เดินจงกรม ไม่สนใจ ไม่พูด เพราะพิษมันคอยแต่จะออกอยู่ตลอดพวกนั้น ท่านจะแสดงอาการอะไรไม่ได้ มันจะแสลงหัวใจเขา ขนาดนั้นท่านบอก รักษาหัวใจคนท่านว่างั้นนะ เพราะท่านรู้อยู่ตลอดทางนู้นคิดยังไง

ที่นี่ดูไปนานเข้าๆ หัวหน้าก็เลยถาม มันคงจะมีคนหนึ่ง คนนั้นคงจะเคียดแค้นมาก แต่มันไม่อาจพูดเฉยๆ พอได้โอกาสแล้วก็พูดในวันนั้นเวลานั้น เป็นยังไง พวกเจ้าไปดูเสือเย็น ๒ ตัวนั้นได้ผลอย่างไรบ้าง ไปดูมาแล้วเป็นยังไง คือจัดให้ไปดูทุกวันๆ ไปดูเหตุการณ์เสือเย็น มันจะเคลื่อนไหวไปกินวัวกินควายที่ไหน มากินตับกินปอดประชาชน พวกขมุมูเซอตับไหนบ้าง ความหมายว่าอย่างนั้น ทีนี้คนหนึ่งมันคงจะเคียดแค้นมาก มันก็ผางออกมาเลยอย่างรุนแรง แล้วเป็นยังไงไปดูเสือเย็น จะเป็นยังไง มันก็ว่าอย่างนี้แหละ พูดอย่างแรงๆ เลย ในวงบ้านของมัน เสือเย็นท่านจะเป็นอะไร ขึ้นท่านนะ ก็เราเสียเองจะไปตกนรก

เขาก็รู้นรกเหมือนกันนะ ท่านว่า เขาก็รู้นรกเหมือนกัน ดีไม่ดีพวกเราจะตกนรกหมดนะ ไปดูทีไรท่านสนใจกับเราเมื่อไร ท่านเดินของท่าน นั่งก็หลับหูหลับตานิ่ง แล้วคนจะเป็นภัยต่อโลกต่อสังคมจะเป็นอย่างนั้นเหรอ ท่านไม่ได้สนใจกับเราเลย แล้วจะมีแง่ไหนว่าจะเป็นภัยต่อพวกเรา ไปเห็นท่านนั่งหลับตาเฉย ไม่พูดไม่คุยกับเราเสียด้วย เหมือนไม่มีคน ไปหาท่านก็เหมือนไม่มีคน ท่านไม่สนใจ เขาบอกอาจารย์มหาทองสุกแบบเดียวกัน เพราะท่านรู้ไว้หมด นี่ละรู้ภายใน นั่นละท่านเก่ง พ่อแม่ครูจารย์เวลาท่านออกใช้ภายใน

ที่นี่กลับมาก็พูดอย่างนั้นละ ไปทีไรก็เห็นท่านอยู่อย่างนั้น กิริยาของเสือเย็นจะเป็นอย่างนี้เหรอ เป็นไปไม่ได้ ไม่ใช่เสือเย็น ดีไม่ดีพวกเราจะตกนรก เป็นยังไงไปถามท่านดูซิน่ะ คนนี้แหละคนที่พูดบ๊งๆ มันโมโหละท่า ไปถามท่านดูซิน่ะ มาเพราะเหตุผลกลไกอะไร มันก็ได้เรื่องได้ราว นี่ไปดูเฉยๆ ดีไม่ดีตกนรกนะ เออ เขาก็รู้นรกเหมือนกัน ท่านว่า ถ้าอย่างนั้นก็เอาอย่างนี้ละ ให้ไปถามดู มาถาม

นี่ละที่นี่จอมปราชญ์จะสอนจอมโง่ กำลังจะตกนรกอยู่นั่น เขาก็มาหาจริงๆ มาหาก็อย่างจอมโง่ มาหาจอมปราชญ์ว่าอย่างนั้นเถอะ ดูทั้งนอกทั้งใน เป็นยังไงตุ๊เจ้า สบายดีเหรอ สบายดีอยู่ท่านก็ว่างั้น ท่านพูดเฉพาะคำๆ เมื่อยังไม่ถึงโอกาส ธรรมท่านเปิดไว้หมดแล้ว ท่านเตรียมพร้อมไว้แล้ว นั่นละจอมปราชญ์ เวลาโง่แสดงให้โง่ที่สุด มาอยู่นี้เป็นยังไงสบายดีหรือ สบายดีอยู่ แล้วตุ๊เจ้ามานี้ทำอะไร เดินกลับไปกลับมานั่นแหละ เดินหาอะไร แล้วที่นั่งหลับตาอยู่นั่น นั่งหาอะไร

ทีนี้ได้โอกาสแล้วนะ นั่งหาพุทโธ พุทโธหาย นั่นเห็นไหม ขึ้นแล้วนะ พุทโธเป็นยังไง เขาก็สนใจละซิ พุทโธเป็นอย่างนั้นๆ มันสว่างไสวเป็นดวงๆ ท่านเอาแค่นี้ก่อน เป็นดวงยังไง จะเป็นขึ้นที่นี่ แต่เดี๋ยวนี้เรายังหาไม่เจอ หากอยู่ที่นี่ละ ใกล้ชิดกับเรานี้แหละท่านว่า กำลังหา จะให้เจอพุทโธ เขาก็ยิ่งสนใจละที่นี่ ที่ว่ามาจับพิรุธเราหายแล้วนะ เขาสนใจ ทางนี้ได้โอกาสก็สอน พุทโธๆ เป็นยังไง โอ๊ย พุทโธเป็นดวงใสสว่างกระจ่างแจ้งภายในใจ ถ้าปรากฏว่าเราไปเจอก็จะเจอที่ใจนั้นแหละ อย่าไปหาที่ไหน ให้หาที่ใจ ท่านก็ให้พุทโธ

ตุ๊เจ้ายี่ หัวหน้าบ้านเขา ไปทำได้เห็นก่อนเพื่อนนะ พอไปทำตามที่ว่า คือพวกนี้ถ้าว่าตรงมันตรงจริงๆ ซื่อก็ซื่อจริงๆ เซ่อก็เซ่อจริงๆ บอกยังไงมันก็เชื่ออย่างนั้น มันก็ไปทำ ตุ๊เจ้ายี่ขึ้นเป็นผลก่อนเพื่อน พอไปทำจิตมันลงจริงๆ ดังท่านสอนนั่นละ ท่านก็เห็นนิสัยของเขาท่านถึงอุตส่าห์อยู่ ที่นี่พอสว่างจ้าขึ้นมานี้ จิตพุ่งไปหาเสือเย็นเลย หาเสือเย็นคือพ่อแม่ครูจารย์มั่นตัวหัวหน้าเสือเย็น มี ๒ องค์ พุ่งไปที่ไหนได้สว่างจ้าครอบหมดเลย โถ เสือเย็นยังไง สลดสังเวช นี่จิตมันไปเห็นนะ มันไม่ได้เป็นเสือเย็น สว่างครอบไปหมดโลกธาตุ เสือเย็นทำไมเป็นอย่างนี้ โหย ไม่ใช่พวกเราจะจมไปหมดนะ ตกนรก ไม่ใช่เสือเย็นนะนี่ ผู้วิเศษขึ้นเลยที่นี่ เขาบอกว่าผู้วิเศษ

แต่องค์อื่นเขาไม่ถาม ไม่พูด พูดองค์เดียว อาจารย์มหาทองสุกเขายังไม่ถาม แต่เวลาเขาถามก็น่าฟังเหมือนกัน เวลาเขาตอบนะ ถามเขาละซิ มันก็ดื้อปาก อย่างหลวงตาบัวนี้จะถามแน่ๆ  ท่านก็ต้องถาม แกพูดถึงเรื่องนี้ก่อน ว่าจิตของตุ๊เจ้าหลวงนี้ สว่างครอบไปหมดเลย มันเสือเย็นอะไรอย่างนั้น ของวิเศษวิโส เห็นแล้วๆ ประกาศบอกกันเลย พอเขามาหาท่าน ท่านก็สอนะที่นี่ นั่นเห็นไหมล่ะ ทีนี้ท่านสอนเต็มเม็ดเต็มหน่วยหมด ต่างคนต่างไปทำ โหย ที่นี่ไอ้ที่อยู่นั้นเหมือนที่อยู่ของสัตว์นั่นแหละ เขามาทำให้หมด ทั้งทำทั้งตำหนิ ไอ้นี้ก็เหมือนโรงหมูโรงวัว เหมือนสัตว์นอนอยู่อย่างไรก็นอน นั่งอยู่อย่างไรก็นั่ง ทั้งตำหนิทั้งทำให้นะ เขามาทำให้ดีเรียบเลย ตำหนิแล้วก็ทำให้ดี ท่านก็บอก โอ้ ก็อยู่ไปอย่างนั้นแหละ ท่านก็ว่าอย่างนั้น ทีนี้เรียบหมดเลยนะ ลงหมดบ้านเลย

ตุ๊เจ้ายี่มันรู้จริงๆ นะ รู้ใจ มันรู้กระทั่งสัตว์มันมาเล่าให้ท่านฟัง สัตว์พวกหมูมากิน มันไปเห็นกระทั่งหมู กินอยู่ในสวนมันในไร่มัน หมูป่านะ มากินเผือกมันในไร่มัน มันก็เพ่งไฟเผาเอา มันมาเล่าให้ฟัง เพ่งไฟเผา หมูก็เลยขี้ทะลักออก มันเล่าตรงๆ คนอย่างนี้น่ะ ตรงไปตรงมา หมูขี้ทะลักออกเลย คือมันกินอะไรนั่นแล้ว เราก็เพ่งไฟเผามัน ตัวตุ๊เจ้ายี่นะ แกเพ่งเผานี่ขี้ทะลักออกเลย ตอนเช้าไปดู ไปดูก็เห็นจริงๆ เชื่อแล้วเชื่อความรู้นั่นน่ะ แต่ตอนเช้าเอาพยานอีกทีนึง ไปดู ไปดูก็เป็นจริงๆ ขี้ราดไปตามนั้น เลยมาเล่าให้ท่านฟัง อู๊ย อย่าทำอย่างนั้นนะ ท่านสั่งสอนเลย อย่าไปทำอย่างนั้นไม่ได้นะ ท่านว่าตกนรกนะ

นรกเขากลัวอยู่นะ อย่าไปทำอย่างนั้น เขากินก็ให้เขากินเสีย ปล่อยให้เขากิน เขาไม่มีที่กินเขาก็มาหากินตามประสาของเขา เขาไม่มีเจตนาร้ายกับผู้ใดแหละ เขาหากินตามประสาของสัตว์ เรามีปัญญากว่าเขา เขาจะมากินก็กิน อันไหนที่เราจะกินก็รีบเก็บมาไว้เสีย ไอ้ไหนที่ควรจะให้เขากินก็ให้เขากินไป สงสารเขาอะไรก็ว่าไป คนมีความสงสารตายไปแล้วขึ้นสวรรค์ แน่ะ ท่านสอนอย่างนั้นนะ คนไปทำลายเขานี้ ตายแล้วตกนรก

นี่เห็นไหมจอมปราชญ์เวลาออกออกได้ทุกแง่ทุกมุม ลงหมดบ้านเลย ทีนี้อะไรดีหมดทุกอย่าง ลงกันหมดทั้งบ้านเลย ตุ๊เจ้ายี่มันรู้จริงๆ ดูจนกระทั่งจิตใจของใคร มันรู้หมด มันบอกตรงๆ อย่างนี้นะ มันพูดอย่างนี้ละพวกนี้ มันซื่อมันเซ่ออะไรก็แล้วแต่ มันเห็นหมดจิตใจของใคร เศร้าหมองผ่องใสยังไงเห็นหมด แต่จิตตุ๊เจ้าหลวงนี้ โอ๊ย ครอบโลกธาตุ จ้าไปหมดเลย มันว่างั้น นี่ละลงกันหมดเลย

ทีนี้ก็เอาอีกนะ พอเขาลงเรียบร้อยแล้ว ก็พอดีท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ ไปนิมนต์ท่านอาจารย์มั่น มาวัดโพธิสมภรณ์ มาอุดรฯ นี่ละเรื่องราวมัน ที่นี่จะมาลาเขา เขาไม่ยอมให้มา แหมเหมือนเด็กนะว่างั้น นี่ก็ทุกข์แสนสาหัสเหมือนกัน เขานั่งเฝ้าหมด เขามีกี่บ้านหลังคาเรือน มาหมด เด็ก ผู้ใหญ่ มาลาเขาแล้ว เขาแตกบ้านมาเลย เขามาทำกระต๊อบให้อยู่ ให้นั่งฉันจังหันก็มี ที่พักก็มีเรียบร้อยแล้ว ทีนี้เวลาจะไป ลาเขาละที่นี่ เขาแตกมาทั้งบ้านเลย เขาไม่ให้ไป เขาว่าอย่างนี้เลย เฮาจะเผาเองเผาตุ๊เจ้าน่ะ ไฟเฮาก็มีว่าอย่างนี้นะ เขาบอกไฟเฮาก็มี เฮาจะเผาเอง เอาดีนะ แล้วก็เถียงกันอยู่นั่นละ ท่านก็พูดมีเหตุมีผลให้เขาฟังหลายอย่างๆ เออ ตุ๊เจ้าอู้นี่ก็น่าฟังนะ เอ้อ ให้ท่านไปเสีย ให้ท่านไป

พอไปเขาก็จ่ออยู่ พอเตรียมของลง ตั้งแต่ฉันจังหันแล้วจนบ่าย ไม่ตกลงกัน พอตกลงแล้ว พอท่านเอาบริขารอะไรต่ออะไร เขาก็ขนบริขาร ไปๆ ลากเอาจีวรกลับมา เฮาบ่ฮื้อไป ลากกลับคืนมาที่เก่า มาสอนอีกของเก่านั่นแหละ พูดพอเขาลงใจแล้ว เอ้อ ให้ท่านไปเสีย ครั้นไปอีกก็จ้ออีก พอไปก็ไปลากกลับมาอีก ไม่ยอมให้ไป เหมือนเด็ก ร้องห่มร้องไห้ไม่ยอมให้ไป เอาเสียจนบ่ายถึงได้ออก ท่านว่า นี่ละเวลาเขาได้ติด แล้วติดจริงๆ ร้องห่มร้องไห้ทั้งบ้านเลย ท่านเล่าให้ฟังถึงเรื่องพวกที่ตำหนิท่านว่าเป็นเสือเย็น เราพูดอะไรมาหาเสือเย็น ลืมแล้วนะ

นี่ท่านเล่าเองนะ มันถึงชัดเจน อะไรท่านเล่าเองแม่นยำ จากนั้นมาก็เลยไม่กลับไปจริงๆ พอมาทางอุดรฯ นี้เลยไปสกลฯ ก็ไปเสียที่สกลฯ เลยไม่กลับไปอีก เสียดายนะสงสารเขา ที่เขาร้องห่มร้องไห้ ไม่ว่าผู้ใหญ่ผู้น้อย ร้องห่มร้องไห้กันทั้งบ้านเลย เวลาเขาได้ติดได้พันแล้ว โอ๋ย เอาจริงๆ นะ ลงไปนี้กี่ครั้งกี่หนไม่นับ พอลงไปนี่ฮึบ ลากท่านกลับคืนมาอีก เฮาบ่ฮื้อไป ท่านก็อนุโลมผ่อนผันสั้นยาว เขาก็ลงใจ เอาอีก เอาให้ท่านไปเสีย พอไปก็รุมรอ พอไปก็ฮึบเอาอีกอยู่อย่างนั้น กว่าจะได้ไปตั้งบ่ายท่านว่า นี่ละเขาลงใจ

ตุ๊เจ้ายี่รู้จริงๆ รู้ใจคน รู้จริงๆ คนนี้ละเป็นตัวตั้งตัวตีอยู่ในบ้านนั้น ลงหมดทั้งบ้านเลย จิตใจใครเห็นหมด ตั้งแต่สัตว์อยู่ในป่าแกก็ยังเห็น คิดดูซิ ใจคนนี้เป็นยังไงเห็นหมด ใจใครเศร้าหมอง ใจใครมืด ใจใครสว่าง เห็นหมด นั่น แกเก่งขนาดนั้น ตุ๊เจ้ายี่เป็นผู้ใหญ่บ้านเขา หัวหน้าเรียกตุ๊เจ้ายี่ เป็นยังไงที่นี่ ก็มีเท่านี้ละมัง พูดอะไรก็หมดแล้ว หมดไส้หมดพุงแล้ว ไม่มีอะไรเหลือแล้ว

วันนี้ก็วันอธิษฐานพรรษา ให้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ ข้อวัตรปฏิบัติให้เคร่งครัด ให้มีศาสดา ธรรมวินัยประจำตนตลอดเวลา ไปที่ไหนให้มีศาสดาติดตัวๆ อย่าไปเพ่นๆ พ่านๆ ใช้ไม่ได้นะ ให้มีธรรมมีวินัย มีสติติดตัว เท่ากับตามเสด็จพระพุทธเจ้าตลอดเวลา ศาสดาอยู่ที่หัวใจ มีสติมีความพากเพียรนะ ไม่อยู่ที่ไหน อยู่ที่นี่ เวลาจ้าขึ้นก็ขึ้นที่นี่เลย ถามพระพุทธเจ้าที่ตรงไหนว่างั้น ถามไม่ได้เลย มันเป็นน้ำมหาวิมุตติ มหานิพพานอย่างเดียวกันหมด ถามตรงไหนเป็นอันเดียวกันหมด พระพุทธเจ้ามีกี่องค์ถามหาอะไรนั่น เวลามันจ้าขึ้นมาแล้วเป็นอย่างนั้น เวลามันมืดมันไม่เห็นนี่ เวลาจ้าขึ้นมาแล้ว น้ำมหาวิมุตติมหานิพพาน กว้างแคบขนาดไหน พระพุทธเจ้ามีกี่องค์ ถามหาอะไร มันเป็นอันเดียวกันหมด

นั่นถึงขั้นที่ไม่ต้องถาม ไม่ต้องถาม พุทธะทั้งหลายที่ว่าเป็นรูปร่างเป็นอันหนึ่ง แต่ธรรมชาติที่บริสุทธิ์ มันเป็นน้ำมหาวิมุตติ มหานิพพานเหมือนกันหมดเลย พากันจำเอานะ ตั้งใจปฏิบัติ เอาละพอ เอา พากันกราบเสีย ตั้งใจปฏิบัติ อย่าให้มีเรื่องมีราว วัดนี้ตั้งแต่สร้างวัดมา ไม่เคยมีเรื่องมีราวนะ ดูหัวใจมันกระดิกพลิกแพลงไปทางไหน มันผิดไปที่ใจ ตีอันนี้ปั๊บมันระงับทันทีเลย ถ้าส่งไปตามมันแล้ว ไปใหญ่นะ เอาละ เอากราบเสีย

 

รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th

และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน  FM 103.25 MHz

และเครือข่ายทั่วประเทศ


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก