เป็นพระอรหันต์ทำไมน้ำตาร่วง
วันที่ 17 มิถุนายน 2545 เวลา 7:30 น. ความยาว 25.41 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :

เป็นพระอรหันต์ทำไมน้ำตาร่วง

วันที่ ๑๖ เมื่อวานนี้ทองคำได้ ๑๔ บาท ๒๖ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๑๐ ดอลล์ วันนี้ก็เริ่มแล้ว (มีผู้มาถวายทองคำและดอลลาร์) วันนี้วันที่ ๑๗ ทองคำได้ ๑๖ บาท ดอลลาร์ได้ ๒๕๐ ดอลล์แล้ว

ลูกศิษย์ : หลวงตาคะ วันนี้มีชาวอินโดนีเซียมาอีก ๓ คน เขาถวายเงินไทย ๒๐,๕๐๐ บาท เงินดอลลาร์บราซิลอีก ๕,๐๐๐ ดอลลาร์บราซิล มีค่าเท่ากับ ๒,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ

หลวงตา : เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นะ อินโดนีเซียเห็นมากันเพิ่มเข้าไปเรื่อย ทีแรกเห็นชื่อว่าไง จำไม่ได้ (สันติ ค่ะ) อ๋อ สันติ มีแต่เรียกอินโดนีเซียเลย

ทองคำตอนเช้านี่ได้ ๑๕ บาท ๑๒ สตางค์ แล้ว

กฐินปีนี้ทางบรรดาลูกศิษย์ลูกหาพิจารณากันยังไง

ผู้กำกับ : ให้ท่านนายกฯเป็นประธาน ลูกศิษย์ช่วยกัน วันเสาร์ที่ ๒๖ ครับ

หลวงตา : วันเสาร์ที่ ๒๖ ตุลาคม นายกฯจะมาเป็นประธาน ตอนเช้าขึ้นเครื่องบินมาน่าจะเหมาะ เช่น ๙ โมงเข้ามาถึงที่นี่

ลูกศิษย์ : มาอีก ๑ บาทเป็น ๑๖ บาทแล้วครับ

หลวงตา : กฐินปีนี้วันเสาร์ที่ ๒๖ ตุลา เช้า ฉันเสร็จแล้วก็เริ่ม พอเสร็จพิธีในวัดนี้แล้วบรรดาลูกศิษย์ลูกหาก็จะแตกกระจายออกไปตามวัดต่าง ๆ ทั่วภาคอีสาน บรรดากรรมฐานอยู่ที่ไหน ๆ เริ่มตั้งแต่วันทอดกฐินผ่านไปแล้ว ตั้งแต่เที่ยงไปเรื่อยออกวัดนั้นวัดนี้ พอวันที่ ๒๗ เรียกว่าทั้งวันเลย ถวายวัดนั้นวัดนี้ ตอนเย็นจะกลับก็กลับกันได้ วัดนี้เป็นวัดปฐมฤกษ์ทุก ๆ ปี พอทอดวัดนี้แล้วก็แตกกระจัดกระจายออกไปวัดต่าง ๆ แล้วก็กลับกรุงเทพ

เราก็พยายามเต็มที่นะ พยายามเพื่อพี่น้องทั้งหลาย ประหนึ่งว่าหลวงตานี้เป็นทุคตะเข็ญใจไปหากวนบ้านกวนเมืองนะ หาขอที่นั่นที่นี่ ลักษณะเป็นอย่างนั้น ถ้าเป็นอย่างที่เราประกาศอยู่ทุกวัน หาขอทานจากบรรดาพี่น้องทั้งหลายด้วยความจนตรอกจนมุมของเรา ความรู้สึกของคนทั้งหลายจะเป็นอย่างนั้นนะ แต่ความจริงแล้วท่านทั้งหลายรู้ไหมว่า อำนาจแห่งความเมตตาของหลวงตานี้ครอบไปหมดโลกธาตุ เพื่อจะได้นำมาซึ่งสิ่งที่เป็นสิริมงคลจากบรรดาพี่น้องทั้งหลายเข้าสู่คลังหลวง ซึ่งเป็นมหามงคลแห่งชาติไทยของเรา นี่ความมุ่งหมายอย่างนั้น ความจริงก็เป็นอย่างนั้น เราถึงดีดถึงดิ้นตลอดมา

สำหรับเราแล้วเราบอกตรง ๆ ไม่มีอดีต อนาคต ปัจจุบัน เพราะสมมุติไม่มีในหัวใจ มันสิ้นซากลงไปแล้วก็บอกว่าสิ้นซาก นี่ละธรรมพระพุทธเจ้าแก้กิเลส ธรรมอยู่ที่ใจ กิเลสอยู่ที่ใจ กิเลสเป็นข้าศึกของธรรมและอยู่ที่ใจ เราเป็นผู้รับเคราะห์รับกรรม เพราะเราเป็นสมบัติของใจ ใจเป็นสมบัติของเรา กิเลสกับธรรม ธรรมเป็นเครื่องส่งเสริมพยุงเรา กิเลสเป็นฝ่ายข้าศึกศัตรูคอยย่ำยีตีแหลกตลอดเวลา ขึ้นจากใจดวงเดียว ทีนี้เมื่อธรรมมีอำนาจเพราะการบำเพ็ญ มีอำนาจจนกระทั่งปราบปรามกิเลสที่อยู่ในหัวใจ ตั้งแต่ส่วนหยาบจนกระทั่งละเอียดสุดขาดสะบั้นลงจากใจไปแล้ว นั้นละที่ว่ากองทุกข์ทั้งหลายที่กิเลสสร้างขึ้นมาได้พังลงไปแล้ว พอพังไปแล้วความสุขเป็นบรมสุข ท่านเรียกว่าธรรมก็จ้าขึ้นในจุดเดียวกัน แต่ก่อนถูกกิเลสปิดไว้ ๆ ไม่ให้ส่องแสงออกมาได้

ดังที่เราพูดวันที่ ๒ นั้นน่ะ เรื่องเหล่านี้มันรู้ประจักษ์กับใจมาตลอดอยู่แล้ว แต่เมื่อเหตุการณ์มีมันจะออกของมันอย่างพี่น้องทั้งหลายทราบวันนั้นแหละ จำได้ว่าเป็นวันที่ ๒ มีคนบอกนะว่าวันที่ ๒ ไม่งั้นจำไม่ได้ นั่นละเรื่องธรรมต่อธรรมโดนกันอย่างแรง ที่กระจายหรือผางออกมา แล้วก็กระจายไปเลย ไม่กระจายแต่ธรรมทั้งหลาย น้ำตาที่เป็นบริษัทบริวารเกี่ยวโยงกับธรรมก็แตกกระจายออกมาด้วยกัน ทีนี้เรื่องของกิเลสต่างหลับหูหลับตาทั่วแดนโลกธาตุ ฟังซิน่ะ ใครลืมตามามองดูธรรมคือความจริงนั้นน่ะ ไม่มีใครเห็นไม่มีใครรู้ พอทราบและเห็นทางทีวีว่าน้ำตาหลวงตาพังเท่านั้น เอ๊ ทำไม เขาก็เหมาว่า ท่านเป็นอะไร ท่านสิ้นกิเลสเป็นพระอรหันต์แล้วน้ำตาท่านทำไมร่วง นั่นเห็นไหม เอาน้ำตาเป็นอรหันต์เข้าใจเหรอ

รู้ไหมว่าอวัยวะทุกส่วนนี้เป็นสมมุติทั้งมวล และเกี่ยวโยงกันอยู่กับจิตผู้รับผิดชอบ เมื่อจิตผู้รับผิดชอบพังทลายสิ่งที่เป็นสมมุติและเป็นข้าศึกต่อใจขาดสะบั้นลงไปแล้ว ธรรมชาตินั้นก็จ้าขึ้นตามหลักธรรมชาติของตน นั่นคืออันหนึ่ง เข้าใจไหม ทีนี้เรื่องธาตุเรื่องขันธ์เหล่านี้แสดงตัวออกรับกัน เพราะอันนี้ได้รู้ได้เห็นสิ่งนั้นกระเทือนตัวเอง กระเทือนตัวเองแล้วก็ออกทุกแบบ เช่นอย่างว่าร่างกายไหวไปเลยนี้ ใครตั้งใจให้ไหว ก็เพราะอำนาจแห่งธรรมที่กระทบกระเทือนกันกับกิเลสระยะนั้น พรากจากกันเวลานั้น กระเทือนอย่างใหญ่หลวง ที่ว่าประหนึ่งว่าโลกธาตุไหว อย่างนี้ละ ระหว่างกิเลสกับธรรมพรากจากกัน คือแดนสมมุติกับแดนวิมุตติพรากจากกันวันนั้น ธรรมชาตินั้นก็เลิศเลอเต็มสัดเต็มส่วนของตน เปิดเผยเต็มหัวใจของผู้รู้ผู้เห็น ของผู้เป็นเต็มสัดเต็มส่วน

ทีนี้ธาตุขันธ์นี้มันเกี่ยวโยงกันกับจิต เกิดความอัศจรรย์ในสิ่งที่แสดงขึ้น แต่ก่อนจิตก็มีอยู่แต่ก็ไม่แสดงอย่างนี้ให้ธาตุให้ขันธ์ให้จิตวิญญาณเหล่านี้รู้อย่างนั้น เพราะไม่เคยเป็นไม่เคยมี วันนั้นแสดงออกมา คราวนี้กระทบกันอย่างแรงกระเทือน ทุกสิ่งทุกอย่างไหวไปตาม ๆ กันบรรดาสมมุติ ขันธ์นี่เป็นสมมุติทั้งมวล เครื่องใช้ของใจ พอพังลงไปแล้ว สำหรับธรรมชาตินั้นไม่มีอะไรแหละ มีแต่เรื่องของขันธ์ซึ่งเป็นกฎของ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ครอบหัวมันไว้มันก็แสดงอาการนั้นขึ้นมา แล้วก็ระงับดับไปตามเรื่องของมันเท่านั้น ธรรมชาตินั้นไม่มีเกิดไม่มีดับ ต่างกันอย่างนี้

เพราะฉะนั้นเราจึงจะเอาเรื่องธรรมทั้งแท่งหรือความบริสุทธิ์ของใจ หรือเรียกว่าใจพระอรหันต์นั้น เข้ามาวัดมาเทียบกับธาตุขันธ์ซึ่งเป็นกองมูตรกองคูถอันนี้ เข้ากันไม่ได้ ถ้าใครอยากจะรู้ แล้วจะไม่ถามใครด้วยนะ พอเจอเข้าเท่านั้นแม้พระพุทธเจ้าประทับอยู่ข้างหน้าจะสาธุทันทีเลย จะไม่ทูลถาม เพราะ สนฺทิฏฺฐิโก ขั้นสุดยอดขั้นสุดท้ายประกาศเต็มหัวใจแล้ว นตฺถิ เสยฺโยว ปาปิโย ไม่มีอะไรยิ่งหย่อนกว่าแล้วขึ้นชื่อว่าธรรมทั้งแท่ง ได้ปรากฏขึ้นในหัวใจดวงใดก็เป็นอันเดียวกันเลยกับท่านผู้บริสุทธิ์ด้วยกัน อันนี้นอกจากกฎ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา นอกจากกฎนี้ไปแล้ว

ส่วนเรื่องธาตุเรื่องขันธ์มันตื่นมันเต้น เช่นน้ำตาร่วง มันร่วงได้ทุกแบบเลยน้ำตา ร่วงด้วยความเสียใจมันก็ร่วง ดีใจก็ร่วง ผลที่สุดถูกควันไฟมันก็ร่วง หรืออย่างหนึ่งเอาหัวหอมไปทาเข้าไปนี่ซิ เอากระเทียมมาทาที่ตามันก็ร่วง เอาเรื่องกับมันได้ยังไง น้ำตาคือน้ำ ธาตุน้ำ สิ่งเหล่านี้เป็นธาตุดิน ธาตุไฟ ธาตุลมอยู่ด้วยกัน เป็นเรื่องสมมุติทั้งมวล สะเทือนตัวในเวลานั้น ตื่นเต้นในธรรมชาตินั้น ธรรมชาตินั้นไม่ตื่นอะไร แต่ธรรมชาตินี้มันตื่นของมันอยู่ตลอดเวลา มันตื่นทางดีทางชั่วทางสุขทางทุกข์ทางดีใจเสียใจ มันตื่นของมันตลอดเวลา แต่เวลานั้นมันตื่นอันนั้นเข้าใจไหมล่ะ

ขันธ์อันนี้ไม่ใช่อรหันต์ อรหันต์ไม่ใช่ขันธ์อันนี้ ขันธ์อันนี้เป็นสมมุติร้อยเปอร์เซ็นต์ ธรรมชาตินั้นเป็นวิมุตติหลุดพ้นไปแล้วจากสมมุติร้อยเปอร์เซ็นต์ จึงเข้ากันไม่ได้ เป็นแต่เพียงว่าตอบรับกันตามฐานะของตน ขันธ์เป็นฐานะของสมมุติก็แสดงออกตามฐานะของตน วิมุตติแสดงจ้าขึ้นมาแล้วก็เป็นตามฐานะของตน ไม่ได้มาเกี่ยวข้องกัน เพราะฉะนั้นบรรดาขันธ์นี่ไม่ว่าผู้ใดก็ตาม ขันธ์เป็นสมมุติร้อยเปอร์เซ็นต์อยู่ดั้งเดิม พระพุทธเจ้าก็ดีพระอรหันต์ก็ดีตรัสรู้แล้วไม่ได้มาสังหารขันธ์ ที่จะให้แสดงตัวไม่ได้ เช่น หัวเราะอย่างนี้ ขันธ์หัวเราะเข้าใจไหม น้ำตาพังอย่างนี้ก็เรียกว่าขันธ์ มีแต่เรื่องขันธ์ทำงานตามฐานะของขันธ์เป็นประจำจนกระทั่งมันหมดสภาพของมัน จะไปแสดงอาการใดก็สภาพของมันเป็นพื้นฐานมีอยู่มันก็แสดงได้

เช่น ดินนี้มาก่อเป็นตึกรามบ้านช่องก็เรียกว่าตึกว่ารามไป ออกจากดิน อิฐ ปูน หิน ทราย เหล็กหลา ไม่ออกจากดินออกจากอะไร แปลงตัวขึ้นไปยังไงมันก็ได้เมื่อพื้นฐานมันยังมีอยู่ ท่านทั้งหลายเป็นบ้ากันนักหนาเหรอ เราอยากถามอย่างนี้นะ ธรรมนี้ท่านทั้งหลายเคยได้เห็นเหรอ หลวงตาบัวก็ไม่เคยได้เห็นตั้งแต่เกิดมาแต่อ้อนแต่ออกจากโคตรพ่อโคตรแม่หลวงตาบัวไม่มีผู้ใดได้เห็นธรรมประเภทนี้ เพราะท่านเหล่านั้นไม่ได้ปฏิบัติ เราเป็นผู้ปฏิบัติ เราได้รู้ได้เห็นมากน้อยมาโดยลำดับดังที่เคยเล่าให้พี่น้องทั้งหลายฟัง เป็นระยะ ๆ ซึ่งเป็นผลของการบำเพ็ญเรา ออกมาจนกระทั่งผลเต็มส่วนแล้วก็แสดงอย่างนี้ออกมา นี่ท่านทั้งหลายเคยได้เห็นไหม

หรือจะหลับหูหลับตาอ้าปากหาเห่าฟ่อ ๆ เห่าธรรมความบริสุทธิ์ กองมูตรกองคูถที่มันพันคออยู่นั้นทำไมไม่เห่ามันบ้าง พิจารณาซิ กองมูตรกองคูถกองฟืนกองไฟความโลภ ความโกรธ ความหลงทำให้เกิดกองมูตรกองคูถคือฟืนไฟขึ้นมา มันเต็มอยู่ในหัวใจของทุกคน ทำไมไม่มองดูมันบ้าง ไปตำหนิติเตียนอะไรธรรมชาติที่วิเศษวิโสเลิศเลอ พระพุทธเจ้าเลิศเลอมาแล้ว ถ้าหลวงตาบัวผิดพระพุทธเจ้าก็ผิดมาแล้ว สาวกทั้งหลายผิดมาแล้ว ท่านเหล่านี้เลิศมาตลอดเวลาเป็นยังไง แล้วกองมูตรกองคูถมันเลิศที่ไหน จึงไปโอ้ไปอวดไปตำหนิติเตียนหรือไปชมท่านั้นท่านี้ ไปให้คะแนนตัดคะแนนท่าน พวกมูตรพวกคูถ เข้าใจเหรอ

รู้หรือยังพวกเราเวลานี้กำลังเป็นมูตรเป็นคูถเต็มหัวใจ เรายังเย่อหยิ่งจองหองเหรอ เย่อหยิ่งจองหองเท่าไรนี่ละมันจะฟาดหัวเราให้พังลงอีกนะ มันไม่เห็นโทษของกิเลสตัวเย่อหยิ่งจองหอง แล้วมันจะไปกระเทือนธรรมละ กระเทือนธรรมก็เหมือนเอามีดไปฟันหินนั่นแหละ เป็นยังไงเอามีดฟันหิน ขับรถชนภูเขาทั้งลูกเป็นยังไง ทางไหนเสียหาย พิจารณาซิ ถังขี้นี้แหละมันจะเสียหาย ท่านผู้เลิศผู้เลอผ่านไปแล้ว ท่านเอาอะไรมาเสียหาย ถ้าจะฟังให้เป็นคติเครื่องเตือนใจสมเราเป็นชาวพุทธ อย่าเอาสิ่งมูตรสิ่งคูถเหล่านี้มาวิจารณ์เหยียบย่ำทำลายเจ้าของนะ เหล่านี้ไม่ใช่ของดี ของเลิศอย่างนี้เกิดมาจากที่ไหนบ้าง ในสมัยปัจจุบันนี้ก็หลวงตาบัวแสดงออกมาให้เห็นไหม หลวงตาบัวนี้เลวร้ายที่สุดแล้วเหรอในเมืองไทยเรานี่นะ แล้วเลิศเลอที่สุดคือคนทั้งประเทศในเมืองไทยของเรานี่เหรอเลิศเลอที่สุด เอ้า เอามาเทียบกันซิ

พูดอย่างนี้ไม่ยอมฟังเสียง ท่านจะฟังเสียงอะไร ท่านหาอะไรทุกวันนี้ หลวงตาหาจนเป็นเดนตายมา ถึงได้ปรากฏธรรมประเภทนี้ขึ้นมาให้ท่านทั้งหลายได้เห็น ในฐานะว่าเป็นลูกศิษย์ลูกหาก็พูดสู่กันฟัง ด้วยเจตนาเมตตาสงสาร ไม่ได้มีเรื่องโอ้เรื่องอวด เอามาจากที่ไหนเรื่องโอ้เรื่องอวด เรื่องติฉินนินทา มันเป็นส่วนเกินทั้งนั้น ธรรมชาติที่ว่าพอแล้วเอาอะไรมาเพิ่มอีก นั่น ถ้าเพิ่มได้อีกจะว่าพอได้ยังไง นี่ละจำเอานะท่านทั้งหลาย

โง่จนจะตายเมืองไทยชาวพุทธเรา โผล่ขึ้นมาคนเดียวนี้เห่ากันฟ่อแฟ่ ๆ หมดประเทศชาติบ้านเมือง เราทุเรศนะ สงสารมาก นี่ละที่พระพุทธเจ้าว่า ทำไมโลกถึงได้มืดบอดขนาดนี้ จึงน้ำตาพัง ทั้งสงสารโลกด้วย ทั้งอัศจรรย์ธรรมชาตินั้นด้วย แล้วทำไมโลกมูตรโลกคูถจึงไม่รู้เนื้อรู้ตัว ท่านฉุดลากขนาดนั้น พระพุทธเจ้าทรงสลดสังเวชท้อพระทัย เพราะเห็นโลกนี่มันหนาแน่นด้วยความมืดบอด ธรรมพูดให้ฟังแทนที่จะมีความกระยิ่มยิ้มย่องให้เป็นคติเครื่องเตือนใจอุตส่าห์พยายามบึกบึนไป ไม่ได้มากก็ได้ในฐานะลูกศิษย์มีครูก็ยังดี แต่ทำไมมันไปหาตำหนิติเตียนในสิ่งที่จะทำลายตัวเอง สิ่งที่จะส่งเสริมตัวเองทำไมไม่คิดไม่อ่านบ้าง มันโง่ขนาดไหนเมืองไทยชาวพุทธเรานี้ หลวงตาบัวอยากพูดเต็มปากนะ

หลวงตาบัวไม่เคยหวั่นไหว สามแดนโลกธาตุนี้จะมาเห่าไหนก็เห่าเถอะ เราพูดด้วยความไม่หวั่นไหวทั้งนั้น ธรรมชาตินี้ก็ไม่หวั่นไหวกับสิ่งใดในสามแดนโลกธาตุนี้ ใครหวั่นไหวกับความเสียหายก็อยู่ที่นั่น ความได้ความเสียอยู่ที่นั่น ถ้าหวั่นไหวไปทางที่ดีความดีก็อยู่ที่นั่น เกิดขึ้นที่นั่น ถ้าหวั่นไหวไปในทางที่ไม่ดีก็เป็นฟืนเป็นไฟเผาตัวเองนั่นแหละ ท่านทั้งหลายชอบนักเหรอสิ่งเหล่านี้น่ะ

ธรรมพระพุทธเจ้าสอนอยู่ตลอดเวลา ดังที่ท่านประกาศก้องอยู่ว่า โก นุ หาโส กิมานนฺโท นิจฺจํ ปชฺชลิเต สติ อนฺธกาเรน โอนทฺธา ปทีปํ น คเวสถ ก็เมื่อโลกสันนิวาสนี้มันมืดมันบอดอยู่ทั้งวันทั้งคืน เรียกว่ามืดมนอนธการ มีแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้ตลอดเวลานี้ ท่านทั้งหลายรื่นเริงหัวเราะหาอะไร นั่นฟังซิ ทำไมจึงไม่เสาะแสวงหาที่พึ่ง นี่ธรรมะประเภทนี้ก็ธรรมะ โก นุ หาโส กิมานนฺโท ทำไมจึงมาเป็นบ้ากันอย่างนี้ เรียนวิชาที่พวกเมาเหล้าไปพูดแล้วได้ยินถึงพระกรรณของพระพุทธเจ้าท่านแสดงมา โก นุ หาโส พวกขี้เหล้านะ ไม่ใช่คนวิเศษวิโสอะไรไปพูดให้ธรรมะพระพุทธเจ้าประเภทนี้ออกมานะ นี่มีในคัมภีร์ เราเอาคัมภีร์มาพูดนี่นะ พวกเมาเหล้าคนเมาเหล้ากับพระพุทธเจ้าต่างกันยังไง ฟังซิ พระพุทธเจ้าตวาดขนาดนั้นยังไม่รู้ตัว นี่ก็ธรรมท่านประกาศออกมาตวาดในวันที่ ๒ ทำไมจึงไม่รู้ตัวบ้าง มันยิ่งหนากว่าพวกนั้นอีกเหรอ พวกเมาเหล้านั่นเหรอ มันยิ่งหนากว่านั้นเข้าไปอีกเหรอ ให้ถามตัวเองทุกคนนะ ไม่งั้นจะฉิบหายเปล่า ๆ นะ

หลวงตาบัวอุตส่าห์พยายามช่วยบ้านช่วยเมืองมาเต็มเม็ดเต็มหน่วย ในชีวิตจิตใจหลวงตาบัวไม่มีคำว่ากล้าว่าหาญ คำว่ากลัวก็ไม่มี คำว่าได้ไม่มี คำว่าเสียไม่มี แพ้ไม่มี-ชนะไม่มี หลวงตาบัวช่วยพี่น้องทั้งหลายด้วยความเมตตาสงสารเต็มสัดเต็มส่วน สละได้ทุกอย่างเพื่ออรรถเพื่อธรรม เราไม่ได้สละเพื่อความชั่วช้าลามก แล้วเอาธรรมมาสอนพี่น้องทั้งหลาย ธรรมเป็นธรรมที่เราหามารอดล้มรอดตาย เดนตายถึงได้มาประกาศขึ้นมาตามความเป็นจริงของเจ้าของที่ได้รู้ได้เห็น แล้วทำไมจึงไม่มีใครรับได้ เมืองไทยเรามันเป็นยังไงกัน เราอยากถามว่าอย่างนี้นะ

ยิ่งใหญ่ยิ่งโตเท่าไรยิ่งหนายิ่งแน่นด้วยกิเลสตัณหาผยองพองตนขึ้น เก่งยิ่งกว่าศาสดาองค์เอก มันยิ่งเลวลงไปทุกวัน ๆ รู้ไหมเวลานี้เมืองไทยเรา มันโง่ขนาดไหนมันหนาขนาดไหน มันมองดูอรรถดูธรรมเมื่อไร ดีไม่ดีต่อไปนี้คนจะเข้าไปวัดไปวาไม่ได้ดังเคยพูดแล้วนะ มันเยาะมันเย้ย มันถากมันถางกันทุกแบบ กิเลสมีอำนาจมากมันเป็นอย่างนี้แหละ อย่างที่พูดนี่แหละ ที่วันที่ ๒ น้ำตาร่วง มันถากมันถางมันเยาะมันเย้ย แต่หลวงตาบัวไม่มีหวั่น ให้มันยกมาหมดทั้งโคตรในเมืองไทยเรานี้ที่เป็นชาวพุทธ ก็ให้ยกมา หลวงตาบัวไม่มีอะไรกับใคร สอนโลกด้วยความเมตตาล้วน ๆ ทำไมมันไม่ยอมรับ มันหนาเอาขนาดนั้นเหรอเมืองไทยเรานี้ เราอยากพูดว่าอย่างนั้น

ธรรมพระพุทธเจ้าสูญสิ้นจากโลกแล้วเหรอ ความเลิศความเลอความวิเศษเหล่านี้ไม่มีในพระพุทธเจ้าไม่มีในธรรมแล้วเหรอ การที่ผู้ปฏิบัติตามธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสอนแล้วได้เหตุได้ผลอย่างไรแล้วนำมาแสดง จึงเป็นโมฆะเป็นข้าศึกศัตรูต่อชาติไทยชาวพุทธเราไปหมด มันเป็นยังไงชาติไทยชาวพุทธเรา มันเป็นผู้เป็นคนหรือมันเลยหมาไปแล้วเดี๋ยวนี้ เราอยากพูดอย่างนี้นะ เราไม่ได้โกรธให้ผู้ใดแหละ พูดอย่างจัง ๆ อย่างนี้ด้วยอำนาจแห่งธรรม ธรรมจะไม่มีหวั่นมีไหว ไม่มีโกรธมีแค้นกับผู้ใด พลังของธรรมมียังไงจะออกเต็มเหนี่ยวของธรรม เหมือนกันกับพลังของกิเลส มีมากเท่าไรมันก็ออกเต็มเหนี่ยวของมัน ต่างกันแต่ว่า พลังของกิเลสมีมากออกไปนี้ทำโลกให้พินาศฉิบหายได้ แต่พลังของธรรมออกไป ๆ เหมือนน้ำดับไฟให้เย็นไป ๆ อย่างนั้น

ดังที่พูดเวลานี้ท่านทั้งหลายเข้าใจว่าหลวงตาบัวโกรธหรือ ผู้ที่โกรธคือใคร กิเลสอยู่ไหนความโกรธอยู่ที่นั่น ถ้าผู้ไม่มีกิเลสทำให้โกรธวันยังค่ำก็ไม่โกรธ มันไม่มี ถ้าหากว่ายังค้นหาตัวโกรธได้อยู่ จะว่าสิ้นกิเลสได้ยังไง กิเลสคือตัวโกรธ คือตัวโลภ ตัวหลง เข้าใจเหรอ ให้พากันพินิจพิจารณานะ เราสลดสังเวชนะที่พูดนี่ ธาตุขันธ์มันเป็นสมมุติล้วน ๆ เมื่อมันอาศัยอยู่กับวิมุตติมันก็ต้องกระเทือนถึงกันเป็นธรรมดา ตามหน้าที่ของสมมุติและวิมุตติ แล้วมันผิดไปที่ตรงไหน ได้คะแนนความรู้วิเศษวิโสมาจากที่ไหนมาคัดค้านธรรมพระพุทธเจ้า เอามาอวดหลวงตาบัวฟังสักหน่อยน่ะ

หลวงตาบัวมันโง่เหลือประมาณเวลานี้ อยากฟังพี่น้องทั้งหลายที่ฉลาดอยู่ในส้วมในถาน โผล่ออกมาจากส้วมจากถานมาอวดธรรมพระพุทธเจ้าลองดูซิเป็นยังไง เราอยากเห็นอยากรู้เหลือเกิน มันไม่เห็นละซิเดี๋ยวนี้ มองไปไหนเห็นมีแต่เสื่อแต่หมอน ความโลภ ความโกรธ ความหลง เต็มตัวมัน มันเลิศเลออะไร แล้วก็มาโอ่อ่าฟู่ฟ่าเป็นบ้าไม่เลิก คือพวกเรานี้แหละ เอาละเท่านี้ พูดเท่านี้ละ

โยม : ติดกัณฑ์เทศน์เจ้าค่ะ

หลวงตา : ยังมีผู้มาติดกัณฑ์เทศน์อยู่เหรอ นึกว่าเห่าฟ่อ ๆ อยู่ตามส้วมตามถานนั้น เราพูดจริง ๆ นะ เปิดให้ฟังอีกจุดสุดท้ายนะ โลกธาตุนี้เหมือนส้วมเหมือนถาน เหมือนกองมูตรกองคูถ เหมือนถังขยะกับธรรมประเภทนั้น ฟังซิน่ะ ประมาทกันเหรอพูดอย่างนี้ ประมาทกันเหรอ ฟ้าก็ว่าฟ้า ดินก็ดินประมาทกันได้ยังไง ดินก็บอกเป็นดิน ฟ้าก็บอกเป็นฟ้า สูงต่ำก็บอกสูงต่ำ ประมาทกันเหรออย่างนี้ นี่เรื่องของธรรมพระพุทธเจ้าก็เป็นธรรมพระพุทธเจ้า เรื่องมูตรเรื่องคูถเป็นมูตรเป็นคูถประมาทกันยังไง มีแต่จะลากจะดึงออกจากมูตรจากคูถที่มันเป็นฟืนเป็นไฟเท่านั้น ยังไม่รู้เนื้อรู้ตัวกันอยู่เหรอ

การเทศนาว่าการก็ตามนะ ทุกอย่างหลวงตาไม่เคยหวั่นอะไรในสามแดนโลกธาตุ ฟังให้ดีคำนี้ ตั้งแต่ธรรมชาตินี้ได้ผางขึ้นมาเท่านั้น ลบหมด

สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ โมฆราช สทา สโต

อตฺตานุทิฏฺฐึ อูหจฺจ เอวํ มจฺจุตฺตโร สิยา

เอวํ โลกํ อเวกฺขนฺตํ มจฺจุราชา น ปสฺสติ

ดูก่อนโมฆราช เธอจงเป็นผู้มีสติทุกเมื่อ พิจารณาโลกให้เป็นของสูญเปล่า แล้วถอนอัตตานุทิฏฐิ ความเห็นว่าเราว่าเขาออกเสีย แล้วจะข้ามพ้นจากพญามัจจุราชเสียได้ พญามัจจุราชจะมองไม่เห็นผู้พิจารณาโลกเป็นของสูญเปล่าอยู่อย่างนี้

นี่จิตดวงนี้สูญเปล่า โลกทั้งหลายสูญเปล่า ใจนี้ได้ว่างไปหมดครอบโลกธาตุมาตั้งแต่วันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ แล้วมาพูดธรรมะวันนี้มันขวางโลกเอานักหนาเหรอ ธรรมะพระพุทธเจ้าที่เราทั้งหลายกราบไหว้ พุทฺธํ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ นี้ หลวงตาก็ในนามผู้ปฏิบัติคนหนึ่ง ปฏิบัติธรรมเหล่านั้นได้ธรรมมาแจกจ่ายหวังจะเป็นสิริมงคลแก่พี่น้องทั้งหลาย กลายเป็นข้าศึกศัตรูอย่างใหญ่หลวงแล้วเหรอเวลานี้ อยากถามว่าอย่างนี้น่ะ มันเป็นยังไง ท่านทั้งหลายเห็นว่ายังไงธรรมพระพุทธเจ้า ถึงเหยียบย่ำไปมา ใครพูดความดีไม่ได้เลย เหยียบย่ำกันเลย ถ้าเรื่องความชั่วมันตายหมดทั้งโคตรมันก็ไม่ยอมถอย เรื่องความเข็ดหลาบไม่มี มันตายหมดทั้งโคตรมันก็ไม่เข็ดหลาบกับกิเลส ถ้าเป็นเรื่องอรรถเรื่องธรรมพูดออกมาเท่านี้ดูถูกเหยียดหยามกันแล้ว มันฟังได้ไหมชาวพุทธเรา ให้เอาไปพิจารณานะ

มันโง่ขนาดไหนชาวพุทธเรานี่น่ะ โหย.โง่ขนาดนั้นยังโอ่อ่าอยู่นะเดี๋ยวนี้ ยิ่งโอ่อ่าหนักขึ้นนะเวลานี้ จนดูไม่ได้ สายตาของธรรมท่านดูไม่ได้ แต่ท่านไม่เหมือนโลกดู รู้เหมือนไม่รู้ เห็นเหมือนไม่เห็น ไม่มีอะไรในหัวใจเพราะว่างไปหมดแล้ว ท่านจะไปแบกไปหามอะไร รู้เห็นก็บอกว่ารู้เห็นไปธรรมดาในความรู้สึกของท่าน ท่านไม่ได้ไปแบกไปหามให้หนักให้เบาอะไรนี่นะ ไอ้พวกเราซิพวกแบกไม่ปล่อยไม่วาง แบกอยู่อย่างนั้นทั้งคืนทั้งวัน ตายจมกันอยู่เห็นไหม หรืออยากจะตายกองกันอยู่เหรอ ว่า พระอรหันต์ ทำไมน้ำตาร่วง โคตรพ่อโคตรแม่มึงเคยเป็นอรหันต์แล้วเหรอ เราอยากว่าอย่างนี้นะ เหอ มึงจะมาอวดพระพุทธเจ้าเหรอ ว่าอย่างนี้ เข้าใจเหรอ เอาละ นี่เป็นกัณฑ์ที่สอง

อ่านธรรมะหลวงตาวันต่อวัน ได้ที่ www.Luangta.com


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก