รู้โลกรู้ธรรม
วันที่ 4 กันยายน 2505 เวลา 19:00 น. ความยาว 57.38 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)

ค้นหา :

เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๔ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๐๕

รู้โลกรู้ธรรม

 

เราได้มาบวชในพระพุทธศาสนา ไม่ได้มาบวชเพื่อฟังข่าวของพระพุทธเจ้าแลสาวกทั้งหลายโดยถ่ายเดียว ต้องนำข่าวของท่านว่าดำเนินอย่างใดจึงเป็นไปเพื่อความพ้นทุกข์ และปรากฏองค์เป็นศาสดา และเป็นสรณะของพวกเรามาปฏิบัติ ข่าวของท่านเป็นข่าวพ้นทุกข์โดยมาก เราผู้สนใจในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ต้องจับเอาเป็นเหตุ คือปฏิปทาเครื่องดำเนินของท่านที่ได้รับผลมาแล้วว่าต้นเหตุเป็นมาอย่างไร ไม่เช่นนั้นเราจะไม่สามารถดำเนินไปได้อย่างพระพุทธเจ้าแลสาวกทั้งหลาย เช่นผลไม้ต่าง เราจะมองดูแต่ผลซึ่งเกิดอยู่บนลำต้นถ่ายเดียว โดยไม่คำนึงว่าผลไม้นี้เกิดมาได้อย่างไร และต้นไม้นี้อาศัยอะไรเป็นอาหาร ปุ๋ยประเภทใดซึ่งถูกกับผลไม้ประเภทนั้น จึงยังผลให้ปรากฏขึ้นและได้รับประโยชน์

ข่าวแห่งพระพุทธเจ้าตรัสรู้ก็ดี ข่าวแห่งสาวกที่ได้ตรัสรู้ตามพระองค์ท่านก็ดี นี่เป็นข่าวส่วนผล แต่ข่าวเหตุพระพุทธเจ้าแลสาวกท่านดำเนินอย่างใดจึงได้บรรลุผลอันสมบูรณ์ เราบวชมาในพระพุทธศาสนาจึงไม่ควรรอฟังข่าวของท่านซึ่งเป็นผลโดยถ่ายเดียว ที่ถูกต้องฟังผลที่ท่านได้รับด้วย ทั้งเหตุที่ท่านดำเนินด้วยข้อปฏิบัติอันยังผลนั้นให้ปรากฏขึ้นด้วย แล้วน้อมเข้ามาเป็นเครื่องพร่ำสอนตนเองแต่ละท่านว่า ทางจากจุดนี้ไปถึงจุดนั้นหรือบ้านนั้น เมืองนั้น มีทางไปได้อย่างไร เขาไปทางสายใดจึงจะถึงที่หรือเมืองนั้น เราต้องจับต้นทางเป็นของสำคัญ ทางแห่งองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าแลสาวกดำเนินเป็นทางที่โลก ไม่ชอบดำเนินกัน เพราะเหตุนั้น พระพุทธเจ้ากับสาวกจึงต่างจากโลก เมื่อปรากฏผลขึ้นมาแล้ว โลกต้องยอมกราบพระพุทธเจ้าว่าท่านประเสริฐจริง พระธรรมที่เกิดจากพระพุทธเจ้าก็เป็นธรรมประเสริฐ และสาวกทั้งหลายก็กลายเป็นผู้ประเสริฐจากบรรดาโลกทั้งหลาย

ทางสายนี้เป็นทางเดินลำบากยากอยู่ เพราะเกี่ยวกับการบังคับทั้งการไป การอยู่ การหลับนอน การฉัน และการถ่ายเทต่างๆ นอกจากนั้นยังมีการบังคับทางด้านจิตใจ มีรั้วกั้นอยู่รอบด้าน จึงจัดว่าเป็นทางที่สัตว์ทั้งหลายผู้ต้องการจะไหลไปตามกระแสแห่งความอยากของตน จะดำเนินตามพระพุทธเจ้าแลสาวกได้โดยยาก แต่ผู้ฝืนดำเนินตามแนวที่พระพุทธเจ้าแลสาวกดำเนินไปแล้ว ผู้นั้นจะต้องถึงฝั่งแห่งความเกษมได้ คือพระนิพพาน

เวลานี้เราทั้งหลายต่างก็คาดเครื่องรบเต็มตัวอยู่แล้ว เครื่องรบของเราทุกชิ้น ซึ่งเป็นหลักธงชัยอันสืบเนื่องมาแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ที่ทรงได้ชัยชนะมาแล้ว เครื่องรบนั้น คือบริขารแปดที่ประทานให้ผู้บวชเป็นพระเป็นเณรในพระพุทธศาสนา ได้แก่ บาตร สบง จีวร สังฆาฏิ ประคดเอว มีดโกน เครื่องกรองน้ำ และกล่องเข็ม นี่คือเครื่องรบของนักบวชที่ประทนให้เป็นมรดก นับแต่วันอุปสมบท ปฏิญาณตนเป็นศิษย์พระตถาคต และทรงชี้วิธีปฏิบัติ และทางดำเนินเพื่อชัยชนะข้าศึก คือกิเลส โลโภ โทโส โมโห อันเป็นส่วนภายในทุกกรณี แต่ประโยคสำคัญคือตัวของเราเอง บัดนี้เราได้คาดการรบไว้มากน้อยเท่าไรเพื่อชัยชนะมาสู่ตัวเรา

เครื่องมือในการรบ คือศีล สมาธิ ปัญญา แยกออกไปตามมัชฌิมาปฏิปทา มี คือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป นี่เป็นองค์แห่งปัญญา สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว นี่เป็นองค์แห่งศีล สัมมาวายาโม สัมมาสติ สัมมาสมาธิ นี่เป็นองค์แห่งสมาธิ รวมแล้วเรียกว่า ศีล สมาธิ ปัญญา พระพุทธเจ้าแลสาวกท่านเดินทางสายนี้แล ซึ่งโลกทั้งหลายเดินได้โดยยาก เบื้องต้นพระองค์ทรงดำเนินพระองค์เดียวก่อนใคร ในโลก เมื่อถึงฝั่งแห่งความปลอดภัยแล้ว จึงทรงพระเมตตานำธรรมที่ได้ตรัสรู้มาประกาศสั่งสอนแก่ปวงชน

ผู้มีอุปนิสัยใคร่ต่อความพ้นทุกข์อยู่แล้ว พอได้ฟังพระธรรมที่ทรงประกาศสอนต่างก็มีความสนใจใคร่จะฟังข้ออรรถข้อธรรม คือหลักความจริงจากพระพุทธเจ้า และเกิดความเชื่อถือและเลื่อมใส บางรายได้สำเร็จมรรค ผล ต่อพระพักตร์ของพระพุทธเจ้าก็มี โดยเป็นพระโสดาบันบ้าง เป็นพระสกิทาคามีบ้าง เป็นพระอนาคามีบ้าง และเป็นพระอรหันต์บ้าง นี่เป็นผลเกิดจากความเชื่อความเลื่อมใสในหลักความจริงที่พระองค์ได้ประกาศไว้แล้ว บางรายนำข้อธรรมที่ได้สดับแล้วไปประพฤติปฏิบัติโดยลำพังตนเอง ในสถานที่ต่าง และได้สำเร็จมรรค ผล อยู่ในที่นั้น ก็มีเป็นจำนวนมาก

เฉพาะนักบวชที่ชอบเที่ยวอยู่ในที่วิเวกสงัดโดยมาก เมื่อเกิดข้องใจในส่วนแห่งธรรมขึ้นมาก็เข้าไปทูลถาม ทรงชี้แจงให้ฟังจนเป็นที่พอใจแล้วนำไปปฏิบัติจนสามารถรู้แจ้งแทงตลอด เป็นสาวกอรหันต์ขึ้นมา และเป็นพยานแห่งธรรมของจริงที่พระองค์ทรงรู้เห็น ว่าไม่เป็นโมฆธรรมสำหรับสัตว์ทั้งหลาย คำว่า สาวกแปลว่า ผู้ฟัง ฟังทั้งเหตุดีเหตุชั่ว ผลดีผลชั่ว ฟังทั้งเรื่องของตนเอง ทั้งเรื่องของคนอื่น ที่เป็นความผิดและความถูกซึ่งจะเคลื่อนทางกาย วาจา ใจ สาวกทั้งหลายไม่มีความท้อแท้ ไม่มีความอ่อนแอในการบำเพ็ญ ศีล สมาธิ ปัญญา ให้เป็นไปวันยังค่ำคืนยังรุ่ง สาวกทั้งหลายถือเป็นเรื่องความเพียรทั้งนั้น ฉะนั้นประวัติของสาวกที่ท่านผ่านพ้นอุปสรรคคือกองทุกข์ไปได้ ล้วนแล้วแต่เป็นผู้มีความอาจหาญร่าเริงต่อสถานที่อยู่อันวิเวกสงัด มีความร่าเริงต่อความเพียร

แต่ข่าวของพวกเราจะเป็นอย่างไร จงน้อมข่าวของท่านมาดำเนินด้วยความกล้าหาญ และมักน้อยในปัจจัยเครื่องอาศัย ตลอดที่อยู่อาศัย ทั้งอารมณ์เครื่องรบกวนใจ จงพยายามตัดให้น้อยลง อารมณ์ใดเป็นไปเพื่อก่อเหตุแห่งทุกข์ขึ้นมา อารมณ์นั้นท่านเรียกว่า สมุทัย แดนเกิดขึ้นแห่งทุกข์ จงพยายามตัดทอนให้น้อยหรือเบาบางลงเป็นลำดับจนไม่มีอะไรเหลือ ด้วยอำนาจของมรรค คือศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าเราอ่อนต่อความเพียรเพื่อละกิเลสแล้วอย่างไรก็เอาตัวไปไม่รอด เพราะวันนี้กับวานนี้เป็นความมืดสว่างอันเดียวกัน ไม่เป็นผลดีผลชั่วอันใดที่จะให้กิเลสหมดไปจากเรา และจะให้กิเลสเกิดขึ้นในใจเราได้ นอกจากความเคลื่อนไหวของกาย วาจา ใจ ของเราเท่านั้นที่จะให้กิเลสหมดไป และเป็นการสั่งสมกิเลสขึ้นมา มีอยู่เพียงเท่านี้

เพราะเหตุนั้น จงน้อมข่าวของพระพุทธเจ้า และข่าวสาวกมาเป็นข่าวของเรา อย่าประมาทนอนใจอยู่เปล่าจะเสียการ ได้ยินแต่ข่าวท่านมีความขยันหมั่นเพียรและหลบซ่อนองค์อยู่ในป่าอันเป็นที่ไม่วุ่นวาย และรบกวนด้วยเรื่องใด มีตนส่งไปในความเพียรทั้งกลางวันกลางคืน มีสติกับปัญญาประกอบองค์ความเพียรไม่ขาดวรรคขาดตอน ได้ยินแต่ข่าวท่านสำเร็จพระโสดา สำเร็จพระสกิทาคา พระอนาคา และพระอรหันต์ แต่ไม่ได้ยินข่าวเรา ทำไมจึงไม่ได้ยินข่าวเรา นั้นเพราะสาวกท่านปฏิบัติตนอย่างไรจึงได้สำเร็จผล อย่างนั้น แต่เราไม่ได้ปฏิบัติตนอย่างนั้น จึงไม่สำเร็จอย่างนั้น ถ้าเราปฏิบัติตามแบบของท่านโดยถูกต้อง ข่าวนั้นก็จะสะท้อนย้อนมาเป็นข่าวของเราจนได้

เรื่องโอกาสวาสนาอำนวย นักบวชเรานับว่ามีโชคกว่าใครๆ ในการประกอบความเพียรเพื่อรื้อถอนตนออกจากทุกข์ ถ้าเราว่าไม่มีโอกาส ทั้งๆ ที่เราอยู่ในเพศที่มีโอกาสนี้แล้ว ไม่มีใครจะมีโอกาส และความว่างในโลกให้เหนือจากเราไปได้ ถ้าเราอยู่ในสถานที่นี้ว่าปฏิบัติไม่ดี เราจะไปอยู่ในสถานที่ใดจึงจะปฏิบัติดี เราอยู่ในสถานที่นี้ว่าไม่วิเวก เราบวชในเพศนี้ว่าไม่ดี เราจะอยู่ในเพศไหนจึงจะดี โลกธาตุนี้วุ่นวายเต็มไปด้วยกองทุกข์ทั้งนั้น อยู่ที่ไหนมีแต่ความเดือดร้อน ไม่มีเกาะดอนใดพอจะมีความร่มเย็นเป็นสุข นอกจากเกาะหรือดอนแห่งศีลธรรมเท่านั้น เกาะดอนแห่งศีลธรรมเป็นที่ร่มเย็นเป็นสุข ใครได้ก้าวเข้ามาพึ่งร่มเงาแม้แต่ชั่วระยะเพียงเล็กน้อยก็ได้รับความร่มเย็น

จะเห็นใกล้ๆ เช่น ผู้มีความเชื่อเลื่อมใสในพระศาสนา นำธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าไปปฏิบัติตนเอง ก็ย่อมได้รับความสะดวกกายสบายใจ เฉพาะในวงครอบครัวมีความสุข เพราะไม่มีความระแวงสงสัยในความประพฤติของกันและกันระหว่างคู่สามีภรรยา ต่างจะมีความสุขเพราะความไว้วางใจต่อความประพฤติของกันและกัน ซึ่งต่างก็มีธรรม คือความมักน้อยและสันโดษในคู่ครองของตนเท่านั้น ไม่มีความใฝ่ใจไยดีกับหญิงชายใด นอกจากคู่ครองของตน แม้จะไปทำงานในบ้านนอกบ้านก็เป็นงานเป็นการนำผลประโยชน์มาสู่ครอบครัวของตน ด้วยความชุ่มชื่นเบิกบานจิตใจ

ทั้งสามีภรรยาต่างมีความรักใคร่วางใจต่อกันในทางอารมณ์ ไม่มักมากในหญิงชายอันเป็นข้าศึกเครื่องทำลายครอบครัวและศีลธรรม เพียงครอบครัวหนึ่งๆ ปฏิบัติตนต่อกันเท่านี้ เรื่องกองทุกข์ปวดร้าวในหัวอกฟกช้ำในหัวใจ จะไม่เกิดขึ้นในครอบครัวนั้นๆ เลย ธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ทำความร่มเย็นให้ทั้งฆราวาสและนักบวชได้อย่างนี้ เพราะธรรมเป็นธรรมชาติเย็นอยู่แล้ว ใครปฏิบัติตาม ผู้นั้นต้องได้รับความร่มเย็นเป็นผลตอบแทนขึ้นมา ตามกำลังความสามารถที่ตนได้ก่อเหตุอันดีไว้

เราบวชในพระศาสนาเป็นผู้มีโอกาสด้วย วาสนาก็อำนวยด้วย ถ้าเราอยู่ในเพศนี้ไม่เย็น เพศไหนจะเย็นยิ่งกว่าเพศนี้ไม่มี ถ้าเราอยู่ในที่นี้ไม่เย็น เราจะไปอยู่ที่ไหนจึงจะเย็น เรานั่งสมาธิภาวนาให้เย็นยังกลับร้อน เราจะทำอย่างไรจึงจะเย็น เรารักษาศีลว่าเป็นของเย็นก็ไม่เย็น นั่งสมาธิว่าเป็นของเย็นก็กลายเป็นของร้อน เราฝึกหัดอบรมปัญญาให้มีความฉลาดสามารถยังกิเลสอาสวะให้หมดจากใจ ก็เห็นว่าเป็นของร้อนแล้ว อะไรเล่าจะมาทำความเย็นให้ปรากฏขึ้นในจิตของเรา ในโลกนี้มีที่ไหนบ้างซึ่งจะเป็นที่เย็น พระพุทธเจ้าแลสาวกก็ทรงแสวงหามาก่อนพวกเราแล้ว ไม่ทรงพบว่าที่ไหนจะเย็นพระทัย จึงได้เสด็จออกบวชแสวงหาที่เย็น

บวชแล้วทรงแสวงหาที่เย็นอยู่ถึงหกปี ไม่ทรงปรากฏที่ไหนพอปลงพระทัยเชื่อถือได้ว่าที่นั้นที่นี้น่าจะเย็น จนสุดพระทัยไม่ปรากฏมีที่ไหนในโลกกว้างแสนกว้าง จึงทรงย้อนเข้าไปอยู่ป่าอันเป็นที่เงียบสงัด ซึ่งใคร เขาไม่ปรารถนาด้วย ทรงย้อนกระแสใจเข้าสู่ป่า คือแดนแห่งกิเลสซ่องสุมอยู่ภายในกายและภายในใจด้วย ทรงหยั่งจิตเข้าในอริยสัจสี่ พิจารณาทุกข์ซึ่งเป็นตัวผล ค้นคว้าลงถึงตัวเหตุอันเป็นแหล่งผลิตทุกข์ให้สัตว์เสวยไม่มีวันจบสิ้น ทรงกำหนดเริ่มต้นแต่อานาปานสติอันเป็นส่วนหนึ่งของกาย เข้าไปเป็นลำดับถึงส่วนนามธรรม คือ เวทนาทั้งสาม ได้แก่ สุข ทุกข์ เฉย ที่เกิดขึ้นภายในกายและภายในใจตลอดกาล พร้อมทั้งสัญญาผู้หมายมั่นในเวทนาทั้งสาม และสังขารผู้ปรุงแต่งในเวทนาทั้งสามให้เป็นไปตามใจอวิชชาผู้บงการ แม้วิญญาณผู้รับรู้ในเวทนาทั้งสามก็ได้ถูกปัญญาของพระองค์ตามประหัตประหาร โดยไม่หยุดยั้งในคืนเพ็ญวิสาขมาส

ขันธ์ทั้งห้าอันเป็นกองแห่งอริยสัจซึ่งเต็มไปด้วย ทุกข์ สมุทัย ได้ถูกพระปัญญาของพระองค์ไล่ต้อนเข้ารวมจุดไม่มีที่ปลีกออกได้ เพราะอำนาจพระปัญญาหว่านล้อมรอบขอบชิดหมดแล้ว จึงหมุนติ้วลงสู่อุโมงค์อันเป็นป้อมค่ายของอวิชชาที่ทำหน้าที่สั่งงาน คือพระปัญญาของพระพุทธเจ้า ตามค้นดูรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จนแจ้งชัดแล้ว ผลในตอนนี้ปรากฏว่า อาการแห่งขันธ์ทั้งห้าบอกสาเหตุอยู่ในตัวว่า มาจากป้อมค่ายของอวิชชาเป็นผู้สั่งงานแต่ผู้เดียวเท่านั้น พระองค์ท่านทรงหมดความติดพระทัยในขันธ์ห้า ว่าไม่ใช่ตัวโจรคือกิเลสแน่แล้ว ก็ทรงหยั่งพระปัญญาขุดค้นตามเข้าไปจนถึงป้อมค่ายของหัวหน้าวัฏจักรคือ อวิชชา ทรงพิจารณาถอยออกขยับเข้าตามความกระเพื่อมของอวิชชาแสดงตัวด้วยพระปัญญาที่ทันสมัย

ระยะนี้ท่านเรียกว่า พิจารณาปัจจยาการ คือ ความสืบต่อของอวิชชา จะสั่งงานไปตามขันธ์ หรือตามอายตนะซึ่งเป็นทางเดินของอวิชชา แต่มาถึงระยะนี้ แม้อวิชชาจะแสดงใบ้ประการใด วิชชาคือพระปัญญาของพระองค์รู้เท่าทันเพลงของอวิชชาหมดแล้ว ขณะนี้อวิชชากำลังถูกจับตัวเป็นผู้ต้องหา เจ้าหน้าที่คือพระปัญญากำลังให้อวิชชาชี้ของกลางที่เคยไปเที่ยวฉกลักปล้นจี้เขามา ในขณะเดียวกันก็เป็นเชิงฝึกซ้อมพระปัญญาให้มีความฉลาดรอบคอบยิ่งขึ้น และเป็นการจะสังหารอวิชชาในขณะนั้นแล้ว การพิจารณาความเคลื่อนไหวของอวิชชาก็ดี การพิจารณาอวิชชาโดยตรงก็ดี ทุกขณะท่านผู้ฟังโปรดทราบว่าเป็นวิธีการจะสังหารอวิชชาอยู่ในตัวแล้ว

เมื่อทรงหยั่งพระปัญญาลงสู่จุดรวมแห่งวัฏจักรพิจารณาไม่หยุดยั้ง ทั้งเห็นว่าเป็นบ่อแห่งความทุกข์ทั้งมวล ทั้งเห็นว่าเป็นบ่อแห่งความแปรสภาพอยู่รอบตัว ทั้งเป็นบ่อแห่งอนัตตาทั้งมวล จะถือเป็นเราที่ไหน ทรงพิจารณากลับไปกลับมาจนทราบชัดด้วยพระปัญญาว่า อวิชชานี้คือตัวการก่อเรื่องให้ยุ่งไม่มีเวลาสงบสุขได้แม้แต่ขณะเดียว ชื่อว่าเรื่องสมมุติทั้งหมดไหลลงรวมจุดเดียวนี้ทั้งนั้น และเป็นแหล่งผลิตทุกข์ทั้งมวล ถ้าแหล่งนี้ไม่ถูกทำลายเสียได้เมื่อใด ทุกข์ซึ่งเป็นสิ่งสำเร็จรูปมาจากแหล่งผลิตนี้ จะเป็นไปตลอดอนันตกาลไม่มีวันจบสิ้นลงได้ และเป็นเหตุแห่งทุกข์อันใหญ่หลวง ถ้าไม่ดับต้นเหตุนี้เสียทุกข์จะดับไปไม่ได้ เพราะความหลงต้นเหตุนี้ เป็นเราเป็นของเรา สิ่งทั้งมวลซึ่งเกิดจากต้นเหตุนี้จึงกลายเป็นเรา เป็นของเราไปเสียสิ้น เช่นทุกข์ก็กลายเป็นเราเป็นของเรา สมุทัยส่วนย่อยก็กลายเป็นเรา เป็นของเราขึ้นมา เพราะสมุทัยส่วนใหญ่กลายเป็นเรา เป็นของเราอยู่แล้ว ทีนี้ก็ลุกลามออกไปว่า ดี ชั่ว สุข ทุกข์ ได้ เสีย ดีใจ เสียใจเป็นเรา เป็นของเรา เรื่องเรา จึงระบาดไปทั่วโลกยิ่งกว่าโรคระบาดที่น่ากลัวกันเสียอีก

แท้จริงมาจากต้นเหตุเพียงอันเดียวเท่านั้น คือ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ต่อเป็นพืชไปทั่วภพ ทั่วชาติ ทั่วโลกดินแดน ไม่มีขอบเขตยิ่งกว่ามหาสมุทรทะเล อวิชฺชาปจฺจยา นี้จะทนต่อจอบเพชร และพระปัญญาเพชรที่พระองค์ขุดค้นฟาดฟันอย่างไม่ท้อถอยไปไม่ได้ วัฏจักรได้ถูกถล่มจมลงไปด้วยอำนาจพระปัญญาของพระพุทธเจ้า พระวิชชาวิมุตติหลุดลอยขึ้นมาในขณะอวิชชาดับลงไป ในปัจฉิมยามของราตรีเดือนหกเพ็ญ พระจันทร์เต็มดวง ธมฺโม ปทีโป พระธรรมอันเต็มดวงในพระทัยก็ได้ปรากฏขึ้นในวันเดียวกัน เป็นอันว่าในคืนวันนั้นพระจันทร์กับพระธรรมได้โผล่ขึ้นจากกลีบเมฆพร้อมๆ กัน ซึ่งเป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่งในโลกปัจจุบันนั้นไม่เคยมี เราทั้งหลายได้ทราบในพระประวัติปรากฏเพียงครั้งเดียวเท่านั้น

นี่พระพุทธเจ้าพระองค์ทรงแสวงหาความร่มเย็นอย่างเราๆ ที่ไหนก็ไม่ทรงพบ เมื่อพระองค์ทรงย้อนพระทัยเข้าสู่ป่าอันเป็นที่สงัดวิเวกและย้อนเข้าสู่ป่า คือ กองแห่งอริยสัจสี่ อันเป็นรากฐานซึ่งจะให้ทรงพบความร่มเย็นได้แล้ว ก็ทรงพบจุดจบแห่งกองทุกข์ทั้งมวล และทรงพบความเย็นอย่างอัศจรรย์ขึ้นในที่นั้น

ความร้อนก็เกิดในพระองค์ผู้เดียว และความเย็นก็เกิดในพระองค์คนเดียวกัน แม้ความโง่ความฉลาดก็จะเกิดในคนเดียวกันนั้น ฉะนั้นจงทราบเสียว่าไม่มีที่ไหนจะร้อนยิ่งกว่าหัวใจของคนมีกิเลส และสถานที่อยู่ของคนต้องโทษซึ่งถูกคุมขัง ก็สถานที่ที่จะยกจิตออกจากที่คุมขังคือกิเลสนั้น เหมาะที่สุดตามทางพระพุทธเจ้าคือป่าหรือสถานที่ที่อยู่ บัดนี้ และการกระทำซึ่งกำลังทำอยู่ขณะนี้ จะเป็นไปเพื่อความเยือกเย็นในใจและความหลุดพ้น โดยไม่กลับมาสู่หลุมมูตรคูถนี้อีก พระพุทธเจ้าแลสาวกทั้งหลายท่านอยู่ในที่วิเวกสงัดอันเป็นที่ประกอบความเพียรได้สะดวก

ฉะนั้น เราทั้งหลายจงอยู่อย่างท่าน จงมีความรักในศีล มีความรักในสมาธิ มีความรักในปัญญา มีความรักในความเพียร เพื่อความอยู่สบายในอิริยาบถทั้งปวง มีความรื่นเริงบันเทิงในงานที่ชอบ คือการถอดถอนกิเลสเป็นสิ่งสำคัญ ที่กล่าวนี้เป็นความสงัดภายนอก ในส่วนแห่งกายและความสงัดภายในใจ มีความสงัดภายนอกเป็นที่อยู่ของกาย มีความสงัดภายในเป็นที่อยู่ของใจ สถานที่เหล่านี้มีความร่มเย็น และสะดวกแก่การประคองความเพียร และเป็นข่าวดีแก่ผู้สนใจปฏิบัติธรรม ข่าวของพระพุทธเจ้าแลสาวกก็เป็นข่าวอย่างนี้ ข้อสำคัญจงเป็นผู้มีสติระวังความเคลื่อนไหวของตนอยู่เสมอ ไปที่ไหน อยู่ที่ใด ให้มีธรรมหล่อเลี้ยงหัวใจอยู่เสมอ อย่านำโลกมาหล่อเลี้ยงและถือเป็นความสนิทสนม

คำว่าโลก ถ้าลงได้เข้าสิงหัวใจของใครแล้วจะเป็นไฟขึ้นมาจากที่ใจดวงนั้น ผลที่ปรากฏขึ้นจากไฟก็คือความรุ่มร้อน อยู่ที่ไหนก็ไม่สบาย ตามท่านกล่าวไว้ตำนานว่า มีสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่ง มีแผลอยู่บนศีรษะ ถูกหนอนเจาะหนอนไชกัดกินอยู่ทั้งวันทั้งคืน สุนัขตัวนั้นไปอยู่ที่ไหนก็ไม่สบาย ไปอยู่ในร่มไม้ก็หาว่าร่มไม้ไม่สบาย ไปอยู่ในที่แจ้งก็หาว่าที่แจ้งไม่สบาย ไปอยู่ที่ลับก็หาว่าไม่สบาย ไปนอนแช่น้ำก็หาว่าไม่สบาย วิ่งขึ้นอยู่บนบกก็หาว่าไม่สบาย ไปอยู่ที่ไหนก็หาว่าที่นั้น ไม่สบาย วิ่งไปวิ่งมาไม่เป็นอันกินอยู่หลับนอน เพราะเข้าใจว่าทุกข์มีอยู่ในสถานที่ต่างๆ ไม่คิดว่าทุกข์มีอยู่ที่แผลบนศีรษะ พอแผลของสุนัขหายไปเท่านั้น สุนัขตัวนั้นอยู่ที่ไหนก็สบาย

นี่เมื่อเทียบกับพวกเราผู้มีแผลอยู่บนศีรษะคือใจ ถูกหนอนคือกิเลสกัดไชกินอยู่ตลอดเวลา คือ ทางรูปก็กัดเข้ามา ทางเสียงก็กัดเข้ามา ทางกลิ่นก็กัดเข้ามา ทางรสก็กัดเข้ามา ทางเครื่องสัมผัสก็กัดเข้ามา กัดเข้ามาทุกด้าน เมื่อเป็นเช่นนั้นอยู่ที่ไหนก็ไม่สบาย จากที่นี่ไปอยู่ที่อื่นก็ไม่สบาย ออกจากที่แจ้งไปสู่ที่ลับก็ไม่สบาย ไปอยู่ใต้ร่มไม้ก็ไม่สบาย ไปอยู่ภูเขาก็ไม่สบาย ลงไปอยู่ในน้ำก็ไม่สบาย ขึ้นอยู่บนบกก็ไม่สบาย ขึ้นอยู่บนกุฏิก็ไม่สบาย ลงอยู่ใต้ถุนก็ไม่สบาย  ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่สบายไปเสียทั้งนั้น ที่นี่เราจะตำหนิอะไร เพราะแผลและตัวหนอนคือกิเลสมิได้อยู่ในที่อยู่นั้น แต่มันอยู่บนศีรษะคือใจของเราเอง

วิธีจะนำหนอนออกจากศีรษะนั้น คือเครื่องมือ ได้แก่ ศีล เครื่องกำจัดหนอนประเภทหยาบออกจากใจของเราได้ สมาธิ กำจัดหนอนประเภทกลางออกจากใจได้ ปัญญา เครื่องมือกำจัดหนอน คือกิเลสส่วนละเอียดจากใจได้ เมื่อเราได้นำเครื่องมือทั้งสาม คือ ศีล สมาธิ ปัญญาเข้าไปกำจัดหนอน คือ กิเลสอย่างหยาบ อย่างกลาง และอย่างละเอียด ออกจากใจจนหมดสิ้นแล้ว นั่งอยู่ที่ไหนก็สุโข วิเวโก มีความสงัดทั้งภายนอก มีความสงัดทั้งภายในใจ ไม่มีอะไรก่อกวนให้เกิดความกังวล ไม่มีหนอนกัดหนอนไชเหมือนที่เคยเป็นมา นี่เพราะอำนาจศีล สมาธิ ปัญญา ที่ทันสมัยกำจัดกิเลสแม้อยู่ภายในใจให้หมดไปได้

เพราะเหตุนั้นเราอยู่ไหน อย่าปราศจากสติ จงเป็นผู้มีสติทุก อิริยาบถ การเคลื่อนไหวไปมา การขบฉัน การนั่ง การนอน เว้นเสียแต่หลับนอนเท่านั้น จงให้เป็นไปกับสติ และปัญญา จะชื่อว่ามีธรรมรักษาตน จะเป็นผู้ปลอดภัยจากเวร

อนึ่ง ภัยหรือเวรนั้นไม่มีใครจะมาก่อสร้างให้ นอกจากตัวเราเองเป็นผู้ก่อเหตุทำเวรขึ้นมาใส่ตัวเอง ผลจึงปรากฏเป็นที่รุ่มร้อน นี่คือความปราศจากสติ ถ้าเป็นผู้มีสติอยู่แล้ว เรื่องทั้งนี้จะไม่มารังควานจิตใจของเราได้ จะเป็นไปเพื่อความสงบสุขทุกๆ อิริยาบถ การประกอบความเพียรทุกๆ ประโยค สติกับปัญญาเป็นธรรมสำคัญมาก และต้องแนบกับความเพียรนั้นๆ เสมอไป ถ้าหากว่าสติกับปัญญาได้ขาดจากประโยคแห่งความเพียรนั้นๆ แล้ว ความเพียรเหล่านั้นต้องกลายเป็นโมฆะไปทันที โปรดทราบไว้อย่างนี้ จะได้รู้สึกว่าสติปัญญาเป็นธรรมสำคัญอย่างไรบ้าง

การเดินจงกรม นั่งสมาธิทุกๆ ครั้ง ถ้าไม่มีสติปัญญาเป็นเครื่องกำกับรักษาอยู่แล้ว ก็ไม่ผิดอะไรกับเขาเดินเขานั่งธรรมดา ในอิริยาบถทั้งปวงต้องมีสติกับปัญญาประคองความเพียรติดต่อสืบเนื่องเป็นลำดับ กิเลสจะยกกองพลมาจากที่ไหนจะมารบ กวนใจของเราได้ เพราะตัวของเราเป็นตัวกิเลส และเป็นผู้ก่อเหตุขึ้นเผาผลาญตนเองให้ได้รับความเดือดร้อน ถ้ามีสติปัญญาประจำอยู่กับบทธรรมหรืออาการแห่งธรรมที่ตนกำลังพิจารณาอยู่ไม่ขาดวรรคขาดตอน ก็เป็นการเตรียมดับเพลิงกิเลสตัณหาอยู่ในตัว แล้วเพลิงกิเลสตัณหาตัวใดจะมาจากทางไหน จะมารังแกและทำลายเราให้ได้รับความเดือดร้อนจะไม่มีเลย นอกจากตัวเหตุดีชั่วเป็นเรื่องของตนสั่งสมขึ้นเองเท่านั้น

จงอย่าเห็นว่ากิเลสทุกประเภทจะมีอยู่ในที่ต่างๆ เข้ามาแทรกสิงหัวใจของเรา แล้วปล้นสะดมเอาหัวใจของเราไป ใจดวงเดียวอาศัยตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็นทางเดิน เมื่อส่งกระแสออกมาทางตา จึงปรากฏรูปขึ้นมา ส่งกระแสออกมาทางหู จมูก ลิ้น กาย ก็ปรากฏเป็นเสียง เป็นกลิ่น เป็นรส เป็นเครื่องสัมผัสขึ้นมา แล้วถือเอาอารมณ์ที่ตนได้รับสัมผัสนั้นๆ เข้าไปสู่ใจ กลายเป็นสมุทัยก่อทุกข์ขึ้นมา เราจะเห็นว่าอะไรเป็นตัวกิเลสเล่า เมื่อการก่อทุกข์ให้เกิดเป็นเรื่องของเราเองแล้ว นี่เราจะเห็นได้จากใจที่ปราศจากสติ ปราศจากปัญญา ปล่อยตัวเองไปตามอำนาจของตัณหาเครื่องผลักดัน เขาก็ฉุดลากไปสู่อารมณ์ต่างๆ ตามแต่อวิชชาความงมงาย และตัณหาความอยากไม่มีเพียงพอจะบังคับให้เป็นไปตามความต้องการของตน

เวลานี้เราบวชในพระศาสนา จงพยายามให้รู้ทางเดินของเสือโคร่งตัวสำคัญ ซึ่งเดินอยู่ทั้งวันทั้งคืน คือเดินไปตามกระแสของตา หู จมูก ลิ้น กาย ออกไปสู่รูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส แล้วนำอารมณ์เข้ามาเป็นอาหารกินอยู่ในถ้ำ คือกายนี้ เพื่อบำรุงเสือโคร่ง คืออวิชชาให้มีกำลังกล้า แล้วสั่งสมทุกข์ให้เกิดขึ้นในตัวทั้งวันทั้งคืน ความเป็นทั้งนี้เพราะความไม่มีสติ ไม่มีปัญญาเป็นพี่เลี้ยงรักษาใจ จึงเป็นช่องทางให้กระแสของใจเล็ดลอดออกไปสู่อารมณ์อันเป็นพิษ มาเผาผลาญตนเองให้เกิดเรื่องเกิดราวอยู่เสมอ

ฉะนั้น จงเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยสติและปัญญาอยู่ทุกๆ อิริยาบถเถิด คำว่า โลกวิทู เป็นผลอันเกิดขึ้นจากความเพียรที่มีสติและปัญญาเป็นธรรมหล่อเลี้ยง อย่างไรต้องรู้ชัดทั้งโลกนอก คือสภาวธรรมทั่ว ไป ทั้งโลกใน คือใจกับเรื่องที่เกิดจากใจ เพราะอำนาจสติกับปัญญาขัดเกลาอยู่เสมอ ความบริสุทธิ์พุทโธอันเด่นดวงจะโผล่ขึ้นมาอย่างเต็มที่ภายในใจของตน

วันนี้ได้อธิบายข่าวของพระพุทธเจ้า และข่าวแห่งสาวกทั้งหลาย ทั้งปฏิปทาที่ท่านทรงดำเนิน ทั้งผลเป็นที่พึงพอใจที่พระพุทธเจ้าและสาวกทรงได้รับมาแล้ว เพื่อให้เราทุกท่านได้ยึดเป็นหลักฐานน้อมเข้าสู่ข้อปฏิบัติของเรา เพื่อดำเนินให้เป็นไปตามแนวทางของท่าน ผลที่ได้รับจะเป็นที่พึงพอใจ

หลักสำคัญที่ได้ย้ำไว้ในวันนี้ คือเรื่องของสติกับปัญญา เป็นเรื่องใหญ่ที่สุดสำหรับผู้มุ่งทำตนให้พ้นจากทุกข์ในวันนี้วันหน้า ต้องเป็นผู้หนักในสติ สิ่งใดมาสัมผัสจงให้ทราบด้วยอำนาจสติและใคร่ครวญด้วยปัญญาทุก อย่าง และทุก อาการที่มาสัมผัส จะเข้ามาสัมผัสทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทางใดทางหนึ่งก็ตาม จงพยายามฝึกหัดสติและปัญญากับสิ่งที่มาสัมผัสนั้นๆ สิ่งที่มาสัมผัสทั้งหลายจะกลายเป็นหินลับสติและปัญญาให้คมกล้าขึ้นโดยลำดับ แต่ถ้าเราปล่อยไปตามอัตโนมัติของใจแล้ว สิ่งที่มาสัมผัสทั้งหลายจะกลายเป็นข้าศึกต่อสติกับปัญญาและต่อใจของตนเอง

ถ้าเราเป็นผู้มีสติอยู่ตลอดเวลา มีปัญญาคิดค้นอยู่เสมอแล้ว เราจะกำหนดสภาวธรรมอันใด ไม่ว่าข้างนอก ไม่ว่าข้างใน คือ กายกับใจ จะต้องทราบได้อย่างชัดแจ้ง เช่น พิจารณาสกลกายของเราตั้งแต่ผิวหนังเข้าไปถึงข้างใน แยกส่วนแบ่งส่วนแห่งร่างกายทั้งหลายออกเป็นชิ้นเป็นอันได้ตามต้องการ จะกำหนดโดยทางไตรลักษณ์ก็ได้ คือ โดยทาง อนิจฺจํ ความแปรสภาพของส่วนต่าง จะประจักษ์อยู่ตลอดเวลา ทั้งส่วนแห่งร่างกาย ทั้งส่วนแห่งเวทนา คือ สุข ทุกข์ เฉย ทั้งส่วนแห่งสัญญา คือความจำได้หมายรู้ ทั้งส่วนแห่งสังขาร คือ ความคิดความปรุงของใจ ทั้งส่วนแห่งวิญญาณ คือความรับรู้สิ่งที่มากระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จะพิจารณาโดยทางอนัตตา ความไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ในสิ่งเหล่านี้ก็ได้

สิ่งเหล่านี้จะประกาศไตรลักษณ์ประจำตนอยู่ตลอดเวลาไม่หยุดยั้ง นอกจากสติกับปัญญาจะไม่ติดต่อเท่านั้น จึงไม่ทราบว่าสภาวะเหล่านั้นประกาศตัวอย่างไรบ้าง คำว่า อนิจฺจํ  คือความแปรสภาพอยู่เสมอ สภาวธรรมข้างนอกทั่ว ไปก็แปร ภายในร่างกายทุกส่วนก็แปร ความสุข ทุกข์ เฉย ปรากฏขึ้นก็แปร สัญญาความจดจำก็แปร สังขารความคิดนึกของใจก็แปร วิญญาณความรับรู้ก็แปร แต่ละอย่างๆ มีความแปรสภาพประจำตนอยู่เสมอ ความเป็นทุกข์ ความเป็น อนตฺตา ก็เป็นจักรตัวเดียวกันกับ อนิจฺจํ และอยู่ในเครื่องจักรไตรลักษณ์อันเดียวกัน เมื่อจักรตัวหนึ่งเริ่มไหวตัว จักรตัวอื่น ต้องเริ่มทำงานไปพร้อม กัน

ถ้าเราพิจารณาด้วยความมีสติปัญญาประจำตนอยู่เช่นนี้ จะไม่เห็นตัวจักรคือ ไตรลักษณ์ ได้แก่ อนิจฺจํ  ทุกฺขํ อนตฺตา ทำงานอยู่บนร่างกายและจิตใจของเราและสภาวธรรมทั่ว ไปได้อย่างไรเล่า เมื่อเห็นประจักษ์อยู่เช่นนี้จะมัวประมาทนอนใจอยู่อย่างไร ว่าสภาพเหล่านี้เป็นที่ไว้วางใจได้แล้ว นอกจากจะเห็นว่าสิ่งเหล่านี้เป็นตัวภัยทุกอาการของเขา หาความไว้วางใจไม่ได้แม้แต่ชิ้นเดียว ทั้งสิ่งที่ผ่านมาแล้ว ทั้งสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ทั้งสิ่งที่เห็นประจักษ์อยู่ในขณะนี้ เป็นกองเพลิงเช่นเดียวกัน คือ จะอาศัยกาย กายก็แตก จะอาศัยสุข สุขก็แตก เฉย เฉยก็แตก สัญญาก็แตก สังขารก็แตก วิญญาณก็แตก ทุกๆ อาการต้องแตกทั้งนั้น

แล้วจะอาศัยอะไร มีแต่ของแตกหักหมดทั้งร่าง ถ้าถือกายเป็นเรา กายแตกเราก็หมดที่พึ่ง ถือเวทนาเป็นเรา เวทนาแตกก็หมดที่พึ่ง ถือสัญญา สังขาร วิญญาณเป็นเรา สิ่งเหล่านี้แตกเราก็หมดที่พึ่งโดยสิ้นเชิง เลยกลายเป็นจิตอนาถา อาศัยอะไรมีแต่สิ่งแตกหัก นี่คืออุบายของปัญญาคิดหาความรอบคอบใส่ตัวเอง และพิจารณาเน้นลงไปอีกว่า เรานั่งอยู่กับทุกข์ นอนอยู่กับทุกข์ อิริยาบถทั้งสี่อยู่กับโรงงานแห่งไตรลักษณ์ ตัวจักรทำงานหมุนอยู่บนร่างกายและจิตใจของเราไม่มีวันปิดงาน ผลรายได้ตกออกมาจากโรงงาน คือ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา แผ่ไปทั่วโลกธาตุ

ผู้ไม่ฉลาดเพียงถูกสะเก็ดก็ร้องครางไปตามๆ กัน ฉะนั้นใครๆ จึงบ่นว่าทุกข์ บ่นว่าเดือดร้อน บ่นว่าบกพร่องขาดเขิน บ่นว่าไม่สะดวกกายสบายใจ บ่นว่าไม่สมหวัง เราอยู่บนโลกแปรปรวน เราอยู่ในโลกของไตรลักษณ์ คือ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา จะหาอะไรมาเป็นตัวเราได้เล่า ก็เราอาศัยเขา สิ่งที่ปรากฏขึ้นเราถือว่าเป็นของเราเสีย เมื่อสิ่งนั้นดับสลายไป เราจึงเสียใจ เราอยู่กับโลกที่ไว้ใจไม่ได้ ทุกคนและสัตว์จึงต้องเดือดร้อนไปตามๆ กัน

การพิจารณาอย่างนี้ก็เพื่อจะให้เห็นว่าโลกนี้เป็นอย่างไรนั่นเอง อนึ่ง การพิจารณาไตรลักษณ์และการรู้เห็นในไตรลักษณ์ ไม่ต้องถือเป็นความจำเป็นว่าจะต้องพิจารณาทั้งสามและรู้พร้อมๆ กันทั้งสามไตรลักษณ์ เพียงพิจารณาและเห็นเพียงไตรลักษณ์หนึ่งเท่านั้น ก็สามารถซึมซาบไปทั่วทั้งสามไตรลักษณ์ได้เหมือนกัน คำว่า โลกวิทู รู้โลก ไม่จำเป็นต้องไปนับเม็ดหินเม็ดทรายในแผ่นดินมีเท่าไร ในท้องมหาสมุทรมีเท่าไร ในแผ่นดินมีต้นไม้ภูเขาเท่าไร มีทรัพย์สมบัติ สัตว์ บุคคลเท่าไร คำว่า โลกวิทู รู้เพลงของโลก รู้กลมายาของใจตัวเองที่ไปสำคัญโลกว่าเป็นอะไร จึงไปยึดมั่นสำคัญผิดกลายเป็นพิษแก่ตัวเอง จนปรากฏเป็นกิเลสตัณหาอวิชชาขึ้นมา ให้เที่ยวเวียนว่ายตายเกิดในสงสาร ทุกข์แล้วทุกข์เล่าไม่มีวันจบสิ้นสักที โลกวิทูรู้ตามเป็นจริงซึ่งสภาวธรรมทั้งหลาย แล้วปล่อยวางไว้ตามสภาพของเขาเท่านั้น

การพิจารณาไตรลักษณ์ก็เช่นเดียวกัน ในส่วนแห่งกายทั้งหมดนี้ เราพิจารณาเพียงอาการใดอาการหนึ่งเท่านั้น ก็สามารถจะทราบในอาการทั้งหลายซึ่งเป็นส่วนแห่งกายนั้นด้วย และมีไตรลักษณ์ประจำตนเช่นเดียวกัน เมื่อเห็นชัดด้วยปัญญาแล้วจะทนถือมั่นสำคัญผิดอยู่อย่างไร ต้องปล่อยวางเป็นลำดับตามส่วนแห่งปัญญาที่เห็นชัดแล้ว เหตุที่ถือมั่นสำคัญผิดนั้นก็เพราะไม่เข้าใจชัด เหตุที่ยังไม่เข้าใจชัดก็เพราะกำลังของสติและกำลังของปัญญายังไม่เพียงพอ ถ้าพอแล้วอย่างไรก็ทนถืออยู่ไม่ได้ เมื่อเห็น อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ชัดแล้วต้องปล่อยวางและรู้เท่าตามเป็นจริง

ไตรลักษณ์ฝ่ายรูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส กับรูปกายของเราเป็นไตรลักษณ์ส่วนหยาบ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นไตรลักษณ์ส่วนกลาง จิตอวิชชา คือจิตที่มีอวิชชาครองอยู่จัดเป็นไตรลักษณ์ส่วนละเอียด ไตรลักษณ์ประเภทนี้มีประจำอยู่กับจิตอวิชชา คือจิตที่เต็มไปด้วยความลุ่มหลง ขยับตัวออกขณะไหนก็เป็นกิเลสขณะนั้น จงค้นดูให้ชัด เพราะสภาวธรรมทั้งหลายรู้มาหมดแล้ว ธรรมชาติอันนี้เป็นอะไรจึงไม่รู้ตนเอง ธรรมชาติอันนี้จะเป็นอะไรต่อไป หรือว่าธรรมชาตินี้เป็นเรา ถ้าเป็นเรา เราก็ติดเราอีก เราตัวนี้จะไปก่อกำเนิดขึ้นอีกในภพทั้งหลายไม่จบสิ้น เพื่อความรอบคอบเข้าเป็นลำดับ เพราะได้ตัดกิ่งก้านสาขา คือพิจารณาส่วนหยาบเข้ามาหมดแล้ว ต้องตัดลำต้นให้ขาดและถอนรากเหง้าขึ้นมาอีก ต้นไม้นั้นจึงจะตายฉิบหายไม่มีเหลือ

นี่เราตัดและรู้เท่ารูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส และรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณเท่านั้น ส่วนใหญ่ของสิ่งเหล่านี้คืออะไร รากเหง้าแห่งความลุ่มหลงคืออะไร ผู้มาถือกำเนิดเป็นธาตุเป็นขันธ์คืออะไร นั่นคือตัวการก่อเหตุที่สำคัญ จงพิจารณาให้เห็นธรรมชาตินั้นเป็นเช่นเดียวกับสภาวะทั้งหลายที่ผ่านมาแล้ว ความรู้อันนี้เป็นอะไร ได้ทำความรู้เท่าและปล่อยวางตนหรือยัง ถ้ายังไม่รู้ตนเองก็แสดงว่าเราฉลาดแต่ภายนอก ส่วนภายในเรายังโง่ เพื่อความฉลาดและรอบคอบ เราต้องขยับเข้าไปพิจารณาธรรมชาตินี้อีกทีหนึ่ง คือความรู้ที่เป็นตัวการ รากวัฏจักร รากความหมุนเวียน เชื้อแห่งกองทุกข์ทั้งมวลบรรจุไว้ในธรรมชาตินี้หมด

จงพิจารณาเข้าไปถึงธรรมชาติที่รู้ๆ ให้เห็นเป็นไตรลักษณ์อีกเช่นเดียวกับสภาวะอื่นๆ  อนิจฺจํ แปรสภาพอยู่รอบตัว ทุกฺขํ หลงอันนี้ต้องจมอยู่ในทุกข์ อนตฺตา ถือว่าเป็นเราเป็นของเราที่ไหน ธรรมชาตินี้เป็นตัวสมมุติที่ละเอียดยิ่งกว่าสมมุติใดๆ ในไตรโลกธาตุ ทั้งนี้โดยมากไม่มีใครจะพูดอย่างนี้ว่า ธรรมชาตินี้เป็นไตรลักษณ์หรือไม่ แต่ขอพูดโดยหลักธรรมชาติที่ได้ปฏิบัติมาและรู้เห็นอย่างไร ก็นำมาอธิบายให้ท่านทั้งหลายทราบเต็มกำลังของตนทุกแง่ทุกมุม มิได้ปิดบังไว้แม้จะไม่มีในตำรา แต่หลักธรรมชาติเมื่อพิจารณาเข้าไป มันปรากฏอยู่อย่างนี้ เพื่อท่านนักปฏิบัติที่สนใจจะได้ถือไว้เป็นข้อคิด เมื่อคราวจำเป็นเกิดขึ้นและจะได้นำมาพิจารณาแก้ไขตนเอง เพราะท่านนักปฏิบัติที่สนใจในธรรมอันยิ่งด้วยความเพียร จะต้องผ่านในหลักธรรมชาติที่กล่าวนี้อย่างแน่นอน ทั้งจะได้ทราบในหลักแห่งสวากขาตธรรมและนิยยานิกธรรม  ที่พระพุทธเจ้าประทานไว้แก่ผู้สนใจในธรรมปฏิบัติว่า ไม่เป็นโมฆธรรมไปตามสัญญาความคาดหมายเสียทีเดียว ยังมี สันทิฏฐิโก แฝงอยู่ด้วย ธรรมของพระองค์จะได้เป็นธงชัยให้โลกได้พิสูจน์ข้อเท็จจริงต่อไป

การพิจารณาผู้รู้ที่เป็นตัวสังสารจักร เพื่อให้ท่านนักปฏิบัติได้เห็นจุดจบแห่งภพหรือที่สุดของโลกอันแท้จริงลงได้ ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นว่ารู้โลก แต่กลับมาหลงธรรมในตัวเอง ผลสุดท้ายเลยกลายเป็นหลงทั้งโลกหลงทั้งธรรม เพื่อความรู้โลกรู้ธรรมอย่างแท้จริง จงพิจารณาลงจุดผู้รู้ที่เด่นดวงจนเห็นว่าเป็นตัวโทษหาชิ้นดีไม่ได้ ด้วยปัญญาที่ทันสมัย ใจดวงนี้จะระเบิดเชื้อวัฏฏะออกให้ดูอย่างเต็มใจ พร้อมทั้งความเห็นภัยจนน่าใจหายในขณะนั้น

เช่นเดียวกับเราไม่รู้ไปยึดเอาที่หลับนอนในถ้ำเสือซึ่งเขาอาศัยอยู่เป็นประจำ ได้ยินเสียงเสือกระหึ่มเข้าใจว่าเป็นเสียงฆ้องกลอง เลยเงี่ยหูฟังอย่างเพลินใจ แต่พอมีคนที่เขารู้ว่า ถ้ำเสือนอน และนี่คือเสียงเสือกระหนึ่งด้วยความหึงหวงถ้ำ เพียงได้ยินเขาบอกเล่าเท่านั้น ก็ตัวลอยออกมาด้วยความอกสั่นขวัญหายไปหมด โลดเต้นออกมาด้วยความกลัวจนไม่มีสติยับยั้ง ว่าระยะทางที่วิ่งออกมามีอะไรขวางหน้าอยู่บ้าง ยังไม่ทันจะคิด เพราะชีวิตมีราคาสูงกว่า นี่เสืออวิชชากระหึ่มขณะจะสิ้นซากจากจิตก็มีลักษณะเช่นเดียวกัน บรรดาท่านที่เคยผ่านเสืออวิชชามาแล้วอย่างโชกโชนจะไม่ให้ท่านกลัวอย่างไรเล่า ที่ยังเห็นว่าเสียงเสืออวิชชาเป็นเหมือนเสียงฆ้องเสียงกลอง ก็คือพวกเราผู้กำลังเป็นอวิชชาอยู่เท่านั้น ท่านที่เป็นวิชชาแล้ว ได้ยินแต่ข่าวอวิชชาผลิตทุกข์ให้สัตว์ได้รับความทรมาน ท่านก็กลัว

พออวิชชาถูกระเบิด คือปัญญาแตกกระจายออกแล้ว นั้นแลเราพ้นจากถ้ำเสือแล้ว ใครเล่าที่วิ่งออกมาจากถ้ำเสือจนตัวลอยแล้ว ยังจะพอใจไยดีกลับไปนอนฟังเสียงเพลงของเสือกระหึ่มในถ้ำเสืออีก บรรดาท่านผู้ผ่านถ้ำเสือออกถึงที่ปลอดภัยแล้ว ต้องออกอุทานในใจด้วยกันทุกรายว่า พ้นแล้วจากแดนแห่งความสมมุติ แดนแห่งความยุ่งเหยิง แดนแห่งความบกพร่อง แดนแห่งความเกิด แก่ เจ็บ ตาย จิตที่เป็นสมมุติกับกิเลสซึ่งเป็นตัวสมมุติด้วยกัน เกาะกันเข้ากลายเป็นก้อนสมมุติขึ้นมาพาให้สัตว์เวียนว่าย ธรรมชาติที่น่ากลัวนี้เราพ้นไปเสียแล้ว บัดนี้จิตของเราไม่ใช่จิตสมมุติ แต่กลายเป็นวิมุตติจิตขึ้นมาแล้ว ชื่อว่า การท่องเที่ยววกเวียนที่เคยเป็นมาได้ตัดสินกันแล้วในวันนี้ นับแต่ขณะนี้ไปเราจะไม่เป็นผู้ต้องหาขึ้นโรงขึ้นศาล เพื่อแก้คดีกล่าวหาจากอวิชชาอีกแล้ว อวิชชาผู้พาเกิดพาตายได้แยกทางกันกับเราแล้วในวันนี้ จิตของเราถึงแล้วซึ่งธรรมอันไม่ใช่วิสัยของอวิชชาจะตามยื้อแย่ง นี่อุทานของท่านที่หลุดลอยออกได้จากถ้ำเสือ

ข่าวของพระพุทธเจ้าและสาวกท่านดำเนินอย่างไรจึงถึงแดนแห่งความเกษม เราก็ดำเนินตามแนวทางของท่านเป็นลำดับมาจนถึงธรรมชาติที่รู้ๆ อันเป็นสหายของอวิชชาและถูกทำลายโดยสิ้นเชิงด้วยอำนาจของปัญญา จากนั้นไม่มีสมมุติใดๆ เข้าเคลือบแฝง แต่ธรรมชาติที่ไม่ใช่สมมุตินั้น ท่านให้นามแฝงว่า วิมุตติ เพื่อให้ลงกันได้กับโลกที่มีสมมุติ

ขอให้เป็นข่าวของพวกเรานักปฏิบัติอย่างนี้ ดำเนินอย่างนี้ เป็นมาอย่างนี้ รู้เห็นได้อย่างนี้ด้วยปัญญา เชื่อว่าไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์ ได้บวชในพระพุทธศาสนา ได้ดำเนินตามเยี่ยงอย่างของพระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลายจนเต็มกำลังความสามารถ ทั้งด้านความเพียรเพื่อแก้กิเลสอาสวะ ทั้งแดนแห่งความหลุดพ้นก็สุดขีดความสามารถอีกเช่นเดียวกัน

ดังนั้นขอให้บรรดาท่านผู้ฟังทุกท่าน จงน้อมเอาธรรมที่ทรงประทานไว้แล้วด้วยพระเมตตามาปฏิบัติ หากท่านจะปิดพระโอษฐ์ไม่ทรงโปรดสัตว์ผู้ยากจนเช่นพวกเรา เข้าสู่นิพพานไปเสีย ก็สุดหวังผู้ตั้งใจตามเสด็จพระองค์ท่านโดยทางธรรม ตามบทธรรม เป็นภาษาของเราว่า ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นชื่อว่าเห็นเราตถาคต แต่ไม่ทรงเห็นอย่างนั้น จึงโปรดประทานร่องรอยไว้ในธรรมทุกบททุกบาท โปรดทราบว่านั่นคือศาสนา ผู้ใคร่ต่อธรรมชื่อว่าใคร่ต่อศาสนา จงน้อมปฏิบัติเต็มกำลัง ผลที่ได้รับจะเป็นไปตามธรรมที่ศาสดาตรัสไว้ทุกประการ นับแต่ชั้นต้นจนถึงวิมุตติพระนิพพาน จะเป็นสมบัติของท่านทั้งหลายโดยไม่ต้องสงสัย จึงขอยุติธรรมเทศนาเพียงเท่านี้ เอวํ

 

www.Luangta.com or www.Luangta.or.th

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก