อย่าสุกก่อนห่าม
วันที่ 25 มกราคม 2546
สถานที่ : วัดป่าศรีโพนทอง จ.ร้อยเอ็ด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :

ค้นหา :

เทศน์อบรมพระ และฆราวาส

ณ วัดป่าศรีโพนทอง อ.โพนทอง จ.ร้อยเอ็ด

วันที่ ๒๕ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๖ [ค่ำ]

“อย่าสุกก่อนห่าม”

 

            หาสีผ้าให้มันคล้ายกับสีพระบ้าง สีอันนี้มันเป็นสีแบบฆราวาสไป พระเราให้มันมีสีของพระเป็นพื้นฐานเอาไว้เสมอ ถึงจะไม่เหมือนสีจีวรก็ตาม หรือผ้าห่มพิเศษก็ให้มีสีมันคล้ายคลึงกันกับสีของพระ ดำอย่างนี้มันก็ไปแบบหนึ่ง เป็นสีของฆราวาสไป ไม่ค่อยสนิทนัก ให้มีสีคล้ายคลึงกับสีพระ ถึงไม่เหลืองเหมือนจีวรก็ตามก็ให้มันคล้ายไปทางสีพระ ๆ ก็ยังดี อันนี้มันไปคนละโลกเป็นสีฆราวาสไปเลย เวลาพระมาห่มมันไม่สนิทใจนะ ถึงได้เตือน ว่าไม่สนิทใจ แต่ถ้าพระหน้าด้านมันได้หมดนั่นนะ เข้าใจไหมล่ะ ถ้าเป็นพระหน้าด้านมันได้ทั้งนั้น ไม่กินแต่ขี้เท่านั้นแหละ มันไม่ได้คำนึงถึงธรรมถึงวินัยอะไรนะ พระหน้าด้านมันมีเวลานี้กำลังมากขึ้นโดยลำดับ

            ทำอะไรต้องคำนึงถึงเพศเจ้าของ คำนึงถึงธรรมถึงวินัย เรามีศาสดา ศาสดาของเราคืออะไร คือธรรมคือวินัย “พระธรรมและพระวินัยนั้นแล จะเป็นศาสดาของเธอทั้งหลายแทนเราตถาคต เมื่อเราตายไปแล้ว” ถ้าเราไม่คำนึงถึงศาสดา คือถึงธรรมวินัยแล้วก็เรียกว่าเราไม่มีศาสดา นี่ตัดสินกันตรงนั้นนะ อย่าทำอะไรมักง่ายเกินไป มันเป็นเรื่องของกิเลสเสียมากต่อมากเวลานี้ เกี่ยวกับเรื่องธรรมและวินัยมันจะไม่มีนะเวลานี้ เรื่องกิเลสตัณหาลากเอาไปเป็นความสะดวกสบาย ๆ มันเป็นเรื่องคนไม่มีขื่อมีแป ไม่มีหลักมีเกณฑ์ ไม่มีความระลึกรู้เลยว่าผิด หรือถูก ชั่ว ดี ประการใด พระลูกพระหลานให้จำนะ

            อย่าทำสุ่มสี่สุ่มห้า มันดูถูกเจ้าของ ดูถูกศาสนา ใครมาก้าวเข้าวัดก็ตีตราให้เห็น กันเลย วัดนี้คือวัดอะไร นั่น ถ้าเราไม่มีธรรมมีวินัย มันตีตราเจ้าของ ฆราวาสเป็นฆราวาส พระเป็นพระ วัดเป็นวัด บ้านเป็นบ้าน มันต่างกันนะ บ้านกับวัดต่างกัน พระกับโยมต่างกัน เพราะฉะนั้นการปฏิบัติตัวจึงต้องต่างกันตลอดมา ทำสุ่มสี่สุ่มห้า สุกเอาเผากิน ๆ นั้นเป็นนิสัยของคนไม่มีธรรมมีวินัย ก็เท่ากับไม่มีศาสดาติดตัวนั่นเอง ผมเป็นพระแก่แล้วนะ เป็นปู่ของท่านทั้งหลายแล้วก็ยังได้เวลานี้ เป็นพ่อตาแม่ยายแล้วนะ เป็นปู่ก็ยังได้ เพราะฉะนั้นจึงได้สอนลูกสอนหลาน

            อะไรจะสวยงามยิ่งกว่าพระผู้มีธรรมมีวินัย ถ้าพระผู้มีธรรมมีวินัยด้วยความเคร่งครัด เรียกว่ามีศาสดาประดับตน คือมีธรรมวินัยประดับตนนั่นเอง ท่านว่า “ธรรมวินัยนั้นแล จะเป็นศาสดาของเธอทั้งหลายแทนเราตถาคต เมื่อเราตายไปแล้ว” ฟังซิ แล้วอะไรจะสวยงามยิ่งกว่าพระผู้มีธรรมมีวินัยติดกับตัว ความสวยงามของพระไม่ได้เอารูปร่างกลางตัวอย่างเขามาวัดกัน วัดนางงามเท้างามอะไร นั่นเป็นเรื่องของโลกเขา เขาถือเอารูปร่างลักษณะอะไรเป็นความสวยงาม แต่พระนี่เอาศีลเอาธรรมเป็นเครื่องประดับ สวยงามอยู่ที่นี่ ไม่ได้งามแบบโลกเขา

เพราะฉะนั้นจึงอย่าให้ห่างเหินจากธรรมจากวินัย สติความระลึกรู้ ให้รู้ตัวอยู่เสมอ จนเคยชินกับการรักษาตัว คนมีสติย่อมมีทางรักษาตัวได้ดี คนไม่มีสติไม่ทราบรักษาเวลาไหน มีแต่เวลาเลอะเทอะ ๆ ไปหมด อะไรจะสวยงามยิ่งกว่าศาสดาองค์เอก และสวยงามยิ่งกว่าพระธรรมวินัยของศาสดา นี่ละเป็นเครื่องประดับโลก นี่พูดสอนลูกสอนหลาน มันจะเลอะเทอะไปแล้วนะ ศาสนาจะเลอะเทอะ พระเลอะเทอะเลวร้ายกว่าประชาชนเลอะเทอะนะ ผิดกัน เพราะเพศสูงกว่าประชาชน ตามกิริยาที่ทำมันจึงเป็นเหมือนผ้าขาว ผ้าขาวถูกอะไรนิดหนึ่ง เปื้อนให้เห็นชัดเจน

ถ้าเป็นผ้าดำ ๆ ด่าง ๆ อย่างนี้ก็ไม่ค่อยเด่นง่ายนัก ถ้าเป็นผ้าแบบหลังหมีดำแล้วก็ไม่ทราบว่าอะไรเปื้อนไม่เปื้อน นี่ละเพศของพระเรามันเป็นเพศผ้าขาว ได้สำรวมระวังตนอยู่ตลอดเวลา แล้วงามตาเย็นใจ ศาสนาเอามาให้เห็นผลประจักษ์กับตัวซิ อย่าไปเอาคัมภีร์มาประดับ เรียนได้ชั้นนั้นชั้นนี้ เอาความจดความจำจากคัมภีร์มาประดับตัวเอง ตัวเองไม่สำรวมในธรรมในวินัยมันก็เหมือนเอาแก้วมาประดับลิงนั่นแหละ มันใช้ไม่ได้นะ ศาสนาของพระพุทธเจ้าเป็นศาสนาที่ทรงคุณภาพอันเลิศเลอ ไม่ใช่ศาสนาเหมือนทั้งหลายที่มีอยู่ทั่วโลกนี่นะ ศาสนาทั่วโลกนี้เป็นศาสนาของคนมีกิเลส ศาสนาของพระพุทธเจ้าเป็นศาสนาของผู้สิ้นกิเลส

เพราะฉะนั้นความรู้ความเห็นทุกอย่างจึงออกมาจากใจที่สิ้นกิเลสแล้ว บริสุทธิ์ไปหมด ถูกต้องไปหมด ศาสนาคนมีกิเลสก็เหมือนเรา ๆ ท่าน ๆ เป็นแต่เพียงยกตนขึ้นว่า เป็นเจ้าของศาสนาเฉย ๆ ความรู้ความเห็นอยู่ภายในใจนั้น มันเป็นเหมือนกับคนทั่ว ๆ ไปเพราะมีกิเลสเหมือนกัน ความผิด ถูก ชั่ว ดี ก็ต้องมีทำผิดทำพลาด เป็นธรรมดาทั่ว ๆ ไปเหมือนกัน เป็นแต่เพียงว่ายกตนให้ว่าเป็นเจ้าของศาสนา เขาให้ชื่อว่าศาสนานั้นศาสนานี้ ผู้เป็นเจ้าของศาสนานั้นก็คือคลังกิเลสเราดี ๆ นี่แหละ

เมื่อเป็นคลังกิเลสแล้ว การประพฤติตัวจะให้ถูกต้องแม่นยำเหมือนผู้สิ้นกิเลส ศาสนาที่สิ้นกิเลสนั้นมันเป็นไปไม่ได้ ต่างกันอย่างนี้นะ คำว่าศาสนา ๆ หลักใหญ่อยู่ที่จิตใจของผู้เป็นเจ้าของศาสนา พระพุทธเจ้าของเราตรัสรู้ขึ้นมา นั่นแหละขณะเดียวกัน คือตรัสรู้ขึ้นมากระจ่างแจ้งในธรรมทั้งหลาย กับกิเลสขาดสะบั้นลงไปจากพระทัยในขณะเดียวกัน ไม่มีกิเลสตัวมัวหมองให้สงสัยสนเท่ห์อันเป็นเหตุให้ทำผิด ๆ ถูก ๆ เลย มีแต่ถูกต้องไปโดยลำดับ นี่คือคำสอนของพระพุทธเจ้า ท่านจึงเรียกว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว

อย่างที่เราสวดทุกวันนี้ว่า สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ตรัสไว้ชอบแล้ว คำว่า “ชอบแล้ว” “ดีแล้ว” ก็คือว่า ถ้าเป็นอาหารก็เหมาะสม ไม่เค็มเกินไป ไม่หวานเกินไป ไม่เปรี้ยวเกินไป ไม่เผ็ดเกินไป ไม่มีคำว่าเกินไปในอาหารประเภทนั้น ๆ เป็นอาหารที่เหมาะสม ไม่ได้มีข้อต้องติว่าเค็มเกินไป เผ็ดเกินไป เป็นต้น อาหารนี้เรียกว่าอาหารพอดี ธรรมก็เป็นสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว ถูกต้องแล้ว ถ้าเป็นอาหารก็ควรแก่การรับประทานได้โดยสมบูรณ์แล้ว ไม่มีสิ่งที่เศษที่เดนเข้ามาเกี่ยวข้องว่าเกินไป ๆ นั่นแหละความพอดี

ธรรมของพระพุทธเจ้าก็เป็นความพอดี ท่านสอนโลกด้วยความบริสุทธิ์ใจ ธรรมของท่านได้แก้กิเลส ชำระกิเลส ปราบปรามกิเลสให้สิ้นไปจากใจสัตว์โลกมากมาย เพราะธรรมเป็นเครื่องมือที่เหมาะสม เป็นเครื่องชะล้างที่เหมาะสม ชะล้างจนกระทั่งหมดไม่มีเหลือเลย ธรรมเป็นเครื่องมือชะล้างความสกปรกโสมม คือกิเลส กิเลสคือตัวสกปรก อยู่ที่ไหนติดที่ไหนสกปรก เหมือนสิ่งสกปรกทั้งหลายมาติดเสื้อติดผ้า ติดเนื้อติดตัวเราสกปรกไปตาม ๆ กันนั้นแหละ ต้องได้ชะได้ล้างเสมอ ไม่อย่างนั้นไม่สบาย ยิ่งคนที่ชอบสะอาดด้วยแล้ว สิ่งสกปรกมาติดมาเปื้อนเพียงเล็กน้อยเท่านั้นไม่สบายใจ รีบซักรีบล้างออก

ท่านผู้มีความสำรวมในศีลในธรรมของตนก็เป็นอย่างนั้น พระที่มีความสำรวมระวังในศีลในธรรมของตนท่านระวังของท่านอย่างนั้น จึงเรียกว่าเป็นผ้าขาวอยู่ตลอด คือสะอาด ใจของท่านก็สะอาด แม้จะมีกิเลสอยู่ก็ตาม ในขณะที่มีกิเลสอยู่ท่านก็สะอาดด้วยธรรมเครื่องชะล้างติดแนบกันอยู่เสมอ ท่านไม่ปล่อยวางธรรมเครื่องชะล้าง ชะล้างไปมาก็สะอาด  สะอาดจนบริสุทธิ์ได้เต็มที่เลย ดังพระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนสาวกทั้งหลายได้บรรลุอรรถธรรมมาเป็นลำดับลำดา ล้วนแล้วตั้งแต่ธรรมของพระพุทธเจ้ามาชำระล้างบรรดากิเลสทั้งหลายของสัตว์ จนกลายเป็นสาวกขึ้นมา ๆ

ซักฟอกไปในขั้นใด ซักฟอกขั้นนี้ รายนี้สำเร็จพระโสดา ซักฟอกได้ขั้นนั้น รายนั้นสำเร็จเป็นพระสกิทาคา ซักฟอกได้ขั้นนั้นรายนั้นสำเร็จเป็นพระอนาคา ซักฟอกขั้นนั้นรายนี้สำเร็จเป็นพระอรหัตบุคคลขึ้นมา สำเร็จขึ้นมาจากอริยบุคคลทั้งสี่ประเภทนี้ มาจากธรรมซักฟอกทั้งนั้น ธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นเครื่องซักฟอกโดยถ่ายเดียว เพราะฉะนั้นผู้มีธรรมประจำใจ เฉพาะอย่างยิ่งสติ หิริโอตตัปปะ  มีเป็นภาคพื้นประจำเพศของตน สติระลึกติดแนบอยู่กับใจ คิดเรื่องอะไร คิดดี คิดชั่วจะคิดที่ใจ

เมื่อสติมีอยู่กับใจแล้วจะรับทราบกันทันที แล้วปลดเปลื้องกันได้ทันท่วงทีในสิ่งที่คิดผิด นั่นแหละเรียกว่าเป็นผู้มีหิริโอตตัปปะ คนที่มีหิริโอตตัปปะย่อมมีสติระมัดระวังตัว คนไม่มีหิริโอตตัปปะ ไม่มีความสะดุ้งกลัวต่อบาปต่อกรรมนั้น เรียกว่าเป็นคนหน้าด้าน พระก็เป็นพระหน้าด้านสันดานหยาบ ไม่เป็นคู่ควรกับพระทั้งหลายที่จะมาคบค้าสมาคม บรรดาพระที่มีความสำรวมระวัง มีหิริโอตตัปปะท่านรังเกียจพระประเภทสกปรก จิตใจดำเหมือนหลังหมี กาย วาจา ดำเหมือนหลังหมีไปหมด ไปที่ไหนจูงหมีไปด้วย จูงหมีไปรอบตัวจนไม่มองเห็นพระ เห็นแต่หมีล้อมหน้าล้อมหลัง คือความดำเต็มตัวในหัวใจ ความประพฤติ พูดออกมาก็ดำไปเลย เพราะไม่มีสติ ไม่มีหิริโอตตัปปะ พูดไม่สำรวมระวังตน

จึงอย่างน้อยมักมีแต่ความผิดพลาด มากกว่านั้นเป็นคำพูดหน้าด้านสันดานหยาบ บาปบุญไม่ระลึกถึงเลย ยิ่งเป็นหลังหมีใหญ่ละอย่างนี้ เพราะฉะนั้นเราจึงต้องระวังเราเป็นพระ คำว่าพระแปลว่าอะไร แปลว่าประเสริฐ ชื่อของพระก็ประเสริฐแล้ว แล้วพยายามปฏิบัติตามอรรถตามธรรมที่ประเสริฐแล้วเราจะค่อยดีขึ้นเป็นลำดับ ๆ จนกระทั่งถึงขั้นประเสริฐโดยหลักธรรมชาติของใจที่ซักฟอกเรียบร้อยแล้ว ศาสนาพุทธของเราไม่ใช่ศาสนาเล่น ๆ ศาสนาเต็มไปด้วยรสชาติแห่งธรรมทุกขั้นของผู้ปฏิบัติบำเพ็ญได้ ไม่มีคำว่าจืดจาง สด ๆ ร้อน ๆ ตลอดเวลาก็คือธรรมของพระพุทธเจ้า

เราปฏิบัติได้มากน้อยเพียงไร รสชาติแห่งธรรมที่เราได้รับนั้น จะทำให้จิตใจดื่มด่ำ อบอุ่นภายในจิตใจของตน เพราะธรรมเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงอยู่เสมอ พระจึงเป็นสำคัญของชาวพุทธเรา เฉพาะอย่างยิ่งทั่วแดนไทย ถ้าพระเราตั้งใจปฏิบัติแล้วอะไรจะสง่างามยิ่งกว่าประเทศที่มีพระพุทธศาสนา มีพระเป็นเครื่องชักจูงญาติโยม เป็นผู้นำ พระเป็นผู้นำด้วยความมีศีลบริสุทธิ์ มีหิริโอตตัปปะ มีสติประจำตัว มีธรรมประจำตัว ถึงแม้จะยังไม่มีธรรม เช่น สมถธรรม สมาธิธรรม ปัญญาธรรม วิมุตติธรรม ประจำใจ หรือได้เป็นสมบัติของตนแล้วก็ตาม แต่เมื่อมีศีล คือความสวยงามทางความประพฤติ กิริยาแห่งการแสดงออกสวยงามไปด้วยศีล เพียงเท่านั้นประชาชนทั้งหลายเขาก็เคารพเลื่อมใส ไม่แสลงหูแสลงตา

ยิ่งเราบำเพ็ญจิตใจเข้าไปโดยทางจิตตภาวนา จนจิตใจได้รับความสงบเย็นใจ ๆ ไปโดยลำดับ ตัวเองก็ชุ่มเย็นภายในใจ นั่งอยู่ที่ไหนอบอุ่นด้วยจิตใจที่สงบเย็น แล้วอบรมอยู่ไม่หยุดไม่ถอย บำเพ็ญอยู่เสมอ เรียกว่าแสวงหารายได้ บำเพ็ญการงานที่ชอบธรรมและเลิศเลอของตน คือสมาธิ ปัญญา หรือความพากความเพียรเพื่อสมาธิ ปัญญา วิชชาวิมุตติ อยู่ภายในตนอยู่เสมอ ผลรายได้ย่อมปรากฏขึ้นมา เหมือนเขาหาทรัพย์สินเงินทอง เขาหากันทั้งวัน ๆ เขาย่อมได้มาเลี้ยงอัตภาพร่างกาย ครอบครัวเหย้าเรือนของเขาให้พอเป็นไปได้ทุกวัน ๆ รู้จักประหยัดมัธยัสถ์ไม่สุรุ่ยสุร่าย ครอบครัวนั้นตั้งตัวได้ ๆ

พระเราเป็นผู้ขวนขวายหาศีลหาธรรม บำเพ็ญธรรมประจำตน ก็มีผลรายได้มาเป็นประจำ ๆ เพิ่มขึ้นทุกวัน ๆ แล้วสำรวมระวังตนไม่ให้ศีลด่างพร้อย มีหิริโอตตัปปะ ความสะดุ้งกลัวต่อบาปต่อกรรมติดแนบอยู่กับใจ ศีลก็บริสุทธิ์ตลอดไป สติกำกับจิตใจ จากนั้นก็เป็นสติกำกับความพากเพียรที่มีอยู่ในใจของเรา ซึ่งเป็นนักภาวนา จิตใจก็สงบเย็น นี่ละธรรมพระพุทธเจ้าแสดงผลให้เห็นประจักษ์สด ๆ ร้อน ๆ แก่ผู้บำเพ็ญ ไม่ใช่ว่าคำว่าธรรม ๆ หรือเรียนมาแล้วเป็นมรรคเป็นผลขึ้นมาอย่างนั้น ถ้าเช่นนั้นก็ไม่ต้องปฏิบัติ ไปเรียนธรรมแล้วก็เป็นมรรค เป็นผล เป็นสวรรค์ นิพพาน สิ้นกิเลสไปเลย ไม่จำเป็นต้องมีการปฏิบัติ

อันนี้ความจดความจำจากการศึกษาเล่าเรียนมานั้น มาเป็นปากเป็นทาง เป็นแนวความคิดความอ่าน และเป็นภาคปฏิบัติต่อไป เรานำความจดจำจากคัมภีร์ใบลานที่เราศึกษาเล่าเรียนมาแล้วนั้น มาประกอบการงานแห่งสมณะของเราให้ถูกต้องตามเพศของตน กาย วาจา รักษาไปด้วยศีลด้วยธรรม ใจยิ่งรักษาด้วยธรรมเป็นประจำ จิตใจก็เจริญภาวนา คำว่า “ภาวนา” ครั้งพุทธกาลนั้นเป็นแก่นของศาสนา เป็นหัวใจของพระ การภาวนาในครั้งพุทธกาล ตำรับตำราท่านแสดงไว้โดยถูกต้องสมบูรณ์แบบทุกอย่าง ไม่บกพร่องเลย งานของพระในครั้งพุทธกาลนั้น ส่วนมากต่อมากมีแต่งานชำระกิเลส สะสางกิเลสออกจากใจของตน

คำว่ากิเลสนั้นคืออะไร คือสิ่งที่เป็นพิษเป็นภัยแก่หัวใจของเรา เช่น ความโลภ เรียกว่ากิเลสมันฝังอยู่ที่ใจ ความโลภก็เป็นพิษตลอดเวลา หิวโหยโรยแรง มีแต่อยากได้อยากเอาอย่างเดียว ไม่คำนึงถึงความพอดิบพอดี ไม่เห็นใจของใคร ขอให้ได้ ได้จากวิธีการใดก็เอา นี่กิเลสมันเป็นอย่างนั้น ได้ด้วยการฉก การลัก ก็เอา ได้ด้วยการเอารัดเอาเปรียบก็เอา ได้ด้วยการคดโกงรีดไถก็เอา ขอแต่ให้ได้มา นี่คือกิเลสพาหา ทำความเดือดร้อนแก่ตน สร้างบาปสร้างกรรมแก่ตน และทำความเดือดร้อนแก่ผู้อื่นทั่ว ๆ กันไป นี่แสดงเพียงย่อ ๆ เช่น ความโลภมันแสดงอย่างนี้

ความโกรธถ้าไม่ได้อย่างใจแล้วเกิดความฉุนเฉียว โกรธแค้นผูกกรรมผูกเวร ดีไม่ดีฆ่ากันแหลกเหลวไปหมด แล้วราคะตัณหาคือความกำหนัดยินดีในหญิงในชาย มีอยู่ทั่วไปทั้งสัตว์ทั้งบุคคล สัตว์ก็มีราคะตัณหาตามประเภทของสัตว์นั้น ๆ ธรรมชาตินี้ฝังอยู่ภายในจิตใจ ไม่ต้องไปศึกษาเล่าเรียนจากผู้ใด หากเป็นเรื่องดึงดูดชักจูงสัตว์นั้น ๆ ให้ไปตามช่องตามทางของกิเลส คือราคะตัณหานั้น ๆ นั่นแล เป็นอย่างนี้ เหล่านี้เรียกว่ากิเลส และมันฝังอยู่ภายในจิตใจ เมื่อมันฝังอยู่ภายในจิตใจ เราผู้บำเพ็ญธรรมเราก็ชำระกิเลสเหล่านี้ รักษาความโลภไม่ให้มันแสดงภายในจิต

ความโกรธ เราโกรธใครก็ตาม การโกรธเขาเราเป็นผู้โกรธก่อน ก่อนเรื่องความโกรธจะกระทบกระเทือนถึงผู้อื่นนั้นมันเผาเราก่อนแล้ว เราไม่พอใจ เราเคียดแค้นให้สัตว์ตัวใด บุคคลผู้ใด เราย่อมเอาไฟเผาเรา ก่อไฟเผาเราขึ้นแล้วก่อนอื่น ไฟอันนี้จึงออกไปกระทบกระเทือนคนอื่นให้เกิดความเดือดร้อนขุ่นมัว เสียอกเสียใจ เราก็ระงับไม่สร้างอารมณ์ที่เป็นความโกรธขึ้นมา มันโกรธขึ้นมาเราระงับเราก่อน เราโกรธให้ผู้ใดก็คือความโกรธนี้เป็นกิเลสของเรา มันเกิดขึ้นที่เรา มันเผาเราก่อน เราก็แก้ไขบังคับมันไม่ให้โกรธ แล้วพยายามทำจิตให้สงบ นี่เป็นพื้นฐานที่จะทำกิเลสเหล่านี้ให้เบาบางลงไป คือความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหาเป็นกิเลส

เราพยายามอบรมจิตใจของเราด้วยจิตตภาวนา อบรมจิตให้มีความสงบด้วยสติ ด้วยบทภาวนา เช่น เราบริกรรมภาวนา จะบริกรรมคำใดก็ตาม พุทโธ ธัมโม สังโฆ หรือมรณัสสติ ในกรรมฐาน ๔๐ ห้องนั้นเรานำมาภาวนาเพื่อความสงบใจได้ทั้งนั้น แล้วแต่เราจะเลือกเอาธรรมะบทใดที่เหมาะกับจริตนิสัยของเรา เราก็นำมาบริกรรมภาวนารักษาจิตนี้ด้วยสติ รักษาคำบริกรรมนี้ให้บังคับคำบริกรรมให้อยู่กับจิต ให้จิตนี้ติดแนบกับคำบริกรรม เช่น พุทโธ ๆ เป็นต้น มีสติติดแนบอยู่กับคำบริกรรมนี้ ทำประจำทุกวัน ๆ ไม่อ่อนข้อย่อหย่อน ตั้งหน้าตั้งตาเป็นความพากความเพียร เป็นการเป็นงานจริง ๆ แล้วจิตของเราจะสงบลงไป

จิตสงบย่อมไม่ยุ่งเหยิงวุ่นวายคิดเรื่องอารมณ์ต่าง ๆ ความโลภก็ไม่กวนใจ ความโกรธก็ไม่กวน ราคะตัณหาก็ไม่กวน มีแต่ทำใจให้สงบเย็นไปเรื่อย ๆ เมื่อใจสงบเย็นลงไปแล้ว เราก็เห็นผลประจักษ์ใจของเรา ว่าการบำเพ็ญธรรมมีผลอย่างนี้ แต่ก่อนใจของเราเดือดร้อนวุ่นวายระส่ำระสาย คิดนู้นคิดนี้ ยุ่งเหยิงวุ่นวาย บัดนี้เราได้ภาวนาอยู่เสมอ จิตย่อมมีความอบอุ่นในธรรม เย็นใจของเรา เราก็สบาย จากนั้นจิตก็แน่นหนามั่นคงขึ้นมา เพราะการอบรมอยู่โดยสม่ำเสมอ แล้วก็เป็นสมาธิแน่นหนามั่นคงขึ้นที่ใจ ไม่วอกแวกคลอนแคลน อิ่มอารมณ์ ไม่อยากเสาะไม่อยากแสวง ไม่หิวโหยในการอยากดูรูป อยากฟังเสียง อยากสูดกลิ่น ลิ้มรสต่าง ๆ ซึ่งเป็นอารมณ์ของใจที่หิวโหยอยู่แล้ว ชอบสัมผัสสัมพันธ์กับสิ่งเหล่านี้

ใจเมื่อมีความสงบแล้วก็ไม่ดีดไม่ดิ้น เพื่อหาสิ่งเหล่านี้มากวนใจและเผาตัวเอง นี่ท่านเรียกว่าจิตเป็นสมาธิ จิตเป็นสมาธิแล้วก้าวเดินทางด้านปัญญา พินิจพิจารณาแยกธาตุแยกขันธ์ อสุภะอสุภัง ทุกฺขํ อนิจฺจํ อนตฺตา พิจารณาเป็นการเป็นงาน ตลบทบทวนหลายครั้งหลายหนเป็นประจำใจ เรียกว่าความเพียรประจำ พิจารณาสิ่งเหล่านี้ด้วยปัญญา จิตใจย่อมมีความสว่างไสวขึ้นโดยลำดับลำดา นี่ท่านเรียกว่าปัญญา เป็นขึ้นมาแก่ผู้ปฏิบัติเรื่อย ๆ สูงขึ้นเรื่อย ๆ ละเอียดเรื่อย ๆ แล้วจิตใจก็ย่อมมีความผ่องใสขึ้นเป็นลำดับลำดา นี่คือจิตใจที่ได้รับการบำรุงส่งเสริม

ไม่มีแต่การทำลายด้วยความไม่เอาไหน ๆ ของใจ ใจจึงไร้ค่าไม่เกิดประโยชน์ พระก็เป็นพระไร้ค่ามีแต่ผ้าเหลืองหุ้มห่อตัวอยู่เท่านั้น หาคุณค่าไม่ได้ เพราะความประพฤติเพื่อความเป็นศีลเป็นธรรมสมเพศของตนไม่มี ก็มีแต่ผ้าเหลือง อยู่ร้านตลาดที่ไหนมันก็มี ถ้าเราสำรวมระวังแล้วผ้าเหลืองเป็นเครื่องประดับศีลของเรา ธรรมของเรา เพศของเรา ไปที่ไหนเราไม่มีที่ต้องติตน เรามีความชุ่มเย็นเป็นลำดับของธรรมที่เราบำเพ็ญได้ ไปที่ไหนย่อมมีความสง่างาม นี่ล่ะพระงาม งามด้วยศีล งามด้วยสมาธิ งามด้วยปัญญา งามด้วยวิชชาวิมุตติหลุดพ้นภายในใจ ใจเป็นเลิศประเสริฐสุด ครองใจที่บริสุทธิ์ ที่ว่างามสุดยอด คือใจนั้นแล ถึงไม่เป็นขั้นนั้นก็ตาม งามตามลำดับลำดาของผู้บำเพ็ญธรรมทั้งหลาย หรือศีลให้ประดับตนอยู่เสมอย่อมเย็น นี่แหละการปฏิบัติธรรม

พุทธศาสนาของเราเป็นศาสนาที่เลิศเลอสุดยอดแล้ว เป็นแต่เพียงว่าไม่ค่อยมีใครสนใจปฏิบัติตาม เรียนมาก็ได้แต่ความจำ ไม่ได้มรรคได้ผล แก้กิเลสตัวเดียวก็ไม่ได้ จากการเรียน จากการจดจำมา เราต้องนำมาปฏิบัติ เหมือนเขาสร้างแปลนบ้านแปลนเรือน เขาทำแปลนเรียบร้อยแล้ว เขาก็เอาแปลนนั้นมากางปลูกบ้านปลูกเรือน ตึกรามบ้านช่อง กี่ห้องกี่หับ กว้างแคบสั้นยาวขนาดไหนเขาก็ทำตามแปลน ก็สำเร็จผลขึ้นมาตามที่เราต้องการจากแปลนนั้น ๆ และสร้างบ้านสร้างเรือนตามแปลนนั้น ๆ ผลก็ปรากฏขึ้นมา ๆ จนกระทั่งเป็นตึกรามบ้านช่องอันสมบูรณ์ อยู่ได้หายกังวล

การศึกษาเล่าเรียนมา ก็เป็นการศึกษาทางแบบแปลน ท่านว่าตำรา ๆ นั่นละคือแบบแปลนของพุทธศาสนา แบบแปลนของมรรค ผล นิพพาน อยู่ที่ตำรา เรียนมาแล้วเรานำมาปฏิบัติ ถ้าเรียนเฉย ๆ ก็ได้แต่ความจำเท่านั้น ไม่ได้มีความจริงที่ประจักษ์ใจของตนปรากฏขึ้นมาเลย จึงต้องเรียนแล้ว ได้แปลนมาแล้วคือได้ตำรามาแล้ว ออกมากาง ปฏิบัติตามตำรับตำรา เช่น ท่านสอนให้ภาวนา ภาวนาอย่างไรเราก็ปฏิบัติตามนั้นเรียกว่าปฏิบัติตามแปลน แล้วผลก็ปรากฏเป็นความสงบร่มเย็นขึ้นมาเรื่อย ๆ เรื่อยขึ้นไป ทำตามแปลนนั้น จนกระทั่งวิมุตติหลุดพ้น

ถ้ามีการปฏิบัติ มรรค ผล นิพพานไม่จืดไม่จางสด ๆ ร้อน ๆ อยู่กับภาคปฏิบัติ ถ้ามีแต่การศึกษาเล่าเรียนเฉย ๆ ก็มีแต่ความจำ กิเลสไม่ถลอกปอกเปิกบ้างเลย ถอนกิเลส ฆ่ากิเลสไม่ได้ด้วยความจำ แต่ฆ่าได้ด้วยการปฏิบัติตามความจำนั้นที่เราเรียนมา นี่ละถ้าเราทั้งหลายอยากเห็นมรรคเห็นผล เหมือนครั้งพุทธเจ้าที่ท่านประทานโอวาทแก่บรรดาสัตว์ทั้งหลายมีสาวกเป็นต้น ท่านตักตวงเอามรรคผลนิพพานมาเป็นลำดับลำดา เพราะท่านปฏิบัติตามแปลนคือศาสนธรรม ที่เรียกว่าสวากขาตธรรม ที่ตรัสไว้ชอบแล้ว ปฏิบัติตามธรรมที่ตรัสไว้ชอบแล้ว การปฏิบัติก็ชอบ ผลก็ปรากฏเป็นผลที่ชอบธรรมขึ้นมา แล้วให้เป็นความสงบเย็นใจแก่ผู้ปฏิบัติ นี่ละธรรมของพระพุทธเจ้า

ศาสนาพุทธของเราเป็นศาสนาสด ๆ ร้อน ๆ เป็นศาสนาที่ถูกต้องดีงาม เป็นศาสนาที่ทรงมรรคทรงผลตั้งแต่ต้นถึงอวสาน คือมรรค ผล นิพพาน ไม่นอกเหนือไปจากศาสนธรรม คือศาสนาของพระพุทธเจ้านี้เลย สมบูรณ์แบบมาตลอด ที่บกพร่องก็เพราะขาดความสนใจในภาคปฏิบัติตาม มีแต่จดแต่จำ ใครก็เรียนมาจำไปไม่สนใจ มันก็เป็นเหมือนนกขุนทอง แก้วเจ้าขา แต่แก้วเป็นยังไงไม่สนใจ มีแต่ชื่อว่าแก้วเจ้าขา ก็ได้เท่านั้น เราเรียนมาสักเท่าไรก็ได้เพียงความจำ ๆ มิหนำซ้ำความจำนั้นถ้าไม่สนใจเรียนเพื่อปฏิบัติแล้ว ความจำที่เรียนมามากน้อยก็กลายเป็นเครื่องส่งเสริมกิเลสขึ้นมา ให้เกิดความสำคัญตนว่าเรียนได้ชั้นนั้นชั้นนี้ขึ้นไปเรื่อย ๆ แทนที่กิเลสจะหลุดลอยไปกลับกิเลสเพิ่มพูนขึ้น เพราะความสำคัญตนเองจากที่เรียนมา มันเป็นกิเลสได้อย่างนี้

ถ้านำมาปฏิบัติแล้วกิเลสค่อยหลุดลอยออกไปๆ จนกระทั่งถึงขึ้นบริสุทธิ์เต็มภูมิเพราะการปฏิบัติ ดังพระสาวกทั้งหลายท่านบรรลุมรรค ผล นิพพาน ล้วนแล้วตั้งแต่เป็นภาคปฏิบัติแก้กิเลสออกจากใจทั้งนั้น จึงบริสุทธิ์ได้ ถ้าไม่แก้ไม่บริสุทธิ์ ใครจะเรียนได้มากเพียงไรก็ไม่บริสุทธิ์ มีแต่การพอกพูนกิเลสขึ้นภายในจิตใจ

การสอนอย่างนี้นาน ๆ ที่จะได้มาพบปะสมาคมกับบรรดาพระลูกพระหลาน จึงขอให้พากันนำธรรมที่หลวงตาสอนนี้ ให้ไปเป็นคติเครื่องเตือนใจตนเอง อย่าลืมเนื้อลืมตัวในการปฏิบัติตน มันจะกลายเป็นพระจรวดดาวเทียม พระเจ้าชู้ขุนนาง พระราชการงานเมือง ให้กิเลสเอาไปถลุงหมด พระทั้งองค์เลยไม่มีธรรมเหลืออยู่ภายในใจ ในเพศของตน กลายเป็นโลกล้วน ๆ ไป ทั้ง ๆ ที่เราก็มีเพศเป็นพระไปเสียทั้งนั้น ถ้าเราไม่สนใจ

เพราะฉะนั้นจึงต้องให้มีสติระมัดระวังตน ถ้าอยากได้ผลจากการบวชเป็นพระของเราขึ้นมา ให้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติหน้าที่แห่งความเป็นพระ อย่าได้เผลอตัว อย่าได้นอนใจ มีหิริโอตตัปปะ กลัวต่อบาปต่อกรรมเสมอ อย่าไปคุ้นเคย และไปชินชากับบาปกับกรรม แล้วตัดลงทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเคยมีคุณค่าอยู่บ้างจะหมดไป เหลือแต่หัวโล้น ๆ กับผ้าเหลืองคลุมตัวอยู่นั้นมันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร ให้พากันระมัดระวังตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ

เรื่องคุณค่าราคา ความศักดิ์สิทธิ์วิเศษไม่มีอะไรเหนือธรรมนี้ไปได้เลย ขอให้ปฏิติตามศีลตามธรรมที่ท่านประทานไว้แล้วนี้ เราจะเป็นผู้มีสง่าราศี มีคุณค่ามีราคา แล้วมีความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นภายในหัวใจและการปฏิบัติของเรานี้โดยไม่ต้องสงสัย เพราะความดีความชอบทั้งหลายจะเกิดขึ้นจากบำเพ็ญ การกระทำ การสำรวมระวังของเรา ไม่เกิดขึ้นจากการเสกสรรปั้นยอเอาเฉย ๆ แล้วทำให้ขลังทางนั้น ขลังทางนี้ อย่างที่เขาทำกัน เคยเห็นพระตัวขลัง ๆ ไปที่ไหนจนกระทั่งชิน เขาจึงถามเมื่อมีคนมาเคารพนับถือมากเข้า ๆ เขาก็ถามว่าองค์นี้เก่งทางไหน ขลังทางไหน มันเลยกลายเป็นเรื่องโลกไปเสีย เก่งทางไหนก็เก่งแบบขลังๆ แบบมีวิชาเป่าฟุด ๆ ๆ ให้เขา มันก็เลยกลายเป็นโลก เป็นติรัจฉานวิชาไปหมด ไม่เป็นวิชาธรรมที่แก้กิเลส ทำให้ตนขลังขึ้นมาโดยหลักธรรมชาติได้

ถ้าเราปฏิบัติตามศีลตามธรรมแล้วขลัง อยู่ไหนก็ขลัง อดอิ่มก็ขลัง พระผู้ปฏิบัติด้วยความรักศีลรักธรรม มีศาสดาติดแนบอยู่ในหัวใจ คือธรรมคือวินัย ติดแนบอยู่ในหัวใจแล้ว ไปไหนไม่ปราศจากศาสดา จะเป็นผู้ขลังตลอดไป ไปที่ไหนขลังทั้งนั้น อบอุ่นตัวเอง เย็นสบายภายในจิตใจ นี่ละพุทธศาสนาให้นำมาปฏิบัติ ถ้าอยากเห็นความศักดิ์สิทธิ์วิเศษต้องเอามาปฏิบัติ จะปรากฏขึ้นที่ใจของเราโดยแท้ และขึ้นที่ตัวของเรานี้ ตั้งแต่ธรรมขั้นต่ำ ๆ จนกระทั่งถึงวิมุตติพระนิพพานออกไปจากการปฏิบัติบำเพ็ญของเรา

ให้พากันตั้งอกตั้งใจ อย่าให้มีแต่ชื่อแต่นามว่าศาสนา ๆ แล้วพระเณร ๆ เฉย ๆ ให้มีภาคปฏิบัติติดแนบอยู่กับตัว เป็นเครื่องหมายของนักบวชประจำตนเสมอ แล้วสิ่งดีงามทั้งหลายจะค่อยปรากฏขึ้นเป็นเครื่องประดับตน เห็นผลประจักษ์ใจ อันสำคัญอยู่ที่นี่นะ ไม่ใช่บวชมาแล้วก็อยู่เด้น ๆ ด้าน ๆ ไป เขาเคารพนับถือก็ลืมตัวไปเสีย อย่างนั้นใช้ไม่ได้ ให้ดูตัวเอง ใครเคารพนับถือไม่เคารพนับถือ ตัวดีหรือไม่ดีให้ดูตัว การสำรวมระวังอยู่กับเรา ให้ดูเรา ความระวังรักษาตัวเองด้วยศีลด้วยธรรมนี้มีมากน้อยเพียงไร ดูตัวเอง

ถ้าตัวเองไม่มีที่ต้องติแล้วใครชมก็ตามไม่ชมก็ตาม ผลประจักษ์อยู่กับเราผู้บำเพ็ญความดีอยู่แล้วประจำใจ ไปที่ไหนสบายทั้งนั้น ๆ แต่ที่เราไม่มีอะไร ความดิบความดี การประพฤติปฏิบัติก็แหลกเหลวไปหมด ไม่มีอะไรดี แต่อยากให้เขามายกยอปอปั้นตัวเองว่าเป็นคนดิบคนดี ให้เขาเคารพนับถือกราบไหว้บูชา จ้างเขาก็ไม่มาเคารพ คนก็มีหูมีตา มีจิตมีใจ เหมือนกัน พระดีเขาก็รู้ พระชั่วเขาก็รู้ สัตว์ทั้งหลายตัวไหนดีตัวไหนชั่วเขาก็รู้ ทำไมเขาดูพระจะดูไม่รู้

เพราะฉะนั้นเราจึงต้องให้ดูตัวของเรา อย่าสุกก่อนห่าม คืออย่าเอาผลก่อนเหตุ เอะอะก็อยากจะให้คนเคารพนับถือลือหน้า ทั้ง ๆ ที่การบำเพ็ญเหตุของตัวยังไม่ได้ถึงไหน ไม่ได้เป็นชิ้นเป็นอันอะไรเลย มิหนำซ้ำยังไม่มีความดีอะไรพอที่จะชมเชยตัวเอง แล้วจะให้คนอื่นเขามาชมเชย เขาไม่ชมเชย นี่ให้พากันจำเอาไว้ การบวชมานี้เราไม่ได้บวชมาเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดชมเชยเรา หรือสรรเสริญเราก็ไม่ต้องการ สิ่งที่เราต้องการมากจริง ๆ ก็คือความดีงามประจำใจของเรา จากการปฏิบัติของเรา ให้มีความสม่ำเสมอในจิตใจ

ศีลรักษาให้ดี ศีลนี้มีคุณค่ามากภายในหัวใจ รักษาศีลนี้แล้วจะเย็นสบาย ไปที่ไหนสบาย สมาธิเป็นเครื่องประดับทางด้านธรรม แล้วก็ประดับใจนั้นแหละ มีความสงบเย็นสบาย นี่แหละผู้ปฏิบัติธรรม เรื่องความชมเชยสรรเสริญกราบไหว้บูชาไม่ต้องบอก โลกมันรู้ด้วยกันนั้นแหละ ตามีหูมีด้วยกันทุกคน ใครดีใครชั่วเขาก็รู้ เมื่อลงใจแล้วพูดอะไรเขาก็เชื่อฟัง ถ้าเขาไม่เชื่อเพราะการปฏิบัติเหลวแหลกแหวกแนว พูดอะไรเขาก็ไม่เชื่อ ไม่ปฏิบัติตาม ไม่มีใครเคารพนับถือ เพราะเจ้าของไม่เคารพนับถือตัวเอง

ถ้าเราเป็นผู้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติ เคารพนับถือธรรมวินัยด้วยตัวเองอยู่แล้ว เรามีศาสดาประจำใจ โลกเขากราบศาสดาอยู่แล้ว ทำไมเขาจะกราบเราได้ไม่ลงคอ ก็เราเป็นลูกศิษย์ตถาคต มิหนำซ้ำยังมีตถาคตคือธรรมวินัยประจำใจของเราอยู่แล้ว ใครไม่บอกมันก็กราบเอง เคารพนับถือเอง ให้เราตั้งใจอย่างนี้ ไอ้เรื่องสิ่งนั้นเป็นผลพลอยได้ ที่เขาจะมาเคารพนับถือกราบไหว้บูชา อย่างไรเราต้องเอาพื้นฐานอันดี ตัวของเราประกันตัวของเราไว้ให้ดี เราเคารพเรา เคารพศีลเคารพธรรมที่มีอยู่ในเรา ปฏิบัติตัวของเราให้ดี คนอื่นเขาก็รู้ เขาเคารพนับถือเอง นี่เป็นอย่างงั้น

ขอให้พระลูกพระหลานทั้งหลายตั้งใจปฏิบัติศีลธรรม เรื่องมรรคผลนิพพานไม่ต้องถามแหละ พระพุทธเจ้าสด ๆ ร้อน ๆ ตรัสรู้ขึ้นมาสอนโลกสด ๆ ร้อน ๆ มรรค ผล นิพพาน สด ๆ ร้อน ๆ มีตลอด เพราะฉะนั้นจึงว่าบาปบุญสด ๆ ร้อน ๆ เหมือนกัน บาปมีมาดั้งเดิม ใครชอบทำบาปคนนั้นจะหาบแต่บาปแต่กรรมขึ้นมาใส่ตัวเอง ใครชอบทำคุณงามความดี ทำบุญให้ทาน คนนั้นก็จะตักตวงเอาแต่คุณงามความดีเข้าสู่ใจ เพราะสิ่งเหล่านี้มีอยู่กับโลกมาแต่กาลไหน ๆ ไม่ใช่จะเป็นลมเป็นแล้งพูดเอาเฉย ๆ มีจริงอย่างนั้น

นรกก็ดี สวรรค์ก็ดี นิพพานก็ดี มีมาดั้งเดิม พระพุทธเจ้าองค์ไหนตรัสรู้ขึ้นมาก็ตรัสรู้สิ่งเหล่านี้แล ตรัสรู้ก็สังหารกิเลสให้ขาดสะบั้นลงจากใจ จิตใจสว่างจ้าขึ้นมา สิ่งใดที่มีอยู่มากน้อยเพียงไร ก็ทรงรู้ทรงเห็นหมดทั้งฝ่ายดีฝ่ายชั่ว แล้วนำมาสั่งสอนสัตว์โลก ให้โลกทั้งหลายได้รู้ดีรู้ชั่ว แล้วลดละปล่อยวาง เช่น อย่างการทำบาปเป็นภัยแก่ตัวเอง ก็ให้ระมัดระวังอย่าทำ ทำลงไปเท่ากับทำลายตัวเอง การสร้างคุณงามความดี สร้างบุญสร้างกุศล สร้างไปแล้วเรียกว่าการบำรุงรักษาตัวเอง เราก็ค่อยดีขึ้นไปเป็นลำดับ ๆ แล้วผลไม่ต้องบอก เราเป็นผู้ทำเองผลใครจะเอาหนีไปไหน แย่งไปไหนได้ เราเป็นผู้ทำ ผลเป็นของเราประจำตัวของเรา เราไปดีเอง ถ้าทำชั่วเราจะแบ่งความชั่วไปให้ผู้หนึ่งผู้ใดก็แบ่งไม่ได้เหมือนกัน เราก็ต้องแบกหามไปหมด ตกนรกหมกไหม้ก็คือกรรมของเราเองให้ผลแก่เรา ทรมานเรา ให้พากันระมัดระวัง

การปฏิบัติธรรมนี้เป็นของสำคัญมากนะ นี่หลวงตาก็แก่มาแล้ว เวลานี้ไปไหนมาไหนก็ลำบากลำบน เป็นห่วงเป็นใยกับบรรดาพี่น้องลูกหลานทั้งหลาย ทั้งฆราวาส ทั้งพระนั้นแหละ จึงได้แนะนำสั่งสอนมาเรื่อย ๆ การปฏิบัติธรรมนี้เราพอในหัวใจเราทุกอย่างแล้ว จึงกล้ามาพูดให้บรรดาลูก ๆ หลาน ๆ ฟัง เราไม่เคยพูดเอาเป็นลม ๆ แล้ง ๆ มา เอาตัวจริงมาจากหัวใจที่เราปฏิบัตินี้เลยมาพูด

พระพุทธเจ้าก็เอาจากหัวใจพระองค์มาสอนโลก พระสาวกก็เอาจากหัวใจท่านมาสอนโลก จากการปฏิบัติของท่านนั้นแหละ พระพุทธเจ้าก็ทรงบำเพ็ญมาแล้วเต็มภูมิศาสดาจึงนำมาสอนโลก บรรดาสาวกทั้งหลายก็บำเพ็ญมาเต็มหัวใจแล้ว จนได้ตรัสรู้ธรรมถึงแดนพ้นทุกข์แล้วจึงมาสอนโลกสด ๆ ร้อนๆ  นี่เราก็ปฏิบัติมาเต็มกำลังความสามารถของเรา จนถึงขั้นจะเป็นจะตายก็บำเพ็ญมาแล้วการภาวนา ผลปรากฏอย่างไรก็ประจักษ์อยู่ในหัวใจ ๆ เพราะฉะนั้นใครจะมาลบล้างมรรค ผล นิพพาน ว่าไม่มีอย่างไรก็ตามเราไม่สนใจ เพราะเขาไม่ได้ปฏิบัติ

เหมือนกับเรารับประทาน เขาจะว่าความอิ่มไม่มี ก็เรารับประทานอยู่ เราเคยอิ่มหนำสำราญมาจากการรับประทานเท่าไรแล้ว อิ่มจนเต็มท้องเพราะการรับประทานของเรา เราเห็นอยู่ ใครจะมาลบล้างว่ารับประทานเท่าไรก็ไม่อิ่ม มีเหรอ นี่การบำเพ็ญคุณงามความดีก็เท่ากับการรับประทาน เราสร้างความดีอยู่แล้วความดีจะไปไหน เหมือนกับเรารับประทานอยู่ ความเอร็ดอร่อย ความอิ่มหนำสำราญจะไปไหน มันก็อยู่กับเรา ๆ ผู้ทำนี้ตลอดไป นี่ล่ะเรื่องข้อเปรียบเทียบ

เราบำเพ็ญอยู่นี้เหมือนกัน การปฏิบัติบำเพ็ญตัวเอง เวลาปฏิบัติไป ๆ ผลปรากฏขึ้นมาเรื่อย ๆ เราจะไม่เชื่อพระพุทธเจ้าได้ยังไง ก็มันประจักษ์อยู่กับใจของเราแล้วในบรรดาธรรมที่ท่านสอนไว้มากน้อยเพียงไร แต่ก่อนเรายังไม่รู้ แต่เชื่อคำสอนนี้ ให้พยายามดำเนินตามที่ท่านสอนนี้ เหมือนจูงคนตาบอด ธรรมของท่านเป็นความสว่าง เราบึกบึนไปตามธรรมของท่าน ตะเกียกตะกายไปผลก็ค่อยปรากฏขึ้นมา ๆ จนกระทั่งประจักษ์กับใจโดยลำดับลำดา ว่าศีลเราก็แน่ใจของเราอยู่แล้วนับตั้งแต่วันบวช จิตใจของเราพัวพันอยู่กับศีลตลอด ไม่ให้มีใครมาแตะต้องทำลายได้เลยเรื่องศีล

เราสำรวมระวังอยู่ด้วยหิริโอตตัปปะ ความสะดุ้งกลัวต่อบาปต่อกรรม กลัวศีลขาด ศีลทะลุ ศีลด่างพร้อย ระวัง ศีลของเราก็บริสุทธิ์ เมื่อศีลก็บริสุทธิ์อยู่แล้ว การบำเพ็ญจิตใจ เบื้องต้นจิตใจก็ล้มลุกคลุกคลาน เถลไถล ฝึกฝนอบรมเข้าไม่หยุดไม่ถอยทั้งวันทั้งคืน เพราะเป็นงานของพระผู้ต้องการบุญการกุศล ต้องการความพ้นทุกข์ ต้องบำเพ็ญธรรมเป็นประจำ เป็นงานประจำวัน เหมือนประชาชนเขาทำงานประจำวันเพื่อการเลี้ยงชีพในครอบครัวของเขา นี่เพื่อการนำธรรมเข้าไปหล่อเลี้ยงจิตใจ เราก็ต้องบำเพ็ญธรรม เสาะแสวงหารายได้มาเป็นประจำ ๆ

จิตใจของเราที่เคยหิวโหยอยู่แต่ก่อน เพราะไม่เคยพาบำเพ็ญทางด้านอรรถด้านธรรม มันก็ค่อยเต็มตื้นขึ้นมา อบอุ่นขึ้นมาภายในจิตใจ ศีลก็อบอุ่นทางหนึ่ง สมาธิก็อบอุ่นทางหนึ่ง ปัญญาอบอุ่นเข้าไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งกิเลสค่อยขาดไป ๆ จิตมีความสว่างไสวขึ้นมาโดยลำดับลำดา สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้แล้วอย่างใด ซึ่งมีตั้งแต่ของจริงล้วน ๆ มันก็รู้ขึ้นมาภายในใจๆ ยิ่งเชื่อพระพุทธเจ้าโดยลำดับลำดา กิเลสภายในจิตใจแต่ก่อนก็ไม่เคยเห็นมัน แล้วพระพุทธเจ้าบอกวิธีการชำระกิเลสก็ชำระไป ๆ กิเลสก็ค่อยหลุดลอยไป

หลุดลอยไปมากเท่าไรยิ่งเห็นชัดเจนว่าจิตใจของเรานี้เบา สว่างไสวขึ้นไปเรื่อย ๆ กระจ่างแจ้งขึ้นเรื่อยๆ มีความคล่องตัว ๆ ไปเรื่อย ๆ ก็ยิ่งเห็นโทษของกิเลสตัวปิดบังหุ้มห่อจิตใจให้มืดมิดปิดตาไปโดยลำดับ แล้วเห็นคุณค่าของธรรม คือสติ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร เบิกทางให้กิเลสออก เบิกกิเลสออก จิตใจยิ่งมีความสว่างไสวมากเท่าไรก็ยิ่งขยับขึ้นเรื่อย ๆ นี่การปฏิบัติธรรมเห็นผลประจักษ์มาอย่างนี้ สำหรับหลวงตาเองได้ปฏิบัติมาอย่างนี้ ที่กล่าวนี้ไม่ได้ไปหาคัมภีร์ใบลานที่ไหนมากล่าว เอาความรู้ความเห็นความเป็น ที่เป็นผลเกิดขึ้นจากการปฏิบัติของตัว มาพูดให้บรรดาพี่น้องลูกหลานทั้งหลายฟังด้วยความเมตตาล้วน ๆ

ใครจะมาว่าเรามีความโอ้อวด หรืออยากโม้อยากคุย อันนั้นมันเป็นปากสกปรก เราปฏิบัติเราไม่ปฏิบัติแบบสกปรก เราปฏิบัติเพื่ออรรถเพื่อธรรม ได้ขึ้นมาก็เป็นอรรถเป็นธรรม เราก็นำมาแจกจ่ายด้วยความเมตตาสงสาร เขาจะหาเรื่องอะไรก็เป็นเรื่องความสกปรกของใจของปากเขา เราไม่สนใจ เราก็ดำเนินของเรา ผลปรากฏขึ้นมาเป็นลำดับ กิเลสอ่อนลง ๆ เบาลง ๆ สติ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร แก่กล้าสามารถขึ้นเป็นลำดับ หมุนเป็นธรรมจักรภายในจิตใจ จิตใจที่เคยมืดมัวแจ้งกระจ่างขึ้นเป็นลำดับ เพราะกิเลสตัวมืดบอดนั้นจางลง ๆ เนื่องจากถูกความพากเพียรกำจัด ๆ สุดท้ายก็ไปไม่รอดกิเลส ขาดสะบั้นลงไปจากหัวใจ นั่นเห็นไหมล่ะ

เป็นยังไงมรรค ผล นิพพาน มีหรือไม่มี ปฏิบัติลงไปซิ พระพุทธเจ้าโกหกโลกมีเหรอ นอกจากเราโกหกเรา พระพุทธเจ้าว่าเป็นมรรคเป็นผล เราว่าพวกเสื่อพวกหมอนดีกว่า ความขี้เกียจขี้คร้านดีกว่าธรรมกว่ามรรค ผล นิพพาน มันก็ดิ้นไปทางเสื่อทางหมอน ความขี้เกียจขี้คร้านท้อแท้อ่อนแอไปเสีย มันก็ไม่เจอมรรคผลนิพพานซิ นั่นเป็นอย่างนี้ เมื่อเราดำเนินตามนั้นแล้วผลปรากฏขึ้นจนกระจ่างแจ้งไปหมด หายสงสัย เพราะการปฏิบัติตามธรรมของพระพุทธเจ้าประจักษ์ใจไม่สงสัย แม้ปัจจุบันนี้ก็สาธุ ไม่ทูลถามพระพุทธเจ้าว่าองค์ศาสดาคือผู้เช่นไร ธรรมที่ท่านตรัสรู้คือธรรมเช่นไร ก็มันประจักษ์อยู่ในหัวใจเต็มเม็ดเต็มหน่วยแล้วไปถามพระพุทธเจ้าหาอะไร  

สนฺทิฏฺฐิโก ผู้ปฏิบัตินั้นแลจะเป็นผู้รู้เองเห็นเอง นี้เป็นธรรมที่พระองค์ประทานไว้แล้วแก่ผู้ปฏิบัติทุกรูปทุกนามไป เมื่อเราปฏิบัติตามนั้น สนฺทิฏฺฐิโก ก็ต้องรู้ผลของตนเองที่ได้มากน้อยเพียงไร จนกระทั่งถึงวิมุตติหลุดพ้นเราก็รู้ของเราเต็มหัวใจ ไม่ทูลถามพระพุทธเจ้า ปล่อยวางโดยประการทั้งปวง หายห่วง หายหวง หายทุกข์ หายยาก หายลำบาก หายเรื่องเกิด แก่ เจ็บ ตาย ที่เคยตายกองกันมากี่กัปกี่กัลป์ ปัดออกหมด เพราะปัดกิเลสตัวเป็นเชื้อแห่งภพแห่งชาติ ที่พาให้เกิดตายแบกหามกองทุกข์มา ออกจากจิตใจหมด ไม่มีกิเลสตัวใดเหลืออยู่เลย เหลือแต่ธรรมทั้งแท่ง เรียกว่าธรรมธาตุ หรือว่าวิมุตติ  หรือว่านิพพาน จิตอมตะ จิตบริสุทธิ์เป็นอมตะเท่านั้นภายในหัวใจ จึงไม่มีคำว่าอดีต

เราเคยเกิดมาแล้วเท่านั้น ๆ แล้วอนาคตต่อไปนี้เราจะไปเกิดเป็นอะไร ตัดหมด ความพออยู่ที่ใจดวงเดียวหมด ไม่มีอดีต อนาคต ปัจจุบันก็บริสุทธิ์เต็มเหนี่ยวอยู่แล้ว และจะไปหาที่ไหน นั่นแหละท่านว่า สนฺทิฏฺฐิโก รู้เองเห็นเอง ปจฺจตฺตํ  เวทิตพฺโพ บรรดาท่านผู้รู้ทั้งหลายจะรู้ด้วยตนเองทั้งนั้น ถ้าผู้ไม่ปฏิบัติก็ไม่รู้ เมื่อปฏิบัติแล้วก็รู้อย่างนี้  ธรรมะพระพุทธเจ้าเป็นยังไง  มีไหมมรรคผลนิพพาน  หรือให้แต่กิเลสมันหลอกลวงงั้นเหรอ ว่ามรรคผลนิพพาน ครึล้าสมัย เรียวแหลมไปแล้วๆ นี่ตัวหลอกลวงที่สุดก็คือกิเลส

การทำคุณงามความดีทำเท่าไรก็ไม่ได้ ๆ นั่นเห็นไหม แล้วมันก็ให้สร้างตั้งแต่ฟืนแต่ไฟเผาตัวเอง แล้วเมื่อไรมันจะหมดยุคหมดสมัย เมื่อไรมันจะเรียวแหลมล่ะ กองทุกข์ที่กิเลสพาสร้างขึ้นมา ไม่เห็นมีเรียวแหลม ใครดิ้นไปตามเท่าไรก็ยิ่งเป็นความทุกข์ หมุนติ้วตลอดไม่มีต้นมีปลาย ถ้าหมุนไปตามมันแล้วต้องเป็นอย่างนั้นโดยทั่วหน้ากัน ถ้าปฏิบัติตามธรรมแล้วขาดสะบั้น กิเลสตัวหลอก ๆ ไม่มี ทีนี้อยู่ที่ไหนก็สบาย จิตใจเมื่อกิเลสตัวสร้างทุกข์ได้ขาดสะบั้นไปจากใจแล้วทุกข์ท่านจึงไม่มี

พระอรหันต์ไม่เคยมีทุกข์ภายในจิตใจ เป็นใจที่บริสุทธิ์ล้วน ๆ ตลอดเวลา ท่านเรียกว่านิพพานเที่ยง ก็คือหัวใจที่กิเลสขาดสะบั้นลงไปหมดแล้ว พอตัว ไม่มีอะไรเหลือ เหลือตั้งแต่ธรรมชาติที่เลิศเลอภายในจิตใจ นี่ธรรมของท่านสอนไว้จนกระทั่งทุกวันนี้ เพื่อธรรมประเภทนี้ซึ่งมีอยู่กับหัวใจของทุกคนที่บำเพ็ญ ผู้ไม่บำเพ็ญนอนกอดพระพุทธเจ้าอยู่ก็ไม่เกิดประโยชน์ ถ้าผู้บำเพ็ญแล้วธรรมเป็นธรรมชาติที่จะให้ผลแก่ผู้ปฏิบัติอยู่แล้ว เอาปฏิบัติไปจะได้ผลด้วยกัน เราอย่านอนใจทุกคน ๆ เราเป็นผู้รับผิดชอบตัวของเราทุกคน ดีเราก็รู้ ชั่วเราก็รู้ ทำลงไปแล้วเป็นของเราด้วยกัน ให้พากันระมัดระวัง

วันนี้ก็ได้เทศน์สอนลูกสอนหลาน ให้พากันมีความอุตส่าห์พยายามการปฏิบัติตนเอง อย่าอยู่ อย่ากิน อย่านอนไปเฉย ๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไร เลยชินชาหน้าด้านไปเลย ไม่เกิดประโยชน์อะไร สุดท้ายพระกับโยมก็ไม่ผิดกัน แล้วยิ่งเลวกว่าโยมอีก บ้านกับวัดก็ไม่ผิดกัน เลอะเทอะเหมือนกัน วัดก็เป็นส้วมเป็นถาน สร้างแต่ความเลอะเทอะเต็มวัดเต็มวา พระก็เป็นส้วมเป็นถาน สร้างแต่ความเลอะเทอะเต็มเนื้อเต็มตัว ไปที่ไหนก็มีแต่ความเลอะเทอะเต็มวัดเต็มวา มีพระเณรมากขนาดไหนยิ่งสร้างความเลอะเทอะให้บ้านให้เมือง กระทบกระเทือนไปหมด เป็นฟืนเป็นไฟไปหมด

อย่าให้มีในเราผู้เป็นลูกศิษย์ตถาคต ให้สำรวมระวัง ชำระสะสาง มีพระมากเท่าไรให้เป็นความสง่าแก่จิตใจของประชาชน เขาเห็นพระแล้วเขาได้กราบไหว้บูชาเป็นขวัญตาขวัญใจ บ้านใดเมืองใดเราก็เห็นไม่ใช่เหรอในเมืองไทย ไปปลูกบ้านปลูกเรือนที่ไหน ต้องมีการสร้างวัดสร้างวาเพื่อเป็นขวัญตาขวัญใจกราบไหว้บูชา ให้มีความอบอุ่น มีพระเจ้าพระสงฆ์เป็นผู้ให้ความอบอุ่น และชี้แจงแนะนำสั่งสอนเป็นประจำทุกหมู่บ้านไป นี่ก็เพราะธรรมเป็นธรรมชาติที่ให้ความอบอุ่นแก่โลกนั้นเอง ให้พากันตั้งใจปฏิบัตินะ

วันนี้ได้พูดธรรมะให้บรรดาพี่น้องทั้งหลายฟัง เปิดในหัวอกนี้ออกหมด หลวงตาไม่มีอะไรสงสัยแล้วเรื่องเหล่านี้ ธรรมของพระพุทธเจ้าคงเส้นคงวาหนาแน่น ถ้าอยากเห็นองค์ศาสดาให้ปฏิบัติจิตใจให้บริสุทธิ์ ถึงขั้นบริสุทธิ์แล้วไม่ต้องทูลถามพระพุทธเจ้า ธรรมพระพุทธเจ้าเลิศเลอขนาดไหนก็ไม่ต้องถามใคร เพราะสนฺทิฏฺฐิโก ท่านสอนไว้แล้ว ให้ปฏิบัติจะรู้เองเห็นเอง ไม่มีใครมารู้ได้เห็นได้ยิ่งกว่าเจ้าของรู้เอง จากการปฏิบัติของตัวเอง นี่ละการเทศนาว่าการจึงขอฝากธรรมะไว้กับพระลูกพระหลาน ประชาชนพี่น้องลูกหลานทั้งหลาย ให้นำไปปฏิบัติ

หลวงตาได้ปฏิบัติมาอย่างแท้จริง ไม่ได้ทำเล่น ๆ เหลาะ ๆ แหละ ๆ การปฏิบัติมา ผลจึงปรากฏขึ้นมาเป็นลำดับจนกระทั่งหายสงสัย ในโลกนี้เราไม่มีอะไรสงสัยแล้ว เราพอทุกสิ่งทุกอย่าง เกิดเราก็ได้ประกาศแล้ว ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา เราจะไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว เหลือแต่ร่างกระดูกซึ่งเป็นเชื้อของสมมุติเท่านั้น พอตัวของมันสิ้นซากลงไป หมดลมหายใจแล้วจะไม่มีอะไรสืบต่อกันไปอีก เพราะเชื้ออันสำคัญ คือกิเลส อวิชฺชาปจฺจยา ขาดสะบั้นลงจากใจหัวใจหมดแล้ว เชื้อให้เกิดให้ตาย ให้แบกหามกองทุกข์อีกจึงไม่มี จึงอยู่ด้วยจะว่าภูมิใจก็ไม่มี อะไรก็ไม่มี ไม่มีอะไรเหนือธรรมชาตินั้นแล้ว

แล้วบุญกุศลที่พี่น้องทั้งหลายปฏิบัติก็เหลื่อมล้ำต่ำสูง บุญได้เป็นลำดับลำดาไปเช่นเดียวกัน เมื่อถึงขั้นที่พอตัวแล้วถึงวิมุตตินิพพานได้ด้วยกันทั้งหญิงทั้งชาย ทั้งนักบวชและฆราวาส บุญกุศลไม่ได้ลำเอียงต่อผู้ใด ขอให้นำไปปฏิบัติ ให้เป็นผู้รักศีลรักธรรม อย่ารักแต่กิเลสตัณหามันจะเผาเราทั้งเป็นทั้งตายนะ

เอาละ การแสดงธรรมก็เห็นสมควรแก่ธาตุแก่ขันธ์ แก่กาลเวลา ขอความสวัสดีจงมีแก่บรรดาท่านทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญ

 

อ่านและฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา วันต่อวัน ได้ที่

www.Luangta.or.th or www.Luangta.com


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก