ถึงคราวเด็ดต้องเด็ด
วันที่ 26 ธันวาคม 2545 เวลา 8:30 น.
สถานที่ : สวนแสงธรรม
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ สวนแสงธรรม

เมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๕ [เช้า]

“ถึงคราวเด็ดต้องเด็ด”

 

            เมื่อวานไปเทศน์ทางแจ้งวัฒนะ จำได้แต่ว่าถนนแจ้งวัฒนะ มองไปไกล ๆ นี่เล็กนิดเดียว สูง ๆ พอเข้าไปที่ไหนได้มันเท่าบริเวณวัดเรานี่ ไม่ใช่เล่นๆ ระยะนี้เทศน์ติดกันมา วันนี้พักก็เหมือนไม่พัก จะต้องไปสุพรรณฯ เป็นห่วงหลวงพ่อสังวาลย์ อันนั้นสุขภาพก็แย่เหมือนกันนะ หลวงพ่อสังวาลย์ อาจารย์เจี๊ยะ มีแต่แย่ ๆ แต่น้ำใจดีด้วยกันทั้งสอง น้ำใจดีเสียอย่างเดียวอะไรจะมีบกพร่องขาดเขินไปบ้าง ชำรุดทรุดโทรมบ้าง ไม่สำคัญนะ ขอให้จิตใจมีหลักมีเกณฑ์เท่านั้น ถ้าใจไม่มีหลักมีเกณฑ์แล้วอะไรก็ล้มเหลวไปหมด สำคัญอยู่ที่ใจ ใจนี้เป็นรากแก้ว ฝังแน่น เพราะฉะนั้นจึงต้องบำรุงจิตใจที่เป็นรากแก้วด้วยคุณธรรม ประดับใจตลอด

ใจที่มีธรรมย่อมเป็นใจที่แน่นหนามั่นคง ใจที่รอบคอบ ถ้าไม่มีธรรมในใจนี่เหลวไหล ถึงจะว่าฉลาดขนาดไหนก็ตาม ฉลาดด้วยอำนาจของกิเลสพาให้บรรลัยได้ไม่สงสัย ถ้าฉลาดโดยอรรถโดยธรรมแล้วไม่บรรลัยง่าย ๆ นอกจากมันเหลือกำลังจริง ๆ บรรลัยก็ส่วนที่ไม่เสีย ๆ มันสุดวิสัยก็ยอมรับ แต่ไม่ยอมเสียในหัวใจต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ เหมือนกิเลสมันฉุดลากไป กิเลสฉุดลากไปทำให้เสียได้ง่าย ๆ เราจึงได้พยายามอบรมบรรดาพี่น้องทั้งหลายให้ฝังจิตใจลงในอรรถในธรรมให้ดีให้มากขึ้นโดยลำดับ แล้วจะเป็นความแน่นหนามั่นคงขึ้นภายในตัวของเรา

ถ้าใจไม่มีธรรมเสียอย่างเดียวนี้ โอ๋ย เหลวได้จริง ๆ อะไรจะแน่นหนามั่นคงมากมายขนาดไหน ประหนึ่งว่าไม่มีความหมายนะ ความหมายจริงจังอยู่ที่ใจ จึงต้องได้อบรม อะไรก็ตามต้องมีธรรมแทรกเข้าไปเสมอ ๆ แล้วดี ถ้าไม่มีธรรมแทรกปล่อยให้กิเลสทำงาน มันเตลิดเปิดเปิงได้ทั้งนั้น ลืมเนื้อลืมตัวได้คนเรา ถ้ามีธรรมในใจไม่ได้ลืมตัวง่าย ๆ นะ ยกตัวอย่างที่ว่า เขาชมก็รู้ว่าเขาชม แต่ไม่ลืมตัว เขาตำหนิก็รู้ว่าเขาตำหนิ ไม่ลืมตัว นั่นละธรรม รับทราบทั้งสองเอามาพิจารณาแยกแยะ อันไหนที่เป็นสารประโยชน์ก็คัดออกมา อันไหนไม่เป็นประโยชน์ก็ปัดออก ๆ นี้เรียกว่าธรรม

ไม่ได้เอาตัวเข้าไปเหมานะธรรม กิเลสมันเหมาทั้งตัวนั่นแหละ ถ้าว่าเสียใจก็จนจะสลบไสล ถ้าว่าดีใจก็จนจะเหาะจะลอย แข่งจรวดดาวเทียมเขา นี่ใจที่ไม่มีธรรม ในใจมีแต่กิเลสแล้วเสียได้ง่าย ๆ นะ ในฐานะที่หลวงตาเป็นหัวหน้าได้ประกาศสอนธรรมพี่น้องทั้งหลาย หลวงตาเน้นหนักทางด้านจิตใจมากกว่าวัตถุนะ การประกาศก้องอยู่ทุกวันนี้ว่าช่วยชาติบ้านเมืองๆ หลักใหญ่ช่วยหัวใจของพี่น้องชาวไทยเราให้มีหลักมีเกณฑ์ อย่าเหลาะแหละ อย่าวอกแวกคลอนแคลน ตื่นนั้นตื่นนี้ อะไรผ่านเข้ามาตื่นหมด เสียนิสัยชาติไทยของเรา อันนี้เสีย แสดงว่าไม่มีธรรม ตื่นไปทุกอย่าง อะไรมาก็ตื่น ๆ ตื่นเพื่อผลลบ ๆ ทั้งนั้น   ขอให้มีธรรมสมชื่อสมนามว่าเราเป็นชาวพุทธ ถ้าเป็นชาวพุทธแล้วจะมีหลักเกณฑ์ ไม่ตื่นอย่างง่ายดาย

อันนี้เราสนใจมาก สอนธรรมแก่พี่น้องทั้งหลาย เน้นหนักทางใจ เพราะใจเป็นสำคัญมากที่สุด ในสามแดนโลกธาตุไม่มีอะไรเหนือใจกับธรรมที่เป็นรากฐาน จึงเน้นหนักลงจุดนี้ ให้พากันพยายามรักษาใจให้ดี อย่าปล่อยให้มันเตลิดเปิดเปิง คิดฟุ้งซ่านรำคาญแล้ววุ่นวายตลอดเวลา ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของกิเลสเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้มาตลอด ควรจะเข็ดหลาบอิ่มพอและได้สติสตังบ้าง แล้วพยายามดัดแปลงแก้ไข คัดออก อันไหนไม่ดีคัดออก ๆ เสียบ้างนะ อันนี้มันมีแต่เหมาเลย ๆ พวกกองรับเหมานี่คือชาติไทยของเรา อะไร ๆ มารับเหมาหมด ส่วนมากรับแต่ขี้หมูราขี้หมาแห้งมาทำลายคนทั้งชาติ เป็นนิสัยไม่ดี

ลูกเล็กเด็กแดงติดตามพ่อแม่มานี้เอาใครเป็นแบบเป็นฉบับ ถ้าไม่เอาพ่อเอาแม่ ผู้ใหญ่เป็นแบบเป็นฉบับแล้ว จะเดินที่ไหนเด็ก ต้องเดินตามผู้ใหญ่ ถ้าผู้ใหญ่เป็นแบบฉบับที่ดีแล้ว เด็กก็ยึดได้ง่ายดาย ไม่จำเป็นต้องสอนเด็กอย่างนั้นอย่างนี้ สอนตัวเองให้ดีเถอะน่ะ แล้วเด็กจะค่อยดีไปตาม หลักใหญ่อยู่ตรงนี้ คิดดูซิ พุทธศาสนาพระพุทธเจ้าของเรา พระพุทธเจ้าสอนพระองค์ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยแล้ว ความยากลำบากขนาดไหนไม่มีใครเกินพระพุทธเจ้าที่ทรงรับมาเรียบร้อยแล้ว การพยายามเพื่อความดี และพยายามปิดป้องความชั่วไม่ให้เข้ามาเกี่ยวข้อง พระองค์ก็ทรงบำเพ็ญเต็มเม็ดเต็มหน่วย นี่การดำเนินเหตุพระองค์ก็ดำเนินมาอย่างนั้นแหละ

และเหตุที่ถูกต้องดีงามผสมกันเข้า ๆ หนักเข้า มากเข้าเป็นหลักใหญ่ จนหนุนให้ได้ตรัสรู้ขึ้นมา นี้คือแนวทางของศาสดา ก่อนที่จะมาเป็นศาสดาของโลก ต้องเป็นครูสอนพระองค์เสียก่อน เมื่อเต็มภูมิแล้วก็ตรัสรู้ขึ้นมาเป็นศาสดาสอนโลก เป็นเยี่ยงเป็นอย่าง เรียกว่าเยี่ยงอย่างทุกอย่าง ออกมาจากศาสดาแล้วไม่ผิด นี่เป็นคติตัวอย่างอันดีงาม จากนั้นกระจายออกมาเป็น สรณํ คจฺฉามิ ก็คือพระสงฆ์ท่าน ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เรียกว่าสำเร็จเป็นพื้นฐานรับรองอยู่แล้วในธรรมทั้งหลายว่าเป็นพระอรหันต์ นี่พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น การนำโลกจึงทำโลกให้ร่มเย็นทั่วหน้ากัน

พุทฺธํ ธมฺมํ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ อยู่ในหัวใจใด หัวใจนั้นจะเย็นนะ ผิดกับเงินทองข้าวของอย่างมากมายทีเดียว เราไม่ได้ตำหนิสมบัติภายนอก ก็เคยบอกแล้วเป็นเครื่องประกอบ เป็นเครื่องหนุนไปธรรมดา ถ้าหากว่าเราไม่รอบคอบ สิ่งภายนอกก็กลายมาเป็นภัย เป็นเครื่องเสริมไฟเผาเราได้อีก เพราะฉะนั้นธรรมภายในจึงสำคัญ นี่พูดถึงเรื่องคติตัวอย่างที่ท่านสอนโลกมานาน ธรรมนี้ไม่มีคำว่าผิด ถูกร้อยเปอร์เซ็นต์ ๆ แต่กิเลสนี้ผิดร้อยเปอร์เซ็นต์ตลอด มีมากมีน้อยแทรกเข้าตรงไหน เป็นความผิดแทรกเข้าตรงนั้นๆ ถ้าผิดมากจมไปเลย ผิดน้อยก็ทำให้ลำบากลำบนเป็นทุกข์ทรมาน เพราะความผิดพลาดของตัวเองนั้นแหละ ท่านเรียกว่ากิเลส คือกิเลสเป็นภัยต่อความถูกต้อง ดีงาม เพราะกิเลสเป็นตัวพิษ เป็นตัวผิด แสดงอะไรมีแต่ผิด ถ้ามีธรรมแทรกเข้าไปมันก็เป็นประโยชน์

นี่ที่สอนพี่น้องทั้งหลายสอนเพื่อหลักเกณฑ์ภายในจิตใจ ให้ตั้งรากตั้งฐานจิตใจให้ดี อย่าฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมเกินเนื้อเกินตัว เสียคนได้แน่ๆ ก็เสียเรานั้นแหละ เสียชาติบ้านเมืองของเรา ไม่มีหลักมีแหล่ง อะไร ๆ ก็คว้าๆ ๆ ไม่มีกฎเกณฑ์ ไม่มีเหตุผลเลย เสียไปเรื่อย ๆ แล้วกลายเป็นคนหลักลอย ถ้ามีเหตุผลเป็นเครื่องพินิจพิจารณา แล้วจะไม่ได้เสียอย่างง่ายดาย จะรู้ว่าถูกว่าผิด คัดเลือกกันได้ นั่นแหละเรียกว่าธรรม ธรรมเป็นธรรมชาติที่คัดเลือก สติธรรมมีสติสตัง อย่าลืมเนื้อลืมตัว เขาชมก็อย่าลืมเนื้อลืมตัว เขาตำหนิก็อย่าลืมเนื้อลืมตัว ให้ทำความรู้สึกไว้กับความชม ถ้าเราดีจริงตามเขาชม เราก็ยอมรับ แต่เราอย่าลืมเนื้อลืมตัว ถ้าเขาตำหนิเรา เราไม่ดีจริงๆ ก็ยอมรับตามความจริงที่เขาตำหนิ แล้วพยายามแก้ไขดัดแปลงตนให้ดี นี่เรียกว่าไม่เสียทั้งการได้รับการตำหนิและการชม ดีไปทั้งสองด้าน

ถ้ามีตั้งแต่กิเลสความลืมเนื้อลืมตัวล้วน ๆ แล้วเขาตำหนิก็เป็นไฟขึ้นมา จริงไม่จริงไม่สนใจ ไม่ยอมให้เขาตำหนิโดยถ่ายเดียว ทั้ง ๆ ที่ตัวไม่ดี เขาตำหนิว่าไม่ดีเพียงเท่านั้นโกรธเคียดแค้น ดีไม่ดีตามฆ่าตามฟันกันเห็นไหม ไม่ได้คำนึงตัวว่าผิดอย่างที่เขาตำหนิหรือไม่เลย ถ้ามีการพินิจพิจารณาเขาตำหนิ ตำหนิว่ายังไง พิจารณา เมื่อเขาตำหนิว่าถูก ถูกตามเขาแล้วเรายอมรับแล้วแก้ไขดัดแปลงตนเองให้ถูกต้องไป ถ้าเขาชมเชยว่าถูก เราทำถูกจริง ๆ แล้ว เราก็มีแก่ใจรับความชมเชยของเขาด้วยความมีแก่ใจที่จะส่งเสริมตัวให้ดียิ่งขึ้น แล้วก็พลอยยินดีกับความสรรเสริญของเขา ว่าเขาสรรเสริญอย่างมีเหตุมีผล ผู้ตำหนิเขาตำหนิอย่างมีเหตุมีผล ก็ไม่ควรไปเคียดแค้นให้เขาโดยถ่ายเดียว นี่เรียกว่าธรรม

ธรรมท่านต้องตรงไปตรงมา จึงเรียกว่าธรรมเป็นแบบฉบับของโลกได้ ถ้าไม่มีธรรมนี่โลกเหลวไหลโลเล ที่ไหนต้องมีธรรมเป็นหลัก ในวัดวาหนึ่งๆ ก็ดูซิ คำว่าวัดตั้งเป็นจุดศูนย์กลางสำหรับอบรมคุณงามความดีก็มีเจ้าของวัด เช่น พระเป็นเจ้าอาวาส เป็นพระเป็นเณรรวมอยู่นั้นให้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติตัวดี สมเหตุสมผลกับว่าเป็นนักบวช มีหิริโอตตัปปะ สำรวมอยู่ในธรรมในวินัย ไม่ข้ามเกินธรรมวินัย ไม่ดื้อดึงฝ่าฝืนหลักธรรมหลักวินัย ปฏิบัติอบรมตนอยู่ในกรอบของศีลของธรรม วัดนั้นก็เป็นวัดที่มีแบบมีฉบับ เ็นวัดให้ความร่มเย็นแก่ตน และผู้เข้ามาเกี่ยวข้องก็ได้รับความร่มเย็นเป็นสุขได้ เป็นประโยชน์แก่ผู้เข้าไปเกี่ยวข้อง และเป็นประโยชน์แก่ตัวผู้ปฏิบัติบำเพ็ญอยู่ในวัดด้วย

ถ้าวัดไม่ดีนี้เจ้าของก็เลว ใช้ไม่ได้เลย มีแต่ผ้าเหลือง มีแต่หัวโล้นโกนคิ้ว ใครโกนก็ได้ ผ้าไปเอามาจากตลาดที่ไหน เอาไฟเผาเลยหมดทั้งกระดูกเป็นเถ้าเป็นถ่านไป มันก็มีเท่านั้น ไม่เห็นวิเศษวิโสอะไรกับคำว่าผ้าเหลืองเฉย ๆ มันวิเศษวิโสอยู่ที่การปฏิบัติตัวให้เป็นคนดี สมชื่อสมนามว่าเป็นพระ นี่ถูกต้อง นี่ละพระตามหลักธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า เป็นพระที่มีความรักใคร่ใกล้ชิดติดพันกับธรรมกับวินัย ไม่ห่างเหินเลินเล่อ ไม่ลืมเนื้อลืมตัว ไม่เผยอเย่อหยิ่ง สิ่งเหล่านั้นเป็นเรื่องของกิเลสทั้งนั้น ไม่ใช่เรื่องของพระ พระย่อมมีความสงบงามตาด้วยด้วยสติปัญญาสำรวมระวังตนอยู่เสมอ นี้เรียกว่าพระ อยู่ที่ไหนก็เย็นพระประเภทนั้น อยู่ที่ไหนเย็นไปหมด เกี่ยวข้องกับประชาชนก็ให้ความร่มเย็นแก่เขา

เมื่อเขาได้ยินได้ฟังนำไปปฏิบัติก็เป็นสิริมงคลกระจายออกไปเรื่อย ๆ นี่สำหรับพระดีในวัด วัดก็กลายเป็นวัดดี ถ้าพระเลววัดก็กลายเป็นเหมือนเรือนจำ ขังนักโทษคือพระ สั่งสมตั้งแต่โทษแต่กรรม ใส่ตัวของตัว ทั้งวันทั้งคืนเลยกลายเป็นนักโทษ นักโทษในเพศของพระนั้นแหละ  วัดก็เลยเป็นขอบเขตของเรือนจำไปเลย มันขึ้นอยู่กับการปฏิบัตินะ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการประกาศตนเฉย ๆ การนุ่งผ้าห่มเหลือง ห่มแก่นขนุนหรืออะไร โกนผม โกนคิ้ว เป็นเครื่องประกาศโลกและตัวเองให้ทราบ ว่าเวลานี้เราเปลี่ยนจิตเปลี่ยนใจ กิริยามารยาท การประพฤติปฏิบัติหน้าที่การงานให้เป็นเรื่องของพระล้วน ๆ ไม่แสลงแทงตาคนและตัวของเราเอง นั่นเรียกว่างานของพระ อยู่ไหนก็เย็น

พระดีแล้วอยู่ไหนเย็น ไปอยู่ในร่มไม้ก็เย็น อยู่ในป่าในเขาก็เย็น ถ้าพระเลวอยู่ไหนเลวหมด เหมือนเอาไฟจี้เขาไปตรงไหนเผาได้ทั้งนั้น หัวใจเราก็ต้องพยายามทำให้เย็น วันหนึ่ง ๆ ก็เคยสอนมามากแล้ว ขอให้มีความสงบอบรมจิตใจของเราวันละเล็กละน้อยทุกวันไป   เราพูดนี่เรียกว่าหย่อน ๆ นะ   แต่ผู้ไม่เคยทำจะถือว่าหนักมาก เช่น  การอบรมภาวนา วันหนึ่งควรให้ได้สัก ๑๐ นาที อบรมจิตใจกับคำบริกรรม เช่นพุทโธ หรือธัมโม หรือสังโฆ มีสติสตังบังคับจิตใจไว้กับคำบริกรรม

บังคับไม่ให้คิดออกไปนอกลู่นอกทาง ซึ่งเคยคิดมาแล้วตั้งแต่ตื่นนอน เวลานี้ปัดออก ไม่ให้งานกิเลสนี้เข้ามายุ่ง ให้มีแต่งานของธรรม คือคำบริกรรมพุทโธเป็นธรรม ความคิดขึ้นมาเป็นพุทโธนั้นเรียกว่าความคิดที่เป็นธรรม เป็นความคิดที่เป็นน้ำดับไฟ คือกิเลสเครื่องแผดเผา เผาอยู่ในใจของเราให้สงบตัวลง ด้วยความสงบเย็น ให้พยายามทำ ได้วันละ ๑๐ นาทีเสียก่อน เอาตั้งนี้เสียก่อนนะ ตั้งเอา ๑๐ นาที บังคับ ทำไมเราบังคับสิ่งอื่นสิ่งใดเราบังคับได้ บังคับใจของเราเข้าสู่อรรถสู่ธรรมและกำจัดกิเลสด้วยการบังคับนี้ทำไมเราจะทำไม่ได้ ต้องตั้งปัญหาจ้อกับเจ้าของ

ถ้าเราอยากเป็นคนดีต้องมีเด็ด ถึงคราวเด็ดต้องเด็ด ถึงคราวอ่อนก็อ่อนธรรมดา ส่วนคราวที่จะเด็ดเราจะมาอ่อนเปียก ๆ ไม่ได้ มันจะไม่มีอะไรติดเนื้อติดตัว ต้องเด็ด พระพุทธเจ้าถึงคราวเด็ด ฟังซิ สลบถึงสามหน นั่นเห็นไหมล่ะ ถึงคราวท่านเด็ด ท่านเด็ดของท่านจริง ๆ เด็ดเพื่อความดีเด็ดเถอะ เด็ดไปไหนดีตลอด ๆ ถึงขั้นตายก็ตายดี นั่น  แล้วบรรดาสาวกก็เหมือนกัน ทำความพากความเพียร บางองค์ท่านไม่นอนเลยตลอดสามเดือน ไม่ยอมนอนเลย ไม่เอนหลังเลย ตั้งสัจจะอธิษฐานลงจะประกอบความเพียรในเวลา ๓ เดือนนี้ท่านไม่นอน ถึงขนาดที่ว่าตาแตก

หมอเขามารักษา เขาบอกให้ท่านพักนอน ท่านไม่ยอมนอน ไม่ยอมนอนท่านจะตาบอด บอดก็บอดท่านว่างั้น ท่านไม่สนใจ ท่านไม่ยอมนอนจริง ๆ ตาก็บอดจริงๆ ใจก็จ้าขึ้นในเวลาเดียวกับตาท่านบอด เช่น พระจักขุบาล นี่แหละถึงคราวเด็ด ท่านเด็ดของท่านอย่างนั้น ควรจะเอาคติตัวอย่างของผู้ดีมาเป็นแบบฉบับสำหรับฝึกหัดอบรมตนเพื่อความเป็นคนดีบ้าง ให้สมนามกับว่าเราเป็นลูกชาวพุทธ มีแต่การอ่อนเปียก โลเล ๆ โอ๊ย ดูแล้วพูดจริง ๆ มันดูไม่ได้นะ ผู้ท่านฝึกหัดท่านฝึกหัดจริง ๆ รักษาจริง ๆ ปฏิบัติจริงๆ ไอ้ผู้เหลวไหลโลเล มาข้ามหน้าข้ามตา ชนหน้าชนหลัง ตามี หูมี ใจมี ทำไมจะไม่มีความรู้สึกคนเราน่ะ เป็นอย่างนั้นนะ

เพราะฉะนั้นถึงคราวเด็ดควรจะเด็ดบ้างนะ เป็นกาลเป็นเวลา นี่เราฝึกเอาเพียงแค่ ๑๐ นาทีไม่ได้มากอะไรเลย เอ้า มันจะตายให้มันตายดูสักหน่อยน่ะ ว่างั้น ทีแรกเอาอย่างนี้ก่อน แต่การบังคับจิตไม่ให้คิดออกนอกลู่นอกทางในขณะนั้น บังคับให้แน่นหนามั่นคง ให้อยู่กับคำว่าพุทโธ ๆ มีสติจ่ออยู่กับคำว่าพุทโธ นั่นแหละเรียกว่ารักษาใจ กิเลสความปรุงแต่งต่าง ๆ ซึ่งเคยเป็นมาจะรับงับตัวลงไป ความปรุงแต่งในทางด้านอรรถธรรม เช่น พุทโธ ๆ เป็นต้น จะหนาแน่นขึ้นมาโดยลำดับ สืบเนื่องกันไปเรื่อย ๆ ความสงบที่เป็นผลแห่งการภาวนาของเรา จะแสดงความสงบขึ้นมา

เมื่อได้เห็นความสงบในครั้งหนึ่งสองครั้งเข้าไปแล้ว ย่อมมีช่องมีทางที่จะก้าวเดินต่อไปคนเรา นี่ทำอะไรก็มีแต่เหลวไหล ๆ เลยไม่ได้เรื่อง บำเพ็ญธรรมก็เหลวไหลเสีย ธรรมท่านไม่เหลวไหล แต่เราก็เหลวไหลเสีย มันก็ใช้ไม่ได้ ต้องมีวรรคมีตอน มีอ่อนมีแข็งบ้างถึงถูกต้อง การสอนพี่น้องทั้งหลายนี้เราได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยเรามาแล้วทุกอย่าง ถึงขั้นตายตายเลย ถึงขนาดนั้นนะ ไม่ทราบว่าแข็งหรือไม่แข็ง ถึงขั้นจะตายเอาไปเลย นั่นล่ะถึงได้ผลมา

แล้วเป็นเหตุย้อนพิจารณาภาคภูมิใจในความเพียรของตัวเอง ที่ได้อุตส่าห์ตะเกียกตะกายมา ถึงได้เห็นผลอย่างนี้ ๆ ก็เพราะความเด็ดเดี่ยวความจริงจังนั่นเอง ผลก็แสดงขึ้นเต็มเม็ดเต็มหน่วย พระพุทธเจ้าท่านก็ได้นำทั้งเหตุที่เด็ดเดี่ยวมาสอนโลก ทั้งผลเป็นที่พอพระทัย ซึ่งได้รับเรียบร้อยจนได้เป็นศาสดามาสอนโลก สาวกทั้งหลายก็เหมือนกัน อันนี้เราก็เดินตามร่องรอย เราในฐานะเป็นครูเป็นอาจารย์ของพี่น้องทั้งหลายก็พูดเพื่อเป็นคติตัวอย่าง เพื่อได้ยึดได้เกาะ ที่จะมาคิดว่าเราพูดเพื่อโอ้เพื่ออวดท่านทั้งหลายนี่เราไม่มี บอกตรงๆ  มีแต่ความเมตตาล้วน ๆ ทั้งนั้นแหละ อยากจะให้ได้ดิบได้ดี จึงพากันอุตส่าห์พยายามบ้าง

การฝึกอบรมตนเพื่อความเป็นคนดีมีค่า ฝึกเถอะน่ะ ไม่เป็นไร ให้พยายามกัน เอาไปทุกวี่ทุกวัน ต้องมีข้อบังคับตนบ้างคนเรา ถ้าไม่มีบังคับเหลวไหลตลอดไป ต้องมีขื่อมีแป มีข้อบังคับ แล้วค่อยพยายามทำไป สารคุณที่สำคัญที่ท่านทั้งหลายจะได้รับอย่างเด่นชัดประจักษ์ใจนี้คือการภาวนาจากพระพุทธศาสนาของเรา พระพุทธเจ้าตรัสรู้ด้วยการภาวนา พระสาวกทั้งหลายตรัสรู้ด้วยการภาวนา เราเป็นลูกศิษย์ท่าน ไม่ได้แบบท่านก็ขอให้มีความสงบเย็นใจด้วยการอบรมจิตใจในบางกาลบางเวลา ภาวนาในเวลาจะหลับจะนอน ให้พากันจำเอานะ วันนี้พูดเพียงเท่านั้น

 

อ่านและฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตาวันต่อวันได้ที่

www.Luangta.com or www.Luangta.or.th

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก