สนฺทิฏฺฐิโก
วันที่ 19 ธันวาคม 2526
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :

ค้นหา :

เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๙ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๖

สนฺทิฏฺฐิโก

งานใดก็ตามไม่ได้ใกล้ชิดติดพันและหนักแน่นเป็นความทุกข์ความลำบาก ยิ่งกว่างานที่จะทำตัวให้ดีและดีเยี่ยม เพราะในตัวของเรา เฉพาะอย่างยิ่งคือใจที่เป็นรากฐานสำคัญมันมีแต่สิ่งเลวร้ายทั้งหลายเต็มหมด มีแต่ความสักแต่ว่ารู้เท่านั้นที่ฉายออกมาได้ ที่เป็นสารคุณอันสำคัญฉายออกมาไม่ได้ เพราะถูกกิเลสบีบบังคับ คือสิ่งเลวร้ายทั้งหลายก็ได้แก่กิเลสนั่นแหละมันบีบบังคับ จนหาที่ฉายสารคุณออกมาไม่ได้ ปรากฏแต่ความรู้ที่มันเปิดทางให้เป็นเครื่องมือของมันเท่านั้น ออกทางตาก็เพื่อมัน ออกทางหู จมูก ลิ้น กาย สัมผัสสัมพันธ์กับรูป เสียง กลิ่น รส ก็เพื่อผลรายได้ของมัน ความรู้นี้มีแต่มันเอาไปใช้ล้วน ๆ ธรรมเอื้อมไม่ถึง มีแต่อันเดียวเป็นผู้สั่งการสั่งงาน ทางเดินเหล่านี้ก็เป็นทางเดินของผู้เดียวนั่นแล เพราะทั้งหมดในขันธ์นี้เป็นบริษัทบริวาร หรือเครื่องมือหรือสมบัติของมันทั้งสิ้น จะให้ใช้ได้เต็มไม้เต็มมือได้อย่างไร

เราได้สะดุดใจบ้างไหมว่า ความรู้ทั้งหมดที่แสดงตัวอยู่ทั้งวันทั้งคืนยืนเดินนั่งนอนนี้ เป็นความรู้ที่สิ่งเลวร้ายทั้งหลายนี้เปิดทางออกเพื่อทำงานของมัน จำให้ดีคำพูดคำนี้ พร้อมกับการปฏิบัติตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้า ความรู้อันนี้จะประกาศกังวานขึ้นในวงปัจจุบัน ระหว่างสัจธรรมทั้งสี่นี้แลจะไม่ประกาศขึ้นที่ไหน ความรู้นี้จะค่อยแปรสภาพของตัวเข้าสู่ความเป็นเครื่องมือของธรรมเข้าเรื่อย ๆ เมื่อมีการประพฤติปฏิบัติอยู่ด้วยความจงใจใคร่ต่ออรรถต่อธรรมอย่างแท้จริงแล้ว แม้จะถูกปิดไม่ให้รู้ไม่ให้สัมผัสในด้านธรรมะเลย จะให้สัมผัสแต่สิ่งที่เป็นผลเป็นประโยชน์ต่อฝ่ายต่ำมากมายเพียงไร ก็หนีไม่พ้นที่ธรรมจะฉายแสงออกมาจนได้ เพราะอำนาจแห่งธรรมเข้ากำจัดสิ่งมืดดำทั้งหลายเหล่านั้น

นี่แหละท่านว่ามืดมันมืดอย่างนี้ บอดก็บอดอย่างนี้ ตาเห็นอยู่รู้อยู่แต่มันรู้ด้วยความมืดบอด เห็นด้วยความมืดบอด ไม่ใช่เห็นด้วยความรู้แจ้งแทงทะลุตามความจริงทั้งหลายดังธรรมท่านประกาศไว้ มันเป็นตรงกันข้ามไปเสียหมด เวลาที่กิเลสมีอำนาจเรืองอำนาจภายในจิตใจ ความรู้ความเห็นความเป็นความคิดทุกแง่ทุกมุม จึงเป็นเรื่องทำการทำงานเพื่อมันเสียทั้งสิ้น เราทั้งหลายไม่ทราบได้ แม้อยากทราบเพียงไรก็ยังทราบไม่ได้เมื่อธรรมยังฉายแสงเข้าไม่ถึง

นี่ที่ว่าการปฏิบัติไม่มีอะไรใกล้ชิดติดพันหรือหนักหนา ยิ่งกว่าการกำจัดสิ่งมืดดำทั้งหลายอยู่ภายในจิตใจของเราออก และความลำบากลำบนใกล้ชิดติดพันนี้ก็เป็นสาเหตุมาจากมันซึ่งเป็นตัวข้าศึกนั่นแล ที่จะให้มีการต่อสู้ซึ่งกันและกัน ไม่เช่นนั้นก็ไม่ลำบาก เราจะเห็นได้เวลาสิ่งเหล่านี้กระจายหายตัวไปเสียจนหมดเรียบราบ ไม่มีสิ่งใดเหลือเป็นซากอยู่ภายในจิตใจเลยแล้ว สิ่งเหล่านี้จะไม่มี คำว่าใกล้ชิดติดพัน คำว่าการต่อสู้ คำว่าเรื่องราวอะไร จะไม่มีเลยภายในใจดวงนั้น

จะอยู่ในท่ามกลางแห่งแดนโลกธาตุก็เหมือนโลกธาตุไม่มี เพราะสิ่งให้มีให้ประสานกันให้ตีแน่นติดกันจนแยกไม่ออกนั้น เป็นเรื่องของกิเลสต่างหากเป็นผู้ตี ระหว่างจิตกับสภาวธรรมทั้งหลายทั่วแดนโลกธาตุ ให้แนบสนิทติดกันเป็นอันหนึ่งอันเดียว จนกระทั่งก้าวไม่ออกเพราะความผูกพันของสิ่งเหล่านั้น นี่ล้วนแล้วตั้งแต่เป็นเรื่องของกิเลสเป็นผู้ตีหัวตะปูย้ำลงไปให้แน่นหนา จนกระทั่งกระดุกกระดิกออกสู่ความอิสระหรือออกสู่ความเป็นจริงไม่ได้ เวลามันแน่นมันแน่นอย่างนั้นจริง ๆ ติด ๆ อย่างนั้นจริง ๆ

ทั้ง ๆ ที่รู้ ๆ อยู่นี่แหละ มันติดอยู่ทั้งรู้ ๆ นี้ คนเราถึงได้เผลอตัวเอามากมาย ว่าแต่ตัวรู้ตัวฉลาดไปเสียทั้งสิ้น ทั้ง ๆ ที่เป็นความรู้ความฉลาดของกิเลสของสิ่งเลวร้ายเองเป็นผู้พาให้รู้ให้ฉลาด ไม่ใช่เรื่องของธรรมพาให้รู้ให้ฉลาด ถ้าเป็นเรื่องของธรรมพาให้รู้ให้ฉลาดกิเลสต้องแหลกแตกกระจาย สว่างกระจ่างแจ้งไปโดยลำดับ ภาระที่เกี่ยวข้องภายในจิตใจเบาบางลงไป ๆ ความทุกข์อันเป็นผลที่กิเลสสร้างขึ้นมาก็เบาบางไปตาม ๆ กัน เพราะตัวเหตุมันร่อยหรอลงไป จนกระทั่งตัวเหตุสิ้นซากไปเสียหมดแล้ว อะไรมาสร้างกองทุกข์ให้จิตไม่มี นอกจากเป็นวิบากของกิเลสได้แก่ขันธ์นี้ที่ครองตัวอยู่ ก็รับผิดชอบกันไปเพียงเท่านั้น แต่ไม่เห็นมีอะไรที่จะมาเป็นข้าศึกต่อจิตได้เหมือนแต่ก่อนซึ่งมีกิเลสเป็นเจ้าเรือน อุปาทานตีตราไว้หรือตีจับแน่นไว้กับจิต

การปฏิบัติจึงต้องใช้ความหนักแน่นมั่นคงอย่างมาก สมกับกิเลสไม่มีตัวใด ไม่มีกิเลสประเภทใดอ่อนแอเหลวไหลโลเลโลกเลก เหมือนผู้ปฏิบัติธรรมซึ่งมีความโลเลโลกเลกอยู่เสมอ ด้วยอำนาจของกิเลสทำให้เป็นเช่นนั้น แต่เราก็ไม่รู้สึกตัวว่าได้เป็นเช่นนั้นเพราะสาเหตุอันใด เมื่อยังไม่สามารถที่จะรู้ได้ต้องเป็นอย่างนั้นด้วยกันทุกคน ไม่ได้ติเตียนท่านติเตียนเรา พูดตามความจริงเป็นเช่นนั้น

เราพูดแล้วพูดเล่าวิธีการต่อสู้กับกิเลส จะแก้ไขถอดถอนตนเองให้เล็ดลอดจากสิ่งที่เป็นภัยต่อจิตใจ เราพูดเสมอพูดแล้วพูดเล่า สิ่งทั้งนี้ก็ออกมาจากความเข็ดหลาบคาบหญ้าต่อมันนั่นแลไม่ใช่อะไร ถึงขั้นเข็ดมันเข็ดจริง ๆ ถึงขั้นเห็นโทษเห็นจริง ๆ เรื่องธรรมก็เหมือนกัน ขั้นเห็นคุณเห็นจริง ๆ เห็นจนถึงใจไม่มีอะไรเหนือธรรมนะ สิ่งที่เคยเกี่ยวข้องพัวพันมาแต่ก่อนคืออะไรก็รู้ และปัจจุบันนี้เป็นอย่างไรก็รู้ประจักษ์ใจทั้งสองอย่าง ซึ่งเคยได้สัมผัสสัมพันธ์กันมามากแล้วทั้งด้านกิเลสทั้งด้านธรรมะ จึงควรสนใจอย่างยิ่ง

ผู้ปฏิบัติทั้งหลายอย่าสนใจสิ่งใดมากยิ่งกว่า การสนใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับใจของตัวเอง เหตุการณ์ไม่เกิดที่ไหน เกิดที่ใจนั่นแหละ เพราะกิเลสตัวสร้างเหตุการณ์หรือตัวเหตุการณ์จริง ๆ มีอยู่ที่นั่น ฝังอยู่ที่นั่น มันผลักมันดันอยู่ตลอดเวลา อยากให้รู้ให้เห็นอยากให้คิดให้ปรุงในแง่ต่าง ๆ ไม่มีคำว่าอิ่มพอ ไม่มีว่าสิ่งนี้คิดแล้วสิ่งนี้จำแล้ว สิ่งนั้นได้สัมผัสสัมพันธ์มาแล้ว ทั้งโทษทั้งคุณของมันได้รู้ได้เห็นผ่านมาแล้ว เป็นเดนไปจนเน่าเฟะแล้ว ไม่ควรที่จะมาสัมผัสสัมพันธ์ต่อใจซึ่งเป็นของไม่เน่านี้อีกต่อไป ถ้าไม่ใช่ใจเป็นตัวสมัครเน่าอย่างเดียวเช่นเดียวกับกิเลสแล้ว นั่น นี่แหละเรื่องของกิเลสมันแหลมคมขนาดนั้น

นี่ก็จวนออกพรรษาแล้ว การยักย้ายผันแปรในสภาพต่าง ๆ นั้นมีอยู่รอบตัวรอบเราทุกท่าน จึงไม่ควรนอนใจ ออกไปไหนก็อย่าละความดีที่ตนจะพึงทำเพื่อตัวเอง เพราะความดีนี้ไม่มีนอกมีใน ไม่มีใกล้มีไกล เป็นความจำเป็นที่ผู้หวังความสุขความเจริญจะต้องเสาะแสวงหาความดีเพื่อตัวเองเสมอ อย่ามองข้ามตัว ความดีความชั่วตัวเองนี้แหละเป็นผู้สร้างขึ้นมา เราอย่าเข้าใจว่าดินฟ้าอากาศแดดลมอะไรจะมาสร้างให้ ตัวของเรานี่ ท่านจึงสอนลงที่กรรม

ศาสนธรรม ๆ ถือกรรมเป็นหลักเป็นหลักสำคัญมากคือการกระทำ อย่าได้ประมาทในการกระทำ นิสมฺม กรณํ เสยฺโย ให้พินิจพิจารณาใคร่ครวญให้ถ่องแท้เสียก่อนแล้วจึงค่อยทำลงไป แม้ผิดพลาดก็ไม่มาก แต่ส่วนมากจะถูกมากกว่าผิดถ้าใช้ความพินิจพิจารณาก่อน ส่วนมากมันพรวดพราดเพราะกิเลสผลักดันออกมาอย่างรุนแรง กระทบอะไรเข้าไปก็เป็นฟืนเป็นไฟไปหมด มันจะเป็นธรรมได้ยังไง ก็กิเลสเป็นผู้ผลักออกมาให้รู้ให้เห็นให้สัมผัสสัมพันธ์ ผลที่ได้รับก็มีแต่ความทุกข์ความเดือดร้อนเท่านั้น ถ้าเป็นธรรมผลักดันออกมาแล้วจะเป็นความร่มเย็นเป็นสุข เย็นทั้งขณะที่ทำ เย็นทั้งขณะที่ผ่านไปแล้ว คือผลปรากฏขึ้นมาก็เย็น

ระหว่างพระพุทธเจ้า สาวกของพระพุทธเจ้ากับเรา อย่าเข้าใจว่าห่างกันเท่านั้นโยชน์เท่านี้โยชน์ ห่างกันเท่านั้นปีเท่านี้เดือน นั่นเป็นเรื่องของโลกของสงสาร แล้วก็ไม่พ้นที่กิเลสจะเข้าแทรกจนได้ นั่นก็คือเป็นเรื่องของกิเลสมันหลอกสัตว์โลก ว่าพระพุทธเจ้าปรินิพพานนานไปแล้วประการหนึ่ง ประการหนึ่งพระพุทธเจ้าไม่มี พระธรรมไม่มี พระสงฆ์ไม่มี นี่มันปิดขนาดนั้น ถ้าสัตว์โลกยังเล็ดลอดออกไปเชื่อพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ได้อยู่ มันก็ขยับเข้าไปอีกทางหนึ่งว่า เวลานั้นพระพุทธเจ้าปรินิพพานนานแล้วได้ ๒,๕๐๐ กว่าปี นิพพานอยู่ที่อินเดียโน่นแล้ว พระสรีระของท่านไม่มีอะไรเหลือ เป็นผุยผงไปหมดแล้ว เราปฏิบัติธรรมเพื่อหาประโยชน์อะไรเมื่อศาสดาก็เป็นผุยผงไปแล้ว นั่น นี่ละเรื่องของกิเลสมันแทรกเข้าไปแทรกเข้าไปอย่างนี้ พระสาวกทั้งหลายก็ไม่มีความหมายอะไร เพราะท่านก็ปรินิพพานไปเช่นเดียวกับพระพุทธเจ้า ถ้าสัตว์โลกทั้งหลายยอมรับพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ว่ามีอยู่ มันก็ปิดทางไปอีกทางหนึ่งว่า เมื่อพระพุทธเจ้า พระสงฆ์สาวกปรินิพพานไปแล้ว ธรรมจะยังตกค้างอยู่ได้ยังไง เพราะท่านเหล่านี้เป็นผู้ทรงอรรถทรงธรรมไว้ นี่ก็เป็นอุบายของมันแต่ละอย่าง ๆ

ส่วนความจริงตรงกันข้าม พระพุทธเจ้าห่างเหินที่ไหน คำว่ารู้ธรรมรู้ที่ไหน เป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมาเป็นขึ้นที่ไหน เป็นขึ้นที่พระทัยคือใจ ทำไมจึงเป็นขึ้นมาได้เพราะเหตุผลกลไกอะไร เพราะข้อปฏิบัติ นั่น พระพุทธเจ้าปฏิบัติอะไรถึงได้รู้ สิ่งที่ปฏิบัตินั้นได้ล้าสมัยไปแล้วเหรอ ทำไมพระพุทธเจ้าปฏิบัติได้รู้ได้เห็นได้เพราะวิธีการอันนั้น ทั้ง ๆ ที่ไม่มีพระพุทธเจ้าหรือศาสดาองค์ใดหรือท่านผู้ใดมาแนะนำสั่งสอนอุบายวิธีการต่าง ๆ ให้พระพุทธเจ้าเลย ทรงกำดำกำขาวไปตามลำพังพระองค์เอง แต่เป็นความจริงเป็นสัจธรรม เป็นทางถูกต้องที่จะให้หลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งหลายได้ เช่น พระองค์ทรงพิจารณากำหนดอานาปานสติเป็นต้น นี่คือองค์แห่งสัจธรรมซึ่งไม่ขึ้นอยู่กับอดีตอนาคต แม้จะไม่มีใครมาบอกก็ตาม

ความจริงต้องเป็นความจริงวันยังค่ำ เมื่อได้หยั่งจิตหยั่งสติปัญญาเข้าสู่ความจริงแล้ว ทำไมจะไม่เป็นความจริงขึ้นมาให้เห็นประจักษ์ใจ นี่ละพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ก็หยั่งพระสติปัญญาลงไปในสัจธรรมคืออานาปานสติ จนกระทั่งทุกสิ่งทุกอย่างละเอียดแนบแน่นลงไปตาม ๆ กัน ลมที่เป็นเครื่องยึดของพระจิตก็ละเอียดแนบแน่นลงไป พระจิตก็ละเอียดลงไป เมื่อจิตละเอียดลงไป ถ้าเป็นน้ำก็นิ่ง ย่อมนิ่งสงบย่อมใส พระปัญญาก็หยั่งทราบไปตามอาการต่าง ๆ ในขณะนั้น

นี่เป็นปฏิปทาของพระองค์ที่ทรงดำเนินมาโดยไม่มีใครบอกใครเล่า แต่อาศัยความจริงซึ่งไม่ขึ้นอยู่กับกาลสถานที่หรือบุคคลผู้หนึ่งผู้ใดเลย การประพฤติปฏิบัติของพระองค์ก็เป็นความจริง จริงต่อจริงเข้ากันได้สนิท ไม่อ้างกาลไม่อ้างสถานที่ ไม่มีสิ่งใดมามีอำนาจกีดขวางหรือกั้นกางไว้ได้ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสรู้ธรรมของจริงขึ้นมา เพราะการดำเนินตามของจริงซึ่งไม่ขึ้นอยู่กับอะไร ๆ ทั้งสิ้น แต่ขึ้นอยู่กับความจริงของตนร้อยเปอร์เซ็นต์

เมื่อได้ตรัสรู้แล้วก็ประทานพระโอวาทด้วยของจริง ความจริงที่ทรงรู้ทรงเห็นมาแล้วนี้แล ดังแสดงแก่พระเบญจวัคคีย์ทั้งห้า อันใดที่ผิดก็ทรงแสดงบอกว่าผิด การฝึกทรมานตนให้ลำบากเปล่า ๆ ก็ไม่ใช่ทาง เพราะกายไม่ใช่จะเป็นผู้ตรัสรู้ธรรม ใจต่างหากเป็นผู้ตรัสรู้ธรรม การฝึกการทรมานตนในทางกายโดยไม่มีจิตเข้าไปเกี่ยวข้องในการทำงานนั้นเลยก็ไม่เกิดประโยชน์ อัตตกิลมถานุโยค กามสุขัลลิกานุโยค ทั้งสองประเภทนี้ไม่ใช่ทาง พระองค์ทรงแนะนำสั่งสอนให้ละให้หยุด

มัชฌิมาปฏิปทาต่างหาก นั่น ที่นี่ย้อนเข้ามาสู่ทางที่ถูกต้อง คำว่ามัชฌิมาขึ้นอยู่กับกาลสถานที่ ขึ้นอยู่กับผู้หนึ่งผู้ใดที่ไหน แต่ขึ้นอยู่กับความจริงล้วน ๆ จึงว่ามัชฌิมา ๆ คือเหมาะสมกับความจริง สิ่งที่ธรรมทั้งหลายคือมัชฌิมาจะพิจารณาก็เป็นความจริงด้วยกัน สติ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร นับตั้งแต่สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป จนกระทั่งสัมมาสมาธิ ก็เป็นความจริงด้วยกัน เมื่อกำหนดลงสู่ความจริงแล้วจำต้องรู้ได้เห็นได้ดังแสดงแก่เบญจวัคคีย์

ชาติปิ ทุกฺขา ชราปิ ทุกฺขา มันเกิดอยู่ที่ไหน มันแก่ที่ไหน ทุกข์เกิดที่นั่นเป็นลำดับลำดา มันล้วนแล้วแต่กองทุกข์ กองทุกข์มีอยู่ที่ไหนก็มีอยู่ในธาตุในขันธ์นี่ บอกเข้ามาหาจุดความจริงนี้ ทั้งฝ่ายหยาบได้แก่รูปขันธ์ ทั้งฝ่ายละเอียดลงไปได้แก่นามขันธ์ก็ถูก หรือว่านามธรรมก็ถูก ความคิดที่เป็นไปตามสัญญาอารมณ์ ดังกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา เหล่านี้เป็นความอยากที่ทำคนให้เกิดความทุกข์ความลำบากตลอดไป

ไม่เคยมีความอยากตัวไหนอันขึ้นชื่อว่ากิเลสสร้างขึ้นมา จะสร้างความสุขความเจริญให้แก่โลก ให้แก่บุคคลหรือสัตว์ตัวใด ให้ได้รับความสะดวกสบายหรือมีความสุขความเจริญเสมอไปนั้นไม่มี นอกจากเป็นเครื่องล่อเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น แล้วก็เอาทุกข์ใส่เข้าไป เอายาพิษใส่เข้าไป ให้เกิดแก่เจ็บตายกระวนกระวาย อยู่ในระหว่างแห่งภพก็กระวนกระวาย การเกิดก็เป็นทุกข์ การตายก็เป็นทุกข์ เกิดมาเป็นรูปเป็นกายเป็นสัตว์เป็นบุคคลก็เป็นทุกข์ มีแต่กองทุกข์วางเป็นสายยาวเหยียด ล้วนแล้วแต่เป็นเชื้อเพลิงของกิเลสทั้งนั้น พระองค์ก็ทรงสั่งสอนให้ทราบหมด

จากนั้นก็ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป ได้แก่องค์ของปัญญา พินิจพิจารณาใคร่ครวญตามหลักความจริงเหล่านี้ นับตั้งแต่ ชาติปิ ทุกฺขา เข้าไป ให้เห็นชัดตามเรื่องธาตุเรื่องขันธ์ซึ่งมีอยู่กับตัวของเราด้วยปัญญา แยกแยะดูทุกสัดทุกส่วนที่กิเลสมันปิดมันบัง มันเอาสิ่งจอมปลอมมาหลอกลวงให้เชื่อให้ยึดให้ถือ ดังที่ว่าความสวยความงามความจีรังถาวร อันนี้มันมีที่ไหน เมื่อพิจารณาตามความจริงแล้วมันไม่มี แต่โลกก็เชื่อได้ เพราะมันแหลมคมมากกลมายาของกิเลส เกินกว่าโลกทั้งหลายจะรู้ตาม ชำนะมันได้ จึงต้องเชื่อ ยอมเชื่อมันทั้ง ๆ ที่หาความจริงไม่มี ก็เชื่อไปอย่างลม ๆ แล้ง ๆ ไปอย่างนั้นเอง เมื่อความเชื่อเป็นลม ๆ แล้ง ๆ หาตัวจริงไม่ได้ หาความสัตย์ความจริงไม่ได้ ทำไมจะไม่เป็นเรื่องโกหกตัวเอง ทำไมจะไม่เป็นทุกข์คว้าน้ำเหลวล่ะ ต้องคว้า

พิจารณาให้ลงสู่ความจริง ชาติปิ ทุกฺขา ก็กองทุกข์ไฟทั้งกอง ใครจะไปอาจเอื้อมไปจับไปต้องไปยึดไปถือมันล่ะไฟทั้งกองนั่น ชาติปิ ทุกฺขา ก็คือไฟกองหนึ่ง ชราปิ ทุกฺขา หรือ พยาธิปิ ทุกฺขา ก็ล้วนแล้วแต่ฟืนแต่ไฟทั้งนั้น ใครจะไปกล้าหาญอาจเอื้อมไปแตะไปต้องไปแบกไปหามไฟทั้งกองนั้นเล่า ถ้ารู้ด้วยปัญญาก็เป็นอย่างนั้น ท่านบอกไว้หมด ชาติปิ ทุกฺขา นั้นไฟกองหนึ่งหนา ชราปิ ทุกฺขา พยาธิปิ ทุกฺขา ก็ดีมีแต่ไฟกองหนึ่ง ๆ มรณมฺปิ ทุกฺขํ ล้วนแล้วแต่ไฟแต่ละกอง ๆ เป็นความสุขความเจริญที่ไหน เป็นความสวยความงามที่ไหน เป็นที่น่ารักใคร่ชอบใจที่น่าหลงงมงายที่ตรงไหน มันไม่มี แน่ะ

พูดถึงเรื่องปัญญา หยั่งลงไปแล้วมันมีแต่ไฟทั้งกอง ๆ ทั้งนั้น เรายังจะฝืนคำศาสดาองค์เอกที่แสดงออกมาจากความจริงล้วน ๆ แล้วไปยึดเอาเทวทัตสิ่งที่จอมปลอมนั้นมาเป็นสรณะ มันก็มีแต่ฟืนแต่ไฟซิ เรากอดไฟเราจับไฟห้ามไม่ฟังมันก็มีแต่กองทุกข์ แล้วจะหาใครมาช่วยเหลือ ให้กิเลสช่วยเหลือก็เหยียบย่ำเข้าไปเรื่อย ๆ เอาจนกระทั่งเป็นผุยเป็นผง อย่าว่าเพียงเป็นเถ้าเป็นถ่านเลย มันกลายเป็นผุยเป็นผงไปได้ถ้าให้กิเลสช่วย เพราะกิเลสต้องทำงานหน้าที่ตามอุบายวิธีการของกิเลส เรื่องของธรรมต้องทำงานตามหน้าที่ของธรรม ธรรมเป็นเครื่องส่งเสริม เป็นเครื่องฉุดลาก เป็นเครื่องพยุงขึ้นไปโดยลำดับ แต่กิเลสเป็นเครื่องเหยียบย่ำทำลาย

ระหว่างทั้งสองนี้เอาอะไร เราเป็นนักพรตนักปฏิบัติเพื่อหาความจริงล้วน ๆ อยู่ภายในจิตใจแล้ว เราจะเอาอะไรเป็น สรณํ คจฺฉามิ ธรรม สรณํ คจฺฉามิ ก็พิจารณาลงให้เห็นตามหลักธรรมที่ท่านสอนไว้ซิ ล้าสมัยที่ตรงไหน ของไม่สวยไม่งามล้าตรงไหน ดูในกายของเราก็รู้ ของไม่จีรังถาวรล้าสมัยที่ไหน มันแปรสภาพอยู่ตลอดเวลาภายในร่างกายและจิตใจของเรานี้ ล้าสมัยไปที่ไหน พิจารณาลงตรงนี้ทำไมจะไม่รู้ เพราะเป็นของมีอยู่จริงอยู่กับตัวของเรา ไม่ได้โกหกกันพอจะลูบ ๆ คลำ ๆ เหมือนกิเลสมันหลอกเรา

เรายังอุตส่าห์เรายังบึกบึนกับมันลูบคลำไปกับมันได้ ทั้ง ๆ ที่หาความจริงไม่เจอ มีแต่ความทุกข์ที่เผาขึ้นมา ๆ เพราะการลูบคลำไปตามมันเราก็ยังพอใจ ทำไมจึงไม่พอใจกับอรรถกับธรรมตามความจริงที่พระองค์ท่านสอนไว้ นี่เรียกว่า ทุกฺขํ อริยสจฺจํ เป็นผลที่เกิดขึ้นมาจาก กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา นั้นเป็นผู้สร้างตัวผลนี้ขึ้นมา กามตัณหาคืออะไร ก็ได้อ่านแล้วดูแล้วในคัมภีร์ มีองค์ไหนจะสงสัย มีใครจะสงสัย ก็เห็นอยู่แล้ว ถ้าไม่เพียงแต่เอาความจำเข้ามาเป็นความจริงหลอกตัวเองเท่านั้น ถ้าเอาความจริงตามเพื่อความจริงแล้วจะหนีพ้นตามหลักธรรมที่ท่านสอนไว้ยังไง

ภวตัณหาคือความทะเยอทะยาน คือความหิวความกระหายมันกวนมันบีบคั้น คนมีความอยากมีความสบายเมื่อไร มีความหิวความกระหายมีความสบายเมื่อไร สัตว์โลกไม่เคยสบายด้วยความหิวความกระหาย สบายด้วยความอิ่มพอต่างหาก นั่น กิเลสเป็นไปเพื่อความหิวความกระหายตลอดไปเลย นตฺถิ ตณฺหาสมา นที ไม่มีแม่น้ำใดจะเสมอแม่น้ำคือกิเลส คือความอยากไม่มีเมืองพอ ส่วนธรรมนั้นแก้ความอยากให้เป็นความอิ่มพอขึ้นมาโดยลำดับลำดา ตั้งแต่ขั้นสมาธิเต็มภูมิแล้วก็อิ่มพอในตัวเอง

ก้าวออกสู่ปัญญาพินิจพิจารณาทางด้านปัญญา ถือสมาธิเป็นฐานที่พักที่อาศัย เป็นอาหารสำหรับรับประทานเยียวยากำลังวังชาจะได้มีขึ้น แน่ะ สมาธิเป็นที่พัก เมื่อจิตเป็นสมาธิจิตย่อมไม่หิวโหย จิตย่อมทรงตัวได้ เป็นตัวของตัวในขั้นนี้แล้วควรแก่การพิจารณาทั้งหลายได้โดยไม่เถลไถล เพราะความหิวโหยบีบบังคับหรือฉุดลากให้ไป ปัญญาก็พิจารณาตามสภาวธรรมดังที่กล่าวมาเหล่านี้แล้วเล่า ถืออันนี้เป็นงาน ขุดค้นลงที่นี้ จำเป็นไม่จำเป็นถือที่นี่เป็นฐานสำคัญ ไม่ถือกาลไม่ถือสถานที่ ไม่ถือบุคคลผู้หนึ่งผู้ใดเวล่ำเวลาเข้ามากีดมาขวาง แต่ถือสัจธรรมนี้ ทำงานเพื่อสัจธรรมด้วยกัน หรือทำงานสัจธรรมด้วยกัน ถือสกลกายนี่เป็นสถานที่แยกแยะพินิจพิจารณาทางด้านสติ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร หมุนกันลงที่นี่

กามตัณหาจะผ่านพ้นอำนาจของมัชฌิมาไปได้อย่างไร ภวตัณหา วิภวตัณหา มันเกี่ยวโยงกันอยู่นั้นเหมือนกับไฟได้เชื้อ มีเชื้อที่ไหนไฟจะไหม้เข้าไปลุกลามเข้าไป นี้ก็ตปธรรมไหม้เข้าไป กามตัณหาอยู่ที่ไหนภวตัณหาอยู่ที่นั่น วิภวตัณหาก็อยู่ที่นั่น เผาเข้าไปโดยลำดับลำดาจนเกลี้ยงไม่มีเหลือนั่นละ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นเชื้อของไฟได้แก่ตปธรรม จะต้องแผดเผาเข้าไปตรงนั้น นี่ท่านเอาของจริงมาสอนพวกเรา อริยสัจ ๔ ท่านสอนไว้อย่างนี้แหละ ให้พากันพิจารณา

ตลอดถึงผลที่ท่านยังไม่เคยรู้เคยเห็น ท่านก็บอกไม่เคยรู้เคยเห็น เมื่อท่านรู้เห็นแล้วท่านก็บอกว่าได้รู้แล้วเห็นแล้ว ประกาศท้าทายความจริงต่อเบญจวัคคีย์ทั้งห้าว่า ธรรมเหล่านี้เราไม่เคยรู้เคยเห็น เราก็บอกเราไม่เคยรู้เคยเห็น เวลานี้เรารู้เราเห็นแล้ว เราก็บอกเราได้รู้ได้เห็นแล้ว จะเชื่อหรือไม่เชื่อความจริงก็ตาม สำหรับผู้แสวงหาความจริงแล้วจะไม่เชื่อได้ยังไง ต้องเชื่อ ๆ แล้วหยั่งลงสู่ความจริงได้เป็นลำดับลำดา จนกระทั่งพระอัญญาโกณฑัญญะ ได้เปล่งอุทานออกมาด้วยความถึงใจว่า ยงฺกิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมํ สิ่งใดก็ตามเกิดขึ้นดับทั้งนั้น นี่พูดให้ถึงใจตามหลักปฏิบัติ ถ้าพูดว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ดับเป็นธรรมดา มันก็เป็นลอย ๆ ไปธรรมดา ไม่ค่อยจดจ่อต่อเนื่องหรือไม่ค่อยถึงจุดถนัดของกิเลสอยู่ และจุดถนัดของธรรมที่สถิตอยู่ ว่าสิ่งใดก็ตามขึ้นชื่อว่าสมมุติ ขึ้นชื่อว่าเกิดขึ้นแล้วต้องดับทั้งนั้น นั่นถึงใจ

จากนั้นท่านก็แสดงอนัตตลักขณสูตรให้ฟังในอันดับต่อไป นี่พูดถึงเรื่องแปรสภาพแห่งความละเอียดของธาตุของขันธ์ ด้วยสติปัญญาขั้นละเอียดแหลมคมเข้าไปโดยลำดับลำดา รูปํ อนตฺตา แน่ะ เวทนา อนตฺตา สญฺญา อนตฺตา สงฺขารา อนตฺตา วิญฺญาณํ อนตฺตา สุดท้ายก็ สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ไปหมด นี่ให้เปิด ๆ ออกไป ให้ปล่อย ๆ อนตฺตา อย่ายึด ยึดไปหาอะไร อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา มันเป็นกองฟืนกองไฟทั้งนั้นไม่สมควรที่จะมายึด ถ้าไม่อยากจะจมอยู่ในกองฟืนกองไฟอย่ายึด แสดงออกให้เห็นชัด ๆ อย่างนี้

จนกระทั่งถึง นิพฺพินฺทํ วิรชฺชติ วิราคา วิมุจฺจติ วิมุตฺตสฺมึ วิมุตฺตมิติ ญาณํ โหติ เมื่อจิตได้เบื่อหน่ายได้คลายกำหนัด กำหนัดนั่นหมายถึงความยินดี ไม่ได้หมายถึงกำหนัดแบบโลกแบบสงสาร แต่เมื่อไม่มีอะไรให้ชื่อให้นามที่จะเหมาะสม ท่านก็เอาอันนี้เป็นชื่อไป ถ้าจะให้ละเอียดยิ่งกว่านั้นก็หมายถึงความยินดีอันละเอียดตามขั้นของกิเลสของธรรมไปโดยลำดับลำดา จนกระทั่งจิตเบื่อหน่ายเพราะสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ของจริงที่ควรจะยึดถือเอาเป็นตัวเป็นตน เป็นสัตว์เป็นบุคคลได้ แต่เป็นสิ่งที่จะต้องสลัดปัดทิ้งเสียโดยสิ้นเชิง นั้นแลถึงจะเจอสิ่งที่ประเสริฐเลิศเลอได้ หยั่งลงด้วยปัญญาเช่นนี้แล้วย่อมสลัดได้เอง

เมื่อสลัดสิ่งนี้แล้ว ความจริงสภาพอันหนึ่งซึ่งมีอยู่ภายในใจนี้ก็ไม่ต้องพูด เพราะใจพร้อมแล้วที่จะรู้จะเห็นความจริงของตัวเอง เป็นแต่เพียงว่าสิ่งจอมปลอมทั้งหลายมันปกคลุมหุ้มห่ออยู่เท่านั้น จึงรู้ไม่ได้เห็นไม่ได้ ก็จำยอมกลืนไปทั้งก้างทั้งกระดูกนั่นแหละ จึงมีสุข ๆ ทุกข์ ๆ เจือปนกันไป โลกสงสารเป็นเช่นนั้น ดูจิตนี้…ความทุกข์ อย่าดูที่ไหน ดูสุขให้ดูที่นี่ นี้เป็นที่รวมแห่งทุกข์ทั้งหลายไม่รวมอยู่ที่อื่น ไม่อยู่กาลอยู่สถานที่อยู่ที่โน่นที่นี่ ไม่อยู่กับกระพุทธเจ้าองค์นั้นสาวกองค์นี้ แปลนอยู่ที่นี่ ธรรมท่านสอนลงที่นี่ ให้ยึดนี้เป็นหลัก ระหว่างพระพุทธเจ้ากับพระสาวก ถึงธรรมทั้งหลายที่ท่านนำมาตรัสสอนโลก จะไม่ห่างไกลจากความจริงอันนี้ คือสัจธรรมนี้ เปิดสัจธรรมขึ้นให้แจ้งชัดทั้งสี่ประเภทหรือสี่ประการนี้แล้ว วิมุตติธรรมไม่ต้องถาม เพราะอยู่ในท่ามกลางแห่งสัจธรรมนี้แล้ว นี่การปฏิบัติธรรมให้ขุดค้นลงที่นี่

อยู่ด้วยกันมาก็นานกับหมู่กับคณะ หมู่เพื่อนก็มา มาเรื่อย ๆ มองดูทีไรมันสะดุดทุกที ๆ ไม่ทราบเป็นยังไง แสดงถึงเรื่องจิตแสดงถึงเรื่องสติปัญญาไม่กระเพื่อมตัวเอง มีแต่กิเลสครอบหัวใจแสดงออกมาให้เห็น ๆ แทนที่จะเห็นธรรม เหมาะสมกับผู้มาปฏิบัติธรรม กลับเห็นแต่เรื่องกิเลสแสดงตัวออกมา ๆ โดยเจ้าตัวก็ไม่รู้เลยนะ มันเห็นอยู่อย่างนั้นจะว่าอย่างไร ธรรมที่เราขวนขวายอยู่ตลอดเวลา ในความรู้สึกของเราว่าเราขวนขวายธรรมเราดำเนินธรรมอยู่ตลอดเวลา แทนที่จะได้เห็นผลนั้นแสดงตัวออกมาทางมารยาทนั้น การแสดงออกทางกายทางวาจามันไม่เห็น เห็นแต่เรื่องของกิเลสแสดงออกมา

จะปฏิบัติอย่างไรให้พากันนำมาพิจารณาอีกทีในธรรมข้อนี้ เพราะนี้ไม่ใช่จะเป็นผู้หาเรื่องหาราวหาโทษหาโพยอะไรให้หมู่ให้เพื่อน นอกจากจะสงเคราะห์หมู่เพื่อนด้วยความเต็มอกเต็มใจจนเต็มสติกำลังความสามารถ ทุ่มลงหมดเท่านั้นไม่มีอย่างอื่น มันบกพร่องที่ตรงไหนจำเป็นต้องพูดกันให้เข้าใจ นั่นแสดงว่าสติปัญญานี้ไม่เพียงพอ อันนี้ถึงแสดงออกมาได้ ถึงโผล่ตัวออกมาได้ ถึงทำงานออกมาได้อย่างอาจอย่างหาญ อย่างไม่รู้สึกตัวเลย สำหรับผู้ที่เป็นตุ๊กตาให้มันเป็นเครื่องมือก็ดี

พยายามฟิตสติปัญญาให้ดี ดูจิตอย่าไปดูที่อื่น มันแสดงความโง่เง่าเต่าตุ่น แสดงความฉลาดแยบคาย จะแสดงขึ้นที่นั่นแหละไม่แสดงที่ไหน ร่างกายกิริยามารยาทนี้เป็นเครื่องมือของจิต จิตนั้นมีอะไรถือเป็นเครื่องมืออีกทีหนึ่ง ถ้ากิเลสหนาก็กิเลสถือเป็นเครื่องมือแสดงออกมาทางกายทางวาจา กิเลสบางลงไปธรรมค่อยเจริญรุ่งเรืองขึ้นมา กิริยาอาการก็จะเป็นอรรถเป็นธรรมน่าดูน่าชม เห็นผลในการสอน อ้อ ผลเริ่มแสดงแล้ว นั่น การปฏิบัติต้องได้เล็งผลอยู่เสมอ ไม่เช่นนั้นจะไม่เห็นผลเห็นอะไรนะ

นี่ออกพรรษาแล้วก็แยกย้ายกันไป ต่างถิ่นต่างฐานต่างบ้านต่างงานของตนที่จะต้องจัดต้องทำ มันหากเป็นความจำเป็นอยู่นั้นแหละ โลกอันนี้ไม่จัดไม่ทำไม่ได้ ต้องเป็นต้องไปอยู่ยังงั้นด้วยกัน จะอยู่ในทวีปใดที่ไหนก็ตามในโลกอันนี้ ต้องสร้างอยู่สร้างกิน ต้องวิ่งเต้นขวนขวาย แต่ยังไงก็ตามก็เพื่อเรา เราต้องให้เป็นเนื้อเป็นหนังของเราอยู่เสมอ อะไรผิดอะไรพลาดอย่าให้เราผิดพลาด อะไรขาดตกบกพร่องอย่าให้เราขาดตกบกพร่อง เพราะว่าเราเป็นผู้จะรับเคราะห์รับกรรมอันดีอันชั่วคือเรา อันนี้ต้องตั้งรากตั้งฐานไว้ให้ดี

ไม่มีอะไรมีคุณค่ายิ่งกว่าใจ ใจเป็นพื้นฐานแห่งความรู้ ท่านจึงเรียกว่า นิพพานเที่ยง หมายถึงจิตที่บริสุทธิ์ล้วน ๆ แล้ว ไม่มีอะไรทำให้เอนให้เอียงนั่นแลเที่ยง เราตั้งความหวังไว้กับใจดวงนี้ได้อย่างเต็มภูมิ นอกนั้นตั้งกับมันไม่ได้ มีแต่ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ที่จะคอยพาทำให้พังทลาย ๆ ไว้ใจได้ยังไง อมตจิต อมตธรรม จิตดวงนี้ต่างหาก แม้จะยังไม่ได้หลุดพ้นก็ตาม จิตดวงนี้ก็เป็นพื้นเป็นฐานให้เราได้ยึด ให้เราได้เกาะให้เป็นความดีสำหรับตัวเอง ให้มีความชุ่มเย็นอยู่ตลอดไป ไม่หมดหวังอันนี้ เพราะเป็นจุดแห่งความหวังได้อย่างเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว

ให้ถืออันนี้เป็นหลัก แล้วทำอะไร ๆ ทำเพื่ออันนี้ สิ่งเหล่านั้นเราก็เห็นกันอยู่รู้กันอยู่นี้แหละ เป็นของไม่แน่นอน มีการเปลี่ยนแปลงแปรปรวนอยู่รอบด้าน ทั้งใกล้ทั้งไกลทั้งในทั้งนอก ขอบเขตดินแดนมีอยู่เท่าไรมันแปรสภาพของมัน มันแสดงตัวของมันอยู่ทุกแห่งทุกหนนั้นแหละ หาความแน่นอนกับมันไม่ได้ แต่ใจนี้แน่ในความที่จะเป็นตัวของตัวได้แม้จะยังไม่สิ้น จะยังไม่เป็นตัวของตัวอย่างเต็มที่ก็ตาม แต่ก็เป็นตัวของตัวได้ในการยึดจิตเป็นหลัก จิตไม่ตาย มีความหวังได้อยู่เสมอเมื่อได้รับการอบรม

ในเบื้องต้นได้กล่าวถึงเรื่องหลวงปู่มั่นท่านเกี่ยวกับพระกับเณรทั้งหลาย ได้พูดถึงว่าพวกพระพวกเณรทั้งหลายที่ไปเกี่ยวข้องกับท่านมีแต่คลังกิเลส มีแต่หอกแต่แหลมแต่หลาวแต่ฟืนแต่ไฟเผาท่าน โดยไม่รู้สึกตัวไม่มีเจตนาอะไรเลย แต่ก็ถือไฟอย่างลุกโชนไปตลอดเวลา ทำไมจะไม่ไปเผาคนนั้นเผาคนนี้ ทีนี้องค์ท่านเองไม่มีท่านทำไมจะไม่เหลืออดเหลือทนกับพวกเรา นั่นละความละเอียดต่างกันเช่นนั้น ท่านก็พิจารณาแนะนำตักเตือนสั่งสอนเต็มเม็ดเต็มหน่วย เต็มสติกำลังความสามารถเรื่อยมา จนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายที่สอนไม่ได้แล้วก็อยู่ พอสอนได้เล็ก ๆ น้อย ๆ ท่านก็สอน

ยิ่งเวลาจำเป็นเข้าไปเกี่ยวข้องกับท่าน ข้ออรรถข้อธรรมในข้อใดนี้ ท่านจะสอนทันทีเลย เมื่อมีปัญหาเรียนถามท่านประการใดท่านจะตอบให้อย่างถึงใจ ๆ ย่อ ๆ ไม่ต้องเอามากมาย ให้เหมาะสมทีเดียว ใส่ลงตูมเดียวสองตูมเท่านั้นพอ ๆ ท่านรู้จุดหมายอันสำคัญ ๆ ในการตอบปัญหาเพื่อประโยชน์แก่ผู้เข้าไปเกี่ยวข้องปรึกษาท่านนี่ ถึงวาระสุดท้ายที่จะพูดมากไม่ได้ท่านก็พูดเอาแต่สำคัญ ๆ เอาแต่เนื้อ ๆ ออกมาให้ได้ไปอย่างเต็มใจภูมิใจเลย

เวลาท่านผ่านไปแล้วก็หาที่ยึดที่เกาะไม่ได้ เพราะตามธรรมดาของจิตใจสามัญคนเราก็ต้องได้ยึดรูปยึดวัตถุเป็นสำคัญ ทางหูก็ได้ยินได้ฟัง ทางตาก็ได้เห็น ซึ่งเป็นสิ่งที่จะให้ซึมซาบเข้าถึงใจเพื่อเป็นกำลังของจิตใจ เวลาท่านพลัดพรากจากไปแล้วตาก็ไม่เห็น หูก็ไม่ได้ยิน ใจจะคิดแง่อรรถแง่ธรรมจากการเห็นการได้ยินได้ฟังนั้นก็คิดไม่ได้ เพราะไม่ได้มาจากทางนั้น เพราะท่านผ่านไปแล้ว นี่ก็เป็นการเสียประการหนึ่ง แม้ธรรมจะมีอยู่แต่ไม่มีผู้ขุดคุ้ยขึ้นมาก็ไม่เห็นไม่รู้ไม่สะดุดใจ

นี้เวลานี้เราอยู่ด้วยกัน มาศึกษาอบรมก็ให้คิดข้อนี้ให้มาก เราจะเห็นว่าเป็นสิ่งที่เคยได้ยินได้ฟัง กิเลสนั่นแหละมันมากกว่าสิ่งใด มันเคยสัมผัสสัมพันธ์เคยฝังจมอยู่ภายในจิตใจ เราไม่เห็นได้คิดมันอย่างนั้นว่าเคยได้อยู่กับมันแล้ว สนุกสนานคุ้นเคยกันแล้ว อยู่กับกิเลสไม่เป็นไรแหละ เคยเป็นมิตรเป็นสหายกันมาแล้ว เราไม่เห็นว่าไฟเราคุ้นกับมันได้ยังไง จี้เข้าตรงไหนร้อนตรงนั้น จี้เอาจนเป็นเถ้าเป็นถ่านก็เป็นได้ นี่กิเลสมีหลายประเภท เอาจนเป็นเถ้าเป็นถ่านก็ได้ ถ้าคุ้นกับมันเมื่อไรแล้วต้องเป็นเช่นนั้น ไม่มีผลดีที่จะได้ในการคุ้นกับกิเลสนอนใจกับกิเลส นอกจากจะเป็นผู้สนิทติดกับธรรมใคร่ธรรม ประพฤติปฏิบัติธรรมเพื่อการชำระสะสางให้สิ่งนี้ได้ห่างไกลออกจากตัวของเรา ด้วยอำนาจแห่งธรรมเป็นเครื่องชะล้างหรือผลักดันออกไป นี่ละหลักใหญ่ ขอให้ทุกท่านนำไปประพฤติปฏิบัติ

สติเป็นสำคัญมากอย่าได้ลืมนะ สติน่ะเป็นเครื่องตั้งตัว เป็นเครื่องรู้สึกตัว อะไรมาสัมผัสสัมพันธ์รู้ด้วยสติก่อน ก่อนปัญญาจะออกจะก้าวเดินสติต้องเตือนก่อน เหมือนกับสัญญาณบอกภัยนั่นเอง สัมผัสทางตาทางหูทางจมูกทางลิ้นทางกายเรื่องราวอะไร สติเมื่ออยู่กับตัวแล้วจะรับทราบทันที ๆ แล้วปัญญาก็จะเริ่มขึ้น จะแพ้บ้างชนะบ้างไม่เป็นไรในขั้นเริ่มแรก ถ้าหลายครั้งหลายหนต่อไปจนชำนิชำนาญแล้ว ความแพ้ก็มีน้อยลงโดยลำดับ มีแต่ความชนะมากขึ้น ๆ จนกระทั่งถึงว่าแพ้ไม่ได้ ไม่มีคำว่าแพ้ มีแต่ตายด้วยกัน ถ้าไม่ชนะก็ตายด้วยกัน กับชนะเท่านั้น คำว่าแพ้ ๆ ไม่ได้ เหมือนกับว่าหมดคุณค่าเสียจริง ๆ หมดท่าจริง ๆ สิ้นท่าจริง ๆ คนแพ้

จิตของเราเมื่อถึงขั้นนั้นแล้วเป็นอย่างนั้นแหละ ไม่มีใครมาบอกก็รู้เอง ถึงขั้นเด็ด ๆ จริง ถึงขั้นสละเป็นสละตายสละได้จริง นี่เพราะอำนาจแห่งความเชื่อธรรมเห็นอย่างชัดเจน โทษก็เห็นอย่างถึงใจรู้อย่างถึงใจ ประจักษ์อยู่กับใจ ธรรมก็รู้อย่างถึงใจประจักษ์กับใจเช่นเดียวกัน แม้จะยังไม่เป็นธรรมขั้นสูงสุดวิมุตติพระนิพพาน ก็ถึงใจตามขั้นของธรรมที่จะเป็นกำลังใจให้ได้ต่อสู้กิเลสอย่างเต็มเหนี่ยว ถึงสละเป็นสละตาย หาคำว่าแพ้ไม่ได้นั้นแล นี่กำลังของธรรมเมื่อได้ขึ้นแล้วต้องเหนือกิเลสเป็นลำดับ จนถึงขนาดว่ากิเลสตัวใดแสดงออกมาไม่ได้ ต้องแหลกไปในทันทีทันใด เพราะสติปัญญาทัน เกรียงไกรมาก ถึงขั้นเกรียงไกร

แต่เวลาล้มลุกคลุกคลานก็เพราะไม่มีกำลัง ไม่รู้วิธี โมโหก็โมโหยังงั้นแหละ โมโหให้กิเลสมันเหยียบหัวเรา โมโหให้มัน มันก็เหยียบอยู่ทั้ง ๆ ที่โมโหนั่นแหละ มันไม่ได้ให้อภัยแก่ใครนี่กิเลส โห นี่เขาโมโหเขาเคียดแค้นให้เรา เราจะต้องพักเสียก่อนเบามือลงไปเพื่อเขาจะได้ตั้งเนื้อตั้งตัว..ไม่มี คำว่ากิเลสยิ่งอ่อนตัวลงไปเท่าไรมันยิ่งขยับใหญ่เลย กระหน่ำใหญ่เอาแหลกไปเลย จึงตั้งท่าฮึดสู้เท่านั้น กิเลสโผนมาขนาดไหนธรรมะต้องโผนไป การผาดโผนเพื่อความดีสำหรับเราต่อกิเลสที่เป็นตัวผาดโผนจะผิดไปที่ตรงไหน เป็นความชอบธรรม ไม่ชอบธรรมพระพุทธเจ้าไม่สอนไว้ สอนเอาให้หนักมือ ๆ เอาให้เต็มที่

ท่านสอนไว้ ฉันทะ เอ้า พอใจให้เต็มหัวใจ วิริยะ เพียรให้เต็มหัวอก จิตตะ ให้รักให้ชอบในกิจการของตน อย่ารักชอบในสิ่งใดยิ่งกว่าการงานของตน ยิ่งกว่าจิตผู้ทำงานนี้ วิมังสา ใคร่ครวญลงตรงนี้ให้ถึงใจ ปัญญารู้ให้ถึงใจ แน่ะ แล้วผลจะสำเร็จไปได้ไม่มีอะไรพ้นจากนี้ ท่านว่า อิทธิบาท คือพื้นเพแห่งความสำเร็จ เมื่อแปลออกแล้วน่ะ อยู่กับ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา นี้แล ท่านว่าพื้นเพแห่งความสำเร็จ แปลฟังให้ได้ความเลย

อยู่ที่นี่ให้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติ ครูบาอาจารย์ก็นับวันร่อยหรอลง ๆ ต่อไปนี้จะไม่มีผู้ชี้แจงอรรถธรรม เพราะถ้าเราไม่สามารถที่จะทำความรู้ความสามารถให้เกิดขึ้นกับเราแล้ว เราสอนเราก็ไม่ได้ จะไปสอนอะไรให้คนอื่นเขาได้ดิบได้ดีถูกต้องแม่นยำ ถ้าเราไม่ถูกต้องแม่นยำเสียคนเดียวก่อน เวลานี้เป็นยังไงถูกต้องแม่นยำหรือผิดอย่างแม่นยำ ส่วนมากมีแต่ผิดอย่างแม่นยำ กิเลสมันเอาอย่างแม่นยำ ๆ มันก็ผิดอย่างแม่นยำ ๆ ของกิเลส ไม่ใช่แม่นยำของธรรม เวลานี้เราอยู่ในขั้นแม่นยำในเรื่องของกิเลสสับเอายำเอา สับตรงไหนตูมเลย ๆ แม่นยำทั้งนั้น ธรรมะสับยังไม่ถูก เถลไถลผิด ๆ พลาด ๆ ล้มระเนระนาดไปเพราะอำนาจของกิเลสฟันเอา ๆ

เอาให้กิเลสพังระเนระนาดไปให้เห็นซิ ดังที่เคยพูดเสมอ เมื่อถึงระยะถึงกาลที่สามารถฆ่ากิเลสแล้ว อยู่ที่ไหนก็ฆ่าตลอด นั่งอยู่ก็ฆ่า อยู่ในทางจงกรมก็ฆ่า เดินอยู่ก็ฆ่า นอนอยู่ก็ฆ่า เว้นแต่หลับ อยู่ที่ไหนฆ่า แม้แต่ขบฉันอยู่ก็ฆ่า เพราะสติปัญญาทำหน้าที่กับกิเลสอยู่ตลอดเวลา ไม่ได้มาเกี่ยวข้องกับอาหารหวานคาวอะไรทั้งนั้น งานระหว่างจิตกับกิเลสเมื่อมันพันกันแล้วเป็นอย่างนั้น เรียกว่าตะลุมบอนกันตลอด นี่ละทีนี้แม่นยำละที่นี่นะ ฆ่ากิเลสอย่างแม่นยำ ๆ สุขก็สุขอย่างแม่นยำ ไม่มีสุขปลอม ๆ ละ มีแต่แม่นยำ ๆ เอาจนกระทั่งถึงวิมุตติหลุดพ้น แม่นยำเต็มที่หายห่วง

ใครจะห่วงอะไรก็ห่วงไปเถอะ ถ้าลองจิตดวงนี้ไม่ห่วงเสียอย่างเดียวเท่านั้นก็เหมือนโลกธาตุนี้ไม่มี ก็มีจิตดวงเดียวนี้ไปเกี่ยวข้อง ไปสัมผัสสัมพันธ์ไปยึดไปถือ ทั้งที่สิ่งเหล่านั้นเขาก็เป็นของเขาอยู่ตามหลักความจริงของตน ผู้นี้มันปลอม มันคะนองมันอยู่ไม่เป็นสุข ไปเที่ยวยึดเที่ยวแบกเที่ยวหามเอากองทุกข์มาเผาตัวเองแล้วก็บ่น ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องกลมายาของกิเลสพาให้เป็นทั้งนั้น ใครจะอยากเป็น ธรรมดาไม่อยากเป็น สิ่งที่พาเป็นให้เถลไถลไปเช่นนั้น ให้ลูบคลำกำดำกำขาวไปนั้นมันมี ก็จำเป็นต้องได้เป็นไปตามอำนาจของมัน

แต่เมื่อถึงขั้นถึงภูมิที่ควรจะปราบมันแล้ว ไม่มีกิเลสตัวใดจะกล้าหาญยิ่งกว่าธรรมแหละ อย่างที่ท่านว่ามหาสติมหาปัญญา นั่นละขั้นที่เกรียงไกรที่สุด ขั้นที่เป็นอัตโนมัติ ไม่ได้สงสัยละว่ามหาสติมหาปัญญาในครั้งพุทธกาลเป็นยังไง ก็ท่านสอนไว้ที่ไหน สอนไว้ที่ใจนี่ เมื่อใจเป็นมหาสติมหาปัญญาขึ้นมาแล้วจะไปถามที่ไหนอีกถ้าไม่ใช่บ้า พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนคนให้เป็นบ้านี่ สอนลงที่สัจธรรม สัจธรรมมีอยู่ที่ไหน นี่ทุกข์ก็มีอยู่ที่นี่ สมุทัยก็มีอยู่ที่นี่ สติปัญญาเป็นต้น จนกระทั่งถึงมหาสติมหาปัญญาก็อยู่ที่นี่ แล้วทำไมจะไม่ทราบเรื่องนิโรธที่ดับทุกข์ไปอย่างไม่มีอะไรเหลือเลย เพราะอำนาจของสติปัญญาทำงานได้ผลอย่างเต็มที่แล้ว แล้วอะไรที่นี่จากสัจธรรมทั้งสี่นี้คืออะไร นั่นละคือความบริสุทธิ์ ถามใคร ไปถามให้เสียเวล่ำเวลาทำไม

นี่แหละ สนฺทิฏฺฐิโก ชั้นเอกลงจุดนี้ อันนั้นก็รู้อันนี้ก็รู้ จิตเป็นสมาธิก็รู้ จิตเป็นสมาธิขั้นใดภูมิใด หยาบละเอียดขนาดไหนก็รู้ จนกระทั่งถึงจิตก้าวออกสู่ปัญญาขั้นใดขนาดใดก็รู้ ๆ จนกระทั่งถึงมหาสติมหาปัญญาก็รู้โดยลำดับลำดา จนกระทั่งถึงกิเลสพังทลายไม่มีอะไรเหลือแล้ว ไม่ต้องบอกว่ามหาสติมหาปัญญานี้ให้พักกำลังเสีย ไม่ต้องบอก แล้วทุกข์สมุทัยให้มาอีกเพื่อจะได้ต่อสู้กันอีกก็ไม่ต้องบอก มันพอเหมาะพอดีกับความจริงทุกสิ่งทุกอย่าง ธรรมชาติที่บริสุทธิ์ล้วน ๆ ที่แสดงตัวเต็มที่อยู่ภายในใจมันก็เป็น สนฺทิฏฺฐิโก ชัดเจน ๆ ไปโดยลำดับอย่างที่ว่า จนกระทั่งถึงวาระสุดท้าย สนฺทิฏฺฐิโก นี่แหละที่ว่า สนฺทิฏฺฐิโก สุดยอด อันนี้เราจะพูดออกมาอย่างแบบโลก ๆ พูดไม่ได้

ดังที่พูดถึงว่าพระอรหันต์ยังหลับอยู่แล้วนั้นไม่ใช่พระอรหันต์ ถ้าหากเราพูดภาษาโลกเรา มันหลับตาพูดกับคนลืมตาพูดด้วยสติปัญญา ถ้าได้สัมผัสสัมพันธ์กับธรรมทั้งหลายบ้างจะพูดคำนี้ไม่ลง แน่ะ นี้คือไม่ได้สัมผัสสัมพันธ์อะไรกับธรรมเหล่านี้เลย มีแต่เอาลมปากมาจากตำรับตำราแล้วก็มาโอ้มาอวดมาขู่ ทำคนอื่นให้เสียหาย เป็นปากสกปรก พ่นไปที่ไหนเหม็นคลุ้งไปหมด แล้วทำลายคนอื่นได้อย่างมากมายเท่านั้นไม่เห็นมีอะไร เอาซิ ปฏิบัติลงไปให้ สนฺทิฏฺฐิโก นี้ประจักษ์แจ้งซิ พระอรหันต์นอนยังไงไม่นอนยังไงถามใคร ไม่รู้แจ้งในธาตุในขันธ์จะไปรู้ความบริสุทธิ์ความจริงเต็มส่วนนั้นได้ยังไง ขันธ์ก็ต้องรู้แจ้งชัดในขันธ์ อะไรจะวิเศษ อะไรจะแหลมคมยิ่งกว่าสติปัญญา ยิ่งกว่าธรรมชาติของผู้บริสุทธิ์นั้น ทำไมจะไม่ทราบเรื่องธาตุเรื่องขันธ์พักผ่อนหย่อนตัว ทำไมจะไม่ทราบเรื่องจิตที่บริสุทธิ์ที่เรียกว่า สนฺทิฏฺฐิโก เต็มภูมินั้นได้ล่ะ

อันนี้สด ๆ ร้อน ๆ ทั้งนั้นนะ ไม่ได้ไปอยู่กับพระพุทธเจ้าครั้งพุทธกาล นั้นเป็นของท่าน นี้เป็นของเรา ธรรมเป็นของจริง จริงอยู่กับทุกสัจธรรม จริงอยู่กับทุก ๆ สัจธรรม เราก็เป็นผู้ทรงสัจธรรมไว้เวลานี้ เป็นแต่เพียงว่าสัจธรรมฝ่ายไหนยิ่งหย่อนกว่ากันเท่านั้น ฝ่ายทุกข์ฝ่ายสมุทัยเมื่อยังหนักมากอยู่ ฝ่ายมรรคฝ่ายนิโรธก็ต้องด้อย แต่ผลิตขึ้นมาให้เต็มภูมิในวงสัจธรรมนี้แล เอาให้เต็มภูมิแล้วจะได้รู้แจ้งเห็นจริงในสัจธรรมทั้งหลายที่ปรากฏขึ้นกับเราอย่างเด่นชัด แล้วก็หายสงสัยที่ว่าครั้งพุทธกาลเป็นยังไง พระพุทธเจ้าเป็นองค์ชนิดใด เป็นองค์ยังไง ลักษณะท่านเป็นยังไง เมื่อไม่สงสัยธรรมชาติที่เป็น สนฺทิฏฺฐิโก เต็มส่วน คือหมายคำว่าผู้บริสุทธิ์เต็มส่วนนี้แล้วก็ไม่สงสัยพระพุทธเจ้า สงสัยท่านทำไม

ธรรมแท้คืออะไร ธรรมแท้คือธรรมชาตินี้ ก็เท่านั้น ธรรมกับจิตเป็นอันเดียวกันนี่แหละธรรมแท้ กิริยาอาการที่แสดงออกนั้นเป็นกิริยาของธรรม เมื่อเข้าถึง สนฺทิฏฺฐิโก เต็มภูมิแล้วก็เจอธรรมแท้ ทรงธรรมแท้ไว้อย่างเต็มหัวใจ สังโฆคือใคร คือผู้ทรงอันนี้ไว้ ทรงธรรมชาติคือธรรมแท้นี้ไว้ในใจที่บริสุทธิ์นั้น แน่ะ แล้วอยู่ที่ไหนถามใครให้เสียเวล่ำเวลาทำไม เพราะธรรมเป็นของจริงเสมอกันหมด พระพุทธเจ้าไม่ได้แบ่งสัดแบ่งส่วนว่าคนครั้งนั้นครั้งนี้ ธรรมก็สัจธรรมครั้งนั้นเป็นยังงั้น สัจธรรมครั้งนี้เป็นอย่างนี้ มรรคผลนิพพานครั้งนั้นเป็นอย่างนั้นครั้งนี้เป็นอย่างนี้ ทุกข์ครั้งนั้นกับครั้งนี้ต่างกัน สมุทัยครั้งนั้นครั้งนี้ก็ต่างกัน มรรคกับนิโรธครั้งนั้นครั้งนี้ต่างกัน เพราะฉะนั้นนิพพานจึงต่างกันหรือความบริสุทธิ์จึงต่างกัน ท่านไม่ได้แสดงเอาไว้

เหมือนกันหมด สัจธรรมเต็มตัว สัจธรรมเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์เหมือนกัน ไม่ว่าทุกข์ก็ทุกข์เต็มตัว เป็นของจริงเต็มตัว สมุทัยเป็นของจริงเต็มตัว มรรคเป็นของจริงเต็มตัว นิโรธเป็นของจริงเต็มตัว ความบริสุทธิ์เป็นของจริงเต็มตัวในหัวใจของผู้รู้สัจธรรมทั้งหลายได้แก่ผู้ปฏิบัตินั้นแล ให้ฟังให้ถึงใจ

อย่าไปคิดให้เสียเวล่ำเวลา ศาสดาองค์เอกสอนลงที่นี่ กิเลสตัวเอก ๆ มันก็สอนของมันแทรกลงในนั้น ให้จำให้ดีหนาระวังให้ดีหนา มันแทรกซ้อนลงไปอยู่โดยลำดับลำดาเราไม่รู้ เวลานี้มีแต่กิเลสทำงาน ในทางจงกรมมันก็เหยียบหัวเราอยู่นั้นแหละ นั่งภาวนามันก็เหยียบหัวให้สัปหงกงกงันอยู่นั้นแหละ ที่ไหนมีแต่กิเลสเหยียบหัวพระ ๆ เราสลดสังเวชจะตายไป ธรรมไม่ได้เหยียบหัวกิเลสบ้างเลย มันไม่ทุเรศบ้างเหรอนักปฏิบัติน่ะ

แน่ะรู้สึกเหนื่อย ๆ แล้ว เอาละ เทศน์เท่านี้แหละ

พูดท้ายเทศน์

ไม่รู้เป็นไงมันขัดจริง ๆ นะสำหรับหัวใจผม จะเป็นใจเทวทัตอะไรก็แล้วแต่ใครจะว่า ถ้าเรื่องการซื้อการขายมันขวางจริง ๆ นี่นะ เพราะได้เชื่อพระพุทธเจ้าอย่างหัวใจขาดสะบั้นไปตามเลยนะ ไม่มีอะไรเสียดายเลยว่าพระพุทธเจ้าเป็น มหาการุณิโก นาโถ หิตาย สพฺพปาณินํ นี่ที่มันยึดหลักนี้เป็นจิตเป็นใจจริง ๆ เป็นตายก็ยอมเลยเชียว พระจิตของท่านอ่อนนิ่มกับสัตว์โลกทั้งสามแดนโลกธาตุนี้ เคยเห็นไม่เคยเห็นไม่สำคัญ สำคัญแต่ว่าสัตว์โลกกับอันนี้ซึมไปหมดเลย ท่านจะไปทำด้วยการซื้อการขายได้ลงคอได้ยังไง นี่ท่านทำไม่ลง มีแต่ยื่นให้ ๆ ด้วยความเมตตาสงสาร จะไปเอาอะไรตอบแทนเขามา เอาของเขามาให้เขาเสียไปทำไม ก็เราจะให้เขาด้วยความเมตตา เอาของเขาให้เสียของเขามาทำไม มันก็ขาดความสมดุลซึ่งมีอยู่ในตัวของเขา และขาดความสมดุลที่มีเมตตาธรรมอยู่ในใจของเราไป ผมเชื่อแน่พระพุทธเจ้าไม่ทรงซื้อทรงขายอะไรทั้งนั้น

ศาสนาทำไมจึงกลายเป็นตลาดร้านค้าไปได้ นี่เราจึงให้เป็นไปไม่ได้ผมน่ะ ให้ด้วยความเมตตาสงสาร ให้โดยไม่ได้หวังสิ่งตอบแทนเราพอใจ มันพอใจเต็มใจอยู่ในหัวใจเจ้าของ ภูมิใจ ไม่มีอะไรกินก็ให้เห็นดูซิ ว่าเราสงเคราะห์โลกจนกระทั่งเราไม่มีอะไรกิน ตายเพราะความอดอยากให้มันเห็นวะ ว่างั้นเลย มันไม่เคยสะทกสะท้านกับการหมดการยังอะไร เชื่ออย่างนั้นจริง ๆ

การซื้อการขายเป็นเรื่องของโลก แล้วกิเลสมันเข้าไปแฝงธรรมแฝงศาสนา เข้าไปเป็นเจ้าตัวการอยู่ในวัดในวา ใครรู้ได้เมื่อไรว่าการซื้อการขายนั้นเป็นเรื่องของกิเลส เป็นเรื่องของโลกล้วน ๆ ทีนี้เราเป็นพระเป็นนักบวชอยู่ในวัดในวาอีกด้วยซ้ำแล้วไปทำยังงั้น จะไม่ว่าตั้งกองสั่งสมกิเลสได้ยังไง หาอะไร ได้มาเพื่ออะไร เอ้า ว่าซิ อยู่ไปวันหนึ่ง ๆ กินไปเท่านั้นพอแล้วนักบวช มีเท่าไรเอาออกเพื่อโลกซิ บวชมาก็เพื่อทางพระพุทธเจ้า เป็นยังไงทางพระพุทธเจ้าช่วยโลก ช่วยตัวเองให้ได้แล้วก็ช่วยโลก แน่ะก็มีเท่านั้น ไม่ใช่จะไปกอบโกยเอากับโลกเขานี่

นี่มีเท่าไรหมดละผม ใครจะว่าบ้าก็ตาม มันพอใจเป็นบ้าแบบนี้น่ะไม่ทราบเป็นยังไง มีเท่าไรเป็นหมดเลยนี่เก็บไว้ไม่ได้ เพราะอำนาจแห่งความเมตตาสงสารมีกำลังมากเกินกว่าที่จะมาสนใจเก็บไว้ ไว้ก็ไว้สำหรับหมู่เพื่อนเพื่อความจำเป็น กันหน้ากันหลังของหมู่ของเพื่อนเอาไว้ยังงั้น เมื่อจำเป็นก็เอาได้ ผมไม่ได้มาหึงมาหวงแม้สตางค์หนึ่งนะว่าเป็นของผม เมื่อหมู่เพื่อนก็ยังพอเป็นไปอยู่ เพราะเราก็ดูแลอยู่ตลอดเวลา ความจำเป็นอะไรเราก็ดูทุกสิ่งทุกอย่างอยู่แล้ว

ที่ไหนที่มันจำเป็นเราก็ช่วยเท่านั้นเอง ผมจึงไม่ได้มาปรึกษาหมู่เพื่อนก็เพราะเหตุนี้เอง อะไร ๆ ที่ตกมาในวัดในวาผมไม่ถือเป็นของผมนี่ ถือเป็นของทั้งวัด ใครไม่มีมาเอาไม่ต้องมาขอกัน ขอกันทำไมเราเป็นนักบวชด้วยกัน มาอาศัยซึ่งกันและกัน ยังจะต้องมาร้องมาขอว่านั่นเป็นของท่าน นี่เป็นของเราอะไรกันอีกนี่ แน่ะก็พูดให้มันเต็มบทเต็มบาทก็พูดอย่างนั้น มีอะไรก็เอากันไปซิ ก็จะได้ไปใช้ไปสอยไปขบไปฉันไปอะไร ไม่เห็นมีอะไร

เรื่องของพระก็มีเท่านั้น จะมาหึงมาหวงไว้เพื่ออะไร การหึงหวงไม่ใช่เรื่องของพระ เป็นเรื่องของกิเลส พระจะมาชำระกิเลสจะไปทำอะไรอย่างนั้น นี่หมดเท่าไรก็หมด จึงได้ว่างั้นแหละ ช่วยอยู่ตลอดจนกระทั่งวันตายนั่นแหละ มันเป็นอยู่ในจิตอย่างนี้อยู่แล้ว จะไปทำอย่างอื่นไม่ได้ ต้องทำแบบที่เคยทำนี้ ที่ตะเกียกตะกายเรื่องโรงพยาบาลก็เหมือนกัน ไม่ได้คิดว่าจะถึง ๑๒-๑๓ ล้านก็ยังเป็นไปได้นี่นะ ก็เพราะความสงสาร คิดไปหมดทุกแง่ทุกมุม พอที่จะให้เขาอาศัยได้ตรงไหนก็เอา สร้างลงไป เงินก็ไม่มีเรื่องมีน่ะ แต่ก็เดชะนะค่อยเป็นค่อยไป อย่างที่เป็นมานี่จะมีอะไร เราไม่เคยมีเงินก้อนเงินสั่งสม มีแต่เงินช่วยโลกเท่านั้น

เมื่อพระเณรเราพอเป็นไปแล้วก็ช่วยโลกหมด ถ้าพระเณรมีความจำเป็นอะไรก็เอาผมไม่ได้ว่านะ ผมเปิดโอกาสตลอดเวลานี่ จำเป็นเราก็ถือเช่นกับโลกเขาจำเป็น ทำไมจะไม่ถือเรื่องพระเรื่องเณรของเราจำเป็นเหมือนโลกเขาวะ เราถืออยู่แล้วอันนี้ ถ้าเมื่อพอเป็นไปอยู่แล้วที่ไหนจำเป็นก็เอาซิ ได้ช่วยไป มากอบโกยเงินไปอะไร ของเหล่านี้เป็นปัจจัยเครื่องอาศัยเท่านั้น ไม่หวังจะเป็นเนื้อเป็นหนังกับมันแหละ เอามันมาอาศัยพอให้เป็นเนื้อเป็นหนังขึ้นภายในการบำเพ็ญของตนเท่านั้น จะไปหึงไปหวงไปเห็นเป็นสาระแก่นสารอะไร ถ้าเห็นอะไรเป็นสาระแก่นสารเกิดความรักชอบติดพันกันเข้าไป ก็นั้นแหละมันเป็นไฟเข้ามาเผาเจ้าของ

นี่ซึ้งถึงเรื่องพระเมตตาของพระพุทธเจ้านี่ซึ้งจริง ๆ นะ ไม่เห็นองค์ศาสดาก็ตาม แต่มันซึ้งอยู่ในหัวใจนี้จะว่าไง อ่านข้ออรรถข้อธรรมอ่านอะไร ๆ ลงไปนี่มันซึ้ง ซึ้งไปหมดเลย อ่านตรงไหนเหมือนองค์ศาสดาแสดง ๆ เลยนะ มันสด ๆ ร้อน ๆ อย่างนั้นนะ ทุกฺขํ อริยสจฺจํ นี้ก็เหมือนองค์ศาสดาแสดงเองเลย เราอ่าน ทุกฺขํ อริยสจฺจํ เราน่ะเป็นผู้อ่านก็ดีนะ ฟังเหมือนองค์ศาสดาบอกขึ้นมาในการรับทราบ ๆ จากการอ่าน ไม่ได้อยู่ที่ไหนองค์ศาสดา อยู่ที่ธรรม ที่ว่าธรรมวินัยนั้นแลจะเป็นองค์ศาสดาแทนเธอทั้งหลายเมื่อเราผ่านไปแล้ว แหม ซึ้งเอาจริง ๆ

อย่าปล่อยอย่าวาง เกาะให้ติดกับศาสดาองค์นี้น่ะ คือหลักธรรมวินัยนี่นะ ยังไงก็ต้องไปได้ถ้าเกาะอันนี้ อย่าเถลไถลก็แล้วกัน แต่ธรรมท่านแสดงไว้กลาง ๆ การปฏิบัติแยกแยะหรือการแนะนำสั่งสอนแยกแยะนี้ ต้องอาศัยครูอาจารย์อีกทีหนึ่ง เฉพาะอย่างยิ่งก็คือครูอาจารย์ผู้ปฏิบัติที่ผ่านมาแล้วทั้งเหตุทั้งผล นั้นละเหมาะที่สุดแม่นยำที่สุด เช่นเดียวกับหมอที่เรียนจบมาแล้วน่ะ ถูกต้องแม่นยำ เพราะท่านผ่านมาแล้ว เราพูดอะไรขึ้นมาก็เหมือนนักเรียนถามครู เด็กทะเลาะกันด้วยเรื่องบวกลบคูณหารหรือเรื่องอะไรนี้ ครูนั่งฟังก็รู้แล้วว่าใครผิดใครถูก แน่ะ ผู้ที่ผ่านทางด้านปฏิบัติมาอย่างโชกโชนแล้วทำไมไม่รู้ เหตุก็ผ่านมาเต็มหัวใจ ผลก็รู้เต็มหัวใจ ทำไมจะไม่รู้วิธีแก้ไข ไม่รู้วิธีผิดถูกในเวลาหมู่เพื่อนแสดงออกมา ต้องรู้ นอกจากจะพูดหรือไม่พูดเท่านั้น ความจริงเต็มหัวใจไม่รู้ได้เหรอ

อันนี้สำคัญอยู่มาก การเสาะแสวงหาครูหาอาจารย์ที่เป็นที่แน่ใจนี่เป็นสำคัญอยู่มาก คือรวดเร็วกว่ากันอยู่มากนะ คิดดูตั้งแต่สมัยผมอยู่กับหลวงปู่มั่นก็เหมือนกัน ปัญหาบางอย่างคือมันไกลถ้าจะมา ก็พิจารณาเจ้าของเอาเองแต่มันช้า ได้แต่ช้า บางอย่างมันขวางเลยเทียว บึ่งถึงท่านเลย พอกราบเรียนท่านจบลงเท่านั้นละ ท่านใส่ผางเดียวเท่านั้นพังเลย นี่ คนหนึ่งรู้แล้วคนหนึ่งไม่รู้มันผิดกันยังงั้นนะ แล้วก็รวดเร็ว บางที ๓-๔ วัน ถ้าอยู่ใกล้ ๆ บ้างก็ประมาณสัก ๑๓-๑๔ กิโลนี้ บางที ๓-๔ วันผมกลับไปอีกแล้วนะ คือถ้าไปถึงท่านแล้วมันขาดสะบั้นมาเลย ถ้าแก้เองนี้บางทีทั้งวันทั้งคืนก็ไม่ได้เรื่อง เพราะทางไม่เคยเดินสิ่งไม่เคยปรากฏ แต่มันปรากฏขึ้นมาทำยังไง

เนื่องจากเราพินิจพิจารณาของเราอยู่ มันก็ต้องเป็นขึ้นมาจนได้ ทั้งสมุทัยทั้งมรรคนั่นแหละมันขึ้นมา แต่บางทีมรรคไม่ทันมัน สมุทัยมันมีอำนาจแผลงฤทธิ์ล่ะซิ ต้องอาศัยครูบาอาจารย์ช่วยปราบให้ ว่าอะไรอย่างที่ผมเคยพูดนั่นแหละที่ว่า ถ้ามีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหน นั้นแลคือตัวภพ ถ้าลองไปหาท่านหลวงปู่มั่นดูซิ ผางเดียวเท่านั้นมันพังไปตั้งแต่นั้นแล้วนะ นี่มาพิจารณาเจ้าของ มันไม่รู้ว่าอะไรเป็นจุดเป็นต่อม ก็ผู้ที่รู้ผู้เด่นดวงอยู่ ผู้ใส ๆ ผู้ที่ว่าอัศจรรย์นั้นแลคือจุดมัน แน่ะ เวลาผ่านไปแล้วถึงรู้ ถ้าลองไปกราบเรียนท่านอย่างนั้นท่านก็ใส่ผางเดียว นั่นมันคืออะไร นั่น ๆ ท่านใส่ปึ๋งเดียวเท่านั้นแหละพังเลย เราอาจจะรู้ตั้งแต่นั้นเลยนะ เพราะจิตมันเกรียงไกรมาตั้งแต่โน้นอยู่แล้วนี่ หากได้รับคำท่านประโยคหนึ่งเท่านี้พอเลย

ไอ้นี่ยังไง จุดมันคืออะไร มันยังว่ายังไม่เห็นอีก ถูกกิเลสหลอกต้มไปโน่น ตะครุบเงาอยู่นอกโน่น จนกระทั่งมันไปไหนก็ไปหมดไปสิ้น ไปเสียจนจำเจไม่มีที่ไปแล้วมันถึงได้ถอยเข้ามาหาจุดนี้ จุดนี้ถึงได้พังลงไป โอ้โห ทันทีนะ มีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหนคืออันนี้เอง ก็เดี๋ยวนี้มันไม่มีแล้วนี่ ถูกพังไปแล้ว มันเห็นแล้วนี่ พออันนี้พังไป อะไรที่เป็นของประเสริฐมันก็รู้อีกจะว่าไง ทำไมจะไม่เห็นโทษอย่างถึงใจ โอ้โห ๆ นี้เอง จุดต่อมผู้รู้คือต่อมของอวิชชาอันนี้เอง แต่ก่อนไม่รู้ ถ้าลองท่านตอบให้ทีเดียวเท่านั้นผางเลยละนะ จะถามใครก็ไม่ได้เรื่อง ใครฝันก็แก้เอาเองซิบางองค์น่ะ เราก็ เฮ่ย ถามทำไมวะ เอามันอยู่นี้แหละวะ มีนะบางองค์เวลาไปถามเล่าเรื่องแล้วจะทำยังไง ให้ช่วยแก้ไข ใครฝันก็แก้เอาซิ ให้คนอื่นแก้แก้ยังไง เจ้าของฝันก็แก้เอาซิ มันไม่ได้เรื่อง

เอาละ เลิกกัน พูดไป ๆ ก็เพิ่มความเหนื่อยขึ้นมาเรื่อย ๆ


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก