เมื่อเวลาจะคิดอะไรก็ให้กิเลสมาทำงานแทนเสีย โดยไม่รู้ว่ากิเลสมาทำงานแทนธรรมของพระพุทธเจ้า พอจะเริ่มประกอบความเพียรประโยคใด คิดขึ้นมาในแง่ใดก็ถูกกิเลสมาขัดมาขวางเสีย เจ้าตัวก็ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องของกิเลสมาขัดมาขวาง ยังภูมิใจอยู่นี้ภูมิใจด้วยความอ่อนแอ ภูมิใจด้วยความขี้เกียจขี้คร้าน ภูมิใจด้วยความท้อถอยน้อยใจ มันภูมิใจไปหมด มันพอใจมันถึงเป็นไปได้อย่างนั้นเรื่อย ๆ ใจหากมันไม่พอใจมันเป็นไปได้ยังไง ถ้าเรารู้เรื่องของกิเลส เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องของกิเลสทั้งมวล หากเรารู้เรื่องของมันแล้วทำไมจะไม่แก้กันได้ พระพุทธเจ้าแก้ ๆ กิเลสแท้ ๆ ไม่ใช่แก้อะไร ธรรมไม่ได้แก้ แก้กิเลสทั้งนั้น ไม่ว่าส่วนหยาบ ส่วนกลาง ส่วนละเอียด กลอุบายของกิเลสขึ้นแง่ใด ๆ แก้ไปได้จนหมด จนไม่มีกิเลสเหลือ ทำไมจะไม่รู้เรื่องกลมายาของกิเลส เมื่อผู้อยู่เหนือกิเลสต้องรู้เรื่องของกิเลส ไม่อยู่เหนือกิเลสไม่รู้
อย่างพวกเราทั้งหลายนี่ ทั้งอรรถทั้งธรรมตามตำรับตำรา ทั้งครูบาอาจารย์แนะนำสั่งสอนจะเป็นจะตาย ก็สอนแต่เรื่องกิเลสเป็นข้าศึกทั้งนั้น ไม่ได้สอนว่ากิเลสเป็นคุณ สอนว่าธรรมเป็นคุณทั้งนั้น เป็นคุณมหาคุณทั้งนั้น แต่จิตทำไมไปติดแนบอยู่กับกิเลสไปกราบกิเลสอย่างสนิท ด้วยความภูมิใจของตัวเองโดยไม่รู้สึกตัวเลย มันละเอียดขนาดไหนกิเลส เมื่อธรรมยังไม่เข้าถึงใจ กิเลสต้องละเอียดสุดเทียว จนกว่าว่าธรรมได้แทรกเข้าเมื่อไร ๆ ก็ค่อย ๆ รู้ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งธรรมเต็มหัวใจ ใจกับธรรมเป็นอันเดียวกันแล้ว มาแง่ไหนกิเลสนั่นน่ะ ว่างี้เลย ที่จะไม่ทันไม่รู้กันนั่นน่ะ
เพราะฉะนั้นผู้ที่ท่านมีความฉลาดแหลมคมด้วยอรรถด้วยธรรมภายในใจจริง ๆ มองดูพวกเรา จึงไม่ได้มองดูยากอะไรเลย ก็เหมือนกับพวกเรามองดูวัวดูควายตามท้องนานั่นแหละ เราเป็นยังไงเรามองดูควาย ควายรู้ว่าเรามองดูไหม ไม่รู้ มันจะกัดหญ้ากินเรื่อย สนุกสนานรื่นเริงตามประสีประสาของมันที่มันเป็นควายมันเป็นสัตว์ นี่เราไม่ใช่ควายน่ะซิ ผู้แนะนำตักเตือนสั่งสอนก็เตือนอยู่เรื่อยในอรรถในธรรม มีแต่เตือนแต่บอกแต่สอน จะฟังเทศนาว่าการของครูของอาจารย์ที่เราเป็นที่แน่ใจ เป็นที่เคารพเลื่อมใสก็มีแต่บอกแต่สอน เตือนอยู่เรื่อยในเรื่องโทษของกิเลส พอจะตั้งความเพียรขึ้นมากิเลสกีดกั้นไปเสีย ความเห็นว่าลำบากมันจะมาแล้วนั่น คำว่าเห็นว่าลำบากก็คือการจะก้าวออกไม่สะดวก อย่างน้อยก้าวออกไม่สะดวก นั่น มากกว่านั้นก็ทำให้หยุดชะงักไปได้ เรื่องของกิเลสเรื่องใดมันกว้านเข้ามาขวางไว้หมดเลย เรื่องของธรรมก็ก้าวไม่ออกซิ
ถ้าเรื่องของธรรมต้องการความจริง นั่น ธรรมท่านเป็นความจริงล้วน ๆ ไม่ว่าแต่ธรรมขั้นใด พื้น ๆ ของธรรมก็ตาม จนกระทั่งถึงธรรมขั้นสุดยอด มีแต่เป็นความจริงล้วน ๆ ไม่มีคำว่าปลอมเลย เราต้องการความจริง เราอยากรู้ความจริง อยากเห็นความจริงจากสิ่งจอมปลอมทั้งหลายซึ่งกำลังครอบหัวใจอยู่เวลานี้ นอกจากนั้นความท้อถอยอ่อนแอหรือความขี้เกียจขี้คร้าน ก็ไม่มีอำนาจที่จะมาครอบหัวใจกีดกันเราไว้ได้มากมายนัก มันก็พอฝ่าฝืนอดทนกันไปได้ ก็ทนเพื่อรู้ความจริงนี่ ไม่ได้ทนเพื่อจะหมอบราบกับกิเลส เราทนเพื่อสู้กิเลส อันดับต่อไปก็เพื่อรู้เห็นธรรมซึ่งเป็นของจริงที่ถูกกิเลสครอบเอาไว้ไม่ให้เห็น
คำว่าธรรมคำเดียวเท่านั้นซึ้งถึงไหน ความละเอียดอ่อนสุดที่จะพูดจะกล่าว คำว่าธรรมเท่านั้นครอบหมดโลกธาตุเลย สิ่งที่จะได้คำว่าธรรมครอบหมดโลกธาตุมายืนยันก็ใครจะไปรู้ ใครจะสัมผัส ใครจะไปได้ข้อยืนยันนี้มาถ้าไม่ใช่ใจเท่านั้น เพราะใจเท่านั้นเป็นผู้ที่จะสามารถสัมผัสสัมพันธ์กับธรรมขั้นนั้น ๆ จนกระทั่งถึงธรรมอันประเสริฐเหนือโลกทั้งหลาย ก็มีใจดวงเดียวเท่านั้น แล้วใจดวงนี้เองเป็นผู้ประสบเป็นผู้พบเห็น เป็นผู้สัมผัสสัมพันธ์ เป็นผู้ทรงไว้ เป็นผู้จะนำมายืนยัน เพราะเป็นความยืนยันในความรู้ของตัวกับธรรมที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอยู่แล้ว ก็สามารถออกมายืนยันข้างนอกได้ซิ
คำว่าธรรมจึงจะแปลสักเท่าไรก็ไม่ถูกถ้าไม่ให้ใจแปลเสียเอง แปลด้วยภาคปฏิบัติ ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ อย่าลืม นี้เป็นธรรมที่เกี่ยวโยงกันอย่างแนบแน่นแยกไม่ออก แยกนิดเสียนิดผิดนิด แยกมากเสียมากผิดมาก พระพุทธเจ้าพระสาวกท่านไม่ได้แยก ท่านพยายามให้ธรรมทั้งสามประเภทนี้กลมกลืนกันโดยลำดับลำดา ด้วยความพากเพียรทุกระยะ ทุกเวล่ำเวลา ทุกอิริยาบถ มีแต่ความเพียรพยายามเพื่อให้ธรรมทั้งสามประเภทนี้เข้ากลมกลืนเป็นอันเดียวกันเลย ถึงจะเป็นธรรมทั้งแท่งขึ้นมาได้ ถ้าลงแยกละไม่ได้ เช่น เรียนก็เข้าใจว่ารู้เสีย ได้เรียนมามากน้อยก็เอาความจำนั้นมาเป็นมรรคผลนิพพานเสียทั้ง ๆ ที่เป็นกิเลส มันเป็นกิเลสยังไง ความสำคัญว่าตนรู้ตนฉลาดเป็นเรื่องของกิเลสทั้งนั้นเข้าไปแทรกอยู่ในความจำ ในคำว่าธรรม ๆ นั้นก็มีแต่ชื่อคำว่าธรรม ธรรมจริงมันไม่มี มีแต่ความจอมปลอมของกิเลสที่ไปอยู่บนนั้นเสีย มองหาธรรมไม่เห็น นี่ที่ว่าปริยัติ
มองเห็นไม่ใช่เหรอไม่ว่าใครแหละ เรียนมามากน้อยเท่าไร ไม่มีกิเลสตัวไหนที่ถลอกปอกเปิกไปเพราะการเรียนของเรา ถ้าไม่มีภาคปฏิบัติเข้าไปเกี่ยวข้องเลยมันมีไม่ได้ นอกจากสั่งสมกิเลสขึ้นมาในขณะที่เรียนขณะที่จดจำได้มากน้อยเท่านั้น พูดให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย พูดให้เต็มตามความจริงเป็นอย่างนั้น ถ้ามีภาคปฏิบัติแทรกเข้าตรงไหน นั่นละความจริงจะเริ่มปรากฏขึ้นมา ความจริงเริ่มปรากฏก็ ปฏิเวธ คือความรู้แจ้งไปโดยลำดับลำดา จนกระทั่งรู้แจ้งเห็นชัดในธรรมทุกขั้น นี่ธรรมทั้งสามประเภทนี้มีความเกี่ยวโยงกันอย่างนี้
ในหลักศาสนธรรม ในหลักแห่งการสอนของพระพุทธเจ้าและการปฏิบัติของสาวกทั้งหลาย ก็ปฏิบัติอย่างนั้น รู้อย่างนั้น สอนอย่างนั้นด้วยไม่ได้สอนอย่างอื่น ให้ถือเรื่องความจริงเป็นหลักใหญ่ เป็นจุดเป็นที่มุ่งหมาย หรือเป็นความมุ่งมั่นในการปฏิบัติของเรา อย่าเอาสิ่งที่เป็นเรื่องเป็นฟืนเป็นไฟหรือเป็นภัยมากีดกัน หรือมาเผาความเพียรของเราให้ล้มละลายไป ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้เพียร คือความขี้เกียจ อ่อนแอ ความท้อแท้เหลวไหล เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของกิเลสให้พากันทราบเอาไว้ จะกีดกั้นของจริง ธรรมของจริงจะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าเราต้องการความจริงจริง ๆ ให้เด่นอยู่ภายในใจแล้วมันจะเป็นไปเอง
ทุกข์ก็ไม่ต้องมาสนใจกับคำว่าทุกข์ ที่จะให้สุดเอื้อมในความจริงทั้งหลาย ทุกข์ก็ทุกข์เพื่อจะก้าวเข้าสู่ความจริงที่ต้องการนั้นแล ก้าวเข้าไป จะทุกข์มากทุกข์น้อยเคยทุกข์มาแล้ว ส่วนมากอยากจะพูดร้อยทั้งร้อยเป็นเพราะอำนาจของกิเลสทั้งนั้น ทำไมจะไปหวั่นไปไหวในเรื่องทุกข์อย่างนี้ มันมีอยู่ในขันธ์ อยู่ในจิตนี้ แล้วธรรมก็จะแก้สิ่งที่เกี่ยวข้องในขันธ์ในจิตนี้ให้พังทลายลงไป ไม่ว่าจะทุกข์ประเภทใด สมุทัยประเภทใดที่มีอยู่ภายในจิต จะแก้จะถอดจะถอนกันที่นี่ ต้องใช้ความพยายามให้มาก ให้เห็นว่าธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นของประเสริฐ นี้มันเป็นแต่ภายในความรู้สึกผิว ๆ เผิน ๆ เฉย ๆ ไม่ได้รู้หยั่งถึงความจริงภายในจิต จนกลายเป็นความมุ่งมั่นขึ้นมา ให้เกิดความหนักแน่นในความพากเพียรและประโยคพยายามทั้งหลาย มันถึงเป็นไปไม่ได้
สมาธิก็ไม่ได้อยู่ลึกอยู่ตื้นที่ไหน ก็อยู่ที่ความรู้รู้อยู่นั้น ลึกตื้นที่ไหน ศูนย์กลางก็คือความรู้ ความฟุ้งซ่านก็ตั้งกองทัพอยู่ที่จิตดวงนี้ กิเลสเข้ามาตั้งกองทัพไว้ที่นั่น กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ซึ่งล้วนแต่เป็นเรื่องใหญ่ ๆ ขึ้นกับกองทัพใหญ่มีอวิชชาเป็นแม่ทัพ นี่กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ก็แตกกระจายกันไปเป็นแม่ทัพนั้นแม่ทัพนี้ไปเรื่อย ๆ ท่านจึงให้สร้างมรรคปฏิปทา ในธัมมจักกัปปวัตตนสูตรท่านบอก เสยฺยถีทํ สมฺมาทิฏฺฐิ สมฺมาสงฺกปฺโป ยกปัญญาขึ้นเลย นี่เครื่องทำลายกองทัพทั้งหลายเหล่านี้ นับตั้งแต่กองทัพเข้าไปถึงแม่ทัพพังทลาย ไม่มีอะไรเหนือนี้ สมฺมาทิฏฺฐิ สมฺมาสงฺกปฺโป สมฺมาวาจา สมฺมากมฺมนฺโต สมฺมาอาชีโว สมฺมาวายาโม สมฺมาสติ สมฺมาสมาธิ นั่นเอามา ๆ เครื่องประกอบนั้นเอามา เครื่องหนุนเอามา เหมือนว่าอย่างนั้น คำบอก แล้วเอาเข้ามา ๆ รวมตัวกันให้มีกำลังหนุนกันเข้าไปให้มันพังทลาย มันอยู่จุดเดียวกันนี้ไม่อยู่ที่ไหน
อย่าไปหาดินฟ้าอากาศว่าจะมีกิเลสตัณหาตัวใดไปอยู่โน้น ไม่มี หาหมดสามโลกธาตุนี้ก็หมดโลกธาตุเฉย ๆ จะไม่เจอ เพราะกิเลสไม่เคยเอาที่ใดเป็นสถานที่อยู่ ที่ทำลาย ที่เพลิดที่เพลินของตัวเองนอกจากใจของสัตว์เท่านั้น ทีนี้การทำลายกิเลสเราจะไปเอาดินฟ้าอากาศมาทำลายได้ยังไง สถานที่นั่นที่นี่มาทำลายไม่สำเร็จ เพราะไม่ใช่จุดที่ทำลาย อย่าไปเกาไม่ใช่สถานที่คัน มันคันอยู่ตรงที่กิเลสชอนไชนี้ มันทิ่มมันตำ มันชอนมันไช มันดีดมันดิ้นอยู่ตรงไหน มันคันตรงนั้น เจ็บตรงนั้น ทุกข์ตรงนั้น ให้ขุดค้นลงไปเกาลงไปตรงนั้น ขุดค้นลงไปตรงนั้น ทำลายลงไปตรงนั้น ศูนย์กลางของแม่ทัพกิเลสอยู่ตลอดถึงกองทัพทั้งหลายก็คือใจ ศูนย์กลางแห่งการทำลายของธรรมทั้งหลายที่จะไปทำลายกิเลสก็อยู่ที่ใจ พลิกความรู้สึกนั้นเปลี่ยนเข้ามาสู่ธรรม ความรู้สึกที่เป็นไปตามอำนาจของกิเลส พลิกเข้ามาสู่ธรรมเท่านั้นก็ถูกจุดเดียวกันแล้วทำลายกันลงได้
อย่าไปคิดที่อื่นที่ไหนให้เสียเวล่ำเวลา กาลนั้นกาลนี้ ตลอดถึงอำนาจวาสนาน้อย มีแต่การสร้างกิเลสขึ้นมาด้วยอำนาจของกิเลสนั่นแหละมันสร้างตัวเองของมันขึ้นมา เลยจะไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร หากเป็นไปตามที่แนะนำสั่งสอนนี้จะไปไหนวะ ความสงบมีได้แท้ ๆ อยู่ภายในจิตดวงนี้ ถ้านำธรรมที่กล่าวเหล่านี้มาใช้ ควรหนักต้องหนัก ควรเบาต้องเบา หากเป็นไปในหลักธรรมชาติแห่งความจำเป็นที่บอกกันอยู่อย่างชัด ๆ ภายในหัวใจของเราผู้ประกอบความเพียรนั้นแล ถึงคราวที่เด็ดมันเด็ดจริง ๆ มันหากเป็นของมันเอง แล้วก็เห็นผลประจักษ์ในขณะที่ทำ คือกิเลสน่ะมันจะคึกคะนองขนาดไหนก็เหนือธรรมไปไม่ได้ เมื่อได้จับธรรมแล้วก็เหมือนกับว่าปล่อยเงื่อนของกิเลสนั้นเข้ามาสู่ธรรม จับธรรมขึ้นก็ฟัดกับกิเลสเท่านั้นเอง ความสงบราบก็มีขึ้นในใจ
อย่าเสียดายอะไรในโลกนี้ เสียดายทำไม ดินเหยียบย่ำกันไปมาอยู่ตลอดเวลา ร่างกายทั้งร่างก็คือก้อนดิน เหมือนขี้โคลนก็ถูกเพราะฉาบทาไปด้วยน้ำ นี่ธาตุน้ำก็มีอยู่ในร่างกายของเรามันถึงไม่แห้งไม่กรอบไป น้ำก็มีอยู่ที่นี่อยู่ที่ร่างกายนี้ ก็เหมือนขี้โคลน พอเอาหนังออกก็เลอะ เลอะไปหมด เหลวไปหมด เปื่อยไปหมด พอจิตวิญญาณผู้รับผิดชอบนี้ออกเสียเท่านั้นอะไรจะมีชิ้นดี มีไหม ไม่มี พังไปด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าส่วนใหญ่ส่วนย่อยพังไปพร้อม ๆ กันโดยลำดับลำดา จนกระทั่งถึงกระดูกที่แข็งที่สุดก็ทนไม่ได้ พังเหมือนกันหมด ถ้าขาดความเชื่อมโยงและความรับผิดชอบของจิตเสียอย่างเดียว
ดินดูซิ ก็เห็นกันอยู่ชัด ๆ น้ำ เราไปหวังอะไร ข้างนอกก็ดินน้ำลมไฟอากาศ ข้างในก็ดินน้ำลมไฟ อากาศก็มี ช่องว่างภายในร่างกายนี้ก็มีอากาศ หาอะไรตื่นอะไรกัน ผู้วิเศษสอนอยู่แท้ ๆ ธรรมพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าสอนแท้ ๆ พระองค์ได้รับชัยชนะจากวิธีใดก็นำวิธีนั้นมาสอน วิธีจะแพ้ไม่สอนและไม่ให้สนใจในวิธีที่จะแพ้ เพราะเคยแพ้อยู่แล้ว เคยหมอบราบกับมันอยู่แล้ว
เรื่องของกิเลสไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เป็นเรื่องใหญ่โตมาก ในโลกธาตุนี้มีกิเลสเท่านั้นเป็นผู้ครอบหัวใจโลกหัวใจสัตว์ และมีธรรมเท่านั้นที่จะพังทลายกิเลสออกจากหัวใจสัตว์ให้เป็นอิสระขึ้นมาได้อย่างเต็มตัวไม่มีอะไรอื่น ฉะนั้นเราอย่าไปกำหนดความกว้างแคบของโลกที่มีอยู่มากน้อยขอบเขตจักรวาลอะไรก็คิดไป เป็นเรื่องของจิตคิดคว้าโน้นคว้านี้ล้มเหลวไปหมด ตื่นความคิดของเจ้าของ หลงความคิดหลงอารมณ์ของเจ้าของ ทั้งวันทั้งคืนมีแต่ความหลงอารมณ์ของตัวเอง ซึ่งก็เคยหลอกมาอยู่แล้วเป็นประจำก็ไม่เข็ดไม่หลาบ เพราะกิเลสไม่ให้เข็ดหลาบ ความเข็ดของกิเลสจึงไม่เคยมี ความเข็ดในกิเลสมันไม่มี กระทบกระเทือนกันได้รับความลำบากลำบนขนาดไหนก็ไม่เข็ด ถ้าไม่เอาธรรมเข้าไปแก้กันละไม่มีเข็ด
ดังที่เขาเขียนจดหมายมาหาเราว่าเขาอิ่มธรรม พอปฏิบัติธรรมแล้วจิตใจมันแหม ยิ้มแย้มแจ่มใสชุ่มชื่นเบิกบาน จะพูดให้ใครฟังก็เดี๋ยวเขาจะหาว่าเราโกหก แทนที่เขาจะรับความจริงนี้ไปพินิจพิจารณาและปฏิบัติ เขาจะไม่รับ เขาก็จะว่าเราโกหกไปเสีย เลยไม่ทราบจะพูดอะไร ก็เลยขอพูดให้ฟังเฉพาะหลวงตา เขาว่างั้น จิตใจมันอ่อนนิ่ม เย็น แน่ะฟังซิทั้ง ๆ ที่เขาเป็นฆราวาสนะ สบาย จิตสัมผัสสัมพันธ์กับอะไรมีแต่เรื่องความหิวความโหย มีแต่ความลำบากลำบน จากนั้นก็มาเป็นความทุกข์ พอคิดในแง่อรรถแง่ธรรม ทำให้เกิดความยิ้มแย้มแจ่มใส อะไร ๆ ก็พอไป ๆ ตาม ๆ กัน
ทั้ง ๆ ที่แต่ก่อนความโลภก็มาก หาความพอไม่ปรากฏเลย ตั้งแต่รู้จักเดียงสาภาวะมาไม่ปรากฏว่า ความพอนั้นได้ปรากฏขึ้นแล้วจากความโลภแม้น้อยหนึ่ง เขาว่าความโกรธก็ไม่เคยพอ โกรธได้ทุกเวลา คิดถึงเรื่องให้โกรธ บุคคลที่ให้โกรธเมื่อไรโกรธได้ทั้งนั้น ไม่เคยปรากฏขึ้นมาว่าพอว่าอิ่มตัว นั่นฟังซิเขาพูด และขึ้นชื่อว่าเรื่องของโลกแล้วอยากจะพูดไปหมดเลยว่า หาความพอไม่ได้ พอจิตย้อนเข้ามาสู่ธรรมแล้วอะไรก็พอ ๆ ทีนี้ความพอนี้ทำให้เกิดความสุขความสบาย ความไม่พอ ความอยากความหิวความกระหาย เหล่านั้นมีแต่เรื่องสร้างความทุกข์ขึ้นมาใส่ตัวเอง นั่นฟังซิเขาพูด พอจิตได้ดื่มธรรมเท่านั้นความพอมันตามกันมาเรื่อย ๆ ความพอมีมากเท่าไรก็ยิ่งมีความสุขมาก เลยเบาไปหมดในใจ ไม่ได้คิดว่ามีอะไรเวลานั้น มีแต่ความพอดี มีแต่ความพอ เลยสร้างความสุขให้สบายตลอด แต่ก่อนก็ได้ยินแต่ว่าธรรม ๆ ก็ไม่ทราบว่าธรรมอยู่ที่ไหน นั่นฟังซิ
คนเราถ้าไม่ปรากฏภายในใจเจ้าของแล้วจะพูดไม่ได้นะ พูดคำเหล่านี้ ได้ยินแต่ว่าธรรม ๆ กราบพระพุทธเจ้า กราบพระธรรม กราบพระสงฆ์ ก็กราบไปอย่างนั้นแหละ ว่างั้นนะ เพราะเชื้อเดิมเป็นความเชื่ออยู่แล้วภายในจิต ปู่ย่าตายายก็พาเชื่อพาเคารพเลื่อมใสมา เราก็เกิดความเชื่อความเลื่อมใสตามนิสัย แต่เวลาได้มาปฏิบัติธรรมเข้านี้มันไม่เป็นเช่นนั้น สิ่งที่ให้เด่นชัดกระจายไปได้ถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ก็คือสิ่งที่ปรากฏภายในใจซึ่งเกิดขึ้นจากการปฏิบัตินี้แล ใจรู้สึกเย็น อิ่มพอ ทำการทำงานก็ทำไปอย่างนั้นแหละ แต่ไม่มีความทะเยอทะยาน แต่ก่อนทะเยอทะยานมากแล้วก็มีความทุกข์มาก แน่ะฟังซิ
ความมั่งความมีก็เคยมั่งเคยมี พ่อแม่ก็พามั่งพามีมาพอสมควร ไม่ได้อับได้จนเรื่องทรัพย์สมบัติ ว่าจะมีความสุขก็ไม่เห็นปรากฏ ทีนี้พอมาปฏิบัติธรรม ความมั่งมีก็มั่งมีอยู่อย่างนั้นแหละ ทุกวันนี้ก็ไม่จน แต่จิตไม่ได้ไปเกาะไปเกี่ยว มันหดตัวเข้ามา ๆ สู่ตัวเอง แทนที่จะไปอาศัยสมบัตินั้นสมบัตินี้ให้เป็นความสุข กลับไม่ไปอาศัยเสียแล้ว ย้อนเข้ามาหาตัวเอง เลยกลายเป็นความสุขขึ้นมา ๆ ความพอก็พอมาเรื่อย ๆ เลยอิ่มตัวมาเรื่อย ๆ ทีนี้จิตนี้เลยกลายเป็นความอิ่มตัวขึ้นมาให้เห็นอย่างชัดเจน ความอิ่มอันนี้จะว่าเป็นยังไงถ้าไม่ว่าธรรม นั่น
คำว่าธรรมอยู่ที่ไหน ๆ ก็รู้สึกว่าหายสงสัยไปเป็นลำดับลำดา รวมตัวเข้ามาสู่จิตดวงนี้ นั่นฟังซิ เขาก็บอกว่าเขาไม่ได้รู้ลึกซึ้งอะไรมากนัก แต่พอให้ได้สักขีพยาน ซึ่งก็ไม่เคยปรากฏว่าผู้ใดมาบอกอย่างนี้ ๆ อย่างชัดเจน ก็ได้อ่านตำรับตำรา อ่านหนังสือของครูบาอาจารย์ที่เขียนนี้ ตลอดถึงฟังเทปและมาปฏิบัติ การฟังการอ่านหนังสือก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง แต่เมื่อผลมาปรากฏขึ้นจากการปฏิบัตินี้เป็นอีกอย่างหนึ่ง ให้เกิดความชัดเจนขึ้นมา แล้วทำให้เกิดความเชื่อในธรรมทั้งหลายที่ได้อ่านได้ยินได้ฟังจากหนังสือและเทปนั้นเข้าไปโดยลำดับลำดา ที่นี่พูดถึงเรื่องธรรมเลยหายสงสัย คำว่าธรรมมีตลอดเวลานั้นมียังไง ก็เพราะจิตเป็นผู้ไปรับรู้ธรรมทั้งหลายจะให้สงสัยไปไหน เพียงรับรู้ขนาดตามประสีประสานี้ก็เป็นที่อบอุ่นพอสมควรอยู่แล้ว ว่าอย่างนั้น น่าฟังเขาพูด
ผู้ปฏิบัติต้องเป็นผู้มีใจหนักแน่น เข้มแข็ง ทำอะไรต้องมีความจริงจังอยู่ภายในตัวอย่าให้เหลาะแหละ เพราะความเหลาะแหละนั้นเวลาเข้าสู่ธรรมแล้วเข้ากันไม่ได้ เพราะกิเลสไม่มีตัวไหนเหลาะแหละ แต่มันทำคนให้เหลาะแหละคือให้ล้มเหลวไปตามมัน เพราะฉะนั้นเวลาเราเข้าเกี่ยวข้องกับธรรม จึงนำความเหลาะแหละเข้าไปปฏิบัติต่อธรรมไม่ได้ ไม่เกิดผล ปฏิบัติไปเท่าไรก็เท่านั้นแหละ สุดท้ายก็เลยนับเอาวันเอาคืนเอาปีเอาเดือน เอาเวล่ำเวลาที่ประกอบความพากเพียรมาเป็นมรรคเป็นผลเสีย ดีไม่ดีกลับเอาสิ่งเหล่านี้ไปเป็นเครื่องทับถมโจมตีธรรมให้แหลกไปตาม ๆ กัน แล้วเกิดความท้อถอย หยุดชะงักหรือหยุดไปเลย ไม่ปฏิบัติตัวให้ดี จิตที่จะควรสงบร่มเย็นได้รับผลจากธรรมด้วยความพากเพียรก็เลยล้มเหลวไปตาม ๆ กันหมด เพราะทนการถูกกล่อมจากกิเลสไม่ได้ หรือเพราะความไม่รู้ว่าตนได้ถูกกล่อมจากกิเลส นี่ละเป็นของสำคัญ ให้พากันนำไปพินิจพิจารณา
เราอย่าด่วนหาความสุขความสบาย ทั้ง ๆ ที่เรายังไม่เคยได้รับความสุขความสบายตามทางของศาสดาที่สอนไว้ ถ้าสุขก็เพียงเหยื่อล่อของกิเลสเท่านั้น มันเกี่ยวไว้ที่ปลายเบ็ดนั้นให้งับเข้าไปนิดหนึ่งพอมีรสชาตินิดหนึ่ง แล้วก็ถูกตวัดเลือดสาดออก ในวาระหลังนี้เป็นยังไงสุขไหม นั่นแหละเรื่องกิเลสทำพิษคนทำอย่างนั้น ถ้าไม่มีเหยื่อล่อปลาก็ไม่กินเบ็ด กิเลสต้องมีทุกประเภทบรรดาเครื่องล่อของสัตว์โลก โลกจึงได้ติดมันตลอดมา
ไม่มีใครมาพูดได้เลยว่า เบื่อเสียแล้วเบื่อเรื่องกิเลสนี้ เพราะเคยอยู่กับมันมาจำเจ มันเคยทรมานมาอย่างจำเจ มันเคยโหดร้ายทารุณบีบบี้สีไฟมาเสียจนนานแสนนานไม่เคยมี ถ้าไม่ได้ธรรมเข้าไปเป็นเครื่องวัดเครื่องตวงเครื่องทดสอบ เครื่องสังหารทำลายมันแล้ว จะไม่ได้คำว่าเบื่อกิเลสมาพูดได้เลย การเบื่อกิเลสก็เพราะเห็นเรื่องของกิเลสตามหลักความจริงของธรรมเราถึงจะเบื่อมันได้ ให้เบื่อเฉย ๆ ก็แบบผัวเมียเขาเบื่อกันนั่นแหละ เบื่อคนนี้ก็ไปเอาคนนั้น ร้างจากคนนี้ก็ไปเอาคนนั้นเสีย มันเบื่ออะไรเบื่ออย่างนั้น ธรรมไม่เป็นอย่างนั้นถ้าธรรมพาให้เบื่อ ขึ้นชื่อว่ากิเลสไม่ว่าจะโลภเรื่องอะไร โกรธเรื่องอะไร จะรักอะไรจะชังอะไร เป็นเรื่องของกิเลสเหมือนกันหมด รู้ทันกันหมด ไม่ได้จับนี้แล้วปล่อยโน้น แม้ธรรมท่านก็ไม่ให้ไปจับไปอุ้มท่านไปกอดไปรัดท่าน ขอให้เอาสิ่งที่มันกอดมันรัดตัวเรานี้ออกเถอะ ความอิสระจะมีเอง
ที่ว่า พุทฺธํ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ นี้เป็นเข็มทิศทางเดิน เป็นที่อาศัยในเวลาดำเนิน แต่พอถึงจุดหมายปลายทางแล้ว ธรรมเหล่านี้ก็มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเสีย จะว่าปล่อยวางหรือไม่ปล่อยวางก็รู้อยู่ภายในตัวเองด้วย สนฺทิฏฺฐิโก เหมือนอย่างสถานที่นี่มันมีทางเข้ามา พอก้าวเข้ามาถึงที่แล้วทางกับสถานที่นี่ก็หมดปัญหาไปเอง คำว่าพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ซึ่งเป็นที่เกาะที่ยึดที่เหนี่ยวของจิตใจ เพื่อก้าวสู่ความเป็นอิสระให้ถึงจุดหมายปลายทางก็เป็นเช่นเดียวกันนั้น เมื่อถึงจุดหมายปลายทางแล้วคำว่าพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ที่เคยเกาะเคยยึดมานั้นก็หมดปัญหาไปเอง เมื่อเข้ามาถึงจุดที่พอกับความต้องการ ฉะนั้นจึงขอพากันตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติ
มีมากผมก็ทน ธรรมดามากก็ต้องอืดอาดเนือยนายเป็นอย่างน้อย มากกว่านั้นใครก็รู้ มันไม่สะดวกสบาย ไม่คล่องตัว ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยเหมือนความมีน้อย เราคิดดูตั้งแต่เวลาไปประกอบความพากเพียร ไปสององค์เป็นอย่างหนึ่ง สามองค์เป็นอย่างหนึ่ง ไปถึงสององค์สามองค์แล้วไม่เป็นท่า สำหรับนิสัยของผมเองเป็นเช่นนั้น ถ้าไปคนเดียวแล้วมันมอบไปเลยนะ เหมือนน้ำไหลลงช่องเดียวมีกำลังมาก เป็นกับตายก็อยู่กับเราคนเดียว อยากขบอยากฉันอยากกินก็กิน ไม่อยากกินก็ไม่กิน เพราะไม่มีความห่วงใยกับใคร ไม่มีสัญชาตญาณที่จะไปรับผิดชอบใคร มีความรับผิดชอบในตัวคนเดียว จะเป็นจะตายมันก็รู้ตัวอยู่แล้ว
การฝึกทรมานจะถึงขั้นไหนก็รู้ตัวอยู่ เพราะเราฝึกเราทรมานเพื่อความรู้ความฉลาด ไม่ใช่เพื่อความโง่ ทำไมจะไม่รู้วิธีปฏิบัติต่อตัวเองหนักเบามากน้อยเพียงไร ต้องรู้ การประกอบความพากเพียรก็เต็มเม็ดเต็มหน่วย อยู่ที่ไหนก็เป็นตัวของตัวอยู่ตลอดเวลา ไม่มีผู้ใดมาแย่งมาชิงเอาเวล่ำเวลาหน้าที่การทำงานของตนให้ขาดวรรคขาดตอนไป มีแต่เรื่องของตัวเองโดยเฉพาะ ๆ จนกระทั่งถึงจิตมีความสามารถที่จะพึ่งตัวเองได้ตามลำดับลำดาแล้ว นั่นก็ยิ่งแหละยิ่งไม่เกี่ยวข้องกับหมู่กับเพื่อน อยู่คนเดียวทั้งวันเป็นความสนิทแนบแน่นภายในจิต เป็นความเหมาะสมอยู่ตลอดเวลา
ทีนี้ก็ย้อนเข้ามาหาเรื่องของหมู่ของคณะที่มีจำนวนมากเป็นยังไง มันก็ได้สัดได้ส่วนกันนี่ มีน้อยเป็นอย่างหนึ่ง มีมากเป็นอย่างหนึ่ง แต่เพราะว่าต่างคนก็ต่างอาศัยครูอาศัยอาจารย์ อาศัยการได้ยินได้ฟัง เราก็เห็นเหตุผลอันนี้ เพราะเราก็เคยเป็นมาแล้ว จึงต้องได้รับกันไว้ทั้ง ๆ ที่ไม่สะดวกในทางหนึ่ง ก็ต้องคิดในแง่หนึ่งเพื่อบวกลบคูณหารกันไปได้ถูไถกันไป เพราะฉะนั้นเวลาหมู่เพื่อนมาอยู่ ก็ให้มองดูจุดคือตัวเองเป็นของสำคัญมากยิ่งกว่าจะมองผู้อื่นใด มาอยู่ด้วยกันเป็นจำนวนมากก็เป็นที่ว่าต่างคนต่างอาศัย ต่างคนต่างมาหวังอรรถหวังธรรมด้วยกัน แต่ข้อสำคัญหวังเพื่อใคร ก็หวังเพื่อเราแต่ละรูปแต่ละนาม ให้สนใจในจุดนี้ให้มาก ใครจะผิดก็ไม่เท่าเจ้าของผิด ใครจะดีก็ไม่เท่าเจ้าของดี เพราะเจ้าของจะเป็นผู้รับผลแห่งความดีและชั่วของเจ้าของเอง แก้ก็แก้เจ้าของเอง ต้องให้หมายถึงจุดนี้เป็นสำคัญในการปฏิบัติตัว อย่าไปถือเรื่องถือราวใด ๆ ของผู้ใดมาเป็นข้อข้องใจ มาเป็นอุปสรรคแก่การดำเนินของตัวเอง
ความผิดความถูกนั้นแนะนำตักเตือนสั่งสอนหรืออบรมกันได้พูดกันได้ เพราะต่างคนต่างมามุ่งอรรถมุ่งธรรมด้วยกัน พูดกันไม่รู้เรื่องมีอย่างเหรอมนุษย์ มิหนำซ้ำยังเป็นพระปฏิบัติเหตุใดจะพูดกันไม่รู้เรื่อง เหตุไรจะพูดกันไม่ฟังคำกันด้วยเหตุผล ทั้ง ๆ ที่ตั้งใจมาปฏิบัติธรรมซึ่งเป็นองค์เหตุผลอยู่แล้ว ต้องยอมรับกัน ความอวดดิบอวดดีอวดเด่นอวดรู้อวดฉลาด อวดอะไรต่ออะไรนั้นเป็นเรื่องของกิเลส เป็นเรื่องของโลกล้วน ๆ อย่านำเข้ามาให้เป็นอุปสรรคมากีดมาขวางในวงหมู่คณะและตัวเองผู้ดำเนินธรรมให้เสียไปเลย มีธรรมล้วน ๆ เท่านั้น
ผู้มาปฏิบัติอย่างน้อยก็ให้ตำหนิตนของตนว่าต่ำไว้เสมอนั่นละเหมาะ แล้วเปิดทางความให้อภัยแก่หมู่คณะไว้ให้มากมันก็เป็นสุข การประพฤติปฏิบัติให้ดูเรื่องของเรา เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเราทำเพื่อเรา ไม่ว่าข้อวัตรปฏิบัติภายนอกภายในเป็นเรื่องทำเพื่อเรา แต่เมื่ออยู่กับหมู่กับเพื่อนก็เกี่ยวโยงกัน จึงต้องได้มองดูท่านมองดูเรา มองดูความหนักเบามากน้อยในวงคณะด้วยกัน เพื่อให้เหมาะสมทั้งท่านทั้งเราที่อยู่ด้วยกัน ไม่ให้หนักมากไปในบางราย ไม่ให้เบามากไปถึงกับขี้เกียจจนเน่าเฟะเป็นบางราย ไม่ให้เป็นเช่นนั้น เพราะนั้นไม่ใช่ธรรม ให้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติ
การฝึกอบรมทางด้านจิตตภาวนาก็เคยสอนอยู่เสมอ ทั้งภาคสมถะทั้งภาควิปัสสนาสอนจนเต็มภูมิ ขอให้มีความจริงจังต่อหน้าที่ในธรรมขั้นนั้น ๆ ของตน ความรู้นี่อย่าเข้าใจว่าอะไร ๆ มีในเวลานั้น สิ่งเหล่านี้เคยเป็นอยู่แล้วในหัวใจ มันคอยแต่แย็บโน้นแย็บนี้ บังคับเข้ามาได้ชั่วขณะ มันออกไปนี้เป็นเวลากี่ชั่วโมงมันถึงจะมาแย็บได้สติอีกทีหนึ่ง ๆ นั้นละผลไม่ค่อยปรากฏเพราะเหตุนั้นเอง จึงต้องให้เอาจริงเอาจังอยู่ในสนามรบคือที่จิตนี้
ผู้กำหนดอานาปานสติก็ไม่ให้มีอะไรมาเกี่ยวมากวน คือจิตนี้ไม่ให้มันคิดไปเรื่องอะไร ไอ้เรื่องภายนอกที่จะมากวนมันไม่มาแหละ จิตนี้แหละเป็นตัวคะนองออกไปยุ่งนั้นยุ่งนี่ แล้วหาว่านั้นว่านี้ หาว่าเป็นอารมณ์กับสิ่งนั้นสิ่งนี้ หาอันนั้นมายุ่งหาอันนี้มายุ่ง อะไรจะมายุ่งถ้าจิตไม่กระเพื่อมตัวออกไปสู่สิ่งเหล่านั้น มันจะเป็นเรื่องราวสิ่งเหล่านั้นขึ้นมาไม่ได้ จิตเป็นผู้ไปปรุงไปแต่งไปสำคัญมั่นหมาย ไปวาดภาพวาดพจน์ขึ้นมาหลอกตัวเอง แล้วก็เป็นมาเท่าไรแล้วนี่ ขณะที่จะบำเพ็ญธรรมเพื่อเอาของจริงไม่ใช่ของหลอกอย่างนั้นทำไมจะทำไม่ได้ ต้องตั้งใจลงให้แน่วแน่ต่องานของตนเองในขณะที่ทำ ทำราวกับว่าไม่มีอะไร มีแต่ความรู้กับงานที่ทำอยู่เพียงเท่านั้น
ภาวนาก็เหมือนกัน อย่าไปกำหนดว่าช้าหรือเร็ว นานหรือช้า หรือขนาดไหนไม่ต้องไปยุ่ง คิดดูซิเหตุที่มันปรากฏ สิ่งที่ปรากฏกันอยู่นั้นก็คือความรู้ มันจะไปสั้นไปยาวให้รู้อยู่ตรงนั้นเอง อยู่ในจุดปัจจุบัน ๆ แล้วจิตจะเคลื่อนไหวไปยังไง โดยอาศัยธรรมเครื่องบังคับ เช่น พุทโธ หรืออานาปานสติ เป็นต้น บังคับไว้กับธรรมเหล่านี้ ไม่งั้นกิเลสจะเอาไปหุงไปต้มไปตุ๋นกินเสียหมด ให้อยู่ตรงนี้ ธรรมท่านไม่ต้มใครแหละ สุขแบบธรรมแล้วสบาย ถ้าสุขแบบกิเลสแล้วเละไปหมด เน่าเฟะเหม็นคลุ้งใช้ไม่ได้ ให้อยู่ที่ตรงนั้น ลมหายใจจะละเอียดขนาดไหนไม่ต้องไปกำหนดไปคาดไปหมาย ให้ดูอยู่ตามเหตุการณ์ที่เป็นในวงปัจจุบันนี้ มันจะไปไหนจนกระทั่งถึงลมหายใจมันดับจิตดับ เป็นกรรมฐานหัวตอก็ให้มันรู้ซิ
นั่นละคำว่าให้ใจรู้นั้นน่ะมันดับเมื่อไร มันไม่เคยดับ เป็นอะไรก็จะรู้ขึ้นมาหมดในขณะที่ภาวนา ให้ได้เห็นเสียทีซิ ได้ยินแต่ครูบาอาจารย์ท่านพูดว่าจิตรวมแปลกประหลาดอัศจรรย์เป็นยังไง จิตเราก็มีสิ่งที่จะทำให้แปลกประหลาดได้เหมือนกัน เมื่อเหตุพร้อมที่จะทำให้ผลปรากฏขึ้นมาเช่นนั้น ต้องเป็นขึ้นได้ด้วยกันทุกคนนั่นแหละ สิ่งที่ท่านไม่เคยพูดเราก็จะเห็นในตัวของเรา ไม่มีอะไรที่จะพิสดารยิ่งกว่าจิต แหลมคมยิ่งกว่าจิต ละเอียดยิ่งกว่าจิต สิ่งที่ไม่เคยรู้จะรู้ขึ้นมาเห็นขึ้นมาภายในจิตนี่แหละ ส่วนตา หู จมูก ลิ้น กาย มันมีขอบเขตของมัน ไม่เลยขอบเขตนั้นไปได้แหละสิ่งเหล่านี้ มันเคยรู้เคยเห็นอะไรเคยได้ยินอะไรก็แค่นั้นแหละ เลยนั้นไปไม่ได้
แต่จิตนี้ไม่เป็นเช่นนั้น มันละเอียดลออลึกซึ้งกว้างขวางมากทีเดียว พิสดารมาก ยิ่งให้จิตมีความสงบร่มเย็นแล้วมีทางเดินออกด้วยปัญญาด้วยแล้วก็ยิ่งเวิ้งว้าง ๆ ไปเรื่อย สิ่งไม่เคยรู้-รู้ สิ่งไม่เคยเห็น-เห็น กิเลสประเภทใดที่เคยเป็นภัยมันฝังจมนี้เปิดตัวขึ้นมาด้วยอำนาจของปัญญา ด้วยอำนาจของสติเปิดเผยขึ้นมา ฆ่ากิเลสฆ่าด้วยวิธีใดก็ไม่ต้องถามใคร มันเป็นไปในตัวนั่นแหละระหว่างกิเลสกับธรรมซึ่งเป็นข้าศึกกันที่เรานำมาปฏิบัติอยู่ในเวลานั้น นี่คำว่าสงบ ๆ ท่านพูดไว้พอประมาณ จะให้พูดอะไรทุกแง่ทุกมุมทุกกระทง มันไม่หวาดไม่ไหวที่จะนำมาพูด ขอให้ผู้ปฏิบัติได้พิจารณาได้ปฏิบัติแล้วเข้าใจในตัวเอง หยาบละเอียดหรือลึกตื้นขนาดไหนจะทราบ กว้างแคบขนาดไหนจะทราบในวงปฏิบัติของตัวเอง นี่ถึงเป็นสมบัติของตัวเองแท้
ขณะที่เรารู้อรรถรู้ธรรมไปมากน้อย ก็เป็นขณะที่ฆ่ากิเลสไปตาม ๆ กันนั่นแหละ ไปพร้อม ๆ กัน ไม่ใช่รู้ไปเฉย ๆ แล้วกิเลสหัวเราะเยาะอยู่ไม่เคยมี กิเลสจะต้องหมอบราบไปเรื่อย ๆ นี่เพียงวงสมถะเท่านี้ ถ้าเรายังทำไม่จริงทำไม่ได้ หาความสงบไม่ได้ เราจะเอาความสุขที่ไหนจากวงศาสนาจากวงปฏิบัติของเรา หรือจากการปฏิบัติของเราจากเพศของเรา มันก็ไม่ผิดแปลกอะไรกับโลกเขานี่ ผ้าเหลืองก็เคยพูดแล้ว จะมาพันกันจนกระทั่งไม่มองเห็นตัวคนก็ได้ผ้าเหลืองนี่ แปลกประหลาดอัศจรรย์อะไร ถ้าเจ้าของไม่ทำตัวเจ้าของให้เป็นของอัศจรรย์ด้วยอรรถด้วยธรรมของพระพุทธเจ้า อันนี้เป็นเครื่องประกาศให้โลกทราบเท่านั้น ให้ตัวเองทราบเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องวิเศษวิโสตามความมุ่งหมายของธรรมที่ท่านสอนไว้ ความวิเศษวิโสก็คือธรรมภายในใจของผู้ปฏิบัติได้มากน้อยนั่นแหละเป็นความวิเศษ ทำให้มันจริงมันจัง
สงบเย็นก็เคยได้พูดให้ฟัง เราไปอยู่กับพ่อแม่ครูอาจารย์มั่น ท่านก็เคยพูด เราอัศจรรย์จนน้ำตาร่วง พอท่านพูดเรื่องไปอยู่ที่ถ้ำสาริกา เหตุที่จะเป็นก็นั่นละท่านก็จนตรอก ท่านถึงได้เหตุได้ผล ท่านเอาตัวรอดได้เวลาจนตรอก นั่นฟังซิ สติปัญญาคนเราเกิดได้มีได้ในขณะที่จำเป็น ไม่ใช่จะโง่อยู่ตลอดเวลา เมื่อถึงคราวจำเป็นแล้ว อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ มาเองเป็นเอง เพราะไม่มีใครที่จะพึ่งจะอาศัย อยู่ก็อยู่คนเดียวด้วย แล้วจะไปหวังพึ่งใคร สิ่งเหล่านี้ไม่มีใครที่จะมาถอดมาถอนมาช่วยหยิบยกออกได้ละ ความทุกข์ที่เต็มอยู่ในธาตุในขันธ์ในจิตในใจ ถ้าไม่ใช่เราเป็นผู้พิจารณาเพื่อหลบหลีกปลีกตัวให้เอาตัวรอดไปได้ มันก็มีเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนั้น อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ก็มาเอง
ท่านพูดให้ฟัง โอ๋ อัศจรรย์นี่นะ ท่านเจ็บบิด ให้ปวดหนัก เป็นอยู่เรื่อยถ่ายเรื่อย เอายาอะไรมากินก็แล้ว เอาอะไรมากินก็แล้ว สุดท้ายท่านว่าโยนยาเข้าป่าไปหมด เป็นยังไงก็เป็นเถอะ เกิดมาก็ไม่ได้เกิดกับหยูกกับยา ท่านว่างั้น มันก็เป็นอยู่ในธาตุในขันธ์ เอา จะเป็นก็เป็น จะตายก็ตาย วันนี้จะเอากันให้เต็มที่ ก็เอาเลย กำหนดพิจารณาลงเรื่อย ๆ ๆ เวลามันจนตรอกทุกข์ก็บีบเข้ามา ๆ สติปัญญาก็บีบกันลงไปในตรงนั้น ทีนี้ก็รู้ละซิ พอจิตลงพรึบยังงี้ โอ๋ โลกธาตุนี้หมดท่านว่า คือหมดในความรู้สึก ไม่มีอะไรเลย เห็นแต่ความแปลกประหลาดอัศจรรย์อยู่กับความรู้นี้อันเดียวเท่านั้น ประหนึ่งว่าครอบไปหมดโลกธาตุนี้ มีแต่ความรู้นี้อันเดียวเท่านั้น พอจิตถอนขึ้นมาโรคหายหมด นั่นฟังซิท่านพูด เราก็อัศจรรย์ตอนที่จ้าวป่าเขาจะมาฆ่ามาทำลายท่าน แบกเหล็กทั้งท่อนมานี่ก็เหมือนกัน อย่างที่เขียนไว้ในประวัติของท่าน คือนิสัยท่านในความรู้แปลก ๆ ต่าง ๆ ท่านเป็นมาตั้งแต่ต้นแล้วเรื่อยมา นั่นแหละตามนิสัย เพราะฉะนั้นท่านถึงชำนาญมาก
บทเวลามาเป็นเราก็เป็นละซิที่นี่ ก็อัศจรรย์เหมือนกัน ผมเป็นอยู่ที่หนองผือนั่น พิจารณาร่างกายนี้ แต่ไม่ถึงกับขั้นที่ว่าทุกข์มีมากนะ พิจารณาทางร่างกายธรรมดา ๆ นี้มันก็ลงกันอย่างนั้นเหมือนกัน หมดเลย เวิ้งว้างไปหมด เป็นชั่วโมง ๆ นะเป็นยังงั้นน่ะ เวลาจิตถอนขึ้นมาแล้วกำหนดดูอะไรมันว่างไปหมดนะ นั่นละผลที่ยังเหลืออยู่จากจิตที่ลงในขณะนั้น ถอนขึ้นมาแล้วใช้ความคิดก็คิดได้ แต่พอคิดแย็บมันดับไปเสีย กำหนดดูอะไรก็ไม่เห็น ดูกุฏินั้นกุฏินี้ ดูต้นไม้ในวัดก็ไม่เห็น มันว่างไปหมดเลย อันนี้ก็อัศจรรย์เกินคาดเหมือนกัน เป็นประเภทหนึ่ง
ไอ้ส่วนที่มันอัศจรรย์ในเรื่องต่อสู้กับทุกขเวทนาดังที่กล่าวแล้วนั้น ที่จำพรรษาบ้านนามนนั้นก็รู้ว่าเป็น อย่างนั้นก็เป็น มันได้เป็นและได้เห็นนี้มันพูดได้ เป็นกับเจ้าของรู้กันกับเจ้าของทำไมพูดไม่ได้ ธรรมเป็น ปจฺจตฺตํ รู้จำเพาะเจ้าของแท้ ๆ สนฺทิฏฺฐิโก เป็นสิ่งที่จะรู้ได้พูดได้ ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยเต็มตามความจริงนั้นก็ตาม ก็อาศัยความจริงนั้นนำออกมาพูดได้ คือวาดออกเป็นภาพเป็นพจน์ก็ยังได้ ถึงไม่ตรงกับความจริงนั้นก็ตาม ก็ยังพอเป็นกรุยหมายป้ายทางได้สำหรับผู้ฟังเพื่อยึดเอาเป็นคติ จึงได้กล้าพูดว่าใจนี้พิสดารมากหนา ไม่กล้าพูดยังไงก็มันเป็นให้เห็นนี่ เป็นให้เห็นอยู่แท้ ๆ อะไรจะไปพิสดารยิ่งกว่าใจ เราจะไปคาดใจคาดไม่ถูกทั้งนั้นแหละ คาดก็ผิดไปทั้งเพ
ใจที่ได้รับการฝึกฝนได้รับการทรมานชำระซักฟอกออก ในสิ่งที่อยู่ในกรอบหรือในข่ายแห่งความคาดเอาออกให้หมดเสียที่นี่ อันนี้แหละพาให้คาดให้หมาย ถูกก็ถูกตามอำนาจของอันนี้เอง ไม่ได้ถูกตามอำนาจของธรรม อันนี้ใครคาดก็คาดได้เพราะกิเลสพาคาด กิเลสพาด้นพาเดา ผิดถูกมันก็ไม่ไปจับพิรุธกิเลสนี่ เพราะกิเลสไม่ให้จับ มันกล่อมให้หมด ผิดขนาดไหนมันก็ไม่ยอมรับว่าถูกอยู่นั่นละ ถูกตามเรื่องของกิเลสนะไม่ใช่ถูกตามเรื่องของความจริง แล้วใครจะไปเห็นโทษของมันได้ เมื่อไม่มีสิ่งที่จะจับโทษมันได้ คือไม่มีความรู้ที่จะเหนือมันพอจะจับโทษจับพิรุธมันได้ เราจะเห็นโทษเห็นพิรุธของมันได้พอจะถอยตัวออกห่างได้ยังไง
แต่เมื่อธรรมจับเข้าไป ๆ น่ะซิ มันเห็นนี่มันรู้นี่ รู้ไปตรงไหนกิเลสพังออก ๆ เอ้า ๆ ให้มันเต็มที่เต็มแดนพังเสียจนหมด เอ้า คาดซิคาดจิตดวงนี้น่ะ มันจะคาดได้ยังไง อะไรจะพิสดารเกินคาดเท่าจิต อะไรจะอัศจรรย์เกินคาดเท่าจิต ในสามแดนโลกธาตุนี้ไม่มีอะไรที่จะเป็นของพิสดาร เป็นของที่ประเสริฐเลิศเลอยิ่งกว่าจิต พูดได้เต็มปากตรงนี้ แต่จะไปคาดได้ยังงั้นยังงี้คาดไม่ได้ทั้งนั้นแหละ ไม่มีอะไรมาคาดแล้ว เมื่อถึงหลักธรรมชาติแล้วคาดไม่ได้ สิ่งที่คาดคือเรื่องของกิเลสมันคาด พาคาดอย่างนั้นคาดอย่างนี้ กิเลสก็พังไปเสียจะเอาอะไรมาคาด
โลกจะว่ามีก็ว่า มันแย็บออกไปว่ามีอันนั้นมีอันนี้ ไอ้นั่นต้นไม้ นี่ภูเขา นั้นดินฟ้าอากาศ ก็ว่ากันไปตามเรื่องที่เราเคยรู้เคยเห็น แต่อย่าลืมหนาว่าจิตนี้เป็นผู้ไปให้ความหมาย เป็นผู้แย็บออกไปว่านั้นเป็นนั้น นี้เป็นนี้ ธรรมชาติอันแท้จริงแล้วสิ่งเหล่านั้นเขาว่าเขาเป็นยังไง เขาไม่ได้ว่าเขาเป็นอะไร มีหรือไม่มีเขาก็จริงของเขาอย่างนั้น เช่นว่าศาลาที่เรานั่งอยู่เวลานี้ คำว่า มี เขารู้ความหมายของเขาไหมว่าเขามี มันก็เหมือนไม่มีนั่นเองถ้าจิตไม่ไปให้ความหมายเสียอย่างเดียว นี่พอจิตหมดเรื่องใส่ร้ายป้ายสีสิ่งนั้นสิ่งนี้ เที่ยวยกนั้นยอนี่เหยียบนั้นหมดไปจากจิตแล้ว ก็ต่างอันต่างจริง ถ้ามีแต่ความรู้ล้วน ๆ อยู่ภายในตัวไม่แย็บออกไปแล้วมันก็เหมือนโลกไม่มี แน่ะ มีอะไร
หลงก็หลงสิ่งที่เจ้าของสำคัญว่ามีว่าเป็นว่าดีว่าชั่ว เมื่อเจ้าของไม่ไปสำคัญก็ไม่มีปัญหาอะไร ตอนที่มันสำคัญก็แก้เข้ามาตามลำดับลำดา จนกระทั่งถึงหมดไม่มีอะไรเหลือ ความสำคัญก็มาหลอกไม่ได้ เช่นอย่างสัญญาในขันธ์นี้มันก็มีของมัน แต่ไม่มีอะไรที่จะไปหลอกให้หลงน่ะซิ กิเลสตัวหลอกมันตายหมดแล้ว ยังแต่ขันธ์ล้วน ๆ หลอกใครที่ไหน ขันธ์ล้วน ๆ ไม่เคยหลอกใคร มีแต่กิเลสราคะเอาขันธ์มาเป็นเครื่องมือหลอก
ขั้นสมถะก็สงบให้เห็นจากภาคปฏิบัตินี้แหละ ขั้นปัญญายิ่งพิสดาร ยิ่งถึงขั้นวิมุตติหลุดพ้นแล้วไม่ต้องพูด พ้นที่ไหน ถามหาอะไรพระนิพพาน มันถูกบีบถูกบังคับอยู่ตรงไหน ทุกข์มันทุกข์อยู่ตรงไหน ก็ทุกข์อยู่ตรงที่ถูกบีบถูกบังคับ ผู้ถูกบีบถูกบังคับก็คือใจ เมื่อได้เปิดสิ่งเหล่านี้ออกหมด ถอดถอนออกหมดไม่มีอะไรบังคับแล้วเป็นอิสระเต็มตัว เป็นความรู้ในหลักธรรมชาติ ไม่ใช่ความรู้เจือปนไปด้วยความเสกสรรปั้นยอ แทรกซึมไปด้วยยาพิษทั้งหลายเหมือนแต่ก่อน แต่เป็นความรู้ล้วน ๆ เป็นความรู้ในหลักธรรมชาติ ความรู้นี้จึงพูดไม่ถูก
ที่เรารู้ ๆ เด่น ๆ อะไร ๆ อย่างนี้มันเป็นอีกอันหนึ่ง ความรู้เหล่านี้เป็นความรู้ที่อยู่ในขั้นสมมุติ ๆ เช่น เสียงมากระทบก็ได้ยิน แย็บขึ้นปรากฏนี่ ความรู้อันนี้เป็นความรู้ในวงไตรลักษณ์เท่านั้นแหละ เพราะมันเป็นสมมุติ ได้เห็นได้ยินได้สัมผัสสัมพันธ์อะไรแบบนี้ เป็นเรื่องความรู้ที่อยู่ในวงของสมมุติ เพราะสิ่งเหล่านั้นก็เป็นสิ่งสมมุติ ธรรมชาติที่รู้รับกันนี้ก็เป็นสิ่งสมมุติ และนอกจากนี้แล้วเป็นยังไง นั่นพูดไม่ถูก เพราะไม่ใช่สิ่งเหล่านี้
อย่างที่ว่าผู้ที่ยังนอนหลับอยู่แล้วไม่ใช่พระอรหันต์ ดังที่พูดวันประชุมคราวที่แล้วนั่น มันเคยเห็นอรหันต์อะไร อยากจะยกตัวขึ้นมาให้เด่นให้ดังแล้วเหยียบหัวตัวเองมาไม่รู้ และพาทำผู้อื่นเสียไปอีกมากมาย ก็ให้รู้เรื่องเสียก่อนซิ พระอรหันต์ท่านนอนหลับหรือไม่หลับก็ให้รู้ซิ ชาคร ๆ ที่ว่าพระอรหันต์ท่านตื่น อะไรของท่านตื่นก็ให้เห็นในตัวเองซิ อะไรหลับอะไรพัก เรื่องธาตุเรื่องขันธ์ก็ให้รู้ซิ ถ้าลงมันรู้ได้ทั้งสองนี้แล้วมันไม่ได้สงสัยแหละ ต่างคนต่างรู้ว่าธาตุขันธ์มันพักตัวหรือว่าหลับ หลับยังไงหลับ คนมีกิเลสหลับเป็นยังไง คนไม่มีกิเลสหลับเป็นยังไง จะสงสัยที่ไหน เพราะความมีกิเลสเราก็เคยมีกิเลส เราหลับด้วยความมีกิเลสของเราในธาตุในขันธ์ของเราเราก็เคยหลับ หลับด้วยทั้งที่ไม่มีกิเลสภายในใจก็รู้อยู่แล้วประจักษ์ใจอยู่แล้วแล้วจะสงสัยอะไร ไอ้นี่พูดก็อย่างว่าน่ะซี พอฟ้ากระหึ่ม ๆ โอ้โห คิดถึงกรุงเทพว่ะ เคยเห็นไหมกรุงเทพ เคยได้ยินแต่เขาว่า นั่น ไม่เคยเห็นกรุงเทพแต่คิดถึงกรุงเทพพอได้ยินฟ้ากระหึ่ม ๆ
นี่แหละที่ว่าพระอรหันต์ถ้ายังมีนอนหลับอยู่แล้วนั่นไม่ใช่พระอรหันต์ ผู้ที่ว่าไม่ใช่พระอรหันต์นั้นคือคนประเภทไรไม่ดูตัวเองบ้าง มันโง่หรือมันฉลาดไปถึงไหนแล้วนี่ ดูบ้างซิ ปฏิบัติเข้าไปแล้วมันก็รู้เอง เรื่องธาตุเรื่องขันธ์เป็นเรื่องของสมมุติ แม้แต่รถยนต์เขายังพักเครื่อง เวลาติดเครื่องไป รถยนต์มันมีวิญญาณเหรอ มันไม่เห็นมีวิญญาณ แต่เวลาติดเครื่องทำไมมันยังติด ดังปึ้ง ๆ ๆ เห็นไหมล่ะ มันเอาวิญญาณมาจากไหนมันยังดังของมันได้ มันยังดับของมันได้เวลาคนให้ดับ ผู้ขับก็เป็นอีกผู้หนึ่ง นั่น ติดเครื่องอยู่ผู้ขับยังนอนหลับได้สบายอยู่ในรถนั่น ถ้าจะหลับนะ ชาครธรรมนี้ไม่ได้อยู่ในวิสัยที่จะมาวิพากษ์วิจารณ์กัน ชาครธรรมของพระอรหันต์คือจิตที่บริสุทธิ์นั้นเอามาวิพากษ์วิจารณ์ได้ยังไง ความรู้กิเลสบีบหัวอยู่ตลอดเวลาจะไปวิพากษ์วิจารณ์ ชาคร ของพระอรหันต์ ไม่ละอายตัวเองบ้างเหรอ หรือยังว่าตัวเองภูมิฐาน ตัวเองมีความรู้ความฉลาด ขายตัวเองไปเท่าไรแล้ว
อันนั้นมันอยู่ในอำนาจของขันธ์เมื่อไร แม้จะอยู่ด้วยกันก็ไม่อยู่ในอำนาจของขันธ์ ธรรมชาตินั้นเป็นธรรมชาตินั้น ที่เรียกว่า ชาคร ๆ ผู้ตื่นอยู่ก็หมายถึงธรรมชาตินั้นน่ะไม่ได้คุ้นกับอะไรเลย เป็นของตัวเองอยู่เช่นนั้น เรื่องธาตุเรื่องขันธ์จะระงับดับไปเมื่อไร คือความรู้ที่จะมารับอันนี้มันก็ดับไปหมด การรับรูป รับเสียง รับกลิ่น รับรส ในขณะที่ขันธ์พัก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ตาก็พัก ความรู้ที่จะเดินผ่านทางสายตานี้ก็พัก ทางหูก็พัก พักไปหมดเวลานั้นไม่ออกมารู้มารับมาแสดงสมมุติ หลับ ถ้าความรู้ประเภทนี้กระดิกตัวขึ้นมาก็รับทราบไปหมด ก็ตื่น
คำที่ว่าความรู้นี้พักตัว ความรู้นี้พูดง่าย ๆ ว่าความรู้นี้เกิดขึ้น ความรู้นี้ดับไป มันเป็น ชาคร เมื่อไร นั่น เกิดขึ้นแล้วดับไปเป็นวิมุตติเมื่อไร นั่นฟังซิ ธรรมชาตินั้นไม่ได้มีอันนี้เข้าไปเกี่ยวข้องเลย พิจารณาเข้าไปซิถ้าอยากจะรู้ แต่ท่านผู้รู้จริง ๆ ท่านไม่ได้มาพูดอย่างนั้นแหละ ไม่ประกาศขายโง่ตัวเอง ใครที่ว่าเป็นอรหันต์แล้วยังนอนหลับอยู่นั้นไม่ใช่พระอรหันต์ อยากจะให้เขาพูดว่าคนที่ไปหาทำนายได้อย่างนั้นแหละคือจอมอรหันต์ อยากให้เขาว่าอย่างนั้นเหรอ จอมอรหันต์หลับตาพูด เราอยากพูดอย่างนั้นละ
โง่แสนโง่ก็ตาม เราอยากจะพูดสนุก ๆ คนหลับตาพูด อวดทั้งหลับตา ธรรมดาคนตาบอดมักขี้คุยนะ คนโง่มันชอบคุยโม้โอ้อวดเก่ง คนโง่ทำตัวเป็นผู้ฉลาดมันก็น่าหัวเราะมันน่าหมั่นไส้ คนฉลาดทำตัวเป็นคนโง่ซิ โอ้โห จับได้เมื่อไร มันผิดกันนะ คนฉลาดทำตัวเป็นคนโง่นี่จับไม่ได้ง่าย ๆ ถ้าคนโง่ทำตัวเป็นคนฉลาด โห พอแย็บออกก็รู้ทันที อย่างอาการที่พูดอยู่เวลานี้ อย่างเช่นเป็นพระอรหันต์แล้วยังนอนหลับได้อยู่นั้นคือไม่ใช่พระอรหันต์ นี่ก็คือมันโง่จะตายนี่ มันอวดฉลาดมันก็ขายโง่เต็มเปาล่ะซิ
อย่างพระอรหันต์ท่านนอนท่านไม่เห็นตื่นท่าน ฟังซิ พระอรหันต์ท่านหลับก็ดีท่านตื่นก็ดี ท่านไม่เห็นตื่นท่าน เราไปตื่นอะไร เป็นบ้ากับเราทั้ง ๆ ที่เราก็ไม่ได้เป็นอรหันต์อรแห็นอะไร จะอวดตัวเองทำไมถ้าไม่ใช่แบบตาบอดชนต้นไม้แล้วยังอวดดีว่า เฮ้ย สมหวังแล้ววันนี้ สมเจตนากูแล้วที่กูพยายามจะโดนมันตั้งแต่เมื่อวานนี้ไม้ต้นนี้น่ะ วันนี้สมใจเสียแล้ว ล้มลงไปแล้วยังหันหน้าไปโน้น หันหลังให้ต้นไม้ต้นนั้นอีก วันนี้สมหวังแล้ว สมหวังน่ะซิหน้าผากมันแตก ยังไม่มองดูต้นไม้ตัวที่สมหวังด้วยนะ ยังมองไปโน้น หันหลังให้ต้นไม้อีก ยังไม่เห็นอีก นี่มันแบบเดียวกันแหละ มันไม่ได้ว่าตัวโง่ ไม่ว่าตัวตาบอดเลย นั่นคนโง่ คนฉลาดนั้นผิดกัน คนฉลาดทำตัวเป็นคนโง่ โอ้โห จับไม่ได้ แนบเนียนมาก ถึงสถานที่โง่ก็โง่ไปเสีย ถึงสถานที่ฉลาดเหตุการณ์หากบอกเอง เป็นไปในหลักธรรมชาติของท่านเอง ของเขาเองคนคนนั้น มันผิดกันอย่างนี้
ให้พากันตั้งหน้าตั้งตา ในวาระที่เข้าพรรษาเป็นวาระที่ไม่ค่อยมีการมีงาน เราระวังมากที่สุดเรื่องการงานที่จะเข้ามาทำลายวงปฏิบัติคือจิตตภาวนา เราถืองานนี้เป็นสำคัญมากสำหรับพระปฏิบัติของเรา ไม่เห็นงานอื่นใดเป็นของสำคัญยิ่งกว่างานนี้ การทำอะไรก็ตามหากมีความจำเป็นจะจัดจะทำก็ทำ ต้องมีกฎมีเกณฑ์เอาไว้ไม่ให้พร่ำเพรื่อ ไม่ให้เป็นบ้าไปกับงานนั้น เพราะเรื่องของกิเลสมันพาให้ออกง่าย ๆ นี่ เรื่องเหล่านี้ให้ระวังให้มากเพราะมันมาแทรกแซงเสมอ มันชอบฉลาด หาเรื่องมายุ่งหาเรื่องทำลายอยู่เรื่อย ไม่มองดูหัวหน้าเลย บทเวลามันจะฉลาดถูกกิเลสลากจมูกไป ยังไม่รู้ว่าถูกกิเลสลากจมูก มันยิ่งอวดรู้อวดฉลาดไปเรื่อย นั่นละกิเลสมันผลักมันดันออกไปยังไม่รู้ ทำอะไรมักเลยเถิด ๆ ก็กิเลสมันเคยพอดีเมื่อไร มันเลยเถิดอยู่ตลอด ทำไมมันจะไม่ลากคนไปให้เลยเถิด ถ้าธรรมแล้วมีความพอดี พอดี ๆ อะไรเหมาะสมไม่เหมาะสม ธรรมจะกะระยะให้เหมาะเลย
เอาละ วันนี้พูดเท่านี้