หลักแห่งการอยู่ร่วมกัน-ชัยชนะบนเวทีธรรม
วันที่ 31 กรกฎาคม. 2525
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :

ค้นหา :

เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๓๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๒๕

หลักแห่งการอยู่ร่วมกัน-ชัยชนะบนเวทีธรรม

ความรู้สึกของพระท่านเปรียบไว้เหมือนแม่เนื้อระวังนายพราน หรือสัตว์ร้ายมีเสือเป็นต้น จะหาอยู่หากินหลับนอน เที่ยวไปไหนมาไหน ไม่ว่ากลางวันกลางคืนในอิริยาบถต่างๆ ของแม่เนื้อ เต็มไปด้วยความระมัดระวังรักษาตัวอยู่เสมอ แม้เช่นนั้นยังโดนสัตว์ร้ายกัดหรือนายพรานยิงเอาได้ นักปฏิบัติเราเมื่อเทียบกับแม่เนื้อแล้ว ความรู้สึกของผู้ที่ว่าเห็นภัย จะมีส่วนคล้ายคลึงกับแม่เนื้อบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้ การปฏิบัติเพื่อจะถอดถอนตนหรือรื้อถอนตนออกจากมหาอำนาจคือกิเลสทั้งมวล ซึ่งครอบงำอยู่ในหัวใจหรือบังคับจิตใจอยู่ตลอดเวลา จำต้องใช้ความพยายาม ความระมัดระวังอยู่ตลอดเวลา จึงจัดว่าเป็นภาระอันหนัก หนักด้วยการระมัดระวัง หนักด้วยการพิจารณาหาช่องหาทางที่จะแก้ไขถอดถอนสิ่งที่ฝังจมอยู่ภายในใจ

ท่านผู้เห็นโทษท่านเห็นจริงๆ ดังพระพุทธเจ้าและสาวกท่าน และสอนให้เห็นโทษจริง ๆ ด้วย ให้เห็นคุณแห่งความพากเพียรและความหลุดพ้นจากกิเลสประเภทต่างๆ จนกระทั่งหลุดพ้นไปโดยสิ้นเชิงด้วย ด้วยเหตุนี้การปฏิบัติของพวกเรากับการดำเนินของท่าน และโอวาทคำสั่งสอนของท่านที่แสดงไว้แล้วทุกแง่ทุกมุม มีความกลมกลืนกันตรงไหน หรือหันหลังให้พระโอวาทของพระพุทธจ้า และหันหลังให้การดำเนินของท่านที่เป็นคติตัวอย่างอันดีเลิศ และให้ผลเป็นที่พอพระทัยและพอใจมาแล้ว เป็นสิ่งที่เราทั้งหลายจะคิดคำนึงเสมอ

ความระวังตัวคือความมีสติ คอยดูความเคลื่อนไหวของใจ ซึ่งปกติแล้วจะเคลื่อนไหวออกไปตามอำนาจของกิเลสอยู่เสมอ จะหาความเคลื่อนไหวออกสู่อรรถสู่ธรรม เพื่ออรรถเพื่อธรรมนั้นมีน้อยมาก เมื่อกำลังธรรมยังไม่พอหรือกำลังของสติปัญญายังไม่พอ จึงต้องได้ถูไถ จึงต้องได้บังคับบัญชากันอยู่ทุกความเคลื่อนไหวของจิตและอิริยาบถต่าง ๆ แม้ที่สุดไปบิณฑบาตก็จำต้องทำความระมัดระวังอยู่ทุกขณะที่เคลื่อนไหวไปมา ท่านกล่าวไว้ว่าบิณฑบาตเป็นวัตร หมายความว่าอย่างไร ก็คือมีข้อวัตรปฏิบัติ มีการระมัดระวังตัวอยู่เสมอ อยู่ปกติก็มีการระวัง มีสติประจำตัว ก้าวออกจากวัดไปไม่สนใจกับเรื่องอะไรนอกจากเรื่องของอรรถของธรรม เฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของใจที่แสดงออกอยู่เสมอ เดินบิณฑบาตก็เท่ากับเดินจงกรมไปมาโดยลำดับ เขาใส่บาตรรับบาตรก็มีสติอยู่กับความเพียรของตนตั้งแต่เริ่มแรกไปจนกระทั่งกลับมา ประคองความเพียรไปโดยสม่ำเสมอไม่ให้ขาดวรรคขาดตอน นี่คืองานของพระที่เรียกว่าบิณฑบาตเป็นวัตร หรือบิณฑบาตเป็นกิจวัตรเป็นอย่างนี้

การบิณฑบาต ก็เป็นอริยประเพณีของพระพุทธเจ้าและพระสาวกท่านดำเนินมา ใครจะออกมาจากสกุลใดก็ตาม ปิณฺฑิยาโลปโภชนํ นิสฺสาย ปพฺพชฺชา. ตตฺถ เต ยาวชีวํ อุสฺสาโห กรณีโย. ต้องเป็นกิจประจำองค์ประจำตัวของพระ คือบิณฑบาตมาครองชีวิตพอได้ประกอบความพากเพียร และให้ทำความพยายามอย่างนั้นตลอดชีวิตของพระ เวลาไปก็ไม่ได้สนใจกับอาหารการบริโภคจะได้ประณีตบรรจงหรือไม่อย่างไร ก็ไปตามกิจวัตร นี้เรียกว่าไปด้วยความเป็นธรรม ถ้าไปด้วยความคิดความรู้สึกโลเลในอาหารประเภทต่างๆ ชนิดต่างๆ นั้นเป็นเรื่องของโลกของกิเลสซึ่งมีความหิวโหยหาความอิ่มพอไม่ได้ ไปด้วยความกวัดแกว่งของจิต ไปด้วยความหิวโหยของจิต ไม่ใช่กิจวัตรของพระผู้จะฆ่ากิเลส มันเป็นเรื่องของกิเลสไปเสีย จึงไม่ควรให้เป็นเช่นนั้นตลอดไปในชีวิตของพระ จะกลายเป็นชีวิตสกปรกไม่สุจริตสะอาดตามจารีตประเพณีของการบิณฑบาตเป็นวัตร

การเดินไปบิณฑบาตจะมีกี่รูปกี่องค์ก็ตาม ต่างองค์ต่างรักษากิจวัตรของตนไปโดยลำดับ ไม่พูดไม่คุยเรื่องอะไรกับผู้ใดทั้งสิ้น ต่างรักษากิจจำเป็นของตัวโดยเฉพาะๆ ทั้งไปทั้งกลับ นี่คือหลักประเพณีของท่านบิณฑบาตท่านเป็นอย่างนั้น เรียกว่าบิณฑบาตเป็นวัตร

ในขณะที่ขบฉันหรือได้อาหารมาก็พึงพิจารณา ว่าอาหารสักแต่ว่าเครื่องเยียวยาธาตุขันธ์ให้เป็นไปเท่านั้น ไม่ได้คิดว่าประณีตเลวทรามประการใด เพราะนั้นเป็นเรื่องของกิเลสตำหนิธรรมและทำลายธรรมในใจ อาหารประเภทใดที่ไม่ขัดต่อหลักธรรมหลักวินัย และธาตุขันธ์โรคภัยไม่แสลงกันแล้วก็รับได้ทั้งนั้น พระเป็นผู้เลี้ยงง่าย สุภโรๆ ผู้เลี้ยงง่ายๆ อยู่ง่าย กินง่ายไม่กังวล ลูกศิษย์ตถาคตเป็นเช่นนั้น

เวลาจะฉันก็พิจารณา อาหารที่อยู่คนละแห่งละหนอยู่ตามถ้วยตามชาม อยู่ตามถาดตามจานเป็นอีกอย่างหนึ่ง เวลาตักเข้ามารวมกันในบาตรแล้วเป็นอีกอย่างหนึ่ง ในความรู้สึกต้องเปลี่ยนแปลงไป เพื่อจะตัดความโลภโลเลในอาหารอันเป็นเรื่องของกิเลสตัณหา จึงต้องให้พิจารณาความปฏิกูล อยู่ข้างนอกสีเป็นอีกอย่างหนึ่ง กลิ่นเป็นอีกอย่างหนึ่ง รสเป็นอีกอย่างหนึ่ง ตกเข้าไปในบาตรเป็นอีกอย่างหนึ่ง พอเข้าไปคลุกเคล้ากันกับอวัยวะซึ่งเป็นรังแห่งความปฏิกูลทั้งหลาย เริ่มแรกตั้งแต่ไปคลุกเคล้ากับน้ำลายซึ่งอยู่ในปากของเรานี้แหละ เพียงเท่านั้นก็เริ่มเป็นของปฏิกูลไปแล้ว นี่เป็นอีกอย่างหนึ่ง แล้วกลืนลงไปสู่ภายในอันเป็นกองแห่งปฏิกูลเต็มไปหมดในภายในนั้นด้วยแล้ว ไม่ว่ากลิ่นไม่ว่ารสชาติลักษณะอะไรต่างๆ กลายเป็นของปฏิกูลไปตามกันหมด นี่ก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง

ท่านให้พิจารณาโดยแยบคายก่อน ไม่บริโภคด้วยตัณหาความโลภในอาหาร เพื่อไม่ให้มีความโลภ ตัดความโลภความโลเลในอาหาร ขบฉันพอได้ยังชีวิตอัตภาพให้เป็นไปเท่านั้น เพราะอัตภาพนี้ไม่ต้องการของสดสวยงดงาม มันเป็นของปฏิกูลอยู่แล้ว เมื่อเข้าไปนั้นแล้วจึงต้องกลายเป็นของปฏิกูลไปตามๆ กัน จะเอาเพชรนิลจินดาให้ธาตุขันธ์นี้รับมันไม่ยอมรับ มันรับแต่ของปฏิกูลด้วยกัน อยู่ด้วยกันได้ ใจก็พิจารณาสิ่งเหล่านี้เพื่อถอนความยึดมั่นถือมั่นในอาหารและรสอาหารชนิดต่างๆ ตลอดอัตภาพร่างกาย ที่สำคัญว่าเป็นเราเป็นของเราออกได้ด้วยการพิจารณา เพราะความสำคัญเช่นนั้นเป็นการเห็นผิดไปตามกิเลสไม่ใช่ถูกต้องตามหลักธรรม

เมื่อพิจารณาแล้วก็ลงมือฉัน ฉันไปจะพิจารณาอาหารไปเรื่อยๆ ก็ได้ หรือจะทำงานอันใดที่เป็นอรรถเป็นธรรมซึ่งเคยปฏิบัติมาอยู่แล้วก็ได้ เช่น ภาวนา มีความรู้สึกจดจ่ออยู่ในบาตร ตาสำรวมอยู่ในบาตร ไม่ให้เถ่อให้มองที่โน่นที่นี่ เวลาขบฉันก็ไม่ให้เถ่อมองในลักษณะสติลอย จิตใจเลื่อนลอย ไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตาฉันด้วยความมีสติ ซึ่งเป็นเรื่องของธรรม ท่านจึงสอนให้ฉันด้วยความสำรวม ปตฺตสญฺญี ให้มีความสำรวมอยู่ในบาตร ในเสขิยวัตรท่านก็บอกแล้ว ปตฺตสญฺญี ปิณฺฑปาตํ แน่ะ ให้ทำความสำคัญอยู่ในบาตร อย่าไปสำคัญอย่างอื่น ฝึกหัดจนชำนิชำนาญ

นี่ก็รู้สึกว่าเป็นนิสัย ในขณะที่ฉันไม่ค่อยได้เถ่อมองโน้นมองนี้โดยความไม่มีสติ ตั้งแต่ได้เริ่มฝึกหัดปฏิบัติ ตาก็ดี จิตใจก็ดี ให้อยู่ในนั้น มันเลยกลายเป็นนิสัย ถ้าจะมองไปข้างนอกมองไม่ที่ไหนก็เป็นเรื่องความจงใจที่มองด้วยความมีเหตุมีผล ไม่ใช่มองด้วยความเผอเรอไปต่าง ๆ นานา หรือเหม่อลอยไปอย่างนั้น ไม่เป็น นี่เวลาฉันก็ให้มีสติ ไม่ว่าจะทำกิจใดงานใดนอกจากการขบฉันไปแล้ว ให้มีสติกับทุกสิ่งทุกอย่าง

งานของพระจึงเป็นงานที่ละเอียดมากผิดกับงานทางโลกอยู่ไม่น้อย ผู้ได้ก้าวเข้าสู่ธรรมะและได้บวชได้ปฏิบัติตามหลักศาสนธรรมของพระพุทธเจ้าแล้ว จะเห็นได้ว่างานที่เคยผ่านมาก็ดี ความคิดความอ่านทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยผ่านมาแล้วก็ดี ผิดกันกับงานของพระ ซึ่งทำด้วยความมีสติความละเอียดลอออยู่มาก นอกจากจะปล่อยให้กิเลสเข้ามาเหยียบย่ำทำลายความเคลื่อนไหวไปมาการกระทำของเราเสีย มันก็ไม่ผิดอะไรกับงานของโลกเขา และเลวยิ่งกว่างานของโลกเขาอีก เพราะตัวประธานคือเรานี้เป็นพระ ไปทำแบบโลกเขามันก็เลยโลกเขาไป เลวยิ่งกว่าโลกเขา

การอยู่ด้วยกันมีจำนวนมาก อย่าสนใจกับผู้หนึ่งผู้ใดในแง่ความไม่เป็นธรรม ความรู้สึกนึกคิดของแต่ละคน จริตนิสัยของแต่ละรูปละนามนั้นไม่เหมือนกัน ต้องพร้อมอยู่เสมอภายในใจและทำให้เป็นพื้นฐานของใจว่าให้อภัยกัน นี่คือความเป็นธรรมระหว่างที่อยู่ด้วยกัน อย่าได้ไปยกโทษยกกรณ์ว่าองค์นั้นเป็นอย่างนั้นองค์นี้เป็นอย่างนี้ ความคิดเช่นนั้นมันกวนตัวเองด้วย นอกจากนั้นก็ระบายออกไปสู่เพื่อนฝูงหรือผู้ที่ตนเห็นว่าไม่ดี แล้วทางโน้นก็เป็นความรู้สึกประเภทเดียวกันขึ้นมา กิเลสต่อกิเลสมันเผากันได้ง่ายๆ เมื่อมองกันด้วยแง่แห่งความเป็นธรรม คือมองในความให้อภัย มองด้วยความเมตตาสงสารหรือมองด้วยหลักความจริง ที่จะพิจารณาให้เป็นสติปัญญาของตนนั้นเป็นธรรม ถ้ามองไปในทางอื่นนอกจากนี้ไปแล้วก็เป็นการขาดทุน

แม้คนนั้นผิด องค์นั้นผิด เราผู้ที่คิดเพ่งเล็งไปว่าองค์นั้นผิด ด้วยความไม่สบายใจไม่สะดวกใจ ด้วยความรู้สึกไม่พอใจอย่างนี้ ก็กลายเป็นความผิดขึ้นมาในใจของเราเอง เพราะความไม่พอใจนั้นคือเรื่องของกิเลส สติปัญญาต้องตามต้อนทันที หากมีโอกาสเมื่อไรซึ่งจะแนะนำตักเตือนซึ่งกันและกันในสิ่งที่ตนเห็นว่าผิดนั้น เราก็ตักเตือนกันได้ด้วยความเมตตาสงสาร ด้วยความจงรักภักดีต่อกันจริงๆ ผู้นั้นซึ่งมาปฏิบัติเพื่ออรรถเพื่อธรรมด้วยกัน ก็ยอมรับกันด้วยเหตุด้วยผลจริง ๆ ย่อมเป็นมงคลทั้งสองฝ่าย อยู่ด้วยกันเท่าไรก็อยู่ได้ เตือนกันมากน้อยหรือหนักเบาเพียงไรก็เตือนได้ เพราะต่างองค์ต่างพร้อมแล้วเพื่อธรรม ไม่ได้พร้อมเพื่อกิเลส

องค์นั้นก็มีหัวใจ องค์นี้ก็มีหัวใจ เราเป็นหัวหน้าก็เห็นใจทุกรูปทุกนามว่ามีคุณค่าด้วยกัน จึงต้องรับไว้ มากบ้างน้อยบ้างก็ทนเอา ทีนี้เมื่อเราอยู่ร่วมกันแล้วก็ต้องมาก เพราะนั้นองค์หนึ่ง นี้องค์หนึ่ง บวกกันเข้าก็เป็นสองแล้ว แล้วนั้นองค์หนึ่ง นี้องค์หนึ่งเข้าก็เป็นสี่เป็นหกเป็นสิบ เป็นจำนวนดังที่อยู่ด้วยกันนี้ ต่างองค์ก็ต่างมุ่งมา จึงให้เห็นคุณค่าแห่งการมุ่งมาของตนแต่ละรายๆ แล้วปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยความสนใจ ด้วยความอุตส่าห์พยายาม ใช้ความอดความทนนั่นแหละ

จอมศาสดาคือจอมอดทน เพียรก็จอมศาสดา ไม่ว่าในแง่ใดพระพุทธเจ้าเป็นพระองค์แรกๆ เป็นผู้ออกหน้าออกตา โลกไม่มีใครเสมอ ธรรมประเภทนี้แลทำให้พระพุทธเจ้าได้เป็นศาสดาขึ้นมา ความอดทนก็ทนจริงๆ ความเพียรก็เพียรจริงๆ ความอุตส่าห์พยายามทุกแง่ทุกทางที่จะเป็นไปเพื่ออรรถเพื่อธรรม ที่จะยังพระองค์ให้มีความเจริญรุ่งเรืองจนถึงขั้นสำเร็จเต็มภูมิ พระองค์ทรงทุ่มเทลงทุกสิ่งทุกอย่าง อดก็อด ทนก็ทนอย่างถึงใจๆ นี่แหละศาสดาของพวกเราเป็นมาอย่างนี้

พวกเราอยู่ด้วยกันนี้เพียงไม่กี่องค์ ครั้งพุทธกาลอยู่ด้วยกันเป็นจำนวนร้อยๆ สี่ห้าร้อยท่านทำไมอยู่ด้วยกันได้ อยู่ด้วยกันด้วยความเป็นธรรม อยู่มากน้อยเพียงไรก็เป็นธรรมทั้งนั้น ดีทั้งนั้น เพราะนั้นก็ดีนี้ก็ดี ต่างอันต่างดี ต่างองค์ต่างดีบวกกันเข้าคละเคล้ากันเข้ามีแต่ของดี จะเสียไปที่ตรงไหน นอกจากมีสิ่งไม่ดีเข้าไปทำลายเสียเพียงรายหนึ่งเท่านั้นก็กระเทือนกันทั้งวัด อย่าว่าถึงสี่ห้าร้อยองค์เลย เพียงสององค์เท่านั้นก็ทะเลาะกันได้ถ้าใจไม่เป็นธรรม นี่หลักแห่งการอยู่ร่วมกันก็เป็นความจำเป็นอันหนึ่ง เห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน ให้อภัยซึ่งกันและกัน ไม่ถือสีถือสากัน เมตตาสงสารซึ่งกันและกัน มีปัจจัยไทยทานเกิดขึ้นก็เฉลี่ยเผื่อแผ่กันให้ทั่งถึง ตามหลักสาราณิยธรรมอันเป็นธรรมผูกรักและระลึกถึงกัน

ที่กล่าวทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่า ท่านทั้งหลายเกิดการทะเลาะเบาะแว้งกันขึ้นในวัดนี้ แต่กล่าวเพื่อความตักเตือนในการอยู่ร่วมกันซึ่งเคยมีเสมอ ไม่ว่าครั้งพุทธกาลไม่ว่าสมัยปัจจุบันมีได้ด้วยกันทั้งนั้น การที่จะปฏิบัติเพื่อความราบรื่นต่อกันจึงต้องได้รับการแนะนำตักเตือนสั่งสอน เฉพาะอย่างยิ่งผู้เป็นหัวหน้าไม่คิดเรื่องเหล่านี้ไม่ได้ ต้องคิดมันอดคิดไม่ได้เพราะแบกเพราะหามอยู่ทั้งวัดทั้งวาทุกรูปทุกนาม ด้วยความจงใจ ด้วยเจตนา รับมาแต่ละองค์ๆ รับด้วยเจตนาที่จะแนะนำสั่งสอนให้เต็มสติกำลังความสามารถของตนที่จะรับและสั่งสอนได้

ด้วยเหตุนี้จึงอดคิดไม่ได้ ไม่ว่าครูบาอาจารย์องค์ใดจำต้องคิด เพื่อความอยู่ร่วมกันเป็นความสงบสุข และเป็นสังฆโสภณาในสังฆมณฑล พระสงฆ์งามตาเย็นใจแก่กันและกัน ย่อมทำความเย็นตาเป็นสุขใจแก่บริษัทผู้คอยสนับสนุน เพราะประชาชนกับพระนั้นแยกกันไม่ออกแต่ไหนแต่ไรมา เขาย่อมมีความภาคภูมิใจ หัวใจพองขึ้นเพราะความเป็นสุขใจกับพระของเขาที่อยู่ด้วยกันเป็นผาสุก

การประกอบความพากเพียร แม้จิตจะยังไม่เป็นไปเพียงไรก็ไม่เกิดความเดือดร้อนวุ่นวาย เพราะความไม่ลงรอยและความร้าวรานซึ่งกันและกัน การอยู่กันด้วยความสงบสุข การประกอบความพากเพียรก็ราบรื่นดีงามสงบเย็นใจ ไม่ต้องไปเป็นอารมณ์กับเรื่องใดกับผู้ใดบรรดาที่อยู่ด้วยกัน ท่านจึงเรียกว่า ปุคฺคลสปฺปาย เพื่อนฝูงและบุคคลเป็นที่สบาย บุคคลก็คือเพื่อนฝูงนั่นแหละ บุคคลอยู่ภายนอกเขาจะมาเกี่ยวข้องอะไรกับเรา ก็พวกที่อยู่ด้วยกันนี่แหละที่เรียก ปุคฺคลสปฺปาย เพื่อนฝูงที่อยู่ร่วมกันเป็นที่สบาย ต่างองค์ก็ต่างมีอรรถมีธรรม ธรรมต่อธรรมเข้ากันได้สนิท ถ้าธรรมกับโลกหมายถึงตัวกิเลสแล้วเป็นข้าศึกกันทันที อย่าได้นำมาใช้ เวลานี้เรามาแก้กิเลสอาสวะประเภทต่างๆ ซึ่งเป็นข้าศึกต่อเราและเป็นข้าศึกต่อผู้ใดไม่มีสิ้นสุด จึงต้องระงับดับมันด้วยความพากเพียรและระมัดระวังเสมอ

การทำความเพียรไม่ได้หมายแต่เพียงว่าการเดินจงกรม การนั่งสมาธิภาวนา หมายถึงสติอยู่กับตัว ทุกข์ก็ให้มีสติ สุขก็ให้มีสติ กายใจได้รับสัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็งประการใดก็ให้มีสติ ให้ถือเป็นพื้นของจิตอยู่เสมอ นี่ละงานของพระ จึงเป็นงานที่ละเอียดลออและเป็นงานที่หนักอยู่มาก ซึ่งต้องใช้ความพินิจพิจารณา ใช้ความระมัดระวังบังคับบัญชาใจอยู่เสมอ งานของใจเป็นงานที่หนักอยู่ลึกๆ ซึ่งโลกมองไม่เห็น งานภายนอก เช่น หามไม้หามเสา แบกนั้นหามนี้ก็มองเห็นกันว่า สิ่งที่แบกที่หามมานั้นคาดกันได้ประมาณกันถูก ว่าหนักอย่างนั้น ๆ ผู้แบกผู้หามมาและผู้อื่นก็ทราบได้ว่าหนักเพราะสิ่งนั้น ๆ แต่งานภายในใจนี้มองไม่เห็น มันแบกอยู่ลึก ๆ ภายในใจ โลกจึงมองไม่เห็นและรู้ได้ยากถ้าไม่เคยผ่านมาบ้าง งานความเพียรนี้เป็นเช่นนั้น จึงต้องได้ใช้ความพินิจพิจารณาความพยายามอยู่เสมอ ผู้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นเจตนาให้ฝังลึก อย่าเป็นโยกๆ คลอนๆ ใช้ไม่ได้ ให้มีความจริงใจมีความหนักแน่นมั่นคงเป็นหลักใจอยู่เสมอ

เวลาทำภาวนาก็ให้มีแต่งานของการภาวนาเท่านั้น อย่าเสียดายความคิดความปรุงกับเรื่องใดทั้งสิ้น ไม่ว่าเป็นเรื่องอดีตอนาคต เรื่องบุคคลหญิงชาย เรื่องหน้าที่การงาน เรื่องได้เรื่องเสีย เรื่องมีเรื่องจน อย่านำเข้ามาเกี่ยวข้อง จะมาทำลายงานของเราที่กำลังทำอยู่นั้นให้ล้มเหลวไป ไม่ปรากฏผลเท่าที่ควรและไม่ปรากฏผลเป็นที่พอใจ จงถืองานที่ทำนั้นเป็นงานสำคัญ และถือว่ามีงานอันเดียวนี้เท่านั้นในขณะนี้ที่เกี่ยวข้องกับจิต คือความรู้สึกสัมผัสสัมพันธ์กันกับงานที่ทำไม่ขาดวรรคขาดตอน อย่างอื่นไม่คิดไม่ปรุงออกไปสัมผัสสัมพันธ์

ที่ว่าสิ่งนั้นเข้ามายุ่ง สิ่งนี้เข้ามายุ่ง เรื่องนั้นเข้ามายุ่ง เรื่องนี้เข้ามากวนนั้น มันเป็นคำพูดที่หาความจริงและหลักเกณฑ์ไม่ได้ พูดตำหนิภายนอกไปเสียมากกว่า ที่จะมาตำหนิตัวเหตุอันสำคัญซึ่งคิดปรุงอยู่ภายในใจ ตัวนี้แลเป็นผู้แย็บออกไปเรื่องนั้น ปรุงออกไปเรื่องนี้ เรื่องอดีตอนาคต เรื่องหญิงเรื่องชาย เรื่องหน้าที่การงาน หรือเรื่องราวใดๆ มีแต่ผู้นี้ปรุงออกไป ไม่ใช่สิ่งเหล่านั้นเข้ามาแทรกมาแซงเข้ามายุ่งกวนใจ ความจริงก็ใจนั่นแลเป็นตัวโจร ขโมยออกไปคิดออกไปปรุงออกไปเป็นเรื่องเป็นราวต่างๆ จิตที่กำลังทำงานอยู่นี้แลเล็ดลอดออกไปในขณะที่จิตเผลอไม่มีสติควบคุม แล้วปรุงภาพเรื่องนั้นเรื่องนี้ขึ้นมา จึงเป็นเหมือนกับเรื่องนั้นเข้ามายุ่งตัวเอง

ความจริงก็คือภาพของตัวเองที่ปรุงขึ้นจากใจนี้แลออกไปหลอกตัวเอง กวนตัวเอง ความปรุงนี้ไปเป็นภาพในสิ่งที่ตนเคยรู้เคยเห็นเคยได้ยินได้ฟังเคยสัมผัสสัมพันธ์มา แล้วก็ปรากฏเป็นภาพของเรื่องนั้นขึ้นมา จึงเป็นเหมือนว่าเรื่องนั้นเข้ามายุ่ง ความจริงเรื่องนั้นไม่ได้มากวน มันออกจากจิตที่ปรุงอยู่นี้แหละ จงเข้าใจกลของกิเลสจะไม่ถูกหลอกอยู่เรื่อยไปไม่มีวันรู้สึกตัว

เอาซิ ผู้ต้องการความหลุดพ้นจริงๆ จะไม่นอกเหนือจากความเพียรนี้ไปได้เลย จะต้องปรากฏเห็นผล อยัมภทันตา เพราะศาสนธรรมของพระพุทธเจ้าคงเส้นคงวาอยู่ตลอดเวลาอกาลิโก พระองค์จะปรินิพพานนานเพียงไรก็ตาม ขอให้ถือหลักความจริงเป็นที่ตั้งเป็นที่ยึดเป็นข้อปฏิบัติ เป็นที่ลงใจ ท่านสอนไว้ว่าอย่างไร ที่ว่า สวากขาตธรรม ก็คือองค์ศาสดาเป็นผู้ตรัสไว้ ตรัสไว้ชอบ นั่นฟังซิ มีที่ค้านตรงไหน ชอบต่อความจริง ชอบต่อความถูกต้อง ไม่ผิดพลาดคลาดเคลื่อนไหวไปไหน พระองค์จะปรินิพพานนานเท่าไรไม่สำคัญ หลักที่ประทานไว้เป็นเครื่องยืนยันก็คือธรรมและวินัยนั้นแล จะเป็นศาสดาของเธอทั้งหลายแทนตถาคต เมื่อตถาคตผ่านไปแล้ว

คำว่าเป็นศาสดาแทนพระองค์ก็คือ ศาสนธรรมนี้แลเป็นผู้ชี้บอกแนวทางเหมือนกับเราตถาคตชี้บอกอยู่เวลานี้ ทรงชี้บอกเรื่องอะไร เรื่องนั้นก็มีอยู่กับตัวของเรา เช่น ทุกฺขํ อริยสจฺจํ ทุกข์มีอยู่ภายในกายในใจของเรานี้ นี่เป็นปัจจุบัน เป็นความจริงอยู่กับตัวของเราอยู่แล้วบกพร่องไปที่ตรงไหน สมุทัย อริยสจฺจํ สมุทัยก็หมายถึงตัวกิเลส ได้แก่ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา เป็นต้น ก็อยู่ที่ใจของเรานี้ นิโรธ อริยสจฺจํ มคฺค อริยสจฺจํ ก็มีอยู่ที่กายที่ใจของเราทุกคนเวลานี้ ประหนึ่งทรงชี้พระหัตถ์บอกว่า นี่น่าๆ อยู่ที่กายที่ใจของเธอทั้งหลายนี่น่า สัจธรรมคือความจริงเป็นพื้นฐานรับรองไว้ที่ตรงนี้ และศาสนธรรมก็แสดงลงที่จุดนี้ เท่ากับว่าพระพุทธเจ้าแสดงชี้แจงบอกเราอยู่ต่อหน้าต่อตาเวลานี้ เพราะสิ่งเหล่านี้มีอยู่กับเรา ปรากฏอยู่กับเราทุกๆ รายไป

นิโรธ คือความดับทุกข์ดับที่ตรงไหน ทุกข์จะดับไปได้เพราะอะไร ทุกข์จะดับไปได้เพราะสมุทัยดับ สมุทัยคืออะไร คือกิเลสประเภทต่างๆ มี กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา เป็นต้น ดับสนิทลงไป นิโรธปรากฏขึ้นมาเต็มที่ ดับเพราะอะไรทำให้ดับ เพราะมรรคทำให้ดับ

มรรคคืออะไร ท่านกล่าวไว้พอประมาณก็คือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป สัมมาสติ และถ้าจะพูดไปให้สุดในองค์แปดก็ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว สัมมาวายาโม สัมมาสติ สัมมาสมาธิ นั่น มรรคก็อยู่ที่ใจ การกระทำก็อยู่ที่กายของเราจะเป็นผู้กระทำ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป หมายถึงปัญญาคือความฉลาดแหลมคม ใครจะเป็นคนที่ขุดค้นปัญญาขึ้นมาใช้ ก็ต้องขุดค้นขึ้นมาที่ใจ สัมมาวาจา ใครจะเป็นผู้พูด ก็ปากของเราเองเป็นผู้พูด นี่อยู่กับเราทั้งนั้น สัมมากัมมันโต ทำการงานชอบทำอย่างไร เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา เป็นหลักสำคัญแห่งงานชอบทั้งหลาย เราก็เอากายของเรานี้เดิน นั่งสมาธิก็เอากายของเรานั่ง ทำความเพียรภายในใจก็เอาใจของเราทำ คิดค้น สติปัญญาก็เอาใจของเราเป็นผู้คิดผู้ค้น นี่อยู่กับตัวของเรา สัมมาวายาโม สัมมาอาชีโว ก็อยู่ในนี้ทั้งนั้นเป็นผู้จะทำ ไม่ใช่ผู้อื่นผู้ใดสิ่งใดจะมาทำ สมบูรณ์อยู่ที่กายที่ใจที่วาจาของเราเอง จึงเป็นปัจจุบัน สิ่งที่กล่าวมาเหล่านี้เป็นปัจจุบันคือตัวของเราเป็นที่ตั้ง ไม่ได้เป็นอดีตไม่ได้เป็นอนาคต เป็นตัวของเราโดยตรงที่จะนำมาใช้ให้เหมาะสมกับสัจธรรมทั้งสี่

ตู้แห่งสัจธรรมทั้งสี่มีอยู่ที่กายที่ใจของเราอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าทรงแสดงลงที่นี่ ก็เหมือนกับพระพุทธเจ้าชี้บอกว่านี่น่าๆ อยู่อย่างนั้น ให้ใช้ความพิจารณาอย่างนี้ๆ ให้ใช้สติระมัดระวังตัวอย่างนี้ๆ ซึ่งมีอยู่กับเราทั้งนั้น ให้ใช้วาจาอย่างนี้ๆ จึงเรียกว่าเป็นวาจาที่ชอบ ให้เลี้ยงชีพอย่างนี้จึงเรียกว่าเลี้ยงชีพชอบ เช่น ปิณฺฑิยาโลปโภชนํ ให้บิณฑบาตมาฉันด้วยน้ำพักน้ำแรงด้วยกำลังปลีแข้งของตน อย่าขี้เกียจขี้คร้าน อย่าลืมตัวมั่วสุม เลี้ยงชีพชอบก็เอากายนี้แหละไป แต่จะไม่อธิบายถึงการเลี้ยงชีพชอบภายในจิต เพราะเป็นความเพียรที่จะให้โอชารสแก่จิตอยู่แล้วในมรรคแปดนี้

สัมมาวายาโม เพียรชอบ ก็เพียรอยู่ในที่สี่สถาน กาย เวทนา จิต ธรรม หรืออริยสัจสี่นี้ แน่ะ หรือเพียรอยู่ในสัมมัปปธานสี่ซึ่งเกี่ยวโยงกัน

สัมมาสติ ระลึกชอบ ระลึกอยู่ในกายในจิตนี้ ระลึกออกไปข้างนอกก็ไม่ให้หนีจากหลักสัจธรรม ระลึกเพื่อความเห็นโทษเห็นภัยเพื่อการถอดถอนกิเลส ไม่ว่าข้างนอกไม่ว่าข้างในเป็นธรรมทั้งนั้น ก็มีอยู่ที่นี่

สัมมาสมาธิ จิตมีความสงบโดยชอบธรรม ไม่เป็นสมาธิหัวตอ ซึ่งรวมลงแล้วเหมือนหัวตอ เหมือนคนนอนหลับ ไม่ปรากฏคุณค่าในขณะจิตรวมตัวสงบลง

นี่แหละท่านว่ามรรค อยู่ที่ไหนเวลานี้ หรือร่วงโรยไปตามพระสรีระของพระพุทธเจ้าแล้วเหรอ ก็พระพุทธเจ้ากับเรามันคนละคน ไม่ใช่คนเดียวกัน อริยสัจอันเดียวกัน จะร่วงโรยไปตามท่านอย่างไรกัน แยกให้ถูกซิ แยกอริยสัจ อริยสัจท่านอริยสัจเรา มันคนละอย่างคนละอริยสัจนี่ การปรินิพพานนั้นหมายถึงพระสรีระของพระพุทธเจ้าสลายจากส่วนผสมลงไปเท่านั้น หลักธรรมหลักวินัยที่เป็นทางเดินอันถูกต้องดีงามเพื่อถึงจุดมุ่งหมายปลายทางนั้น ประทานไว้แล้วที่กายที่จิตของเราทุกคนจะบกพร่องที่ตรงไหน พิจารณาให้ดี นี่เหมือนองค์ศาสดาประทานอยู่ตลอดเวลา เป็นคำพูดที่สดๆ ร้อนๆ เพราะเป็น สวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบ และตรัสลงที่กายที่ใจของเรานี้ แม้พระพุทธองค์จะมาประทานพระโอวาทเสียเอง ก็ไม่ประทานนอกเหนือไปจากหลักธรรมหลักวินัยที่ทรงประทานไว้แล้วนี้เลย จึงว่าเป็นศาสดาแทนองค์ตถาคต ท่านถึงได้รับสั่งอย่างนั้น

กาย ใจ ของเราเป็นปัจจุบัน อริยสัจคือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เป็นหลักแห่งสัจธรรมซึ่งมีกายมีใจเป็นที่อยู่เป็นที่ตั้งของสัจธรรม ประทานพระโอวาทก็ประทานลงที่นี่ ร่วงโรยไปไหน เวลานี้มีอยู่กับตัวของเราทุกคน นอกจากตายเสียเท่านั้นก็เรียกว่าสัจธรรมของเราร่วงโรยไปแล้ว ทำงานอะไรไม่ได้แล้ว นี่เราทำได้อยู่ พิจารณาลงไปที่ว่ามรรคมี สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป เป็นต้น สัมมาสมาธิ เป็นที่สุด รวมลงแล้วเรียกว่าเครื่องประหารปราบปรามกิเลสทุกประเภท ไม่นอกเหนือไปจากมรรคที่กล่าวนี้ไปได้เลย สดๆ ร้อนๆ อยู่มิใช่เหรอ ที่ไม่สดไม่ร้อนก็คือคนตายแล้ว อริยสัจก็ร่วงโรยไปด้วย ผู้ยังอยู่อริยสัจก็ยังสดๆ ร้อนๆ อยู่นั่นเอง รีบขุดค้นขึ้นมาทำประโยชน์ซินอนเฝ้ากันอยู่ทำไม

ปัญญาพินิจพิจารณาไตร่ตรองดูตามหลักความจริง อย่าฝืนความจริง การฝืนความจริงนั้นเป็นเรื่องสัญญาอารมณ์ ซึ่งเป็นเรื่องของกิเลสตัวหลอกลวงและลบล้างความจริงคือธรรมไม่ให้ปรากฏภายในตัว เอาแต่ความรุ่มร้อนขึ้นมาเผาใจเพราะความเสกสรรปั้นยอในสิ่งจอมปลอมทั้งหลาย และเอายาพิษเข้ามาเผาลนจิตใจอยู่ตลอดเวลา นั่นคือเรื่องของกิเลส เรื่องของธรรมต้องใช้ปัญญาพินิจพิจารณาให้เห็นตามหลักความจริง แม้สกลกายนี้ก็เปิดเผยอยู่ด้วยความจริงของมันทำไมจะไม่เห็น

ดูลงไปซิตั้งแต่ศีรษะจนถึงพื้นเท้า มีตรงไหนสะอาดสะอ้าน มีตรงไหนน่ารักใคร่ชอบใจ มีตรงไหนเป็นสิ่งประเสริฐอัศจรรย์ มันเต็มไปด้วยเนื้อด้วยหนัง ด้วยของปฏิกูลโสโครกทั้งภายนอกทั้งภายใน มันคือป่าช้าผีดิบอยู่ดีๆ นี้แล มันวิเศษที่ตรงไหน มันน่ารักใคร่ชอบใจน่ากำหนัดยินดีที่ตรงไหน ดูลงไปด้วยปัญญาให้เห็นตามความจริงที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ เรื่องที่น่ารักน่าชังเป็นของสดสวยงดงามซึ่งเป็นความจอมปลอมนั้น มันจะพังทลายลงไป เพราะอำนาจของปัญญาที่หยั่งทราบความจริงตลอดทั่วถึงแล้วโดยไม่ต้องสงสัย

นี่แลสถานที่พิจารณา พิจารณาที่ตรงนี้ ให้เห็นที่ตรงนี้ตามหลักธรรมที่สอนลงที่จุดนี้ พระพุทธเจ้าจึงเหมือนไม่ได้ปรินิพพาน เมื่อรู้ความจริงเต็มส่วนแล้ว องค์ศาสดาที่แท้จริงจะคืออะไร หรือองค์ผู้รู้ที่แท้จริง ธรรมชาติบริสุทธิ์อันแท้จริงจะคืออะไร ถ้าไม่ใช่คือจิตดวงที่กำลังเป็นนักโทษอยู่เวลานี้ เมื่อได้ถูกถอดถอนปราบปรามสิ่งที่ปกคลุมหุ้มห่อหรือสิ่งที่บังคับบัญชากดขี่อยู่ภายในใจนี้ออกหมดแล้ว เราจะถามหาพุทธะที่ไหนอีก พุทธะนั้นเป็นฉันใด พุทธะนี้จะแปลกปลอมไปไหน นี่ละที่ว่าตรงกันๆ เป็นปัจจุบันอยู่ตลอดเวลา อยู่ภายในใจนี้ จึงให้พิจารณาที่ตรงนี้ อย่าหนีจากหลักความจริง คือจิตคือธรรมนี้

กิเลสเคยฉุดเคยลากมากี่ภพกี่ชาติแล้วยังไม่เข็ดไม่หลาบอยู่เหรอ ธรรมเป็นเครื่องฉุดเครื่องลากให้พ้นจากหล่มลึกทำไมจึงไม่สนใจ ยิ่งกว่าการสนใจกิเลสเครื่องหลอกลวงจอมปลอม และฉุดลากไปกี่ภพกี่ชาติกี่กัปกี่กัลป์ ซึ่งเต็มไปด้วยความหาบหามทุกข์ไปด้วยกันทั้งนั้น ทำไมจึงไม่เข็ดไม่หลาบ สติปัญญามีเท่าไรทุ่มลงไปซิ ไม่เชื่อพระพุทธเจ้าจะเชื่อใคร เชื่อกิเลสก็เชื่อมานานแล้วได้ผลได้ประโยชน์อะไรบ้าง ต้องเอามาเทียบเคียงชั่งความหนักเบาลึกตื้นหยาบละเอียด ความจริงความปลอมของกันและกัน คุณและโทษเป็นยังไง เอามาเทียบให้เห็นประจักษ์ใจ เพราะเป็นของมีอยู่ด้วยกันทั้งของจริงทั้งของปลอม จะมีทางออกได้ไม่จมปลักอยู่ร่ำไป

ปัญญามีพิจารณาลงไป สอดส่องลงไป ให้ท่องเที่ยวอยู่ทั้งข้างบนข้างล่าง ทั้งข้างในข้างนอกในสกลกาย ท่านเรียกว่ากรรมฐาน ฐานแปลว่าที่ตั้ง กรรมแปลว่าการกระทำ รวมกันเข้าเรียกว่าที่ตั้งแห่งงานซึ่งเป็นความชอบธรรม ที่ตั้งแห่งงานนี้เป็นงานที่จะถอดถอนกองทุกข์ทั้งมวลออกจากใจ และเป็นงานที่จะถอนใจออกจากหล่มลึกให้พ้นไปเสียได้เพราะงานนี้ ท่านจึงเรียกว่ากรรมฐานๆ ดังที่ท่านว่ากรรมฐาน ๕ คือ สอนย่อๆ ให้พอเหมาะสมกับกุลบุตรที่บวชในเวลาเช่นนั้นซึ่งไม่มีเวลามากมายนัก ท่านสอน เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ไปถึงหนังแล้วก็หุ้มห่อไปหมด หนังเป็นประโยคใหญ่โตมาก โลกทั้งโลกหลงกันเพราะหนังเท่านั้นเป็นสำคัญ ถ้าถลกหนังออกหมดแล้วจะหลงกันที่ตรงไหน รักที่ตรงไหน สวยงามที่ตรงไหน หนังนั้นแหละเป็นเครื่องหลอกประดับหน้าร้าน ข้างในมีอะไร มูลสดมูลแห้งเต็มไปหมด ดูให้ชัดเจนดูให้ทั่วถึง ดูให้ลึกซึ้งจะเห็นความจริงเป็นลำดับลำดา

จิตนี้แม้จะถูกกิเลสตีตะปูไว้อย่างเหนียวแน่นก็ตามเถอะ เมื่อปัญญาได้สอดแทรกเข้าไปตรงไหนแล้วจะดีดผึงๆ ขึ้นมาโดยไม่ต้องสงสัย ดีดขึ้นมาจนหลุดลอยไปไม่มีเหลือ นี่ละงานของพระ งานนี้เป็นงานสำคัญมาก เพราะงานถอนตะปูที่ถูกกิเลสตีติดแน่นไว้ที่จิต ใส่ของจอมปลอมให้ติดแนบเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันไว้ อะไรก็ว่าเป็นเรา อะไรก็ว่าเป็นของเรา มันจะพังทลายอยู่ก็ว่าเป็นเราเป็นของเรา เหม็นคลุ้งหมดทั้งตัวก็ว่าเป็นเราเป็นของเรา ยังจะจมอยู่กับป่าช้ากิเลสที่ขุดหลุมพรางไว้ฝังผู้ยึดมั่นสำคัญว่า นั่นเป็นเรานั่นเป็นของเราอยู่เหรอ ของจริงมีอยู่ทำไมไม่ยึด ของจริงมีอยู่ทำไมไม่ค้นหา ของปลอมไปเชื่อไปติดมันหาสาระอะไร เมื่อไรจะตื่นพวกเราน่ะ ลงธรรมปลุกยังไม่ยอมตื่นอยู่แล้วจะเอาอะไรมาปลุก กิเลสทั้งมวลล้วนแต่กล่อมให้หลับสนิทติดจมทั้งนั้นนะจะว่าไม่บอกว่าธรรมไม่ปลุก

พิจารณาคุ้ยเขี่ยขุดค้นหลายครั้งหลายหนหลายตลบทบทวน และบังคับบัญชาจิตพิจารณาลงที่นี่ สิ่งอื่นเรื่องอื่นเรื่องใดเคยคิดเคยอ่านเคยปรุงเคยแต่งมาเสียมากต่อมากแล้ว และก็หาบกองทุกข์เข้ามาเผาหัวใจให้ใจแบกหามทุกข์และมหันตทุกข์มามากต่อมากแล้วควรจะยุติ ควรจะบังคับจิตให้งดงานนั้นแล้วหันเข้าสู่งานนี้ พิจารณาหลายครั้งหลายหนจนงานนี้เด่นขึ้นมาตามหลักความจริง งานเหล่านั้นจะค่อยล้มเหลวไป ค่อยจางไปๆ โดยลำดับ สุดท้ายจิตก็หมุนติ้วเข้าสู่ความจริง จะเรียกว่าได้การก็ได้ พอเห็นร่องรอยละที่นี่จิตใจเริ่มสว่างไสว สิ่งที่บีบบังคับอยู่ก็จะคลี่คลายตัวออกไปๆ เพราะอำนาจของสติปัญญาหยั่งทราบ ถอดถอนขึ้นมาๆ ที่สุดก็รู้เท่าทันอย่างละเอียดทั่วถึง อุปาทานความยึดมั่นถือมั่น ซึ่งเป็นเหมือนตะปูตีจิตติดกับสิ่งจอมปลอมทั้งหลายไว้ก็ถอนผึงขึ้นมาไม่ต้องสงสัย แล้วทำไมจะไม่เบา เหมือนเราแบกทัพสัมภาระที่หนักอยู่บนบ่าแทบหลังจะหักบ่าจะฉีก พอทิ้งภาระตูมลงไปแล้วทำไมตัวจะไม่เบา จะไม่ดีดไม่ลอยขึ้นมา จะไม่สบายเล่า ต้องสบาย และแสนสบายตามลำดับที่ถอดถอนได้

การพิจารณาก็เพื่อถอดถอนสิ่งที่ฝังจมอยู่ภายในจิตออกนั้นเอง ไม่ใช่เพื่อความล่มจมฉิบหาย เพราะธรรมไม่เคยพาคนให้ล่มจมฉิบหาย กิเลสต่างหากพาสัตว์โลกให้ล่มจมฉิบหาย ทำไมจะไม่มีแก่ใจถอดถอนมันเล่า เอาให้จริงนักปฏิบัติ ถ้าอยากเห็นคุณค่าของธรรมกับโทษของกิเลสประจักษ์ใจ ลงได้พิจารณาอย่างที่ว่าจริงๆ แล้ว การเห็นคุณค่าของธรรมมากเท่าไร ก็ยิ่งเห็นโทษแห่งความจอมปลอมของกิเลสมากเท่าเทียมกัน สุดท้ายความเห็นโทษก็ถึงใจ ความเห็นคุณแห่งธรรมก็ถึงใจ นั่นเป็นเครื่องเสริมกำลังใจ ซึ่งเนื่องมาจากความเห็นโทษและความเห็นคุณเป็นพลังอย่างยิ่ง และพุ่งเลยเทียว

ความพากเพียรจะไม่มีกลางวันกลางคืน เพราะความเห็นโทษอย่างถึงใจ ความเห็นคุณอย่างถึงใจเป็นพลังเครื่องเสริมจิต ความเพียรหมุนตัวไปเอง สติปัญญาที่เคยนอนจมอยู่เหมือนหมูแต่ก่อนๆ ก็ดีดขึ้นมา ทุกสิ่งทุกอย่างคล่องตัวไปตามกัน ความพากเพียรหมุนไปตามสติปัญญา หมุนไปตามความมุ่งมั่น หมุนไปตามความเห็นโทษเห็นคุณอย่างถึงใจและก้าวไปไม่หยุดยั้ง ใจนับวันเพลิดเพลินในความเพียร

เพลินทางธรรมผิดกับเพลินทางโลก เพลินทางธรรมเพลินไปด้วยความเบาบาง ความสว่างไสว ความสุขความสบาย เพลินเรื่องของกิเลสเพลินเท่าไรยิ่งทำให้จมลงไปๆ ผิดกันมาก คำว่าจมลงไปเป็นยังไง ก็ทุกข์บีบบังคับน่ะซิ เราเคยเป็นมาแล้ว สิ่งเหล่านี้เราเคยสัมผัสสัมพันธ์ เราเคยรู้เคยเห็นเคยเป็นมาแล้ว แต่เรื่องของธรรมเรายังไม่เคยรู้เคยเห็นยังไม่เคยเป็น ดังนั้นจงยึดศาสดาองค์เอกที่ทรงรู้ทรงเห็นทรงเป็นมาแล้ว ทรงปล่อยวางมาหมดแล้ว เป็นเกาะยึดของใจอย่าลดละปล่อยวาง

ถ้าพูดถึงรสท่านก็กล่าวไว้แล้วในธรรม รสแห่งธรรมชนะซึ่งรสทั้งปวง นั่นฟังซิ พระพุทธเจ้าทำไมจะไม่เคยสัมผัสสัมพันธ์รสของโลก เกิดมากี่กัปกี่กัลป์เช่นเดียวกับเรานี้ทำไมจะไม่เคย เหตุใดจึงสลัดปัดทิ้งรสเหล่านั้นไปเสียโดยสิ้นเชิง ถ้าไม่เหนือกว่าจะปล่อยกันได้ยังไง รสแห่งธรรมไม่เหนือกว่ารสกิเลสจะปล่อยกิเลสได้อย่างไร รสแห่งธรรมต้องเหนือรสของกิเลสจึงปล่อยรสของกิเลสได้ นอกจากการปล่อยแล้ว ยังปล่อยด้วยความเห็นโทษในรสของโลกามิสอีกด้วย นี่แลศาสดาองค์เอก ได้รู้ได้เห็นทั้งโทษทั้งคุณทุกสิ่งทุกอย่างอย่างถึงใจแล้ว จึงนำธรรมมาสั่งสอนโลก

เราเป็นลูกศิษย์มีครู สิ่งเหล่านั้นเราก็ผ่านมาแล้ว ส่วนธรรมยังไม่เคยสัมผัส การถือ พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ นั้นจงยึดเป็นหลักพึ่งเป็นพึ่งตาย ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ ล้วนแต่เป็นธรรมชาติที่ประเสริฐเลิศโลก จงยึดเป็นหลักใจและเป็นเครื่องดำเนิน เป็นเครื่องฝากเป็นฝากตายในทางความเพียรอย่าลดละปล่อยวาง ให้ได้เห็นธรรมของจริงดังที่ศาสดาสอนไว้ประจักษ์ใจ ธรรมนี้เป็นธรรมที่ท้าทายทั้งเหตุทั้งผล ไม่มีอะไรบกพร่อง สนฺทิฏฺฐิโก เป็นเครื่องตัดสิน จะรู้เองเห็นเองเมื่อปฏิบัติตามหลักธรรมโดยถูกต้องไม่เป็นอื่น เพราะธรรมไม่เคยเป็นอื่นมาแต่กาลไหนๆ อยู่แล้ว

อย่าทำใจให้จืดๆ จางๆ ว่างๆ เปล่าๆ จากคุณค่าสารธรรมทั้งหลาย แต่ให้ใจมีรสมีชาติกับคุณค่าแห่งธรรมประจำใจอยู่เสมอ อย่ามัวแต่คอยฟังกิเลสมันกระซิบกระซาบอยู่นั่นไม่ตื่นตัว เดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนาในอิริยาบถใดท่าใด ก็ไม่พ้นถูกกล่อมถูกกระซิบกระซาบจากกิเลสจนได้ ปกติกิเลสจะแทรกอยู่ตลอดเวลาแต่เราไม่ทราบ เพราะสติปัญญายังไม่ทันมัน ต่อเมื่อสติปัญญาทันแล้วถึงจะทราบได้ชัดโดยลำดับ ในการแทรกการแซงของกิเลส จนกระทั่งกิเลสพังทลายไปหมดเพราะอำนาจของสติปัญญาแล้ว นั้นแลเราจะรู้ได้ชัดที่ว่าจิตเป็นจิตนิรโทษแล้ว มี สนฺทิฏฺฐิโก เต็มภูมิ หรือ ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิญฺญูหิ เต็มภูมิ ไม่มีอะไรมาเกาะมาเกี่ยวมายุ่งมากวนภายในใจ

แต่ก่อนอยู่ใต้กฎใต้ข้อบังคับอำนาจของกิเลสถ่ายเดียว หาเวลาจะดีดตัวโผล่หน้าขึ้นมาสักนิดหนึ่งก็ไม่ได้ ถูกมันตีจมลงไปๆ อย่างนี้กี่กัปกี่กัลป์มานับไม่ได้ ทีนี้ได้พ้นจากกิเลสโดยสิ้นเชิงแล้วเป็นยังไง อะไรจะมากวนใจอีกมีไหม ไม่มี อิริยาบถทั้งสี่ก็อยู่ด้วยธาตุด้วยขันธ์ ด้วยความรับผิดชอบตามสัญชาตญาณเท่านั้น ไม่มีอะไรจะมายุ่งมากวนจิตใจให้ได้รับความเดือดร้อนขุ่นมัวเหมือนแต่ก่อนอีกเลย เพราะกิเลสจอมยุ่งสิ้นซากไปแล้ว เป็น อกุปปธรรม ล้วนๆ คือไม่กำเริบแล้ว ไม่มีอะไรที่จะมาทำให้กำเริบ เพราะกิเลสตายสนิทแล้ว จิตก็ทรงธรรมชาติวิมุตติธรรมเต็มภูมิหาอะไรเทียบไม่ได้ นอกจาก ปรมํ สุขํ เท่านั้นเข้ากับธรรมนี้ได้อย่างสนิท

การครองธาตุขันธ์ก็ครองไป มีอะไรก็อยู่ไป กินไป หลับไป นอนไป เปลี่ยนไปตามสภาพรับผิดชอบกันไปอย่างนั้น ขันธ์นี้ก็เป็นเพียง ภารา หเว ปญฺจกฺขนธา ส่วนย่อยเท่านั้น ด้วยความรับผิดชอบ เพราะไม่ใช่ ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา ด้วยการยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ดังเมื่ออุปาทานขันธ์ยังอยู่ เป็นเพียงความรับผิดชอบต่อกันไปพอถึงกาลของขันธ์เท่านั้น เมื่อถึงกาลที่ควรปล่อยแล้ว ขันธ์ทนไม่ไหวก็เช่นเดียวกับรถ ซ่อมนั้นซ่อมนี้ ซ่อมตรงนั้นซ่อมตรงนี้ ซ่อมจนหาที่ซ่อมไม่ได้ มีแต่จะพังๆ ก็ปล่อยเสีย หรือโยนลงคลองไปเสีย การปล่อยวางความรับผิดชอบในขันธ์ก็ทำนองเดียวกันเมื่อถึงวาระแล้ว

การซ่อมขันธ์ ซ่อมตรงนั้นซ่อมตรงนี้ เยียวยาด้วยการอยู่การกินการหลับการนอนการเปลี่ยนอิริยาบถ สุดท้ายไปไม่รอดก็ปล่อยเสีย ทีนี้ อนาลโย ถอนความรับผิดชอบ ไม่ต้องมีอะไรมาเกี่ยวข้องมารับผิดชอบกันอีกแล้ว นั่นท่านว่า อนุปาทิเสสนิพพาน หมดสมมุติโดยประการทั้งปวง ในขณะที่บรรลุธรรมหรือตรัสรู้ธรรมซึ่งยังมีขันธ์อยู่ ขันธสมมุติยังมีการเกี่ยวข้อง ยังมีความรับผิดชอบซึ่งกันและกันอยู่ เรียกว่า สอุปาทิเสสนิพพาน จิตถึงนิพพานแล้วแต่ยังมีสมมุติเจือปนอยู่คือขันธ์ อนุปาทิเสสนิพพาน ปล่อยวางโดยประการทั้งปวงแล้ว หมดความรับผิดชอบ ขันธ์สลายลงไปตามสภาพของมัน ธรรมชาติที่บริสุทธิ์ก็เป็น อนาลโย หมดความรับผิดชอบ ถ้าจะว่าเป็นห่วงก็ไม่ถูก ท่านห่วงอะไร หมดความรับผิดชอบนั้นสนิทดี

นี่แลผลของการปฏิบัติด้วยความยุ่งยากวุ่นวาย ด้วยความหนักหน่วงถ่วงใจ ด้วยความพากเพียรทั้งหลาย ด้วยการต่อสู้กับกิเลสซึ่งเป็นตัวเหนียวแน่นแก่นฉลาดแหลมคมมาก ย่อมได้รับผลเป็นที่พึงใจไม่มีอะไรเสมอเหมือน ดังนั้นจงใช้ความพินิจพิจารณา ความพยายามให้มาก วันหนึ่งๆ อย่าให้เวล่ำเวลาเสียไปเพราะกิจการงานใดๆ นอกจากเสียเวล่ำเวลาไปกับการประกอบความเพียรเพื่อถอดถอนกิเลสเท่านั้น เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับผู้จะสลัดปัดทิ้งทุกข์ทั้งหลายออกจากใจโดยสิ้นเชิงทั้งๆ ที่มีชีวิตอยู่นี้

พระพุทธเจ้าเป็นศาสดาปลอมเมื่อไร องค์เอก จริงเต็มที่ เลิศเต็มภูมิก็คือศาสดา ธรรมะที่ตรัสไว้ชอบก็ชอบยิ่งจนกระทั่งถึงวิมุตติหลุดพ้น ทรงชี้บอกโดยตลอดทั่วถึงไม่มีอะไรสงสัย ไม่มีบกพร่องตรงไหน สัจธรรมทั้งสี่ก็มีในกายในใจของเรา นอกจากบกพร่องทางมรรคสัจ คือ สติ ปัญญา ศรัทธา ความเพียรของเรายังอ่อน จงผลิตขึ้นให้มีกำลังเต็มที่เพราะเป็นสิ่งที่จะเต็มได้ เมื่อสติปัญญามีกำลัง นิโรธคือความดับกิเลสกับกองทุกข์ซึ่งเกี่ยวโยงกัน ก็จะดับไปโดยลำดับของมรรคสัจที่มีกำลัง จนถึงวาระสุดท้ายถอดพรวดขึ้นหมด อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ไม่มีอะไรเหลือภายในใจเลย นั่นแหละ นิโรธะ หรือว่า นิโรธ ความดับสนิทแห่งทุกข์ ดับเต็มที่ตอนนั้น มรรคที่ทำหน้าที่ถอดถอนกิเลส ซึ่งหมุนตัวเป็นธรรมจักรก็หมดปัญหาภาระไปเอง

คำว่า มหาสติมหาปัญญานี้ จะพูดได้เต็มปากก็เฉพาะเวลาประกอบความเพียรต่อสู้กับกิเลสประเภทละเอียดสุด จนถึงขั้นกิเลสบรรลัยไปโดยสิ้นเชิงแล้วเท่านั้น พอผ่านจากนั้นไปแล้ว มหาสติมหาปัญญาก็ผ่านไปโดยหลักธรรมชาติ เพราะเป็นสมมุติด้วยกัน เป็นความจริงในวงสมมุติด้วยกัน สติปัญญาก็เป็นสมมุติ แต่เป็นสมมุติฝ่ายแก้ฝ่ายถอดถอน เวลาจะใช้ก็นำมาใช้ตามกิจตามกาลที่ควร ก็นำมาใช้ตามหน้าที่การงาน แต่ไม่ได้ใช้เพื่อแก้กิเลสตัณหาอาสวะแต่ประการใด เพราะฉะนั้นคำว่า มหาสติ มหาปัญญา จึงหมดหน้าที่ไปในเวลาที่กิเลสสิ้นสุดลง ทีนี้จะว่ามีสติหรือไม่มีสติท่านไม่สำคัญ ท่านไม่นิยมในใจ ขาดสติก็คือสมมุติ มีสติก็คือสมมุติ ท่านไม่ได้อยู่ในความมีสติ ในความขาดสติ ถ้าว่าอยู่ท่านก็อยู่กับความบริสุทธิ์ล้วนๆ ซึ่งไม่ใช่สมมุติเท่านั้น

ธรรมที่กล่าวมานี้ เราทำไม่ได้ใครจะทำได้ พระเรานี่เต็มภูมิแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมมูลแล้ว ถ้าไม่งอมืองอเท้าอยู่เฉยๆ ผู้ทรงมรรคทรงผลจะเป็นใครถ้าไม่ใช่นักบวชและนักปฏิบัตินี้ ใครจะออกหน้าออกตาในการปฏิบัติธรรมและการทรงมรรคทรงผล พระเราเท่านั้นเป็นแนวหน้าอย่างเปิดเผย นอกนั้นส่วนมากก็เดินตามหลัง แต่วาสนาเรายอมรับ ไม่ว่าจะเป็นฆราวาส ไม่ว่าจะเป็นพระ เป็นผู้จะทรงมรรคทรงผลได้ด้วยกัน แต่เพศนี้เป็นเพศที่ออกหน้าออกตา เป็นเพศที่เด่นชัดในการเข้าสู่สงคราม เพื่อปราบกิเลสให้แหลกแตกกระจายไปจากจิตใจได้ยิ่งกว่าเพศใดๆ จึงขอให้ทุกๆ ท่านตั้งอกตั้งใจปฏิบัติ พินิจพิจารณาธรรมทั้งหลายเต็มสติกำลังความสามารถของตน

อย่าได้เสียดายอะไร มันมีแต่เรื่องเกิดเรื่องตาย เรื่องสมมุตินิยมครอบอยู่บนหัวใจ เพราะกิเลสไปกว้านเอามา ไม่มีอะไรจะวิเศษยิ่งกว่าที่รู้ๆ เห็นๆ ที่สัมผัสสัมพันธ์กันอยู่ทุกเวลานี่เลย ทุกสิ่งทุกอย่าง ดิน น้ำ ลม ไฟ ฟ้าอากาศ สิ่งนั้นเป็นนั้น สิ่งนี้เป็นนี้ มันเป็นเรื่องของกิเลสทั้งนั้นไปเที่ยวเสกสรรปั้นยอขึ้นมา แล้วหลอกเราให้ยึดมั่นถือมั่นสำคัญผิดไปตามเท่านั้น ความโลภก็มากขึ้นมาๆ จนทับหัวใจกระดิกไม่ได้ ความโกรธก็มาด้วยกัน ความหลงเป็นพื้นเพาะหรือผลิตกิเลสทั้งหลายอยู่ภายในเราเสียดายอะไร ดินก็เหยียบอยู่แล้ว ตัวของเรานี้ก็คือธาตุดิน เสียดายอะไร น้ำ ลม ไฟ เสียดายอะไร มันมีเต็มไปด้วยธาตุต่างๆ ทั้งนั้น เหล่านี้วิเศษอะไร ถ้าวิเศษโลกนี้เกิดมากับสิ่งเหล่านี้ อยู่กับสิ่งเหล่านี้ มันวิเศษไปด้วยกันหมดแล้ว แม้แต่สัตว์เดรัจฉานไม่ว่าในน้ำบนบก ต้องวิเศษไปด้วยกันทั้งนั้น เพราะมีธาตุเหล่านี้ประจำตัวของเขาอยู่แล้ว และเขาก็อยู่กับสิ่งเหล่านี้ ก็วิเศษด้วยกันหมดนั่นแล

อะไรที่วิเศษที่เหนือจากนี้ คือ ธมฺโม ปทีโป ความสว่างแห่งธรรม ธรรมดวงสว่างไสวก็คือจิตดวงนี้แหละ กลั่นกรองให้บริสุทธิ์หมดจดแล้ว ธรรมชาตินี้แล ท่านว่า โลกุตระ ๆ หมายถึงอะไรถ้าไม่หมายถึงจิตที่เหนือสมมุติทั้งปวงแล้ว อันนี้ละวิเศษ อันนี้เลิศ ไม่ใช่กิเลสราคะตัณหาทั้งปวงเลิศ จงฟังให้ถึงใจ

เอ๊า. เอาให้ได้สมบัติอันมหาศาล กินไม่มีวันหมดวันสิ้นเป็น อกาลิโก อกาลิกจิต อกาลิกธรรม มาครองใจ ขอให้ทุกท่านตั้งอกตั้งใจปฏิบัติและใช้ความพินิจพิจารณางานของพระทุกกรณีในความรับผิดชอบถอดถอน อย่าอืดอาดเนือยนายให้เห็นนะ เมื่อมีสิ่งเกี่ยวข้องอะไรกับศาลา มีธุระหน้าที่อะไรให้ทำกัน แล้วให้รีบไปประกอบความพากเพียร แม้มาประกอบการงานอันเป็นกิจวัตรอยู่ตามสถานที่ต่างๆ ก็อย่าให้เผลอสติ ให้มีท่าแห่งนักรบอยู่เสมอ อย่าเป็นท่านอนแผ่สองสลึงให้กิเลสเหยียบเอาๆ ดูไม่ได้เลยนักปฏิบัติเรา

เอาละขอยุติเพียงเท่านี้

พูดท้ายเทศน์

ท่านอาจารย์…..ด้านอบรมประชาชนพระเณร ท่านปล่อยวางหมดทุกอย่างแล้วเวลานี้ ผู้ที่จะเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรก็ร่อยหรอไปค่อยหมดไปๆ จะทำยังไง ต้นโพธิ์ที่ปลูกใหม่ก็ไม่ขึ้น ถูกตัวแมลงเอาไปกินหมด กัดหู กัดตา กัดจมูก กัดลิ้น กัดกาย กัดใจเข้าไปทุกวันๆ มันเจริญได้ยังไง นอกจากกุดด้วนลงโดยลำดับ นับวันจะจมไปเรื่อยๆ จนไม่มีอะไรให้จม ดูการปฏิบัติ ความสนใจ ตลอดสติปัญญาก็พอทราบได้ถึงผลได้เสีย ความเจริญ ความเสื่อม

พวกเรามาอยู่กันมากๆ เข้าจะอืดอาดนะ ดูมันขวางตาอยู่นะ ผมทนเอาเฉยๆ นะนี่ ไม่อยากรับพระมากก็เพราะเหตุนี้เอง มันจะไม่ผิดกับที่คิดไว้นะ ดูอืดอาดเวลามากันมากต่อมากยั้วเยี้ยๆ ไม่ได้เรื่อง งานนอกอย่าเอามายุ่งและถือเป็นสำคัญยิ่งกว่างานภายในคืองานภาวนาฆ่ากิเลสนะ เราไม่เห็นงานใดเป็นสำคัญยิ่งกว่างานภาวนาฆ่ากิเลสสำหรับวัดนี้ แม้ทำงานภายนอกที่เห็นว่าจำเป็นก็ทำชั่วระยะกาลแล้วให้หยุด เพื่อประกอบงานภาวนา เราเห็นคุณค่าของงานนี้มากกว่างานใดๆ สำหรับพระกรรมฐานเรา เป็นงานไม่กระทบกระเทือนใคร นอกจากกระเทือนหัวกิเลสตัวเป็นภัยต่อเราอย่างเดียว งานนี้เป็นงานเลิศ ผลก็เลิศ งานนี้ไม่มีใครมาแย่งชิงแซงหน้าแซงหลัง สนุกทำถ้าไม่ขี้เกียจ

นี่เราเคยทำมาแล้ว เวลาออกปฏิบัติเพื่อเอาจริงเอาจังหลังจากหยุดเรียนแล้วไม่ยุ่งกับงานอะไรเลย มีแต่การภาวนาอย่างเดียว เดชะนะผมไม่มีงานอะไรภายนอกมายุ่ง ยุ่งผมก็ไม่ยุ่งด้วยนี่ เพราะงานนี้มันหนักมันหนา ต้องฟัดกันทั้งวันทั้งคืน ยิ่งเวลาจิตเดินทางปัญญาด้วยแล้ว โอ้โฮ ใครจะมายุ่งกับผมได้เหรอ แม้แต่เรานั่งอยู่บนกุฏิ เช่น เวลาอยู่วัดหนองผือ พอได้ยินเสียงบันไดก๊อกแก๊ก ใครมานั่น ว่างั้นเลย พอว่าองค์นั้นองค์นี้มาเท่านั้น ไม่ต้อง ไม่จำเป็น ไม่ให้ใครมาเกี่ยวข้องให้เสียเวลาเลย โน่นน่ะฟังซิ นั่นหมายถึงเวลาปัญญาออกก้าวเดิน มันไม่มีวันมีคืนนี่ คิดดูซิเรื่องของกิเลสเป็นยังไงเหนียวแน่นไหม ต้องต่อสู้กันขนาดนั้นน่ะ กิเลสเหนียวไหม แก้ง่ายหรือแก้ยาก ฆ่าง่ายหรือฆ่ายาก ฟังดู คิดดูก็แล้วกัน

เดินจงกรมจนออกร้อนฝ่าเท้าไม่รู้ว่ากี่ชั่วโมง เพราะจิตเพลินอยู่ภายใน ฟัดกันอยู่นั้นน่ะ จิตไม่ออกไปไหน เดินไปๆ ร่างกายมันโซซัดโซเซ ตามันไม่เห็นเพราะสติปัญญาทำงานอยู่ข้างในไม่ได้ส่งออกข้างนอก เดินไปๆ โน่นเข้าป่าโน่น โครมครามเข้าป่า ออกมาอยู่อย่างนั้น เพราะฉะนั้นผมถึงไปหาอยู่ป่าลึกๆ เวลาคนไปเจอเข้าเวลานั้นเขาจะหาว่าผมเป็นบ้าเป็นไรไป เพราะเขาไม่เข้าใจเรื่องของเรา เนื่องจากเขาไม่เคยทำไม่เคยเป็นดังที่เราเป็นอยู่ขณะเดินจงกรมนั้น

นั่นละเวลามันขุดกันมันขุดขนาดนั้นนะ ตามันไม่เห็นอะไร ถ้าลงจิตเข้าภายในแล้วมันจะเห็นอะไร ก็ตามันเป็นเครื่องมือ เหมือนประตูเปิดไว้ก็เปิดซิ คนไม่ออกไม่เข้าก็เปิดอ้าอยู่นั้นแหละ นี้ตามันก็ใสของมันอยู่อย่างนั้น แต่มันไม่เห็นนี่ เพราะสติปัญญาทำงานชุลมุนวุ่นวายกับกิเลสอยู่ข้างใน มันเป็นในตัวเราเองอย่างเห็นประจักษ์ พูดได้อย่างอาจหาญว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ถึงเวลามันเข้าข้างในมันไม่ออกข้างนอก มันหมุนกันอยู่ภายในนั้นน่ะ ระหว่างกับกิเลสสติปัญญาสู้กันอยู่ภายใน ไม่สนใจกับอะไรภายนอก ราวกับตาหูไม่มีเพราะไม่ได้ใช้ ไม่สนใจกับร้อนและหนาว นอกจากจะเกินประมาณไปเท่านั้น

ปัญญาประเภทเกี่ยวกับเรื่องร่างกายนี้มันผาดโผนมากนะ เหมือนว่ากายจะไหวไปตาม มันรุนแรงมาก พอปัญญาเข้าส่วนนามธรรมล้วนๆ แล้วก็เป็นเหมือนน้ำซับน้ำซึม หมุนของมันอยู่อย่างนั้นไม่หยุดไม่ถอยทั้งวันทั้งคืน นอนไม่หลับคิดดูซิ ตลอดรุ่งเอาเฉยๆ บางคืนนั่งภาวนาเหนื่อยละ พอแล้วละ นอนให้หลับเสียหน่อย แต่ใจมันไม่หลับ หมุนติ้วๆ อยู่กับงานจนเหนื่อย นอนก็เหนื่อยเลยลุกขึ้นมาอีก เอ๊า ลงทางจงกรมโน่นต่อไม่ต่อเลยสว่าง กลางวันมันยังจะไม่นอนอีก คนจะตายมันยังไม่ถอย

นี่แหละกำลังของจิตเวลาสู้มันสู้จริงๆ เวลาหมอบมันก็หมอบจริงๆ อำนาจของกิเลสเหยียบให้มันหมอบ มันเคยรู้เคยเห็นมาแล้ว ตอนกิเลสเหยียบหมอบก็เห็นแล้วราวกับจะไม่มีวันโงหัวได้เลย เอ๊า เวลาสติปัญญาเหยียบกิเลสจนหมอบก็เห็นแล้วที่นี่ พอกิเลสชนิดนี้ขาดไปปั๊บก็ขุดค้นหาอีก คุ้ยเขี่ยหาอยู่นั่นน่ะ การคุ้ยเขี่ยหากิเลสก็เป็นงานอันหนึ่ง พอเจอแล้วก็เอาละที่นี่ นั่นได้งานแล้ว ฟัดกันอีกแหละ บางอย่างพอเข้าใจแล้วหลุดลอยไปเร็วก็มี ช้าก็มี ที่มันช้านั่นซิเราจะตาย เพราะเราไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ครูบาอาจารย์ตลอดไปนี่ เราอยู่โดยลำพังก็มี เวลาออกเที่ยวภาวนาเวลาปัญหาต่างๆ เกิดขึ้นก็เป็น อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ น่ะซิ ถ้าปัญหาหนักมันทุกข์เหลือกำลังจะตายจริงๆ ยังแก้ไม่หลุดก็วิ่งมาหาท่านเสียทีหนึ่ง ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ก็ไม่มาเพราะมันไกล ลำบากการไปการมา ต้องสละเวลาเป็นวันๆ ถ้าอยู่ไกลก็หลายวัน มาแล้วก็ต้องศึกษาจนเป็นที่เข้าใจแล้วค่อยไป ถ้าอยู่ไกลก็จำต้องค้างคืนกลางทาง ทั้งเวลาพักอยู่ศึกษากับท่าน

เดินตั้งแต่ออกจากที่พักมาหาท่านจิตไม่ไปไหน อยู่กับตัว เดินจงกรมมาเลย พอออกจากท่านไปก็เดินจงกรมไปเลย ไม่ได้สนใจกับความกล้าความกลัว ว่ามืดว่าสว่าง ค่ำๆ จนเริ่มมืดแล้วค่อยออกจากวัดท่านไปก็มี ทางตั้ง ๑๓-๑๔ ก.ม. ไกลกว่านั้นก็มี ต้องมาค้างคืนก็มี แน่ะ มันไปของมันได้สบาย เฉย ไม่สนใจกับอะไร ดูเผินๆ ก็เหมือนบ้านั่นแหละเวลาเดินมาเดินกลับไปนั้น แต่มันไม่ได้บ้า สติปัญญาทำงานอยู่ข้างในนี่ ใครไม่เห็นไม่รู้เรื่องก็ช่างเขาซิ เรารู้อยู่เห็นอยู่ พอไปถึงที่พักก็เป็นความเพียรอยู่แล้ว ไม่ทราบว่าอะไรเป็นความเพียรอะไรไม่เป็นความเพียร เพราะมันเป็นความเพียรตลอดอยู่แล้ว ถึงระยะมันเป็นของมัน เวลาหมอบมันก็หมอบจริงๆ อำนาจของกิเลส แหม ๆ เลยนะพูดไม่ถูก พอเวลามันได้ที่ถึงได้ฟัดกันเสียอย่างไม่มีปรานีปราสัย

วัดบ้านนามนจึงเป็นวัดที่ระลึกในชีวิตและความเพียรสำหรับผม เพราะตั้งแต่เราบวชมา การหักโหมทั้งร่างกายและจิตใจไปพร้อมๆ กัน ก็มีพรรษานั้นในชีวิตของเราคือพรรษาที่ ๑๐ ความเพียรและความหักโหมมันเริ่มมาตั้งแต่ยังไม่เข้าพรรษา เดือนเมษายนและพฤษภาคมน่ะ มาจากพระธาตุพนมกับพ่อแม่ครูอาจารย์ ท่านไปเผาศพพ่อแม่ครูอาจารย์เสาร์กลับมา ก็ไปรับท่านมาด้วยกัน ก็เข้ามาอยู่บ้านนามน จำพรรษาที่นั่น มันหมุนติ้วๆ เริ่มแต่โน่นแล้ว สมาธิเริ่มแน่นไม่เสื่อมอีกมาตั้งแต่เดือนเมษายน แต่นี้ไม่เกี่ยวกับสมาธิ แต่เป็นปัญญาในเวลาจนตรอก มันเป็นปัญญาสายฟ้าแลบ สติปัญญากับกิเลสราวกับมัดคอติดกัน ไม่ใช้ปัญญาได้ยังไงเวลามันจะตาย มันจนตรอกจนมุมก็ต้องใช้ปัญญาซิ เวลารู้ขึ้นมามันก็รู้ด้วยปัญญา

ที่ว่าเกิดความอาจหาญในเรื่องความเป็นความตาย อะไรมันตายพิจารณา จนกระทั่งหาสิ่งที่ตายไม่ได้เลย นี้มันกลัวอะไร มันกลัวตาย หือ โกหกกัน นั่น เวลาพิจารณาลงไป ดินก็เป็นดิน น้ำเป็นน้ำ ลมเป็นลม ไฟเป็นไฟ ใจที่กลัวตายมันก็ไม่ตาย มันยิ่งเด่น ยิ่งเห็นชัดมันตายได้ยังไง มันสง่าผ่าเผย รู้เด่น นี่มันตายได้ยังไงโกหกกัน นี่ละพรรษานี้เอากันอย่างเต็มเหนี่ยวเลย หักโหมร่างกายหักโหมมากจริงๆ กลางวันไม่นอนเลย เว้นแต่วันไหนเรานั่งสมาธิตลอดรุ่ง วันนั้นจะยอมพักกลางวันให้ ถ้าวันไหนทำความเพียรธรรมดา กลางวันไม่พักให้เลย ไม่นอนกลางวันในพรรษานั้น ถึงว่ามันหักโหมมาก

เวลาที่เราไม่คิดจะต่อสู้มัน นั่งฉันจังหันต้องได้พลิก นั่งขัดสมาธิฉันไม่ได้เพราะเจ็บมาก นี่มันไม่ลืม คือเรานั่งขัดสมาธิกลางคืนเหมือนกับมันพองหมดก้นเรา กระดูกเหมือนจะแตกทุกข้อทุกท่อน กระดูกมันต่อกันตรงไหน แม้แต่ข้อมือก็เหมือนมันจะขาดจากกัน ทุกขเวทนาเวลาขึ้นมันขึ้นหมดทุกสิ่งทุกอย่างทุกแง่ทุกมุมในร่างกาย ปัญญาฟัดกันลงแหลกไปได้นี่นะมันอัศจรรย์ มันล้างกันได้ เวทนาเงียบเลย หายจนกระทั่งร่างกายไม่มีเหลือเลยในความรู้สึก เหลือแต่ความอัศจรรย์ของจิตดวงนั้นที่สักแต่ว่าปรากฏ แม้จิตนั้นจะมีอวิชชา มันหากเป็นของอัศจรรย์ของมัน เพราะมันพรากอะไรออกหมดเหลือแต่ความรู้

ความรู้นั้นก็เป็นความรู้อวิชชานั่นแหละ แต่ตอนนั้นมันไม่รู้อวิชชาหรือไม่อวิชชาแหละ หากแต่เห็นความอัศจรรย์ อ๋อ ธรรมชาตินี้เมื่ออะไรก็สิ้นไปหมดๆ ในความรู้สึกแล้ว เหลือแต่สักแต่ว่ารู้อันเดียวเท่านั้น ธรรมที่สักแต่ว่ารู้นี้ทำไมจึงอัศจรรย์นักหนานะ

จิตเมื่อเข้าถึงขั้นนี้แล้วมันแยกได้สองอย่าง อย่างหนึ่งเวลาจิตรอบแล้ว เวทนาก็เป็นเวทนา ต่างอันต่างจริง กายก็สักแต่ว่ากาย เวทนาสักแต่ว่าเวทนา จิตก็เป็นความจริงของจิต ต่างอันต่างจริงไม่กระทบกัน นี่อันหนึ่ง อันหนึ่งพอจิตรอบของมันแล้วเวทนาก็ดับวูบลงไม่มีเหลือเลย กายก็หายพร้อมกันเลยในความรู้สึก มันเห็นเป็นสองอย่างสำหรับเรา แต่จะเป็นอย่างไหนก็ตามเราไม่ได้ปรุงได้แต่ง มันเป็นผลอย่างนั้นของมันเอง เป็นความรู้สึกอัศจรรย์บอกไม่ถูกและเป็นสักขีพยานซิ เพราะมันเป็นความจริงด้วยกันนี่ มันดับหมดก็เป็นความจริงอันหนึ่ง มันยังคงอยู่แต่ต่างอันต่างจริงก็เป็นความจริงอันหนึ่ง

พรรษาที่หนักมากในชีวิตของนักบวช ผมหนักมากพรรษานั้น แต่ไม่ได้สนใจว่าเป็นภาระหนักมากนะ เพราะความมุ่งมั่นมาก มันจำไม่ลืม กลางวันไม่นอน เดินจงกรม หมากพลูไม่แตะเลยในสามเดือน ทิ้งเลย พอหลังออกพรรษาแล้วไปที่ไหน แต่ก่อนมันมีหมากพลูเต็มไปหมดนี่ เขาเอามาถวายก็ฉันไปอย่างนั้นเอง เลยฉันมาเรื่อยๆ ปีนั้นมันหักโหมเต็มที่ ทิ้งหมดเรื่องหมากเรื่องอะไรไม่เอา มันเป็นกังวล ไม่เอาทิ้งหมดเลย จิตเป็นเหมือนหิน สมาธิแน่นปึ๋งเหมือนหิน แต่มันไม่ใช้ปัญญาน่ะซิ ถ้าใช้ปัญญามันก็จะไปรวดเร็วกว่านั้น มันเพลินกินเพลินนอนอยู่กับสมาธินั้นเสีย มันขี้เกียจมันสบายไม่ยุ่งกับอะไร จิตมันอิ่มตัวของมัน อิ่มตัวในขั้นสมาธินะไม่ใช่อิ่มตัวด้วยการหลุดพ้นโดยประการทั้งปวงแล้ว มันอิ่มตัวในสมาธิไม่ยุ่งกับอารมณ์อะไร รูปเสียงอะไรๆ ไม่ยุ่ง สบายอยู่นั้นแบบหมูได้เขียง ไม่ได้คิดว่าเขียงคือที่รองสับยำหมูเลย

พอมาค้นทางปัญญาถึงได้มีงานมาก โอ้โฮ งานทางปัญญานี่ งานมากงานหนักงานหยุดไม่ได้รั้งไม่อยู่ ตอนพิจารณาร่างกายเป็น อสุภะอสุภัง มันผาดโผนมาก กว่าจะปล่อยกันได้มันผาดโผนมากและคล่องตัวมาก มองเห็นอะไรในร่างกายใครก็ตามเป็น อสุภะ ไปหมด ในความรู้สึกเหมือนกับว่ามันเป็นพื้น อสุภะ อยู่เลยเทียว ขนาดนั้นมันถึงปล่อยของมันได้ พอรู้เต็มสัดเต็มส่วนหาที่สงสัยไม่ได้แล้วมันก็ถอนของมันเองไม่ต้องบังคับ นี่ก็รู้ จากนั้นมาการพิจารณาร่างกายนี่ไม่เอาเลยนะ มันรู้ชัดๆ ว่าอิ่มแล้ว อิ่มตัวแล้วมันก็รู้ เวลาพิจารณา อสุภะ เพลินๆ นั้นก็เป็นรสของธรรมอันหนึ่งเหมือนกัน กิเลสยังมีอยู่ก็เหมือนกับไฟตามเชื้อของมัน ไหม้กันไปเรื่อยๆ ตามที่สัมผัส พอมันหมดเกี่ยวกับเรื่องของร่างกายแล้วมันก็ถอยกรูดเลยนะ ไม่เอา จิตมีแต่สัมผัสสัมพันธ์กับพวกนามธรรม

เวทนา เวทนาเกี่ยวกับร่างกาย เวทนาเกี่ยวกับจิต สัญญาละสำคัญ สัญญา สังขาร สำคัญมาก ละเอียดมากนะ มันพิจารณากันอยู่นั้นแหละ เปาะแปะๆ กันอยู่นั้น เพราะไม่กว้างขวางอะไรนี่ ก็มันรู้หมดแล้ว ปล่อยหมดแล้ว มันไม่สนใจ รูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส มันเหมือนอยู่กันคนละทวีปโน่น บทเวลามันปล่อย มันย้อนกลับมาเหมาว่ามีแต่จิตตัวเดียวนี้เป็นตัวโทษ มันมาเหมาตรงนี้ที่นี่ นี่ตัวโทษมันแสดงยิบแย็บๆ จิตก็หมุนอยู่ตรงนี้เสีย สิ่งเหล่านั้นเขาไม่ใช่โทษ รูป เสียง กลิ่น รส ไม่ใช่โทษ อะไรๆ ไม่ใช่โทษ ตัวนี้เป็นโทษ ตัวนี้เป็นตัวเหตุ มันเหมาลงจุดเดียว จนกระทั่งพร้อมแล้วมันถึงหมดปัญหาบนเวทีที่ต่อยุทธกัน ไม่รบกันแล้ว

ทีแรกก็ใส่เวทีกาย ออกเวทีกายก็ใส่เวทีของนามธรรมทั้งสี่ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แล้วเข้าตัวจิตๆ หมุนกันอยู่กับจิตนั้น เพราะเรื่องราวยังมีเหลือแต่จิตแย็บออกมาก็จิต ที่นี่ไม่ได้ไปเกี่ยวกับว่าแย็บไปอะไร เรื่องอะไร มันไม่ไปตามแล้ว แต่ก่อนมันตามพิจารณารู้แล้วก็ดับไปๆ พอมันรู้จริงๆ แล้วมันปล่อย มันยิบแย็บๆ มันดูแต่ยิบแย็บๆ กับธรรมชาติที่เป็นฐานคือฐานหลอกลวงใหญ่ ฐานอวิชชากับจิตมันกลมกลืนเป็นอันเดียวกันในขณะนั้น สติปัญญาจึงหมุนอยู่นั้น พอเวทีนั้นพังลงไปเท่านั้นก็เลิกเวทีกันเลย ไม่ทราบจะรบกับอะไรต่อไปอีก การชนะบนเวทีธรรมนี้ สนฺทิฏฺฐิโก ตัดสินเอง ไม่มีกรรมการอื่นใดมาตัดสินให้ เพราะไม่ใช่ฐานะไม่ใช่วิสัย

พูดให้หมู่เพื่อนฟังก็หมดไส้หมดพุงนะผมน่ะ ขอให้เห็นใจเถอะ ผมพยายามที่สุดกับหมู่กับเพื่อน ทุกข์ยากขนาดไหนผมก็ทนเอาเพราะความสงสาร นี่พูดให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย สงสารจริง ๆ ไม่ใช่สงสารเพียงเสกสรรปั้นยอนะ มันเป็นอยู่ภายในจิตจริง ๆ เพราะฉะนั้นมองดูอะไรจึงมองดูจริงๆ มองหมู่เพื่อน ไม่ได้มองเพื่อจะยกโทษยกกรณ์กับแบบโลกๆ ดุตรงไหนว่าตรงไหน เป็นความบกพร่องอยู่ตรงนั้น เตือนตรงนั้น ดุตรงนั้น แก้ตรงนั้นซิ พูดง่ายๆ เหมือนนักมวยฝึกซ้อมกันก็ว่า อย่าเปิดตรงนั้น ปิดป้องตรงนั้นซิ เดี๋ยวตายนะคู่ต่อสู้เขาใส่ผางเข้าไปตรงที่เปิดไว้นั้นเสร็จนะ ความหมายว่าอย่างนั้น

งานใดจะยิ่งกว่างานของจิตตภาวนา แม้จะลำบากขี้เกียจขนาดไหนอย่าไปถอยมัน ความขี้เกียจคือตัวกิเลสนั้นมันรบความเพียรนะ ให้ถือเป็นจุดขึ้นมา ให้ถือเป็นเหตุขึ้นมามันขี้เกียจมันรำคาญ ตัวรำคาญตัวขี้เกียจนั้นคือตัวกิเลส ฟัดมันลงไป อันนี้มันจะเลิกจะถอนตัวของมันไปเองเมื่อถูกฟัดถูกตี เราจะเห็นคุณค่าของความเพียรตรงนั้นแหละ พอขี้เกียจรำคาญอะไรๆ อย่างนี้เราก็ล้มไปตามมันเสีย นั่นละมันได้กำลัง เพิ่มกำลังให้ตัวขี้เกียจให้ตัวรำคาญมากขึ้น นั่นแหละตัวกิเลส มันรำคาญตรงไหน เอาความรำคาญนั่นเป็นเหตุและเป็นเป้าหมายแห่งความเพียร ฟัดกันลงตรงนั้น เวลามันรู้กันแล้ว อ๋อ นี่แหละเป็นกิเลส นั่น

เอาละเลิกกัน เหนื่อยแล้ว


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก