มนุษย์เราเป็นสัตว์หมู่สัตว์พวก แม้เป็นนักบวชแล้วก็แยกจากหมู่จากพวกอยู่ลำพังคนเดียวไม่ได้ เพราะกฎระเบียบธรรมวินัยเกี่ยวโยงกัน ดังนั้นจึงเกี่ยวกับหมู่กับคณะอยู่โดยดี นี่หมู่คณะมามากกันเรื่อยๆ ย่อมจะทำให้ยุ่งเหยิง อย่างน้อยก็ยุ่งเหยิงวุ่นวาย เพราะมันเกี่ยวเนื่องกัน ยิ่งมีรายที่ขวางหมู่เพื่อนและวงคณะเข้ามาแทรกด้วยแล้วก็กระเทือนไปหมดทั้งวัด จึงต้องได้ระมัดระวัง
เหล่านี้เป็นเรื่องอะไรถ้าไม่ใช่เรื่องของกิเลส ซึ่งเคยเป็นข้าศึกต่อธรรมและต่อตัวเองตลอดหมู่คณะและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องมานานแล้ว ถ้ายังเห็นตัวว่าดี ในขณะเดียวกันก็ต้องเหยียบย่ำเพื่อนฝูงที่อยู่ด้วยกันลงไปโดยเจ้าตัวไม่รู้สึกก็มี เพราะความเข้าใจว่าตัวดิบตัวดี ตัวเฉลียวฉลาดกว่าเพื่อนฝูง กิเลสตัวไม่เคยเป็นน้อยใครมันปิดบังไว้หมด กิเลสปิดบังหัวใจของผู้ปฏิบัติและหัวใจของโลก มันปิดบังอย่างนี้ ถ้ายังไม่ทราบก็จงทราบเสีย ว่านี้แหละคือกิเลสตัวเป็นภัยต่อความสงบสุขทั้งส่วนย่อยและส่วนใหญ่ไม่มีประมาณ
เรียนให้เห็น เรียนให้เจอ สิ่งที่เป็นภัยซึ่งมีอยู่ในหัวใจของทุกคน คนเราอยู่ด้วยกันมีความเกี่ยวเนื่องกันมากน้อย สิ่งที่เป็นภัยนี้ย่อมระบาดสาดกระจายออกไปให้เกิดความเดือดร้อนวุ่นวายระส่ำระสายไปตามๆ กันตามกำลังของสิ่งเป็นภัยนี้มีกำลังมากน้อยซึ่งแสดงออก ในวงปฏิบัติของพระจึงไม่ควรให้มีอย่างยิ่ง เพราะสิ่งที่เป็นภัยก็รู้กันอยู่แล้ว เมื่อต่างองค์ต่างมาชำระพิษภัยที่มีอยู่ภายในจิตใจของแต่ละราย จึงควรเข้มงวดกวดขันตน ให้ดูจิตใจตนก่อนอื่น
อย่าดูสิ่งใดว่าสิ่งนั้นไม่ดี สิ่งนี้ไม่ดี นอกไปจากจิตตัวคึกคะนอง เพราะเป็นตัวกิเลสโดยตรง ปรุงออกไปว่าสิ่งนั้นไม่ดีสิ่งนี้ไม่ดี ตัวผู้ปรุงนั้นแลตัวไม่ดีเอง ตัวคึกคะนอง ตัวเลวร้าย อยู่ไม่เป็นสุข หาเรื่องหาราวใส่สิ่งนั้นสิ่งนี้คนนั้นคนนี้ ไม่ย้อนดูจิตด้วยสติปัญญา ก็ชื่อว่าปล่อยให้พิษร้ายอันนี้แสดงฤทธิ์แสดงอำนาจบนหัวใจ มรรคผลนิพพานจะหวังเอาจากอะไรที่ไหน เมื่อมีแต่สิ่งเหล่านี้ออกหน้าออกตาอยู่ทุกอาการที่เคลื่อนไหวของจิตและของกายวาจาอยู่แล้ว
พระมาจำนวนมาก ผู้ที่ตั้งใจศึกษาจริงๆ ก็มี ที่มาเก้งๆ ก้างๆ ขัดหูขัดตาขัดวงคณะก็มี มาแบบอวดดิบอวดดีอวดรู้อวดฉลาดทั้งๆ ที่โง่เต็มตัวก็มี ความอวดดีนั้นแลคือความโง่ตามหลักธรรม ความพิจารณาสอดส่องดูตัวเองอยู่ตลอดเวลา นั่นคือความฉลาด เริ่มเป็นรากเป็นฐาน ก่อตั้งความฉลาดขึ้นมาด้วยการสอดส่องมองดูใจของตัวนั่นแล การพิจารณาสอดส่องตัวเองอย่างนี้ เป็นแนวทางของปราชญ์ท่านดำเนินกัน ไม่ใช่ความฉลาดจะเกิดขึ้นเพราะความสำคัญตนว่าฉลาด ความคิดตำหนิสิ่งนั้นชมสิ่งนี้อยู่ตลอดเวลา ดังที่เคยเป็นมาแล้วประจำหัวใจไม่เว้นแต่ละดวง นั่นหาความเป็นผู้ฉลาดไม่ได้ เที่ยวกว้านเอาฟืนเอาไฟ เพราะความโง่ของตัวที่สำคัญว่าฉลาดเข้ามาเผาตน จึงหาอรรถหาธรรมคือความสงบร่มเย็นไม่ได้ เพราะตัวนี้คือตัวคึกตัวคะนองไม่ได้ถูกบั่นทอนลงบ้างเลย มีแต่การเสริม การคล้อยตามมันโดยเจ้าตัวไม่รู้ ยังเพลินหรือภูมิใจในความคิดความรู้ของตน เข้าใจว่าฉลาดไปเสียอีก นั่นยิ่งโง่หนักเข้าไป
ผู้ปฏิบัติให้คิดให้ขุดค้นลงตรงนี้ ถ้าอยากเป็นผู้ฉลาดตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้าจริงๆ และฉลาดอันเป็นสมบัติของตนโดยแท้จริงแล้ว ให้ค้นลงที่นี่ อย่าไปคิดอะไรกับผู้อื่นผู้ใดมากยิ่งกว่าคิดเรื่องของตัว เพราะการสร้างเรื่องสร้างขึ้นที่ใจตัวเอง ไม่ได้สร้างจากผู้อื่นผู้ใด
มีมากขึ้นเท่าไรมันยิ่งจะเลอะๆ เทอะๆ นะ ผู้ปกครองอกจะแตก ผู้ที่เป็นอรรถเป็นธรรมซึ่งอยู่ร่วมกันก็จะเป็นจะตายไปด้วย เพราะมารอันนั้นแหละมันขัดมันขวางกันให้อยู่และบำเพ็ญไม่สะดวก ให้พากันคิด มาศึกษาดูให้ดี ตามี หูมี ฟังให้ถนัดชัดเจนด้วยความจดจ่อ มีสติปัญญาเป็นเครื่องพิสูจน์ จากการได้ยินได้ฟังหรือได้เห็น มาอยู่เฉยๆ มันไม่ได้เรื่องอะไร นี่พวกเรามาหาธรรมโดยตรง จงทราบตัวเองทุกหัวใจในวงพระปฏิบัติด้วยกัน อย่าให้หนักใจต่อกันเวลาอยู่ร่วมกัน แม้เวลาปลีกตัวไปอยู่คนเดียวก็จงปฏิบัติเป็นธรรมอยู่เสมอ
จิตหาความสงบไม่ได้ก็เพราะความคึกคะนองของจิต ไม่มองดู จุดนี้แลที่ก่อให้เกิดความไม่สงบอยู่เรื่อยมา มันคึกคะนองอยู่ตลอดเวลา เพราะเราบวช บวชแต่ร่างกาย ปลงผม โกนคิ้ว นุ่งเหลืองห่มเหลือง แต่ใจมีแต่ความรู้สึกบวช ไม่ได้มองลึกลงไปว่า กิเลสมันยินยอมให้เราบวชไหม มันไม่ยินยอม กิเลสมันไม่ได้บวช มันเคยเป็นข้าศึกต่อธรรมอยู่แล้ว ขณะบวชมันก็ยังเป็นข้าศึกอยู่โดยดี และเป็นข้าศึกตลอดไปถ้าแก้หรือปราบปรามมันไม่ได้ เราอย่าภูมิใจในการบวชของเราเพียงเท่านั้นจะไม่เกิดประโยชน์มากนักอะไร กิเลสไม่ได้ถลอกปอกเปิกออกไปสักนิดหนึ่งเพียงยินดีในการบวชของตนเท่านั้น ถ้าไม่ถากถางกิเลสไม่ฟาดฟันกิเลสไปพร้อมๆ กันกับการบวชและทรงเพศเป็นพระเณรชีขาว ตลอดการอยู่บำเพ็ญไม่ลดละงานชำระซักฟอก
รายใดก็ตามเข้ามามันหากขวางตาขวางหูจนได้แหละ มีมากมีน้อยพอประสมประเสกันเข้าก็ไปใหญ่ เลยมีแต่พระเต็มวัด คำว่าการชำระหรือการฆ่ากิเลสให้เบาบางภายในจิตใจจะไม่ปรากฏแล้ว มันวุ่นวายกันอยู่อย่างนั้น มีมากเท่าไรก็ยิ่งยุ่งมาก สัมผัสสัมพันธ์กันมาก พูดมาก เรื่องมาก ถ้าไม่ระวังให้มากก็จะกลายเป็นโรงงานผลิตกิเลสทิฐิมานะความทะเลาะเบาะแว้งขึ้นได้ไม่อาจสงสัย นี่เคยอยู่กับคณะมากน้อยและเคยประสบเหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งส่วนมากเป็นฝ่ายลบมาแล้ว จึงเป็นบทเรียนได้ดีพอให้เข็ดหลาบได้ ดังนั้นหมู่คณะจงสำรวมระวังด้วยดี
บิณฑบาต ต่างคนต่างดูหัวใจตัวเอง บิณฑบาตเพื่ออะไร ท่านบอกว่าบิณฑบาตเป็นวัตร วัตรของการบิณฑบาตคืออะไร ก็คือการประกอบความพากเพียรเพื่อชำระสะสางจิตใจของตนไปโดยลำดับ ทั้งไปทั้งกลับ ตลอดเวลาในการบิณฑบาตมีหน้าที่ทำงานแก้กิเลสของตนอยู่อย่างนั้นโดยสม่ำเสมอ จึงชื่อว่าเป็นวัตรเป็นความเพียร เอาแต่ชื่อมาพูดว่าบิณฑบาตเป็นวัตร ความเพียรก็สักแต่ว่า ไม่เกิดประโยชน์อะไรให้กิเลสหัวเราะเปล่าๆ พวกเรามันพวกกิเลสหัวเราะ ไม่ใช่พวกทำให้กิเลสหน้าซีดหน้าเผือด แต่กลับเป็นพวกหน้าซีดหน้าเผือดเพราะกิเลสบีบเอามัดเอาตลอดอิริยาบถเหล่านี้ พากันระลึกบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้ น่าจะไม่สะดุดใจบ้างเลย
การแนะนำสั่งสอนหมู่เพื่อนมานี้ก็นานแล้ว หมู่เพื่อควรได้รับผลประโยชน์อะไรบ้าง จากการได้ยินได้ฟังแล้วนำไปปฏิบัติดัดแปลงแก้ไขตนเอง พอให้เห็นเหตุผลขึ้นมาภายในใจอันเป็นสมบัติของตนแท้ แต่จะไม่ปรากฏถ้าจะเป็นดังที่เป็นอยู่นี้ คำว่าศาสนาเรียวแหลมๆ ที่ไหน ก็เรียวแหลมที่จิต ถูกกิเลสรีดลงไปจนเรียวแหลม แทบจะไม่มีศาสนาหลงเหลืออยู่ภายในใจ เรายังจะภาคภูมิในเพศของเราอยู่หรือ กิเลสมันมีแต่ต่อยๆ มันไม่ได้คุยหรอก ผู้ปฏิบัติธรรมมีแต่คุยพล่ามๆ กิเลสไม่คุย แต่ต่อยเอาๆ หงายลงๆ ยังไม่รู้
เรียนให้ถึง ปฏิบัติให้ถึงซิ ถึงกิเลสน่ะ เราจะได้ทราบว่ามันละเอียดลออขนาดไหน มีความแยบคายเพียงไร มันจึงได้ครอบหัวใจของสัตว์โลกเรื่อยมาจนไม่ปรากฏโลกพูดกันเลยว่า กิเลสเรียวแหลม กิเลสสิ้นไป กิเลสหมดเขตหมดสมัย อยากจะพูดว่า ปากไหนก็ปากนั้นพูดว่า ศาสนาเรียวแหลม มรรคผลนิพพานหมดเขตหมดสมัย ทั้งนี้เพราะกิเลสปิดปากไม่ให้พูดเรื่องของมัน แต่เปิดปากบังคับให้พูดเรื่องศาสนาหมดคุณค่าสาระนั่นเอง
การไปการมารู้สึกว่ายุ่งยากมากวัดป่าบ้านตาดเวลานี้ ไม่ทราบว่าองค์ไหนเข้าองค์ไหนออก หลั่งไหลกันไปหลั่งไหลกันมา วันนี้ส่งองค์นี้ วันหน้าส่งองค์นั้น วันนี้ส่งองค์นั้นส่งองค์นี้ยุ่งไปหมด เลยคอยมาส่งมาเสียกัน มันเป็นยังไงกรรมฐานเราถึงเป็นอย่างนั้น ส่งไปโน้นแล้วส่งไปนี้ แข้งขาไม่มีเหรอ มีแข้งขาเฉพาะพระพุทธเจ้าและพระสาวกครั้งพุทธกาลเท่านั้นหรือ ทุกวันนี้พระกรรมฐานเราเป็นพระขาด้วนไปหมดแล้วเหรอ มันถึงได้ตามส่งตามเสียกันยุ่งเอานักหนา เพื่อความสะดวกสบายไปในทางแข้งขายิ่งกว่าเพื่อธรรมทั้งหลายอย่างนั้นหรือ นี่มันกลายเป็นพระกรรมฐานขุนนางไปแล้วนะ จึงได้ทำให้ยุ่งเหยิงวุ่นวายต่อวัดต่อวาและต่อประชาชนผู้คอยรอคอยรับส่งเสีย มันได้เรื่องอะไร เรื่องเหล่านี้มันน่าสลดสังเวชทั้งนั้นแหละ สำหรับพระพุทธเจ้าและพระสาวกตลอดครูอาจารย์ที่สมบุกสมบันมาแทบล้มแทบตาย ก่อนจะได้ธรรมมาสอนพระกรรมฐานขุนนางแข้งขากุดด้วนน่ะ มามากไปมากเท่าไรยิ่งสร้างปัญหาไม่เข้าเรื่องมากขึ้นทุกวันเวลา
จิตจะสงบเพียงนิดหนึ่งก็ไม่มี ภาวนาอะไรมันถึงไม่สงบ ตั้งหน้าตั้งตาทำอยู่ทุกวัน งานอันนี้ทำอยู่ทุกวัน ทำไมมันไม่เห็นผล ถ้าตั้งใจทำแบบจริงๆ จังๆ ตั้งหน้าตั้งตาทำจริงๆ สมกับงานนี้เป็นงานจำเป็นของตนโดยแท้ มันต้องปรากฏผล อย่างน้อยความสงบเย็นใจต้องมี เท่าที่จิตหาความสงบไม่ได้ เราเห็นโทษของมันไหมว่าอะไรที่เป็นเครื่องกีดขวางอยู่เวลานั้น ถ้าไม่ใช่กิเลสตัวเป็นฟืนเป็นไฟจะเป็นอะไรไป ถ้าธรรมแล้วไม่ฟุ้งซ่านไม่วุ่นวายไม่รำคาญ ต้องสงบเย็น ต้องฉลาดในการปลดเปลื้องตนเองจากอารมณ์ที่กิเลสก่อขึ้นมาตั้งขึ้นมา ต้องมีสติปัญญาพอหลบหลีกปลีกตัวกันจนได้ถ้าผู้ตั้งใจปฏิบัติจริงๆ นี่มีแต่ชื่อพระกรรมฐาน น่าสลดสังเวชจะตายไป
เทศน์ก็เทศน์เอาอย่างหมดน้ำหมดเนื้อหมดตัวไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย ด้วยความตั้งอกตั้งใจอยากให้หมู่คณะได้รู้ได้เห็นทั้งโทษทั้งคุณ เทศน์อย่างถึงใจทุกอย่างเพื่อจะได้เป็นกำลังใจประพฤติปฏิบัติ แล้วทำไมจิตใจมันจึงเถลไถลอยู่อย่างนั้น มันไม่จดไม่จ้องไม่จับให้ติด เกาะไม่ติด พลาดโน้นพลาดนี้ เถลไถลไปเรื่อย ไม่ได้เรื่องได้ราว วันนี้ก็วันนี้ วันหน้าก็มืดแจ้งเท่านั้นเอง กิเลสไม่เคยคลี่คลายออกจากจิตใจเลย แล้วเราจะหวังเอามรรคผลนิพพานที่ไหนกัน อยู่ก็ไม่มีความหวัง ไปก็ไม่มีความหวัง อิริยาบถต่างๆ หาความหวังภายในตนไม่ได้ หาที่ยึดไม่ได้ เราจะหวังพึ่งอะไร
ปัจจัยทั้งสี่ก็เคยพูดแล้ว เพียงแต่เป็นเครื่องอาศัยชั่วระยะกาลเท่านั้น ที่อยู่ที่อาศัย กุฏิ บ้านเรือนเพียงอาศัยเวลาชีวิตยังมีอยู่เท่านั้น อาหารการบริโภค เครื่องนุ่งห่มใช้สอยก็พออาศัยในกาลนี้เวลานี้เท่านั้น พอร่างมันสลายลงไปเพราะหมดสภาพหมดกำลังของมันแล้ว จิตพึ่งอะไร เวลานี้เราจะสร้างที่พึ่งของจิตให้เป็นที่อุ่นหนาฝาคั่ง ให้เป็นที่แน่นหนามั่นคง ให้เป็นความเฉลียวฉลาด ยังสร้างไม่ได้อยู่แล้วจะทำยังไง หาที่อบอุ่นภายในตัวไม่ได้จะไปหวังเอาความอบอุ่นจากอะไรที่ไหน
อดีตอนาคตก็อยู่กับปัจจุบันเป็นสำคัญ ถ้าสร้างหลักปัจจุบันไม่ดีแล้วอะไรก็เลวไปทั้งนั้นแหละ อนาคตมันจะยืดยาวขนาดไหนก็ยืดยาวไปด้วยความทุกข์ความลำบาก ดังจิตที่แบกหามกองทุกข์และสาเหตุให้เกิดทุกข์ คือตัวพิษตัวภัยได้แก่กิเลสอยู่เวลานี้แหละ มันไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ดินฟ้าอากาศก็เป็นดินฟ้าอากาศ สถานที่นั้นๆ มันก็เป็นสถานที่นั้นๆ ไม่ใช่เป็นสิ่งที่จะมาปลดเปลื้องทุกข์ออกจากจิตใจเพราะกิเลสสร้างขึ้นนี้ให้เราได้ เราต้องเปลื้องสิ่งที่มันสร้างขึ้น ปลดแก้สิ่งที่มันสร้างขึ้น ปราบปรามทำลายสิ่งที่มันสร้างขึ้น แล้วทุกข์ก็จะดับไปๆ เพราะไม่มีผู้สร้างทุกข์ขึ้นมา ที่แน่ใจ มั่นใจ อบอุ่นใจก็มีอยู่เท่านี้ จะไขว่คว้าหาอะไรให้นอกเหนือกว่านี้ไป นอกจากคว้าน้ำเหลวเท่านั้น
วันหนึ่งๆ เวลา ๒๔ ชั่วโมง มันเป็นยังไงการปฏิบัติตน เราไม่ให้มีงานอะไรอื่นในวัด พยายามที่สุดที่จะให้หมู่เพื่อนได้รับความสะดวกในการประกอบความพากเพียร แต่ทำไมมันจึงไม่เห็นผล ถ้ายิ่งจะปล่อยให้ทำงานนั้นงานนี้ด้วยแล้วมันก็เท่านั้นแหละ จมไปเลย เราพยายามระมัดระวังรักษาหมู่เพื่อนที่สุด อย่างตอนเย็นวันนี้เขาก็มานิมนต์ให้ไปฉันในบ้าน นั่น เราก็ไม่ยอมให้พระไปฉันให้เขาเพราะเรารักษาพระ การออกไปยุ่งเหยิงวุ่นวายกับสิ่งภายนอกมีแต่เรื่องขาดทุนสูญดอกไปโดยลำดับ ไม่ใช่เรื่องที่จะทำความเจริญรุ่งเรืองให้แก่จิตใจของพระ ผู้จะทำประโยชน์ทั้งตัวเองและแก่โลกทั่วๆ ไป
หน้าที่ของเราผู้เป็นหัวหน้าได้พยายามคิดเต็มสติกำลังความสามารถ เพื่อเป็นประโยชน์และความสะดวกแก่หมู่เพื่อน เราไม่เคยลดละ แล้วผู้ที่มาอาศัยทำไมจึงไม่เกิดประโยชน์บ้างตามเจตนาที่มุ่งมา หวังให้หมู่เพื่อนได้รับประโยชน์เพราะการประกอบหน้าที่การงานด้วยความสะดวก ไม่ให้มีอะไรมายุ่งกวน แทนที่จะเกิดผลเกิดประโยชน์ทำไมจึงไม่ปรากฏ หรือจะให้ผมผู้เป็นหัวหน้าเที่ยวแบกหามพระจากเสื่อจากหมอนลงไปทางจงกรม ลงไปที่นั่งทำสมาธิภาวนา ลากจูงพระพาเดินจงกรม พานั่งสมาธิภาวนา และให้ผมเล็งญาณดูใจพระว่า องค์ไหนที่ขี้เกียจที่สุด แล้วจูงแขนเดินจงกรมตลอดวัน เพื่อปราบความขี้เกียจของพระอย่างนั้นหรือ จึงจะถูกจะเหมาะ นั่นคือ เรื่องโลกแตก อย่าให้ผมอุตริทำ จงพากันทำความเพียรเองเถิดเพื่อรักษาโลกไม่ให้แตก
สัจธรรมก็แบกกันอยู่ทุกวันนี้ แบกอะไรถ้าไม่ใช่แบกสัจธรรม มีกายมีจิตเท่านั้น ผมอยากได้ยินได้ฟังหมู่เพื่อนมาเล่าเรื่องอรรถเรื่องธรรมให้ฟัง ผลแห่งการปฏิบัติเป็นอย่างไร มันก็พอจะมีแก่ใจ เพื่อจะได้ชี้แจงให้ทราบและเป็นกำลังใจ และเป็นทางที่ถูกแก่ผู้มาศึกษาและผู้เล่าให้ฟังนั้น นี่มันไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร อยู่กันไป อยู่ด้วยข้าวต้มขนมอาหารหวานคาว อยู่ด้วยความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมแบบโลกๆ มันก็เป็นโลกไปหมดละซิจะเป็นธรรมที่ไหน ธรรมแท้ไม่ได้อยู่กับสิ่งเหล่านี้ ธรรมแท้ต้องอยู่กับธรรม วิริยธรรม ขันติธรรม สติธรรม สมาธิธรรม ปัญญาธรรม นี่ธรรมที่จะเกิดจะมี มีที่ตรงนี้ ไม่ได้มีเพราะสิ่งเหล่านั้น จึงไม่ควรไปฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมไปภูมิใจกับสิ่งเหล่านั้น ตายใจนอนใจกับสิ่งเหล่านั้น ไม่เกิดประโยชน์อะไร นอกจากจะทำตนให้จมลงไปถ่ายเดียวเท่านั้น
ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติซิ เราจมอยู่ในนรกทั้งเป็นภายในหัวใจนี้ ยังไม่ทราบอยู่แล้วจะไปทราบที่ไหน ดูลงไปที่ใจนั้นแหละ จะเห็นเรื่องราวอันเป็นฟืนเป็นไฟเผาลนอยู่ตลอดเวลาที่ใจนั่นแล ก็กิเลสมันเคยพาผู้ใดให้ร่มเย็น มีแต่พาให้ร้อน จ่อสติปัญญาลงไปตรงนั้นมันก็รู้เอง เพียงความขัดข้องเล็กๆ น้อยๆ ก็ว่าเป็นความลำบากลำบนไปเสีย นี่ซิมันจึงบุกเบิกเพิกถอนอะไรไม่ได้บรรดาสิ่งที่ปิดบังหุ้มห่อภายในใจ ตกลงก็ถูกมันครอบไว้ตลอดเวลา ยิ่งกว่าปิดประตูตีหมา ไม่มีทางออกก็ขี้ทะลักออกมาเท่านั้นเอง อันทะลักออกมานั้นมันดีไหม คิดเอาเองอย่าให้บอก
จิตสงบเป็นยังไง ความสงบกับความเย็นของจิตมันก็อยู่ด้วยกัน จิตไม่สงบมันรู้อยู่ทุกคน เพราะสาเหตุอันใดมันถึงไม่สงบ ความพยายามทำจิตให้สงบด้วยความอุตส่าห์พยายามของตนทำไมจึงทำไม่ได้ การบังคับสติให้กำกับงาน การตั้งสติเพื่อบังคับงานที่จะให้ผลเกิดขึ้นนั้นทำไมจึงจะทนทุกข์ไม่ได้ เพียงการตั้งสติเฉยๆ เวลาเราแบกทุกข์เพราะกิเลสมันสร้างขึ้นมาทำไมเราแบกได้หามได้ แบกได้จนตาย พิจารณาซิ การที่จะแบกทุกข์เพราะการประกอบความพากเพียรเพื่อปราบกิเลส ซึ่งเป็นตัวก่อทุกข์อันสำคัญ ทำไมมันไม่ยอมรับ ไม่ยอมทำ เป็นเพราะเหตุใด ก็เพราะมันสู้อุบายของกิเลส ความกระซิบกระซาบ การเสี้ยมสอนของกิเลสไม่ได้นั่นเอง มันจึงเป็นความเพียรขึ้นมาไม่ได้ มันมีแต่ชื่อ ถ้าตั้งใจฟัดกันจริงๆ แล้ว มันต้องรู้ ไม่ไปอื่นไม่เป็นอื่น เพราะธรรมนี้ตรัสไว้ชอบแล้ว ๒,๕๐๐ กว่าปี เฉพาะศาสดาองค์ปัจจุบันของเรานี้ ไม่มีผิดเพี้ยนไปไหนเลย ตรงแน่วต่อความจริงล้วนๆ
ปัญญาก็คิดขึ้นมาใช้ไม่ได้ กลัวแต่ทุกข์ ใจเด็ดไม่ได้มันถึงไม่เห็นความแปลกประหลาด ไม่เห็นกำลังของตัวเอง เมื่อยังไม่ปรากฏกำลังของตัวเองพอที่จะต่อสู้กับกิเลสได้แล้ว มันจะมีความกล้าหาญในการต่อสู้กับกิเลสได้อย่างไร มันควรที่จะขุดค้นพลิกแพลงเปลี่ยนแปลงหาความสุขความทุกข์ความลำบากลำบน ด้วยเหตุด้วยผลเพราะความเพียรนี้ได้บ้าง อย่างน้อยก็ผู้ปฏิบัติเรา
ความอยู่มาอยู่มา สุขมาทุกข์มาดังที่เป็นมานี้ก็ไม่ผิดอะไรกับโลกเขา สุขให้สุขแปลกโลก ทุกข์ให้ทุกข์แปลกโลกเขาบ้างซินักปฏิบัติธรรม เอ้า จนตรอกให้มันจนแปลกโลกเขา เวลารอดตัวออกมาก็ให้มันเห็นความแปลกจากโลกเขาบ้างซิ มันถึงจะมีความแปลกโลกเขา ไม่ยังงั้นก็เหมือนโลกทั่วๆ ไปนั่นแล ถึงคราวจะต่อสู้ก็เอาให้เห็นเหตุเห็นผล เอาตายเป็นเดิมพัน สติปัญญาไม่ถอย ขณะที่จนตรอกจนมุมด้วยความทุกข์ความลำบากประการใดก็ตาม จงขุดค้นกันลงไปในกายในจิตด้วยสติปัญญาดังที่ได้เคยอธิบายให้ฟังแล้ว ล้วนแต่ได้รับผลมาแล้วทั้งนั้นไม่ใช่มาพูดเฉยๆ โดยในทางเหตุและผลไม่ปรากฏ
มันต้องมีหนักมีเบาบ้างนักปฏิบัติ ถึงจะเห็นความเร้นลับของกิเลสและธรรมปรากฏขึ้นในตัว พอจะเชื่อความสามารถของตัวได้บ้างและได้โดยลำดับ จนเชื่อความสามารถของตนได้เต็มที่ไม่ยอมแพ้เรื่องกิเลส เมื่อมีกำลังภายในใจแล้วมันไม่ยอมแพ้แหละ เมื่อถึงขั้นสู้กัน แม้ตายก็ยอมตายไม่มีคำว่าถอยว่าแพ้เลย นั่นคือการเชื่อความสามารถของตัวเองมันถึงไม่ยอม ไม่ยอมแพ้ จะเอาให้ชนะท่าเดียว เอาให้ราบท่าเดียว กิเลสจะมาไม้ไหนเอาให้ราบๆ เลย ถ้าลงยังมีชีวิตอยู่นี้เราจะหมอบราบไปไม่ได้ นอกจากกิเลสราบอย่างเดียวเท่านั้น
เมื่อก่อนมันเป็นได้เมื่อไรจิต แต่เวลาฝึกฝนอบรมเข้าไป มีความชำนิชำนาญเข้าไป บังคับเข้าไปด้วยเหตุด้วยผล ผลก็ปรากฏขึ้นมาเรื่อยๆ ความอยู่ใต้อำนาจของกิเลสกับความหลุดพ้นจากกิเลสมันต่างกันอย่างไรให้ได้เห็นในตัวของเรานี่ ความอยู่ใต้อำนาจของกิเลสก็เคยอยู่มาแล้วด้วยกันไม่สงสัย ความหลุดพ้นจากกิเลสยังไม่ปรากฏก็เอาให้เห็นซิแนวทางมี ศาตราอาวุธคือธรรมประเภทต่างๆ ที่จะประหัตประหารกิเลสมีอยู่ กำลังวังชาของเราก็ไม่ใช่คนอาภัพนี่ กำลังวังชาเพื่อต่อสู้กับมันมีอยู่ เอาให้เห็นซิ จิตดวงนี้แหละ ขณะที่อยู่ใต้อำนาจของกิเลสกับผ่านพ้นไปจากกิเลสโดยสิ้นเชิงแล้วจะต่างกันอย่างไร จะไม่ต้องถามใคร จะเห็นได้อย่างชัดเจนภายในใจเราผู้หลุดพ้นนี่แล
ปกติไม่ว่าอิริยาบถใดขณะใดเป็นเรื่องที่อยู่ใต้อำนาจของกิเลสทั้งมวล มีผลอย่างไรบ้างเราก็ทราบอยู่แล้ว และเอาให้ได้หลุดพ้นจากสิ่งเหล่านี้ด้วยความเพียรของเรา ของวีรบุรุษ บุรุษผู้กล้าตายในสงครามระหว่างกิเลสกับธรรมหรือกับจิต ต้องได้พบได้เจอกันวันหนึ่ง ถ้ามีความเข้มแข็งไม่อ่อนแอท้อแท้เหลวไหลไปเสียเท่านั้น
สถานที่รบก็อยู่ในวงกายกับจิตนี้ บังคับดูซิ จิตมันจะไปไหน บังคับมันไม่ให้ออกไปจากกายกับจิตนี้ บังคับธรรมดาไม่ได้ก็บังคับเวลามันเกิดทุกข์ เอ้า ค้นหามันจนเจอ จะได้อุบายด้วยวิธีใด ต้องได้ในระหว่างกายกับจิตนี้แลไม่ได้ที่อื่น เพราะทุกข์กับสมุทัยอยู่ที่นี่ มรรคก็ห้ำหั่นกันลงที่นี่ นิโรธความดับทุกข์จะไม่ปรากฏได้ยังไง ผลเคยปรากฏเพราะวิธีการใดเราก็จำเอาไว้ นำมาใช้เสมอ เวลาจะพลิกแพลงเปลี่ยนแปลงเป็นกรณีพิเศษซึ่งเป็นเรื่องของปัญญา เอ้า พลิกไปๆ จึงเรียกว่าผู้หาความฉลาด ไม่งั้นไม่ทันกลมายาของกิเลส เอาให้ทันด้วยอุบายพลิกแพลงของสติปัญญาซึ่งเป็นธรรมชาติที่เคยเหนือกิเลสอยู่แล้ว เอาให้เหนือ นำมาใช้ให้เหนือกิเลส
เมื่อมันราบไปจากจิตใจแล้ว อยู่ไหนก็อยู่เถอะ พ้นแล้วจากโทษทั้งมวล จากทุกข์ทั้งมวล เพียงขันธ์กระตุบกระติบอยู่ตามสภาพของมันนี่ มันผิดแปลกอะไรกับหางจิ้งเหลนขาด เมื่อถึงวาระของมันสลายลงไปก็เท่านั้นแหละ รู้รอบขอบชิดมันหมดแล้ววิตกวิจารณ์กับอะไรกับดินน้ำลมไฟนี้ มันเป็นของประเสริฐอะไร สิ่งเหล่านี้มีอยู่ทั่วไป น้ำในท้องเราก็ยังมี ตามท้องนา ตามหนองตามบึง มันวิเศษอะไร ดินก็เหยียบกันมาอยู่อย่างนั้นวิเศษอะไร ลม ลมหายใจก็มี ลมข้างนอกก็มี ไฟก็มองเห็นอยู่นั้น มันวิเศษอะไรพอที่จะหลงกันนักหนา เมื่อเวลามันเข้ามาผสมกันเป็นก้อนในตัวเราตัวเขาตื่นอะไรกัน ก้อนนี้ก็เป็นวิบากของกิเลสที่มันปั้นขึ้นมา จะมาหลงก้อนของกิเลสอีก ก้อนของวิบากที่มันปั้นขึ้นมาอีก แล้วเราจะรู้ธรรมได้ยังไง
คลี่คลายก้อนของกิเลสที่มันปั้นขึ้นมาด้วยความจอมปลอมนี้ ให้เห็นตามหลักความจริงซิ ขุดลงไป หนังห่อกระดูกนี่ ก็หนังห่อกระดูก นี่ละธรรมท่านว่าอย่างนี้ และว่าสัตว์ว่าบุคคล ว่าเราว่าเขา ว่าเป็นของสวยของงาม มันงามที่ไหน มันค้านกับธรรมวันยังค่ำ จิตเรายังฝืนไปเชื่อสิ่งที่มันค้านกับธรรม สิ่งที่จอมปลอมอย่างนั้นเราจะหาความจริงมาจากอะไร หนังใครก็เหมือนกัน ไม่ว่าหนังหญิงหนังชาย มันน่าหลงน่ารักใคร่ชอบใจที่ตรงไหน หนังก็รู้กันอยู่แล้วให้ชื่อว่าอย่างนั้น
ความสัมผัสสัมพันธ์ เราก็เคยสัมผัสสัมพันธ์กับหนังเราอยู่ตลอดเวลา วิเศษวิโสอะไร หนังนั้นก็สัมผัสสัมพันธ์กันอยู่ตลอดเวลาในของแต่ละคนละสัตว์นั้น แล้วก็มาสัมผัสสัมพันธ์กันเพื่อเอาความวิเศษอะไร หนังสัมผัสสัมพันธ์หนัง เอาความวิเศษมาจากไหน ถ้าจะวิเศษจริงๆ เราสัมผัสสัมพันธ์หนังเรามันก็ควรจะวิเศษขึ้นมาแล้ว หนังคนอื่นก็เหมือนกัน เขาก็สัมผัสสัมพันธ์ของเขาอยู่ตลอดเวลา เราก็สัมผัสสัมพันธ์กับของเรา ก็หนังต่อหนังนั่นแหละสัมผัสสัมพันธ์กัน มันวิเศษตรงไหน และยิ่งเขาไปเนื้อ เอ็น กระดูก ยิ่งดูไม่ได้เลย
นี่ความจริง เปิดออกมาให้เห็นซิ สติปัญญามีอยู่ ค้นลงไปจนเห็น หยั่งลงไป จ่อลงไป พิจารณาลงไป ไม่ให้กิเลสไปปักปันเขตแดนต่อไปอีกดังที่เคยเป็นมาแล้วว่าเป็นสัตว์ว่าเป็นบุคคล เอาลงไปตามความจริงที่มีอยู่จริงอยู่นี่ ขุดแล้วขุดเล่าอยู่นั้น จนความจริงปรากฏเด่นขึ้นมาภายในใจ ความปลอมมันก็จางไปๆ จนกระทั่งหมดสิ้นไป จึงได้รู้ว่า อ๋อ เป็นอย่างนี้ความจอมปลอม ความจอมปลอมมันลบได้ ความจริงลบไม่ได้ เป็นแต่เราไม่รู้ นี่ขั้นที่จะพิจารณาอย่างนี้ก็พิจารณา
พิจารณาเรื่องทุกข์ เวลามันจนตรอกจนมุม เรื่องความทุกข์บีบคั้น เกิดความทุกข์ลำบากในธาตุในขันธ์จะเป็นจะตาย เอ๊า อะไรตาย ดูให้เห็นความตายจริงๆ อะไรมันตายกันแน่ จิตผู้ที่กลัวตายมันตายไหม ค้นกันลงให้เห็นชัดเจน สุดท้ายมันไม่มีอะไรตาย มีแต่ความหลอกเท่านั้นแหละ หลอกเจ้าของให้ตกอกตกใจให้กลัวเป็นกลัวตาย ตื่นลมตื่นแล้งของกิเลส ทุกข์เวลาพิจารณาเข้าไปจริงๆ ก็สักแต่ว่าเท่านั้น จะว่าเป็นเราเป็นของเราที่ไหนได้
พูดถึงขั้นกายก็สักแต่ว่ากาย หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เป็นต้น มันก็มีจริงของมันอยู่อย่างนั้นตั้งแต่ทุกข์ยังไม่เกิด ทุกข์ดับไปแล้วมันก็มีของมันอยู่อย่างนั้น ใจซึ่งเป็นตัวรู้ๆ ก็รู้ของมันอยู่อย่างนั้น เป็นแต่เพียงกำลังหลงด้วยอำนาจของสิ่งที่หลอกมันมี เวลาพิจารณาเข้าไปจริงๆ ก็ต่างอันต่างจริง แน่ะ ถ้าแยกไปทางความจริงก็เป็นอย่างนั้นเสีย แยกออกไปทางไตรลักษณ์ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา มันก็มีรอบตัวอยู่แล้วทุกคน เต็มตัวอยู่แล้วทุกคน ไม่มีอะไรบกพร่องในไตรลักษณ์ทั้งสามนี้ ทำไมไม่พิจารณาเปิดดูให้เห็นชัด เพื่อจะได้ปล่อยได้วางลงสู่หลักความจริงและจะได้สบายหายห่วงกัน
ความห่วงความหวงก็คือภาระผูกพัน กดถ่วงให้ได้รับความทุกข์ความลำบากถ่ายเดียวเท่านั้น หาความสุขจากความห่วงความหวงเหล่านี้ไม่มีเลย ทำไมจึงฝืนห่วงฝืนหวงฝืนแบกฝืนหามอยู่เล่า ถ้าว่าเราเป็นผู้ฉลาด หาความฉลาด ทำไมจึงต้องไปแบกไปหามในสิ่งจอมปลอมเหล่านี้ ไปตื่นเงาของกิเลสหลอก พิจารณาให้เห็นความจริงซิ มันจะไปหลงอะไร จะไปยึดอะไร ต่างอันต่างจริงมันก็สบาย นี่ทางเดินอันถูกต้องผลก็ปรากฏขึ้นตามสาเหตุนี้แหละ นี่เป็นเหตุ เราพิจารณารู้อย่างนี้ ความปล่อยวางแล้วอยู่สบายหายกังวลก็เป็นผล
พากันตั้งอกตั้งใจซิมาประพฤติปฏิบัติ อย่ามาให้หนักอกหนักใจ เดี๋ยวจะไม่มีอะไรติดเนื้อติดตัวนะ อยู่เฉยๆ ไปวันหนึ่งๆ มันเกิดประโยชน์อะไร อย่าไปคิดกับสิ่งใดๆ ในโลกนี้ว่าจะวิเศษกว่าธรรม อย่าไปตื่นเต้น นั่นละเรื่องของกิเลสให้รู้มันเสีย มันหลอกอย่างนั้นแหละ หลอกอันนั้นจะดีอันนี้จะดี ตื่นในสิ่งนั้นตื่นในสิ่งนี้ ตื่นอยู่ไม่หยุดไม่ถอยก็คือมนุษย์เรานี่ เมื่อรู้จริงๆ แล้วไม่ตื่น อะไรมาหลอกก็ไม่ตื่น รวมสรุปความแล้วขึ้นชื่อว่าสมมุติ สามแดนโลกธาตุก็เป็นสามแดนโลกธาตุตามความจริงของเขาอยู่นั้นแล จิตก็เป็นจิตล้วนๆ รู้ล้วนๆ ปล่อยวางโดยสิ้นเชิงไม่มีอะไรเหลือแล้วจะตื่นกับอะไร แล้วอะไรจะมาติดจิตอะไรจะมากดถ่วงจิต เมื่อจิตไม่ไปแบกไปหามเสียเองเท่านั้น แล้วอะไรจะสบายยิ่งกว่าจิตที่ปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างโดยสมบูรณ์แล้ว เรื่องก็มีเท่านี้ ในสามแดนโลกธาตุนี้มารวมอยู่ที่จิตผู้ปล่อยวางโดยสิ้นเชิงแล้วเท่านั้น เป็นความวิเศษเหนือสิ่งใดๆ จงฟังให้ถึงใจถึงธรรม
นี่ก็ยังไม่ได้พูด ใครไปยังไงมายังไง เพราะสุขภาพเราก็ไม่ดีและภาระก็มาก วันหนึ่งๆ เกี่ยวข้องกันอยู่อย่างนั้นกับโลกจะทำยังไง หาเวลาเป็นตัวของตัวแทบไม่มี ไม่งานหนึ่งก็ต้องงานหนึ่งประจำตัวอยู่อย่างนั้น หมู่เพื่อนก็ปล่อยให้ภาวนา ตั้งหน้าตั้งตาภาวนาซิ อะไรจะสำคัญยิ่งกว่างานภาวนา ดูจิตเจ้าของมันคิดไปไหน อย่าดูออกนอกลู่นอกทาง อย่าคาดอย่าหมายไป มันเป็นเรื่องถูกหลอกจากกิเลสทั้งมวล เราเคยมาพอแล้วกับเรื่องของกิเลส เดี๋ยวนี้เราจะพยายามฝึกฝนอบรมจิตใจเราให้ซึมซาบในอรรถในธรรม เพื่อเข้าสู่ความจริงโดยลำดับลำดา จะได้มีความสุขความสบายทางด้านจิตใจ ซึ่งผิดกับความสุขในด้านใดๆ ทั้งสิ้น
เอาละ เหนื่อย
พูดท้ายเทศน์
โรคมันไม่รุนแรงถึงขนาดว่ารั้งไม่อยู่ จึงว่ามันอยู่กึ่งกลาง ปล่อยก็ปล่อยได้ ถ้าไม่ปล่อยก็อยู่ได้ มันแสดงให้เห็นชัดๆ ถ้าธรรมดามันไปนานแล้วแหละโรคของผมนี่นะ แต่นี้จิตของเรามันไม่อำนวยโรคอันนี้ ไม่ส่งเสริมมัน เรื่องหงุดหงิดๆ กลัวเป็นกลัวตายมันเป็นเรื่องเสริมโรคนี้ทั้งนั้น ถ้าเสียอกเสียใจยิ่งไปใหญ่ แต่นี้เราไม่มี อยู่ก็อยู่กับความจริง หากมันจะรั้งไว้ได้ก็เหมือนกับเรารักษาโลกด้วยยา มันควรจะต้านทานกันได้แค่ไหน ถ้ายาเหมาะกับโรคมันก็สงบลงไป ถ้าโรคมันรุนแรงยิ่งกว่ายาก็ผ่านไปเลย ไม่ฟังยา ถ้าเราพูดว่ายาเป็นธรรมโอสถก็อย่างนั้นเหมือนกัน
มันเคยคิด อยู่ไปมีอะไร ก็มีแต่มืดกับแจ้ง มีแต่ธาตุกับขันธ์ วันไหนก็วันนั้น ไม่เห็นมีอะไรเพิ่มเข้ามากว่านี้ ไม่เห็นมีอะไรลดลง ก็มีแต่ความจริงอยู่ตามหลักธรรมชาติ มันมาแบกอะไรนักหนาขันธ์นี่ บางทีมันคิดเหมือนกัน ปล่อยไปเสียมันก็สะดวกไม่ต้องยุ่ง พอเกี่ยวกับโลกภายนอกแล้วก็ทำให้รั้งให้อะไรของมัน เป็นเหมือนกับการหักห้ามกัน ประโยชน์เกี่ยวแก่ผู้เกี่ยวข้องที่ควรได้ยังมี มันก็คิดไป รั้งกันไปพอประมาณ
พอคิดถึงครูบาอาจารย์ที่ล่วงลับไปแต่ละองค์ๆ นี้ นอกจากผลประโยชน์เสียไป ยังทำความกระทบกระเทือนแก่จิตใจบรรดาลูกศิษย์อยู่ไม่น้อย หากยังไม่ถึงขั้นที่ควรจะเป็นอย่างนั้นก็ไม่ควรจะให้เป็น เราคิดหลายแง่หลายทาง ถ้าตามหลักธรรมชาติแล้วอยู่ไปอะไร ว่าอย่างนั้นเลย พูดง่ายๆ รู้แล้วนี่ ทิ้งไปตามสภาพมันซิ ให้หมดความรับผิดชอบไปเสีย ความรับผิดชอบมันก็เป็นสมมุติอันหนึ่งทับกันอยู่อย่างนั้น แต่ไม่ได้หมายถึงมันทับแบบทั่วๆ ไป เป็นสมมุติอันหนึ่งก็พูดยาก ทับหรือไม่ทับก็รับผิดชอบกันอยู่นี้รู้อยู่นี้ สิ่งนั้นสัมผัสสิ่งนี้สัมผัส จิตเป็นธรรมชาติที่รู้ มันไม่รู้ได้ยังไง ปิดไม่อยู่ มันรู้ของมันอยู่นี้
ธรรมปฏิบัติสำหรับพระมีมากนะ ญาติโยมก็ไม่เสีย ถ้าหากเทศน์ญาติโยมล้วนๆ ก็ไม่เน้นหนักขนาดนั้น ไปอีกแบบหนึ่ง แต่นี้มันมีจุดที่โลกเอามาฟันหัวเจ้าของ เราต้องไปคว้าเอามีดที่เขาจะนำมาฟันหัวเขานั้นออกบ้าง เช่นอย่างตายแล้วสูญ เป็นต้น นรกสวรรค์มีหรือไม่มีเป็นต้น สองกัณฑ์นี้เน้นหนักอยู่หน่อย ทำไมจะไม่พูดอย่างอาจหาญ ก็จะหนีจากจิตไปไม่ได้สิ่งเหล่านี้
เพราะฉะนั้น จงฟาดฟันกิเลสที่ปิดบังให้มันแหลกไปซิ จะไม่ยอมกราบพระพุทธเจ้าราบได้อย่างไร สิ่งเหล่านี้มีมาดั้งเดิมตั้งแต่ไหนแต่ไร กิเลสมันปิดตาให้มืดบอดไม่ให้เห็นเท่านั้นเอง เมื่อเปิดออกแล้วความจริงมีอยู่จะไม่รู้ไม่เห็นได้อย่างไร ต้องเปิดเผยด้วยความมีอยู่ของตน เป็นแต่ว่าตาเรานี่ถูกปิดบังด้วยของมืดเท่านั้นเองมันถึงไม่เห็น บาป บุญ นรก สวรรค์ ตายเกิด ตายสูญ เหล่านี้อะไรมาปิดไว้ ถ้าไม่ใช่กิเลสอย่างเดียวเท่านั้น เปิดนี้ออกทำไมจะไม่รู้ความจริง ก็มีอยู่แล้ว จริงอยู่แล้ว เพียงแต่ความจอมปลอมมันปิดไว้เท่านั้นเอง เปิดนี้ออกแล้วความจริงก็เด่นนะซิ เมื่อเห็นประจักษ์ใจแล้วค้านได้ยังไง ทำไมจะพูดไม่ได้เมื่อได้เห็นด้วยตา ได้ยินด้วยหู คนพูดเป็นภาษาเดียวกันรู้เรื่องกันอยู่แล้วทำไมพูดไม่ได้ เขาพูดกันได้ทั้งโลก แม้แต่เด็กก็ยังค้านเขาไม่ได้ ถ้าลงได้เห็นด้วยตาได้ยินด้วยหูเขาชัดเจนแล้ว ทำไมจะพูดเรื่องนั้นไม่ได้เต็มปากเล่า
นี่ก็เหมือนกัน ภาษาธรรม ภาษาใจ เข้าถึงกัน ความจริงกับใจเข้าถึงกันทำไมจะพูดไม่ได้ จะหวั่นอะไรในสามแดนโลกธาตุนี้ เอาอะไรมาหวั่น กลัวอะไรความจริงแท้ๆ ยกขึ้นมาซิ มียังไง นั่นแลที่ว่าอาจหาญ ไม่สะทกสะท้านกับสิ่งใดผู้ใด เพราะความจริง รู้ได้เหมือนกัน เห็นได้เหมือนกัน พูดได้เหมือนกัน เมื่อถึงกาลควรรู้ควรเห็นแล้ว ควรพูดแล้ว รู้ได้เห็นได้พูดได้ด้วยกันไม่มีสะทกสะท้าน ก็อย่างกระโถนนี่ มองมาซิตาใคร ไม่ใช่คนตาบอด เห็นไหมนี่ ปฏิเสธกันได้ยังไงว่ากระโถนนี้มีหรือไม่มี นี่เอาชัดๆ นี่ ใครก็พูดได้อย่างอาจหาญซิว่ามี ลบล้างได้ยังไงว่ากระโถนไม่มี นี่เรายกสมมุติขึ้นมาพูดกัน นอกจากคนตาบอดเท่านั้น เขาไม่เห็นก็คัดค้าน มีกี่ร้อยกี่พันคนก็ไม่เห็นด้วยกัน นั่นแหละประเภทตาบอดที่ไม่เห็นความจริงก็เป็นอย่างนั้น นั่นแลที่มักค้านธรรมพระพุทธเจ้า และคอยตัดคะแนนศาสนาคอยให้คะแนนศาสนา ก็คือกิเลสนั่นแหละ มันคอยตัดคะแนนคอยให้คะแนนไม่ใช่เรื่อง ความจริงแล้วไม่ตัดไม่เพิ่ม วางไว้ตามเป็นจริง เห็นตามเป็นจริง รู้ตามเป็นจริง ไม่ยกไม่ยอไม่เหยียบย่ำทำลาย เป็นเสมอภาค วางลงตามความจริงคือธรรม ไม่มีอะไรสม่ำเสมอยิ่งกว่าธรรม ความลุ่มๆ ดอนๆ สูงๆ ต่ำๆ มีแต่เรื่องตัวจอมปลอมทั้งนั้น มันร้อยสันพันคมตามไม่ทัน ถ้าสติปัญญาไม่เกรียงไกรจริงๆ ไม่ทันมัน
เอ๊า ให้ฝึก จิตเป็นสิ่งที่ฝึกได้แท้ๆ ด้วยสติปัญญา และสติปัญญานี้แลจะพาให้เห็นความจริง ญาณํ อุทปาทิ นั้นละเอียดเข้าไป ปญฺญา อุทปาทิ อาโลโก อุทปาทิ ญาณนั้นละเอียดยิ่งกว่าปัญญาเข้าไปอีก ท่านกล่าวไว้แล้วใน ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร แต่ก่อนเราก็ไม่ได้พิจารณา ทุกวันนี้มันอดไม่ได้นะ อ่านไปตรองไป อาโลโก อุทปาทิ ไม่มีปิดบังลี้ลับ เปิดเผยหมด ความสว่างกระจ่างแจ้งด้วยจักษุ ด้วยญาณ ด้วยปัญญา รวมตัวลงแล้วเป็น อาโลโก อุทปาทิ นี่ละภาคปฏิบัติ ภาคความจริงเป็นอย่างนั้น รวมตัวแล้วกระจ่างไปหมด อยู่ที่ไหนที่ว่านี้ ถ้าไม่อยู่ที่ใจดวงที่กำลังถูกปกคลุมหุ้มห่ออยู่ด้วยความมืดมิดปิดตานี้จะอยู่ที่ไหน เปิดออกซิ ต้องอาจหาญซินักปฏิบัติ รู้แล้วไม่อาจหาญได้อย่างไร ต้องอาจหาญเชียว เห็นประจักษ์ด้วยใจไม่อาจหาญได้หรือ
เอาละทั้งเทศน์ทั้งพูดจากบุคคลผู้เดียว มันตายได้คนเราพระเรา ถ้าไม่พักไม่หยุดบ้าง