กำลังจิตเหนือกำลังใดในโลก
วันที่ 7 พฤศจิกายน 2522 เวลา 19:00 น. ความยาว 63.48 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)

ค้นหา :

เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๒๒

กำลังจิตเหนือกำลังใดในโลก

พระกรรมฐานเกี่ยวกับเรื่องความสามัคคี ไม่เหมือนทางปริยัติ ทางกรรมฐานปฏิบัติเอาจริงเอาจัง ไม่ว่าอะไรทำตามหลักธรรมจริง ๆ ความสามัคคีท่านก็พูดไว้แล้ว อปริหานิยธรรมสูตร สมคฺคา สนฺนิปติสฺสนฺติ,สมคฺคา วุฏฺฐหิสฺสนฺติ, สมคฺคา สงฺฆกรณียานิ กริสฺสนฺติ. วุฑฺฒิเยว ภิกฺขเว ภิกฺขูนํ ปาฏิกงฺขา โน ปริหานิ. ประชุมก็พร้อมเพรียงกันประชุม เวลาเลิกก็พร้อมเพรียงกันเลิกและพร้อมเพรียงกันทำกิจที่สงฆ์จะพึงทำ นี่ก็คือข้อหนึ่งใน ๗ ข้อของอปริหานิยธรรมสูตร ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อความเจริญถ่ายเดียว ไม่มีความเสื่อม

ถ้าดำเนินตามหลักสาราณียธรรม อปริหานิยธรรมก็ถูกต้อง มีความสงบสุข อยู่ด้วยกันเป็นผาสุกประหนึ่งเหมือนอวัยวะเดียวกัน ในสาราณียธรรมก็พูดชัด ๆ ลงท้าย ๆ บอกตั้งแต่เรื่องความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เอกีภาวาย สํวตฺตติ เป็นไปเพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ปิยกรโณ ครุกรโณ เป็นไปเพื่อความรัก เป็นไปเพื่อความหนักแน่นความเคารพ สงฺคหาย อวิวาทาย สามคฺคิยา เอกีภาวาย สํวตฺตติ ย่อมเป็นไปเพื่อความพร้อมเพรียงสามัคคี เป็นไปเพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เอกีภาว

ธรรมเหล่านี้เป็นของปลอมเมื่อไร ผู้ปฏิบัติไม่ปฏิบัติตามธรรมเหล่านี้มันจึงเลอะ ๆ เทอะ ๆ ถ้าปฏิบัติตามธรรมเหล่านี้แล้ว ที่ไหนศาสนาจะลดหย่อนอ่อนกำลังไปที่ไหน มันอ่อนแต่ผู้ปฏิบัติตามศาสนาเหลวไหลเหลวแหลกไป เพราะผู้ปฏิบัติศาสนาทั้งนั้น ศาสนธรรมยังคงเส้นคงวาดังที่ว่านี้

ความอยู่ด้วยกันหลายองค์จึงต้องระมัดระวังกิริยามารยาทการแสดงออกต่อกัน อย่าให้มีเรื่องของกิเลสแทรกออกมาหรือเป็นหัวหน้าออกมา มามีอำนาจในการเกี่ยวข้องกัน จะเป็นการกระทบกระเทือนทำให้แตกร้าวสามัคคี อย่างน้อยก็ระแคะระคายให้เป็นอารมณ์ของใจภาวนาไม่ลง นั่นหลักใหญ่อยู่ตรงนั้น ต่างองค์ต่างมีธรรมอยู่ในใจ มุ่งอรรถมุ่งธรรมมุ่งเพื่อความถูกต้อง ไม่ยอมให้กิเลสประเภทเห็นแก่ตัวซึ่งฝังจมอยู่ภายในจิตใจ โผล่ออกมาทำลายธรรมะอันเป็นของดิบของดีต่อที่ประชุมหน้าสงฆ์มันก็ดีหากเรารักษาได้อย่างนั้น

ทำไมจะรักษาไม่ได้เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นของหยาบ ๆ ระหว่างเพื่อนฝูงอยู่ด้วยกัน พูดใครถูกใครผิดก็ทราบกันอยู่แล้วเพราะเป็นผู้ใหญ่ด้วยกัน พูดออกมาผิด ทำออกมาผิดกับหลักธรรมหลักวินัยต้องทราบกัน เมื่อทราบกันแล้วก็ สงฺฆมฺภนฺเต ปวาเรมิ การปวารณาซึ่งกันและกันที่เคยได้ประกาศอยู่ทุกปีวันมหาปวารณา ก็ตักเตือนสั่งสอนกันได้ สมกับที่เปิดช่องเปิดโอกาสให้ซึ่งกันและกัน การกล่าวไปเฉย ๆ สักแต่ว่ากล่าวก็ไม่เห็นมีประโยชน์อะไร นอกจากจะประกาศความเป็นหุ่นของพระเฉย ๆ หาสารคุณไม่ได้ นั่นคือการประกาศความเป็นพระไม่ใช่เป็นความจริงของพระผู้มุ่งอรรถมุ่งธรรม

การบวชเมื่อเรามุ่งต่ออรรถต่อธรรมอยู่ด้วยดีแล้วจะไม่มีความเดือดร้อนวุ่นวาย ไม่มีความทุกข์เหมือนอย่างโลกทั่ว ๆ ไป เพราะนั้นมันร้อยแปดพันประการที่จะเป็นไปเพื่อความกระทบกระเทือนระหว่างการหาอยู่หากิน การซื้อการขายกัน กิจการงานทุกด้านเพื่ออาชีพ นอกจากนั้นแล้วยังต้องการความเป็นผู้เรืองอำนาจอีก จึงต้องกระทบกระเทือนกันหลายแง่หลายกระทงเหลือประมาณที่จะพรรณนา แต่สำหรับพระเรานั้นไม่มี มีแต่มุ่งชำระสะสาง มุ่งถอดมุ่งถอนสิ่งที่เป็นเชื้อไฟ เป็นเหตุที่จะให้แสดงความเป็นมาอย่างที่กล่าวเรื่องของโลกนั้น เราถอนทุกวัน

ทุกข์ก็ทุกข์เพื่อการถอดถอนไม่ใช่ทุกข์เพื่อการสั่งสมที่จะเพิ่มพูนความทุกข์ขึ้นมาอีกเป็นขั้นที่สอง ความทุกข์เพราะการสำรวมระวัง การบังคับบัญชาจิตใจ การกดขี่บังคับหรือปราบปรามกิเลสแต่ละประเภท ๆ เป็นความทุกข์ธรรมดาของผู้จะก้าวพ้นจากความทุกข์ ต้องต่อสู้กับทุกข์ ตนเองก็ย่อมได้รับทุกข์บ้างเป็นธรรมดา แต่ทุกข์อันนี้ไม่ใช่ทุกข์เพื่อกิเลสเกิดขึ้นเพิ่มพูนความทุกข์ขึ้นให้เรา ทุกข์นี้เป็นไปเพื่อธรรมเกิดขึ้นเพื่อความสุขแก่เรา

พระพุทธเจ้าก็ทรงทุกข์ให้เห็นเป็นคติตัวอย่างมาด้วยดีแล้วไม่น่าสงสัย ถ้าพระพุทธเจ้าไม่ต่อสู้กับทุกข์จนผ่านพ้นทุกข์ ทั้งทุกข์ภายนอกคือกาย ทั้งทุกข์ภายในคือพระทัยแล้ว ก็เป็นศาสดาสอนโลกทั้งหลายไม่ได้ บรรดาสาวกก็เช่นเดียวกันเป็นลำดับลำดามา ล้วนแล้วตั้งแต่ผู้ได้แบกทุกข์หามทุกข์ต่อสู้กับทุกข์อย่างสมบุกสมบันในการดำเนินเหมือนกันหมด แต่ผลที่พึงได้รับของท่าน องค์นั้นสำเร็จพระโสดา องค์นี้สำเร็จพระสกิทาคา องค์นั้นสำเร็จอนาคา องค์นั้นสำเร็จอรหัตอรหันต์อยู่ที่นั่น ๆ สุดท้ายก็สำเร็จอรหัตอรหันต์ไปเลยเมื่อสู้ไม่ถอย ความทุกข์จะต้องมีโดยลำดับ ตั้งแต่เริ่มแรกแห่งงานเพื่อรื้อถอนกิเลส

การงานอย่างอื่นไม่ค่อยมีสิ่งต่อสู้ แต่การงานเพื่อรื้อถอนกิเลสนี้ กิเลสนั้นแลเป็นตัวต่อสู้ธรรม ดีไม่ดีเราสู้มันไม่ได้แล้วยอมรับกลอุบายของมันที่หลอกลวงหรือขับกล่อมเราให้หลับสนิทไปด้วยโดยไม่รู้สึกตัว มีมากต่อมาก ด้วยเหตุนี้จึงต้องใช้ความพินิจพิจารณาในการประกอบความเพียรในอิริยาบถต่าง ๆ สติเป็นของสำคัญให้มีอยู่กับตัวเสมอ เมื่อระลึกอยู่กับธรรมบทใด กับอาการใด ก็ให้รู้สึกอยู่กับตัว ท่านเรียกว่าสัมปชัญญะ นี่ก็เป็นทุกข์อันหนึ่ง เพราะความบังคับไว้ให้สติอยู่กับตัว รู้อยู่กับตัว ให้ความรู้ย้อนเข้ามาสู่ตัวก็รู้สึกตัว

สติเป็นเครื่องเหนี่ยวรั้งความรู้ให้ย้อนเข้ามา ถ้าสติไม่มีความรู้นั้นส่งไปข้างนอกตัวก็เหมือนตุ๊กตา ไม่มีความรู้สึกอะไร ความรู้สึกเหล่านั้นไปอยู่ภายนอกเสียหมด ความไปอยู่ภายนอกแห่งความรู้สึกนึกคิดต่าง ๆ สำคัญมั่นหมายต่าง ๆ เพราะไม่มีสติเป็นเครื่องกำกับรักษาหรือฉุดลากมาย่อมเป็นอันตรายต่อจิตใจ เพราะไปกว้านหาแต่สิ่งที่เป็นพิษเป็นภัยเข้ามาเผาผลาญจิตใจของตนอยู่ตลอดเวลา

ไม่มีคำว่ากิเลสนี้อ่อนแอ กิเลสนี้ขี้เกียจไม่สั่งสมตัวเอง คำอย่างนี้ไม่มี แต่ผู้บำเพ็ญธรรมย่อมมีอ่อนกำลังและมีกำลัง ในเบื้องต้นเป็นอย่างนั้น กิเลสไม่มีคำว่าอ่อน จนกว่าว่าสติปัญญาศรัทธาความเพียรของเรามีความแก่กล้าขึ้นไปโดยลำดับแล้ว สิ่งที่เป็นข้าศึกซึ่งกำลังรบกันกำลังห้ำหั่นกันอยู่นั้นก็ลดน้อยลงไป นี่เรียกว่ากิเลสอ่อนกำลัง การอ่อนกำลังของกิเลสนั้นอ่อนด้วยอำนาจของธรรมเป็นเครื่องตบต่อยฟาดฟันโดยลำดับ จนกระทั่งกิเลสสลายไปหรือว่ากิเลสตายลงไปจากใจเป็นลำดับลำดา ความต่อสู้ธรรมก็มีน้อย จนกระทั่งไม่มีกิเลสเหลืออยู่ภายในจิตใจเลย สิ่งที่จะมาเป็นปฏิกิริยาต่อจิตใจให้เป็นข้าศึกต่อธรรม ซึ่งธรรมกับตนก็เป็นอันเดียวกัน เป็นข้าศึกต่อตนด้วยนั้นไม่มี

เราอยากให้หมู่เพื่อนได้รู้ได้เห็น เราอยากพบอยากเห็นตามความมุ่งหมายของเราที่อุตส่าห์พยายามอบรมสั่งสอนหมู่เพื่อนมาเป็นเวลานาน และทุ่มเทกำลังลงทุกด้านเพื่อหมู่เพื่อน ไม่ว่าธรรมขั้นใด ๆ ไม่เคยปิดบังลี้ลับ ตลอดวิธีการดำเนินส่วนไหนที่พอจะนำออกมาเล่าให้ฟังหรือพูดให้ฟังได้เพื่อเป็นคติต่อหมู่เพื่อน เราพร้อมเสมอและเคยพูดมาอยู่เสมอ ก็เพราะอยากจะเห็นหมู่เพื่อนมีความเข้มแข็งต่อความพากเพียร เพื่อผลเป็นที่พึงใจดังครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่ท่านไดัรับไปแล้ว ได้เกิดขึ้นกับตนเพราะความเพียร มีความเข้มงวดกวดขันตัวเองเพราะความเพียรกล้า เพราะสติปัญญาดี ประคองตนไปโดยลำดับ ต้องการอยากเห็นอย่างนั้น

เพราะได้พิจารณาทดสอบมาเป็นลำดับลำดาตั้งแต่ขั้นเริ่มแรกแห่งการปฏิบัติธรรม พอธรรมเข้าสู่ใจคือความสงบเยือกเย็นก็เห็นคุณค่าขึ้นทันที ประหนึ่งว่ามีน้ำหนักมากกว่าความสุขใดที่เคยผ่านมาแล้วทั้งนั้น เพียงขั้นความสงบเท่านั้นเราก็ยังเห็นคุณค่าของตัวเอง และเห็นโทษแห่งความฟุ้งซ่านวุ่นวาย จึงทำให้มีแก่ใจขยับความพากเพียรขึ้นไปเรื่อย ๆ ความเด่นดวงของจิตก็แสดงขึ้นให้เห็นชัด ๆ กิเลสซึ่งไม่เคยเห็นโทษของมันก็เริ่มเห็นไปโดยลำดับลำดา เคยปฏิบัติมาอย่างนั้น เมื่อจิตมีความสงบเย็น

จิตนั้นมี ๒ จริต ส่วนมาก ๙๕ % จะมีความสงบเย็นลงธรรมดา ให้ถอนขึ้นมาเมื่อไรก็ได้ นี้เป็นภาคทั่ว ๆ ไปของผู้ปฏิบัติ จริตนิสัยของคนเราส่วนมากเป็นอย่างนั้น ๕ % นั้นมีความผาดโผนผิดประเภทนี้อยู่มาก ถ้ารวมก็รวมอย่างรวดเร็วเหมือนคนตกเหวตกบ่อ รวมลงไปแล้วแทนที่จะอยู่กับที่ ถอนตัวออกมาเหาะเหินโจนทะยานขึ้นเมฆขึ้นหมอกเมืองฟ้าเมืองสวรรค์นรกอเวจีที่ไหนไปได้ มี ๒ ประเภท ประเภทนั้นต้องอาศัยครูอาจารย์ที่มีความชำนิชำนาญช่วยจริง ๆ ไม่งั้นมีทางเสียได้จิตประเภท ๕ % นี่ ส่วนประเภท ๙๕ % ไปด้วยความราบรื่นดีงามธรรมดาไม่ล่อแหลมต่ออันตราย

เวลาสงบก็ปล่อยให้สงบ พอถอนขึ้นมาแล้วควรแก่การพิจารณาอย่านอนใจ การถอดถอนกิเลสทุกประเภทถอดถอนด้วยปัญญาทั้งนั้น ไม่ใช่ถอดถอนด้วยสมาธิ สมาธิเป็นเพียงทำกิเลสให้สงบตัวเข้ามา เหมือนกับรวมตัวของกิเลสเข้ามาแล้วแต่เราไม่ฆ่ามันก็ไม่ตาย ถ้าสมาธิอ่อนเมื่อไรกิเลสก็ฟุ้ง หรืออารมณ์ที่รุนแรงกว่ากำลังของสมาธิก็ทำสมาธิให้ฟุ้งได้ แต่ถ้าเป็นปัญญาแล้วจะเข้าใจไปโดยลำดับ กิเลสค่อยหลุดลอยไปเป็นวรรคเป็นตอน นี่คือวิธีที่เหมาะสมอย่างยิ่งการปฏิบัติไม่เนิ่นช้า ไม่ติดสมาธิด้วยซึ่งทำให้เนิ่นช้า เวลาเราพิจารณาทางด้านปัญญา

ความถนัดจัดเจนในทางใดตามจริตนิสัย ให้เราถือเอาความถนัดทั้งหลายที่จะต้องพิจารณาตามอาการนั้น ๆ ที่อยู่ในวงสัจธรรมอันเดียวกัน แล้วจะกระจายไปหมด เมื่อเข้าใจอันหนึ่งแล้วก็ซึมซาบไปทั่วถึงกันหมด กำหนดดูบังคับใจของเราให้อยู่ในร่างนี้แหละ เวลาให้อยู่ในร่างก็ให้อยู่จริง ๆ

เอาร่างกายนี้เป็นรั้วเลยเทียว เอาหนังเป็นรั้ว บังคับจิตให้เที่ยวอยู่ในหนังข้างนอกหนังข้างใน เลาะเลียบรั้วอยู่ข้างนอกแล้วก็เข้าวงในของรั้วได้แก่ร่างกายส่วนภายใน ดูเนื้อดูเอ็นดูกระดูกดูตับไตไส้พุงอาหารใหม่อาหารเก่า ดูขึ้นไปข้างบนข้างล่างด้านขวางสถานกลาง มีแต่ของปฏิกูลโสโครกทั้งนั้น ถ้าพูดถึงเรื่องอสุภะหรือปฏิกูล ถ้าพูดถึงเรื่องธาตุก็เต็มไปด้วยธาตุ ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา เต็มไปด้วยของปฏิกูลไม่ใช่ของสวยของงามตามความเสกสรรปั้นยอของกิเลสซึ่งชอบเสกสรรปั้นยอ เพราะกิเลสเป็นตัวปลอมอยู่แล้ว

อะไรที่จะเข้ากับกิเลสได้สิ่งนั้นต้องปลอม ความสวยงามนี้ก็คือของปลอมไม่ใช่ตรงตามความจริง ความจริงอย่างแท้จริงแล้วสวยงามที่ไหน ร่างกายของเราทุกส่วนมีส่วนไหนที่สวยงามน่ารักใคร่ชอบใจมันไม่มี แต่กิเลสมันพาเสกสรรจึงปีนเกลียวกับธรรมของพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นความจริง แล้วผลก็คือทำตัวให้ทุกข์อยู่นั้นแล

การพิจารณาจึงต้องบังคับจิตให้หยั่งไปตามอวัยวะต่าง ๆ ซึ่งเป็นความจริงอยู่แล้วทั้งด้านอสุภะทั้งด้านธาตุด้าน อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ตามแต่ความถนัด อสุภะก็เอา เมื่อพิจารณาออกจากอสุภะแล้วก็ลงเป็นธาตุ มันหากเป็นของมันเอง จะแยกไปในไตรลักษณ์ใดก็ได้ อนิจฺจํ หรือ ทุกฺขํ อนตฺตา หรือทั้งสามมันก็วิ่งถึงกัน นี่เรียกว่าการพิจารณาด้านปัญญา

เมื่อพิจารณาอันนี้ถ้ามันมีความดูดดื่มที่จะต้องพิจารณาภายนอกเข้าเป็นเครื่องประกอบเทียบเคียงกัน จะเป็นร่างใดรูปใดก็ตามก็พิจารณาแบบเดียวกันนี้ ได้สัดได้ส่วนทั้งข้างนอกข้างในแล้วจะหลงไปไหนจิต ข้างนอกก็เหมือนกันกับอันนี้ ข้างนี้ก็เหมือนกันกับข้างนอก หลงไปไหนงมเงาไปไหน มันก็สงบตัวของมันลงเอง คำว่าสวยว่างามเบาลงไป ความละเมอเพ้อฝันไปในความสวยความงามที่เคยเป็นมาก็ระงับลงไปเรื่อย ๆ พิจารณาซ้ำ ๆ ซาก ๆ จนเป็นที่เข้าใจแจ่มแจ้งชัดเจนหายสงสัย ไม่มีที่ลี้ลับแล้วการถอนความยึดมั่นสำคัญผิดอันเป็นตัวจอมปลอมนั้นมันก็ถอนเข้ามาเองด้วยอำนาจแห่งปัญญาที่พิจารณาเห็นแจ้งชัดเจนแล้ว เรียกปัญญา

เมื่อพิจารณาด้านปัญญาพอสมควรจิตมีความเมื่อยล้าได้เหมือนกัน เพราะจิตทำงาน การพิจารณาทางด้านปัญญาก็คืองานของจิต งานคุ้ยเขี่ยขุดค้นพินิจพิจารณา เหมือนกับทั้งฟาดทั้งฟันทั้งขุดทั้งแบกทั้งหามนั่นแหละ นี่เรียกว่างานของจิต เวลาทำไปนาน ๆ มันเหนื่อยเหมือนกัน เหนื่อยอยู่ภายในแล้วก็เหนื่อยธาตุขันธ์อีกด้วย เหนื่อยหัวใจเหนื่อยร่างกาย ไม่เหนื่อยแต่จิตใจเฉย ๆ

เอ้า เข้าพักสมาธิ กำหนดธรรมบทใดบทหนึ่งเท่านั้นเวลาต้องการจะเข้าพัก ให้จิตอยู่ในบทแห่งธรรมบทนั้น ไม่สนใจกับอันใดนอกเหนือไปจากบทธรรมที่จะนำมาบริกรรมเพื่อเป็นเครื่องยึดหรือที่เกาะของจิต ให้รวมกระแสเข้ามาสู่จุดเดียวแล้วก็สงบตัวลงไป คำบริกรรมนั้นก็หมดปัญหาไปเพราะจิตทรงตัวได้แล้ว เหลือแต่ความรู้อันเด่นและสงบตัวอยู่ตามปกติของผู้มีจิตสงบหรือจิตรวม พอมีกำลังแล้วถอยออกไปอีกเหมือนกัน แต่อย่าไปคาดไปหมายเวลาพิจารณา จะให้เป็นอย่างนั้นจะให้เป็นอย่างนี้ เพียงคาดไว้เบื้องต้นแล้วให้จับงานวงปัจจุบันอย่าให้เคลื่อนคลาดพิจารณาเรื่อย ๆ ไป นี่วิธีการพิจารณา

อันนี้พูดเพียงเป็นแถวเป็นแนวไว้สำหรับผู้ปฏิบัติได้ยึดเอาแง่ใดก็ตามไปปฏิบัติต่อตนเอง โดยจริตนิสัยของตนเอง หากรู้หากเห็นขึ้นมาก็ให้เป็นสมบัติของตนเอง อุบายวิธีการพิจารณาก็ให้เป็นอุบายของตัวเอง โดยอาศัยครูบาอาจารย์หยิบยื่นให้เพียงเงื่อนสองเงื่อนเท่านั้น แล้วไปตีแผ่กระจายออกไปเป็นเรื่องของเรา เป็นจริตนิสัยเป็นความฉลาดของเราเอง พิจารณาไม่มีสิ้นสุดเรื่องปัญญา ถ้ากิเลสไม่สิ้นสุดไม่หมดไปเสียเมื่อไร อุบายของปัญญาที่จะตามค้นคิด ที่จะเกิดขึ้นเพื่อแก้กิเลสหรือเพื่อทำลายกิเลสนี้จะมีไปโดยลำดับลำดา

ถ้าถึงขั้นสติปัญญาอัตโนมัติแล้วนั้นเราไม่ต้องพูด เรื่องที่จะผลักจะไสปัญญาเราให้ทำงาน นอกจากจะได้รั้งเอาไว้เพราะหมุนตัวเป็นเกลียว นี่จิตเหนื่อยร่างกายก็เพลียเพราะไม่ได้หลับได้นอน จิตไม่พอใจในการนอนแต่พอใจในการขุดการค้นตัดฟันกิเลสประเภทต่าง ๆ โดยลำดับ เพื่อความรู้แจ้งเห็นจริงโดยถ่ายเดียวเท่านั้น นี่เราก็ต้องได้หักห้ามจิตไม่ให้เลยเถิด ไม่ให้เลยความพอดี

ร่างกายทำงานก็มีความเหน็ดเหนื่อยต้องพักผ่อนนอนหลับ หรือรับประทานอาหารให้เป็นกำลังของกายเพื่อควรแก่การงานอีกต่อไป จิตเมื่อมีความอ่อนเพลียเพราะการพิจารณาค้นคว้าทางปัญญามากก็ต้องเหนื่อยและต้องพัก การพักของจิตนั้นพักด้วยสมาธิภาวนาให้จิตสงบ นี่คือความถูกต้องและจะเป็นไปเพื่อความราบรื่น

อยากพบอยากเห็นอยากได้ยินหมู่เพื่อนแสดงผลแห่งการปฏิบัติให้ได้ทราบ และอยากให้หมู่เพื่อนรู้เห็นสิ่งที่กล่าวมาทั้งมวลนี้ว่าอยู่ที่ไหน ใครจะเป็นผู้รู้ ใครจะเป็นผู้พิจารณา ใครจะเป็นผู้ตัดฟันกิเลส กิเลสอยู่กับผู้ใด คำว่ากิเลสดับไป ดับไปได้ด้วยเหตุผลกลไกอะไร ดับไปอย่างไร ดับด้วยวิธีการอันใด ให้รู้ประจักษ์ตัวเอง ๆ เอาเองดีกว่าครูบาอาจารย์พูดเป็นไหน ๆ ให้เป็นภาคปฏิบัติของตัวเอง

อย่าไปสนใจกับเรื่องโลกเรื่องสงสาร เป็นเรื่องของกิเลสทั้งมวล กิเลสนี้เคยก่อความทุกข์ความทรมานให้เรามามากต่อมากนานแสนนานแล้วไม่น่าสงสัย ว่าเราจะได้ดิบได้ดีมีความสุขความเจริญเพราะกิเลสฉุดลากไป หรือเพราะความเชื่อตามกิเลส

พึงคำนึงถึงพระพุทธเจ้าซึ่งแต่ก่อนก็เป็นคลังกิเลสเหมือนสัตวโลกทั่ว ๆ ไป ผลที่จะพึงได้รับจากกิเลสที่ผลิตขึ้นคืออะไรบ้าง พระองค์ก็ทรงสัมผัสรับรู้มาโดยลำดับลำดา หากจะประเสริฐเพราะเรื่องของกิเลสแล้วพระพุทธเจ้าก็ไม่ทรงแสวงหาโมกขธรรม เพื่อแดนหลุดพ้นจากกิเลสและเป็นความบริสุทธิ์วิเศษขึ้นมา จะต้องมั่วสุมอยู่กับโลกเช่นเดียวกับสัตวโลกทั่ว ๆ ไป พึงนำคติของพระองค์มาพิจารณาเทียบเคียงเป็นคติเตือนใจตัวเอง

เท่าที่เป็นมานี้ก็ไม่มีใครสงสัยแหละในเรื่องของกิเลส ไม่ว่าความโลภ ไม่ว่าความโกรธหรือความหลง ราคะตัณหา มันแสดงผลออกมาอย่างไรบ้างพอทราบ เพราะเคยกันมานมนาน อันนี้เป็นสิ่งที่จำเจเหลือเกิน อยู่กับจิตใจ ฝังอยู่กับใจเป็นประจำไม่มีเวลาพรัดพรากจากกันเลย แม้ขณะหลับก็เป็นเพียงกิเลสสงบตัวเท่านั้นไม่ออกทำงาน เราหลับกิเลสก็สงบตัว พอเราตื่นกิเลสก็ตื่น หรือจะเรียกว่าในขณะที่เราหลับกิเลสก็หลับไม่แสดงตัว หลับสนิทนั้นคือกิเลสก็หลับสนิท นี่เราแยกออกมาจากความสงบของกิเลสในขณะที่หลับสนิท จะว่ากิเลสหลับสนิทก็ได้ พอเราตื่นกิเลสก็เริ่มตื่นแล้ว

เมื่อเริ่มตื่นแล้วกิเลสจะเริ่มออกตามทวาร ออกเที่ยวหากินเที่ยวหากว้านอาหารตามที่ต่าง ๆ ออกทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ครุ่นคิดอยู่ภายในจิตใจเป็นธรรมารมณ์ ล้วนแล้วตั้งแต่กิเลสทำงานของมัน นี่เป็นปกติของสามัญชนเราเหมือนกันหมดไม่มีข้อยกเว้น ถ้าจิตยังไม่บริสุทธิ์เสียตราบใดเราจะไม่เห็นความอิสระของจิตตราบนั้น

โรงงานของกิเลสทั้งมวลก็คือจิต ทำงานอยู่ที่นั่น ทางออกเข้าของกิเลสก็คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ใจเป็นผู้ทำงาน ในขณะเดียวกันเราพยายามเอา ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจของเรานี้ให้เป็นทางเดินของธรรม ให้เป็นที่ผลิตอรรถผลิตธรรมผลิตมรรคผลนิพพานขึ้นมา ดังที่เราปฏิบัติธรรมอยู่นี้เรียกว่าเราจะเปลี่ยนสภาพ เปลี่ยนเจ้าหน้าที่ทำงานภายใน เปลี่ยนผู้ออกแสวงหารายได้ภายนอก ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ให้ธรรมออกที่นี่

เห็นอะไรพิจารณาเป็นธรรม ได้ยินสิ่งใดพิจารณาให้เป็นธรรม เพื่อการถอดถอนตนเองเสมอไป นี่เรียกว่าธรรมออกทำงาน ผลที่ธรรมออกทำงานก็เป็นความสุข กิเลสออกทำงานเป็นความทุกข์ กว้านอะไรเข้ามามีแต่ยาพิษทั้งนั้น เผาลนจิตใจให้เกิดความเดือดร้อนไม่มีเวล่ำเวลา ไม่มีเช้าสายบ่ายเย็น ไม่เลือกชาติชั้นวรรณะฐานะใด ๆ ทั้งนั้น กิเลสต้องเหยียบย่ำทำลายลงเหมือนกันหมด

เราพยายามเปลี่ยนสถานที่ทำงานก็คือจิตดวงนั้นแหละ แต่ผู้ทำงานภายในจิตให้เป็นธรรม ออกทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็ให้เป็นอาการของสติของปัญญา จิตออกไปถึงไหนสติปัญญาตามต้อนตามพิจารณาให้รู้เหตุรู้ผล นี่เรียกว่าเปลี่ยนผู้ทำงานภายใน เปลี่ยนผู้ที่ออกสู่หางานภายนอก เป็นธรรมไปทั้งมวลด้วยความระมัดระวัง ทุกข์ก็ยอมรับ อย่าเอาคำว่าทุกข์มาเป็นอารมณ์เครื่องกีดขวางจิตใจ จะทำให้ท้อแท้อ่อนแอ ซึ่งเป็นเรื่องอุบายกลมายาของกิเลสหลอกลวงเรา

ถ้าธรรมแล้วไม่อ่อนแอ ถ้าธรรมแล้วต้องมีเหตุมีผลดำเนินตามนั้น ถ้ากิเลสแล้วหาเหตุผลไม่ได้เพราะมันไม่ชอบเหตุผล กิเลสไม่เคยสนใจต่อเหตุผล เป็นไปตามความอยากความต้องการของตนเท่านั้นเป็นสิ่งที่กิเลสต้องการ หรือเป็นทางเดิน เป็นเนื้อเป็นหนังเป็นอวัยวะชีวิตจิตใจของมัน ถ้าเราจะพูดอย่างนี้ก็พูดได้ ไม่ว่าโคตรว่าแซ่ของกิเลสประเภทใดเหมือนกันหมด แล้วเราจะสงสัยที่ไหนโลกอันนี้เมื่อพิจารณาถึงอย่างนี้อยู่แล้ว

หัวใจใดก็เหมือนกัน ธาตุขันธ์อันใดที่อำนาจของกิเลสผลิตขึ้นมาเป็นวิบาก เป็นรูปเป็นกายเป็นหญิงเป็นชาย ก็ผลิตขึ้นมาจากกิเลสเป็นตัวเหตุให้มีวิบากดีชั่วติดตามมาด้วย ก็ไม่พ้นที่จะมีความทุกข์ รังของทุกข์เรือนของทุกข์ จะนอกเหนือไปจากกายได้ที่ไหน บ้านเรือนตึกรามต่าง ๆ ไม่ใช่ที่อยู่ของทุกข์นี่ บ้านเรือนคือร่างกายของเรานี้มันเป็นที่อยู่ของทุกข์จริง ๆ ทุกข์ที่ตรงนี้ ทุกสัดทุกส่วนไม่เว้น นอกจากผมเท่านั้นแหละตัดออกมันก็ไม่เจ็บ นอกนั้นเจ็บหมด แม้แต่เล็บมือก็ยังเจ็บ ถ้าส่วนไหนมันตายไปแล้วก็ไม่เจ็บ..เล็บมือ จึงว่าเรือนแห่งความทุกข์ทั้งหลายหรือว่ากองทุกข์ ขันธะ แปลว่า หมวด ถ้าจะแปลให้เป็นความสวยงาม ถ้าแปลเพื่อเอาความจริงความจัง เพื่อรู้เหตุรู้ผล เพื่อรื้อถอนกิเลส เพื่อเห็นเหตุเห็นผลแห่งความทุกข์จริง ๆ แล้ว ก็เรียกว่า

ขันธะ แปลว่า กอง กองอะไร กองทุกข์ นั่น อะไรมันก็ทุกข์ด้วยกัน รูปํ ก็ ทุกฺขํ อนิจฺจํ อนตฺตา เวทนาก็ ทุกฺขํ อนิจฺจํ อนตฺตา เหมือนกัน สัญญา สังขาร วิญญาณ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เหมือนกัน จะไม่เรียกว่ากองทุกข์ได้ยังไง นี่ขันธ์ ๕ ก็มีเท่านี้ ตัวใจก็เป็นเรือนของทุกข์ ถ้าสติปัญญาไม่สามารถที่จะชะล้างขับไล่กองทุกข์อันเป็นผลของกิเลสผลิตขึ้นมาให้หมดไปแล้ว ใจก็คือกองทุกข์อยู่โดยดีตลอดกาลไหน ๆ ใจจะไม่พ้นจากกองทุกข์ ใจจะหาความสะอาดหมดจดหรือบริสุทธิ์ไม่ได้ ถ้าไม่ได้รับการชำระสะสางการซักฟอก ความช่วยเหลือจากเจ้าของคือสติปัญญา เราจะหาทางพ้นทุกข์ไม่ได้

เพราะฉะนั้นเราเป็นผู้รับผิดชอบเรา เมื่อทราบแล้วด้วยเหตุผลอย่างชัดเจนเช่นนี้ เราจะรอได้ยังไง จะมาอ่อนแอขี้เกียจมักง่ายได้ยังไง อย่างไรจะพ้นเราก็ต้องพยายามแหวกว่ายจนกระทั่งชีวิตหาไม่ จะตายก็ตายด้วยความแหวกว่าย ไม่ตายให้พ้นถึงฝั่งแห่งความหลุดพ้นหรือถึงฝั่งพระนิพพาน สมความเป็นลูกศิษย์ตถาคต ไม่สงสัยในเรื่องโลกอันนี้ซึ่งเป็นแดนแห่งป่าช้าความเกิดตายเต็มไปหมด อยู่สถานที่ใดถ้าลงมีแดนแห่งความเกิดแก่เจ็บตายอยู่แล้ว เราอย่าหวังความสุขที่จะเป็นที่พึงใจ

ความคาดคะเนความเดาไม่ใช่ความจริง ความรู้ประจักษ์แจ้งในธรรมทั้งหลาย ทั้งอนิจฺจํ ทั้งทุกฺขํ ทั้งอนตฺตา ครอบโลกธาตุนี้เป็นความจริงไม่สงสัย เมื่อพิจารณาถึงขนาดนั้นแล้วหายสงสัย แล้วก็สนุกที่จะประกอบความพากเพียร สนุกที่จะฟาดฟันหั่นแหลกกับกิเลสอย่างไม่คิดชีวิตจิตใจจะเป็นจะตายร้ายดีประการใด ขอให้หลุดพ้นเท่านั้น เมื่อประมวลกำลังมาจากการพินิจพิจารณาโดยทางปัญญาอย่างชัดเจนแล้วอย่างนี้ จิตต้องมีกำลัง กำลังใดจะเหนือกำลังของจิตไม่มีในโลกอันนี้ กำลังของจิตเป็นสำคัญ กำลังใดความเฉลียวฉลาดใดจะเหนือปัญญาก็ไม่มีเหมือนกัน ต้องพยายามฝึกให้เกิดให้มีขึ้นอย่าอ่อนแอ

อยู่อิริยาบถใดจะขบจะฉันกับปัจจัยชนิดใดอยู่ก็ตาม อย่าลืมการทำงานของตน อย่าลืมตัวให้มีสติอยู่กับตัวเสมอ ลิ้นก็ไม่ดีดไม่ดิ้น ท้องก็ไม่ใหญ่ไม่โตจนเกินมนุษย์มนา เพราะท้องมีธรรม ท้องมีผู้กำกับ ลิ้น ปากมีสติปัญญาคอยกำกับ จะเป็นลิ้นปากที่เหมาะสมกับการเลี้ยงชีพของตน เหมาะสมกับเป็นที่ทำงานเพื่อร่างกายและความเป็นอยู่ และเพื่อการบำเพ็ญธรรมด้วยความสะดวกสบาย โดยไม่มีกิเลสตัณหาประเภทใด ๆ เข้าแทรกสิงในขณะนั้น ๆ ได้เลย นี่แหละความมีสติมีปัญญาเป็นอย่างนี้

พากันพิจารณาทุกซอกทุกมุมจึงจัดว่าเป็นผู้หาความฉลาด ไม่เช่นนั้นจะเอาตัวไปไม่รอดนะ ความฉลาดต้องขึ้นอยู่กับความชอบคิดพิจารณาไตร่ตรองย้อนหน้าย้อนหลัง พลิกแพลงเปลี่ยนแปลงหลายสันหลายคม เช่นเดียวกับกิเลสมันเป็นตัวพลิกแพลงเปลี่ยนแปลงหลายสันพันนัย สติปัญญาก็ต้องเป็นอย่างนั้น ให้ได้เสวยความสุขตามหลักธรรมที่ท่านประกาศสอนไว้จากพระทัยของพระพุทธเจ้า ที่ทรงมุ่งหวังประโยชน์ให้สัตวโลกได้รับความสุขความเจริญทางด้านจิตใจเป็นสำคัญกว่าอื่นโดยทั่วกัน จนกระทั่งถึงหลุดพ้นจากทุกข์โดยสิ้นเชิง ถึงความสุขอันสมบูรณ์

เราเป็นลูกศิษย์ตถาคตขอให้พึงดำเนิน พึงยึดพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เป็นหลักใหญ่อยู่ภายในจิตใจ ยิ่งกว่ากิเลสที่มันแอบแฝงอยู่ภายในจิตใจ แล้วเป็นใหญ่เหยียบย่ำทำลายเราอยู่เสมอ อย่าได้นอนใจ

พูดท้ายเทศน์

เวลาเรียนหนังสือก็เป็นอย่างนั้น ทีนี้เวลามาออกปฏิบัติละซี อันนี้ยิ่งไปใหญ่ เพราะความเชื่อมั่นในตัวเองกับมรรคผลนิพพานมันเชื่อฝังลงไปมากแล้ว ก็เนื่องจากได้อ่านประวัติของพระพุทธเจ้าและประวัติของสาวก ได้สำเร็จมรรคผลนิพพานอยู่ที่นั่นที่นี่ จิตมันขยับเข้ามันอยากเป็นพระอรหันต์ แต่ยังไงเราจะต้องเรียนเสียก่อน จิตใจยังมีอาลัยอยู่กับการเรียน แต่มีข้อบังคับเอาไว้ว่าได้แค่ประโยค ๓ แล้วออก นักธรรมได้แค่ไหนก็ตามไม่สำคัญ

เพราะการที่จะสอบเปรียญ ๓ ประโยคนักธรรมตรีต้องได้ ไม่ได้เขาไม่ให้สอบ ถ้าสอบประโยค ๔ จะต้องได้นักธรรมโท ๔ - ๕ - ๖ นักธรรมโทได้แค่นั้น จะสอบเปรียญ ๗ - ๘ -๙ ก็ต้องได้นักธรรมเอก มันมีกฎของเขา เราได้นักธรรมตรีแล้วนี่ สอบเปรียญก็ตกอยู่เรื่อย สอบนักธรรมควบกันไปมันก็ได้เรื่อยนักธรรม วาระสุดท้ายก็ได้ทั้งนักธรรมเอกทั้งประโยค ๓ ก็คุ้มกัน เพราะเราตกทั้งนักธรรมทั้งบาลี ตกทั้งสองเลย

แต่ก็ไม่เสียใจเพราะว่าภูมิของเจ้าของไม่ค่อยดี แปลธรรมบทปีเดียวก็ไปสอบกับเขา ครูให้สอบ เห็นว่าเราเรียงประโยคได้แล้ว ไม่ได้ก็ไม่เสียใจ นักธรรมโทก็ไม่เสียใจ เพราะภูมิไม่เต็ม ปีที่สองมานี้ภูมิเต็ม ปรากฏในใจเจ้าของ นักธรรมโทก็เต็ม ประโยคก็เต็ม สอบแล้วได้นักธรรมโทได้คะแนนเอกนะ ประโยคตกเสียใจมาก สอบปีหลังถึงได้ ได้ทั้งนักธรรมเอกทั้งประโยคสอบควบกัน นักธรรมเอกสอบปีเดียวได้ นักธรรมโท ๒ ปี ประโยคนี่สอบถึง ๓ ปี ทั้งเรียนรวมกันแล้ว ๔ ปี เรียนนี่เอาจริงเอาจัง หลักบาลีนี่ผมท่องได้เหมือนปาฏิโมกข์ คล่องทุกเล่มเลยเอาจริงขนาดนั้น เอา ครูจะถามมามันกดถ่วงหมู่เพื่อนเสียเวล่ำเวลา

ดูประวัตินี่จิตมันฝังแล้วนะอยากเป็นพระอรหันต์น่ะ ทีนี้พอจะออก มันก็มีมารอันหนึ่งหรือยังไงก็ไม่รู้แหละ พอจะออกจริง ๆ แล้ว เอ พระอรหันต์ทุกวันนี้จะยังมีหรือไม่หนา หากมรรคผลนิพพานยังมีอยู่ ทำลงไปผลเป็นที่ตอบรับเป็นที่พึงใจแล้วยังไงก็จะเอาตายเข้าว่าเลยเทียว ทำไงใครจะมาแก้เรื่องมรรคผลนิพพาน ทั้ง ๆ ที่เรียนหนังสืออยู่นั้นมันก็ยังสงสัย เรียนธรรมะ ธรรมะคือตลาดแห่งมรรคผลนิพพานแต่มันก็สงสัย

ตัดสินใจลงว่า เอ้า ถ้าครูบาอาจารย์องค์ใดสามารถสอนธรรมะเราให้ถึงเหตุถึงผลเกี่ยวกับมรรคผลนิพพานเป็นที่ลงใจแล้ว เราจะมอบกายถวายตัวต่อครูบาอาจารย์องค์นั้น แล้วสุดท้ายไปหาท่านอาจารย์มั่นอย่างว่า ตั้งหน้าออกแล้วนะนี่ไม่หวังอะไรแล้ว ออกเพื่อความพ้นทุกข์อย่างเดียว

ไปถึงท่านปัญหาที่เราคิดในใจทั้งหมดมันไปอยู่ในท่านหมดแล้ว เหมือนกับท่านกวาดต้อนเข้ามาไว้ในใจท่านหมด พอเราไปถึงท่านก็ใส่ผางเลย โอ้โห เหมือนกับว่าไปบอกกับท่านไว้แล้ว นี่น่า ๆ สงสัยไปไหน เราอยู่กับมรรคเราอยู่กับผล เราอยู่กับกิเลสตัณหา กิเลสตัณหากับมรรคกับผลอยู่ด้วยกัน จิตใจดวงเดียวกัน สัจธรรมอยู่ตรงจุดเดียวกัน เอาละที่นี่ ขยับลง ๆ เอ้า แก้กิเลสให้ได้ไม่ต้องถามมรรคผลนิพพาน ฟาดมันลงไป อู๋ย เด็ดเผ็ดร้อน ปัง ๆ ๆ จิตมันก็ถึงกึ๊กเลย

เอาที่นี่หายสงสัย เอาละที่นี่ย้อนมาหาเจ้าของทีนี้จะจริงไหม ต้องจริงไม่จริงไม่ได้ นั่นมันรับกันขนาดนั้นนะ เราหาความจริงอย่างนี้แท้ ๆ นี่มาเจอความจริงแล้วต้องจริง ไม่จริงไม่ได้ เอ้า ตายก็ตายตั้งแต่บัดนี้ต่อไป นั่นละที่ผมมันหนักจริง ๆ ตั้งแต่บัดนั้นเลยเรื่องความเพียร แหม คิดย้อนหลังกลัวนะ กลัวเจ้าของ หมุนติ้ว ๆ ๆ

แปลกจริงเวลาเราเอาจริงเอาจัง ตั้งแต่อยู่เรียนหนังสือจิตก็ไม่เห็นเป็น เวลาออกปฏิบัติตอนจะเอาจริงเอาจังมันจะมีมารนะหรือยังไง ได้ยินเสียงผู้หญิงก็ไม่ได้นะ ทำไมเรื่องของราคะมันแย็บทันที ๆ เลยจนเรางงเหมือนกัน เอ้า เราก็ตั้งใจมาปฏิบัติธรรมไม่เคยสนใจกับผู้หญิงเลย ทำไมเพียงได้ยินเสียงผู้หญิงเท่านั้นมันก็แย็บ แต่มันแย็บอยู่ภายในจิตต่างหากนะ มันแย็บ ๆ ๆ ของมัน เอ๊ะ ชอบกลว่ะ ทำไมมันเป็นอย่างนี้ ก็ยิ่งขยับเข้า

แต่เวลามาพิจารณาทีหลังไม่ใช่อะไรนะ คือเรามีสติสตังบ้างเวลาแย็บออกไปมันรู้ รู้ได้ง่ายพูดง่าย ๆ เท่านั้นละ ไม่ใช่เราเป็นอย่างนั้นมันกลับกำเริบขึ้นมาก็ไม่ใช่ เวลาผ่านไปถึงรู้ อ๋อ แต่ก่อนจิตของเรามันมืดมันดำมันไม่รู้เรื่องรู้ราวเหมือนหลังหมีนี่แล้ว มันจะไปทราบอะไรสีขาวสีด่างสีอะไร มันเป็นหลังหมีเสียหมด ทีนี้พอเราผ่านไปแล้วค่อย ๆ รู้ เวลาจิตละเอียดเข้ามันรู้ได้เร็ว เป็นเหมือนกับว่ามันแสดงกิเลสขึ้นอย่างรวดเร็ว แย็บเท่านั้นละพอให้รู้ ไม่เลยจากนั้น จึงได้เร่งกันใหญ่

โห ทุกข์จริง ๆ อย่างทุกวันนี้ไม่ได้ หนึ่ง สุขภาพร่างกายไม่อำนวย กำลังวังชาไม่มี แต่พยุงกันอยู่ขนาดนี้มันยังคอยแต่จะล้ม ทุกวันฉันอะไรมีแต่บำรุงนะก็ไม่เห็นได้เรื่องได้ราว มันคอยแต่จะล้มลงอยู่เรื่อย ๆ ท่าล้ม ๆ คือท่านอน แต่ก่อนจะไปบำรุงมันได้เหรอมีแต่จะกดหัวมันลงเรื่อย ๆ มันหนักไปเรื่อย ๆ ๆ ความลำบากลำบนขนาดไหนฟาดกันลงเรื่อย ส่วนมากมันหนักอดอาหารนะผมจนท้องเสีย มันเป็นนิสัยเจ้าของไม่ทำอย่างนั้นไม่ได้ไม่เห็นผลประจักษ์ ทำอย่างนั้นมันดีจึงได้เอากันอย่างหนัก ๆ เรื่อย ๆ มาเลย

แต่มันเผลอตัวมาติดสมาธิอยู่ตั้งหลายปี ๕ ปีผมน่ะ สมาธินี่โกหกยากว่างั้นเลย มันอาจหาญจริง ๆ นี่เรื่องสมาธิ ใครจะมาโกหกยากเหลือเกิน โกหกเราเรื่องสมาธิเป็นยังไง ๆ คือมันช่ำชองของมันขนาดนั้น ลงเมื่อไรก็ได้นี่ขนาดนั้นละ ซึ่งแต่ก่อนมันลงได้เมื่อไร เวลามันชำนาญของมันพอแล้ว โอ้โห พอนั่งกำหนดปั๊บนี่เอื่อย.....แล้วเงียบเลย แต่ก่อนมันทำไม่ได้ จึงเรียกว่าชำนาญ เข้าไปเงียบอยู่นั้นเสีย จนถูกพ่อแม่ครูอาจารย์ขนาบมันถึงได้ออก พอออกก็เตลิดเลยมันไม่พอดีนิสัยเรา ทางด้านปัญญาก็จนลืมวันลืมคืนลืมหลับลืมนอนไป นอนก็ไม่หลับ เรื่องอสุภะอสุภังนี่มันชำนาญจริง ๆ นะ

ไม่ว่าอะไรฝึกมันชำนาญทั้งนั้น ดูเขาต่อยมวยกันซี เขาฝึก-เขาฝึกกับอะไร เตะลมเตะแล้งไปอย่างนั้น เตะกระสอบทรายกระสอบอะไรไป ต่อไปก็ขึ้นเตะคนต่อยคนละซิ เมื่อชำนาญเข้าก็เป็นแชมเปี้ยนได้ นี่ก็เหมือนกันฝึกเข้า ๆ สมาธิก็ชำนาญเป็นแชมป์สมาธิ ถึงขั้นปัญญามันก็ชำนาญเข้าเป็นแชมป์ขั้นปัญญา หมุนติ้ว คือความลงใจเรื่องมรรคผลนิพพาน ลงจริง ๆ ถึงใจจริง ๆ ไม่สงสัย มีแต่จะเอาให้รู้ นั่นซีกำลังของจิตมันถึงได้หมุนไม่มีปรานีปราศัยเจ้าของเลย แต่ก็สมเหตุสมผลคือร่างกายตอนนั้นมันก็พร้อม ต้องได้กดมันไว้ร่างกายมันมีกำลัง ต้องกดมันไว้ด้วยการอดอาหาร นอกจากกดไว้ด้วยการอดอาหารแล้วยังเพื่อการบำเพ็ญธรรมด้วย การอดอาหารมี ๒ ประการเราเห็นประจักษ์ในตัวของเราเอง

การอดอาหารภาวนาสะดวกสบายคล่องตัว ใจก็เอาการเอางานใจเอาจริง ๆ กำลังของใจพาให้ธาตุขันธ์ล้มไปตามเลย จึงต้องหมุนไปตามมันไม่หมุนไม่ได้ ความมุ่งมั่นมันรุนแรง ทุกข์ยากลำบากแค่ไหนมันไม่สนใจ มีแต่จะเอาให้ได้ ๆ นี่ละความมุ่งมั่นมีพลังมากความเพียรก็ต้องเป็นไปตามนั้น สำคัญความต้องการความอยากได้ความอยากรู้อยากเห็นมีกำลังมากเพียงไร นั้นละเป็นเครื่องประกาศให้ทราบชัดเจนว่า ความเพียรจะต้องเป็นไปตามนั้นโดยไม่ต้องสงสัย เราเห็นของเราเอง มันอยู่เฉย ๆ ไม่ได้เพราะมันอยาก ฟาดเสียเต็มเหนี่ยวความอยากความมุ่งมั่น

ถ้ามาเทียบอย่างทุกวันนี้แล้วร่างกายก็หมดกำลังของมันจะทำอย่างนั้นได้ยังไง เป็นคนละโลกแล้วมันคอยแต่จะล้มอยู่แล้ว พยุงมานี้ก็จะล้ม ๆ จุดสำคัญก็คือว่าความมุ่งมั่นอย่างนั้นก็ไม่มี มันหมดไปเลยจะว่าไง หมดจริง ๆ ก็บอกว่าหมด ความมุ่งมั่นเพื่อมรรคผลนิพพาน อยากเป็นอรหัตอรหันต์มันก็หมดและหมดโดยสิ้นเชิงด้วยไม่ใช่หมดธรรมดา หมดอย่างหายสงสัยด้วย แล้วจะเอาอะไรไปหมุนหาอะไรอีก ความเพียรเพื่ออะไร มุ่งมั่น มุ่งมั่นเพื่ออะไรมันก็ไม่มี สมมุติว่าให้เราไปทำอย่างนั้น โอ๊ย ไม่ได้ ตายก่อนยังไม่ได้ทำ ยังไม่ทันลงมือทำมันจะตายก่อน

มันไปเต็มเหนี่ยวของมันแล้วก็หยุดกึ๊กเลย สติปัญญาที่หมุนเป็นธรรมจักรไม่มีวันมีคืนเว้นแต่หลับเท่านั้น ก็ยังดับเครื่องกึ๊กลงไปพร้อม เหมือนกับว่าปิดเครื่องทำงานโรงงานของจิต หยุดกึ๊กเครื่องก็หยุดหมด อันนี้มันก็หยุดกึ๊กของมันหมดเลย เป็นคนละคนที่นี่ มหาสติมหาปัญญาหยุดกึ๊กไปไหนไม่รู้ เพราะอันนั้นมันหมุนเพื่อจะทำลายอันนี้ เมื่อไม่มีอะไรทำลายก็หมดปัญหา

จากนั้นมาแล้วความเพียรก็อย่างว่านั่นแหละ ก็ทำเป็นความเหมาะสมของเจ้าของเอง ไม่ว่าอิริยาบถใดทำความเพียรก็เป็นความเหมาะสมกับเจ้าของเอง ไม่ใช่เพื่อการบังคับบัญชาเหมือนแต่ก่อน ไม่ได้บังคับ อยากเดินจงกรมเมื่อไรก็เดิน นั่งภาวนาเราก็นั่งตามความเหมาะจิตใจธาตุขันธ์ของเรา ต้องการเมื่อไรก็ทำ ไม่ได้ทำด้วยการกดขี่บังคับหรือทำด้วยความมุ่งมั่นอะไรอย่างนั้นไม่มี จิตใจไม่มีอะไรมาดีดมาดิ้นพอที่ เอ๊ะ ทำไมเป็นอย่างนี้

นี่เราถึงได้เห็นคุณค่าของธรรม ธรรมที่ครองใจเต็มที่แล้วมีคุณค่ามหาศาลประมาณไม่ได้เลย ในขณะเดียวกันก็เห็นโทษของกิเลสที่มันเคยครองหัวใจมา เหยียบย่ำทำลายจิตใจได้รับความบอบช้ำมากี่กัปกี่กัลป์แล้ว เห็นอย่างเต็มหัวใจอีกเหมือนกัน ความเห็นโทษของกองทุกข์ที่กิเลสผลิตขึ้นมา ความเห็นคุณของธรรมที่ฝ่ายมรรคผลิตขึ้นมา เป็นผลแห่งธรรมอันเป็นที่พึงใจ มันก็เห็นอย่างถึงใจด้วยกันทั้งสองอย่าง แล้วจะเอาอะไรมาสงสัยที่นี่ จะสงสัยอะไร เอาอะไรมาสงสัย

ทุกสิ่งทุกอย่างมองด้วยตาเนื้อก็มองเห็นอยู่นี่ รูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัสมันมีมาแต่ดั้งเดิม เราไปสำคัญมั่นหมายเมื่อเวลาไปเจอเข้า เช่นได้เห็นได้ยินอะไรมาสัมผัสนี้ก็จิตนั่นแหละมันปรุงขึ้นหลอกตัวเองอยู่นั้น อันนั้นดีอันนี้ไม่ดี อันนั้นสวยอันนี้ไม่สวย อันนั้นน่ารักอันนี้น่าชัง มีแต่เรื่องของขันธ์ไปหลอก สิ่งเหล่านั้นมันอยู่ตามธรรมชาติของมัน มันไม่รู้ความหมายของมันด้วยซ้ำไป

จิตเป็นเจ้าตัวหลอกตัวหลอน มันหลอกอยู่นั้นแหละกิเลสพาหลอก หลงมันไม่เคยเห็นโทษแห่งความวาดภาพของตัวเอง สติปัญญาเท่านั้นจะเห็นโทษแห่งความวาดภาพของตัวเอง ตามกิเลสทัน มันปรุงขึ้นมาอย่างนั้นมันทันกัน ๆ หลอกแบบไหน เอ้า พับ ๆ ๆ ทันกัน ๆ คิดดูอย่างที่ว่านั่น เสืออย่างนี้ พอมันปรุงขึ้นมาเป็นภาพเสือพับดับปุ๊บ นี่เสือตัวนี้เสือตัวสังขารนี่ต่างหาก แน่ะมันรู้เสีย

สมมุติว่ามองเห็นผู้หญิงว่าสวยว่างามนี้ ขึ้นพับอย่างนี้ หือ ก็ตัวสวยนี่ ตัวนั้นก็ไม่เห็นเป็นอะไร อยู่ตามสภาพดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นรูปเป็นภาพอยู่อย่างนั้น ตัวนี้ตัวสำคัญตัววาดภาพอยู่นี้ขึ้นตรงนี้ พอมันปรุงพับขึ้นมาสติมันรู้ทันที ๆ แล้วดับพรึบไปเลย นี่ตัวสังขารนี่ตัวสวยตัวหลอกใจ ตัวไม่สวยคือตัวสังขารนี่ แน่ะมันเห็นโทษตรงนี้ ไม่ได้เห็นโทษเห็นคุณตรงนั้น มาเห็นโทษตรงนี้แล้วจะไปไหน ถึงขั้นรู้ของมันมันรู้อย่างนั้น จึงว่า โอ๊ย มันหลอก ปล่อยให้กิเลสมันใช้ขันธ์เป็นเครื่องมือหลอกเอาเสียจนหัวจมดินไป เป็นอย่างนั้นละให้พากันพิจารณา

เอาให้มันคว่ำลงให้ได้ คว่ำกิเลสลงจากจิตใจแล้ว ธรรมครองใจแล้วแสนสะดวกสบาย เดือนปีนาทีโมงสมมุติทั้งมวลจะไม่มีปัญหาเข้าไปยุ่งใจเลย เพราะใจไม่ไปยุ่งกับเขานี่ เหตุที่ใจไปยุ่งเพราะกิเลสพาชักจูงหรือลากไปยุ่ง เมื่อตัวลากตัวจูงไม่มีแล้วจิตก็เป็นจิต กลายเป็นธรรมทั้งแท่งไปเสีย หาธรรมหาที่ไหน พอไปเจอใจเต็มดวงแล้วมันก็เท่านั้นแหละ ปัญหาคำว่าธรรมอยู่ที่ไหนก็หมดไป

ไปหาที่ไหนใครเป็นคนรู้ธรรมอยู่เวลานี้ ใครเป็นคนสัมผัสธรรม ใครเป็นคนอยู่กับธรรม ธรรมคืออะไรมันก็รู้อยู่กับใจนั้นเสีย จะหลงไปไหน ตะครุบเงาไปไหน เห็นตัวมันแล้วยังหาตะครุบเงาอยู่เหรอ ไปตามรอยมันที่ไหน รอยก็อยู่กับตัวมันแล้วนี่ ทีแรกก็ตามรอยไป ๆ เหมือนกับตามรอยโค เมื่อไปถึงตัวโคแล้วก็หมดปัญหาเรื่องการที่จะตามรอยโค ถึงธรรมแท้แล้วก็หมดปัญหาในการที่จะตามด้วยวิธีการต่าง ๆ ตามร่องรอยของความจริงเข้าไปจนถึงความจริงอย่างเต็มที่แล้ว ปัญหาการตามรอยก็หมด ก็มีเท่านั้นจะว่าไง ให้พากันตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติ

ความคิดใดที่มันเป็นแง่โลกเข้ามาเสียดแทงจิตใจที่เป็นเหมือนลูกศร ให้รีบถอดถอนทันที บังคับทันที มันฝืนมันอยากจะคิดจะอ่านขนาดไหนให้ทราบว่าความอยากนี้คือตัวข้าศึกกำลังตั้งหน้าขึ้นมา ให้รู้อย่างนั้นและปราบมันอย่าเสียดายมันเป็นอันขาด แล้วค่อยปราบมันได้ ปราบด้วยสติปัญญานั่นแหละ หักห้ามแล้วยังไม่แล้ว สติปัญญาขุดค้นตามตีต้อนอีก นั่นจึงชื่อว่าผู้รักษาตน ผู้ต้องการความพ้นภัย

มันจำเจมาเสียพอแล้ว เข็ดก็เข็ดแล้วเรื่องเกิดเรื่องตาย เกิดที่ไหนตายที่นั่น เกิดที่ไหนทุกข์ที่นั่น ทุกข์ตามไปกับความเกิดนั้นแหละ ท่านจึงว่า ทุกฺขํ นตฺถิ อชาตสฺส ทุกข์ย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่เกิด เกิดมาแล้วก็สังขารพาให้เกิดอีก เกิดปรุงแต่งอย่างนั้นอย่างนี้ก็เป็นทุกข์กับมันอีก นอกจากเกิดเป็นรูปเป็นกายมาแล้ว

เพราะฉะนั้นคำว่า ทุกฺขํ นตฺถิ อชาตสฺส จึงได้ทั้งสองแง่ ทุกข์ย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่เกิดเป็นภพเป็นชาตินี้ประการหนึ่ง ย่นเข้าไปภายในก็คือว่า สังขารที่เป็นตัวสมุทัยไม่มีทางเกิดได้แล้วมันก็ดับ เตสํ วูปสโม สุโข ความระงับดับเสียซึ่งสังขารเป็นความสุขอันยิ่งใหญ่ สังขารตัวนี้สังขารตัวสมุทัยนี่เองตัวใหญ่นั่น ถูกทำลายลงไปแล้วด้วยธรรมจักรคือมัชฌิมาปฏิปทา เตสํ วูปสโม สุโข การระงับดับเสียซึ่งสังขารทั้งหลายเหล่านั้นเป็นความสุขอันยิ่งใหญ่ ดับที่ตรงนี้ตรงสังขารที่มันปรุงอยู่นี้ สังขารสมุทัยบังคับให้มันปรุงมันแต่งมันสำคัญมั่นหมาย

สังขารนี้ไปดับมันได้ยังไงมันเกิดมาแล้วนี่ไปดับได้ยังไง ความดับจริง ๆ ก็ดับตรงนี้ซิ จากนี้ก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว พอดับสังขารข้างในซึ่งเป็นตัวสมุทัยนี้แล้วเรื่องสังขารขันธ์ไม่มีปัญหาอะไร มันก็ดุ๊กดิ๊ก ๆ อยู่เหมือนกับหางจิ้งเหลนขาดมันไม่มีเจ้าของ เรารู้ทันมันแล้วก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไร มีแต่เรื่องดุ๊กดิ๊ก ๆ จนกว่าถึงวันมันจะสลายกัน สลายไปแล้วก็หายความรับผิดชอบ ว่าหายห่วงก็ไม่ว่าเพราะเราไม่ห่วงอยู่แล้วนี่ ไม่ห่วงไม่หวงแล้วนี่ แต่ความรับผิดชอบมี หายไปหมดปัญหา หมดความรับผิดชอบแล้วที่นี่ สมบูรณ์พูนผลไม่ต้องรับผิดชอบกับสิ่งใดขึ้นชื่อว่าสมมุติ


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก