เอาธรรมเข้าสู้เสือ
วันที่ 21 ตุลาคม 2549 เวลา 19:00 น.
สถานที่ : วัดเขาใหญ่เจริญธรรม ญาณสัมปันโน นครราชสีมา
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :

ค้นหา :

เทศน์อบรมพระสงฆ์และฆราวาส

ณ วัดเขาใหญ่เจริญธรรม ญาณสัมปันโน

อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา

เมื่อค่ำวันที่ ๒๑ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙

เอาธรรมเข้าสู้เสือ

         เราเห็นพระปฏิบัติมาจำนวนมากเราพอใจกับพระปฏิบัติ พระปฏิบัติผู้ครองวัดครองวานั้นแลคือผู้ครองหัวใจคน ธรรมเป็นสำคัญมาก คำว่าธรรมเท่านั้นหมอบราบกันทั่วโลกดินแดน พระผู้ครองธรรมจริงๆ จิตใจคนก็หมอบกราบไหว้บูชา เย็นตาเย็นใจ ถ้าเป็นเพียงซากวัดซากพระดูไม่ได้นะ ซากวัดวัดนั่นก็กลายเป็นส้วมเป็นถาน พระก็กลายเป็นมูตรเป็นคูถ ปฏิบัติตนเหลวแหลกแหวกแนว วัดทั้งวัดก็เลยกลายเป็นส้วมเป็นถาน พระทั้งองค์เต็มวัดอยู่ก็กลายเป็นมูตรเป็นคูถ บรรจุอยู่ในส้วมในถานคือวัดนั้นไปเสีย

         อย่างหนึ่งจิตใจของประชาชนซึ่งเขาตามร่องตามรอยครูบาอาจารย์อยู่ ก็เหี่ยวแห้งยุบยอบ ไม่สบายใจ ไปที่ไหนเห็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ครองวัดอยู่เท่านั้นเย็นตาเย็นใจ พวกเราทั้งหลายให้ปฏิบัติอย่างนั้น อย่าไปดูภายนอกอะไรมากนักยิ่งกว่าดูภายในคือไฟเผาหัวใจ ราคคฺคินา ไฟคือราคะตัณหา โทสคฺคินา ไฟคือความโกรธ ความเคียดแค้น โมหคฺคินา ไฟกองใหญ่เผาอยู่ในหัวอก ให้ดูไฟสามกองนี้

         พระเราต้องดูจิตใจมากกว่าอย่างอื่น อย่าไปดูวัตถุภายนอก อยู่ที่ไหนก็มี สร้างเต็มโลกเต็มสงสารหาความสงบร่มเย็นไม่ได้ ถ้ามีแต่วัตถุไม่มีธรรมแทรกในหัวใจคนจะหาความสุขไม่ได้ มีแต่ด้านวัตถุมันก็เผาหัวใจคนนั้นแหละ ถ้ามีธรรมะแล้วหากพอเป็นพอไป รู้จักประมาณ ไม่ดีดไม่ดิ้น นี่ละธรรมไปที่ไหนความรู้จักประมาณพอเหมาะพอดีจะไปตามนั้น

วันนี้ท่านรัฐมนตรีกับท่านผู้หญิง ท่านก็เป็นศรัทธา พร้อมทั้งคณะศรัทธาญาติโยมมาจากทุกทิศทุกทาง มาถวายกฐินเพื่อมหากุศลต่อน้ำใจของแต่ละท่านๆ ที่ได้อุตส่าห์พยายามเสียสละทั้งทรัพย์สมบัติเงินทองข้าวของมีมากน้อย เสียสละเพื่อเป็นทานทั้งหมด เวล่ำเวลาหน้าที่การงาน แม้ที่สุดจะเป็นจะตายก็มอบถวายพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เสียสละมา วันนี้จึงนับว่าเป็นวันมหากุศลอันยิ่งใหญ่แก่บรรดาพี่น้องทั้งหลาย กุศลนี้แหละทำจิตใจให้โลกร่มเย็น วัตถุอื่นเป็นแต่เพียงเครื่องส่งเสริม ถ้าเรารู้จักประมาณก็เป็นเครื่องส่งเสริม ถ้าไม่รู้จักประมาณก็เป็นฟืนเป็นไฟเผาเราเองผู้ส่งเสริมไฟนั้นแหละ

พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่เลิศเลอสุดยอดแล้ว เจ้าของศาสนาคือพระพุทธเจ้าเป็นผู้สิ้นกิเลสโดยตรง บริสุทธิ์พุทโธทั้งดวง สอนโลกได้ถึงสามแดนโลกธาตุ กามโลก รูปโลก อรูปโลก เทวดา อินทร์ พรหม มาฟังธรรมท่านทั้งนั้นแหละ กราบไหว้บูชาท่านตลอดมา เมืองไทยเราเป็นเมืองพุทธศาสนา ควรจะได้รับความร่มเย็นเป็นสุขเข้าครองหัวใจบ้าง อย่ามีแต่ฟืนแต่ไฟเกิดจากความดีดความดิ้นเผาหัวใจโดยถ่ายเดียว ทั้งๆ ที่ใครก็หาความสุขความเจริญตั้งแต่ตื่นนอน วิ่งเต้นขวนขวายตัวเป็นกงจักรไปเลยหาความสุข ครั้นได้มามันมีแต่ความผิดหวังๆ บางรายนอนไม่หลับก็มี นั่น

ถ้าวิ่งหาโดยความเป็นธรรม มีธรรมแทรกก็จะรู้จักประมาณ การพักผ่อนหย่อนตัว การประกอบหน้าที่การงานก็เป็นเนื้อเป็นหนัง เป็นหลักเป็นเกณฑ์ได้ ได้มาเท่าไร เก็บไว้เท่าไร จะจ่ายไปเท่าไรด้วยความจำเป็น มีเหตุผลคือหลักธรรมเป็นเครื่องคุ้มครองรักษา สมบัติของตน คือสมบัติเงินทองก็เพราะรักษาใจให้ดี สมบัติเงินทองก็เป็นไปเพื่อประโยชน์แก่ตนและส่วนรวมได้ ไม่เรี่ยราดสาดกระจายไปหมด ทั้งๆ ที่ใครก็หาแต่เงินๆ ครั้นถามแล้วก็มีแต่คนจนเต็มบ้านเต็มเมือง มันหาเงินอย่างไรกันถึงมีตั้งแต่คนจน

คนหาเงินควรจะได้เงินมาประคับประคองตัวเอง ให้มีความสุขความเย็นใจสบายใจ แทนที่จะเป็นอย่างนั้นมันกลับกลายไปเป็นมีแต่ฟืนแต่ไฟดีดดิ้น นั่น เพราะให้กิเลสพาหา กิเลสจะไม่รู้จักประมาณ ได้เท่าไรยิ่งดีดยิ่งดิ้นเป็นบ้าไปเลย ถ้าธรรมพาหาแล้วรู้จักประมาณ สิ่งใดที่ควรจะเก็บไว้เพื่ออะไร ควรจะจับจ่ายใช้สอยไปเพื่ออะไร แบ่งสันปันส่วนในสมบัติของตนด้วยความเป็นธรรมภายในใจ แล้วสมบัติเงินทองข้าวของก็เป็นประโยชน์แก่ผู้เป็นเจ้าของ ไม่เดือดร้อนวุ่นวาย เป็นอย่างนั้นนะ

ท่านทั้งหลายอย่าห่างเหินธรรม ถ้าห่างเหินธรรมแล้วหาความสุขตั้งแต่นี้ถึงวันตายก็จะไม่เจอความสุข จะมีตั้งแต่กิเลสนำไปเผาเสียแหลกหมดๆ ได้มาเท่าไรกิเลสเอาไปเผาหมดๆ เหมือนไสเชื้อไฟเข้าหาไฟ เผาไหม้แหลกไปหมด ไม่ค่อยรู้จักประมาณในตัวเองคนเรา หาทรัพย์สมบัติก็เพื่อเป็นหลักเป็นเกณฑ์แก่ครอบครัวเหย้าเรือนความเป็นอยู่ทั้งส่วนตนและส่วนรวม ไม่ใช่หามาแล้วจ่ายอีลุ่ยฉุยแฉกไม่มีประมาณ ติดหนี้ติดสินเขาพะรุงพะรัง เรียกว่าอีลุ่ยฉุยแฉก สุกเอาเผากิน ชีวิตจิตใจเลยไม่มีประมาณ

ถามหน้าไหนๆ มีแต่หน้าติดหนี้ติดสินพะรุงพะรัง หน้าจะเป็นเนื้อเป็นหนังเป็นตัวของตัวจริงๆ สมกับเราเสาะแสวงหาทรัพย์สมบัติมาไม่ค่อยมี มีแต่แบบสุกเอาเผากิน หน้าไหนมีแต่หน้าติดหนี้ติดสินครอบทั่วประเทศไทยเรา มีแต่ตาข่ายแห่งความติดหนี้ติดสินกัน บ้านน้อยติดน้อย บ้านใหญ่ติดใหญ่ ในเมืองใหญ่เท่าไรยิ่งติดมาก เป็นผู้ใหญ่เท่าไรยิ่งติดมากเพราะกิเลสพาให้ติด ธรรมไม่ได้พาให้ติดนะ ถ้ารู้จักประมาณแล้วไม่ติด มีหลักมีเกณฑ์ สมบัติเงินทองได้มามากน้อยควรจะเป็นประโยชน์ก็ให้เป็น

อันนี้มันไม่ค่อยได้เรื่องได้ราว เพราะไม่มีหลักมีเกณฑ์ในการเสาะแสวงหาและการเก็บรักษา มันเลยเหลวแหลกแหวกแนวไปหมดทั้งเขาทั้งเรา เรียกว่าชีวิตนี้ไม่มีหลักมีเกณฑ์ ได้มาเท่าไรก็เสียไปเท่านั้น จ่ายมากได้มาน้อยมันก็ไม่พอ แล้วก็ไปกู้หนี้ยืมสินเขามา การติดหนี้ติดสินคนเป็นของเล่นเมื่อไร มันเอาไฟเผาตัว ดีไม่ดีคู่เจ้าหนี้กับลูกหนี้นั้นเลยเป็นข้าศึกกันก็ได้ ให้พากันระมัดระวัง มันก็จนก็จนไปบ้างเถอะ อย่าติดหนี้ติดสินใครนั้นเป็นของดีทั้งๆ ที่เราจนก็ยังดีอยู่ แต่ติดหนี้ติดสินเขาไม่ดีเลย เสีย

พระพุทธเจ้าสอนธรรมแก่โลกนี้ สอนให้รู้จักประมาณทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ได้สอนให้อีลุ่ยฉุยแฉก ไม่มีหลักมีเกณฑ์ พวกเรานี่พวกไม่มีหลักมีเกณฑ์ สมบัติเงินทองก็มีเต็มโลกเต็มสงสาร แต่แทนที่จะให้ความสุขแก่ผู้เสาะแสวงหา กลับมาเป็นฟืนเป็นไฟแก่ผู้แสวงหามาแล้วนำสมบัติเหล่านั้นมาเผาตนเสียเป็นส่วนมาก ขอให้พากันคิดอ่านไตร่ตรอง อรรถธรรมเป็นเรื่องสำคัญมาก ควรรู้จักประมาณ ยิ่งเราเป็นเมืองพุทธด้วย เมืองไทยเราเป็นเมืองพุทธ มันมีแต่ปากมีแต่ชื่อเฉยๆ การที่จะปฏิบัติต่อพุทธ พุทธท่านสอนว่าอย่างไร เป็นธรรมออกมาท่านสอนว่าอย่างไร ควรจะนำธรรมนั้นมาปฏิบัติตัวให้ได้รับความสุข ความสงบเย็นใจบ้าง ไม่ค่อยมี มีแต่ความดีดความดิ้นไปหมด ใช้ไม่ได้นะ

สมบัติเงินทองมีมาไว้เพื่ออุดหนุนเรา เวลาเดือดร้อนวุ่นวายก็ได้อาศัยสิ่งเหล่านั้น แต่นี้ได้มาเท่าไรก็หมดไปเท่านั้น ดีไม่ดีติดหนี้ติดสินเขาพะรุงพะรัง ยิ่งเอาไฟกองใหญ่มาเผาหัวอก สุดท้ายเจ้าหนี้กับลูกหนี้ก็เลยเป็นกรรมเป็นเวรต่อกัน มีเยอะนะ ให้พากันคิด หลวงตานี้ไม่ได้ไปหาติดหนี้ติดสินผู้ใด แต่ธรรมนี้กระจายทั่วโลก มันหากรู้หากเห็นไปเอง เรื่องโลกหมุนตัวไปอย่างไรๆ ธรรมเหนือโลกสามารถรู้ได้

นั้นละพระพุทธเจ้าสอนโลก ไม่จำเป็นจะต้องไปมองหน้าคนนั้นเป็นอย่างไร คนนี้เป็นอย่างไร จึงจะนำธรรมมาสอนโลก ไม่ต้องมองก็ได้ ธรรมนี้กระจายไปหมด เห็นความสุข ความทุกข์ ความดี ความชั่ว ความเคลื่อนไหวของโลกทุกประเภทไปหมดแล้ว เวลาสอนจึงไม่ผิด เราให้ปฏิบัติตามท่าน ไม่เช่นนั้นจะไม่มีอะไรเหลือติดเนื้อติดตัว ศีลธรรมอย่าพากันปล่อยวาง เรื่องศีลเรื่องธรรมนี้สำคัญมากทีเดียว

ใจดวงนี้ไม่เคยตาย ขอให้ท่านทั้งหลายฟังให้ถึงใจ เรื่องภพเรื่องชาติตายเกิดอยู่ตลอดมานี่มีแต่ใจดวงนี้ทั้งนั้น เที่ยวเกิดที่นั่นตายที่นี่ หมดสภาพในร่างนี้แล้วก็ไปเข้าร่างใหม่ ไปเกิดร่างใหม่ตายร่างใหม่ไปเรื่อยๆ อย่างนี้ การที่จะไปเกิดกับร่างนั้นร่างนี้ก็ขึ้นอยู่กับกรรมดีกรรมชั่วของตัวเอง หากมีกรรมดีก็ไปเกิดในสถานที่ดีคติที่เหมาะสม ถ้ามีแต่กรรมชั่วไปเกิดที่ไหนๆ ก็มีแต่ความชั่ว คบค้าสมาคมกับเพื่อนกับฝูงก็มีแต่คนชั่ว ไปคบผัวคบเมียก็เป็นคู่ต่อสู้ทะเลาะวิวาทกันเสียทั้งวันทั้งคืน

คนนี้ก็ว่าคนนั้นไม่ดี คนนั้นก็ว่าคนนี้ไม่ดี เวลาหย่ากันมาแล้วเป็นยังไงล่ะหญิงคนนั้นถึงหย่ามันเสีย โหย จะอยู่กับมันได้ยังไงมันเลวยิ่งกว่าหมา ทั้งเห่าทั้งกัดทั้งฉีกทนไม่ไหว ถลอกปอกเปิกไปหมดทั้งเนื้อทั้งตัว นี้เอาเสื้อใส่ไว้เฉยๆ จึงไม่มองเห็นรอยข่วนรอยกัดของมัน แล้วจะอยู่กับมันได้ยังไง ทีนี้ไปถามผู้หญิงนั้นว่าอย่างไรอีกล่ะ ไอ้นั้นถึงหย่ามันเสีย มันเป็นยังไง โอ้โห ตอนเช้าก็หากินเหล้าเมาสุรา เตร็ดเตร่เร่ร่อนไม่มีวันมีคืน จะตายแล้วก็ด้อมๆ มาขอเงินเมีย จะอยู่กับมันได้ยังไง เมียก็ว่าอย่างนี้ ความจริงมันก็ผิดทั้งสองฝ่ายนั่นแหละ

ให้ต่างคนต่างปรับตัวเองนะ ผัวก็อย่าเป็นคนขี้เหล้าเมาสุรา พวกการพนันขันต่อ อย่ายุ่งกับมัน หน้าที่การงานที่เป็นสาระสำคัญก็ให้ปฏิบัติตามนั้น ภรรยาก็อย่าปากเปราะ เห่าไวกัดเร็ว ไม่มีปากไหนเหนือปากคน ปากหมามันเห่าว้อๆ หมาบางตัวเห่าน่ารักนะ แต่คนเห่าว้อๆ ขึ้นมานี้แตกฮือๆ มันทะเลาะกัน มันเร็วกว่าปากหมาพวกเรา ไม่มีธรรม ถ้ามีความอดความกลั้นเก็บความรู้สึกเอาไว้ จะสุขุมละเอียดเข้าไปโดยลำดับคนเรา

ถ้าอะไรก็พูดออกมาๆ ตามความชอบใจแล้วปากเปราะปากบอน คบค้าสมาคมกับใครก็ไม่ได้ ไปเอาผัวมาสิบผัวผัวแตกฮือไม่มีใครอยู่ได้ ไปหาเมียมากี่เมียก็แตกฮือ เมียอยู่ไม่ได้ เงินมีเท่าไรในกระเป๋ามันมาออดมาอ้อน มาขอเอาไปใช้เรื่องการพนันขันต่อ กินเหล้าเมายาไปเสียหมด เลยอยู่ด้วยกันไม่ได้ แตกกันไป ไปหาเมียไหนก็แบบนั้นปากมันก็มีมันก็เห่าว้อๆ ทะเลาะกับผัว ไปหาผัวไหนปากมันก็มี มันสะแตกได้เหมือนกันสะแตกเหล้า การพนันขันต่อมันก็เก่งได้ สุดท้ายมันก็แตก ได้กี่ผัวกี่เมียมีแต่ผัวเมียประเภทนี้ อยู่ด้วยกันไม่ติด

ทำไมจึงจะให้ติด ปรับปรุงตัวเองให้ดี เมียก็อย่าปากเปราะเกินไป เก็บความรู้สึก พออด อด พอทน ทนกันไป ผัวก็ให้เก็บปากไว้บ้าง ปิดปากไว้บ้าง อย่าเอาสุรามากรอกมันทั้งวันทั้งคืน การพนันขันต่อเป็นสิ่งพาให้ฉิบหายตั้งเนื้อตั้งตัวไม่ได้ คนเมาสุราคนชอบการพนันไม่มีใครตั้งเนื้อตั้งตัวได้ละ เป็นคอสุราเป็นคอการพนันเสียหายทั้งนั้น ให้งดเลิกมันเสียสิ่งเหล่านี้ ทำแต่สิ่งที่เป็นผลเป็นประโยชน์แก่ตน อย่างนั้นมันถึงดีคนเรา

เรารับผิดชอบเราทุกคน ตั้งแต่เกิดมาทีแรกก็พ่อแม่พี่น้องเลี้ยงดูรับผิดชอบ พอโตขึ้นมาก็รับผิดชอบตัวเอง การรับผิดชอบก็ต้องได้พินิจพิจารณา การพินิจพิจารณาต้องหาธรรมเข้ามาใคร่ครวญทดสอบตัวเอง ผิดถูกชั่วดีประการใด วันหนึ่งตั้งแต่ตื่นนอนไปนี้จนกระทั่งถึงหลับเรามีความเคลื่อนไหวไปมาทางกิริยามารยาทการประพฤติตัวอย่างไรบ้าง ถ้าไม่ดีอย่างไรก็แก้ไขตัวเอง การทำชั่วทำได้การแก้ไขให้เป็นคนดีทำไมแก้ไม่ได้ เราคนเดียวกันแก้ไม่ได้มีอย่างเหรอ มันก็แก้ได้คนเรา ต้องให้ปรับปรุงตัวเองอย่างนี้ ไม่เช่นนั้นไม่ได้นะเหลวแหลกแหวกแนวไปหมด คนมีจำนวนมากเท่าไรมีแต่ความเหลวแหลกแหวกแนวเต็มแผ่นดินไทยใช้ไม่ได้

ให้มีศีลมีธรรมเป็นเครื่องกำกับรักษา ยับยั้งชั่งตัว สิ่งใดไม่ดีไม่งามอย่าพากันทำ ถ้าทำแล้วก็มาเสียตัวเอง กระจายไปหาลูกหาหลาน พ่อแม่เป็นยังไงลูกก็วิ่งตามพ่อตามแม่เขา ร่องรอยไม่ดีนั่นละเข้ามาสวมให้ลูกให้หลาน เป็นลูกเลวหลานเลวไป เพราะพ่อแม่ปู่ย่าตายายโคตรแซ่พาเลว ลูกเต้าหลานเหลนก็เลยเลวไปตาม เพราะฉะนั้นผู้เป็นหัวหน้าเป็นพ่อเป็นแม่จึงควรเป็นตัวอย่างอันดีของเด็ก นี่การประพฤติตัวเพื่อความเป็นคนดี อะไรไม่ดีอย่าทำให้เด็กดู ไม่ดี ทำคนเดียวก็ไม่ควรเหมือนกัน ให้ระมัดระวัง

เด็กตามรอยของพ่อของแม่ ของครูบาอาจารย์ ของผู้ใหญ่นั้นแหละ ผู้ใหญ่พาดีเด็กก็ดีไปตาม ผู้ใหญ่พาชั่วเด็กก็ชั่ว ถ้าผู้ใหญ่พาเลวเด็กก็เลวไปเลย ทีนี้เลยมีแต่คนเลวทั้งประเทศ ใช้ไม่ได้นะ หาคนดีหาที่ไหนไม่ได้ให้หาจากตัวเอง เลวก็คือเรานี่ละ คนนั้นก็เลวคนนี้ก็เลว รวมคนทั้งประเทศเลวไปหมด แล้วจะทำยังไงให้ดี เอา ต่างคนต่างแก้ คนนี้ก็แก้ตัวเอง คนนั้นก็แก้ตัวเอง ก็ดีได้ทั้งประเทศคนเรา ไม่เช่นนั้นจะเสียหาย ขอให้พี่น้องทั้งหลายได้คิดได้อ่านไตร่ตรอง

เรื่องศีลเรื่องธรรมอย่าห่างเหินนะ ศีลธรรมนี้เป็นเครื่องฝังใจอย่างลึกลับ เราตายแล้วจิตนี้ไม่เคยตาย เกิดกี่ภพกี่ชาติ แม้ที่สุดทำความชั่วช้าลามกไปตกนรกๆ หมกไหม้กี่กัปกี่กัลป์ทุกข์ขนาดไหนก็ยอมรับว่าทุกข์ แต่ไม่ยอมฉิบหายคือใจ ใจดวงนี้ไม่เคยมีความฉิบหาย กรรมเป็นของอนิจจัง ไม่เปลี่ยนช้าก็เปลี่ยนเร็ว แม้อยู่ในนรกก็เปลี่ยนขึ้นมาได้เพราะสิ้นกรรม แล้วก็มาพลิกตัวใหม่เป็นดีขึ้นๆ ก็กลายเป็นคนดีขึ้นมาได้ถึงนิพพานได้

ใจดวงไม่ตายนี้แหละถึงนิพพานเป็นนิพพานเที่ยง เป็นธรรมธาตุไม่ตาย เรียกว่าธรรมธาตุไม่ตาย นิพพานเที่ยง จะลงนรกหมกไหม้ก็ไม่ตาย ทุกข์ขนาดไหนก็ยอมรับว่าทุกข์ แต่ไม่ยอมฉิบหายคือใจ เพราะฉะนั้นจึงให้พากันระมัดระวัง เวลานี้โลกชาวพุทธเรานี้สำคัญมากนะว่าตายแล้วสูญ เวลามีชีวิตอยู่อยากทำอะไรก็ทำ นั่นเป็นกิเลสหลอกคนให้จมลงไปเรื่อยๆ ถ้าสูญมนุษย์เราและสัตว์ทั้งหลายมีมาได้ยังไง เต็มโลกเต็มสงสารมีแต่สัตว์เกิดสัตว์ตายทั้งนั้นไม่มีสัตว์สูญ สัตว์ตัวไหนสูญไม่มี จิตนั่นละไม่พาให้สูญ ออกจากร่างนี้แล้วก็ไปเกิดในร่างนั้นๆ ไปเกิดร่างนี้ ถ้าทำดีก็ไปทางดี ถ้าทำชั่วก็ไปทางชั่วเป็นอยู่อย่างนี้ตลอดไป ท่านจึงเรียกวิบากกรรม

ก่อนที่จะเคลื่อนย้ายไปจากร่างนี้ก็ต้องมีกรรมดีกรรมชั่วติดหัวใจไป ถ้ามีกรรมชั่วก็พาลงทางต่ำ ถ้ามีกรรมดีก็พาไปทางสูง นี่เป็นคำพูดของพระพุทธเจ้าศาสดาองค์เอกสอนโลกไม่ผิดพลาด พวกเราอย่าทำแต่ความผิดพลาดลบล้างคำสอนของพระพุทธเจ้า แล้วสร้างแต่ความชั่วช้าลามกใส่ตน ตายนี้แล้วจะจมไปตลอดนะ ให้ฟังเสียงศาสดาองค์เอก จอมปราชญ์คือพระพุทธเจ้า จอมโง่คือพวกเรา ให้ฟังเสียง จอมโง่ให้ฟังเสียงจอมปราชญ์บ้าง อย่าอวดรู้อวดฉลาดเหนือครูแล้วมันจะจม ให้พากันนำไปพินิจพิจารณา

พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่เลิศเลอแล้ว ตั้งแต่เราอยู่ในครอบครัวเหย้าเรือน ปฏิบัติตนตามศีลตามธรรมของฆราวาสญาติโยมก็ยังเป็นคนดี ถ้ายิ่งออกมาปฏิบัติตนทางเป็นนักบวชด้วยแล้ว ตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติตามศีลตามธรรมไม่ให้คลาดเคลื่อนแล้ว เรื่องมรรคผลนิพพานท่านเหล่านี้แหละจะเป็นผู้ทรงไว้ เพราะพุทธศาสนานี้เป็นตลาดแห่งมรรคผลนิพพาน ไม่ใช่เป็นอะไร เป็นตลาดแห่งมรรคผลนิพพาน ดีตั้งแต่พื้นๆ จนกระทั่งดีสุดยอด ไม่เลยจากหลักธรรมของพระพุทธเจ้านี้ไปได้เลย ให้พากันตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติ

พระเราบวชมาก็ให้ตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติ อย่าเอางานของฆราวาสมาใช้ในพระเรามันขัดแย้งกัน มันขวางหูขวางตาขวางใจ ขวางศาสนาขวางบ้านขวางเมืองไม่ใช่ของดี งานของพระคือการชำระรักษาศีลของตนให้ดี อย่าให้ด่างพร้อยทะลุขาดแต่อย่างไร ถ้าทำให้ศีลด่างพร้อยขาดทะลุ ก็เหมือนกับพระเราทำจีวรขาดสบงขาดนั้นแหละ ขาดน้อยก็มองเห็นน้อย ขาดมากเห็นมาก  ขาดไปหมดทั้งผืนมองเห็นทั้งหำทั้งควยเลย มองไปไหนเห็นแต่พระปล่อยหำปล่อยควยดูไม่ได้ เพราะศีลขาดก็คือผ้าขาด นั่น ถ้ารักษาศีลให้ดีก็เหมือนเรามีผ้าที่ปลอดภัย นุ่งห่มเข้าไปนี้ก็ปกปิดกำบังสกลกายได้

ความชั่วก็เอาธรรมเข้าชำระสะสางมันก็สะอาด ภายในก็สะอาดจิตใจของเรา ภายนอกก็สะอาดด้วยความประพฤติหน้าที่การงานของพระ อย่าให้ก้าวก่ายกับเพศแห่งความเป็นนักบวชของตน ไปอยู่ที่ไหนเย็น พระนี้ไปอยู่ที่ไหนเย็น และไม่มีใครที่จะได้อิสระมากยิ่งกว่าพระ ทางบ้านเมืองเขาให้หมดเลย อนุโลมให้หมด ยกให้พระเขาไม่เข้ามาก้าวก่าย หน้าที่ของพระจะบวชจะเรียนกี่องค์ จะปฏิบัติบวชไปเท่าไร อยู่จนกระทั่งวันตายก็ได้ทางบ้านเมืองเขาไม่รบกวน เราจึงให้รู้หน้าที่ของเรา ประพฤติปฏิบัติตัวให้เป็นพระที่ดี ศีลให้บริสุทธิ์

ศีลบริสุทธิ์อยู่ที่ไหนก็เย็นสบายๆ ยกตัวอย่างพระกรรมฐานท่านไปอยู่ในป่าในเขา ยังไม่มีธรรมเป็นพื้นเพของใจ มีแต่ศีลเท่านั้นก็อบอุ่น เวลาไปอยู่แต่ก่อนไม่เหมือนสมัยปัจจุบันนี้นะ ไปอยู่ในป่า ป่าจริงๆ มีสัตว์มีเสือมีเนื้อทุกประเภทเป็นอันตรายได้จริงๆ เวลาไปอยู่ในสถานที่เช่นนั้นมันหวาดมันกลัว ไม่มีอะไรพึ่งก็พึ่งศีลของตัวเอง เรามีศีลบริสุทธิ์แล้ว พวกสัตว์พวกเสือเขาไม่มีศีลมากินเราเขาตกนรกเราไปสวรรค์ เอ้า ยอมให้มันกิน มันจะกินกี่ตัวยกโคตรยกแซ่มากินก็ให้มา เราคนเดียวโคตรแซ่ของเราไม่ปฏิบัติศีลธรรมด้วยความบริสุทธิ์ เราไปสวรรค์คนเดียวเรายังดีกว่าเสือตกนรกทั้งโคตรทั้งแซ่ของมัน เสียสละ ใจเลยอบอุ่นนะ อยู่ด้วยความมีศีลบริสุทธิ์

ต่อจากนั้นจิตมีสมาธิมีความสงบร่มเย็นภายในจิตใจ ยิ่งแน่นหนามั่นคงเข้าเป็นลำดับลำดา นี่หมายถึงพระนักปฏิบัติ แต่ก่อนมีสัตว์มีเสือมากจริงๆ ไม่เหมือนทุกวันนี้ ทุกวันนี้ก็มีแต่รูปเสือติดบ้านติดเรือนอยู่ เสือจริงๆ ไม่ค่อยมีกัน มีที่เขามาเลี้ยงไว้เท่านั้นเอง แต่ก่อนมีอยู่ทั่วไป ก้าวไปตรงไหนมีสัตว์มีเสือมีเนื้อร้ายไปหมด ทีนี้มันต้องกลัว กลัวก็ต้องพึ่งศีลพึ่งธรรม เดินจงกรมไม่ให้คิดออกหาสัตว์หาเสือ ให้คิดอยู่กับคำว่าพุทโธๆๆ จิตไม่ให้เคลื่อนจากนั้น สติบังคับเอาไว้

จิตเมื่อสั่งสมกำลังดีแล้วมีความสงบร่มเย็นแน่นหนามั่นคงมากขึ้น แม้เสือจะร้องกระหึ่มๆ อยู่ข้างทางจงกรมก็ไม่กลัว เพราะจิตใจสั่งสมกำลังแห่งธรรมเข้ามาเต็มหัวใจแล้วไม่กลัวเสือ เสือไม่มีธรรม หัวใจเรามีธรรมเสือมากินได้ยังไง กินไม่ได้ นั่นละจิตใจมีความอาจหาญชาญชัย นี่ละผู้ปฏิบัติจริงๆ อยู่ในป่าท่ามกลางสัตว์เสือเนื้อร้ายแต่ไม่กลัว เพราะศีลดีธรรมดี ยิ่งมีธรรมหนาแน่นมั่นคงเข้าเท่าไรแล้วยิ่งไม่กลัวเลย ไปที่ไหนไม่กลัว

เพราะจิตของเราเต็มไปด้วยธรรม จิตของเสือไม่มีธรรมมันจะมากินเราได้ยังไง จิตของผู้หนึ่งมีธรรมคนหนึ่งไม่มีธรรม มันกินไม่ได้ จิตมีความแน่นหนามั่นคง เสือกระหึ่มๆ อยู่ข้างทางเดินจงกรม เดินจงกรมได้อย่างสบายๆ ไม่ได้กลัวเสือ แต่ก่อนเสือไม่อดนะ ไม่เหมือนทุกวันนี้ สมัยหลวงตาเที่ยวอยู่โน้นเรียกว่าสัตว์เสือเนื้อร้ายมีอยู่โดยสมบูรณ์ ก้าวเข้าไปที่ไหนเต็มไปด้วยสัตว์เหล่านี้แหละ จึงได้นำมาพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง มันกลัวมากเท่าไร เอา ถ้าจิตอยู่ในขั้นแห่งความสงบก็ให้บริกรรมคำใดก็ได้ พุทโธ ธัมโมหรือสังโฆก็ได้ ให้สติติดแนบอยู่กับคำบริกรรม ไม่ให้ส่งออกไปหาสัตว์หาเสือ ถ้าเรากลัวเสืออย่าส่งไปหาเสือ เอาพุทโธเป็นหลักใจไว้ ต่อไปเราสั่งสมพุทโธแน่นหนามั่นคงเข้าๆ จิตใจสง่างามขึ้นมา สงบเย็นแน่นปึ๋งไม่มีกลัวที่นี่เสือ เดินเข้าไปหาเสือได้เลย นู่นเห็นไหม

ขณะก่อนมันกลัวจนตัวสั่น แต่ขณะหลังนี้จิตมีกำลังทางด้านจิตใจจากภาวนาแล้วเดินเข้าไปหาเสือได้เลย มันเป็นยังไง นั่นละใจมีธรรมไม่ได้กลัวเสือนะ เดินจงกรมสบายๆ เสือกระหึ่มๆ อยู่ข้างทางไม่กลัว เพราะธรรมมีในใจแล้วไม่กลัว สบายๆ ยิ่งจิตมีความเหนียวแน่นมั่นคงทางด้านอรรถธรรมไปเท่าไรสิ่งเหล่านี้ไม่กลัวเลย เดินอยู่ในท่ามกลางอันตรายที่ว่าสัตว์ว่าเสือนั้นแหละ จิตมีความแน่นหนามั่นคงขึ้นเป็นลำดับ ภาวนาพิจารณาไป เอ้า เบื้องต้นจิตยังไม่ได้หลักได้ฐานคำบริกรรมอย่าปล่อยวาง เช่นพุทโธๆ อย่าให้คิดออกไปหาเสือ ให้มีสติติดอยู่กับพุทโธๆ ไม่ส่งออกไปข้างนอก จิตสั่งสมกำลังภายในใจแล้วแน่นหนามั่นคง หายกลัว เดินได้สบายๆ

จากนั้นจิตมีความแน่นหนามั่นคงเข้าไปเป็นสมาธิ ยิ่งไม่กลัว ถ้าจิตก้าวเข้าสู่วิปัสสนาพิจารณาเรื่องแยกธาตุแยกขันธ์ ว่าเสือเท่านั้นแยกธาตุแยกขันธ์เสือแล้ว เสือเขามีอะไรบ้าง ถาม เขาต่างอะไรกับเราจึงไปกลัวเขา ถ้าว่าตา ตาเราก็มี ตาเสือ กลัวตาเขาหรือตาเราก็มีไม่เห็นกลัว หูเขา ถ้าว่ากลัวหู หูเราก็มีไม่เห็นกลัวไปกลัวหูเขาทำไม เอา กลัวเล็บ เล็บเรามี ไล่กันไปๆ จนกระทั่งที่สุดถึงหางเสือ นี่ละท่านพิจารณาทางวิปัสสนา พิจารณาไล่เบี้ย มันกลัวเสือ แยกธาตุแยกขันธ์ของเสือ จากการพิจารณาทางด้านปัญญา

ทีนี้พิจารณาไปตรงไหนเราก็มีเหมือนกันกับเสือ ไม่เห็นกลัว ไปกลัวเสือทำไม กลัวเขี้ยวมันเขี้ยวเราก็มี แน่ะ กลัวเล็บเล็บเราก็มี ไล่เข้าไป จนกระทั่งถึงหางเสือที่นี่ จนตรอกนะ เราไม่มีหาง เรากลัวหางมันเหรอ อ้าว ตั้งแต่มันยังไม่เห็นกลัวหางมัน เราอยู่ห่างไกลกว่ากันกลัวมันทำไม แน่ะแก้กันอย่างนั้นละ นั่นละท่านแยกธาตุแยกขันธ์ของเสือ ถึงขั้นวิปัสสนา พิจารณาทางวิปัสสนา ในขั้นสงบอยู่กับความสงบไม่ออกก็เกิดความกล้าหาญขึ้นมา ถึงขั้นวิปัสสนาพิจารณาแยกธาตุแยกขันธ์ของเสือ ธาตุขันธ์ของเสือกับธาตุขันธ์ของเรา มันเป็นเหมือนกัน ไม่เห็นอะไรที่น่ากลัวกัน ผ่านไปได้สบายๆ

จากนั้นมาพอเข้าถึงจิตว่าง เอาที่นี่พิจารณาว่าเสือกำหนดว่าเสือพับขึ้นมาเท่านั้นดับแล้ว จะแยกธาตุแยกขันธ์ว่าเป็นเล็บเป็นฟันของเสือได้ยังไง พอตั้งขึ้นมาเป็นเสือพับดับพร้อมๆ นี่จิตหลายขั้นนะ จิตเข้าถึงขั้นว่างแล้วกำหนดว่าเสือตั้งพับดับพร้อม จะไปทันกลัวได้ยังไง ดับพร้อมๆ สุดท้ายว่างไปหมด ไม่มีอะไรกลัว สัตว์เสืออะไรไม่กลัวทั้งนั้นๆ นี่การพิจารณาทางด้านปัญญา ท่านพิจารณาของท่านอย่างนั้น จนกระทั่งจิตว่าง ว่างแล้วไปกลัวอะไร ไม่เห็นมีอะไรจะกลัว

จากนั้นก็ผ่านไปๆ ถึงขั้นหลุดพ้นด้วยการพิจารณาธรรมทั้งหลาย โดยอาศัยสิ่งภายนอกเป็นหินลับปัญญา ปัญญาเราพิจารณาตามสิ่งเหล่านั้นแหละ แล้วเกิดความกล้าหาญชาญชัย ผ่านไปได้ๆ สุดท้ายก็หลุดพ้น ผู้ปฏิบัติธรรมปฏิบัติเพื่อมรรคเพื่อผลเพื่อนิพพาน อย่าทำเซ่อๆ ซ่าๆ อย่าทำท้อแท้อ่อนแอนักปฏิบัติ พระพุทธเจ้าเป็นศาสดาของโลกเป็นได้ทุกพระอาการที่เคลื่อนไหว ไม่มีคำว่าท้อแท้อ่อนแอ เหลวไหลโลเลโลกเลกเหมือนโลก มองดูพระอาการใดมีแต่พระอาการของศาสดาเป็นตัวอย่างได้ทั้งนั้นๆ

เราเป็นลูกศิษย์ของตถาคตให้เป็นคนมีความสุขุมคัมภีรภาพ อดทน ควรเป็นเป็น ควรตายตาย ไม่ต้องถอย พิจารณาลงไปๆ กิเลสนั่นละพาให้กลัว กลัวนั้นกลัวนี้ มีแต่กิเลสหลอก ตีกิเลสเข้าไปแล้วความกลัวหายไปๆ สุดท้ายความกลัวไม่มี อยู่ในท่ามกลางเสือก็ไม่กลัวเสือ นั่นละเวลาจิตมันได้ผ่านไปแล้วเป็นอย่างนั้น นี่สอนท่านนักปฏิบัติทั้งหลาย เวลานี้ไม่ค่อยมีเสือแล้วแหละ มีแต่เขาเลี้ยงไว้ในกรงเท่านั้นเอง แต่ก่อนมีเสือจริงๆ

เดินจงกรมอยู่บางทีมันมานั่งอยู่ข้างทางจงกรมก็มีเสือนะ พระกรรมฐานมีอยู่ทั่วๆ ไป ครูบาอาจารย์ท่านเคยเล่าให้ฟัง เดินจงกรมไปมานี้เสือมานั่งอยู่ข้างๆ ทางจงกรม มองไปเป็นเสือ มี หลายองค์ ท่านเดินจงกรมไปเสือมานั่งอยู่ข้างทางจงกรม ห่างกันประมาณ ๒ วา ทางนี้ก็เดินไปๆ ทางนั้นก็นั่งดูอยู่ มันคงไม่ทำท่านคิดอย่างนั้น ถ้าหากมันจะทำแล้วมันจะมานั่งเฝ้าเราทำไม มันทำแล้ว แต่นี้มันนั่งดูเรา แสดงว่ามันไม่ทำ ท่านก็เดินของท่านไป แต่เสือนี้อาจจะเป็นเสือเทพบันดาลก็ได้นะ

ครูบาอาจารย์ท่านเคยเล่าให้ฟังพอเป็นคติตัวอย่าง ซึ่งเป็นความจริงที่ท่านเจอพบเห็นแล้วมาเล่าให้ฟัง บางทีเดินจงกรมมันมานั่งอยู่ข้างทางจงกรม มองไป โถ เสือเป็นเสือโคร่งเสียด้วย มันไม่ได้นั่งหมอบ ถ้านั่งหมอบแล้วเป็นลักษณะที่จะเอาละนั่น ถ้าเป็นแมวก็หมอบเพื่อจะตะปบ ถ้าเสือก็หมอบเพื่อจะกัดละ แต่นี้มันนั่งเหมือนหมานั่ง เอาขาพับเอาไว้นั่งเหมือนหมานั่งดู อ้อ นี่เสือ คนก็เดินจงกรมอยู่นี้เสือก็นั่งดูอยู่นั้น อย่างนั้นก็มี แต่อาจจะเป็นเสือเทพบันดาลก็ได้ ตามที่ท่านเล่าให้ฟัง เดินไปให้กลัวก็ไม่กลัว แต่ขนลุกซู่ท่านว่างั้น ขนลุก แต่กลัวจริงๆ ก็ไม่กลัวก็เดินไปอย่างงั้นละ

ทีนี้สำคัญที่ความคิด พอคิดขึ้นว่า เอ้อ จะมานั่งเฝ้านั่งแหงนเฝ้ากันหาอะไร อยากไปหากินที่ไหนก็ไปซี พอคิดอย่างนี้ขึ้นมาทางนั้นกระหึ่มขึ้นแล้ว คำราม เฮ่อๆ ขึ้นเลย เหมือนเทพบันดาลรู้ความคิดของเรา ทีนี้ทางนี้พลิกความคิดเสียใหม่ เอ้อ ถ้าไม่ไปหาอยู่หากินไม่หิวไม่โหยจะนั่งเฝ้าอันตรายให้ก็ไม่เป็นไร ทางนั้นก็เงียบไม่ว่า ทางนี้ก็เดินจงกรมไปเรื่อยๆ เขาก็นั่งอยู่อย่างงั้น นี่เหมือนว่าเทพบันดาล ถ้าคิดไปอย่างเหมือนกับว่าไล่เขาหนีเขาคำรามขึ้นทันที พอว่าให้เขารักษาก็ดี เขาไม่ว่าอะไร เขาก็อยู่นั้น เขามาทดลองเฉยๆ มีเท่านั้นเขาไม่มาซ้ำๆ ซากๆ อะไร เสือ ก็อย่างนี้นักภาวนา

แต่ก่อนสัตว์เสือมีเยอะ ทุกวันนี้ไม่ค่อยมี พูดถึงเรื่องการภาวนาต้องสมบุกสมบันสละเป็นสละตายจริงๆ บางครั้งที่ควรตาย เอ้า ตายว่างั้นเลย มันกลัวเสืออยู่ที่ตรงไหนเดินบุกเข้าไป เวลาเราเดินจงกรมความกลัวมากๆ นี้ มันวาดภาพเสือไปไว้ทั้งสองข้างทาง มีแต่ตัวใหญ่ๆ หมอบอยู่สองข้างทางจงกรมเรา เป็นอย่างนั้นก็มีนะ บุกเข้าไปหามันไม่มี มีแต่สัญญาอารมณ์มันหลอกเรา บุกเข้าไปไหนก็ไม่มี เดินบุกไปเรื่อยเลยไม่มี โอ๊ย นี่สัญญาอารมณ์มันหลอกเรา นั่น ท่านดัดสันดานท่านเป็นอย่างนั้นละนักภาวนา อันนี้ไม่เคยมีใครเล่าให้ท่านทั้งหลายฟังนะ

พระกรรมฐานแต่ก่อนสัตว์เสือชุกชุมนะ ทุกวันนี้ไม่ค่อยมี ท่านมีท่านเจอเสมออย่างนี้ แต่ไม่เคยเห็นเสือกินพระนะ เดินจงกรมอยู่นี้เขาคงจะดูอยู่ก็มี แต่ไม่เห็นทำไม เขาเดินฉากไปฉากมาเห็นรอยเขาตอนเช้า อย่างนั้นมี เขาไม่เห็นเดินวกวน ถ้าเดินวกวนพอทำเขาจะทำ แต่นี้ไม่เห็น เดินผ่านไปผ่านมาธรรมดาอย่างนั้นก็มี นี่ละการฝึกหัดภาวนาต้องเอาเป็นเอาตายเข้าว่า ควรกล้ากล้า เอ้า ควรเป็นเป็น ควรตายตาย กิเลสมันหมอบตอนนั้นละ ถ้าว่ากลัวเท่าไรยิ่งตัวสั่นเข้าไปแล้วเท่านั้นละ เดี๋ยวก็เผ่นจากทางจงกรม

ถ้าเอาธรรมเข้าสู้แล้ว เสือที่ไหน หมอบราบที่ไหน ไปที่ไหนไม่เห็นมี มีแต่สัญญาอารมณ์หลอกเฉยๆ กลับมาเดินจงกรมได้อย่างสบายเลย นี่พูดถึงเรื่องการภาวนาให้นักปฏิบัติทั้งหลายฟัง ให้พากันตั้งอกตั้งใจภาวนา การภาวนานี้เป็นสำคัญมากทีเดียว พระเรานี้เรื่องการภาวนาสำคัญมากยิ่งกว่างานอื่นใด งานภาวนาเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนา มีสติติดแนบอยู่กับคำบริกรรมหรือจิตของตนที่มีความสงบ หรือสง่างามอะไรให้มีสติติดแนบ ความเพียรจะติดกันไปตามนั้นแหละ ถ้าไม่เผลอสติความเพียรไม่ขาด ถ้าเผลอสติเมื่อไรความเพียรขาดเมื่อนั้น

ให้ตั้งอกตั้งใจแก้กิเลสตัณหาอยู่ภายในใจ แก้ออกไปๆ กิเลสนี้จะจางไปๆ จางไปๆ เรื่อยๆ จนกระทั่งแก้เข้าถึงขั้นภูมิของร่างกาย พิจารณาร่างกายหมดทุกสัดทุกส่วนอิ่มพอ หยุดการพิจารณาร่างกาย อิ่มพอแล้ว นั่นถึงขั้นอิ่มพอพอ พิจารณาร่างกายอสุภะอสุภัง ทุกฺขํ อนิจฺจํ อนตฺตา พิจารณาแล้วพิจารณาเล่า  พิจารณาไม่หยุดไม่ถอยจนมีความชำนิชำนาญแล้วอิ่มตัว ปล่อยวางการพิจารณาร่างกายแล้วผ่านไปได้ด้วยภูมิพระอนาคามี พอร่างกายหมดความหมายในการพิจารณาแล้ว จิตอิ่มตัวแล้ว นั่นละกามราคะสิ้นไปตรงนั้น

จากนั้นก็เอาอารมณ์อันนี้ละเป็นอารมณ์ละเอียดฝึกซ้อมเข้าไปๆ จิตละเอียดเข้าไป ที่เกิดของพระอานาคามีก็มี อวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี อกนิษฐา ผ่านเข้าไปเรื่อยๆ จิตเข้าไปสู่ขั้นละเอียดหมดสกลกายไม่มีทางพิจารณา มีอารมณ์ของจิตที่เกิดขึ้นดับไปทั้งดีทั้งชั่ว ตามต้อนเข้าไปหาจิตที่มีอวิชชาอยู่ภายในจิต ตามเข้าไป เกิดดีก็ดับชั่วก็ดับ ตามเข้าไป สุดท้ายก็มีแต่ความเกิดความดับของมันไม่ใช่ของจริงของจังอะไร จนกระทั่งเข้าถึงอวิชชา ถอนพรวดขึ้นมาจากหัวใจแล้วจิตก็เหมือนฟ้าดินถล่ม สว่างจ้าขึ้นมาเลย นั่นละสิ้นกิเลสแล้วจากการภาวนา

เราทั้งหลายเป็นผู้บวชมาเพื่อมรรคเพื่อผลให้จำคำนี้ให้ดี จิตเมื่อมีความสงบแล้วให้พิจารณาทางด้านปัญญาตามโอกาสอันควร เวลาเข้าสู่สมาธิให้เข้าสมาธิอย่าไปกังวลกับทางด้านปัญญา เอา อย่างไรจิตจะสงบให้เข้าเพื่อความสงบไม่เป็นกังวลกับทางด้านปัญญา ทีนี้เมื่อจิตสงบได้กำลังวังชาแล้ว ให้ถอนออกจากความสงบเข้าสู่ปัญญา พิจารณาแยกธาตุแยกขันธ์อสุภะอสุภัง ทุกฺขํ อนิจฺจํ อนตฺตา ในร่างกายของเรานี้ จนกระทั่งจิตใจเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าแล้วถอยเข้ามาสู่สมาธิเพื่อพักเอากำลัง

เมื่อจิตมีกำลังแล้วออกทางด้านปัญญาอีก พิจารณาอย่างเก่านั่น แล้วต่อไปก็ค่อยก้าวไปๆ นี่ขอสรุปความลงเลย สุดท้ายหลุดพ้นไปได้เลยด้วยการพิจารณาอย่างนี้ ร่างกายเมื่อถึงขั้นหมดสภาพหมด อิ่มตัวแล้วหมด จะให้พิจารณาอีกไม่ยอมพิจารณา เรียกว่าอิ่มแล้ว ถ้าเรารับประทานก็เรียกว่ารับประทานอิ่มแล้วจะรับประทานหาอะไร หวานก็อิ่มคาวก็อิ่มทุกอย่างแล้วหยุด นี่ร่างกายทุกสัดทุกส่วนพิจารณาจนชำนิชำนาญช่ำชองทุกอย่างแล้วปล่อยวางลง ก็เหลือแต่นามธรรมภายในใจที่เกิดจากจิต ตามเข้าไปตามต้อนเข้าไปพิจารณา เกิดแล้วดับดับแล้วเกิด แล้วก็ไม่พ้นจาก อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา อวิชชานั้นละเป็นเครื่องหนุนให้เกิดสังขาร สังขารนี้เป็นสังขารสมุทัย ตามต้อนเข้าไปหาอวิชชา

พอถึงอวิชชาแล้วอวิชชาจะถอนพรวดออกมาเลย ปจฺจยา สงฺขารา ไม่มีที่นี่ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สังขารที่เป็นสมุทัยหมดโดยสิ้นเชิง เพราะอวิชชาตัวรากเหง้าสำคัญมันหมดไปแล้ว ก็มีแต่สังขารขันธ์ล้วนๆ อย่างเช่นพระอรหันต์ พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ความคิดสังขารมี แต่เป็นขันธ์ล้วนๆ ไม่มีกิเลสตัณหาเข้าเจือปนเหมือนกิเลสอวิชชายังครองตัวอยู่เลย ให้พากันตั้งใจประพฤติปฏิบัติ เอาให้จริงเอาให้จัง ปฏิบัติให้ถึงความพ้นทุกข์ในปัจจุบัน ศาสนาพุทธเรานี้สดๆ ร้อนๆ ต่อมรรคผลนิพพานสำหรับผู้ปฏิบัติ แต่ผู้ไม่ปฏิบัติก็มีแต่เห่าฟ้อ ๆ มรรคผลนิพพานไม่มี บาปไม่มี บุญไม่มี นรกไม่มี สวรรค์ไม่มี พรหมโลกไม่มี นิพพานไม่มี แล้วอะไรล่ะมี คือความอยาก อยากอะไร อยากทำชั่ว ทำลงไปตายแล้วจม พวกนี้จมทั้งนั้นนะ

ไอ้พวกที่กลัวบาปกลัวบุญอยู่ไม่ทำ ระมัดระวัง ถึงทำก็ทำเหยาะๆ แหยะๆ ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยเหมือนคนที่ดื้อด้านหาญธรรม เหยียบหัวพระพุทธเจ้าว่าบาปไม่มีบุญไม่มี แล้วทำเต็มความต้องการของตน ผู้นี้จม ให้พากันจำเอานะพี่น้องทั้งหลาย คำพูดเหล่านี้ไม่มีคำพูดของใครเสมอเหมือนคำพูดพระพุทธเจ้า ว่าบาปมีพระพุทธเจ้าแสดงเอง บุญมีพระพุทธเจ้าแสดงเอง นรกมีสวรรค์มีเปรตผีประเภทต่างๆ มี เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าที่เป็นจอมปราชญ์ ไม่ใช่คำสอนของคนโง่ คนโง่นี่มีแต่ไปหาลบ

พระพุทธเจ้าว่าบาปมี มันก็บอกว่าบาปไม่มี บุญไม่มี นรกไม่มีสวรรค์ไม่มี พรหมโลกไม่มี นิพพานไม่มี เปรตผีไม่มี ตายแล้วจมไปหาประเภทที่ว่าไม่มีนั่นละ ไปเจอเอาแต่ของไม่มีๆ ที่ตนสำคัญเอาไว้ ของจริงมันไม่ได้ถูกลบ ลบแต่ความสำคัญเฉยๆ ของจริงมันมี บาปบุญนรกสวรรค์มี นั่น จะไปเจอเอาอย่างนั้นละ ให้พากันระมัดระวังทุกคนๆ วันนี้ก็ได้ฟังเทศน์หลวงตาพอประมาณ เสียงก็ออกพอประมาณไม่มากนัก แต่ก็พอได้ยินทั่วถึงกัน ให้พากันประพฤติปฏิบัติ

พุทธศาสนานี้เป็นตลาดแห่งมรรคผลนิพพานตลาดแห่งบุญกุศล ศาสดาองค์เอกเป็นผู้แสดงไว้ ให้เชื่อศาสดาถ้าอยากมีครูมีอาจารย์ ลูกมีพ่อมีแม่ให้เชื่อพ่อเชื่อแม่ ลูกมีครูมีอาจารย์ให้เชื่อครูอาจารย์ แล้วเราจะค่อยผ่านไปได้เพื่อความสวัสดีปลอดภัยทุกภพทุกชาติไป สุดท้ายก็ถึงพระนิพพานได้เช่นเดียวกันหมดนั่นละ

การแสดงธรรมนี้เห็นว่าสมควรแก่กาลเวลาและธาตุขันธ์ จึงขอยุติเพียงเท่านี้ ขออำนวยอวยพรให้พี่น้องทั้งหลายมีความสุขกายสบายใจทั่วหน้ากันเทอญ

 

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก