เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๓๔
จำให้ดีนะคำพูดแบบนี้
พระเณรนี่จะมามากเข้าเรื่อยๆ นะวัดเรา ต่อไปนี้จะยั้วเยี้ยๆ ละ ผมยิ่งแก่ลงเท่าไรภาระก็ยิ่งหนัก สำคัญกับหมู่กับเพื่อนนี่ซิที่ผมหนักมาก เรื่องความฉลาดไม่ค่อยมีและไม่มี หมู่เพื่อนยังอยู่สบายๆ อันนี้มองไปนี้ แหม จะทำยังไง ก็ว่าเพื่อแก้กิเลสนี่นาที่เราเอามาพูดอยู่นี่น่ะ กิเลสเป็นชนิดใดกับความเป็นอยู่ของเรานี้เป็นชนิดใด นี่ซิมันเข้ากันไม่ได้และเข้ากันไม่ได้เลยจะว่าไง หยาบๆ ต้องได้บอกได้กล่าวทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีความแย็บหรือแยบคายออกมาจากภายในใจพอเป็นแง่แห่งความฉลาด แง่ความคิดความอ่านอะไรๆ เลย มันก็บอกอยู่อย่างนี้ เวลาจะเอาไปใช้กับกิเลสจะเอาอะไรไปใช้ ก็จะเอาแบบนี้เองไปใช้
ไปในครัวก็ได้ดุทุกวันนั่นนะ วันนี้ก็ไปดุ ยิ่งนั่นเป็นชาวบ้านมาอยู่ในนั้น รำคาญจะตายนะผม ทนเอาเฉยๆ ที่อนุญาตให้ทำครัวนั่นก็ดี ไปต้องได้บอกได้กล่าว เพราะนิสัยชาวบ้านมันก็สุรุ่ยสุร่าย หาความเป็นระเบียบเรียบร้อย ความสวยงามความสะอาดไม่ค่อยมี มันเข้ากับกฎเกณฑ์ของวัดของศาสนาไม่ได้ซิ เราต้องว่าให้ ว่าแทบทุกวัน เมื่อวานนี้ก็ไปว่า วันนี้ก็เข้าไปดุอีกแหละ ก็อย่างนั้นแหละ มีแต่เรื่องของกิเลสทั้งนั้นนะ ที่ได้ดุนี่ก็คือว่าไปชะไปล้างนั่นเอง มีแต่ความสกปรกของกิเลสมันแสดงตัวออกมา ในวัดของเราก็มีแต่ความเซ่อๆ ซ่าๆ ไม่ได้หน้าได้หลัง
กิเลสมันโง่เหรอ มันทำเราให้โง่ ใครจะฉลาดยิ่งกว่ากิเลส เมื่อได้ขึ้นเวทีฟัดกันจนเต็มที่แล้ว เริ่มมีวี่มีแววทางด้านอรรถด้านธรรมแล้ว เรื่องของกิเลสมียังไงๆ มันก็ค่อยตามรู้ตามเห็นกันไปเรื่อยๆ นอกจากมันไม่มีวี่แววภายในจิตใจของเราแล้ว โอ๋ย มองก็เหมือนกับหลับตามองนั่นแหละ มองอะไรก็หลับตามอง จะเห็นอะไร อันนี้ก็หลับตาใจมองมันจะไปเห็นอะไร นี่ซิถึงได้ว่าหนักใจเกี่ยวกับเรื่องการชำระกิเลส ความเป็นอยู่ของพวกเราทุกวันนี้มันเหมือนกับจะเอามีดพับเล่มเล็กๆ ไปฟันช้างทั้งตัวให้มันตายนั่นแหละ พิจารณาซิช้างทั้งตัวกับมีดพับเล่มเล็กๆ ไปฆ่าช้างทั้งตัวมันเป็นไปได้ไหม นอกจากลูกช้างที่ไม่รู้ภาษีภาษาอะไรเท่านั้น มันเป็นอย่างนั้นละ สภาพความเป็นอยู่จิตใจของเรากับความฉลาดแยบคายของกิเลสที่อยู่เหนือหัวใจเรามันต่างกันขนาดนั้น เป็นคนละทวีปเลย จึงหนักใจ
เมื่อไม่ได้ผ่านมาก่อนก็ไม่มีอะไรจะมาพูด โง่ก็เคยโง่กับกิเลสนี่ โง่แสนโง่กับกิเลสก็เคยมาแล้ว โง่กับมันมากเท่าไรเรื่องกองทุกข์ความทรมานภายในจิตใจนี้ แหม ว่างั้นเลยนะ ทุกข์มาก มองไม่เห็นวี่แววของกิเลสเลย แต่ความทุกข์เต็มหัวใจก็เพราะผลของกิเลสมันสร้างขึ้นมา พยายามหลายด้านหลายทางพลิกแพลงเปลี่ยนแปลงหลายสันหลายคม หาอุบายแก้กัน เมื่อความไม่นอนใจมีอยู่ ช่องที่พอที่จะออกได้เป็นไปได้ก็จะเริ่มมี เพราะความเสาะความแสวงหาของเรามีอยู่ตลอด ถึงจะโง่แสนโง่มันก็พลิกหาจุดแห่งความฉลาดจนเจอไม่มากก็น้อย เริ่มเจอความสงบเย็นใจขึ้นมา ในขณะเดียวกันก็เห็นโทษแห่งความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมหรือความฟุ้งซ่านรำคาญของใจ ซึ่งมีแต่เรื่องของกิเลสเป็นผู้ก่อขึ้นมา ผลักดันออกมาทั้งนั้นๆ
ถ้าไม่มีความสงบใจเลยก็ไม่เห็นโทษแห่งความโง่ว่ามาจากอะไร เมื่อความสงบใจมีขึ้นเราก็เห็นโทษแห่งความวุ่นวายแล้วว่ามาจากอะไร มาจากความผลักดันของกิเลส เพราะสติไม่มี ตั้งไม่อยู่ตั้งไม่ติด มีแต่กิเลสเอาไปใช้เสียหมดๆ เมื่อมีความสงบแล้วก็พอได้หายใจบ้าง เมื่อพอหายใจแล้วทำไมจะไม่มีแก่ใจ มันก็ยิ่งเน้นยิ่งหนักลงไปเพื่อความสงบให้มากขึ้นๆ โดยลำดับ มันเห็นโทษกันเป็นวรรคเป็นตอนไปอย่างนี้
การปฏิบัติธรรมไม่เห็นคุณเห็นโทษระหว่างกิเลสกับธรรมบ้างเลยนี้ มันใช้ไม่ได้นะ ให้กำหนดจดจำไว้ให้ดีคำนี้ มันต้องให้เห็นโทษเห็นคุณกัน เป็นข้อเทียบเคียงฟัดเหวี่ยงกันไปกันมาก็ค่อยรู้ค่อยเข้าใจ เวลาสงบมันก็เห็นโทษแห่งความวุ่นวายให้หาความสุขความสบายไม่ได้ เพราะความวุ่นวาย ความวุ่นวายนี้เป็นมาจากความผลักดันของกิเลสที่ผลักดันให้ปรุงให้แต่ง ให้เป็นสัญญาอารมณ์กับเรื่องของกิเลสนั้นแหละ เพราะฉะนั้นมันจึงสร้างทุกข์ขึ้นมา ถ้าเป็นเรื่องของธรรมไม่สร้าง กิเลสก็ต้องสร้างแต่เรื่องของกิเลสขึ้นมา
พอจิตสงบได้บ้างก็เห็นโทษเป็นขั้นเป็นตอนไป สงบมากเท่าไรก็ยิ่งเห็นโทษแห่งความวุ่นวายมาก ถึงขนาดที่ว่าจิตได้ลงสนิทเต็มที่ความสงบเต็มที่ เพราะความชำนาญของสมาธิของความสงบ เพียงจิตปรุงแย็บเท่านั้นมันก็รำคาญแล้ว ขนาดนั้นนะ เพียงปรุงออกยิบแย็บเท่านั้นก็ถือว่าเป็นความกระเทือนจิต เป็นความรำคาญ เป็นการก่อกวนจิตแล้ว เพราะฉะนั้นจึงไม่ยอมให้ปรุง มีแต่ความรู้แน่วเป็นความสงบสบายอยู่นั้น ความคิดความปรุงนี้คือตัวก่อกวน แน่ะ มันรู้ไปถึงขนาดนั้นนะ
ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องอารมณ์ใดๆ แหละ เพียงปรุงแย็บๆ ขึ้นมาเท่านั้นมันก็กวนแล้วๆ กวนจิตที่สงบ ให้เห็นอย่างนั้นซีการปฏิบัติธรรม เมื่อจิตเข้าสู่ความสงบอันละเอียด แม้แต่ความคิดปรุงยิบๆ แย็บๆ มันก็กวนใจ มันหลบปั๊บทันทีเลย เข้าสู่ที่นั่นเลย เพราะเข้าสู่ความสงบมันเข้าง่ายนี่ เพราะฉะนั้นเวลาก้าวออกทางด้านปัญญามันเป็นเรื่องของความคิด ปัญญาไม่ใช้สังขารจะเอาอะไรมาใช้ แต่สังขารเป็นฝ่ายมรรคเท่านั้นเอง เช่น พิจารณาเรื่องกฎ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา อสุภะอสุภัง ไม่เอาสังขารมาใช้จะเอาอะไรมาใช้ ก็ต้องเอาสังขารมาใช้ ก็ถือว่าเป็นความลำบาก แต่ลำบากฝ่ายเป็นธรรมก็ต้องฝืนกันพิจารณา
ทีแรกมันเห็นโทษกระทั่งถึงทางด้านปัญญา ไม่อยากคิดอยากปรุงเพราะกวนใจ พอก้าวเข้าสู่ทางด้านปัญญา ได้เห็นคุณค่าแห่งการพิจารณาแล้วมันก็มีแก่ใจ เกิดความสนใจขึ้นมา เรื่องความติดในความสงบมันก็น้อยลงๆ ต่อไปก็เห็นว่าความสงบนี้ไม่เห็นเป็นประโยชน์อะไร อยู่เฉยๆ นั่น ปัญญาต่างหากเป็นธรรมชาติที่บุกเบิกออกให้รู้ให้เห็นความสัตย์ความจริงทั้งหลายที่มีอยู่รอบด้าน สมาธิไม่รู้ มีแต่ปัญญาเท่านั้นเป็นผู้รู้ๆ ที่นี่ก็ก้าวละนะ จากนั้นก็มาเห็นโทษแห่งความสงบที่ว่านอนอยู่เฉยๆ ไม่ได้ประโยชน์ เพียงความสงบไปเป็นวันๆ เท่านั้น หาความเปิดโล่งยิ่งกว่านั้นไม่มี
เพราะสมาธินี้เมื่อเต็มภูมิแล้วย่อมเหมือนกับน้ำเต็มแก้ว จะเอาน้ำที่ไหนมาเพิ่มอีก มันเต็มแก้วอยู่แล้วก็ล้นออกไหลออกหมด ไม่เลยจากปากแก้วไปได้เลย นี่สมาธิจะขนาดไหนก็เต็มภูมิสมาธิแล้วอยู่ ละเอียดขนาดไหนก็ละเอียดตามภูมิของสมาธิเท่านั้นไม่ใช่ในภูมิของปัญญา เพราะฉะนั้นเวลาก้าวออกทางด้านปัญญาซึ่งมีความละเอียดกว่ากันแล้ว ถึงแตกต่างกันมาก เทียบเคียงกันได้เหตุได้ผลควรจะมาตำหนิสมาธิจึงตำหนิได้ ว่านอนอยู่เฉยๆ ไม่เกิดประโยชน์ นั่น ปัญญามีความแยบคายสอดส่องมองทะลุไปในสิ่งที่ไม่เคยรู้เคยเห็น เป็นขึ้นมาๆ ด้วยอำนาจของปัญญา นั่นมันเห็นโทษกันไปเป็นระยะๆ อย่างนั้น ผู้ปฏิบัติธรรมที่จะได้รู้ธรรมเห็นธรรม ก็ต้องได้รู้กิเลสเห็นกิเลสในขณะเดียวกันๆ
เรื่องปฏิบัติทางด้านจิตใจนี้ละเอียดมากนะ ถ้าจิตไม่เป็นพูดอะไรก็ฟังอยู่เฉยๆ ถ้าเป็นแล้วมันรับกันทันที ถ้าต่างคนต่างเป็นพูดพอแย็บๆ เท่านั้นมันเข้าใจทันทีๆ เป็นเครื่องดูดดื่มเสริมซึ่งกันและกัน คือเสริมกำลังกันให้มีแก่ใจมากขึ้นๆ เป็นอย่างนั้น ปัญญาก็ไม่มีขั้นหนึ่งขั้นเดียว ปัญญาขั้นใดที่จะใช้กับสภาวธรรมประเภทใด ยกตัวอย่างเช่นกามราคะ เรื่องกิเลสตัณหาราคะอย่างนี้ ปัญญาประเภทนี้ต้องเป็นปัญญาที่ผาดโผนโจนทะยานมากทีเดียว หากพอเหมาะพอดีกับกิเลสประเภทที่มันผาดโผนโจนทะยานเช่นเดียวกัน จะเอาปัญญาที่เลียบๆ เคียงๆ หรือสบายๆ มาใช้ไม่ได้ มันหากบอกกันอยู่ในตัวว่าขนาดนี้ไม่พอ ต้องหนักเข้าไปอีก สติปัญญาชนิดนี้ไม่พอ มันหากเพิ่มของมันไปเองแหละ การพินิจพิจารณาผาดโผนมาก ปัญญาขั้นนี้ผาดโผนมากทีเดียว ความรวดเร็วก็รวดเร็วตามความผาดโผนของมันนั่นแหละ
ละเอียดหรือหยาบมันก็เอาราคะตัณหานั้นแหละเป็นประมาณ เหมือนกับว่าเอาเป็นหินลับปัญญาให้พอเหมาะพอดีกันไป ไม่มีใครบอกก็รู้เอง พอหมดปัญหาในเรื่องรูปกายที่เกี่ยวกับราคะตัณหานี้แล้ว เรื่องปัญญานั้นก็ค่อยละเอียดลงไปๆ หากเป็นในหลักธรรมชาติของตน ปัญญาที่ผาดโผนเต็มที่นี้ซึ่งเคยใช้อยู่ในขั้นนี้ก็ค่อยหมดปัญหากันไป เหมือนกับเราก้าวไปข้างหน้า ข้างหลังก็หมดปัญหาไปตามๆ กัน ยกเท้าขึ้นก้าวไปข้างหน้า ยกเท้าผ่านไปๆ นี้ ปัญญาก็เหมือนกันผ่านไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงปัญญาขั้นละเอียดเข้าไปๆ นั่น ก็คือกิเลสมันอยู่ในขั้นนั้น ขั้นที่จะพอเหมาะพอดีกัน ท่านจึงเรียกว่ามัชฌิมา นี่ละมัชฌิมาในวงปฏิบัติ
เพียงมัชฌิมาที่เราศึกษาเล่าเรียนมามันคาดมันเดาเอาเฉยๆ ท่านว่ามัชฌิมาปฏิปทาให้เดินทางสายกลางๆ มันไม่เข้าใจสายกลาง ใครก็ใครเถอะเรียนมาเหมือนกันแต่ปฏิบัติไม่ถูก มีแต่ความจำเฉยๆ ความจริงไม่เข้าสู่ใจ ภาคปฏิบัติไม่ได้เข้าสู่ตัวเองเลยแล้ว มันไม่มีอะไรสัมผัสสัมพันธ์พอจะให้สะดุดใจได้เลยแหละ จึงต้องมีภาคปฏิบัติด้วย เมื่อถึงปัญญาขั้นไหนๆ นี้หากพอเหมาะพอดีกับกิเลสขั้นนั้นๆ นามธรรมก็พวกเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ รูปธรรมก็เป็นเรื่องของปัญญาที่ผาดโผนเต็มที่นั้น เลยจากนั้นไปก็ค่อยละเอียดเรื่อยๆ ไป จนกลายเป็นเหมือนกับว่าน้ำซับน้ำซึมไป
ปัญญาไม่ใช่ขั้นเดียวนะ หากเป็นพอเหมาะพอดีอยู่กับผู้ปฏิบัติ เช่นว่าจะตบแต่งอันนั้นตบแต่งอันนี้มันก็ไม่เชิงตบแต่ง มันหากพอเหมาะพอดีกัน เหมือนกับนายช่างเขาปลูกบ้านสร้างเรือนนั่นแหละ ควรจะขึงขังตึงตังฟันนั้นฟันนี้โป้งป้างๆ ก็มี ควรที่จะทำให้ละเอียดกว่านั้นก็เป็นเรื่องของนายช่างจะรู้กับหน้าที่การงานของตัวเอง นี่สติปัญญาของเราก็เหมือนกัน เมื่อควรถึงขั้นละเอียดมันก็เป็นไปๆ ละเอียดเรื่อยๆ ไป จนกระทั่งถึงละเอียดสุดเป็นน้ำซับน้ำซึม หากเป็นอยู่อย่างนั้นๆ
ถ้าพูดถึงว่าเรื่องสังขารเราก็ไม่อยากจะพูดเสียแล้วว่าเป็นสังขาร ถึงปัญญาขั้นนั้นแล้วมันซึมนี่ สังขารมันยังมียิบๆ แย็บๆ ปัญญายังมียิบๆ แย็บๆ นะปัญญาขั้นหยาบ เช่นอย่างขั้นราคะตัณหาอันนี้หยาบ สังขารที่เป็นฝ่ายมรรคนี้ต้องรุนแรง ปัญญารุนแรง จากนั้นไปก็เบาลง พอละเอียดลงไปจริงๆ แล้วจะพูดว่าสังขาร หรือว่าปัญญาประเภทนั้นละเอียดออกมาจากสังขาร หรือว่าสังขารออกมาเป็นปัญญามันพูดไม่ถูกนะ แต่มันไม่สงสัยในความเป็นของตัวเอง เวลาจะนำออกมาพูดมันพูดได้ยากเพราะละเอียด ซึมไป ซึมซาบเหมือนกับว่ากิเลสนั้นเป็นเชื้อเพลิง แล้วไฟนี้ก็ค่อยซึมเข้าไปไหม้เข้าไป เชื้อเพลิงละเอียดขนาดไหนค่อยซึมค่อยไหม้เข้าไป ลุกไปลามไปเรื่อยๆ นั่นถึงขั้นที่เป็นอย่างนั้นก็มี นั่นละการปฏิบัติต้องรู้ชัดๆ ไปโดยลำดับลำดา จนกระทั่งถึงวาระที่มันจะหมดจะสิ้นของมันแล้ว ไม่มีใครบอกมันก็รู้ของมันเอง
การปฏิบัติธรรมนี่ต้องมีความเข้มแข็ง ต้องมีความพินิจพิจารณา ใช้ปัญญาพินิจพิจารณาทั้งภายนอกภายใน มันหากวิ่งกันเอง ถ้าลงนิสัยของความคิดความปรุงมีอยู่ในหัวใจนั้นแล้ว ออกทางภายนอกก็คิด ใช้ความคิดความพินิจพิจารณา เข้าสู่ภายในยิ่งเป็นของละเอียดจะไม่คิดไม่พินิจพิจารณาได้อย่างไร ต้องพินิจพิจารณาโดยไม่ต้องสงสัย หากเป็นอยู่ในหัวใจนั้นแหละไม่เป็นอยู่ที่ไหน ซึมซาบอยู่นั้น
ขั้นที่ไม่เห็นโทษอะไรเลย มีแต่ความเพลิดความเพลิน ความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมเต็มหัวใจ คือขั้นเราๆ ท่านๆ ธรรมดาซึ่งไม่มีภูมิของอรรถของธรรมเข้าเคลือบแฝงเลยนี้ เรียกว่ากิเลสตีตลาดเต็มเหนี่ยวเลย มีแต่เพลินกับมัน ไม่ได้คิดเลยว่าได้เห็นโทษของมันอย่างนั้นอย่างนี้ มีแต่คาดไปเฉยๆ ได้ยินท่านว่าโทษของมันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เราก็คาดไปเฉยๆ ไม่ได้ประจักษ์ในหัวใจ ถ้าภาคปฏิบัติได้ปรากฏเข้าแล้วมันประจักษ์จริงๆ ว่าโทษก็เห็นจริงๆ
จึงว่าความจริงกับความจำมันต่างกัน ความจำก็คือได้ยินจากครูบาอาจารย์ก็จำเอาไว้ แต่เมื่อเรายังไม่เป็นแล้วก็ไม่เป็นความจริง มันก็เป็นความจำอยู่นั่นแหละ เพราะฉะนั้นธรรมจึงไม่ถึงใจ เมื่อเป็นความจริงแล้วก็ต้องถึงใจๆ เป็นลำดับลำดา ว่าเห็นโทษก็เห็นประจักษ์อยู่ในหัวใจ ดังที่ว่าโทษกับคุณเข้าถึงใจอย่างเดียวกันสะเทือนถึงใจๆ หรือว่าถึงใจเข้าถึงใจ เห็นโทษก็เห็นอย่างถึงใจ เห็นคุณของธรรมก็เห็นอย่างถึงใจ คือเห็นโทษของกิเลสก็เห็นอย่างถึงใจ เห็นคุณค่าของธรรมก็เห็นอย่างถึงใจๆ ทั้งสองอย่างนี้บวกกันเข้าในหัวใจดวงนี้แล้วทำไมจะไม่มีกำลัง
ต้องดีดผึงๆ รอไม่ได้เลย ถึงขั้นรอไม่ได้ เป็นอย่างนั้นธรรมะ ไม่ใช่แต่กิเลสจะลากเราหัวกุดหัวขาดไปแบบรอไม่ได้ ให้กิเลสมันฟัดเอาไปเต็มเหนี่ยวของมัน เรียกว่ากิเลสรอไม่ได้ มันเอาเราอย่างนั้น จะเป็นอย่างนั้นถ่ายเดียว มันเป็นไปไม่ได้เมื่อมีธรรมเป็นเครื่องฟัดเหวี่ยง เป็นเครื่องคัดค้านต้านทานกันแล้ว มันต้องเอากันเต็มเหนี่ยว จนกระทั่งถึงธรรมมีกำลังมากแล้วทีนี้เอาเต็มเหนี่ยวเลย รอไม่ได้ นี่ละที่ว่าเห็นโทษมาก เห็นคุณที่จะหลุดพ้นจากโทษ นี้ก็เห็นมากถึงหัวใจๆแล้ว นั่นละหมุนทีเดียว รอไม่ได้ว่างั้นเถอะ ถึงขั้นนี้แล้วขั้นรอไม่ได้ เป็นกับตายก็รอไม่ได้ว่างั้น นอกจากสิ้นลมเสียเท่านั้น เป็นกับตายก็ปล่อยให้เป็นหลักธรรมชาติไปเสีย ขณะที่มีชีวิตอยู่นี้เรียกว่ารอไม่ได้เลย
ร้อนไหมจิตใจเมื่อถึงขั้นร้อนจากกิเลสแล้ว ก็ต้องร้อนอย่างนั้น ไม่อย่างนั้นมีกำลังฆ่ากิเลสได้ยังไง ลงจิตใจเห็นโทษถึงขนาดนั้นแล้ว กำลังอะไรจะไปเท่ากำลังของใจที่จะดีดดิ้นให้หลุดให้พ้นไปได้ นั่นละเป็นความจริง ใครไม่บอกมันก็รู้อยู่ในหัวใจเจ้าของ อย่างพ่อแม่ครูจารย์ท่านตอบพระมหาเถระน่ะ ว่าเธออยู่คนเดียว เวลาปัญหาข้อข้องใจในอรรถในธรรมเกิดขึ้น เธอไปปลดเปลื้องกับใคร ไปปรึกษาปรารภกับใคร ท่านก็กราบเรียนว่าท่านฟังเทศน์อยู่ทั้งกลางวันกลางคืน นั่นฟังซิ คือตบต่อยกันอยู่นั้น ต่อสู้กันอยู่นั้น แก้ไขกันอยู่ในนั้น ในหลักธรรมชาติของจิตนี่ ผู้ไม่เป็นก็ไม่รู้ ผู้เป็นพอแย็บเท่านั้นเข้าใจทันทีเพราะเป็นแบบเดียวกัน
นี่เรียกว่าขั้นรอไม่ได้ ต้องเป็นขั้นตบต่อยกันทั้งวันทั้งคืนเว้นแต่หลับเท่านั้น นี่ขั้นรอไม่ได้ขั้นกำลังใจ ทุกสิ่งทุกอย่างรวมอยู่ในกำลังใจหมด กำลังใจมีมากเท่าไรความพากเพียรยิ่งหมุนติ้วๆ ๆ เลย กำลังใจที่เป็นความมุ่งมั่นก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง ก็ทำความพากเพียรของเราให้มีความเข้มแข็งให้เผ็ดร้อนได้เหมือนกัน แต่กำลังใจที่เกิดขึ้นมาจากความเห็นโทษเห็นคุณระหว่างธรรมกับกิเลสนี้เป็นสำคัญมาก อันนี้หมุนติ้วเลย รอไม่ได้ว่างั้นเลย จะเป็นจะตายก็คำว่ารอนี้รอไม่ได้เลย จนกระทั่งกิเลสขาดสะบั้นออกจากหัวใจเสียเมื่อไรแล้วค่อยพูดกันว่างั้น
นี่ละทางเดินของผู้จะสิ้นจากทุกข์ท่านเดินอย่างนั้น แล้วเวลานี้ทางเดินอย่างนี้วิธีการเดินอย่างนี้ อย่างที่ว่ามานี้ มันจะไม่มีแล้วนะในวงศาสนาของเรา ในวงพระวงเณรของเรา เฉพาะอย่างยิ่งยกมาในวงปฏิบัติโลเลโลกเลกไปเสีย มันสำคัญที่ชอบก่อสร้างนั่นซี อยู่ไม่เป็นสุข คือเหมือนกับว่าแก้รำคาญ อยู่เฉยๆ ไม่ได้ กิเลสมันยุมันแหย่มันก่อมันกวนให้คันตรงนั้นให้คันตรงนี้ ให้เกานั้นให้เกานี้ แล้วก็ไปทำนั้นไปสร้างนี้ ติดต่อผู้คนญาติโยมเรื่องนั้นบ้างเรื่องนี้บ้างเป็นการแก้รำคาญ มันไปข้างนอกยิ่งเป็นการเพิ่มรำคาญเข้าไปอีกๆ ผู้จะทรงมรรคทรงผลทำอย่างนี้ได้ยังไง ท่านไม่ทำ
ผู้จะทรงมรรคทรงผลต้องหมุนติ้วกับกิเลสเท่านั้น ไม่ว่าวันว่าคืนยืนเดินนั่งนอนเว้นแต่หลับเท่านั้น จะหมุนติ้วกันไป ยากลำบากขนาดไหนก็ไม่ถอย หมุนอยู่ในวงที่จะฆ่ากิเลสนี้ หมุนอยู่ในวงที่จะแก้ที่จะถอดถอนกิเลสนี้ อันไหนที่ไม่ใช่เป็นเรื่องการถอดถอนกิเลสแล้วจะทำให้ช้า หรือมิหนำซ้ำยังเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินเพื่อแก้กิเลสฆ่ากิเลสนี้ด้วยแล้วท่านไม่ทำ แต่เดี๋ยวนี้กรรมฐานเรามันตรงกันข้ามแล้วนะ มันชอบก่อชอบสร้างนั้นสร้างนี้ยุ่งนั่นยุ่งนี่ โห พิลึก ตำรับตำราท่านก็มี
การพูดอย่างนี้ไม่ได้เอาป่าๆ เถื่อนๆ มาพูด ถอดเอามาจากตำรับตำรามาพูดให้เพื่อนฝูงบรรดาลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลายฟัง ในฐานะที่ได้เรียนมาบ้างพอประมาณ เราค้นคว้าจริงๆ ท่านสอนอย่างนั้นจริงๆ ดำเนินอย่างนั้น ไม่ได้มีแหละเรื่องพระสงฆ์องค์การในครั้งนั้นว่า ท่านไปเที่ยวสร้างนั้นสร้างนี้หรือยุ่งนั้นยุ่งนี้ ไม่มีในตำราก็บอกได้ชัดๆ อย่างนี้ มันไม่มีก็บอกว่าไม่มี ที่มีก็คือนี่แหละการเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนา การบำเพ็ญสมณธรรม องค์ไหนก้าวออกจากสถานที่ก็ดีหรืออยู่ในสถานที่ก็ดี มีแต่อยู่เพื่อบำเพ็ญ ๆ ก้าวออกเพื่อบำเพ็ญ
เวลาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าทูลถามปัญหา มีแต่ปัญหาภาคปฏิบัติซึ่งเกิดขึ้นจากจิตตภาวนาทั้งนั้นๆ เวลาพระองค์รับสั่งหรือแก้ไขปัญหาเหล่านั้นก็มีแต่ภาคปฏิบัติทั้งนั้น ไม่ได้บอกว่าศาลาหลังนั้นทำไม่ใหญ่ไม่โต ให้ใหญ่กว่านั้นให้กว้างขวางกว่านั้น เอาให้หลายชั้นกว่านั้น ท่านไม่ได้ว่าอย่างนั้นนี่นะ กุฏิก็ให้มันหรูๆ หราๆ ให้สวยๆ งามๆ ศาลาก็ให้มันกี่ชั้นอวดโลกเขา ท่านไม่ได้สอนว่าอย่างนั้นนี่ ที่ไหนพออยู่ได้อยู่เท่านั้นแหละ กระต๊อบกระแต๊บ นั้นท่านไม่ได้หรูหราอะไร
สำคัญที่ความมุ่งมั่นอยู่ในจิตตภาวนา สถานที่ใดเป็นที่เหมาะสมกับการภาวนา สถานที่นั่นละเป็นสถานที่ท่านปักใจมาก ท่านมักจะอยู่ที่เช่นนั้น ภาวนาด้วยความสะดวกสบาย ท่านเข้าไปหาพระพุทธเจ้าก็นำธรรมเข้าไปถวาย ธรรมนั้นเป็นธรรมที่ได้ปฏิบัติมา ได้รู้ได้เห็นมานำไปถวายพระพุทธเจ้า ถ้าเป็นปัญหาข้อข้องใจซึ่งกำลังดำเนินอยู่ก็เล่าถวายหรือทูลถามปัญหาท่าน ท่านก็ทรงแก้ไขให้ และผู้สำเร็จเป็นมรรคเป็นผลมาแล้ว ท่านก็ทรงอนุโมทนา นั่นเป็นอย่างนั้นนะ
ท่านไม่ได้มาอนุโมทนา เรื่องไม้เรื่องอิฐเรื่องปูนเรื่องหินเรื่องทราย เรื่องเหล็กเรื่องหลา อย่างพวกกรรมฐานผีบ้าเรานี่นะ อันนี้มันเป็นบ้ากันหมดวงกรรมฐานเราเวลานี้ ไม่ได้ฟังเสียงกันนะ คัมภีร์มีอยู่ยังไงมันไม่ได้สนใจกับคัมภีร์ มันสนใจกับกิเลสตัณหาความเป็นบ้าหน้าด้านอย่างเดียวนี่ แล้วการก่อการสร้างนี้ไม่ไปรบกวนชาวบ้านญาติโยมจะไปรบกวนใคร เราไม่มีเงินสักสตางค์ก็ต้องไปติดต่อเข คนนั้นได้ห้าคนนี้ได้สิบคบค้าสมาคมกับญาติกับโยม มีแต่คอยจะกินตับกินปอดเขา กรรมฐานผีปอบอย่างนี้มันใช่กรรมฐานของศาสดาเมื่อไร จำเอานะที่พูดนี่ เราไม่ได้เอาเรื่องป่าๆ เถื่อนๆ มาพูดนี่
พระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลายตลอดพระทั้งหลายในครั้งพุทธกาล ท่านดำเนินอย่างไรก็นำมาสอนหมดนี่ มีแต่ภาคปฏิบัตินะ ไม่ได้มีภาคยุ่งเหยิงวุ่นวายอย่างที่เป็นอยู่เวลานี้ เดี๋ยวนี้มันไปคนละทวีปกันนะ ศาสนาคำสอนของพระพุทธเจ้ามียังไงๆ เห็นอยู่ไม่สนใจที่จะปฏิบัติตาม เอาตามอำนาจของกิเลสตัณหาที่มันลากมันเข็นไปไหนก็ไปตามเรื่องตามราวของมัน แขนขาดก็ขาดไป หัวขาดขาดไป ไม่ได้สนใจว่าแข้งขาดขาขาดหัวขาดเพราะกิเลสลากไปอะไรเลยแหละ นี่ซิมันสำคัญ
จะไปหาหรูหราอะไร ให้หรูหราในหัวใจดูซิ แล้วเอามาเทียบกันซิกับสิ่งเหล่านี้ เพียงแต่สมาธิเท่านั้นมันก็เป็นฟากฟ้าฟากแผ่นดินไปแล้วแหละ ความห่างไกลกันคนละทวีปไปแล้วกับสิ่งเหล่านี้ เพียงสมาธิเท่านั้นละไม่ต้องมากละนะ ความสงบเย็นของจิตที่ไม่ต้องยุ่งเหยิงกับอะไร มันเป็นยังไงกับความยุ่งเหยิงวุ่นวายดีดดิ้นเป็นบ้าอยู่นั้น มันเป็นยังไงดูมันก็รู้นี่ เพราะฉะนั้นผู้บำเพ็ญเมื่อไม่มีธรรมขั้นสูงกว่านั้นจึงติดสมาธิได้ เพราะเป็นความสุขความสบายหายกังวลทุกอย่าง เรื่องราคะตัณหาเป็นต้นก็ไม่กวนนะ ไม่ได้กวน มันไม่ได้คิดออกไปนี่ มีแต่ความสงบแน่วอยู่นั้นไม่มีอะไรมากวนใจ จากนั้นก็เริ่มปัญญาละซี
สมาธิเป็นผู้กวาดต้อนกิเลสเข้ามาในวงแคบ ทีนี้ปัญญาเข้าตีต้อนมันละซี ฟาดฟันหั่นแหลกกันลงไปๆ ปัญญาจึงเป็นเครื่องสังหารกิเลสโดยตรง สมาธิเป็นเครื่องตีตะล่อมเข้ามาและเป็นเครื่องหนุนปัญญาให้มีกำลัง ท่านจึงสอนว่า สมาธิปริภาวิตา ปญฺญา มหปฺผลา โหติ มหานิสํสา ปัญญาที่สมาธิอบรมหรือหนุนหลังแล้วย่อมเดินได้อย่างคล่องตัว ท่านพูดทางภาคปฏิบัติเป็นอย่างนั้น เพราะเหตุไร เพราะจิตที่เป็นสมาธิแล้วไม่ยุ่งเหยิงวุ่นวายกับอารมณ์ต่างๆ พอที่จะแฉลบออกไปนอกลู่นอกทางเพราะอิ่มตัวแล้ว อิ่มอารมณ์ทั้งหลายไม่คิด พาทำงานอะไรก็ทำตามคำสั่ง
แม้ออกทำงานแล้วก็คอยแต่จะเข้ามาสู่ความสงบนี้เสีย เหมือนกับว่าเป็นความขี้เกียจ ไม่อยากทำการทำงานอะไร คิดอ่านไตร่ตรองอะไร เมื่อยังไม่เห็นคุณค่าของทางด้านปัญญา มักจะหลบเข้ามาสู่สมาธิมาอยู่ในความสงบนี่เสีย ให้เถลไถลออกไปนอกลู่นอกทาง ไปคิดวุ่นวายกับรูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัสทั้งหลายภายนอกอย่างนั้นไม่ไป จิตเป็นสมาธิจึงเรียกว่าจิตอิ่มตัว คือ อิ่มอารมณ์ทั้งหลายเหล่านั้นไม่ยุ่ง ทั้งๆ ที่มันก็มีอยู่นั่นแหละแต่ไม่มากวนใจ อำนาจแห่งความสงบนี้รุนแรงยิ่งกว่าสิ่งเหล่านั้นจึงไม่ไปยุ่ง เพราะฉะนั้นจิตสงบนี้จึงพาเดินทางด้านปัญญาได้อย่างคล่องตัว มันอิ่มตัวแล้วนี่พาทำงานอะไรก็ทำได้
แต่ก่อนท่านพูดกันพูดแต่เรื่องมรรคเรื่องผล แต่ทุกวันนี้พูดกันเรื่องการบ้านการเมืองการได้การเสีย พูดกันเรื่องการก่อการสร้างยุ่งนั้นยุ่งนี้ ไม่มีเรื่องอรรถเรื่องธรรมเข้ามาเจือปนเลย เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องของโลก แล้วพระเราไปแย่งงานของโลกมามันก็เลวกว่าโลกละซิ ไปแย่งเขามาทำไม ก็รู้อยู่แล้วว่าเราเป็นพระ เราตั้งใจประพฤติปฏิบัติเพื่ออรรถเพื่อธรรม ไม่ใช่เพื่ออิฐปูนหินทรายเหล็กหลากุฏิศาลาหลังใหญ่เท่าภูเขานี้อะไรกันนี่นะ ไปยุ่งกับมันทำไม อยู่ไหนอยู่ไปซี จะว่าอะไรเรื่องของโลกเขา
เรื่องธรรมเป็นธรรม เรื่องโลกเป็นโลกอย่าให้มาก้าวก่ายกัน หน้าที่ของเราจะปฏิบัติยังไง ใครจะมาตำหนิติเตียนอะไรก็เป็นเรื่องของโลก ฟังแต่ว่าโลกกับธรรมเป็นไร ให้เล็งดูอรรถดูธรรมเป็นเข็มทิศทางเดินหรือเป็นที่เกาะนั้นเถอะ จะไม่เสียจิตใจเรา อันนี้อะไรก็มีแต่เรื่องเอาโลกเข้ามาเป็นใหญ่เป็นหัวหน้าให้ฉุดให้ลากไป อะไรก็อยากให้เหมือนโลกเขา ๆ สุดท้ายวัดก็ให้เป็นเหมือนโลกเขา วัดก็ให้เป็นเหมือนบ้านเขา พระก็ให้เป็นเหมือนโยมเขาไปอย่างนั้นได้เหรอ ก็มันคนละเรื่องไม่ใช่เรื่องเดียวกัน
นี่ก็ค่อยกุดค่อยด้วนไป ๆ นะ ต่อไปจะไม่มีแหละ ตำราก็ถูกกักถูกกันไว้ถูกขังไว้ในตู้ในหีบไปหมด เลยมีแต่กิเลสออกเพ่นพ่านๆ ตีตลาดตเลตีพระตีเณร สุดท้ายก็ตีทั่วโลกทั่วสงสาร มีแต่กิเลสเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ไปได้หมด ธรรมก้าวออกไม่ได้แล้วก็ต้องเป็นอย่างนั้น ถ้ายังมีธรรมอยู่ก็เหมือนกับมีน้ำดับไฟ นี่ปล่อยให้มันไหม้ตลอด ก็เป็นเถ้าเป็นถ่านไปตามๆ กันไปหมดนั่นแหละ
โลกร้อนร้อนเพราะอะไร พิจารณาให้เห็นสาเหตุของมันซิ ไม่ว่าโลกนอกโลกไหนแหละ โลกเขาโลกเราเรียกว่าโลกด้วยกันทั้งนั้นแหละ ถ้าเป็นเรื่องของกิเลสเข้าไปแทรกแล้วต้องเป็นทุกข์มากน้อยจนได้ ก็เพราะไม่เห็นโทษของมันนั่นเองจึงต่างคนต่างเสาะต่างแสวงหา จับแล้วจับ ขยันจับ-จับไฟ แต่เวลาไฟร้อนแล้วก็บ่น ใครไปจับมันถึงได้ร้อน-ไฟ ไม่คิดนี่
นี่เรื่องกิเลสมันก็เป็นเหมือนฟืนเหมือนไฟ ท่านถึงว่า ราคคฺคิ โทสคฺคิ โมหคฺคิ มันมีแต่ฟืนแต่ไฟทั้งนั้น ไปจับมันก็ร้อนน่ะซี ผู้ไม่จับเป็นยังไงก็ไม่ร้อน ผู้ผ่านสิ่งเหล่านี้ไปได้เป็นยังไงอีก นั่นเป็นขั้นๆ ตอนๆ กันนะ ผู้ผ่านไปไม่มี ราคคฺคิ โทสคฺคิ โมหคฺคิ ภายในหัวใจแล้วเป็นยังไงใจดวงนั้น มันเป็นชั้นๆ อย่างนั้นนะ คุณภาพของใจที่มีธรรมกับไม่มีธรรมต่างกันอย่างนั้น
เราจะเอาอะไรมาทุกข์ในหัวใจไม่มี ขอให้กิเลสทุกประเภทได้สิ้นลงไปจากหัวใจเถอะ คำว่าทุกข์ภายในใจนี้ไม่มีตั้งแต่ขณะที่บรรลุธรรมปึ๋งขึ้นมาหนเดียวเท่านั้นพอ ไม่ต้องซ้ำ ๆ ซาก ๆ การบรรลุธรรมถึงโลกุตรธรรม คือได้ขั้นอรหัตบุคคลแล้ว แม้ตั้งแต่ขั้นพระโสดา สกิทาคา อนาคา ท่านก็ไม่ได้มาซ้ำซากนี่ เมื่อถึงขั้นถึงภูมิอะไรแล้วก็อยู่ แล้วก็ก้าวหน้าขึ้นไป ถ้าตกลงมาก็ตกลงมาภูมิเก่าที่เป็นพื้นฐานนั้นไว้เสีย ยิ่งอรหัตภูมิแล้วปึ๋งเดียวเท่านั้นไม่ต้องมาซ้ำซาก
นั่นละขณะที่ตัดสาเหตุแห่งทุกข์-สมุทัยสัจออกในขณะนั้นปึ๋งเดียวแล้ว ก็เท่ากับตัดทุกข์ในขณะเดียวกัน แล้วจะเอาทุกข์จากไหนมาให้เป็นทุกข์ภายในจิตใจ ก็กิเลสคือสมุทัยไม่มีแล้วทุกข์จะลอยลมมาจากไหน หรือจะลอยมาฟากเมฆไหนมาเข้าสู่หัวใจท่านพระอรหันต์ให้ท่านได้รับความทุกข์ มีที่ไหนฟังซิ นั่นละท่านว่านิโรธๆ ก็เมื่อดับสมุทัยแล้วทุกข์ก็ดับไปเอง เพราะทุกข์เป็นผลของสมุทัย สมุทัยคืออะไร ก็คือกิเลส กิเลสขาดสะบั้นไปจากหัวใจแล้วเอาทุกข์มาจากไหนมาสืบมาต่อพอให้มีความทุกข์อีก ในพระอรหันต์ท่านที่บรรลุธรรมแล้วยังมาเป็นทุกข์ทางใจอีกไม่เคยมี
เรื่องทุกข์ทางกายมีได้ด้วยกัน เพราะกายเรากายเขากายโลกกายของพระอรหันต์เหมือนกัน เป็นรูปขันธ์ด้วยกัน มีการเจ็บไข้ได้ป่วยปวดหัวตัวร้อนมีหิวมีกระหายเหมือนกัน เพราะอันนี้เป็นโลกด้วยกัน แต่ยังไงก็ไม่เข้าไปถึงภายในจิตใจ อันนี้เป็นแต่เพียงว่ามันมีเงื่อนสืบต่อกันอยู่กับสิ่งปัจจัยทั้งหลายที่ควรจะสนับสนุนกัน มันก็เกี่ยวข้องกันไปเท่านั้น แต่ใจไม่มีอะไร อาหารพอตัวแล้วไม่มีอะไรเข้าไปยุ่งแล้ว ท่านจึงไม่มีทุกข์
ฟังซิพระอรหันต์ว่าท่านเสวยทุกขเวทนา เอาอะไรมาเสวย ว่าให้เห็นเหตุเห็นผลซี ทุกข์ไหนที่จะเข้าไปแทรก ทุกข์เหล่านี้ก็เป็นสมมุติทั้งนั้น สุขํ ก็เป็นสมมุติ ทุกฺขํ ก็เป็นสมมุติ มันเป็นสมมุติด้วยกันทั้งนั้นสิ่งเหล่านี้ จิตนั้นเป็นจิตตวิมุตติเข้ากันได้ยังไง แน่ะ เป็นขั้นๆ ตอนๆ อย่างนั้น แล้วจะเอาทุกข์เหล่านี้เข้าไปสวมท่าน หรือเข้าไปบีบบังคับท่านได้ยังไง เป็นอฐานะ เรียกว่า เป็นไปไม่ได้แล้ว เมื่อถึงขั้นนั้นแล้วเป็นขั้นอฐานะ เป็นไปไม่ได้แล้ว ทำยังไงก็ไม่เป็น จะบังคับให้ซึมก็ไม่ซึมเมื่อถึงขั้นเป็นอฐานะแล้ว เมื่ออยู่ในฐานะที่ควรเกี่ยวข้องกันได้มันถึงเป็นไปได้
ดูหมู่เพื่อนปฏิบัตินี่ โห ผมพูดจริง ๆ นะผมไม่ได้ดูถูกเหยียดหยาม ผมไม่ได้ตำหนิติโทษหมู่เพื่อนโดยหาเหตุผลไม่ได้ ดูแล้วมันหนักใจในเรื่องความเซ่อ ๆ ซ่า ๆ อยู่นะ จะทำยังไง ๆ มันเห็นอยู่ตลอดจะว่าไง เลยทำให้อ่อนใจอิดหนาระอาใจ เฮ้อ ธรรมพระพุทธเจ้านี่จะหมดจะสิ้นไปเรื่อย ๆ แบบที่ได้มองเห็นอยู่นี้เหรอ นั่น แบบนี้ไม่ใช่แบบฆ่ากิเลส มีแต่แบบกิเลสฆ่าพระกรรมฐานนี่นะ เซ่อๆ ซ่าๆ ถูกจูงจมูกไปๆ ด้วยอากัปกิริยาต่าง ๆ ซึ่งไม่มีสติสตัง ไม่มีปัญญาพินิจพิจารณาแก้ไขหรือสลัดปัดมันบ้างเลย ไม่รู้ตัวนี่จะทำยังไง นี่ซิมันน่าทุเรศนะ ให้จำให้ดีนะคำพูดเหล่านี้พร้อมกับการปฏิบัติไป เราตายไปแล้วเรื่องนี้จะกังวานขึ้นในหัวใจของท่านผู้ปฏิบัติ และเป็นขึ้นมาภายในใจนั่นแล และสด ๆ ร้อน ๆ เสียด้วยกับนี้น่ะ พอเจ้าของปรากฏผึงขึ้นมาภายในขั้นใดภูมิใด มันจะค่อยระลึกได้ทันทีๆ ทีเดียว เพราะอันนี้ออกมาจากความจริงที่มีอยู่ในหัวใจของทุกคน
ต้องหาวิธีดัดมันซีผู้ปฏิบัติธรรม ไม่เสาะไม่แสวงไม่หาวิธีหลายแง่หลายแขนงแล้วไม่ได้นะ ภาวนาไปก็สักแต่ว่า เลยกลายเป็นพิธีไป กิเลสมันไม่ใช่พิธี มันไม่ใช่เป็นเจ้าพิธีเหมือนเราที่จะฆ่ากิเลสเป็นเจ้าพิธี มันเข้ากันไม่ได้นะ กิเลสเป็นกิเลสวันยังค่ำ แสดงออกทุกอากัปกิริยาของมันเป็นกิเลสทั้งนั้น เพื่อขนกองทุกข์มาบีบหัวใจเราทั้งนั้น พากันจำเอา
เอาเท่านี้แหละ ไม่พูดมากแหละ เหนื่อย |