|
/body onLoad="MM_preloadImages('../images/link_2_6_a.gif')">
/SCRIPT LANGUAGE="javascript1.1" page="dhamma_online";
/SCRIPT LANGUAGE="javascript1.1" src="http://truehits1.gits.net.th/data/e0008481.js">
|
|
|
เทศน์อบรมพระและฆราวาส ณ วัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม |
|
วันที่ 21 กรกฎาคม. 2545
สถานที่ : วัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม ปทุมธานี |
|
ค้นหา :
เทศน์อบรมพระและฆราวาส ณ วัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม อ.สามโคก จ.ปทุมธานี
วันที่ ๒๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๕ [บ่าย]
[รวมเวลาแสดงธรรม ๑ ชั่วโมง ๑๐นาที]
วันนี้เป็นวันมหามงคลเป็นอย่างยิ่งโดยมีสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ท่านเสด็จมาเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรแก่บรรดาพี่น้องทั้งหลาย จึงเป็นงานที่หาได้ยากและเป็นมงคลอย่างมากแก่พี่น้องชาวไทยทั่วหน้ากัน ได้ทรงทำพิธีการต่าง ๆ ที่ลุล่วงลงไปแล้ว บัดนี้เป็นการอันควรและเวลาอันเหมาะสมที่เราทั้งหลายจะได้ยินเสียงอรรถเสียงธรรมเข้าสู่จิตใจ ทางตาก็ได้เห็นพระเจ้าพระสงฆ์เต็มเม็ดเต็มหน่วย เริ่มมาตั้งแต่วานนี้จนกระทั่งถึงวันนี้มีพระสงฆ์จำนวนมาก เรียกว่าตาเราก็เป็นทัสสานานุตริยะ คือการเห็นอย่างสูงสุดได้แก่เห็นสมณะ
คำว่าสมณะนั้นแปลว่า ท่านผู้สงบกาย วาจา ใจจากบาปจากรรมทั้งหลายซึ่งเป็นภัยต่อสัตว์โลกทั่ว ๆ ไป ท่านเหล่านี้เป็นผู้สงบใจจากบาปกรรมทั้งหลาย เริ่มต้นตั้งแต่เป็นสมณะที่หนึ่งซึ่งเราได้เห็นท่านว่า สมณานญฺจ ทสฺสนํ การเห็นสมณะเป็นมงคลอันสูงสุด สมณะที่หนึ่งได้แก่พระโสดาฯ สมณะที่สองได้แก่พระสกิทาคา สมณะที่สามได้แก่พระอนาคาฯ สมณะที่สี่ได้แก่ พระอรหัตบุคคล นี่ท่านเรียกว่า เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ การเห็นการได้ยินอย่างสูงสุดเป็นมงคลอย่างยิ่งแก่พี่น้องทั้งหลายที่มาในงานนี้ เพราะพระสงฆ์ท่านมีประเภทต่าง ๆ ตามชั้นอรรถชั้นธรรมของท่านที่ปฏิบัติมาบรรจุอยู่ภายในจิตใจ เรียกว่าผู้ทรงธรรม
ธรรมนั้นเริ่มต้นตั้งแต่ สมถธรรม คือธรรมความสงบใจ สมาธิธรรมคือความแน่นหนามั่นคงของใจกับธรรมทั้งหลายที่เกี่ยวโยงกัน จากนั้นก็พระโสดาฯ พระสกิทาคาฯ พระอนาคาฯ พระอรหันต์ เหล่านี้สืบเนื่องไปจากการประพฤติปฏิบัติตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้าซึ่งเรียกว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว สมบูรณ์แบบทุกประการตั้งแต่ต้นแห่งธรรมจนกระทั่งถึงธรรมอันสูงสุด คือวิมุตติพระนิพพานอยู่ในข่ายแห่งธรรมที่ว่าสวากขาตธรรมที่ตรัสไว้ชอบแล้วนี้ทั้งนั้น วันนี้หูตาของพวกเราทั้งหลายก็ได้พบได้เห็นได้ยินได้ฟังเสียงอรรถเสียงธรรม
วันนี้จึงเป็นมงคลอันสูงสุดประเภทหนึ่ง เริ่มต้นมาตั้งแต่เราบำเพ็ญงานการมหากุศลช่วยชาติไทยของเรา เริ่มต้นมาเป็นลำดับ วันนี้ก็ได้พากันบำเพ็ญมหากุศลเพื่อชาติไทยของเรา หลังจากนั้นแล้วก็จะได้ยินเสียงอรรถเสียงธรรมเข้าสู่ใจ เพราะเสียงอื่นเสียงใดต่างคนต่างไม่เคยบกพร่อง เรื่องเสียงต่าง ๆ นั้นมีเกลื่อนไปหมดในโลกนี้ ส่วนมากเป็นเสียงที่ก่อความรำคาญ ก่อความทุกข์ความเดือดร้อน ก่อเรื่องก่อราว ก่อไม่หยุดไม่ถอย ก่ออยู่ที่หัวใจ ความก่อเรื่องก่อราวออกมาจากสิ่งเป็นภัยที่อยู่ในหัวใจของเราเรียกว่ากิเลส
กิเลสนี้คือตัวภัยฝังภายในจิตใจของสัตว์โลกทั่ว ๆ ไป และธรรมก็มีอยู่ภายในจิตใจของโลกเช่นเดียวกัน เป็นแต่เพียงว่าส่วนไหนมีกำลังมาก ส่วนนั้นก็แสดงออกอย่างเปิดเผยเต็มเม็ดเต็มหน่วย ก่อเรื่องก่อราวได้เช่นกิเลสมักจะมีอยู่มากภายในหัวใจของโลกทั่ว ๆ ไป สำหรับธรรมมีน้อยมาก เพราะเหตุนี้เองกิเลสตัวสำคัญที่ก่อฟืนก่อไฟเผาไหม้สัตว์โลกอยู่นี้จึงทำให้โลกหาความสงบร่มเย็นไม่ได้ สิ่งอื่นใดสงบสวยงามตาแต่จิตใจมักไม่ค่อยเหมาะสมตลอดเวลา มีสิ่งรบกวนใจ วันนี้พี่น้องทั้งหลายก็ได้มาพบเห็นพระเจ้าพระสงฆ์ซึ่งส่วนมากมาจากสายหลวงปู่มั่นของเราที่ท่านบำเพ็ญในที่ต่าง ๆ ภาคอีสานเป็นจำนวนมาก
ท่านเหล่านี้บำเพ็ญอยู่ในป่าในเขา เสาะแสวงหาอรรถหาธรรมโดยเฉพาะ ไม่ยุ่งเหยิงวุ่นวายกับเรื่องโลกเรื่องสงสาร มีหน้าที่การปฏิบัติตนเพื่ออรรถเพื่อธรรมเพื่อความสงบร่มเย็นแก่จิตใจเป็นลำดับ ๆ ตลอดไป ท่านเหล่านี้เป็นผู้สั่งสมอรรถธรรมซึ่งเป็นเหมือนน้ำดับไฟ เมื่อธรรมมีมากก็เท่ากับน้ำดับไฟมีมาก ไฟคือกิเลสตัณหาซึ่งอยู่ในใจดวงเดียวกัน เมื่อมีน้ำคือธรรมก็เป็นเครื่องระงับดับกันได้ ใจของเราก็ไม่วุ่นวายส่ายแส่ไม่เกิดความทุกข์ความเดือดร้อนเพราะความวุ่นทั้งหลายก่อกวน เนื่องจากมีธรรมเป็นเครื่องระงับดับกันไปเป็นกาลเป็นเวลา แต่สำหรับพระที่ท่านบำเพ็ญอยู่ในป่านั้นท่านระงับดับไฟกิเลสตัณหาเป็นประจำ เรียกว่าบำเพ็ญธรรม ดังที่เราทั้งหลายได้ยินได้ฟัง ชินหูชินใจว่าพระกรรมฐาน
กรรมฐานแปลว่า ที่ตั้งแห่งงาน พระท่านบำเพ็ญกรรมฐานซึ่งเป็นที่ตั้งแห่งงาน งานของพระที่ท่านบำเพ็ญนั้นคืออะไร เริ่มต้นตั้งแต่บวชทีแรกพระพุทธเจ้าก็มอบงานให้ ขึ้นต้นก็เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง คืองานอันยิ่งใหญ่ในไตรภพ งานอันนี้สิ่งเหล่านี้เป็นงานอันหนาแน่นปิดบังลี้ลับสิ่งเปิดเผยด้วยกันให้มิดตัวด้วยกันไปเลยไม่สามารถที่จะมองเห็นได้ พระท่านไปบำเพ็ญก็คลี่คลายงานเหล่านี้ภายในจิตใจ เจริญสมถธรรมด้วยบทภาวนา มีสิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องคลี่คลายขยายดูเพราะสายเหตุแห่งความทุกข์ทั้งหลายเกิดมาจากสามสี่ประการนี้เป็นสำคัญ
คำว่า เกสา ผมอยู่บนหัวนั้น ผมเรากับขนสัตว์ก็ไม่เห็นผิดแปลกอะไร แต่มาเป็นผลของคนแล้วก็มายกยอปอปั้นขึ้นให้เป็นของสดสวยงดงามให้ตื่นเต้น เกิดราคะตัณหาผูกพันรัดตรึงหัวใจ แล้วดีดดิ้นจนไม่มีเมืองพอเพราะราคะตัณหานี้ก็หมายถึงความทะเยอทะยาน ความหิวโหย พอมีสิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องล่อ ท่านเรียนสิ่งเหล่านี้ตลอด วันนี้ไม่อธิบายไปมากเกี่ยวกับเรื่องกรรมฐาน ๕ จะอธิบายเรื่องราวของพระกรรมฐานที่ได้ดำเนินโดยถืองาน ๕ ประการนี้เป็นพื้นฐานด้วยการเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาเพื่ออบรมจิตใจตัวดีดดิ้นนี้ตลอดเวลา จะเป็นคำบริกรรมใดท่านก็นำมาบริกรรมตามความถนัดแห่งจริตนิสัยของท่าน เช่น ผู้ชอบ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ บทใดมาบริกรรมเพื่อความสงบใจก่อน
เมื่อใจมีความสงบแล้ว เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจนี้จะเป็นงานเพื่อวิปัสสนาคลี่คลายงานทั้ง ๕ ประการนี้ให้เป็นวิปัสสนาทางด้านปัญญา คลี่คลายขยายตัวออกด้วยปัญญาให้รู้แจ้งเห็นจริง แล้วปล่อยวางสิ่งที่หนักยิ่งกว่าภูเขาภูเราเหล่านี้ออกเป็นลำดับลำดาด้วยอำนาจแห่งปัญญา คือการภาวนาของท่าน นี่พระท่านบำเพ็ญมา ศาสนาในครั้งพุทธกาล พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนบรรดาสาวกนั้น สั่งสอนให้อยู่ในป่าในเขาลำเนาไพร ให้อยู่ในถ้ำเงื้อมผาป่าช้าป่ารกชัฏเพื่อกำจัดกิเลสตัววุ่นวายภายในใจนี้ให้ค่อยสงบตัวลงไป สถานที่เช่นนั้นเป็นสถานที่บรรเทาระงับความทุกข์ได้เป็นลำดับด้วยการภาวนาสะดวกเพราะไม่มีสิ่งก่อกวน มีตั้งแต่งานของพระไล่เข้าไปอยู่ในป่าเพื่อหลบภัย
คำว่าป่านั้นต่างกัน ป่าไม้ต้นไม้ภูเขาอยู่แล้วสงบร่มเย็นเป็นสุข เจริญธรรมให้เกิดความสงบร่มเย็นและสติปัญญาขึ้นมาโดยลำดับจากการอยู่ในป่า พิจารณาป่า ใบไม้ตกร่วงลงมาใบหนึ่ง ๆ ก็แสดงกฎ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ให้ทราบเป็นระยะ ๆ ป่าเหล่านี้เป็นคุณต่อการบำเพ็ญภาวนา ท่านจึงสอนให้อยู่ตามป่าตามเขาเช่นนี้เพื่อสะดวกแก่การบำเพ็ญภาวนาโดยสะดวกสบาย ไม่เหมือนป่ามนุษย์ป่าคน ป่าคนนี้เป็นป่าแห่งความยุ่งเหยิงวุ่นวายเรื่องราวต่าง ๆ เต็มอยู่กับป่าคนป่ามนุษย์นี้ทั้งนั้น
ท่านจึงสอนให้หลีกไปอยู่ในสถานที่นั้นเพื่อระงับดับป่าทั้งหลายเหล่านี้ไม่เข้าไปสัมผัสสัมพันธ์ กันเพราะอยู่ในที่ห่างไกลกัน การบำเพ็ญสมณธรรมท่านจึงได้บำเพ็ญเต็มเม็ดเต็มหน่วย แล้วตักตวงเอามรรคเอาผลขึ้นมาภายในจิตใจ องค์นี้สำเร็จเป็นพระโสดาฯ องค์นี้สำเร็จเป็นพระสกิทาคาฯ องค์นี้สำเร็จเป็นพระอนาคาฯ องค์นี้สำเร็จเป็นพระอรหัตตบุคคล ล้วนแล้วตั้งแต่อยู่ในป่า ถ้าสมัยทุกวันนี้เรียกว่ามหาวิทยาลัยป่า คือเป็นวิทยาลัยของพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นศาสดาองค์เอกเป็นครูสอนเสียเอง
เมื่อบรรดานักศึกษาคือบรรดาผู้บวชแล้วไปศึกษากับพระองค์ก็สำเร็จขึ้นมาเป็นชั้น ๆ ตั้งแต่ชั้นโสดาฯ หรือชั้นสมถะ ชั้นสมาธิวิปัสสนา กลายเป็นพระโสดาฯ สกิทาคาฯ อนาคาฯ อรหันต์ขึ้นมาแล้ว ทรงออกมาประกาศพระศาสนา นี่เรียกว่าสำเร็จในมหาวิทยาลัยป่ามาสั่งสอนโลกเรื่อยมาจนกระทั่งทุกวันนี้ ที่เราทั้งหลายได้เปล่งวาจาว่า สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ นั้นคือพระสงฆ์เหล่านี้แล ที่ท่านเรียนและปฏิบัติตนสำเร็จมาจากมหาวิทยาลัยป่าตามที่พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญและสำเร็จมาก่อนแล้ว มาสั่งสอนบรรดาสาวกทั้งหลาย จึงสำเร็จมาเป็นลำดับลำดา นี้คือทางเดินแห่งธรรมเพื่อความสงบแก่จิตใจของผู้บำเพ็ญ
นอกจากได้รับผลประโยชน์จากการบำเพ็ญของตัวแล้วก็เฉลี่ยเผื่อแผ่แนะนำสั่งสอนประชาชน เมื่อเป็นผู้ทรงไว้ซึ่งอรรถซึ่งธรรมแล้วอยู่คนเดียวก็เย็น อยู่ที่ไหนก็เย็น แม้ที่สุดอยู่ในป่าในเขาเทวบุตรเทวดาทั้งหลายเข้ามาเคารพกราบไหว้บูชา ฟังอรรถฟังธรรมจากท่านตลอดมา ทั้งเทวบุตรเทวดาก็ได้ยินอรรถธรรมของท่านที่บรรจุไว้แล้วในใจ จากนั้นเข้ามาสั่งสอนสัตว์โลกเป็นลำดับลำดาไป นี่คือศาสนาของพระพุทธเจ้าแห่งเราทั้งหลายเป็นศาสนาชั้นเอก ไม่มีศาสนาใด ๆ เสมอเหมือน
การกล่าวทั้งนี้กล่าวตามหลักความจริง เพราะพระพุทธเจ้าของเราเป็นผู้สิ้นกิเลสแล้วเรียกว่าตรัสรู้เป็นศาสดาเอกของโลก มาแนะนำสั่งสอนสัตว์โลกคือไม่มีคำว่ามืดว่ามัว สงสัยสนเท่ห์ในธรรมแง่ใดมุมใดแจ่มแจ้งด้วยโลกวิทูรู้แจ้งโลกนอกโลกในโดยตลอดทั่วถึง พระสงฆ์ในครั้งนั้น เวลาปฏิบัติตามท่านแล้วจึงตักตวงเอามรรคผลนิพพานมาเรื่อย ๆ เรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ เพราะฉะนั้น ในป่าในเขาจึงมีกรรมฐานในสมัยปัจจุบันนี้ซึ่งสืบเนื่องมาจากครั้งพุทธกาล ครั้นมาในระยะนี้ก็มีหลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์เป็นผู้พาดำเนิน
ท่านเหล่านี้ก็ทรงมรรคทรงผลเต็มเม็ดเต็มหน่วยเต็มหัวใจออกมาสั่งสอนบรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายให้ได้กระจายออกไปเป็นมรรคเป็นผลเป็นครูเป็นอาจารย์ที่ทรงมรรคทรงผลสั่งสอนบรรดาประชาชนพระเณรทั้งหลายเรื่อยมาจนบัดนี้ เพราะฉะนั้น ในงานเช่นนี้ซึ่งเป็นงานเกี่ยวกับหลวงปู่มั่นแล้ว พระกรรมฐานทั้งหลายที่มากกว่าเพื่อนก็คือภาคอีสานซึ่งเป็นสถานที่อยู่ของหลวงปู่มั่นและเป็นที่บำเพ็ญสะดวกสบายมาดั้งเดิม ท่านจึงบำเพ็ญในสถานที่เช่นนั้น เมื่อได้ทราบว่ามีการมีงานเกี่ยวกับครูบาอาจารย์ ท่านก็ได้มาด้วยความเคารพเลื่อมใส
เพราะฉะนั้น ในงานนี้จึงมีพระเป็นจำนวนมากซึ่งมักจะพูดว่าล้วนแล้วตั้งแต่พระกรรมฐานที่ท่านบำเพ็ญอยู่ในป่าในเขาทั้งนั้นแล นี่ล่ะเป็นที่สงบงบเงียบในสถานที่บำเพ็ญแล้วก็ทำจิตใจของตนให้มีความสงบเยือกเย็น จิตเป็นสมาธิขึ้นมา คำว่าความสงบคือความสงบใจจากการบำเพ็ญภาวนา หนักเข้าไปจิตก็เป็นสมาธิ จากสมาธิคือความแน่นหนามั่นคงแล้วก็ก้าวเข้าสู่ปัญญา คลี่คลายสิ่งที่พัวพันจิตใจทั้งหลายซึ่งสมาธิไม่สามารถที่รู้ได้เห็นได้ แต่ปัญญาสามารถคลี่คลายรู้ได้เห็นได้ ชำระสะสางออกไปโดยลำดับลำดา จนกลายเป็นความสว่างไสวขึ้นมาภายในจิตใจ เพราะปราศจากสิ่งกำบังคือกิเลสทั้งหลาย มันปิดบังหุ้มห่อเอาไว้
สติปัญญาศรัทธาความเพียรกำจัดสิ่งเหล่านี้ออกเป็นลำดับลำดา จิตจึงกลายเป็นจิตสว่างไสวขึ้นมา ทรงมรรคทรงผลทรงอรรถทรงธรรมเต็มหัวใจ ท่านผู้บำเพ็ญอรรถธรรมตามทางเดินที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนแล้วจึงเป็นผู้มีทางที่จะได้มรรคได้ผลขึ้นในหัวใจของตน เพราะคำว่าธรรมนี้ท่านเรียกว่า อกาลิโก ไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลาใดที่จะมาตัดทอดให้เสียหายไปได้ ธรรมมีความเสมอภาคตลอดไป กิเลสก็เป็นอกาลิโกเช่นเดียวกัน คือไม่มีกาลสถานที่ ทั้งสองประเภทนี้เกิดอยู่กับใจของสัตว์โลกด้วยกัน ใครจะเอื้อมมือหรือสมัครรักชอบไปในทางใด ประกอบไปในทางใด ผลของงานก็เกิดขึ้นจากทางนั้น ๆ เสมอกันหมด
เช่นผู้มีกิเลสกับธรรมอยู่ภายในใจ ถ้ามีความรักใคร่สนใจไปตามกิเลสก็ทำให้เกิดกิเลสไปวันยังค่ำ สั่งสมมากเท่าไรก็ยิ่งเกิดมากขึ้น ๆ คำว่ากิเลสคือความเศร้าหมองมืดตื้อ ผลของมันก็คือความเป็นภัย ทำจิตใจให้เกิดความเดือดร้อนวุ่นวาย อยู่ไม่เป็นสุข นอนไม่เป็นสุข อิริยาบททั้งสี่หาความสุขไม่ได้คือกิเลสก่อกวน นี่แหละถ้าหมุนไปทางกิเลส กิเลสก็แสดงผลขึ้นมาเรื่อย ๆ อย่างนี้เอง จนกระทั่งลืมเนื้อลืมตัว เมื่อกิเลสกล่อมใจมาก ๆ แล้วสัตว์โลกมักจะเชื่อตามกิเลสมากกว่าเชื่ออรรถเชื่อธรรม เพราะกิเลสนี้กล่อมได้ง่ายกว่าอรรถกว่าธรรม ธรรมยังมีครูมีอาจารย์มาสอนเป็นครั้งเป็นคราว หรืออ่านจากตำรับตำราก็อ่านเป็นเวล่ำเวลา แต่ที่กิเลสเสี้ยมสอน กิเลสอ่านทุกสิ่งทุกอย่างให้เราทั้งหลายให้สัตว์ทั้งหลายลุ่มหลงนั้นอ่านตลอดเวลา เสี้ยมสอนตลอดเวลาภายในจิตใจ
ใจของสัตว์โลกจึงมักลุ่มหลงไปตามกิเลสซึ่งเป็นเรื่องหลอกลวงล้วน ๆ แล้วก็นำผลคือความทุกข์ขึ้นมาภายในจิตใจ ตลอดหน้าที่การงานก็กลายเป็นงานสกปรกไปหมด เพราะกิเลสนั้นจะเห็นแก่ความอยากได้อยากมีอยากดีอยากเด่น ส่วนผิดถูกประการใดนั้น กิเลสไม่ค่อยคำนึง ขอให้ได้อย่างใจ คำว่าได้อย่างใจก็คือใจของกิเลสที่หลอกลวงนั้นแหละ คนเราจึงมักผิดพลาดถ้าไม่มีธรรมเป็นเครื่องกระซิบกระซาบเป็นเครื่องพร่ำสอนจากครูจากอาจารย์บ้างพอประมาณแล้วคนเรามักเสียตัวได้ เช่นเมืองไทยของเราเป็นเมืองพุทธศาสนา พุทธศาสนาเลยกลายไปอยู่ในคัมภีร์ใบลาน ไปอยู่วัดอยู่วาอยู่กับพระเณร ไม่มีความจำเป็นที่จะมาอยู่กับเราพอให้เกิดความเชื่อความเลื่อมใส ปฏิบัติตามอรรถตามธรรมไปเสีย
นี่ล่ะมันก็เลยกลายเป็นโมฆะไปหมด ทั้ง ๆ ที่เราก็เป็นชาวพุทธ แต่กิริยาอาการแห่งความคิดความปรุงคำพูดคำจา การเสาะแสวงหาทุกอย่างกลายเป็นเรื่องของกิเลส ไปหมดซึ่งมันฉุดลากตลอดเวลา นี่ล่ะชาวพุทธเราที่ห่างเหินอรรถธรรมมักเป็นความเสียหายไปเรื่อย ๆ ถ้ายิ่งห่างเหินจากธรรมไปเท่าไร ก็ยิ่งเห็นความสำคัญของกิเลสมากไปเท่านั้น เท่ากับเราพอใจสร้างฟืนสร้างไฟให้เผาจิตใจของเราตลอดไป ท่านจึงให้มีธรรมะ วันนี้ได้กล่าวถึงเรื่องพระเจ้าพระสงฆ์ที่ท่านมาจากที่ต่าง ๆ มาในงานนี้ให้พี่น้องทั้งหลายฟังก็คือท่านเหล่านี้แล ท่านเป็นผู้เสาะแสวงหาอรรถหาธรรมอย่างยิ่ง
จิตใจท่านส่วนมากเย็น เย็นภายในใจ เย็นหลายขั้นหลายภูมิ เย็นด้วยสมถธรรมที่ท่านบำเพ็ญด้วยจิตตภาวนาก็เย็น เย็นด้วยสมาธิธรรมที่เกิดขึ้นจากการอบรมภาวนาของท่านก็เย็น เย็นด้วยอำนาจแห่งสติปัญญา ก้าวขึ้นโดยลำดับลำดาท่านก็เย็น แก้กิเลสคือความโลภความโกรธราคะตัณหาเป็นลำดับลำดาให้เบาลงไปเรื่อย ๆ ท่านก็เย็นไปเรื่อย ๆ ภายในหัวใจของท่าน ท่านพยายามทำอยู่โดยสม่ำเสมอ ในป่าในเขาลำเนาไพรในถ้ำเงื้อมผาป่าช้าป่ารกชัฏเป็นที่บำเพ็ญแห่งธรรมทั้งหลาย ธรรมมักจะเกิดในที่เช่นนั้น ท่านก็บำเพ็ญ
ท่านจึงสามารถที่จะตักตวงเอาอรรถเอาธรรมซึ่งเป็นธรรมตั้งแต่พื้นแห่งธรรมจนกลายเป็นธรรมที่เลิศเลอ วิมุตติธรรมได้ตามสถานที่เช่นนั้น ๆ เพราะอานิสงส์แห่งการปฏิบัติตนด้วยความพออกพอใจ นี่เรียกว่าชาวพุทธของเรา อันดับแรกคือพระเจ้าพระสงฆ์ ไปอยู่สถานที่ใด เราเป็นลูกชาวพุทธ ไปตั้งบ้านตั้งเรือนที่ใดมักจะสร้างวัดสร้างวาขึ้นสถานที่นั้นที่นั้นเพื่อให้เป็นความอบอุ่นหรือเย็นใจแก่ประชาชนทั้งหลายซึ่งเขาถือพระเป็นเหมือนพ่อเหมือนแม่ ทีนี้พระเราตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติตัวให้ดี มีศีลมีธรรมบริสุทธิ์จิตใจก็มีความสงบร่มเย็นทรงอรรถทรงธรรมตั้งแต่ธรรมขั้นพื้น ๆ จนถึงขั้นอรหัตตธรรมได้ภายในหัวใจแล้ว อยู่ที่ไหนเย็นหมด ไปอยู่ในบ้านใดเมืองใดเรือนใดสถานที่ใด ท่านนั้นเป็นพื้นฐานแห่งความเย็นอันดับหนึ่ง
ประชาชนทั้งหลายที่เป็นลูกศิษย์ลูกหา ชาวบ้านที่ต่าง ๆ ได้รับความร่มเย็นเป็นสุขจากท่านเพราะท่านเป็นผู้มีธรรม ท่านมีความสำรวมระวัง มองดูที่ไหนมีแต่ศีลแต่ธรรมเต็มตัวสง่างาม เป็นที่ชื่นอกชื่นใจไม่แสลงแทงตาเหมือนผู้ที่ล่วงเกินสิกขาบทวินัย ทำลายศีลของตนโดยไม่มีหิริโอตตัปปะ ต่างกันอย่างนี้ ท่านผู้เสาะแสวงหาธรรมรักธรรมมากเท่าไรท่านยิ่งมีหิริโอตตัปปะ การสะดุ้งกลัวต่อบาปต่อกรรมไม่อยากให้อะไรเข้ามาแตะต้องจิตใจกายวาจาของตนให้เสียไป มีแต่ความระมัดระวังการประพฤติปฏิบัติ
เพราะฉะนั้น ธรรมจึงเกิดได้สำหรับท่านผู้อยู่ในที่เช่นนั้น ด้วยเหตุนี้เองที่ได้กล่าวให้พี่น้องทั้งหลายฟังว่า นาน ๆ จะมีทีหนึ่งที่เราจะได้พบปะพระเจ้าพระสงฆ์ที่ท่านตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติจริง ๆ แล้วทรงมรรคทรงผลจริง ๆ ด้วย แต่ไม่ใช่เป็นเรื่องที่จะมาประกาศโฆษณากัน ทางกิเลสนั้นเขาชอบโฆษณายกยอปอปั้นตัวว่าเป็นคนดิบคนดี ทุกสิ่งทุกอย่างถ้าเป็นเรื่องของกิเลสแล้วเป็นเรื่องยอทั้งนั้น แต่ธรรมท่านเป็นไปตามความจริง ท่านไม่ชอบยอ ท่านเป็นไปตามความจริง เมื่อมันมีเหตุจำเป็นจะให้ท่านพูดว่ายังไงสอนว่ายังไง ท่านก็ไม่สอน มีเท่าไรก็มีอยู่ภายในจิตใจ ไปเรียบ ๆ ธรรมดาสงบเสงี่ยมเจียมตัว
เว้นแต่เหตุการณ์ที่เข้ามาเกี่ยวข้องสัมผัสสัมพันธ์คือผู้ที่เข้ามาศึกษาอบรมกับท่าน เป็นผู้มีความรักใคร่ใฝ่ธรรม มาศึกษาอรรถธรรมกับท่านมากน้อยเพียงไรนั้นแลเป็นเวลาที่ท่านจะเริ่มแสดงออกมากน้อยตามผู้ที่ต้องการผลประโยชน์มากน้อยเพียงไร ท่านก็แสดงออกตามเหตุการณ์หรือตามรายบุคคลเพื่อให้ได้ผลประโยชน์ทั่วถึงกัน ตามปกติมีก็เหมือนไม่มี รู้ก็เหมือนไม่รู้คือผู้ทรงธรรม ไม่หิวไม่โหยไม่กระวนกระวายคือผู้ทรงธรรม เห็นเหมือนไม่เห็นรู้เหมือนไม่รู้คือผู้ทรงธรรม
ธรรมไม่กวนใจ รู้เท่าไรก็ไม่กวนใจ ไม่เหมือนกิเลส กิเลสทำให้ตื่นเต้นเสียอกเสียใจแล้วเป็นฝ่ายยกยอปอปั้นแล้วเหยียบย่ำทำลายกันได้ง่ายคือกิเลส ส่วนธรรมไม่แสดงอย่างนั้นอย่างง่ายดาย ท่านยังมีความอดกลั้นขันติ เก็บความรู้สึกไว้ได้ดีคือผู้ปฏิบัติธรรมนั้นแหละ ศาสนาของพระพุทธเจ้าเวลานี้ยังสมบูรณ์พูนผลตามเดิม ใครปฏิบัติตามศาสนธรรมของพระพุทธเจ้า ซึ่งเรียกว่าอกาลิโก ไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลาจะมาตัดถอนผลประโยชน์ให้เกิดขึ้นแก่ผู้ทำนั้นได้เลย ผู้ทำมีมากน้อยผลจะปรากฏ
เพราะฉะนั้น จึงเรียกว่ากิเลสมีอยู่ในใจเช่นเดียวกัน ธรรมก็เกิดภายในใจเช่นเดียวกัน แล้วแต่เราจะเอื้อมไปทางไหน ถ้าเอื้อมไปทางกิเลส กิเลสจะต้องแตกแขนงออกไป ให้เราไต่เต้าไปตามด้วยความหลงของเรานั้นแหละ ความโลภ โลภไม่มีประมาณ โลภจนไม่มีวันมีคืนไม่มีปีมีเดือน ได้มาเท่าไรก็มีแต่โลภเรื่อย ๆ เพราะกิเลสนี้คำว่าเมืองพอไม่มี เหมือนเราไสเชื้อเข้าสู่ไฟ ไสเชื้อเข้าไปมากเท่าไรจะให้ไฟดับไม่มี ไสเชื้อเข้าไปเท่าไรไฟยิ่งแสดงเปลวหนักขึ้น นี่เราเสาะแสวงมาให้ตามอำนาจแห่งความโลภของกิเลส ความหิวโหยของกิเลสให้มากน้อยเพียงไรยิ่งเป็นการเสริมไฟคือกิเลสให้ทะเยอทะยาน อยากได้มากยิ่งกว่านั้น สุดท้ายจนลืมวันตายของตัวเอง
คนเราทั้งโลกนี้เกิดมาจะต้องตายด้วยกัน สัตว์ทั่วโลกตายด้วยกัน เกิดกับตายเป็นของคู่กันมา เป็นแต่เพียงว่าเกิดประกาศก่อนเท่านั้น ตายประกาศทีหลังแต่จะต้องประกาศในบุคคลคนเดียวกัน คนที่มีความโลภมาก มีราคะตัณหามากทะเยอทะยานไม่มีความอิ่มพอ เป็นบุคคลที่ยุ่งเหยิงวุ่นวายส่ายแส่ เป็นบุคคลที่เป็นภัยต่อสังคมมากทีเดียว เรื่องราคะตัณหานี้เป็นภัยทั่ว ๆ ไป นอกจากนั้นยังกลับมาเป็นภัยต่อครอบครัวผัวเมียของตนอีกด้วย เช่นสามีมีความมักมากในราคะตัณหาก็ต้องด้อมไปหาสิ่งที่มาเสริมเข้าไปโดยไม่รู้ตัว
นี่ล่ะเรียกว่าราคะตัณหา กินไม่พอ ไม่มีคำว่าอิ่ม ทะเยอทะยานไปเรื่อย แล้วก็นำสิ่งที่เป็นฟืนเป็นไฟที่ตนก็แน่ใจว่าเราขโมยไป ไม่ให้ทางบ้านทราบ เช่นภรรยาอยู่บ้านนี้ไม่ให้ภรรยาทราบ เราเป็นขโมยเข้าไป สุดท้ายมันก็มาโดนเอาหัวอกภรรยาให้สลบไสลไป นี่ตัวราคะตัณหามันพาให้คนเจ็บแสบมากที่สุด ขัดหัวอกมากที่สุดคือระหว่างสามีภรรยาถ้าไม่มีธรรมในใจ ถ้ามีธรรมในใจแล้ว มีหิริโอตตัปปะ มีความสงสารความเห็นอกเห็นใจกัน ใจหญิงก็ใจคน ใจชายก็ใจคน ใจเขาใจเราเป็นใจมนุษย์เหมือนกัน ใจคนเหมือนกันต้องเห็นอกเห็นใจกัน แล้วมีธรรมกำกับอยู่เสมอไม่ให้ดีดให้ดิ้นออกจากหลักเกณฑ์อันใหญ่โตคือศีลธรรม ได้แก่กาเมสุมิจฉาจารเป็นต้น อย่าล่วงล้ำเขตแดนหัวใจคนอื่น ทำลายหัวใจคนอื่นเป็นความเสียหายอย่างมากทีเดียว
นี่แหละเรื่องของกิเลส ถ้าเราปล่อยให้มันไปตามเมื่อไร มันจะต้องดีดต้องดิ้นไปไม่มีวันพอ คำว่าโลภจนกระทั่งวันตายก็ไม่มีคำว่าพอ โลภจนตาย ตายแล้วสิ่งที่ได้มาแล้วก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรนะ ได้มามากน้อยเต็มบ้านเต็มเรือนตึกรามบ้านช่องมีมากขนาดไหน เวลาตายแล้วเคยเห็นตึกรามบ้านช่องเป็นฟืนเผาศพคนที่เป็นเศรษฐีนั้นบ้างไหม เราไม่เคยเห็นใคร มหาเศรษฐีก็ตาม ตึกรามบ้านช่องกี่ห้องกี่หับกี่ชั้น สูงยาวขนาดไหนก็เป็นตึกรามบ้านช่องนั้น ไม่เป็นฟืนเป็นไฟมาเผาเศรษฐีเวลาเศรษฐีตาย ต้องอาศัยฟืนอาศัยถ่านแล้วให้ชาวบ้านชาวเมืองเขาไปช่วยเผาอย่างเดียวกันหมด
นี่ล่ะโทษแห่งความโลภ ตายแล้วไม่เห็นมีอะไรก็เห็นมีแต่โรงผี โรงผีเท่านั้น ใส่โรงผีแล้วทีนี้จะเอาเครื่องประดับประดาตกแต่งขนาดไหนไปตกแต่งโรงผี ใคร ๆ เขาก็ทราบว่าเครื่องตกแต่ง ตัวผีจริง ๆ อยู่ในโรงนั้นใครกลัวใครขยะแขยงกันทั้งนั้น มีเท่านั้นคนคนหนึ่ง แล้วทีนี้จิตใจล่ะ ใจที่เจ้าของตายไปแล้วนึกว่าหมดค่าหมดราคา ยุติการเกิดตายของเราเพียงเท่านี้ ความจริงไม่ได้ยุติ เราตายในชาตินี้เป็นที่พักแห่งภพหนึ่งชาติหนึ่ง แล้วก็ไปเกิดในภพหน้าอีก นี่เรียกว่าเดินทางต่อไปข้างหน้านั้นต้องไปด้วยอำนาจแห่งกรรม กรรมีกรรมดีกรรมชั่ว
ถ้ากรรมชั่วมันก็ดึงลงเป็นสัตว์เป็นเปรตเป็นผีเป็นสัตว์นรกตกนรกอเวจีกี่กัปกี่กัลป์กว่าจะฟื้นขึ้นมาได้หรือพ้นขึ้นมาไได้ นี่เพราะอำนาจแห่งกรรมติดไปกับหัวใจซึ่งเป็นดวงไม่ตาย ใจไม่เคยตาย ร่างกายของเรานี้ทุกสัตว์ทุกบุคคลยุติกันเวลาขาดลมหายใจเรียกว่าตายด้วยกันหมด แต่จิตนี้ไม่ตายออกจากร่างกายที่หมดสภาพแล้วนี้ไปก่อภพใหม่ขึ้นมา ภพใหม่พรรณนาไม่จบ มันขึ้นอยู่กรรมของสัตว์ที่สร้างมีประเภทดีมีประเภทชั่ว ถ้าผู้รักชอบสนใจในทางทำความชั่วช้าลามกตายแล้วอำนาจแห่งกรรมที่ตนสร้างไว้แล้วนั้นแลที่จะมาเป็นคู่กรรมคู่เวรบีบบังคับตนให้ไปเกิดในสถานที่ไม่พึงปรารถนา เช่นสัตว์เดรัจฉาน
แม้แต่หมาในบ้านของเราเราก็รักเขาแต่เราไม่เคยประสงค์ว่าอยากเป็นหมา เพียงหมาเราก็ไม่อยากไปเกิด ทั้ง ๆ ที่เราก็เลี้ยงหมาไว้ในบ้านของเรา เรารักเราชอบใจของเราน่าจะสมัครใจไปเกิดเป็นหมา เกิดเป็นหมาก็ได้ เป็นหมูเป็นเป็ดเป็นไก่เป็นสัตว์ทุกประเภทในแดนโลกธาตุนี้สัตว์ไม่มีประมาณที่จิตดวงนี้ไปเกิดได้ทั้งนั้นตามอำนาจกรรมดีกรรมชั่วของตัว แม้แต่ในแดนนรก คำว่านรกนั้นใครเป็นคนสอนไว้ พระพุทธเจ้าคือศาสดาองค์เอก ทุก ๆ พระองค์ทรงรู้ทรงเห็นประจักษ์พระทัยเรียบร้อยแล้วนำมาสั่งสอนโลกด้วยความถูกต้องแม่นยำเหมือนกันหมด
แล้วทีนี้ในนรกนั้นสัตว์ที่ไปตกนรก ใครอยากไปตกนรก คิดดูตั้งแต่เรือนจำแต่ละบ้านละเมืองนี้ก็ไม่มีใครอยากไปติดคุกติดตะราง แต่เหตุใดในคุกในตะรางมันจึงเต็มไปด้วยนักโทษ เพราะความหลวมตัว ความเชื่อตัวเองนั้นแล ไม่ได้เชื่อกฎแห่งการทำความชั่วทำดีของตน ครั้นเวลาทำลงไปแล้ว มันก็ไปติดคุกจนได้นั้นแหละ ทั้ง ๆ ที่เราก็รู้ว่าคุกมีในบ้านเมืองของเรา แต่เราจะไม่ไปติด เราคิดเอาไว้เฉย ๆ ว่าเราจะไม่ติด เหมือนว่าเรานี่มีความรู้ฉลาดเหนือโลกเหนือสงสาร ครั้นแล้วก็ไปเป็นนักโทษอยู่เรือนจำ เป็นยังไงเราเห็นไหม เรือนจำแห่งหนึ่ง ๆ มีนักโทษมากขนาดไหน
เช่นอย่างเมื่อสามสี่วันมานี้ที่ลาดยาวเขามาขอหลวงตาขอให้สร้างตึกให้ ได้อนุญาตให้เขาแล้ว สร้างตึกให้เขาถึงสองหลังสามชั้น เขามาออดมาอ้อนขอ ดูแล้วก็น่าเมตตาสงสารมากทีเดียว นักโทษในนั้นเต็มไปหมดแล้วทำไมมันถึงเข้าไปเป็นอย่างนั้น นี่ล่ะตั้งแต่ยังไม่ตายมันก็ไปเป็นนักโทษก็ได้อย่างนี้ แล้วตายไปแล้วมันทำไมจะไม่เป็นเปรตเป็นผีเป็นสัตว์นรกได้ เพราะฉะนั้น แดนในรกนี้จึงมีมากมายที่สุดบรรดาสัตว์นรกที่ตกนรกอยู่นั้นมากมาย คนนั้นผ่านขึ้นมาคนนั้นลงไป ทำความชั่วไม่มีวรรคมีตอนไหลลงไปนรก ผู้พ้นจากนรกพ้นขึ้นมาเหมือนกับนักโทษในเรือนจำ ทั้งคนเข้าคนออก สุดท้ายนรกก็เต็มอยู่อย่างนั้นแหละ ประหนึ่งว่าไม่มีใครออกจากนรก ความจริงมันมีเข้ามีออก มันเข้ามันออก มันจึงไม่ขาดวรรคขาดตอน เต็มอยู่ตลอดเวลา
อันนี้แดนนรกก็เป็นเช่นนั้น ศาสดาองค์เอกเป็นผู้มาพร่ำสอนพวกเราด้วยความสว่างกระจ่างแจ้งทุกแบบทุกฉบับในธรรมทั้งหลาย พระองค์ไม่มีลี้ลับพระญาณแห่งพระองค์ การสอนโลกสอนด้วยความเมตตาสงสารสัตว์โลกเป็นประมาณ มองดูในนรกหลุมหนึ่ง ๆ มีจำนวนมากเท่าใด มีตั้งแต่สัตว์ที่ตกนรกได้รับความทุกข์ความทรมานแสนสาหัสด้วยการเชื่อความรู้ความเห็นการกระทำของตัวเองนั้นแล ประการหนึ่งว่านรกไม่มีบ้าง ว่าเราจะทำนี้ไม่ให้ไปตกนรกบ้าง เป็นความคิดของกิเลสมันหลอกลวงเรา นรกนั้นมีมาตั้งกัปตั้งกัลป์แต่กาลไหน ๆ แล้วเหตุใดเราจึงจะมีอำนาจบาตรหลวงยิ่งกว่พระพุทธเจ้าที่ทรงแสดงไว้แล้วโดยถูกต้องได้ล่ะ
นรกมีมากี่กัปกี่กัลป์แล้วยังจะมีต่อไปอีกกี่กัปกี่กัลป์นับไม่ได้ ไม่มีเงื่อนต้นเงื่อนปลายคือนรกทั้งหลาย สัตว์ที่จะไปตกนรกด้วยอำนาจแห่งกรรมชั่วของตนก็จะไปตกเรื่อย ๆ ถ้าไม่เชื่ออรรถเชื่อธรรมของพระพุทธเจ้าที่ทรงแสดงด้วยความเมตตาว่าอย่าทำบาปเท่านั้น ถ้าไม่ทำบาปก็ไม่ไปลงนรก นรกเป็นศูนย์กลาง ๆ ใครทำบาปไม่บอกก็ไปได้ใครทำบุญคุณงามความดีสวรรค์พรหมโลกนิพพานไว้สำหรับคนดีทั้งนั้น ใครต้องการความดีให้ทำตามแบบของพระพุทธเจ้าที่ว่าสวากขาตธรรม ได้แก่บันไดที่รื้อขนสัตว์ให้หลุดพ้นจากภัยไปเป็นลำดับได้แก่ธรรม
เรามาสร้างคุณงามความดีเสียตั้งแต่มาเป็นมนุษย์นี้ ตายแล้วเราไม่ต้องไปถามทางว่าทางไปสวรรค์ไปที่ไหน ไปสวรรค์ชั้นนี้ไปไหน ไปสวรรค์ชั้นนั้นไปทางเส้นใดมีแยกแยะที่ตรงไหน ห่างกันจากเมืองมนุษย์แดนที่เราตายนี้ไปสักกี่กิโลไม่ต้องถาม เช่นเดียวกันกับนรกนั่นแหละ นรกมีกี่หลุม อยู่ห่างใกล้ไกลกันขนาดไหนไม่ต้องถามบาปกรรมจะพาไปเอง ถึงแดนนรกปึ๋งเลย แล้วทำความดีก็เหมือนกันความดีจะพาไปเอง อำนาจแห่งความดีมีมากมีน้อยเพียงใด แล้วความดีนั้นแหละจะนำเราไปสู่สถานที่ดีตามขั้นต่าง ๆ หรือว่าชั้นนั้นชั้นนี้ดังสวรรค์
คำว่าสวรรค์ทำไมจึงมีถึง ๖ ชั้น ก็เพราะอำนาจวาสนาบุญญาภิสมภารของผู้สร้างความดีมีความเหลื่อมล้ำต่ำสูงต่างกัน ผู้มีคุณงามความดีขนาดนี้ก็ขึ้นไปสวรรค์ชั้นนี้ด้วยอำนาจแห่งบุญนำถึงที่นั่นเลย ผู้อยู่ในขั้นนั้น สมควรแก่ชั้นนั้นก็ไปชั้นนั้น ๆ นี่ไม่ต้องถามถนนหนทาง อำนาจแห่งกรรมดีของตนพาไปเองจนกระทั่งถึงวิมุตติหลุดพ้นถึงพระนิพพานยิ่งไม่ต้องถามใคร ผู้ตรัสรู้สังหารกิเลสขาดสะบั้น กระจ่างแจ้งภายในหัวใจ ไม่มีอะไรสงสัยแล้ว แล้วไปถามหานิพพานที่ไน พอทุกอย่าง ความดีก็ดี ความชั่วก็ดี เวลาเราตายความดีกับความชั่วจะพาจิตดวงนี้ไป เพราะจิตดวงนี้ไม่เคยมีป่าช้า ไม่เคยตาย เกิดอยู่เรื่อย ๆ ตายเรื่อย
คำว่าเกิดว่าตาย ได้แก้สภาพต่าง ๆ ที่จิตเข้าไปอาศัย เช่น ไปเกิดเป็นสัตว์ ใจเข้าไปสู่ภพเป็นสัตว์มันก็เป็นสัตว์ ใจเข้าไปสู่ภพเป็นคนมันก็เป็น เป็นเทวบุตรเทวดาก็ได้ เป็นเปรตเป็นผีก็ได้ ใจดวงนี้แล้วแต่อำนาจแห่งกรรมที่พาให้ไป เวลานี้พวกเราทั้งหลายเป็นชาวพุทธเต็มเนื้อเต็มตัวขอให้พินิจพิจารณา ถ้าว่าเราเป็นคนรักเรา สงวนเรา ขอให้มีความรับผิดชอบในตัวของเราด้วยการสร้างความดี ปัดเป่าสิ่งชั่วช้าลามกออกจากตัวเอง อย่าทำ สิ่งใดไม่ดีอย่าฝืนทำ กิเลสต้องหลอกเสมอ ถ้าธรรมบอกไม่ดี กิเลสบอกว่าดี กิเลสกับธรรมเป็นข้าศึกกันตลอดเวลา ไม่เคยลงรอยกัน
การชำระก็คือชำระกิเลสที่เป็นข้าศึกของธรรมนั้นแล เกิดขึ้นที่หัวใจดวงเดียวกัน เมื่อเราได้ยินได้ฟังอรรถธรรมแล้ว นำธรรมนี้ไปชำระกิเลส เช่น มันอยากทำชั่วเราไม่ทำ ธรรมท่านสอนไม่ให้ทำชั่ว เพราะการทำชั่วคือการเอาไฟเผาตัวเองนั้นแหละ ไปเมืองผีก็ถูกไฟบาปไฟกรรมเผา อยู่เมืองนี้ก็หาความสุขไม่ได้ มีแต่ไฟของกิเลสเผา ให้ระมัดระวังตั้งแต่บัดนี้ ตายแล้วไปนิมนต์พระมากุสลาธัมมา ๆ มันไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรนะ ถ้าหากว่าไปนิมนต์พระมากุสลาธัมมาแล้ว เมืองไทยเรานี้มีมากขนาดไหน ไม่ยากไม่ลำบากไปนิมนต์เอาพระหลวงตามาสักสามสี่องค์ให้พอดี ๆ กับบ้านนั้นเมืองนั้น เวลาตายแล้วเอาหลวงตาไปกุสลาให้ ขึ้นสวรรค์นิพพานกันไปหมด แต่นี้ความทำกรรมมันเราทำ กิเลสพาเราทำ
ครั้นเวลาตายแล้วความชั่วมีมันก็ไปนรก พระมากุสลาตั้งร้อยตั้งพันองค์ก็ไม่มีความหมาย มันเป็นความหมายอยู่กับความชั่วความดีของเรา ถ้าเรามีคุณงามความดีเต็มตัวแล้ว ตายแล้วนิมนต์พระมากุสลาก็ได้ ไม่นิมนต์พระมากุสลาก็ได้ เพราะคำว่า กุสลาแปลว่าความฉลาด เราฉลาดเสาะแสวงหาความดีงามเสียตั้งแต่บัดนี้ ไม่ประมาทนอนใจแล้วกุสลาก็เต็มหัวใจ ความฉลาดเต็มหัวใจ คนมีบุญเต็มหัวใจตายเมื่อไรตายได้ ไปได้ทั้งนั้น คนที่มีบุญมีกุศลเต็มหัวใจไม่เดือดร้อนในเวลาตาย แต่คนที่มีบาปหาบกรรมเต็มตัวนี้ คิดถึงบาปถึงกรรมเมื่อไรเดือดร้อนวุ่นวาย แล้วหาเรื่องเพลิดเรื่องเพลินเรื่องต่าง ๆ มากลบกันเพื่อให้ลบล้างความตายที่ระลึกถึงนั้นเสีย ไฟจะไม่ไหม้ให้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อน
เราไม่เอาความดีมาลบมันซิ เราเอาแต่ความเพลิดเพลินมาลบ เวลาเพลินก็เพลิน พอหลุดจากเพลินแล้วมันก็คิดถึงเรื่องความตาย เพราะความตายอยู่กับเรา ระลึกถึงหรือไม่ระลึกถึงความตายก็อยู่กับเรา เพราะฉะนั้น ควรระลึกเสียตั้งแต่บัดนี้ที่ยังไม่ตาย ผู้ที่เกิดมานี้มาพบพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาชั้นเอก ควรรู้เนื้อรู้ตัวเสียตั้งแต่บัดนี้ เราอย่าตื่นเกินไป ตื่นกิเลสตัณหา มันหลอกลวงโลกมานานแสนนานแล้ว พาโลกให้ล่มจมมามากต่อมากและธรรมฉุดลากโลกทั้งหลายให้หลุดพ้นไปมากต่อมาก ควรที่เราจะนำอรรถนำธรรมทั้งหลายเหล่านี้มาปฏิบัติตน ยากลำบากก็ยากเถอะคนเรา ยากเพื่อความดีงาม ยากเพื่อความสุข ยากตามความชั่วช้าลามก ยากเท่าไรทุกข์เท่าไรเป็น มหันตทุกข์ไปเรื่อย ๆ ไม่ใช่เป็นของควรจะทำเลย ให้ทำเสียตั้งแต่บัดนี้
ทุกวันนี้ก็ดี วันไหนก็ดี ความทุกข์มันอยู่ที่ไหน ท่านทั้งหลายได้เคยดูไหม ดินฟ้าอากาศเป็นทุกข์ที่ไหน ฟ้าแดดดินลมที่ไหนได้บ่นทุกข์ให้พวกเราฟัง ไม่มี ต้นไม้ภูเขาไม่มีความทุกข์ความเดือดร้อน ดินฟ้าอากาศไม่มี ท้องฟ้ามหาสมุทรไม่มีทุกข์ มันมีทุกข์ที่หัวใจของมนุษย์นี้แหละ ให้ดูเอา เห็นหน้ากันแล้วมีตั้งแต่เรื่องระบายกองทุกข์ใส่กัน แล้วความทุกข์หามาจากไหนไม่ได้คิดนะ ไม่ได้หาเหตุผลของความทุกข์นั้น ถ้าใครรู้สาวสาเหตุแห่งความทุกข์ คนนั้นจะละเหตุอันนั้นแล้วทุกข์จะไม่เกิด แต่นี้มีแต่มาบ่นแล้วก็มาระบายต่อกันฟัง มันมีตั้งแต่ความทุกข์เต็มโลกเต็มสงสาร เพราะกิเลสมันเผาอยู่ในหัวใจ
ธรรมอยู่ในหัวใจอยู่ไหนก็เป็นสุข มี ๒ อย่าง ให้พากันนำไปประพฤติปฏิบัตินะ ถ้ามีอรรถมีธรรมในใจแล้ว อยู่ในโลกนี้เราก็ไม่เดือดร้อน ไปโลกหน้าก็กระหยิ่มยิ้มย่องเพราะมีบุญเต็มหัวใจ สร้างบุญสร้างกุศล การให้ทานก็เป็นบุญเป็นกุศล การรักษาศีลก็เป็นบุญเป็นกุศล การเจริญเมตตาภาวนาก็เป็นบุญเป็นกุศล ยิ่งการเจริญเมตตาภาวนายิ่งเป็นมหากุศลอย่างยิ่ง ชาวพุทธเราไม่ค่อยจะได้สนใจกับการภาวนาอะไรนักเลย อย่างมากก็ให้ทาน ศีลก็ไม่ค่อยจะมีการรักษา ยิ่งภาวนาด้วยแล้วไม่สนใจนี่มากต่อมากนะ แล้วก็บอกว่าถือพุทธ มันก็ถือเป็นลมปาก ส่วนความทุกข์ทั้งหลายที่กิเลสมันเผาอยู่ทั้งวันทั้งคืน มันเดือดร้อนอยู่ที่ใจของเราที่ไม่มีศีลมีธรรมนี้แหละ
มันไม่ได้เดือดร้อนอยู่ต้นไม้ภูเขา เพราะงั้นให้พากันดูหัวใจตนเองบ้าง วันหนึ่ง ๆ มันเดือดร้อนแค่ไหน ความสุขจะมีแย็บ ๆ เท่าฟ้าแลบเท่านั้น แต่ความทุกข์มันบีบมันบังคับอยู่ทั้งวันทั้งคืน ไม่ว่าหญิงว่าชายว่าเขาว่าเรา ไม่ว่าคนมีคนจน ความทุกข์เกิดขึ้นจากกิเลสบีบหัวใจสัตว์ ถ้ากิเลสนี้ไม่ได้รับการชำระสะสางแล้วจะไม่เบาเลยในหัวใจของเรา ตั้งแต่วันเกิดถึงวันตาย แบกกองทุกข์ตลอดไปถึงวันตาย ยิ่งสร้างบาปสร้างกรรมในเวลามีชีวิตอยู่ตายแล้วก็ไปแบกทุกข์ในเมืองผีเข้าไปอีก ตั้งแต่ทุกข์ในเมืองมนุษย์นี้เราก็หนักพอแล้ว ไหนเราจะมีความสามารถไปแบกกองทุกข์ในเมืองผี จากความชั่วช้าลามกของเรา ไม่สมควรอย่างยิ่ง
ขอให้พินิจพิจารณาตัวเองเสียตั้งแต่บัดนี้ที่ยังไม่ตาย ตายแล้วจึงกุสลาธัมมา มันไม่เกิดประโยชน์อะไร ให้กุสลาธัมมาหาความฉลาดใส่ตนเสียตั้งแต่บัดนี้ จะเป็นความดีงามสำหรับเรา วันนี้ได้เทศน์ให้พี่น้องทั้งหลายทราบเฉพาะอย่างยิ่งคือการภาวนา นี้เป็นธรรมอันยิ่งใหญ่นะ ท่านผู้ใดมีความสนใจภาวนา เช่นเวลาจะหลับจะนอนไหว้พระสวดมนต์ย่อ ๆ ไม่ได้มากก็เอาย่อ ๆ ให้นั่งภาวนา การนั่งจะนั่งพับเพียบ นั่งขัดสะหมาด นั่งท่าใดก็ได้ แล้วให้นึกคำบริกรรม คำบริกรรมเป็นคำใดถูกจริตนิสัยของเรา เช่น พุทโธก็ได้ ธัมโมก็ได้ สังโฆก็ได้ หรือมรณัสนุสสติ ระลึกถึงความตายของเราก็ได้ ให้จับไว้ที่จิต คำบริกรรมให้ติดกับใจของเรา มีสติควบคุมอยู่เวลาภาวนา ใจของเราจะมีความสงบเย็นไปเรื่อย ๆ
บางรายแสดงความแปลกประหลาดอัศจรรย์ขึ้นที่ใจของเราในเวลาภาวนามีเยอะ แต่เราไม่ภาวนามันก็ไม่เห็น เห็นธรรมภายในใจไม่เห็น ถ้าผู้ภาวนาท่านเห็น อย่างพระกรรมฐานท่านนั่งภาวนาอยู่ในป่าในเขาท่านรู้ท่านเห็น แต่ไม่ใช่เป็นสิ่งที่จะนำมาโฆษณาเป็นตลาดร้านค้าจ่ายขายกันไปเหมือนสินค้าต่าง ๆ ธรรมภายในใจไม่เน่าไม่เฟอะ ไม่เหม็น ไม่น่ารังเกียจ อยู่ที่หัวใจพอดี ๆ เพราะฉะนั้น พระกรรมฐานท่านอยู่ที่ไหนท่านจึงสะดวกสบายลเพราะท่านมีความรักใคร่ใฝ่ใจในธรรม ศีลธรรมท่านปฏิบัติด้วยความรอบคอบดีงาม ศีลก็บริสุทธิ์ จิตใจของท่านก็ชุ่มเย็นแล้วท่านก็ตักตวงเอาธรรมเข้าสู่ใจ
ถ้าเราจะพูดคนทั่วโลกนี่นะ พูดให้ชัดเจนเลยนะ โลกแห่งเมืองไทยของเรานี้ที่เมืองพุทธด้วยกัน ผู้ที่ทรงความสุขได้มากกว่าเพื่อนคือพระกรรมฐานที่ท่านบำเพ็ญธรรมอยู่ในป่านี้แน่นอนไม่เป็นอื่น ท่านต้องได้แน่นอน ตั้งแต่สมถะขึ้นไปถึงวิมุตติหลุดพ้น ได้จากการบำเพ็ญภาวนาของท่าน เช่นดียวกับพระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลายที่ทรงได้รับผลเป็นที่พอใจมาแล้วและนำธรรมนั้นมาสั่งสอนบรรดาสัตว์ทั้งหลาย ท่านปฏิบัติตามธรรมนั้นแล้ว ท่านก็เป็นผู้ครองมรรคครองผลได้เช่นเดียวกับครั้งพุทธกาลเพราะธรรมเป็นอกาลิโก
นี่เราพูดให้ฟังชัดเจนนะ เราเข้าใจหรือว่าศาสนาเป็นโมฆะไปแล้วเหรอ มันเป็นโมฆะสำหรับคนไม่สนใจศาสนานั้นแหละ เป็นโมฆะสำหรับคนเอง ศาสนาไม่มีอะไรแหละ เอาไว้ในตู้เป็นตู้เป็นหีบไป อยู่ในวัดสร้างวัดขึ้นมาก็เป็นอิฐเป็นปูนเป็นหินเป็นทรายไป ไม่ไปตกนรกไม่ไปขึ้นสวรรค์พวกนี้ ที่จะไปขึ้นสวรรค์ไปตกนรกก็คือคนนั้นแหละ เพราะฉะนั้น จึงให้สนใจในตัวของเราให้ดี อยู่ที่ไหนก็ควรจะมีธรรมภายในใจให้ ภาวนาบ้างนะ เราจะได้เห็นอรรถเห็นธรรมขึ้นภายในใจ นึกพุทโธ ๆ ให้มีสติสตังติดแนบอยู่กับจิตแล้วใจจะแสดงความสงบขึ้นมา สงบครั้งหนึ่งสองครั้งเท่านั้นก็รู้สึกมีความตื่นเต้น มีความรื่นเริงภายในจิตใจ ดีอกดีใจมากทีเดียว
นี่เราจะได้เห็นความสุขว่าทั้งโลกนี้มันอยู่ที่ไหน ก็มาอยู่ที่จิตของเราที่เกิดความสงบเยือกเย็นด้วยการภาวนาของเรา นี่เราจะเห็นความสุขเกิดขึ้นที่เรา คือเกิดขึ้นที่ใจด้วยการภาวนา นอกนั้นเราไปหาความสุขทั้งหลายมันก็ไม่เจอแหละ ไปที่ไหนมันไม่เจอ ใครก็ไปหาตั้งแต่ความสุขเต็มโลกเต็มสงสาร ครั้นได้มานี้ก็มีแต่ความทุกข์ความเดือดร้อนความผิดหวังทั้งนั้นแหละเพราะกิเลสพาหา ถ้าธรรมพาหาต้องได้สมหวัง ๆ แต่เราไม่ค่อยจะสนใจกับธรรมให้กิเลสหลอกไปเรื่อย ความหลงตามกิเลสก็ไม่มีวันอิ่มพอ ไม่มีวันเข็ดวันหลาบ
เพราะงั้นทุกข์กับเราจึงติดแนบกันไปตลอดไม่ว่าภพใดชาติใดตั้งแต่เกิดมาจนกระทั่งบัดนี้ความทุกข์ก็ติดตัวของเรา จากอะไร จากกิเลส เราก็ไม่สนใจกับกิเลสซึ่งเป็นตัวเหตุ จึงไม่สนใจจะแก้กัน มันก็มีความทุกข์พัวพันกันไปตลอด ภพนี้เกิดมาก็เป็นทุกข์ ยังดีนะนี่เป็นภพของมนุษย์ เป็นทุกข์ก็ทุกข์แบบมนุษย์ แล้วเป็นทุกข์แบบผู้มีกรรมหนานั้นสิ อย่างน้อยพวกสัตว์เดรัจฉานพวกเปรตพวกผีนี้ได้รับความทุกข์มากนะและนอกจากนั้นพวกสัตว์นรก สัตว์นรกเป็นทุกข์มากขนาดไหน เพียงนักโทษในเรือนจำกับเรา เท่านี้เราก็รู้สึกว่ามันก็แตกต่างกันอยู่แล้ว พวกเรือนจำนี้ขาดความนับถือ ไม่มีใครยอมรับในสังคม เขาก็เป็นทุกเพียงแค่นั้น
ถ้าพูดถึงเรื่องการเรื่องงานในนักโทษเขาไม่ได้มีการมีงานหนักหนาอะไรนะ วันหนึ่ง ๆ เหลาตอกได้สี่เส้นห้าเส้นเพื่อค่าเวล่ำเวลาพอได้ถึงวันออกเท่านั้นไม่มีความทุกข์อะไรนะ แต่ทุกข์ในเมืองผีมันไม่ใช่เป็นทุกข์เพียงจักตอกห้าเส้นหกเส้นเหลาตอกนะ เป็นทุกข์ด้วยไฟจริงๆ ไฟนรกกับไฟในเตาของเรานี้ผิดกันมากนะ ไฟในเตาของเรานี้ร้อนก็ร้อนไฟในเตาของโลก อำนาจแห่งไฟของกรรมนี้อยู่ในนรกนี้แผดเผามาก แต่ไม่ยอมให้ตายนะ ให้ทุกข์ทรมานอยู่นั้นเพราะใจตายไม่เป็น ทุกข์ขนาดไหนก็ยอมรับว่าทุกข์แต่ไม่ยอมฉิบหายคือใจดวงนี้
พ้นจากทุกข์ขึ้นมาแล้วก็มาเกิดในภพนั้นภพนี้ซึ่งเป็นภพไม่สมหวังทั้งนั้นเพราะเรื่องอำนาจของกิเลสหลอกสัตว์โลกให้ผิดหวัง ไม่ได้สมหวังเหมือนธรรมนะ ถ้าธรรมแล้วไม่หลอกเป็นความจริงล้วน ๆ ปฏิบัติไปตามนั้นจิตใจย่อมมีความเยือกเย็น ๆ ภายในจิตใจ ถ้าเราอยากเห็นศาสนาของพระพุทธเจ้าว่าจริงแค่ไหนให้พากันภาวนาลองดู เราอย่าเป็นแต่เพียงว่าด้นเดาเกาหมัด มันไม่เกิดประโยชน์อะไรแหละ พระพุทธเจ้าไม่ได้บำเพ็ญแบบด้นเดา เวลาบำเพ็ญก็ถึง ๖ ปีถึงขั้นสลบไสล ถึงได้ตรัสรู้ธรรมของจริงขึ้นมา สอนโลกก็เป็นสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบทุกอย่าง ๆ
ผู้ที่ได้รับผลตามพระพุทธเจ้ามีจำนวนแค่ไหน สามโลกธาตุนี้ตั้งแต่ท้าวมหาพรหมลงมาถึงบรรดามนุษย์มนา ล้วนแล้วแต่ผู้ได้รับอรรถรับธรรมได้หลุดพ้นจากทุกข์เป็นลำดับ ๆ มาจากธรรมพระพุทธเจ้าทั้งนั้น นี่ธรรมพระพุทธเจ้าดีขนาดนั้น แล้วทำไมมันจึงไม่มาสัมผัสสมพันธ์กับเรา เรื่องทำดีความดีนั้นให้เราได้รับความสุขความเจริญเหมือนท่านบ้างมันไม่ดีเหรอ ให้คิดตนเองนะ เกิดมามันจะตายด้วยกันนั่นแหละ ถึงเวลามีชีวิตอยู่นี้อย่านอนใจให้อุตส่าห์พยายาม การภาวนานี้เป็นของสำคัญมากทีเดียว หลวงตาที่พูดแล้วพูดเล่านี่หลวงตาเห็นความสำคัญเลิศเลอของการภาวนาเพราะได้ปฏิบัติมาแล้ว ไม่ได้มาพูดหลอกล่อพี่น้องทั้งหลาย
การปฏิบัติธรรมมานี้เราเอาแทบเป็นแทบตายถึงขั้นจะสลบไสลก็มีเพราะจะฆ่ากิเลส มุ่งหน้ามุ่งตาที่จะให้หลุดพ้นจากทุกข์ ขอให้เป็นพระอรหันต์เท่านั้นในชาตินี้ ไม่เอาอะไรขอให้หลุดพ้นจากทุกข์เป็นพระอรหันต์ขึ้นมาพอ เมื่อธรรมท่านยังมีอยู่แล้ว มรรคผลนิพพานมีอยู่ เราจะเอาให้ได้ให้ถึง ประกอบกับได้ยินได้ฟังด้วยการเสาะแสวงหาของเรานั้นแหละ เข้าไปถึงหลวงปู่มั่นเรานี้แหละ พอเข้าไปหาท่านชี้แจงอย่างถึงเหตุถึงผลถึงพริกถึงขิงถึงใจเต็มที่ จากนั้นมาก็เรียกว่าเต็มเม็ดเต็มหน่วยในการประกอบความพากเพียร
ความพากเพียรก็คือภาวนา เอาจริงเอาจังมาก กิเลสที่มันมืดดำกำตานี้มันค่อยขยายตัว ๆ เพราะอำนาจแห่งความเพียร จิตมีความสงบเย็นเข้าไปจนกระทั่งสว่างไสวขึ้นด้วยอำนาจแห่งการภาวนาก็ไม่หยุดไม่ถอย เอาซะจนกระทั่งกิเลสขาดสะบั้นลงไปจากใจ ไม่มีสิ่งใดเหลือเลย ตั้งแต่วันนั้นมาจนกระทั่งบัดนี้ เราไม่เคยมีทุกข์ใดมาสัมผัสใจเลย แม้เม็ดหินเม็ดทรายไม่เคยมี นี่ล่ะธรรมปราบทุกข์ได้อย่างนี้เอง ตั้งแต่ก่อนหัวใจนี้เป็นสนามกีฬา ทุกข์นั้นจะเหยียบหัวใจนี้ซึ่งเป็นเหมือนลูกฟุตบอลนะ มันเหยียบย่ำทำลายทั้งวันทั้งคืนยืน เดิน นั่ง นอน ใจนี้เป็นฟุตบอลให้กิเลสมันเหยียบตลอดเวลา
พอกิเลสขาดสะบั้นลงไปจากหัวใจด้วยความเพียรอันเด็ดขาดแล้ว ตั้งแต่บัดนั้นมาจนกระทั่งบัดนี้เราไม่เคยปรากฏว่าทุกข์แม้เม็ดหินเม็ดทรายเข้ามาสัมผัสหัวใจนี้เลย นี่จะไม่เห็นธรรมอัศจรรย์ได้ยังไง เมื่อธรรมกับใจเข้าเป็นอันเดียวกันแล้วสง่าจ้า โลกอันนี้โลกไหนจะเหมือนธรรมที่บริสุทธิ์ในหัวใจ ธรรมที่เลิศเลอในหัวใจ เราได้ยินแต่เสียงอรรถเสียงธรรมตามตำรับตำรา เราไม่เคยได้อ่านตัวเองไปอ่านแต่ในตำรับตำรา อ่านก็อย่างนั้นแหละ ไม่สนใจในการปฏิบัติ อ่านก็เป็นคัมภีร์ไปธรรมดา
เมื่อเรามาสนใจปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้แล้วด้วยสวากขาตธรรมคือตรัสไว้ชอบแล้วนี้ผลจะปรากฏ พระพุทธเจ้าไม่เคยหลอกลวงโลกนี่นะ หลอกลวงโลกยังไง พระพุทธเจ้าเป็นแล้ว สาวกเป็นยังไง สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ของพวกเรา มีแต่พระพุทธเจ้าสอนด้วยความสัตย์ความจริง รู้อรรถรู้ธรรมแล้วมาสั่งสอนโลกด้วยกันทั้งนั้น นั่นล่ะบรรดาพระอรหันต์ทั้งหลายพอกิเลสสิ้นลงไปแล้วความทุกข์ภายในหัวใจของท่านจึงไม่มีเลย ไม่มีจนกระทั่งถึงวันนิพพาน ทุกข์นี่สาเหตุของมันเกิดขึ้นมาจากกิเลส เมื่อกิเลสซึ่งเป็นตัวเหตุให้สร้างทุกข์ขึ้นมาพังลงไปจากใจแล้วทุกข์จึงไม่มีในหัวใจของพระอรหันต์ มีก็มีแต่ธาตุขันธ์
ธาตุขันธ์ก็เป็นสมมุติ การเจ็บไข้ได้ป่วย ปวดหัวตัวร้อนมันก็อยู่ในธาตุในขันธ์เป็นเหมือนกับโลกทั่ว ๆ ไปเพราะเป็นเรื่องของธาตุของขันธ์อย่างเดียวกัน สมมุติอย่างเดียวกัน แต่หัวใจท่านเป็นวิมุตติเป็นคนละฝั่งแล้ว อย่างไรก็ไม่มีอะไรเข้าไปแตะต้องได้เลย นั่นคือใจพระอรหันต์ สิ้นจากทุกข์คือสิ้นกิเลสแล้วก็สิ้นทุกข์ กิเลสนั้นแลเป็นตัวสร้างทุกข์ขึ้นมา พอสิ้นกิเลสแล้วก็หมดทุกข์ นั่นแหละศาสนาจ้าอยู่ที่ตรงนั้น ราค่ำราคาไม่ต้องไปถามใคร ไม่ต้องไปหาใครมาเป็นสักขีพยานมายืนยัน ทั้งความสว่างไสว ทั้งความเลิศเลอ ทั้งความบริสุทธิ์ของตน ไม่ต้องหาใครมาเป็นพยาน
สนฺทิฏฺฐิโก ประกาศป้างขึ้นมาเลยว่าผู้ปฏิบัตินั้นแหละจะเห็นผลของตนจากการปฏิบัตินั้นเหมือนกันไปหมด นี่ล่ะธรรมของพระพุทธเจ้าจริงหรือไม่จริง พิจารณาพี่น้องทั้งหลาย หรือว่าธรรมนี้หมดเขตหมดสมัยหมดยุคหมดกาลไปแล้ว ส่วนกิเลสมันมีมากี่กัปกี่กัลป์แล้ว เมื่อไรมันจะหมดยุคหมดสมัย มันทำไมบีบคั้นหัวใจมนุษย์ทั้งหลายให้เดือดร้อนวุ่นวายตลอดมา มันเป็นยังไงไม่คิดบ้างเหรอเรื่องของกิเลส แต่เรื่องของอรรถของธรรมแล้วมีแต่คอยจะหมดเขตหมดสมัย จะทำบุญให้ทานโอ้ยทำก็ไม่ได้บุญล่ะ ธรรมหมดเขตหมดสมัย หมดมรรคหมดผลแล้ว เห็นไหมกิเลสหลอกเรา
บทเวลากิเลสกล่อมแล้วหลงไปตามกิเลส กิเลสบีบบี้สีไฟหัวใจมานานสักเท่าไรเฉพาะในอายุของเราตั้งแต่วันเกิดถึงวันนี้กิเลสได้ห่างเหินจากใจเราบ้างไหม มันสิ้นทุกข์ หรือมันหมดเขตหมดสมัยไปเมื่อไรกิเลส เวลาเราบำเพ็ญธรรมทำไมจึงว่าหมดยุคหมดสมัย ธรรมหมดยุคหมดสมัย มรรคผลนิพพานไม่มี เห็นไหมกิเลสหลอกคน มันจ้าอยู่ที่หัวใจแล้วมันจะไปถามใคร ก็กิเลสเท่านั้นเป็นตัวหลอก เมื่อกิเลสสิ้นซากลงไปแล้วก็ไม่มีอะไรหลอก ความทุกข์ก็ไม่มี จ้าอยู่ที่หัวใจ นั่นแหละสมัยทุกวันนี้ขอให้มีผู้ปฏิบัติอยู่ เรื่องมรรคผลนิพพานเป็นอกาลิโกเสมอต้นเสมอปลายตลอดมาเช่นเดียวกับกิเลส กิเลสก็เสมอต้นเสมอปลาย ใครสนใจกับกิเลสต้องเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาโดยลำดับ มีความเพลิดความเพลินเป็นเหยื่อล่อปลาได้เพียงเล็กน้อย ๆ นอกนั้นมีแต่ฟืนแต่ไฟเผาตลอดเวลา นี่เรื่องของกิเลสหลอกสัตว์โลก เรื่องธรรมไม่มีหลอก
จึงขอให้ท่านทั้งหลายได้ตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติศีลธรรมของเรา ศาสนานี้เอกแล้ว ตัวเราผู้เกิดมารับรองศาสนานับว่าเรามีวาสนาบารมี ขอให้พากันอุตส่าห์พยายามตั้งอกตั้งใจรักษาศีลรักษาธรรม ตัวของเราให้เป็นคนดี การทำชั่วอย่าทำ การทำชั่วก็คือทำลายเรานั่นเอง ให้ทำดีเป็นการส่งเสริมหรือบำรุงเราให้ดีตามธรรมพระพุทธเจ้าแล้วเราจะประสบพบเห็นตั้งแต่ความสุขความเจริญตลอดไปนั้นแหละ
วันนี้ได้แสดงให้พี่น้องทั้งหลายฟังโดยยกพระกรรมฐานมาแสดงเพราะท่านเหล่านี้ท่านตั้งใจปฏิบัติจริง ๆ เอาจริงเอาจัง ชำระกิเลสได้จริง ๆ เวลาเข้าไปสนทนากันบรรดาพระกรรมฐานด้วยกันนี้มันถึงรื่นเริง ท่านไม่มีอะไรแหละ เวลามาพบกันคุยกันมีแต่เรื่องมรรคเรื่องผล ไปอยู่ในป่านั้นเขาลูกนั้นบำเพ็ญ จิตเป็นอย่างนั้นจิตเป็นอย่างนี้ มีแต่แสดงความแปลกประหลาดอัศจรรย์ขึ้นมาแต่ละดวง ๆ ของผู้ภาวนาด้วยกัน สนทนากันนี้ลืมวันลืมคืน ลืมเวล่ำเวลา ท่านเพลินในธรรม สุขทุกข์ก็ไม่มี ท่านเพลินในธรรม มีแต่ความสุขความรื่นเริง
เฉพาะอย่างยิ่งคือหลวงปู่มั่น ท่านอยู่ที่ไหนถ้าหากว่าเราพูดตามขอบเขตสมมุตินี้แล้ว เช่นท่านอยู่วัดป่าหนองผือ วัดป่าหนองผือนั้นเหมือนกับว่า ตลาดแห่งมรรคผลนิพพานสง่างามจ้าอยู่หมด บรรดาพระสงฆ์ที่ปฏิบัติอยู่นอกขอบเขตจากวัดนั้นไปก็ต่างคนก็ต่างทรงมรรคทรงผลเข้ามาหาท่านก็สว่างข้า ทำไมจะไม่ตื่นเนื้อตื่นตัวทำไมจะไม่มีความกระหยิ่มย่องต่ออรรถต่อธรรม เมื่อครูบาอาจารย์ผู้เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรก็เป็นผู้ทรงไว้ซึ่งมรรคซึ่งผล นิพพานเต็มหัวใจแล้ว สอนลูกศิษย์ลูกหาผู้นั้นรู้อย่างนั้นผู้นี้เห็นอย่างนี้ มรรคผลก็ปรากฏมาโดยลำดับลำดาตามลูกศิษย์ลูกหาเวลาเล่าให้ครูบาอาจารย์ฟังมีแต่เรื่องแปลกประหลาดอัศจรรย์ทั้งนั้น จึงเรียกว่าในบริเวณนั้นประหนึ่งว่าเป็นตลาดแห่งมรรคผลนิพพานสง่างามไปหมด
นั่นล่ะมรรคผลนิพพานอยู่กับผู้ปฏิบัติ ในป่าป่าอะไรก็ตามถ้าไม่มีผู้ปฏิบัติไม่มีอรรถมีธรรมก็เป็นป่าธรรมดา คนก็มีแต่คนสัตว์นรกทั้งเป็นเพราะไม่สนใจในธรรม คำว่าสัตว์นรกทั้งเป็น คือไฟนรกมันเผาหัวใจ ถ้ามีธรรมแล้วอยู่ไหนก็สะดวกสบาย วันนี้ได้ฝากธรรมะไว้กับบรรดาท่านทั้งหลาย ให้นำไปคิดพินิจพิจารณา เอาธรรมะป่ามาพูดให้ฟัง เพราะอยู่ในบ้านเราก็เคยอยู่มานานแล้ว วันนี้เอาธรรมะป่ามาแสดงให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ผลจากการปฏิบัติในป่าในเขา ผลเป็นที่พึงใจ
ต่อไปนี้เห็นว่าสมควรแก่ธาตุแก่ขันธ์ คืออ่อนลงทุกวัน ๆ หลวงตา นี่ก็ประกาศให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบทั่วกันว่าในการช่วยชาติคราวนี้ขอให้ได้ทองคำน้ำหนัก ๑๐ ตันจะสมชื่อสมนาม จะลบล้างสิ่งเลวร้ายทั้งหลายที่เราคนไทยทั้งชาติจะจมลงในทะเลหลวงเมื่อสามสี่ปีมานี้ เป็นยังไงถึงขนาดหลวงตาร้องโก้กเลยที่เมืองไทยจะจม แล้วก็ค่อยฟื้นฟูกันขึ้นมาอย่างนี้
เวลานี้ทองคำเราก็ได้ถึง ๕,๑๖๐ กว่ากิโลแล้วเวลานี้ นี่เราจะพยายามประกาศให้พี่น้องทั้งหลายทราบ ขอบิณฑบาตทุก ๆ ท่านในนามว่าเราเป็นคนไทยร้อยเปอร์เซ็นต์ด้วยกัน ความรับผิดชอบเราก็ต้องรับผิดชอบด้วยกัน เพราะเวลาจะจมคนไทยทั้งชาติ ๖๒ ล้านคนจะจมไปด้วยกันหมด ทีนี้การฟื้นขึ้นมาเมืองไทยของเราจะมีความสง่างามขึ้นมา ๖๒ ล้านคนสง่างามด้วยกันหมด โดยได้ทองคำน้ำหนัก ๑๐ ตันที่กำหนดไว้จะเป็นเครื่องประดับชาติไทยของเราให้มีความศักดิ์ศรีดีงาม ลบล้างสิ่งเลวร้ายทั้งหลายที่ผ่านมาได้โดยไม่ต้องสงสัย
ส่วนดอลลาร์เวลานี้ได้ ๗ ล้าน กว่าทองคำจะได้ถึง ๑๐ ตันนี้ ดอลลาร์เราก็จะต้องได้ถึง ๑๐ ล้านกว่าไม่สงสัย จึงขอให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบและการช่วยพี่น้องทั้งหลายนี้หลวงตาช่วยด้วยความบริสุทธิ์ใจจริง ๆ ไม่มีอะไรที่จะด่างพร้อยในหัวใจและกิริยาอาการของเราที่ปฏิบัติต่อพี่น้องชาวไทย โดยที่พี่น้องทั้งหลายบริจาคเงินทองข้าวของดอลลาร์ทองคำเงินสดมาสำหรับหลวงตา หลวงตาเป็นผู้ถือบัญชีแต่ผู้เดียว ทั้ง ๆ ที่แต่ก่อนไม่เคยสนใจกับบัญชีนี้เลยนะ แต่นี้เมื่อความจำเป็นเกี่ยวกับชาติบ้านเมืองและความบริสุทธิ์ในสมบัติเหล่านี้ไม่ให้รั่วไหลแตกซุมไปไหน เราจำเป็นต้องได้ถือบัญชีคือสมุดฝากเงิน ทองคำ ดอลลาร์ เงินสด เราเป็นผู้ถือบัญชีแต่ผู้เดียว เป็นผู้สั่งเก็บสั่งจ่าย ไม่ยอมให้ผู้ใดมาทำงานแทนเราเลย กลัวจะรั่วไหลแตกซึมไป ไม่สนิทใจ
นี่แหละเรื่องหลวงตานำพี่น้องทั้งหลาย หลวงตานำด้วยความอิ่มพอ หลวงตาไม่มีความหิวความโหยอะไรเลย พอทุกสิ่งทุกอย่างในโลกธาตุนี้ สามแดนโลกธาตุนี่หลวงตาปล่อยหมดแล้ว ไม่มีอะไรเหลือ ปล่อยมาแล้วเป็นเวลาตั้ง ๕๓-๕๔ ปีนี้ นี่ได้ออกช่วยชาติบ้านเมืองจึงได้ออกประกาศพี่น้องทั้งหลายทราบ หากไม่ได้ออกช่วยชาติบ้านเมือง ธรรมะประเภทนี้ก็จะไม่ได้ออก ตายไปด้วยกันเลย แต่นี้เมื่อมันเกี่ยวโยงกันแล้ว ควรจะพูดหนักเบาแค่ไหนเพื่อเป็นคติเตือนใจแก่พี่น้องชาวพุทธเราก็ให้ได้เป็นคติเตือนใจ มีกำลังใจที่จะบำเพ็ญคุณงามความดี เพื่อมรรคผลนิพพานต่อไป ถ้าไม่มีเรื่องเหล่านี้เราก็ไม่พูด พูดหาอะไร ธรรมะไม่ใช่เป็นของหิวของโหย ธรรมะเป็นความพอดี
ส่วนเงินสดนั้นเราได้แยกออกมาซื้อทองคำ ๙๔๑ ล้าน เงินสดเงินไทยเราได้ ๙๔๑ ล้าน นอกจากนั้นก็เฉลี่ยออกไปช่วยบ้านช่วยเมือง เช่น คนทุกข์คนจน คนเจ็บไข้ได้ป่วย ไม่มีผู้รับรอง เราเป็นผู้รับรองเป็นเจ้าของคนไข้ นี่เรียกว่าคนจน เราก็ช่วย จากนั้นสถานสงเคราะห์ โรงร่ำโรงเรียนไม่ทราบว่ากี่สิบหลัง โรงพยาบาลที่ราชการต่าง ๆ เป็นเงินที่พี่น้องทั้งหลายบริจาคนี้แหละออกช่วยชาติบ้านเมืงอตลอดมาอย่างนี้ กรุณาทราบตามนี้ เราไม่มีอะไรที่จะติดไม้ติดมือเราด้วยความมัวหมอง ว่าเราไม่บริสุทธิ์อย่างนี้ไม่มี เราช่วยโลกทั้งหลายด้วยความเมตตาล้วน ๆ ความเมตตากับความบริสุทธิ์จึงกลมกลืนกันได้สนิท
จึงขอให้พี่น้องทั้งหลายทราบตามนี้ และต่อไปนี้เราก็จะได้พยายามช่วยชาติบ้านเมืองของเรา เราเป็นชาติไทยด้วยกัน ความรักชาติร้อยเปอร์เซ็นต์ ความเสียสละก็ให้เป็นไปตามกันด้วยความพร้อมเพรียงสามัคคีกัน ไม่อย่างนั้นเมืองไทยเราจะจมได้นะ อย่างที่ผ่าน ๆ มาแล้วนี้ก็คือเมืองไทยเรามีความรักชาติ ความพร้อมเพรียงสามัคคี ต่างคนต่างเสียสละก็ฟื้นตัวขึ้นมาได้ อย่างที่เห็นนี่แหละ ดูสิว่าทองคำน้ำหนักตั้ง ๕ ตันกว่านี้ แต่ก่อนเคยมีที่ไหน ก็มีจากเมืองไทยของเราที่ตื่นเนื้อตื่นตัวกู้ชาติของตนขึ้นมาจากหล่มลึกนั่นเอง มันถึงได้เห็นผลอย่างนี้
ขอความกรุณาให้พยายามพยุงกันอีกต่อไปให้ได้ตามจุดหมายปลายทางคือทองคำขอให้ได้ ๑๐ ตันนี่ล่ะ จะเป็นที่ภาคภูมิใจลบลอยร้าวทั้งหลายนั้นได้ ความมีสง่าราศีจะเกิดขึ้นแก่ชาติไทยของเราเมื่อได้ทองคำ ๑๐ ตันแล้วนะ
การแสดงธรรมก็เห็นว่าสมควรแก่ธาตุแก่ขันธ์และเวล่ำเวลา ขอความสวัสดีจงมีแก่บรรดาพี่น้องทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญฯ
www.Luangta.com |
** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก
ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์
และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์
|
|
|
|