เทศน์อบรมพระและฆราวาส ณ วัดแพร่ธรรมาราม จ.ว.แพร่
เมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๒
ฝากมรดก
การเทศน์ฝ่ายกรรมฐานเราไม่ได้เหมือนฝ่ายปริยัติ ปริยัติผมก็เคยเรียนมา เทศน์ทางปริยัติก็เคยเทศน์มาแล้ว เทศน์ทางปริยัตินี้ก็เหมือนที่เรียนมา เรียนไปถึงไหนสงสัยไปถึงนั้น นี้เอาความจริงออกมาจากตัวของเราเองซึ่งเป็นผู้เรียนผ่านมาแล้ว จึงได้มาแนะนำบรรดาลูกศิษย์ลูกหา พระลูกพระหลานทั้งหลายให้ทราบว่า ความจริงกับความจำนั้นต่างกันมากทีเดียว ความจำคือเราศึกษาเล่าเรียนมามากน้อยเพียงไร เราก็จำได้แต่ชื่อแต่นามของสิ่งเหล่านั้น แต่เรายังไม่เคยเห็นสิ่งที่กล่าวชื่อกล่าวนามถึงนั้น เช่น สมาธิ ปัญญา เป็นต้น เรียนไปมากน้อยเพียงไร ตั้งแต่พื้น ๆ จนถึงพระนิพพาน ความสงสัยก็คืบคลานไปตาม ๆ กันไม่ลดละ
เริ่มต้นตั้งแต่เรียนบาปสงสัยบาป เรียนบุญสงสัยบุญไปเรื่อย ๆ นะ ความสงสัยนี้จะติดแนบไปโดยหลักธรรมชาติของมัน มันหากเป็นไปในใจของเราที่เรียนจำได้นั้นแหละ ความสงสัยก็แทรกไปด้วย ๆ ตั้งแต่เรียนบาป ท่านพูดว่าบาป คือ ความเศร้าหมองเป็นโทษเป็นภัย เราก็ทราบ แต่สถานที่เกิดของบาปเป็นอย่างไรนั่นซีหลักใหญ่ คำว่าบาปนี้ออกมาแล้วนั่น ฐานที่เกิดของบาปคืออะไรเราไม่รู้ บุญนี่ออกมาเป็นคำว่าบุญแล้ว สถานที่เกิดของบุญนั้นเป็นอย่างไร เพียงความจำของเรานี้จับไม่ได้เลย
ฐานที่เกิดของบาปของบุญนั้น เพียงความจำจับไม่ได้ ต้องเป็นความจริงจับ รู้ขึ้นจากจิตใจจริง ๆ นับตั้งแต่บาป บุญ นรก สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน สัตว์ประเภทต่าง ๆ เต็มทั่วไตรโลกธาตุไม่ได้มีบกบาง ไม่มีสิ่งใดที่จะมากกว่าจิตวิญญาณของสัตว์โลกที่เต็มโลกธาตุนี้ เราจะยอมรับแต่สิ่งที่เราได้เห็นได้ยินเท่านั้น สิ่งที่เราไม่ได้เห็นไม่ได้ยิน แม้ตำราท่านจะบอกไว้อย่างไรก็ตามดังที่กล่าวนี้ ตั้งแต่บาป บุญ นรก สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน เปรตผีต่าง ๆ ความจำจำได้เท่านั้น แต่ที่จะยอมรับตามความจำได้ ตามสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงบอกนั้น เราไม่เห็นเราไม่รู้ ความจอมปลอมคือความสงสัยจึงคืบคลานไปได้อย่างสบาย ๆ สงสัยไปหมด
เรียนไปถึงไหนสงสัยไปหมด ไม่มีที่ว่าประจักษ์ใจจากการเรียนที่จำได้มามากน้อย แม้ที่สุดเรียนถึงพระนิพพานก็ไปตั้งแง่สงสัย วาดภาพพระนิพพานว่าเป็นยังไงต่อยังไงบ้าง มีจริงหรือไม่มีจริง นี่ละความสงสัยมันแทรกเข้าไป ๆ เพราะฉะนั้นการเรียนมามากน้อยเราจึงกล้าพูดได้เต็มปากของเรา เพราะเราเรียนมาแล้วเหมือนกัน หากเราไม่ได้เรียนก็เหมือนว่าด้นเดาเกาหมัด หาเรื่องโกหกมดเท็จมาพูดได้ แต่นี้เราเรียนมาแล้วผ่านมาแล้ว เรื่องความจริงที่พระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็น และแสดงออกมาจากหลักความจริงนั้นมากน้อยเพียงไร ความจำนั้นจำได้ แต่ความสงสัยจะคืบคลานไปหมด หาหลักหาเกณฑ์ที่เชื่อถือได้จากความจำนั้นไม่ได้ นี่ละเรื่องความจำเป็นอย่างนี้
ไม่ว่าผู้หญิง ผู้ชาย นักบวช ฆราวาส เรียน เรียนธรรม จำได้เหมือนกัน แต่ความสงสัยก็เป็นไปแบบเดียวกัน จะเรียนจบพระไตรปิฎกก็จำได้ตามที่เรียนไปนั้น แต่ที่พระไตรปิฎกบอกตามความจริงของพระพุทธเจ้าที่ทรงรู้ทรงเห็นจริง ๆ นั้นใจไม่ยอมรับ เพราะใจไม่เห็น มีแต่ความสงสัยสนเท่ห์ ดีไม่ดีลบว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มีไปเสียอีก กิเลสมันถอยเมื่อไร นี่ละการเรียน
การเรียนนั้นเป็นแบบแปลนแผนผังของด้านปฏิบัติ ที่จะปลูกให้เป็นต้นเป็นลำ เป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญา เป็นวิมุตติหลุดพ้นขึ้นมา ออกจากแปลนที่เรียนแล้วทั้งนั้น แต่แปลนทำอะไรไม่ได้ เหมือนเรามีแปลนบ้านแปลนเรือน จะมีมากขนาดไหนจนเต็มห้องเต็มหับ ก็ไม่เป็นตึกรามบ้านช่อง ก็ต้องเป็นแปลนอยู่โดยตรง นี่เรียนมามากน้อยเพียงไรมันไม่เป็นมรรคเป็นผล มันเป็นแปลนแห่งศาสนธรรม เป็นตำราที่ชี้บอกแนวทางไว้เท่านั้น เพราะฉะนั้นผู้เรียนมาจึงได้แต่แบบแปลนแผนผัง ไม่มีภาคปฏิบัติก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร
ท่านจึงสอนไว้ตามหลักความจริงว่า ศาสนาที่เต็มเม็ดเต็มหน่วยจริง ๆ ต้องพร้อมด้วยปริยัติ คือการศึกษาเล่าเรียนมา จดจำมาได้ในความจริงทั้งหลายที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้ เช่น บาป บุญ นรก สวรรค์ เป็นต้น นี่คือความจริงที่ทรงรู้ทรงเห็นแล้วนำมาสอน เราก็จำชื่อความจริงนี้ไว้เท่านั้น แต่เราไม่เคยเห็นความจริงเหล่านี้ผ่านหัวใจของเรา พอที่จะเชื่อถือและตายใจได้เลย นี่ละเพียงความจำจึงละกิเลสตัวใดไม่ได้ เร ๆ รวน ๆ นี่เรียกว่าแปลนของศาสนา แปลนของศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติหลุดพ้น แปลนของสิ่งต่าง ๆ พวกเปรตพวกผี เทวบุตรเทวดา สวรรค์ชั้นนั้น ๆ
นี้มีแต่แปลนไม่ได้เห็นตัวจริงนั้นเลย มันเป็นแปลน ก็ท่านบอกตามความจริงที่ท่านรู้ท่านเห็นแล้ว แล้วจดจารึกออกมาเป็นตำรา เราก็เรียนแต่ชื่อของสิ่งเหล่านั้น ไม่เคยเห็นสิ่งเหล่านั้นเลย จึงหาความตายใจไม่ได้ ท่านจึงสอนไว้ให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย คุณค่าของศาสนาจะเต็มสัดเต็มส่วนต้องออกเป็นภาคปฏิบัติ เช่น แปลนบ้านของเรา เราทำไว้มากน้อยเท่าไรก็เป็นแปลนอยู่มากน้อยเพียงนั้น ถ้าไม่หยิบยกออกมาปลูกสร้างตามขนาดแห่งแปลนนั้น ๆ แล้ว บ้านจะไม่ปรากฏขึ้นเลย จะมีแต่แปลนเท่านั้น เพราะฉะนั้นจึงต้องนำแปลนออกมากาง แล้วปลูกบ้านปลูกเรือนตึกรามบ้านช่องตามแบบแปลนชนิดต่าง ๆ นั้นแล้ว ก็จะปรากฏเป็นตึกรามบ้านช่องขึ้นมา นี่เรียกว่าปฏิบัติ คือนำแปลนนั้นออกมาปลูกบ้าน ที่เรียกว่าปฏิบัติ
ปฏิเวธ คือความรู้แจ้ง ก็คือรู้ประจักษ์ตั้งแต่เริ่มแรกลงมือทำงานปลูกบ้านปลูกเรือน ขุดรากขุดฐานเทเสาเทปูน เราก็เห็นด้วยตาของเรา ว่าเวลานี้กำลังเทรากเทฐานเทอิฐเทปูนขึ้นไปเป็นลำดับเห็นประจักษ์ นี่เรียกว่าปฏิเวธ คือรู้ตามลำดับแห่งงานที่เราทำได้มากน้อยเป็นลำดับลำดาไป จนกระทั่งถึงงานเสร็จสิ้น เป็นบ้านโดยสมบูรณ์ นั้นเรียกว่าปฏิเวธ รู้ชัดแล้วว่าบ้านหลังนี้สมบูรณ์แบบแล้ว ภาคปฏิบัติก็เหมือนกันเช่นนั้น เรียนจำได้มาแล้วเป็นแบบแปลนแผนผังแห่งศีล แห่งสมาธิ แห่งปัญญา แห่งวิมุตติหลุดพ้น ตลอดถึงบาป บุญ นรก สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน เปรตผี สัตว์ประเภทต่าง ๆ นี้คือความจริง แล้วเราปฏิบัติตัวของเรา
เบื้องต้นเราก็ไม่ได้คิดมากมายอะไรไปถึงวงกว้างดังที่ว่า นรก สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน เปรตผีต่าง ๆ อันนั้นเป็นกิ่งก้านแตกออกไปจากความรู้ที่เป็นรากฐานของเรา ที่จะพึงรู้ได้ด้วยภาคปฏิบัติ เริ่มต้นพระไตรปิฎกมี ๓ ปิฎก ปิฎกแปลว่าภาชนะ ไตรแปลว่าสาม ภาชนะ ๓ ประเภท ได้แก่ พระสุตตันตปิฎก นี่ก็เรียกว่าภาชนะสำหรับรับรองพระสูตร พระวินัยปิฎกก็คือภาชนะสำหรับรับรองพระวินัยปิฎก พระอภิธรรมปิฎกก็คือภาชนะรับรองพระอภิธรรมปิฎกนี้ เรียกว่าพระไตรปิฎก ๓ ประการ
เราเริ่มตั้งใจปฏิบัติตั้งแต่วันเราบวชมา อุปัชฌาย์สอนอย่างไร ตั้งแต่ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นี่เป็นหลักวิชาที่สำคัญมาก หรือเป็นอาวุธที่สำคัญมาก ที่จะประหัตประหารกิเลสประเภทต่าง ๆ มีส่วนหยาบเป็นสำคัญ จากนั้นท่านก็ให้ศีลเรียบร้อยโดยสมบูรณ์ ศีลของพระมีเท่าไร ท่านบอกไว้ว่า ๒๒๗ ข้อ คือข้อห้ามทั้งนั้น อย่าข้ามเกินศีลข้อห้ามนั้น ๆ นี้ท่านบัญญัติไว้เป็นหลักใหญ่มี ๒๒๗ ข้อ อนุบัญญัติทรงบัญญัติเพิ่มขึ้นทีหลังตามความผิดพลาดของพระนั้น นับจำนวนไม่ได้ เหล่านั้นไม่เรียกว่าศีล แต่เป็นข้อห้ามเหมือนกัน
ท่านเรียกว่าศีลเฉพาะข้อห้ามใน ๒๒๗ ประการ ปาราชิก ๔ สังฆาทิเสส ๑๓ อนิยต ๒ นิสสัคคีย์ปาจิตตีย์ ๓๐ ปาจิตตีย์ ๙๒ ปาฏิเทสนียะ ๔ เสขิยะ ๗๕ อธิกรณสมถะ นั้นเพิ่มเข้าไปอีก ๗ เรียกว่ารวมแล้วเป็นศีล ๒๒๗ ประการ นี้คือข้อห้ามทั้งนั้น อย่าล่วงเกินฝ่าฝืน อย่าทำลายข้อห้ามเหล่านี้ เราก็ปฏิบัติตามข้อบัญญัติห้ามเอาไว้นั้นไม่ฝ่าฝืน เรียกว่าเราปฏิบัติด้วยความสำรวมระวัง ไม่ฝ่าฝืนล่วงเกินศีลเหล่านี้ ก็เรียกว่าภาคปฏิบัติ นี่เรานำมาปฏิบัติจากพระวินัยปิฎก
การนำมาปฏิบัติผลเกิดขึ้นให้เป็นความอบอุ่น แน่ใจตัวเองว่าศีลเราบริสุทธิ์ ไม่ระแคะระคายระแวงแคลงใจว่า เราทำศีลข้อใดให้ขาดตกบกพร่องไป ด้วยเจตนาอันลามกของเราไม่มี นี่เรียกว่าภาคปฏิบัติในศีลของเรา สมบูรณ์แล้วเราก็มีความอบอุ่น จิตใจไม่กระวนกระวายเพราะความสงสัยในศีลของตนว่าไม่บริสุทธิ์ ใจอบอุ่นแล้วทีนี้พาดำเนินทางด้านสมาธิ จิตไม่เป็นกังวลกับศีล
ทางด้านสมาธินี้เป็นฝ่ายธรรมล้วน ๆ แล้วที่นี่ จิตของเรามีความส่ายแส่วุ่นวายกับอารมณ์ต่าง ๆ นับประมาณไม่ได้ บรรจุอยู่ที่จิตนี้ทั้งหมด เรียกว่าอารมณ์แห่งกิเลสแทบทั้งนั้น อารมณ์แห่งธรรมแทบไม่ปรากฏในขั้นเริ่มแรก เราก็ปฏิบัติภาคสมาธิของเราด้วยจิตตภาวนา สำรวมระวังจิตโดยทางสติเป็นสำคัญ สติติดแนบอยู่กับใจ มันจะคิดจะปรุงจะแต่งเรื่องใด ซึ่งส่วนมากมักเป็นกิเลสเสียทั้งนั้น เราสำรวมระวังจิตไม่ให้คิดไปในแง่ที่เป็นกิเลส ให้คิดไปในแง่แห่งธรรมอย่างเดียว
จิตถ้าไม่มีเครื่องกำกับรักษาก็เป็นสมาธิได้ยาก เพราะจับจุดของความรู้ไม่ได้ จิตก็ไม่เป็นสมาธิขึ้นมา จึงต้องมีบทคำบริกรรม นี่ละพื้นฐานแห่งผู้ปฏิบัติทางด้านสมาธิ ทางด้านศีลก็ปฏิบัติมาแล้วด้วยความสำรวมระวังในศีลของตน ภาคสมาธิก็สำรวมระวังจิต ละเอียดเข้าไปกว่าสำรวมระวังศีลอีก ไม่ให้คิดส่ายแส่ไปถึงอารมณ์ที่เป็นภัยต่อจิตใจ ท่านเรียกว่ากิเลส ๆ นี่ละเป็นภัยต่อจิตใจ จิตคิดไปเรื่องใดส่วนมากมีแต่อารมณ์เป็นข้าศึกของใจ จึงต้องได้ใช้วิธีปฏิบัติต่อจิตนี้ด้วยการอบรมภาวนา มีสติเป็นเครื่องกำกับรักษา อย่าให้จิตคิดไปในแง่ต่าง ๆ เพียงเท่านี้ยังไม่พอ เอางานที่เป็นหลักของจิตเข้ามาบังคับจิตไว้ด้วยบทบริกรรมภาวนา เช่น พุทโธ ๆ เป็นต้น ตามแต่ผู้ถูกจริตนิสัยกับธรรมบทใด ให้นำธรรมบทนั้นเข้ามากำกับกับจิตด้วยความมีสติ
สติเป็นของสำคัญมากในทางความเพียร ถ้าขาดสติวรรคใดตอนใด เรียกว่าขาดความเพียรแล้ว เดินจงกรมอยู่ก็ไม่มีความหมาย นั่งสมาธิอยู่ก็ไม่มีความหมาย อิริยาบถต่าง ๆ ถ้าขาดสติแล้วเรียกว่าขาดความเพียรในการชำระกิเลส หรือในการทำจิตของตนให้สงบ จึงต้องบังคับด้วยคำบริกรรม คือนำคำบริกรรมมากำกับกับจิต นี่สำหรับผู้ที่จะตั้งรากฐานให้จิตได้หลักได้เกณฑ์ ต้องมีคำบริกรรมมาเป็นที่ยึดของจิต เอาสติย้ำเข้าไป บังคับให้คำบริกรรมกับจิตเป็นอันเดียวกัน ๆ รู้อยู่ด้วยสติ ๆ ไม่ยอมปล่อยจิตให้คิดไปกับอารมณ์ใด ให้คิดอยู่กับอารมณ์แห่งธรรมคือคำบริกรรมคำเดียวเท่านั้น ประหนึ่งว่าโลกสงสารกว้างแคบนี้ไม่มี มีแต่ความรู้กับคำบริกรรม มีสติกำกับอยู่เท่านั้น เรียกว่าเจริญภาวนาเพื่อทำจิตให้สงบ
ทำอยู่จนกว่าจิตจะสงบ ไม่ลดละปล่อยวาง ไม่ถือว่ามากไปน้อยไป สติติดเป็นพื้นฐานสำหรับผู้ที่จะชำระจิตใจของตน ตั้งแต่พื้น ๆ จนกระทั่งถึงที่สุดแห่งธรรม ได้แก่ความบริสุทธิ์เต็มส่วน ต้องมีรากฐานเป็นที่จับอย่างนี้ เราจะเพียงนึกเฉย ๆ ทำความรู้ตัวเฉย ๆ นั้นไม่ได้ จิตเล็ดลอดออกไปสู่อารมณ์ที่เป็นภัยได้ง่ายมากไม่มีความรู้สึก จึงต้องนำคำบริกรรม ผู้ที่จะให้แน่ที่สุดให้ยึดหลักให้เป็นที่แน่ใจว่า นี้คือผู้รู้ นี้คือจิตนั้น ต้องบังคับให้จิตอยู่กับคำบริกรรมด้วยความมีสติ
ไม่นานนักเมื่อจิตได้รับความเหลียวแล ระมัดระวังรักษาอยู่ด้วยการภาวนาอย่างนี้แล้ว จิตนั้นจะหยั่งเข้าสู่ความละเอียดลออเป็นลำดับ พุทโธกับจิตจะกลมกลืนเป็นอันเดียวกัน เมื่อละเอียดเข้าไปจริง ๆ แล้ว คำบริกรรมนั้นไม่ปรากฏเลย เหลือแต่ความรู้ที่ละเอียดอ่อนอยู่ภายใน เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้วทำให้สงสัยได้ว่า เมื่อจิตเราอยู่กับคำบริกรรม แต่เวลานี้คำบริกรรมไม่ปรากฏ นึกเป็นคำบริกรรมเท่าไรเหมือนแต่ก่อนก็ไม่ปรากฏแล้ว เหลือแต่ความรู้อย่างเดียวนี้จะทำอย่างไร
ให้เอาสตินี้จับกับความรู้นั้นไว้ คำบริกรรมที่หลุดลอยไปแล้วโดยหลักธรรมชาติของมัน เพราะจิตละเอียด จิตปล่อยวางคำบริกรรม หรือคำบริกรรมนั้นกลายมาเป็นอันเดียวกันแล้วกับจิต ให้เรายึดความรู้นี้ไว้ด้วยสติของเรา นี่เรียกว่าสติ ๆ จะไม่ยอมปล่อยวางเลย ยึดตลอด ติดแนบกันไปตลอด จนกระทั่งได้จังหวะแล้ว จิตที่ละเอียดนึกคำบริกรรมไม่ได้นั้นจะค่อยขยายตัวออกมา พอขยายตัวออกมา ซึ่งควรจะบริกรรมพุทโธอย่างเดิมได้แล้ว เราก็นำพุทโธนี้ติดแนบเข้าไปไว้อย่างนี้เป็นประจำ นี่เรียกว่าเป็นผู้อบรมจิตที่จะให้ได้รากฐานจากจิตจริง ๆ คือความสงบใจได้แน่นอนไม่เป็นอย่างอื่น
เราเคยดำเนินมาแล้ว จึงนำข้อเหล่านี้มาแสดงให้พระลูกพระหลานทั้งหลายฟัง เป็นเครื่องยืนยันว่าแม่นยำ เพราะเราเคยทำมาแล้ว เป็นเรื่องที่กำหนดเอาความรู้ไว้เฉย ๆ ว่าตัวมีสติ ๆ นั้น สติปล่อยไปเมื่อไร เผลอไปเมื่อไร เราไม่มีทางทราบได้เลย แล้วจิตก็เผลอไผลส่งไปอารมณ์ต่าง ๆ หาความสงบเลยไม่ได้ จึงต้องผูกมัดจิตด้วยคำบริกรรม อย่างแน่นหนามั่นคงอย่างนี้ จิตผู้นั้นจะก้าวเข้าสู่ความสงบแน่นอนไม่เป็นอย่างอื่น ขอให้เป็นดังที่กล่าวนี้เถอะ
สติเป็นพื้นฐานสำคัญ ต้องตั้งหน้าตั้งตาตั้งสติสตังไว้จริง ๆ อย่าเห็นสิ่งอื่นใดสำคัญยิ่งกว่าการตั้งสติ เพื่อรักษาจิตของตนอยู่นั้นตลอดเวลา ยืนเดินนั่งนอนเว้นแต่หลับ สติกับจิตจะติดแนบตลอด เมื่อเป็นอย่างนี้จิตจะค่อยมีความสงบเย็นเข้าไป ๆ แล้วก็จับจุดของจิตได้ว่านี้คือผู้รู้ นี้คือจิตได้ชัดเจน ในขณะที่จิตสงบแล้วไม่มีอารมณ์เข้ามาเจือปน นี่ละเรียกว่าตั้งรากฐานของจิต เพื่อผลเบื้องต้นได้แก่สมาธิ ให้เป็นสมบัติของผู้บำเพ็ญ ต้องตั้งด้วยวิธีนี้ เมื่อจิตสงบหลายครั้งหลายหน จะเป็นการสั่งสมกำลังแห่งความแน่นหนามั่นคงของจิตมากขึ้น ๆ จากนั้นจิตก็เป็นสมาธิ
คือความสงบไม่เรียกสมาธิ สงบหลายครั้งหลายหน ผลที่เกิดขึ้นจากความสงบนี้ก็เสริมกำลังขึ้นมา จนกลายเป็นจิตที่แน่นหนามั่นคง นั่นเรียกว่าจิตเป็นสมาธิ เราจะคิดอ่านไตร่ตรองไปเรื่องราวอื่นใดก็ตาม แต่ย้อนกลับมาดูฐานของจิตคือความแน่นหนามั่นคงนี้ จะเด่นอยู่ตลอดเวลา ไม่เพียงแต่ว่าเข้าสมาธิแล้วจิตสงบ ความรู้อันเป็นฐานสำคัญนี้จะค่อยปรากฏขึ้นอย่างนั้นไม่ใช่ ฐานนี้เป็นฐานที่ปรากฏรับรองอยู่แล้ว เมื่อถึงขั้นนี้แล้วเรียกว่าจิตเป็นสมาธิ
การใช้ปัญญาพิจารณา ขอให้ทุก ๆ ท่านได้หนักเรื่องกายคตาสติให้มาก กายคตาสตินี้เป็นรวงรังแห่งกิเลสตัณหาทุกประเภท หลักใหญ่ก็คือส่วนหยาบของกิเลสทุกประเภท จะมารวมอยู่ที่ร่างกายนี้ เวลาพิจารณาทางด้านปัญญา คือจิตสงบพอประมาณไม่หิวโหยในอารมณ์แล้ว เราพาพิจารณาในเวลาใดก็ได้ ไม่ใช่ว่าต้องให้จิตสงบเต็มที่แล้วค่อยพิจารณาทางด้านปัญญา เราพิจารณาได้ตามขั้นภูมิแห่งสมาธิที่อิ่มอารมณ์ไม่เถลไถล นำจิตที่ไม่เถลไถลนี้ออกทำงานทางด้านปัญญา
ยกเอาผม ขน เล็บ ฟัน หนัง นี้ขึ้นมาเป็นสนามรบ เป็นการพิจารณาคลี่คลายด้วยความมีสติ เช่นเดียวกันกับภาคสมาธิคลี่คลายดู เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เป็นเรื่องเล็กน้อยเมื่อไร เป็นเรื่องใหญ่โตมากครอบโลกธาตุ ซึ่งติดกันทั้งนั้น ติดภูเขาภูเรา ภูเขาทั้งลูกไม่ได้หนักอึ้งยิ่งกว่าภูเรา คือร่างกายของเราของเขานี้เลย จึงต้องพิจารณาอันนี้
ผมเป็นอย่างไร ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า เกสา แปลว่า ผม ที่เกิดที่อยู่ของมันเกิดในสถานที่เช่นไร อยู่สถานที่เช่นไร หยั่งลงไปถึงที่เกิดที่อยู่ของผมนี้ ตัวผมเองเป็นอย่างไร มีความสะอาดสะอ้านสวยงามที่ตรงไหน เพียงเป็นเส้น ๆ เท่านั้น และฐานที่เกิดของมันที่อยู่ของมันเกิดที่ตรงไหน เกิดขึ้นจากสถานที่สกปรกโสโครก คือหนังนั้นก็เป็นตัวสกปรก ผม ขน เกิดขึ้นจากที่เดียวกันเหล่านี้ พิจารณาให้รู้ที่เกิดที่อยู่ของมัน ตามแต่ความถนัดของเรา จะหนักพิจารณาในอาการใดในบรรดากรรมฐาน ๕ นี้ แต่สุดท้ายก็ไปรวมกันที่ ตโจ ผม ขน เล็บ เล็บเป็นยังไง เล็บเขาเล็บเรา เล็บสัตว์เล็บบุคคล สวยงามที่ตรงไหน ดูก็รู้กัน ทำไมไปเสกสรรปั้นยอเอาว่าสิ่งเหล่านี้สวยงามเอานักหนา น่ารักใคร่ชอบใจ
มันน่ารักที่ตรงไหน น่าชอบใจที่ตรงไหน ประสาผมกับขน หมามันก็มีผมมีขนเหมือนกันก็ไม่เห็นมันประเสริฐเลิศเลอ ทำไมผมของเรานี้จึงประเสริฐเลิศเลอ อะไร ๆ สู้ไม่ได้ เอ้าแยก ปัญญาเข้าไปสู่ความจริง พิจารณาให้เห็นความจริงในสิ่งเหล่านี้ จนกระทั่งถึงหนัง คนเรามันหลงหนังเท่านั้นเอง ถลกหนังออกแล้วหลงกันที่ไหน รูปหญิง รูปชาย รูปสัตว์ รูปบุคคลมีความหมายที่ไหน หนังเท่านั้นครอบเอาไว้ให้หลง ตาบอดหูหนวกกันก็เพราะหนังครอบเอาไว้ กลายเป็นของสวยของงามของมีคุณค่าราคาไปหมด จากความเสกสรรปั้นยอที่กิเลสหลอกลวง
เราเอาปัญญาหยั่งเข้าไป เพียงผิวหนังเท่านั้น ถลกหนังออกแล้วเป็นอย่างไร คนทั้งคนน่าดูไหม น่ารักใคร่ชอบใจที่ตรงไหน ดูให้ดีด้วยปัญญา ด้วยสติควบคุมงานของตนทางด้านปัญญาอย่าปล่อยวาง เอาจริงเอาจังกับการพิจารณา อย่าทำสักแต่ว่าทำ เถลไถลแล้วก็ให้กิเลสลากเอาไปห้าทวีป ตกนรกหมกไหม้ทั้งวันทั้งคืนไม่มีวันอิ่มพอ ให้บังคับ ไม่อย่างนั้นไม่เรียกว่ารบกัน รบกับกิเลส กิเลสมันฉุดออกไปเราฉุดเข้ามา ให้ดูความจริงที่มีอยู่ในตัวของเรานี้
เอ้า พิจารณาเข้าไป ลึกกว่าหนังเป็นยังไง ดูเข้าไปข้างในจนกระทั่งตับ ไต ไส้พุง อาหารเก่า อาหารใหม่ หมดทั้งร่างนี้มีจุดไหนที่ว่าสวยว่างามน่ารักใคร่ชอบใจ เอ้า ค้นหาตามหลักความจริง อย่าปล่อยให้กิเลสมาหลอกลวงไปเสียทั้งหมด สกปรกขนาดไหนก็บอกว่าสวยว่างาม กิเลสหลอกยังไงก็ตื่นไปตามมัน นี่คือเรื่องของกิเลส ต้องหลอกลวงเสมอไป หาความจริงมายืนยันไม่ได้ ต้องเอาสติปัญญาเข้าพินิจพิจารณา แล้วยืนยันกันได้เลยตามหลักความจริงนั้น แล้วถอนอุปาทานความยึดมั่นถือมั่นเหล่านี้ได้ด้วยอำนาจของปัญญา
นี่ละ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ จนกระทั่งอาการ ๓๒ มันคลังแห่งความสกปรกโสมม คือถังขยะ เอาหนังห่อถังขยะเอาไว้ ข้างในสกปรกโสมมเต็มไปหมดทั้งเขาทั้งเราไม่มีใครยิ่งหย่อนกว่าใคร เมื่อปัญญาได้หยั่งทราบลงไปตามที่เราได้พิจารณาอย่างไรแล้ว อุปาทานความยึดมั่นถือมั่นนั้นจะถอนตัวออกมาเองโดยหลักธรรมชาติของมัน ตามที่เราได้รู้ได้เห็นความจริงมากน้อย ถอนเข้ามา ๆ
ร่างกายเป็นของสำคัญมาก จะพิจารณาร่างกายภายนอกก็ได้ ร่างกายภายในตัวของเราเองก็ได้ เช่น ท่านสอนให้ไปเยี่ยมป่าช้า นั่นคือให้ไปพิจารณาดูศพภายนอก ศพภายในคือศพของเรานี้เรียกว่าศพคนเป็น นั่นเป็นศพคนตายก็เป็นหลักธรรมชาติเหมือนกัน แปลกแต่อันหนึ่งตายแล้ว อันหนึ่งยังมีชีวิตอยู่ แต่ความสกปรกนั้นเหมือนกัน ไม่มีใครยิ่งหย่อนกว่าใคร ดูป่าช้า ไปเยี่ยมป่าช้า พิจารณา
พิจารณาอะไรก็ตาม เพื่อจะแก้ไขถอดถอนความรักใคร่ชอบใจ ความกำหนัดยินดีออก ด้วยความรู้ความเห็นตามเป็นจริงนี้แล้วจิตจะถอนตัวเข้ามา รู้รอบขอบชิดโดยประการทั้งปวงแล้วในส่วนร่างกายนี้จะถอนทันทีเลย อุปาทานไม่มีตัวใดเหลืออยู่ นี่เรียกว่าถอนรากเหง้าเค้ามูลของกิเลสตัณหาตัวสำคัญ ราคะตัณหาอยู่ที่ตรงนี้ อยู่ที่ร่างกายของหญิงของชายของเขาของเรานี้ โดยถือว่าเป็นของสวยของงาม จึงดีดจึงดิ้นหากันตลอดเวลา สัตวโลกดีดดิ้นอยู่ด้วยอำนาจแห่งราคะตัณหาลากจูงไปตลอดมา และสร้างความทุกข์ความทรมาน ความกดหน่วงถ่วงใจอยู่ตลอด เพราะอำนาจแห่งราคะตัณหาหลงเขาหลงเรานี้แล
เมื่อพิจารณาอันนี้จนรอบแล้ว จิตถอนปึ๋งขึ้นมาจากธรรมชาตินี้แล้ว ก็เป็นอันว่าถอนราคะตัณหาขึ้นพร้อมกัน ภูเขาภูเราคือร่างกายนี้ถอนขึ้นมาพร้อมกันหมดเลย นี่ข้าศึกใหญ่สำหรับนักบวชของเราอยู่จุดนี้ ให้พากันเน้นหนักความเพียรในจุดนี้ให้มาก ข้าศึกคือกามกิเลสราคะตัณหานี้เป็นตัวออกสนาม เป็นตัวออกแนวหน้า เป็นข้าศึกอันใหญ่หลวง ผาดโผนโจนทะยานมากเรื่องอำนาจของกามราคะ สติปัญญาฟาดฟันหั่นแหลกกันจนฟ้าดินถล่มเหมือนกัน เพราะมันรุนแรงมาก เมื่อสติปัญญาเรามีกำลังพอแล้ว ความฟาดฟันหั่นแหลกกันก็มีน้ำหนักเท่ากัน ถ้าไม่อย่างนั้นก็ไม่ทันกัน
เพราะฉะนั้นสติปัญญาขั้นกามราคะนี้ จึงเป็นสติปัญญาที่ผาดโผนโจนทะยานมากทีเดียว หากเป็นอยู่กับผู้พินิจพิจารณาผู้ภาวนาเสียเอง โดยไม่ต้องไปถามใคร เหล่านี้เราจะไปหาตามพระไตรปิฎกไม่เห็น แต่ต้องหาตามความจริงที่มีอยู่กับเรานี้ นี้คือความจริง ให้พระไตรปิฎกท่านจดจารึกไปทุกแง่ทุกมุมไม่ได้ แต่ความจริงนี้มีอยู่ทุกแง่ทุกมุม รู้เห็นได้ ยึดได้ เวลาพิจารณารอบแล้ว เช่น กามราคะนี้ พิจารณาร่างกายจนไม่มีอะไรเหลือ จิตถอยเข้ามาเห็นโทษแห่งความสำคัญมั่นหมายของตน เข้ามาสู่จุดเดียว คือใจนี้เท่านั้นเป็นผู้ไปวาดภาพต่าง ๆ หลอกตัวเอง ภาพเหล่านั้นถูกใจนี้กลืนเข้ามาหาตัวเอง
รวมแล้วก็เป็นเรื่องของใจตัวเอง เป็นผู้หลอกลวงวาดภาพต่าง ๆ ให้เราเองเป็นผู้หลงเป็นผู้ยึด เมื่อภาพอันนั้นซึ่งเป็นกระแสของจิตได้ย่นเข้ามาสู่จิตแล้ว เราก็ทราบได้ชัดว่า จะเป็นของสวยของงามไม่สวยไม่งามก็ตาม เป็นภาพออกไปจากจิตไปหลอกลวงตัวเอง แล้วก็กลืนกันเข้ามา ๆ สู่จิต เป็นเรื่องของจิตเสียเองเป็นผู้วาดภาพหลอกลวงตนเอง มันก็ปล่อยวางข้างนอกหมด
จากนั้นก็ย้ำพิจารณาภาพที่ตนพิจารณาที่เคยติดภายนอก ปล่อยจากภายนอกแล้วยังมาติดอยู่ภายใน วาดภาพนั้นเป็นการฝึกซ้อมจิตใจให้ละเอียดลออเข้าไป ภาพนี้จะค่อยจางไป ๆ ปรากฏขึ้นดับไป ๆ ไม่นาน ๆ ต่อไปก็เป็นสายฟ้าแลบ ปรากฏแพล็บขึ้นเป็นภาพจากหัวใจแล้วดับไป ๆ ยิ่งเห็นชัดว่าภาพเหล่านี้เป็นจิตเท่านั้นเป็นผู้ปรุงแต่งหลอกลวงตัวเอง อย่างอื่นไม่มีอะไรหลอก มีจิตนี้เท่านั้น
พิจารณาลงไป ย้ำลงไป ฝึกซ้อมภาพอันนี้ภายในใจนี้ลงไป ภาพนี้จะค่อยแปรสภาพไป ๆ กลายเป็นความว่างเปล่าไปหมด ทั่วแดนโลกธาตุนี้ว่างเปล่าไปหมดไม่มีอะไร ต้นไม้ ภูเขา มีก็จริง แต่ใจนี้ว่างทะลุไปหมดเลย ที่นี่นิมิตที่ปรากฏเป็นภาพภายในใจก็สิ้นสุดลงไป กลายเป็นจิตว่างขึ้นมา เพราะไม่มีนิมิตเป็นเครื่องเล่นเหมือนแต่ก่อน แต่เราก็ตั้งภาพอันนี้แหละขึ้นมาเรื่อย ๆ เป็นการฝึกซ้อม ฝึกซ้อมเข้าไป มันก็เข้าไปถึงหลักใหญ่คืออวิชชา
รูปผ่านพ้นไปแล้วด้วยความรู้แจ้งเห็นจริง เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นี้ก็เป็นเงาของจิต เกิดขึ้นดับไป ๆ เช่นเดียวกันกับภาพที่เราปรุงขึ้นภายในใจ เกี่ยวกับเรื่องอสุภะอสุภัง มันมีความเกิดขึ้นดับไปเช่นเดียวกัน เพียงเงาของจิตไม่ใช่ตัวจิต มันก็รู้เท่าเห็นชัดเป็นลำดับลำดาไป จนกระทั่งเข้าถึงรังใหญ่คืออวิชชา นั่นละที่นี่ นั่นละการตามต้อนจิต อวิชชาคือต้นลำของต้นไม้ เมื่อมีต้นแล้วกิ่งก้านสาขาดอกใบต่าง ๆ ย่อมแผ่กระจายออกไปจากลำต้นนั้นจนหาประมาณไม่ได้ นี่จิตอวิชชานี้ก็แผ่กระจายออกไป ทางตาก็อยากเห็น ทางหูก็อยากฟัง ไปทางรูป ทางเสียง ทางกลิ่น ทางรส ตา หู จมูก ลิ้น กาย นี้ก็ถูกจิตอวิชชานี้ผลักไสออกไปให้อยากดูอยากรู้อยากเห็น อยากทุกอย่าง ๆ ไม่มีประมาณ
สรุปความลงแล้วก็มาลงที่ร่างกายที่เป็นภูเขาภูเรานี้แล ด้วยความรอบคอบของปัญญา ความอยากในสิ่งทั้งหลาย อยากรู้อยากเห็นอยากได้ยินได้ฟังต่าง ๆ มันก็ดับไปพร้อมกับร่างกายของเราที่เป็นสำคัญ ได้ถอนตัวออกแล้วจากอุปาทานดับลงไปนั้นแล จิตของเราก็ไม่ยึดไม่ถือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็เพียงแต่ทางเดินของจิตอวิชชาไม่ใช่กิเลส ตาไม่ใช่กิเลส หู จมูก ลิ้น กาย ไม่ใช่กิเลส รูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัสต่าง ๆ ไม่ใช่กิเลส เป็นกิเลสอย่างเดียวที่ออกจากจิตอวิชชา เป็นผู้ไปปรุงไปแต่งไปสำคัญมั่นหมาย ให้ยึดให้ถือสิ่งเหล่านั้นว่าเป็นเราเป็นของเรา สิ่งเหล่านั้นว่าเป็นของสวยของงามน่ารักใคร่ชอบใจ ออกจากจิตดวงนี้
ทีนี้เวลาไล่ตะล่อมเข้ามา ๆ มันก็หดย่นเข้ามา ๆ ทางกายก็ปล่อย รู้เท่าทันแล้วกายก็ปล่อย เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ซึ่งมีอยู่ทางร่างกายและจิตใจก็รู้เท่าเข้ามาเป็นลำดับแล้วปล่อยวางเข้ามาเป็นชั้น ๆ หดย่นเข้าไปถึงกษัตริย์วัฏจักร คือ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา นี้แลเรือนรังแห่งความเกิดแก่เจ็บตายของสัตว์โลกไม่มีประมาณเลย เคยเกิดเคยตายมากี่กัปกี่กัลป์ คือเชื้ออันนี้พาให้เกิดตลอดมา พาให้ตายตลอดมา แต่จิตจริง ๆ แล้วไม่มีคำว่าเกิดว่าตาย เป็นแต่เพียงว่าอวิชชา เชื้อแห่งภพแห่งชาติมันฝังจิต จึงพาให้จิตไปถือกำเนิดเกิดที่นั่นเกิดที่นี่ ว่าเกิดตาย ๆ จากจิตที่อวิชชาแทรกนี้แลตัวจิตจริง ๆ ไม่ตาย เมื่อเวลาพิจารณาเข้าไปถึงตัวอวิชชาแล้วก็พังกันที่ตรงนั้น
อวิชชาจริง ๆ ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เป็นเรื่องที่แปลกประหลาดอัศจรรย์มาก น่าตื่นเต้น น่าติดน่ายึด ไม่มีอะไรจะอ้อยอิ่งยิ่งกว่าอวิชชา นี้แลวัฏจิตจอมสมุทัยคือกิเลสประเภทต่าง ๆ มารวมตัวอยู่ที่จอมสมุทัย คือวัฏจิตโดยเฉพาะ เมื่อสติปัญญาได้หยั่งเข้าไปถึงตรงนี้แล้ว จะทำลายกันที่จุดนี้ ที่เป็นของแปลกประหลาดอัศจรรย์ เป็นเครื่องหลอกลวงได้อย่างสุดเขตแห่งสมมุติ ได้แก่อวิชชา ตัวนี้ละเอียดลออมากที่สุด
ผู้พิจารณาทั้งหลายเมื่อยังไม่เคยมีครูมีอาจารย์แนะนำสั่งสอน พอเข้าไปถึงจุดนี้แล้วจะลืมจะหลงจะติดกันทุกราย ๆ เพราะเป็นธรรมชาติที่เลิศเลอในขั้นสมมุติ เลิศเลอในขั้นกิเลสจอมสมุทัยหลอกวาระสุดท้ายนี้คืออวิชชา เป็นธรรมชาติที่ละเอียดอ่อนสุขุมคัมภีรภาพ มีความสว่างไสว เป็นความอัศจรรย์ของจิต อ้อยอิ่งติดพัน คำว่าสิ่งเหล่านี้เป็นโทษไม่เคยคิดเลย จะเห็นแต่ว่าเป็นคุณล้วน ๆ ถืออวิชชานี้เป็นตนเป็นของตน รักสงวนอยู่ในนั้นโดยไม่รู้ตัว
เบื้องต้นก็ได้วาดภาพอวิชชาที่ยังไม่เข้าถึงจริง ๆ เราวาดภาพอวิชชานี้เป็นเหมือนเสือโคร่งเสือดาวเหมือนยักษ์เหมือนผี แต่เวลาเราปฏิบัติภาคความจริงรู้ไปเห็นไปละเข้าไปจริง ๆ จนถึงตัวอวิชชาจริง ๆ แล้ว อวิชชากลับกลายเป็นเทวบุตรเทวดาอินทร์พรหมขึ้นมา เป็นของอัศจรรย์ประหนึ่งว่าล้นโลกล้นสงสารขึ้นมา เพราะฉะนั้นจึงสามารถกล่อมมหาสติมหาปัญญาให้ติดได้ ขั้นมหาสติมหาปัญญาเกรียงไกรที่สุด คล่องแคล่วว่องไวที่สุด นี้เรียกว่าจอมของมรรค คือมหาสติมหาปัญญา จอมของสมุทัยได้แก่อวิชชา ทีนี้เมื่อเข้าถึงกัน มหาสติมหาปัญญายังหลงกลอุบายของจอมสมุทัยคืออวิชชานั้นได้อีกโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ติด ถ้าไม่มีใครแนะนำสั่งสอนไว้ก่อน ไปถึงนี้ติดทุกคน
แต่คำว่ามหาสติมหาปัญญาติดนั้น ไม่เหมือนสติปัญญาทั้งหลายติด ไม่เหมือนจิตทั้งหลายทั่ว ๆ ไปติด ติดก็จริงแต่ความพินิจพิจารณาความเคลื่อนไหวแห่งอวิชชานั้นไม่ลดละ หากเป็นเองโดยหลักธรรมชาติของจิตซึ่งอยู่ในขั้นนี้ไม่นอนใจ สุดท้ายก็จับจุดของอวิชชาได้ว่าเป็นภัย เมื่อเห็นว่าสิ่งนี้เป็นภัยแล้ว สิ่งนี้ย่อมเป็นเป้าหมายต่อการพิจารณา ต่อการรบราฆ่าฟันกัน นั่นแหละอวิชชาพังตรงนั้น
เมื่อมหาสติมหาปัญญาจับพิรุธได้แล้ว พิจารณานั้นเป็นเป้าหมายแห่งสนามรบ ฟาดขนาดขาดสะบั้นลงไปแล้ว คำที่ว่าอวิชชาเลิศเลอขนาดไหน ๆ มีความอ้อยอิ่งถึงกับมหาสติมหาปัญญาติดนั้นพังทลายลงไป ทีนี้สิ่งที่ไม่เคยคาดเคยหมายคืออะไรไม่ต้องบอก เปิดขึ้นเอง นี่คือธรรมอัศจรรย์ ย้อนกลับมาดูอวิชชาที่ว่าเป็นของเลิศเลอทั้งหลายในขั้นสมมุตินี้ ได้เห็นประจักษ์ว่าเหมือนกับกองขี้ควายกองหนึ่งเท่านั้น กองขี้ควายกองหนึ่งมีคุณค่ามีราคามีสาระอะไรฉันใด อวิชชาก็เป็นฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อจิตได้หลุดพ้นจากนี้ขึ้นไปสู่แดนวิมุตติแล้ว จะเห็นสิ่งเหล่านี้เป็นเหมือนกองขี้ควายทั้งหมด แล้วนั้นแลเป็นแดนหลุดพ้นแล้วในหัวใจของผู้ปฏิบัติ
รู้ตรงไหนจริงตรงนั้นเรียกว่าภาคปฏิบัติ เริ่มต้นตั้งแต่สมาธิ เป็นสมาธิขั้นใดภูมิใด ประจักษ์ในตัวเอง ๆ นี้เรียกว่ารู้จริง ไม่ใช่รู้ด้วยความจำ รู้ด้วยความจริงเห็นประจักษ์ ปัญญาประเภทใดฆ่ากิเลสชนิดใดขาดไป ๆ เห็นประจักษ์กับตัวเอง จนกระทั่งปัญญาสุดท้าย
การอธิบายปัญญานี้ผมไม่อธิบายพิสดารมากนักนะ ถ้าพูดตามด้านทางภาคปฏิบัตินี้ โอ๋ย กว้างขวางลึกซึ้งมาก นำมาอธิบายเท่าที่ควรแก่เวล่ำเวลาและกำลังของผู้ฟังเท่านั้น จึงต้องอธิบายย่นเข้ามา นี้อธิบายแบบย่นย่อนะ แต่ภาคปฏิบัติของตัวเองที่เคยดำเนินมานั้น ท้องฟ้ามหาสมุทรยังแคบไป เรื่องของสติปัญญาออกรู้ออกเห็นกระจ่างแจ้งไปหมดเลย เราไม่จำเป็นต้องนำสิ่งเหล่านั้นมาพูด นำมาพูดเท่าที่จำเป็นแก่การละการถอดถอนกิเลสของผู้ปฏิบัติเท่านั้นก็เห็นว่าพอ
จึงนำธรรมประเภทที่พอเหมาะสมนี้มาชี้แจงให้ท่านทั้งหลายได้ทราบว่า การปฏิบัติคือทำสมาธิอบรมสมาธิรักษาสำรวมระวังศีลนี้เรียกว่าภาคปฏิบัติ การเจริญอบรมจิตตภาวนาขึ้นไปเป็นขั้น ๆ ตั้งแต่สมาธิถึงขั้นปัญญาโดยลำดับนี้เรียกว่าภาคปฏิบัติ ผลปรากฏขึ้นกับตัวเองโดยลำดับลำดา เป็นผลเกิดขึ้นจากภาคปฏิบัติล้วน ๆ ไม่ต้องไปถามใคร ไม่สงสัยที่นี่ ความจำสงสัยตลอด ความจริงรู้ไปไหนหายสงสัยไปตลอดไม่ต้องถามใคร ๆ จนกระทั่งถึงวาระสุดท้าย จิตหลุดพ้นกระเด็นออกจาก อวิชฺชาปจฺจยา อวิชชาขาดสะบั้นลงไป จิตหลุดพ้นจากนั้นแล้วแสดงความอัศจรรย์ประหนึ่งว่าโลกธาตุหวั่นไหว ในขณะที่จิตนี้กระเด็นออกจากอวิชชาที่ขาดสะบั้นลงไปนั้น
ดังที่ท่านแสดงไว้ในธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ที่พระองค์ทรงแสดงแก่เบญจวัคคีย์ทั้งห้านั้น เราตัวเท่าหนูนี้ก็เป็นสักขีพยานได้อย่างเต็มตัวของเรา ท่านแสดงว่า อยญฺจ ทสสหสฺสี โลกธาตุ,สงฺกมฺปิ สมฺปกมฺปิ สมฺปเวธิ, อปฺปมาโณ จ โอฬาโร โอภาโส โลเก ปาตุรโหสิ สิบแดนโลกธาตุ ทสสหสฺสี โลกธาตุ สะเทือนสะท้านหวั่นไหวไปตาม ๆ กันหมดเลย ในขณะที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ อานุภาพแห่งธรรม แสงสว่างแห่งธรรม ที่ปรากฏขึ้นในขณะตรัสรู้นั้น อานุภาพแห่งเทวบุตรเทวดาอินทร์พรหมที่ไหน สู้ไม่ได้เลย นี่แสดงย่อ ๆ ให้ฟัง
จิตนี้เวลาได้ผ่านขึ้นจากหล่มลึกคือวัฏจักร ซึ่งกดบังคับจิตใจให้เป็นป่าช้าอยู่ในวัฏจักรมานี้ เราเพียงคนเดียวเท่านั้นก็นับไม่ได้แล้วว่า กี่ภพกี่ชาติกี่กัปกี่กัลป์ มีแต่เรื่องเกิดเรื่องตายมาตลอด สับปนระคนกันมา เปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติ เปลี่ยนเป็นสัตว์เป็นบุคคล สัตว์ประเภทต่าง ๆ หาประมาณไม่ได้ พลิกแพลงเปลี่ยนแปลงไปด้วยอำนาจแห่งกรรมไปตลอดมา จิตดวงนี้หมุนอยู่กับเรือนจำคือวัฏจักรนี้มากี่กัปกี่กัลป์ เมื่อได้ขาดสะบั้นหรือพ้นจากนี้ไปแล้ว จึงเป็นเหมือนกับฟ้าดินถล่มเลย แล้วประกาศตนในเวลานั้นด้วย โดยไม่ต้องทูลถามพระพุทธเจ้า
ดังที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้แก่เบญจวัคคีย์ทั้งห้าว่า ญาณญฺจ ปน เม ทสฺสนํ อุทปาทิ ความรู้ความเห็นอันเลิศเลอได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา อกุปฺปา เม วิมุตฺติ ความหลุดพ้นของเราไม่มีการกำเริบอีกแล้ว อยมนฺติมา ชาติ ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา นตฺถิทานิ ปุนพฺภโว ตั้งแต่บัดนี้ต่อไปเราจะไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว นี่พระพุทธเจ้าก็ไม่ทรงถามใคร ตรัสรู้ปึ๋งขึ้นมาธรรม ๔ บท ๔ บาทนี้ประกาศกังวานขึ้นด้วย สนฺทิฏฺฐิโก คือรู้เองเห็นเองทันที นี่เมื่อประกาศขึ้นภายในใจของผู้ปฏิบัติซึ่งเป็นธรรมอันเดียวกันแล้วก็ไม่ต้องถามใคร รู้ขึ้นพร้อมกันหมดในเวลานั้นเลย แม้พระพุทธเจ้าประทับอยู่ข้างหน้าก็ไม่ทูลถามพระองค์ เพราะรู้อย่างเดียวกัน เห็นอย่างเดียวกัน ไม่มีอะไรผิดแปลกต่างกัน เพราะไม่เป็นสองพอจะมาเทียบเคียง มีอันเดียวเท่านั้น เป็นอย่างเดียวกันเท่านั้น ไม่เป็นอย่างอื่น
นี่ละเมื่อได้ปรากฏขึ้นภายในจิตเต็มดวงแล้ว พอทุกอย่าง สว่างกระจ่างแจ้งเกินคาดเกินหมาย ที่เราจะคาดจะคิดว่ารู้แจ้งหรือกว้างแคบขนาดไหน ไม่มีอะไรที่จะกว้างขวางยิ่งกว่าจิตที่รู้ที่เห็น ที่ความสว่างของจิตที่ครอบแดนโลกธาตุนี้ แม่น้ำมหาสมุทรทะเลจะว่ากว้างแสนกว้างก็มีฝั่งมีฝามีลึกมีตื้นวัดกันได้ ลึกขนาดไหนวัดกันได้ กว้างแคบขนาดไหนวัดกันได้ ความรู้ที่สิ้นจากกิเลสที่เคยครอบให้มืดมิดปิดตามาแต่ก่อนนั้น เมื่อกิเลสได้ขาดสะบั้นลงไปจากใจแล้ว ความสว่างกระจ่างแจ้งของจิตดวงนี้ ท้องฟ้ามหาสมุทรสุดสมมุติไม่มีอะไรเทียบธรรมชาตินี้ได้เลย รู้ขนาดไหนเห็นขนาดไหน นี้คือความจริง
พระไตรปิฎกไม่สามารถที่จะไปจดจารึกเอามาได้ จะจดได้เพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ ดังที่หลวงปู่มั่นท่านแสดงเอาไว้ว่า ธรรมที่มาในคัมภีร์นั้นเทียบกับน้ำในตุ่มในไหเท่านั้น แต่ธรรมที่เป็นความจริงไม่มาในคัมภีร์นั้นเท่ากับท้องฟ้ามหาสมุทร ฟังซิ ท่านไม่รู้ท่านเอาอะไรมาพูด ท่านรู้ท่านเห็นท่านเป็นในหัวใจของท่านเรียบร้อยแล้ว นี่ก็ไม่ต้องถามท่านเหมือนกัน เมื่อมันปรากฏขึ้นเป็นหลักความจริงล้วน ๆ ด้วย สนฺทิฏฺฐิโก สุดยอดแล้วก็ไม่ต้องถามใคร คือรู้ประจักษ์ตัวเอง กว้างแคบขนาดไหนก็รู้จำเพาะตัวเอง จะไปคาดไปหมายไปบอกใคร เอาใครมาเป็นสักขีพยาน ไม่สนใจที่จะเอาใครมาเป็นพยาน เพราะความรู้นี้พร้อมทุกอย่างแล้วเต็มทุกอย่างแล้วในหัวใจ พอแล้ว
นี่ภาคปฏิบัติผลปรากฏมาอย่างนี้ เหมือนเขาปลูกบ้านปลูกเรือน ตั้งแต่เริ่มต้นขุดรากขุดฐานเทดินเทคานขึ้นไปจนกระทั่งถึงบ้านสมบูรณ์พูนผลทุกอย่างแล้ว เขาก็ทราบชัดเจนว่าบ้านนี้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว ทีนี้ทางภาคปฏิบัติของเราก็เหมือนกัน ตั้งแต่เริ่มต้นจิตที่วุ่นวายส่ายแส่ และเริ่มต้นตั้งแต่ศีลบริสุทธิ์ เราก็แน่ในหัวใจของเราว่าศีลบริสุทธิ์ อบอุ่นเต็มตัวแล้ว เป็นศีลสมบัติ ทีนี้ก้าวเข้าสู่สมาธิสมบัติเป็นขั้น ๆ ตอน ๆ จนมีความสามารถแก่กล้า ขยายออกทางด้านปัญญา ปัญญาก็ประจักษ์เป็นลำดับลำดา ปัญญาประเภทไหนฆ่ากิเลสชนิดใด ๆ รู้ตามลำดับลำดา ฆ่ากิเลสเป็นลำดับ
จนก้าวเข้าสู่สติปัญญาอัตโนมัติ ฆ่ากิเลสไปโดยลำดับโดยอัตโนมัติของตน ๆ ไม่ต้องบีบบังคับทางความพากความเพียร ต้องรั้งเอาไว้ เพราะสติปัญญาขั้นนี้เรียกว่าความเพียรกล้า หมุนตัวไปเองในการฆ่ากิเลสโดยอัตโนมัติ เช่นเดียวกับกิเลสที่มันสร้างเนื้อสร้างหนังสร้างตัวของมันบนหัวใจของสัตวโลกโดยอัตโนมัติของมัน มันคิดแง่ใดมุมใดเป็นกิเลสทั้งนั้น ทีนี้เวลาสติปัญญาก้าวขึ้นสู่ความเป็นอัตโนมัติของตนแล้ว ก็ทำหน้าที่เหมือนกันกับกิเลสสร้างตัวเองโดยอัตโนมัติ นี่ก็สร้างคือแก้กิเลสถอนกิเลสเป็นอัตโนมัติ ๆ โดยไม่ต้องบีบบังคับ ดีไม่ดีต้องรั้งเอาไว้เพราะจะเลยเถิด
เนื่องจากจิตมันรีบมันด่วนมันเร่งในความพากความเพียร ที่จะฟาดฟันกิเลสให้ขาดสะบั้นลงต่อหน้าต่อตา จึงต้องได้พัก คำว่าพัก พักในเรือนสมาธิ เพราะสติปัญญาขั้นนี้แก่กล้าสามารถ หมุนตัวเป็นธรรมจักรในการฆ่ากิเลสตลอดไป เราต้องได้รั้งเอาไว้ คือรั้งเข้ามาสู่สมาธิเพื่อพักเครื่อง การเดินเครื่องได้แก่สติปัญญาออกทำงาน การพักเครื่องได้แก่ห้ามสติปัญญาไม่ให้ออกทำงาน ให้อยู่ในความสงบสุขของสมาธิ เมื่อพักเครื่องได้กำลังแล้วถอนออกไปก็ก้าวเข้าสู่ปัญญาตามเดิมเป็นอัตโนมัติ ๆ สังหารกิเลส
ทีนี้กิเลสประเภทต่าง ๆ ก็กลายเป็นเชื้อไฟไปแล้ว ไฟได้แก่ตปธรรม คือสติปัญญาอัตโนมัติ ก้าวเข้ามหาสติมหาปัญญานี้เป็นไฟ กิเลสประเภทต่าง ๆ เป็นเชื้อไฟ กิเลสมีมากน้อยเพียงไร ไฟได้แก่สติปัญญาศรัทธาความเพียรนี้จะเผาไหม้ไปเรื่อย ๆ โดยอัตโนมัติ ไม่ต้องบีบไม่ต้องบังคับ นี่เรียกว่าธรรมมีกำลัง ทำงานแก้กิเลสโดยอัตโนมัติ เหมือนกับกิเลสเวลามีกำลัง สร้างเนื้อสร้างหนังของตัวบนหัวใจของสัตว์โลกโดยอัตโนมัติเหมือนกัน เมื่อธรรมมีกำลังแล้วก็เป็นอัตโนมัติในการสังหารกิเลส จนกระทั่งกิเลสหมดเชื้อ ไม่มีอะไรที่จะให้แผดให้เผาอีกต่อไปแล้ว นั้นเรียกว่าวิมุตติ จะเผาอะไรอีกกิเลสก็หมดไปแล้ว ไฟก็ระงับดับลงไปเอง
มหาสติมหาปัญญาก็เป็นสมมุติ สังหารกิเลสซึ่งเป็นจอมสมุทัย ด้วยมหาสติมหาปัญญาซึ่งเป็นจอมของมรรค เมื่อกิเลสสมุทัยได้ขาดสะบั้นลงไปแล้ว มหาสติมหาปัญญาซึ่งเป็นเครื่องสังหารเรียกว่าเครื่องมือ ก็ระงับดับกันเอง สิ่งที่นอกเหนือไปจากนั้นคือวิมุตติหลุดพ้น พ้นที่ตรงนี้ พ้นที่ท่ามกลางแห่งอริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค นี่เรียกว่าอริยสัจ ๔ หลุดพ้นระหว่างกลางของอริยสัจ ทุกข์ สมุทัย เป็นสอง นั้นเป็นฝ่ายผูกมัด นิโรธ มรรค เป็นฝ่ายแก้ฝ่ายถอดฝ่ายถอนฝ่ายดับกิเลส เป็นฝ่ายมรรค เมื่อธรรมชาติทั้งสองนี้ได้สังหารกันขาดสะบั้นลงไปแล้ว จิตก็หลุดออกจากนี้อุบัติขึ้นมาเป็นผู้บริสุทธิ์พุทโธ เรียกว่าตรัสรู้ เรียกว่าบรรลุธรรมถึงขั้นสุดยอด นี่คือผลแห่งการปฏิบัติธรรม
พระพุทธเจ้าพระสาวกท่านปฏิบัติอย่างนี้ตลอดมา ขอให้เราทั้งหลายถือเอาเป็นคติเยี่ยงอย่าง อย่าเอาโลกเอาสงสารเอากิเลสตัณหามาทำลายมรรคผลนิพพานว่าหมดเขตหมดสมัย ศาสนธรรมเป็นธรรมที่ครึที่ล้าสมัยแล้ว มรรคผลนิพพานไม่มี นี้ล้วนแล้วตั้งแต่กิเลสหลอกลวงสัตวโลกให้ลุ่มหลงงมงายแล้ววิ่งตามกิเลส กิเลสมันจะสิ้นสุดกาลสุดสมัยครึล้าสมัยไปที่ไหนไม่ได้คำนึง แต่มันหาเรื่องว่าธรรมนี้หมดยุคหมดสมัยแล้ว
แต่กิเลสมันสร้างตัวของมันมากี่กัปกี่กัลป์แล้ว ไม่เห็นได้ยินว่ากิเลสนี้ครึนี้ล้าสมัย ปล่อยวางสัตว์โลก ไม่บีบบังคับสัตว์โลกต่อไปแล้ว สัตว์โลกได้อยู่สบายเป็นอิสระ กิเลสไม่เห็นบอก ว่ามันครึมันล้าสมัยไร้คุณค่าทุกอย่างแล้ว ในการบีบบี้สีไฟสัตว์โลก มันไม่เห็นบอก แต่เวลาเรามาบำเพ็ญคุณงามความดี ทำไมมันมาหาเรื่องว่าศาสนาเป็นของครึของล้าสมัย ก็ศาสนาเป็นเครื่องปราบกิเลส จะครึไปไหน ล้าสมัยไปไหน กิเลสตัวไหนเก่งให้มาว่างั้นเลย เอ้า ฟาดลงด้วยข้อปฏิบัติอย่าลดละความเพียร
พุทธศาสนาเราคือตลาดแห่งมรรคผลนิพพาน คงเส้นคงวาหนาแน่นไปโดยลำดับ ไม่มีคำว่าครึว่าล้าสมัย นอกจากกิเลสมันหลอกลวงผู้ปฏิบัติของเรานี้ให้เอนเอียงไปตามมัน หลงกลมายาของมัน เลยกลายเป็นบริษัทบริวารของมันให้จูงจมูกไปเสีย ระวังนะกิเลสมันจูงจมูกได้ง่ายนะ ผู้ปฏิบัติเราอย่าตื่นโลกตื่นสงสาร มันมีแต่เกิดกับตายเท่านั้นมากี่กัปกี่กัลป์ ตื่นไปหาอะไร
ธรรมเป็นเครื่องตื่นจากความหลับ ได้แก่ความลุ่มหลงคือกิเลส ถอนตัวออกเป็นความหลุดพ้นจากกิเลส มีอยู่ในหัวใจของทุกคน ตามพระโอวาทที่ทรงสั่งสอน วางแปลนถูกต้องแม่นยำแล้ว ให้ดำเนินตามแบบแปลนแผนผังนี้ เราจะได้เห็นมรรคผลนิพพานประจักษ์ใจของเรา ๆ ไม่ต้องถามใคร สวากขาตธรรมนี้ตรัสไว้ชอบแล้ว พระพุทธเจ้านิพพานไปแล้วแปลนนี้ก็ถูกต้องโดยสมบูรณ์ เหมือนผู้ทำแปลนเขาตายไปแล้ว นำแปลนที่เขาทำไว้แล้วมาปลูกบ้านสร้างเรือน ก็ถูกต้องโดยสมบูรณ์เช่นเดียวกัน
พระพุทธเจ้านิพพานไปแล้ว แปลนคือศาสนธรรมนี้ถูกต้องแล้ว ด้วยสวากขาตธรรมที่ตรัสไว้ชอบแล้วนี้ ให้นำมาปฏิบัติเดินตามแปลนแห่งสวากขาตธรรมนี้ อย่าปล่อยวาง อย่าลดละ เราจะถึงจุดหมายปลายทางโดยไม่ต้องสงสัย เริ่มตั้งแต่ศีล สมาธิ ปัญญา ขึ้นไปถึงวิมุตติหลุดพ้น ไม่นอกเหนือจากพระโอวาทนี้ไปได้เลย เราอย่าเอาสิ่งใดมาเป็นศาสดาแทนพระพุทธเจ้า ให้เอาศาสดาองค์เอกคือสวากขาตธรรมนี้ นำเข้ามายึดมาเกาะภายในจิตใจ เราจะได้เห็นความแปลกประหลาดอัศจรรย์ขึ้นภายในจิตใจโดยไม่ต้องไปถามใคร จะกระจ่างแจ้งขึ้นที่นี่เลยถ้าเราปฏิบัติ อย่าไปสนใจกับสิ่งใด
ไอ้โลกสกปรก พูดออกมาปากไหน เป็นแต่ปากอมขี้ทั้งนั้น มากระทบหูใครแล้วล้างทั้งวันก็ไม่สะอาด เพราะปากอมขี้มันสกปรก พ่นเข้ามาด้วยลมปากที่อมขี้นั้น กระทบกับหูใดแล้วล้างทั้งวันไม่สะอาด ให้ระวังปากสกปรก ให้ฟังเสียงปากพระพุทธเจ้าที่เป็นปากสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบทุกอย่างแล้ว นี้คือปากสะอาด ปฏิบัติตามนี้เราจะชะล้างสิ่งสกปรกได้เป็นลำดับลำดาไป
วันนี้พูดธรรมะก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา ขอความสวัสดีจงมีแก่ท่านผู้ปฏิบัติทั้งหลาย และคณะศรัทธาทั้งหลาย และจงตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติเพื่อมรรคผลนิพพาน ที่รอเราอยู่แล้วทุกคน บรรดาผู้ปฏิบัติเพื่อกำจัดกิเลส จะได้เห็นธรรมที่จุใจปรากฏขึ้นที่ใจของเรา ขอความสวัสดีจงมีแก่ท่านทั้งหลายโดยทั่วกัน
เอาละพอ
พูดท้ายเทศน์
เป็นยังไงล่ะฟังได้ชัดไหมวันนี้ ผมเปิดแนวทางของผู้ปฏิบัติให้ฟังเท่าที่จำเป็น ไม่ได้พูดตามความรู้ความเห็นความเป็นของใจจริง ๆ นะ เราไม่ได้อวด ที่นำมาสอนโลกนี้เราสอนเฉพาะโลกที่ควรจะยึดได้ปฏิบัติได้เท่านั้น สิ่งที่สุดวิสัยของโลกมีเท่าไรเต็มหัวอกพูดออกมาหาประโยชน์อะไร ไม่เกิดประโยชน์ รู้เหมือนไม่รู้ เห็นเหมือนไม่เห็น จะนำออกมาเท่าที่ควรแก่สัตว์โลกจะได้รับไปเป็นประโยชน์แก่ตนเท่านั้น เพราะฉะนั้นธรรมจึงอยู่ในวงของสัตว์โลกจะรับได้ นอกจากนั้นมีก็เหมือนไม่มี พูดก็ป่า ๆ เถื่อน ๆ สำหรับหูป่าหูเถื่อนไม่เกิดประโยชน์จึงไม่ได้พูด เรื่องความรู้ความเห็นความแปลกประหลาดอัศจรรย์ในหัวใจนี้พูดไม่ได้เลยนะ
ฟังแต่ว่าครอบโลกธาตุเป็นไร โลกธาตุกว้างแคบขนาดไหน ธรรมในหัวใจที่กระจ่างออกไปนี้ครอบโลกธาตุนั่น แต่ธรรมไม่ได้หิวได้โหย ไม่อยากโอ้อยากอวด มีเหมือนไม่มี แล้วแต่ผู้ที่มาเกี่ยวข้องจะได้รับประโยชน์มากน้อยเพียงไร ธรรมก็ออกต้อนรับกันขนาดนั้น ๆ หากไม่มีเสียจริง ๆ ก็แสดงหาอะไร ถ้าควรที่จะแสดงให้เต็มเม็ดเต็มหน่วยออกเอง ธรรมนี้ออกเอง ๆ ถ้าไม่ควรแสดงแสดงหาอะไร นี่พูดจริง ๆ พูดด้วยความกล้าหาญชาญชัย ไม่ได้พูดแบบลูบ ๆ คลำ ๆ เหมือนดังที่เรียนมานะ เราจึงได้พูดให้ฟัง เวลาเรียนมันสงสัยอย่างนั้น ทีนี้เวลาปฏิบัติมันเห็นจัง ๆ ในหัวใจแล้วจะไปถามใคร
พระพุทธเจ้ารู้ทุกสิ่งทุกอย่างถามใครเมื่อไร นี้ของจริงอันเดียวกัน ใครรู้ใครเห็นเข้าไปแล้วจะไปถามใครที่ไหน บาป บุญ นรก สวรรค์ อย่างที่ว่านี้ จริงมากี่กัปกี่กัลป์ แต่พวกตาบอดบอดมากี่กัปกี่กัลป์ มันก็ไม่เห็นมากี่กัปกี่กัลป์อย่างนี้ ดีไม่ดีให้กิเลสลากจมูกไปอีกว่า สิ่งเหล่านี้ไม่มี นั่นเห็นไหม อันไหนที่มี คือความอยากความทะเยอทะยาน นั่นมี นั่นทางเดินของกิเลสต้มตุ๋นสัตว์ ความกล้าหาญชาญชัยต่อการทำบาปทำกรรม นี่คือทางเดินที่กิเลสเปิดโล่งให้ กล้าหาญอะไรมันก็เจออันนั้น กล้าหาญชาญชัยในการทำบาป แต่เวลาไปเจอนรกเข้าแล้ว สายเสียแล้ว ไม่ทราบความกล้าความกลัว เลยเป็นนักโทษนรกในเรือนจำนรกเสีย
ให้พากันตั้งใจนะพระเรา วันนี้ผมตั้งใจสงเคราะห์พระโดยเฉพาะ หาโอกาสไม่ค่อยได้นะ วันนี้จึงเปิดให้พระทั้งหลายเราฟัง นี่ละให้เอาจริงเอาจังนะ ตลาดแห่งมรรคผลนิพพานคือศาสนธรรม เรียกว่าคงเส้นคงวาหนาแน่นตลอดมา ขอให้ภาคปฏิบัติของเราเอาให้จริง ถ้าไม่จริงเหลาะแหละไม่เป็นท่าทั้งนั้นแหละ
ธรรมอย่างนี้ผมก็ไม่ค่อยได้เทศน์ เพราะไม่ใช่กาลสถานที่เวล่ำเวลาที่ควรจะเทศน์ก็ไม่เทศน์ วันนี้มีแต่พระปฏิบัติล้วน ๆ ให้เป็นคติเครื่องเตือนใจ ผมก็อบรมแนะนำสั่งสอน เพราะผมก็แก่แล้ว ต่อไปก็ปล่อยธาตุขันธ์เท่านั้น การสอนโลกนี่ผมสอนมานาน ถ้าพูดถึงเรื่องการสอนโลกมานี้ ผมเริ่มสอนมาตั้งแต่ปี ๒๔๙๓ นานไหม ๒๔๙๓ มาถึงวันนี้กี่ปี ถึง ๔๘-๔๙ ปีแล้วมัง นี่ละที่สอนโลกเรื่อยมา แต่สอนอยู่ใต้ดิน คือไม่มีเครื่องประกาศวิทยุ ทีวี เหมือนอย่างทุกวันนี้ เทศน์ทั่วประเทศไทย จบลงแล้วก็แล้วไปเลย ไม่มีเครื่องกระจายเสียง ไม่มีทีวี ไม่มีวิทยุ ออกอย่างทุกวันนี้
นี่ละเราเทศน์สอนโลกมาได้ ๔๙ ปีนี้แล้ว ด้วยความไม่สงสัยในธรรมทั้งหลายของเรา เทศน์เต็มเม็ดเต็มหน่วย ออกทางเทปก็มีตั้งแต่ ๕๐๕-๕๐๖ มาเริ่มมีเทป ก่อนหน้านั้นไม่มี หลังจากนั้นก็มีหนังสือที่ถอดจากเทปไปพิมพ์ ๆ หนังสือของเราจึงมีมาก แจกทั่วประเทศไทย เทปก็มีมากมาโดยลำดับลำดา แจกทั่วประเทศไทยเหมือนกัน แต่ที่มามากที่สุดก็คือคราวนี้ คราวนำชาติบ้านเมืองของเรานี้ ขึ้นเวทีบั้นแก่เทศน์ตลอดเวลา คนเลยได้เห็นได้ยิน ออกทั้งทีวีทั้งวิทยุทั้งหนังสือพิมพ์กระจายไปหมด ประหนึ่งว่าหลวงตาบัวเพิ่งมาดังปี ๒๕๔๑-๔๒ ความจริงมันดังอยู่ใต้ดินมานานแล้ว ไม่มาดังเหนือดินอย่างสองปีนี้นะ มันดังอยู่ใต้ดินกระหึ่ม ๆ อยู่นั่น เพิ่งมาดังบนดินปี ๔๑-๔๒ พวกนี้เพิ่งเป็นบ้ากันว่าหลวงตาบัวเทศน์อย่างนั้นอย่างนี้
ถ้าพูดถึงว่าเป็นบ้า เราเป็นบ้าอยู่ใต้ดินมานานแล้ว พวกฟังอยู่ใต้ดินก็เป็นบ้ามาด้วยกันนานแล้ว หากว่าจะเป็นคนดีก็เป็นปี ๔๑-๔๒ ถ้าเป็นบ้าขั้นที่สองก็ว่าบ้าขั้นนี้บ้าเหนือดิน กระเทือนไปหมดถึงเมืองนอกเมืองนา เราแก่มากแล้วก็เลยเทศน์ฝากมรดกไว้ให้พระลูกพระหลาน มันจะไม่มีอะไรติดเนื้อติดตัว จึงเทศน์ไว้เสีย
ที่นี่เหมาะสมดี ที่ทำอย่างนี้เห็นด้วยแล้วนะ ผมมาดูกุฏิที่พักภาวนาเหมาะสมมาก วัดป่าบ้านตาดก็เหมือนกัน จนกระทั่งทุกวันนี้ เต็มอยู่ในป่ามีแต่อย่างเดียวกัน กระต๊อบเล็ก ๆ แต่ก่อนมุงด้วยหญ้าอย่างเดียวกันนี้ ทีนี้เวลาหน้าแล้งไฟป่าละซิมันไหม้มา ลมพัดเข้ามาเลยมาไหม้กุฏิพระที่มุงหญ้าแต่ก่อน เลยต้องเปลี่ยนใหม่ที่นี่ เอาให้ทันสมัยเลยเชียวนะ ฟาดกระเบื้องแตก ๆ ขึ้นมุงแทนที่เลย สังกะสีก็สังกะสีทิ้งแล้วเอาไปมุง ไม่ได้เอาสังกะสีใหม่ ๆ ไปมุงแหละ เอาสังกะสีเก่า ๆ ลากไปมุง กระเบื้องเก่า ๆ แตกบ้างอะไรบ้างเอาไปมุง ข้างฝานี้แอ้ม(กั้น)ด้วยผ้าจีวรขาด คือจีวรใช้ไม่ได้แล้วก็เอามาแอ้มกุฏิทั่วไปหมดในวัด ไม่ได้มีหรู ๆ หรา ๆ
การปลูกสร้างนี้ โถ ถ้าเราอนุญาตนี้วัดไหนจะไปหรูหรายิ่งกว่าวัดป่าบ้านตาด เพราะใครก็จะสร้าง ใครก็มีศรัทธา ๆ ทุกชั้นของคน แต่เราไม่ให้สร้าง อะไรขัดต่อธรรมแล้วธรรมเป็นเลิศเลอที่สุด ต้องยกให้ธรรมทั้งหมด สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องบูชาไปเท่านั้น ธรรมเป็นหลักใหญ่ เพราะฉะนั้นเราจึงต้องคงเส้นคงวาหนาแน่นเอาไว้ หลักประเพณีของพระพุทธเจ้าที่พาดำเนินมายังไง เช่น อยู่ตามกระต๊อบ ตามร่มไม้ชายเขา ในป่า ในถ้ำ เงื้อมผา อย่างกระต๊อบ ๆ อย่างนี้เหมาะ ไม่หรูหราฟู่ฟ่า
เดี๋ยวนี้กิเลสมันตีตลาดมากแล้วนะ จนมองหาวัดซึ่งเป็นที่สถิตที่อยู่ของธรรมจะไม่มีแล้วนะเวลานี้ ไปที่ไหนมีแต่หรู ๆ หรา ๆ ฟู่ฟ่ามองหาธรรมไม่มี เห็นแต่ส้วมแต่ถานของกิเลสเต็มวัดเต็มวาเต็มพระเต็มเณร แต่เจ้าของนั้นโอ่อ่า กิเลสมันสร้างส้วมสร้างถานครอบหัวโล้น ๆ เจ้าของยังโอ่อ่า กุฏินี้สวยงาม ศาลานี้สวยงาม โบสถ์นั้นสวยงาม ที่พักที่อาศัยทั้งขัดทั้งถูเลื่อมพั่บ ๆ เดินไปจนจะล้มหงายหมาลงยังว่าสวยงามอีกนะ เราไม่อยากว่าหงายคน ว่าหงายหมาดีกว่า ให้เหมาะกันกับกิเลสประเภทนี้เหยียบหัวคน
เมื่อเช้านี้เราก็เดินเข้าไปศาลาหลังนั้น ก้าวเข้าไปนี้ไปเหยียบนั้นลื่นเกือบล้ม เกือบหงายหมาแน่ะหลวงตา พอลื่นปั๊บเลยถอยกรูดทันที ยังไม่ล้ม เราเกือบล้มกับศาลาหลังนี้ เลยออกมา ไปกุฏิหลังไหนไม่เหยียบเลย ต้องได้ระวังทั้งนั้นนะ กุฏิหลังเราอยู่นี้ก็เหมือนกัน เราว่าจะขี้ราดนั้นเสียก่อน ก่อนที่เราจะไปไม่ทราบมันจะปวดขี้หรือไม่ปวดก็ไม่รู้ ถ้าปวดแล้วฟาดใส่นั้นแล้วให้อีตา
นี่เช็ดล้างคนเดียว พระเณรไม่ให้มาเกี่ยวนะ ให้เช็ดล้างคนเดียวมันเก่งนักว่างั้นเลย
ศรัทธาญาติโยมเราอย่าถือเป็นประมาณมากยิ่งกว่าธรรม ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของโลก ให้พากันจำเอาไว้นะ อันไหนที่ควรให้สร้างให้สร้าง อันไหนไม่ควรอย่าให้สร้าง ธรรมะเป็นรากฐานสำคัญครอบโลกธาตุ กุฏิกับสิ่งก่อสร้างแต่ละอย่าง ๆ เป็นเครื่องบูชาธรรมทั้งนั้น อันไหนที่ขัดต่อธรรมแล้วอย่าให้ทำ อะไรก็ขัดศรัทธาไม่ได้ ๆ โอ๋ย ตายเลยนะอย่างนั้น นี่เรียกว่ากิเลสจูงจมูกแล้ว ทำตกแต่งหรูหราฟู่ฟ่ามีลายขอกลายคราม ต้นไม้ปลูกประดับกุฏิมันดูได้เมื่อไรพระกรรมฐานน่ะ ศรัทธาก็ศรัทธาซิเรื่องของเขา เรื่องของเราผู้รับผิดชอบในหลักใหญ่คือธรรมคือศาสนาคือวัดวามีอยู่กับเรา ไม่ได้มีอยู่กับประชาชนญาติโยม
เราต้องเข้มงวดกวดขันสิ่งเหล่านี้ ถ้าอยากให้ศาสนายังพอได้กราบไหว้กันอยู่นะ หรือจะกราบไหว้อิฐปูนหินทรายเหรอ ที่ไหนมันก็มีอดอยากอะไรของเหล่านี้ อันนี้เป็นเครื่องอาศัยเพียงเท่านั้น อย่าถือเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโต นี้สอนพระลูกพระหลานอย่าพากันเป็นบ้ากับวัตถุนะ ไม่มีอะไรเลิศเลอยิ่งกว่าธรรม นี้เปิดอกนะ จึงกล้าพูดละซิว่า ที่ลื่น ๆ ที่สุดสวยงามที่สุด จนกระทั่งเลื่อมพั่บ ๆ ก้าวเดินไปแล้วมันลื่น นี้คือความสกปรกอันสุดยอดของกิเลสในสายตาของธรรม ฟังซิน่ะ ธรรมเลิศเลอขนาดไหน จึงมาดูความสะอาดของกิเลสที่เป็นบ้ากันทั้งโลกนี้ ว่าเป็นเหมือนส้วมเหมือนถานในสายตาของธรรม
นี่เราพูดจริง ๆ พูดอย่างเปิดอก มันเห็นอยู่อย่างนั้นจะว่ายังไง ที่เลิศเลอมันเห็นอยู่ที่หัวใจนี่ กับมาดูส้วมดูถานนี้มันเข้ากันได้เมื่อไร ในวงพวกของเราที่สอนก็สอน ควรพูดให้ฟังเราก็พูดให้ฟัง เป็นอย่างนั้นนี่เรารู้ แต่ก่อนเราไม่เคยรู้ไม่เคยเห็น เขาว่าสวยยังไงก็อยากสวยอย่างนั้น ดีที่เขาไม่ได้เข้าห้องดัดผมเหมือนพวกบ้านี่นะ ได้มาบวชเสียก่อน ไม่งั้นอาจจะได้เข้าไปดัดผมกับเขาอยากจะให้สวย พวกบ้ามันเป็นอย่างนั้นซี มันเห็นจริง ๆ นี่
นี่ละธรรมพระพุทธเจ้าที่ทรงท้อพระทัย คือมาพูดอะไร ๆ โลกนี้โลกกิเลสโลกตาบอดมันไม่ยอมฟังไม่ยอมดูไม่ยอมเห็น แล้วจะสอนยังไง ท้อพระทัย จึงว่ามันยังพอมีอยู่บ้างผู้ที่จะมองเห็นตามทางพระพุทธเจ้ายิบ ๆ แย็บ ๆ จึงทรงสั่งสอนโลกเรื่อยมา เพียงเราตัวเท่าหนูนี้มันเป็นนะ เป็นจริง ๆ อาจหาญชาญชัย ในสามแดนโลกธาตุนี้เราไม่เคยหวั่นกับอะไร เพราะเป็นโลกแห่งส้วมถานของกิเลสทั้งนั้น ธรรมเหนือนั้นทั้งหมดแล้วจะไปกล้ากับส้วมกับถานอะไร ไปกลัวกับส้วมกับถานอะไร ธรรมเลิศกว่าแล้วนี่จะว่าไง จะเอาอะไรมาเป็นคู่แข่งธรรม ถึงกล้าพูดล่ะซิ
การแนะนำสั่งสอนโลกนี้ก็เหมือนกันเราพูดจริง ๆ ถ้าจะให้สอนเต็มเม็ดเต็มหน่วยแห่งความรู้นี้ ท้องฟ้ามหาสมุทรว่างั้นเลย ไม่มีคำว่าอัดว่าอั้นว่าจะเทศน์ไม่ได้สอนไม่ได้ ขอแต่ผู้มาเกี่ยวข้องหนักเบามากน้อยเพียงไรควรจะสงเคราะห์ จะออกทางนั้น ๆ ถ้าไม่สมควรแล้วก็ปิดตาย เข้าลิ้นชักก็ไม่ผิด พูดไปหาอะไร ถ้าสมควรจะออกต้อนรับกันแล้วก็ออกทันที ๆ เอาถึงฟ้าดินถล่มก็ออกทันที ธรรมเต็มหัวใจแล้วอัดอั้นที่ไหน ว่าจะพูดไม่ได้เทศน์ไม่ได้สอนไม่ได้นี่นะ
ฟังให้ดีนะ นี่ละผลของธรรมที่ปรากฏอยู่กับใจ ประกาศลั่นออกมาได้อย่างไม่สะทกสะท้าน พูดอย่างนี้ กิเลสตัวไหนว่างั้นเลยนะ มันจะมากล้าหาญพูดว่าเราโอ้เราอวดถ้ามันไม่อยากปากแตก ธรรมะฟาดมันปากแตกเลย เวลาธรรมะมีอำนาจฟาดปากกิเลสแตกได้จริง ๆ ทีนี้เวลาหมอบให้มันฟาดเราขี้แตก เวลากิเลสฟาดเราขี้แตก ครั้นเวลาเรามีอำนาจจะฟาดกิเลสให้มันหงายหมาไปไม่ได้เหรอ นั่นละจึงว่าธรรมของจริง อาจหาญชาญชัยเหนือโลกทุกอย่าง ทำไมจะมาสอนโลกกิเลสโลกส้วมโลกถานนี้ไม่ได้ ธรรมเลิศเลอขนาดนั้นแล้ว กลัวกล้ากันหาอะไร
เวลามันรู้มันรู้จริง ๆ มันเหมือนหูหนวกตาบอด เพราะรู้เท่าไรก็ไม่มีใครเห็นด้วย บางทีเราจึงพูดออกมานะ มีแต่เราดูหัวใจของโลก เราพูดอยู่กับบรรดาลูกศิษย์ลูกหา มีแต่เราดูหัวใจของโลก อยากให้หัวใจของโลกมาดูหัวใจเราบ้างเป็นยังไง เราพูดแล้วนะ ก็มันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ มันจ้าอยู่ตลอดเวลา กิเลสลี้ลับขนาดไหนมันเห็นหมด อย่ามาว่าวัตถุวัตแถะเหล่านี้อย่ามาพูดนะ กิเลสละเอียดขนาดไหนมันเห็นหมด ธรรมะเป็นเครื่องแก้กิเลสไม่ได้แก้สิ่งเหล่านี้นะ แก้กิเลสต่างหาก กิเลสอยู่ตรงไหนเห็นหมดไม่งั้นฆ่ามันไม่ได้ เอาจนเกลี้ยงไม่มีเหลือ เมื่อมันโล่งหมดในหัวใจไม่มีอะไรเหลือแล้ว กิเลสแสดงอยู่ที่ไหนก็เห็นหมดล่ะซี
ให้พากันตั้งใจนะพระลูกพระหลาน อย่านอนใจนะ เอาให้จริงให้จัง มรรคผลนิพพานคอยอยู่ชั่วเอื้อมของผู้ปฏิบัติ ไม่ได้ห่างไกลจากตัวของเรา คือองค์อริยสัจที่แสดงแล้วตะกี้นี้ กายคตาสติเป็นสำคัญมาก ที่จะรื้อภูเขาภูเราตรงนี้สำคัญมาก เอาให้หนัก ถ้าตรงนี้แตกแล้วโล่งไปหมดเลย ไม่มีอะไรมากดถ่วงลวงใจ มีแต่ตัวนี้ตัวสำคัญมาก
ที่เรามาทำประโยชน์ให้โลกนี้ก็เพราะความเมตตาล้นหัวใจนั้นเองไม่ใช่อะไร สำหรับเรามันพอทุกอย่างแล้ว ไม่มีอะไรบกพร่องในหัวใจนี้เลย ครอบโลกธาตุว่างั้นเลย เรามาทำด้วยความเมตตาล้วน ๆ สละเพื่อชาติบ้านเมืองของเรา ก็รู้สึกว่าชะตาของชาติไทยเรานี้แปลกอยู่นะ น่าคิดอยู่มาก คือตอนนั้นโรคท้องเรานี้ไม่มีหวังแล้ว มันดิ่งเข้าไปถึง ๘๐% แล้ว มีแต่จะตายท่าเดียว ลงจากกุฏิก็โซซัดโซเซไปเพียงศาลา ออกจากศาลาก็โซซัดโซเซมากุฏิ นอกนั้นไม่ดูอะไรทั้งหมด คอยแต่วันจะตาย
อยู่ ๆ ก็มีหมอเทวดามา หมอ..เป็นหมอจีน คนไข้ของเขาก็มาเล่าให้ฟังถึงเรื่องโรคของเขาเป็นยังไง ๆ เขาก็เล่าเรื่องโรคของเขาให้ฟัง จนกระทั่งเขารักษาหายจากหมอคนนี้ แล้วโรคของเขากับโรคของเรานั้นไม่ผิดกันแม้กระเบียดเดียว เราจึงปลงใจ เอ้ารักษาว่างั้นเลย ทั้ง ๆ ที่เตรียมพร้อมถ้าเครื่องบินก็เตรียมจะลงสนามแล้ว ยังเชิดหัวขึ้นอีก ก็บอกกับเขาเลยว่าเอ้ารักษา อันนี้เป็นครั้งสุดท้ายของเรา เราบอกตรง ๆ ถ้าหายก็หายจากหมอคนนี้ ถ้าหมดจากหมอคนนี้แล้วเราตัดหมดทั้งหยูกทั้งยาทั้งหมอทั้งอะไร เราจะทำหน้าที่ตายอย่างเดียวเท่านั้น
โรคนี้รู้สึกว่าตรงกันกับโรคของเขาที่หาย เอ้ารักษา จึงตัดสินใจแล้วให้รักษา พอให้รักษาก็ โห แปลกประหลาดอัศจรรย์มาก โรคที่เป็นมานี้โรคท้องนี้เริ่มแสดงมาตั้งแต่พรรษา ๑๐ จนกระทั่ง ๕๔๐-๔๑ ที่มาถูกกับยาหมอนี้นานไหม ถึงขนาดที่ว่ามันถึงขั้นแล้วมันจะตาย แล้วก็มาฟื้นได้อย่างปาฏิหาริย์ จนเราเองไม่เชื่อหมอ เพราะโรคอันนี้ไม่ได้นึกเลยว่ามันจะหาย แต่แล้วก็ฟื้นขึ้นมาเป็นลำดับลำดา ไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลยจนเราไม่เชื่อเรา แต่มันก็ให้เห็นชัด ๆ ว่ามันหายขึ้นเป็นลำดับ
ก็ยังไม่เชื่อตัวเองเพราะมันเป็นมานาน จึงต้องถามหมอว่านี้มันจะหายจริง ๆ เหรอ หายจริง ๆ เขาว่างั้น ก็มันเป็นมาหลายสิบปีแล้วทำไมอยู่ ๆ ก็จะมาหายเอาอย่างปาฏิหาริย์อย่างนี้ เพราะเหตุไรเอ้าว่ามา เขาบอกว่าโรคชนิดนี้เขาเคยรักษาหายมาเป็นร้อย ๆ คนแล้ว เราก็เลยชะงัก เอ๊ โรคเรานี้จะเป็นโรคเทวทัตมาจากไหน เขาหายกันทั้งโลก เราจะไปจมคนเดียวแหวกแนวไปอย่างนี้มันมีเหตุผลอะไร เลยอ่อนลงนะ แล้วยังฟังและสังเกตดูด้วย มันก็หายของมันไปเรื่อย ๆ ไม่มีปฏิกิริยาเลยตั้งแต่วันโรคกับยาถูกกันมา หายเลย จนกระทั่งปัจจุบันนี้ เรียกว่าหายเต็มเม็ดเต็มหน่วยแล้ว ถ่ายก็เป็นปกติ
นั่นละพอมันฟื้นขึ้นมาเราก็ขึ้นเวทีเลย เพราะความห่วงใยชาติไทยของเรา เราห่วงอย่างเต็มหัวอก แต่เราก็สุดวิสัยที่จะรอไม่ได้แล้ว ทีนี้หมอมากระตุกเชิดกลับคืนจึงขึ้นเวทีเอาเลย เพราะฉะนั้นเวลาไปที่ไหน เขาจึงเห็นภาพในทีวีว่าผอมโซ ๆ ไม่ผอมโซยังไงคนรอดตายมาขึ้นเวที เดี๋ยวนี้ค่อยดีขึ้น ๆ จึงได้ช่วยโลกมา โอ๋ย เป็นเรื่องแปลกประหลาดอัศจรรย์อยู่นะ ดวงชะตาของชาติไทยเรารู้สึกเป็นของที่แปลกอยู่มากนะ เราไม่นึกเลย ตายด้วยความห่วงใยชาติไทยของเรา ซึ่งค่อนข้างจะล่มจมอยู่แล้ว อยู่ ๆ ก็มาฟื้นขึ้นมา จึงได้ช่วยเต็มเหนี่ยวนี้แหละ
แล้วทุกสิ่งทุกอย่างรู้สึกว่าเห็นผลมาโดยลำดับนะ ตั้งแต่เราเริ่มช่วยชาติมานี้ ถึงผลรายได้จะไม่มากก็ตาม แต่ผลทางด้านจิตใจได้มาก การช่วยเหลือนี้ก็ดังที่เคยทราบแล้วที่เขาประกาศให้ทราบว่า ทองคำเข้าเท่าไรดอลลาร์เข้าเท่าไร
คลังหลวง เวลานี้เงินสดมี ๘๖๐ ล้านเป็นอย่างน้อย เราเป็นผู้ถือบัญชีเอง ทั้ง ๆ ที่เราไม่เคยไปแตะต้องเงินแหละ แต่เราจับหนังสือนี้ยืนยันไว้ เป็นผู้ถือบัญชีแต่ผู้เดียว เป็นผู้สั่งเก็บสั่งจ่ายแต่ผู้เดียว
นี่ผลก็ไม่ค่อยได้มาก แต่ทางด้านจิตใจรู้สึกว่าจะได้มากทั่วประเทศไทยของเรา จากการแนะนำสั่งสอนของเราทุกแห่งทุกหน สอนทางด้านจิตใจมากไม่เคยลดละเลย ไปเทศน์ที่ไหนต้องเน้นหนักทางด้านจิตใจ เพราะชาวไทยชาวพุทธเรานี้เหลวไหลมากนะทางด้านจิตใจ เราก็พูดอย่างไม่ออมปากเลยว่า ชาวพุทธของเราเวลานี้กำลังเหลวไหลทางด้านธรรมะกับจิตใจมากทีเดียว เป็นบ้าแต่กับทางด้านวัตถุ ทะเยอทะยานกันจนจะล่มจะจมแล้วยังไม่รู้เนื้อรู้ตัว หลักใจไม่มีเลย ล้มเหลว จึงสอนเน้นหนักทางนี้ เหล่านี้เขาก็ออกทางวิทยุทั่วประเทศมานานแล้วแหละ ทางทีวีเขาก็ออก ทางวิทยุเขาก็ออก เอาธรรมเทศนาของเราออกทั่วประเทศไทยประจำตลอดมานะเวลานี้ ก็รู้สึกว่าได้ผลดี
นี่ละผลส่วนใหญ่คือทางด้านจิตใจ จะสามารถอุ้มชาติไทยของเราได้ด้วยอำนาจแห่งใจกับธรรมเข้าหนุนกันแล้วจะยกได้ ด้วยความรู้จักประมาณ ไม่ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม รู้เนื้อรู้ตัว มีเหตุมีผลมีกฎมีเกณฑ์ แล้วก็อุ้มชาติของเราได้ เราก็เห็นว่าได้ผลพอใจมาเป็นลำดับ ถ้าพูดถึงเรื่องสมบัติเงินทองเกี่ยวข้องกับเมืองนอกเมืองนา แต่ก่อนเขาบีบบังคับเรามาก เวลานี้ก็รู้สึกว่าคลี่คลาย เขาลดหย่อนผ่อนผันลงมาก เนื่องจากเขามีหวังที่จะได้รับผลประโยชน์จากการช่วยชาติของเรานี้เอง ภายนอกรู้สึกคลี่คลายลงเยอะ นี่เราก็เห็นผลทางด้านจิตใจของพี่น้องชาวไทยเรานี้สำคัญมาก สมกับเราเน้นหนักมากเพราะเราเป็นห่วงมากจริง ๆ
ให้พากันตั้งใจนะ จับให้ดีจำให้ดี อย่าเหลาะ ๆ แหละ ๆ มองดูสภาพที่ไหน ๆ ก็มีสภาพของผู้ชำระกิเลสอยู่ ถ้าไปที่ไหนเห็นแต่ส้วมแต่ถานครอบหัวพระหัวเณรเราไม่อยากเข้าไปเหยียบวัดอย่างนั้น กลัวส้วมถานจะมาครอบหัวเราอีก หรือมันครอบแล้วเราก็ไม่รู้ มาโม้เฉย ๆ มันครอบอยู่แล้วก็ไม่รู้
เอาเท่านั้นละพอ
|