ธรรมจากภาคปฏิบัติแท้คาดไม่ได้
วันที่ 3 มกราคม 2545
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :

ค้นหา :

ธรรมจากภาคปฏิบัติแท้คาดไม่ได้

วันไปเทศน์วัดสัมพันธวงศ์ วันที่ ๒๙ ตอนบ่าย ๒ โมง เทศน์วันนั้นเราระลึกได้ที่ว่า เราให้ไปเขาหาต่อมาสัก ๔-๕ รัง วันนั้นจำได้เทศน์เรื่องต่อนะ เวลาอยู่เฉย ๆ ธรรมดาอย่างนี้มันไม่สนใจกับศีลกับธรรม กับบุญกับกุศล เวลาตายแล้วไปหานิมนต์พระมา กุสลา ให้ เราเลยว่า อย่างนั้นในกรุงเทพเรานี้บวชหลวงตาไว้สักองค์หนึ่งที่วัดสัมพันธฯ นี้ บวชไว้จุดนั้น ๆ ๓-๔ องค์ เวลาคนตายก็นิมนต์หลวงตาเหล่านั้นมา กุสลา ธมฺมา ให้แล้วไปสวรรค์ให้หมด เวลาอยู่ธรรมดาไม่ต้องทำบุญให้ทาน ตายแล้วค่อยไปหาพระเอามา กุสลา มาติกา

ถ้าเป็นอย่างหลวงตาบัวนี้ก็จะหาต่อมาไว้สัก ๔-๕ รัง ไว้จุดนั้น ๆ เวลาเขามานิมนต์ไป กุสลา ธมฺมา เราหาต่อไว้แล้วก็เอาเชือกผูกรังต่อรวมกันจับไว้ พอเขามานิมนต์ไป กุสลา ธมฺมา ก็กระตุกรังต่อให้มันแตก ไล่ต่อยให้มันหลงทิศไปเลย กุสลา ก็เลยไม่ได้เรื่อง วันนั้นเทศน์ฟังเสียงคนหัวเราะกิ๊กแก๊ก เราเฉย ก็เราเทศน์เป็นอรรถเป็นธรรมเป็นข้อประกอบไป เทศน์เรื่องรังต่อ วันนั้นก็เทศน์อยู่นานนะ ชั่วโมง ๕ นาที เทศน์ที่ไหนก็ได้ย่านนั้นเดี๋ยวนี้นะ รู้สึกจะอยู่ในระยะชั่วโมง ชั่วโมงกว่า บางทีเกือบชั่วโมง ขาดนาทีหนึ่งสองนาทีก็มี ต่อไปก็จะลดลงเรื่อย ๆ

เทศน์ที่ไหนมันไม่ได้ลงด้วยความสะดวกในตัวของเรานะ อันนี้จะเตือนเสมอเวลาเทศน์ เทศน์ที่จบลงด้วยอันนี้เตือนนะ ไม่ได้เทศน์จบลงด้วยเหตุด้วยผลด้วยความพอเหมาะพอดีแล้วยุติเหมือนแต่ก่อน เทศน์ไป ๆ พอถึงขีดแล้วอันนี้จะเตือนยิบแย็บ ๆ ภายใน โรคหัวใจมันมียิบแย็บ ๆ นั่นละตื่นนอนแล้วนะนั่น ถ้าฝืนเทศน์ต่อไปก็จะเริ่มหนักขึ้น ๆ ต้องได้หยุด พออันนี้ยิบแย็บ ๆ แล้วก็เตรียมเหยียบเบรกห้ามล้อ ถึงจะวิ่งเร็วขนาดไหนก็ต้องเหยียบเบรกห้ามล้อ เบาลง ๆ เดี๋ยวก็หยุด เดี๋ยวนี้เป็นอย่างนั้น อันนี้เตือน ไม่ได้เทศน์ให้จบลงด้วยเหตุด้วยผลด้วยความพอเหมาะพอดีกับอรรถกับธรรมนะ เดี๋ยวนี้ถือเอาเรื่องธาตุขันธ์ของเรา โรคอันนี้แหละเป็นความพอดีเอาเลย ถ้าอันนี้เตือนก็แสดงว่าพอดีแล้ว ถ้าเลยจากนี้อันนี้จะกำเริบ เป็นอย่างนั้นนะเดี๋ยวนี้

ดูไม่ค่อยได้จบลงธรรมดานะสังเกตดู ปี ๔๓-๔๔ ปีไหนก็ตามถ้าเทศน์ดุเดือดแล้วเป็น เป็นทุกกัณฑ์ ถ้าเทศน์ดุเดือด ดุเดือดก็ดุเดือดด้วยอรรถด้วยธรรม ธรรมะเกี่ยวกับผู้ฟังมีความเหลื่อมล้ำต่ำสูงต่างกัน ธรรมะจะไปเหมือนไฟได้เชื้อ ไม่ว่าสูงว่าต่ำแหละไฟ เชื้อมีอยู่ที่ไหนติดตามไปได้หมด ธรรมก็เหมือนกัน เหตุผลกลไกอะไรที่ควรแก่อรรถแก่ธรรม ที่จะติดตามเข้าไปแก้เข้าไป ก็จะไปเองของมัน ๆ

อันนี้เราก็ไม่เคยคาดเคยคิด มาพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง นี่ละธรรมของพระพุทธเจ้า ฟังเอาซิ เราเคยคาดเคยคิดเมื่อไรเรื่องอย่างนี้ เป็นขึ้นแล้วถึงได้รู้ ๆ เวลาเทศน์มันเป็นไปตามเหตุผลกลไกที่พอเหมาะพอดี อย่างที่ว่าแกงหม้อใหญ่ ๆ นี้ เทศน์สำหรับคนหมู่มาก เราจะเทศน์ตามเรื่องของธรรมของใจทีเดียวไม่ได้ ธรรมนี้ก็เพื่อประชาชนเพื่อสัตวโลก ก็ต้องออกให้พอเหมาะพอดี ถ้าความพอดีลงขนาดไหนแล้วจะดึงก็ไม่ขึ้นนะ หากเป็นเองอยู่ในนั้น รู้จำเพาะเจ้าของเอง พอมองแพล็บมันจะบอกทันทีเลย ไม่ใช่บอกเป็นคำนะ บอกเป็นความรู้สึก พูดให้มันตรง ๆ อย่างนี้ มองปั๊บ ๆ มันเข้าใจทันที เวลาธรรมออกก็จะออกไปตามที่มองนั้น จะให้สูงเท่าไรก็ไม่สูง ดึงก็ไม่ขึ้น ถ้าจะอยู่ในระดับนี้ต้องอยู่ระดับนั้นตลอดจนจบ เป็นอย่างนั้นนะ

อย่างหนึ่งมองไปแล้ว ถ้าภาษาของโลกเรียกว่า มันหดมันหู่ไม่อยากออก แสดงว่ามีแต่ขี้หมูขี้หมา ไปทอดหาอะไรแห ความหมายว่างั้นนะ มันหดมันหู่ ก็เพื่อจะแสดงความพอเหมาะพอดีแก่สังคม นั่นโลกเป็นอย่างนั้นนะ ก็พูดไปสะเปะสะปะแล้วจบไป หายเงียบไปเลย ความพอดีไม่พอดีมันอยู่กับนี้หมด ฟังซิท่านทั้งหลาย เราเองเราก็ไม่เคยเป็น นำมาพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟังพูดเพื่ออะไร เรื่องธรรมเป็นอย่างนั้น มีอยู่อย่างนั้นแหละ ฟื้นขึ้นมาเถอะ มีในหัวใจมากน้อยมันจะออกตามที่มา จับจ่ายได้ตามที่มา ๆ

เช่นอย่างคนอยู่ในภูมิสมาธิ นี่หมายถึงธรรมภาคปฏิบัติ ไม่ใช่ภาคปริยัติ เรียนมาแบบนกขุนทอง ไม่ว่าท่านว่าเราเป็นนกขุนทองเหมือนกัน กิเลสไม่ได้ถลอกปอกเปิกจากการศึกษาเล่าเรียนที่ยังไม่ได้สนใจปฏิบัติ ถ้ามีปฏิบัติสะกิดติดเรื่อยปฏิบัติไปเรื่อย นั้นก็เรียกว่า ปริยัติ ปฏิบัติ ไปด้วยกัน มันเป็นชั้น ๆ ปฏิเวธก็มีไปด้วยกันนั้นแหละ เวลาทางภาคปฏิบัติไม่เป็นอย่างนั้นซี ไปเจออะไรเราไม่เคยเห็นนี่ มันเห็นมันเจอเข้าไปจัง ๆ ว่าไง จัง ๆ อย่างนี้ ไม่เคยเห็นก็ตามมองเห็นอยู่นี่น่ะ แล้วจะปฏิเสธได้ยังไงว่าสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้เหมือนอะไรไม่เหมือนอะไรมันก็รู้อยู่ในตัวของมัน ดูซิรูปลักษณะของมันถ้าว่ารูปลักษณะ เป็นลักษณะยังไงมันก็รู้ชัดเจนของมันรอบหมดแล้วจะไปถามใคร

เรื่องจิตกับธรรมก็เหมือนกัน สภาวธรรมทั้งหลายเวลารู้เวลาเห็นก็เป็นแบบเดียวกัน เวลาธรรมมีมากมีน้อยมันก็จะเริ่มขึ้น ๆ ชัดเจนขึ้น สิ่งที่รู้ที่เห็นก็ชัดเจนภายในเรื่องของกิเลสเรื่องของธรรมติดพันกัน มันก็รู้เป็นลำดับลำดาไป ไม่ถามใครนะ ภาคปฏิบัติเวลารู้เข้า ๆ มันจัง ๆ เข้าไปเลย ๆ เป็นอย่างนั้น เวลารู้เข้า ๆ เรื่อย ๆ ธรรมมากเท่าไรก็ยิ่งรู้เข้าไป ๆ ทีนี้พูดถึงเรื่องเป็นขั้นของธรรมนะ เพียงขั้นสมาธินี้เทศน์ออกได้ดี ๆ ธรรมะขั้นนี้ออกได้เต็มภูมิของขั้นนี้ ถ้าไม่มีอะไรเลยก็งู ๆ ปลา ๆ ว่าไปอย่างนั้นแหละ เอา ฟังให้ชัดนะ นี่ถอดออกจากหัวใจมาพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง เรียนก็เรียนมาแล้วก็มีแต่ปริยัติ ปฏิบัติยังไม่มี ผลของปฏิบัติไม่มี มันก็คว้าเอาตามคัมภีร์ใบลานมาเทศน์กินกล้วยหอมกล้วยไข่ไปเรื่อย ๆ อย่างนั้น

เวลามีภาคปฏิบัติเริ่มตั้งแต่สมาธิขึ้นมา จิตค่อยแน่นเข้า ออกแหละ ธรรมะออกในขั้นสมาธินี้ สมาธิดีเท่าไรธรรมะทางขั้นสมาธิยิ่งเต็มภูมิ ๆ ออกตามขั้น ๆ ไม่สูงกว่านั้นก็เต็มภูมิ พอถึงขั้นปัญญาไปแล้วไปอีกแง่หนึ่ง ๆ อีกชั้นหนึ่ง ๆ ไปเรื่อย ๆ ปัญญา ปัญญารวดเร็วเท่าไรคล่องแคล่วเท่าไรธรรมะยิ่งออกถ้าจะไปสอนโลกนะ นี่หมายถึงจะไปสอนโลก เวลาสอนก็เป็นอย่างนั้นว่างั้นเถอะ แต่ท่านไม่ได้สนใจสอนโลก เวลาสอนหากเป็นอย่างนั้น เวลาเปิดออกไปก็เป็นอย่างนั้น สำหรับท่านผู้ปฏิบัติในธรรมะขั้นเหล่านี้แล้วท่านไม่ค่อยจะสอนใครยิ่งกว่าสอนเจ้าของ หมุนติ้วอยู่กับเจ้าของตลอดเวลา เวลาจำเป็นที่เกี่ยวข้องกับประชาชนนี้ก็ออกเทศน์เสีย ก็เป็นเต็มภูมิของขั้นนั้น ๆ แห่งธรรมทั้งหลาย ถ้าจะออกขั้นไหนก็ออกไม่อัดไม่อั้นแหละ เรื่อย ๆ ไปตามขั้นของตัวเอง เป็นขั้น ๆ ไป

ทีนี้ฟาดให้มันขาดสะบั้นไปหมด ในสามแดนโลกธาตุนี้ว่างหมดไม่มีอะไรมาปิดบังธรรมได้ เอา เปิดออกหมดเลย ขั้นไหนจะมา นั่นฟังซิ ไม่ว่าแต่ธรรมดามนุษย์เรา เทวดาอินทร์พรหมมา โน่นฟังซิ มาขั้นไหนมันจะรู้ในตัวของมันเองต้อนรับกัน ไม่ต้องไปถามใคร เทวดาอินทร์พรหมขั้นไหนมามันก็รับกัน ๆ ทันที ๆ ไม่ต้องไปหา นี้จะหาธรรมะอะไรมาเทศน์พวกนี้ ไม่ต้อง เปิดออกน้ำจะออกทันทีเลย ขั้นไหนก็ตามพอไขก๊อกนี้ก็พุ่งออกเลย เวลาเต็มภูมิใจเป็นธรรม ธรรมเป็นใจอันเดียวกัน พูดไม่ถูกแล้ว เรียกว่าธรรมล้วน ๆ แล้วทีนี้เปิดเลย ถ้าถึงขั้นจะเปิดนี้พุ่งทีเดียวเลย คว่ำถังใส่กันเลย นั่นเห็นไหมล่ะ ธรรมะเป็นอย่างนั้น นี่ออกจากภาคปฏิบัติ ไม่ได้ออกจากภาคปริยัตินะ

ภาคปริยัติเรียนมาก็อย่างที่ว่านั่นแหละ วิ่งใส่คัมภีร์นั้นคัมภีร์นี้ ภาคปฏิบัตินี้หมุนเข้าจี๋ ๆ เลย พุ่งออกเรื่อย ๆ ถ้าสมควรแล้วที่จะออกได้ทุกขั้นทุกภูมิของธรรม อันนั้นก็ไม่ต้องบอก มันจะออกของมันไปเอง พุ่ง ๆ เอาไว้ไม่อยู่ ต้องพุ่งเลยเทียว รั้งไม่อยู่ ออกเลย เวลาควรที่จะออกแล้วยังไงก็ไม่อยู่ พุ่ง เวลาไม่ออก ดึงก็ไม่ออก เป็นอย่างนั้นนะ นี่ธรรมะพระพุทธเจ้า ไม่งั้นจะเรียกว่าเลิศโลกหรือ สถานที่ใดสูงต่ำขนาดไหน เทวดาอินทร์พรหมลงมานี้ราบไปหมดเลย ด้วยอำนาจของธรรมทั้งนั้น เรียกว่าแดนสมมุติพูดง่าย ๆ แดนสมมุติยกแต่ท้าวมหาพรหมลงมานี้ แดนสมมุติอยู่สุดนั้น ๆ แล้วก็พุ่งถึงนิพพาน ตั้งแต่ท้าวมหาพรหมลงมานี้ราบเสมอกันหมดเลย ไม่มีอะไรว่าสูงว่าต่ำพอจะไปกล้ากับอันนั้น จะไปกลัวกับอันนี้ จะไปขยะสิ่งนั้นไปขยะสิ่งนี้ กล้าหาญสิ่งนั้นสิ่งนี้ไม่มี

เหมือนอย่างเราจะพูดเทียบแบบโลก ๆ นะ แต่โลกมันมีแสลงหู แต่ธรรมไม่มี เอาความจริงเข้าว่า เหมือนฝ่าเท้าของเรานี้อะไรจะสูงกว่าฝ่าเท้า ที่ไหนมันเหยียบไปได้หมด เราเอาเพียงเท่านี้แหละ เอาหยาบ ๆ มาอุปมาเสียก่อน อะไรจะสูงขนาดไหน เท้ามันเหยียบหมดเลย เป็นอย่างนั้นนะ เหยียบไปได้สบาย ๆ ข้อเทียบ แต่ธรรมไม่ได้เป็นอย่างนี้ ไม่ได้หมายว่าสูงว่าต่ำ ไม่มี คือมันสูงกว่าทุกอย่างแล้วจะเอาอะไรมาเทียบ ความหมายก็ว่างั้น จึงไม่มีที่สูงที่ต่ำ สมาคมนั้นสมาคมนี้ สมาคมนั้นเขามียศถาบรรดาศักดิ์สูงต่ำ เขาเป็นเศรษฐี เป็นมหาเศรษฐี เขาเป็นเทวดา เขาเป็นมหาพรหม ไม่ได้มีเลย ว่านี่ท้าวมหาพรหมนะ ไม่มี นั่นละเทียบเอาซิ เป็นอย่างนั้นละ ธรรมะนี่ครอบหมดแล้ว คือไม่มีปัญหาแล้วกับธรรม ไม่มีอะไรมาขวางได้แล้ว

เพราะฉะนั้นที่ไหนเวลาเทศนาว่าการจึงให้เป็นไปตามสถานที่บุคคล สมควรที่จะได้รับประโยชน์มากน้อยเพียงไรเท่านั้นนะ ไม่ได้ว่าพวกนี้สูงพวกนั้นต่ำนะ ไม่มี สูงขนาดไหนสูงตั้งแต่ลมแต่แล้งแต่ลมปาก ตัวหัวใจมันยิ่งกว่าส้วมกว่าถานก็มีเยอะ นั่นเข้าใจไหม เพราะฉะนั้นเราจะเอาชื่อเอาเสียงเรียงนามอะไรมาพูดมาเทียบมาเคียงกันไม่ได้ ต้องเอาหัวใจ มีนิสัยหรือไม่มีนิสัย อุปนิสัยขนาดไหน หนาบางขนาดไหน นี้ละเทียบกับธรรม ท่านไม่ได้เอาสูงต่ำด้วยชื่อด้วยเสียงเรียงนามอะไรมาพูดนะ คนนั้นชั้นนั้น คนนี้ชั้นนี้ คนนั้นน่ากล้าคนนี้น่ากลัว ไม่มีในธรรมทั้งหลาย มีอยู่ในหัวใจของสัตว์ ควรจะสงเคราะห์ได้มากน้อยเพียงไรก็สงเคราะห์ ที่จะให้ว่าสูงกว่าธรรมนั้นไม่มีอีกแหละ ฟังซิน่ะ สงเคราะห์ไปตามนั้น ๆ

เพราะฉะนั้นการเทศนาว่าการจึงต้องเป็นไปตามสถานที่บุคคล ควรที่จะขนาดไหนก็ให้เป็นขนาดนั้น จะให้ดึงขึ้นก็ไม่ขึ้น อยู่อย่างนั้น ๆ ถ้ามีอะไรเหลื่อมล้ำต่ำสูงเข้าไปแล้วมันก็ค่อยก้าวไปเอง เหมือนไฟได้เชื้อค่อยลุกลามไป ๆ ถ้าควรจะถึงที่สุดวิมุตติพระนิพพานผึง ทางนี้ก็พุ่งเลย นั่น นี่ละธรรมอันนี้เหนือกว่าทุกอย่างแล้ว อุปนิสัยควรจะถึงก็ลากขึ้นเลย ๆ เป็นอย่างนั้น

เรายังมาสงสัยเรื่องศาสนาเรื่องธรรมอยู่เหรอ ธรรมพระพุทธเจ้า ยังมาสงสัยเรื่องบาปเรื่องบุญอยู่เหรอ ถ้าไม่อยากจมอย่าสงสัยนะ พระพุทธเจ้านี้เอกทุกอย่างแล้ว ไม่มีอะไรที่จะมาขัดแย้งในความจริงที่ทรงแสดงไว้แล้วได้เลย ว่าอันไหนคือรู้แล้วเห็นแล้วถึงนำมาพูด จะผิดไปไหน ถ้าลงได้เป็นในหัวใจแล้วไม่ได้ถามใครนะ เป็นเข้าในหัวใจแล้ว ใจเป็นธรรมเข้าไปแล้ว จนกระทั่งเป็นธรรมล้วน ๆ แล้วไม่ได้ถามใครทั้งนั้นแหละ เห็นไหมพระพุทธเจ้า พระสงฆ์สาวก พระพุทธเจ้าสอนโลกไปถามใคร พระสงฆ์สาวกตรัสรู้จากพระพุทธเจ้า เวลาสั่งสอนโลกท่านไปถามพระพุทธเจ้ามีที่ไหน ไม่มี พระสาวกองค์ใดเต็มภูมิของท่าน ๆ สอนเต็มภูมิของท่านไปเลย ๆ ท่านไม่ไปหาหยิบหายืมหาถามพระพุทธเจ้าก่อนที่จะมาสอนโลก ท่านไม่หา เป็นอยู่ในหัวใจของท่าน

การเทศนาว่าการต้องไปตามกาลสถานที่บุคคล จะให้เสมอกันหมดไม่ได้ หากเป็นอยู่ในตัวของมัน เครื่องรับเครื่องวัดกันมันมีอยู่ในนั้นไม่ต้องไปถามใคร รู้พอดิบพอดีตลอดเวลา พูดอย่างนี้ก็ยังไม่ลืมที่เจ้าคุณอุปัชฌาย์เรา ท่านไม่เคยได้ยินเราเทศน์อย่างนั้น เทศน์มามากต่อมาก ไปที่ไหนเอาแต่เราไปเทศน์นั่นแหละ ไปนครพนมนี้ ขึ้นเบื้องต้นขึ้นนครพนมก่อน อันนี้เทศน์ไปธรรมดาเรื่อย ๆ เขามาฟังก็มีเมียผู้ใหญ่ เมียอธิบดีศาลมาฟังเทศน์เรา พอเทศน์จบลงแล้ว ปุ๊บปั๊บคลานเข้ามาหาคุณวรรณดี ที่เป็นนายกพุทธสมาคม นิมนต์เราไปเทศน์งานฉลองตั้งรากตั้งฐานพุทธสมาคมที่นครพนม พอค่ำคนมามาก พอเจ้าคุณไปคนก็มามาก เขานิมนต์เราขึ้นเทศน์ ก็ท่านเจ้าคุณนั่นแหละให้เทศน์ ไปไหนมีแต่ท่านแหละให้เราเทศน์ ท่านไม่เทศน์ ถ้าเราไปท่านไม่มีเทศน์เลย มีแต่เรานั่นแหละเทศน์ เขามานิมนต์เทศน์ พอเทศน์จบลงแล้ว ยังไม่ลืมนะเทศน์ ชั่วโมงกับหนึ่งนาที เทศน์นี้ไหลไปเลย ไม่เหมือนทุกวันนี้ธาตุขันธ์

พอเทศน์จบลงแล้ว คุณนายอธิบดีศาลคลานเข้ามาหานายกสมาคม เอ๊ะ ท่านองค์นี้มาจากไหน ๆ เทศน์ทำไมแปลกเหลือเกิน ฟังแล้วทำไมมันเพลิน ๆ ตลอด เราฟังเทศน์มหาเปรียญ ๘ ประโยค ๙ ประโยค เคยฟังมาก็ธรรมดา ๆ แต่อาจารย์องค์นี้มาจากไหน ๆ มากระซิบถาม ทำไมเทศน์ถึงแปลกเอาเหลือเกิน จบแล้วยังไม่อยากให้จบ นี่ท่านจบเสียก่อน วันพรุ่งนี้จะนิมนต์ท่านเทศน์อีกว่างั้นนะ ถามเป็นใคร อาจารย์มหาบัว อาจารย์มหาบัวอย่างนี้ แต่ก่อนได้ยินแต่ชื่อท่าน นี่ได้เห็นองค์แล้ว โอ๋ ท่านเทศน์อย่างนี้

พอพรุ่งนี้เช้าฉันเสร็จนิมนต์อีก ไปขอท่านเจ้าคุณนิมนต์ท่านอาจารย์มหาบัวเทศน์อีก โอ๋ย ไม่ได้ ๆ วันนี้จะเอามหาบัวไปเทศน์ที่(อำเภอ) ท่าอุเทน ท่านว่าไม่ได้ ๆ วันนี้จะเอามหาบัวไปเทศน์ท่าอุเทน ตกลงไม่ให้จริง ๆ นะวันนั้นไม่ให้เลย นี่ละที่นี่ไปท่าอุเทน ท่านไม่เคยได้ยินเทศน์อย่างนั้นซี คนก็มาเต็ม ท่านก็อยู่อำเภอท่าอุเทน ท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์นี่ ท่านเป็นคนท่าอุเทน มาบวชตั้งแต่อายุเท่าไร ๑๑ - ๑๒ ปีมั้ง เป็นเณร เขาก็นิมนต์ไปเทศน์ ตอนนั้นกำลังเป็นบ้าบัตรบ้าเบอร์กัน อู๊ย ไปที่ไหนบ้าบัตรบ้าเบอร์เต็มแผ่นดิน ไปวันนั้นมีแต่นักบัตรนักเบอร์เต็มนั้น คุณวรรณดี ตั้งตรงจิตนี่แหละที่เป็นนายกพุทธสมาคมเป็นคนขับรถให้ ไปถึงแล้วพอถึงเวลาเทศน์ คุณวรรณดีแกเคยฟังธรรมะขั้นสูงของเรานี่นะ เคยฟังมาพอแล้ว วันนั้นแกจ้อคอยจะฟังธรรมะขั้นสูง ทางนั้นก็ไปอยู่ตามป่าไม้เรี่ยราดอยู่นี้ไป เทศน์ให้คนหัวเราะเสียจนจะตาย ฟังเสียงหัวเราะแตกลั่น ๆ อยู่ที่ศาลา เทศน์มีแบบตลกขบขันมีข้อเปรียบเทียบมีอะไร หัวเราะกันลั่น ๆ พวกนั้นเลยเพลินด้วยการหัวเราะ เทศน์ไปไหนก็ไม่ไป

ท่านเจ้าคุณอุปัชฌาย์นี้ก็หัวเราะเป็นบ้าอยู่ข้างหลังเรา ท่านนั่งข้างหลังเราเทศน์ข้างหน้า ทางโน้นก็หัวเราะท่านเจ้าคุณก็หัวเราะ หัวเราะจนจะเป็นจะตายจริง ๆ น้ำตาไหลหัวเราะตลอดเลย เราไม่ลืมนะ ๔๕ นาที เราก็เริ่มจะลง เขาบอกว่าขอฟังเทศน์อีกอย่าด่วนลงอย่าด่วนจบ กำลังสนุกดี เราก็เริ่มลงของเรา พอจบลงแล้วลงมาพวกนั้นยังหัวเราะกันลั่น ตั้งแต่ต้นเทศน์จบกระทั่งจบเทศน์มีแต่เรื่องตลกขบขันให้หัวเราะ คนหัวเราะกันลั่น พอลงมาแล้วมากราบพระประธานเสร็จแล้ว มองดูท่านเจ้าคุณยังหลับตาหัวเราะคิกแค็ก ๆ อยู่นั้น ยังไม่ลืมตา ยังหัวเราะลั่น พอจบแล้วก็มานั่ง พอลืมตาก็ เอ๊ มหาบัวเทศน์อย่างนี้ก็เป็น แล้วหัวเราะอยู่ตลอด มาในรถหัวเราะมาตามทางนะ มหาบัวเทศน์อย่างนี้ก็เป็น ท่านไม่เคยได้ยินเราเทศน์แบบนั้น ก็เทศน์ธรรมดาทั่ว ๆ ไป ในสถานที่นั่นเป็นยังไง ๆ ท่านก็ไม่รู้เรื่องของเราอีกใช่ไหมล่ะ เวลาเทศน์มันก็ออกแบบนั้น ตั้งแต่นั้นพอเจอหน้าปั๊บนี่ มหาบัวเทศน์อย่างนี้ก็เป็น หัวเราะกิ๊ก ๆ จนกระทั่งจากกัน เจอหน้าเป็นต้องว่าละ เอ๊ มหาบัวเทศน์อย่างนี้ก็เป็น ๆ อยู่อย่างนั้นจนกระทั่งท่านจากไป

นี่เราพูดถึงเรื่องเทศน์มันเอาแน่ไม่ได้นะ มันหากเป็นของมันนั่นแหละ เอาแน่ไม่ได้ ท่านเจ้าคุณหัวเราะจนจะตาย จากนั้นมาเลยให้ชื่อเราว่า เอ๊ มหาบัวเทศน์อย่างนี้ก็เป็น ๆ เรื่อย นั่นแหละมันเอาแน่ไม่ได้นะ

การเทศนาว่าการสำคัญอยู่ที่ธรรม ธรรมภายในหัวใจ ธรรมภาคปฏิบัติ ธรรมแท้ที่เกิดขึ้นจากภาคปฏิบัติแท้นี้คาดไม่ได้เลย ปริยัตินี้เป็นอีกอย่างหนึ่ง ท่านก็เรียนเราก็เรียนพอเข้าใจกันได้ แต่ธรรมะภาคปฏิบัติที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติล้วน ๆ นี้ โอ๋ย เอามาคาดไม่ได้เลย เป็นไปได้ทุกแบบทุกฉบับ พลิกได้ร้อยสันพันคม จึงเรียกว่าธรรมละซิ นี่แหละธรรมนี้ที่มีอยู่ในโลกเวลานี้ เรายังงมเงาไปเกาหมัดเกาหมาอยู่เหรอ บาปบุญนรกสวรรค์มีหรือไม่มี คลำหัวพระพุทธเจ้าลูบหัวพระพุทธเจ้าเล่น เทิดทูนกิเลสขึ้นมา เวลานี้โลกกำลังเทิดทูนกิเลสนะ อะไร ๆ ถ้าเป็นเรื่องของกิเลสนี้ออกหน้าออกตา ๆ มองดูแล้วจนสลดสังเวช

เพราะฉะนั้นไปที่ไหนเราจึงไม่เว้นที่จะเทศน์เรื่องจิตใจ ที่มันเพลินเกินเนื้อเกินตัว เพลินกับกิเลส ไปที่ไหนเหมือนกันหมด การเทศนาว่าการจะต้องดึงเข้ามาสู่ธรรมเพื่อความสงบเย็นใจ จะได้เห็นอันนี้ออกส่องดูกิเลสเป็นยังไง กิเลสเป็นตัวภัยหนักเบาขนาดไหน เวลาธรรมไม่เกิดไม่เห็น มันเอาจนจมลงก็ไม่เห็น จมลงนรกกี่กัปกี่กัลป์มาแล้วฟื้นขึ้นมายังว่านรกไม่มี เห็นไหมกิเลสเอาคน มันลบไว้หมดลบไม่ให้เห็น ร่องรอยที่เคยเป็นมาไม่ให้เห็น เพราะฉะนั้นจึงให้อบรมจิตใจ เมื่อจิตใจปรากฏธรรมขึ้นมาแล้ว ความสว่างจะขึ้นมาแล้วมันจะรู้เห็นไปเรื่อย ๆ ทุกสิ่งทุกอย่างจะรู้เห็น นรกอเวจีปิดไม่อยู่ พระพุทธเจ้าเปิดแล้วถึงมาสอนโลก นั่นเห็นไหม ก็เปิดมาสอนโลก สอนโลกก็เพื่อให้เห็น สิ่งที่มีอยู่มันจะไปไหน ถ้าดำเนินตามที่ท่านสอนไว้แล้วก็ผาง ตรงไปเลยยอมรับ ๆ นั่นเป็นอย่างนั้นนะ

พระพุทธเจ้าสอนธรรมทุกบททุกบาทไม่ได้สอนธรรมหลอกลวงโลก สอนธรรมด้วยความรู้จริงเห็นจริงมาแล้วค่อยมาสอน สอนก็สอนเพื่อให้รู้สิ่งเหล่านั้นทั้งภายนอกภายใน ภายนอกก็คือสิ่งเกี่ยวข้อง เช่น บาปบุญ นรกสวรรค์ พรหมโลก นิพพาน เรียกว่านอกจากจิตเกี่ยวโยงกันไป ภายในก็ได้แก่กิเลส แก้กิเลสออก ตัวนี้ตัวปิดบัง ๆ แก้ออก ๆ แก้ตัวนี้ออกได้มากเท่าไรก็ยิ่งเปิดกระจ่างออก ๆ เมื่อกระจ่างออกไปสิ่งใดที่มีอยู่ยังไงมันก็เห็นตามสิ่งที่มีที่เป็น มีมากี่กัปกี่กัลป์มันก็รู้กันหมด นั่น แล้วจะไปลบล้างยังไงว่าธรรมเหล่านี้ไม่มี ถ้าลบล้างสิ่งเหล่านี้ไม่มี ก็ลบล้างพระพุทธเจ้าซิว่า พระพุทธเจ้าไม่มี ทีนี้ลบล้างได้ยังไงพระพุทธเจ้าเป็นศาสดาเอกมาสอนโลกเพื่อความรู้แจ้งเห็นจริง เราจะมาทำเหยาะ ๆ แหยะ ๆ อยู่เฉย ๆ เวลาไหนก็มีตั้งแต่ให้กิเลสพันจมูกพันคอ โอ๊ย มันสลดสังเวชนะพูดจริง ๆ มันหนาขนาดนั้นเวลานี้มนุษย์เรา ยิ่งหนาขึ้นทุกวัน

นี่ละเอาธรรมจับกิเลสจับอย่างนี้ ให้ท่านทั้งหลายฟัง ทุกคนมีแต่กิเลสพันคอทั้งนั้น เปิดธรรมเข้าไปให้ไปแก้กิเลสในตัวเอง อย่าไปผูกมัดเพิ่มเติมเข้าอีกนะ ถ้าไม่เชื่อพระพุทธเจ้านั้นแหละเป็นการผูกมัดเข้าไปอีก ถ้าเชื่อพระพุทธเจ้าก็เรียกว่าคลี่คลายออก ๆ หนักเอาเบาสู้ ไม่ถอย พระพุทธเจ้าสอนว่ายังไง พระพุทธเจ้าไม่เคยต้มตุ๋นโลกให้ล่มให้จม แต่กิเลสต้มตลอด ตั้งแต่ปู่ย่าตายายโคตรแซ่ของกิเลสทั้งหมดมีแต่โคตรต้มสัตวโลกทั้งนั้น ธรรมพระพุทธเจ้าไม่มี ศาสดาองค์ใดก็ไม่เคยมี สอนแบบเดียวกันหมด ฉุดลากออก ๆ ให้พากันตั้งใจปฏิบัตินะ

นี่เราก็ยิ่งแก่ลงไปทุกวัน ๆ ความห่วงใยโลกยิ่งหนักขึ้น แทนที่เราจะเป็นห่วงเป็นใยธาตุขันธ์ของเรา เราไม่มี เราบอกจริง ๆ ไปเมื่อไรเราไปได้ตลอดเวลา ไม่เคยเสียดายอะไรในสิ่งนี้ ประสาสมมุติแน่ะ มีแต่ประโยชน์ที่จะให้โลกได้รับนั้นมีมากน้อยเพียงไรเราวิตกวิจารณ์ตอนนี้ เวลานี้กำลังหนาแน่นมากขึ้นทุกที ๆ ศาสนาจะไม่มีนะ จำให้ดีคำนี้ จะไม่มีศาสนา มีตั้งแต่เรื่องเดียวกันหมด ออกมาจากเมืองนอกเมืองนาเอามาหลอกกันต้มตุ๋นกัน ไอ้พวกคนโง่ก็เชื่อง่าย เขาว่าอะไรคว้ามับ ๆ ถ้าเป็นสิ่งไม่ดี ถ้าเป็นสารประโยชน์ไม่สนใจ นี้ละสำคัญตรงนี้ เวลานี้คละเคล้ากันด้วยกิเลสต่อกิเลสคละเคล้ากัน มันก็เป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาในหัวใจของสัตวโลกนั่นแหละ อะไรที่จะรู้เนื้อรู้ตัว อันนี้จริงไม่จริง คัดเลือกเสียก่อนค่อยรับค่อยเอาไม่มี คว้ามับ ๆ

ความเชื่อมันฝังลึก เชื่อกิเลสฝังลึกมาก เชื่อธรรมไม่ค่อยมี มีนิด ๆ หน่อย ๆ จนกระทั่งธรรมเข้าถึงใจความเชื่อธรรมจะหนักเข้า ๆ ความเชื่อกิเลสสิ่งที่เป็นฟืนเป็นไฟทั้งหลายนี้จะค่อยจางไป ๆ ทางนี้หนักเข้า ๆ ทางนั้นจางออก ๆ ทางนี้ขับออก ๆ ทีนี้มองไปที่ไหนเห็นแต่เป็นภัยทั้งหมด แต่ก่อนมีแต่เป็นคุณหลอกได้ตลอดนะ พอจิตสว่างเข้าไปเท่าไรเห็นกิเลสเป็นภัย เห็นเป็นภัยหนักเข้า ๆ สุดท้ายอยู่ไม่ได้ อย่างที่เคยเทศน์ให้ฟังในเรื่องความเพียรที่เป็นอัตโนมัติ ความเพียรกล้าเป็นอัตโนมัติคือเห็นภัยของกิเลส เห็นจนขนาดจะอยู่ด้วยกันไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ยังไงต้องตาย ไม่พ้นต้องตายเท่านั้น ฝืนจากกิเลส ให้ตายเอาขั้นตายว่าเลย

คุณค่าของธรรมกับโทษของกิเลสมันเท่ากัน อยู่ในหัวใจดวงเดียวกันนี้ เห็นโทษของกิเลสก็เห็นอย่างถึงใจ เห็นคุณค่าของธรรมก็เห็นอย่างถึงใจ ทางนี้ก็ลากขึ้น ทางนั้นก็ตามเหนี่ยว กิเลสตามเหนี่ยวทางนี้ลากขึ้น แต่จิตของเราที่เป็นธรรมมันก็บืนตามพระพุทธเจ้า บืนตามธรรมจึงว่าประหนึ่ง นิพพานอยู่ชั่วเอื้อม ๆ ความเลิศเลอก็อยู่ต่อหน้านี้ สิ่งที่เป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ก็ตามหลังกันมา มันเห็นกันชัด ๆ ๆ เมื่อเทียบเคียงแล้ว เพราะฉะนั้นความเพียรของท่านผู้ที่เห็นแจ้ง ในเรื่องความทุกข์ความทรมานทั้งหลายว่าเป็นโทษเป็นภัยจริง ๆ กับผู้เห็นคุณค่าของธรรมว่าเป็นคุณค่าจริง ๆ แล้ว อยู่ไม่ได้ นี่ละที่ท่านได้แสดงไว้ในธรรมว่า ความเพียรกล้า ๆ คือไม่รู้จักเป็นจักตาย ไม่รู้จักหลับจักนอน หมุนติ้วที่จะออกโดยถ่ายเดียว นี่คือความเห็นโทษของกิเลสมาก นั่นล่ะเห็นอย่างนี้ละ

แต่ก่อนเห็นเมื่อไร เวลาได้เห็นแล้วด้วยอำนาจของธรรมส่องให้เห็น มันจะอยู่ได้ยังไง มันก็หมุนติ้ว ๆ ๆ ล่ะซิ นี่ละความเพียรกล้า ดังที่กล่าวไว้ว่า พระโสณะ ท่านประกอบความเพียรจนฝ่าเท้าแตกฟังซิน่ะ นี้ละในตำรา เราอ่านแต่ก่อนอ่านไปตามตำราก็ไม่ถึงใจ ท่านเดินจงกรมทำความเพียรจนฝ่าเท้าแตก ทีนี้เวลาเราปฏิบัติไปพอรับกันแล้วไม่ต้องถามใครนะ ปฏิบัติไป ๆ พอถึงขั้นของธรรมที่เป็นสติปัญญาอัตโนมัติ ความเพียรเป็นอัตโนมัติแล้วทีนี้เอาไว้ไม่อยู่เลย หมุนติ้ว ๆ เรื่อยไม่มีวันมีคืน หลับนอนไม่สนใจเลย จะให้หลับไม่หลับมันหมุนติ้ว ๆ ใส่งานใหญ่ของมัน ที่จะรื้อตนออกจากวัฏจักร

ทีนี้ถึงขนาดนั้นแล้ว ลงเดินจงกรมนี้ถ้าลงได้ก้าวลงไปเดินจงกรมแล้วไม่รู้จักหยุดจักยั้งน่ะ จนกระทั่งเวลา เช่น เวลาปัดกวาด ฉันจังหันเสร็จแล้วลงเดินจงกรม นานขนาดไหนฟังซิ มันรู้เมื่อไรว่าเช้าสายบ่ายเย็นที่ไหน มีแต่กิเลสกับธรรมฟัดกันอยู่ภายในใจหมุนติ้ว ๆ นี่ถ้าเป็นนักมวยก็เรียกว่าเข้าวงใน ไม่รู้จักเป็นจักตาย นักมวยเข้าวงในกันเป็นอย่างนั้น อันนี้กิเลสกับธรรมเข้าวงในกันก็แบบเดียวกัน วงนี้วงจะออกจากทุกข์แล้วนี่ หมุนติ้ว ๆ เดินจงกรมตั้งแต่ฉันจังหันเสร็จแล้วจนกระทั่งถึงเวลาปัดกวาด ถึงด้อม ๆ มาจากทางจงกรม วันนี้ก็เดิน คืนนี้ก็เดิน วันหน้าก็เดิน คืนหน้าก็เดิน เดินไม่หยุดไม่ถอยฟัดกับกิเลส จนกระทั่งกิเลสขาดสะบั้นลงเมื่อไรถึงจะหยุดได้ แล้วมันมีเวลากี่วันกี่ปีกี่เดือน นั่นฟังซิน่ะ เดินอยู่อย่างนั้นตลอด

ถ้าลงได้เดินก็ไม่รู้จักหยุด ถ้าได้นั่งก็เอา ไม่รู้จักเคลื่อนจักไหวเพราะทางภายในมันไม่ได้ออก มันหมุนของมันอยู่ภายใน นี่ละฝ่าเท้าถึงแตกเพราะเดินไม่หยุด วันนี้ก็เดินวันหน้าก็เดิน เดินหลายวันหลายคืนมันก็แตกล่ะซิ ทีนี้มาพิจารณาถึงเรื่องความเพียรที่มันเป็น ยกออกมาให้พี่น้องทั้งหลายฟัง พูดเล่น ๆ เมื่อไรสอนโลก เวลามันได้เป็นอย่างนั้นเรายอมรับทีเดียว โอ้โห.ท่านเดินจงกรมฝ่าเท้าแตก ฝ่าเท้าแตกเพราะเหตุนี้เอง ถ้าธรรมดาเราบังคับบัญชาเราเดินจงกรมจนฝ่าเท้าแตก ร้อยทั้งร้อย พันทั้งพันเรายังไม่อยากเชื่อนะ แต่พอก้าวเข้าถึงขั้นความเพียรอัตโนมัติ สติปัญญาอัตโนมัตินี้แล้วเชื่อทันทีเลย นี่ลงเดินจงกรมก็เหมือนกัน มันได้เห็นแล้วนี่ ถ้าลงได้เดินแล้วไม่รู้เวล่ำเวลา เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า หิวโหยอะไรไม่เคยสนใจเลย น้ำท่าไม่ได้สนใจ

อะไรไม่ได้สนใจทั้งนั้นเลย มีแต่หมุนติ้วอยู่ภายใน ๆ ๆ วันนี้ก็เป็นอย่างนี้ กลางคืนก็เป็นอย่างนี้ ถ้าว่านั่งก็ไม่รู้จักลุก ถ้าว่าเดินก็ไม่รู้จักหยุด ทำอะไรเป็นอันว่าคือมันหมุนอยู่ภายในมันไม่ออกข้างนอก เรื่องที่ว่าร้อนว่าหนาวว่าชุ่มว่าเย็นว่าหิวกระหาย อย่าเอามายุ่งเลยอยู่ภายนอก อันนี้อยู่ภายในไม่สนใจกับอะไรทั้งนั้น มันจะร้อนแผดขนาดไหนแดด ไม่ได้สนใจนะ ไม่มีคำว่าร้อน กิเลสกับธรรมฟัดกันอยู่ภายในอันนี้หมุนติ้ว ๆ มันจะออกไปอะไรหาดินฟ้าอากาศล่ะ นั่นละทีนี้ยอมทันที อ๋อ.ท่านเดินจงกรมฝ่าเท้าแตก ยอมรับทันที อ๋อ.เดินแบบนี้เองเดินฝ่าเท้าแตก

เราเองฝ่าเท้าไม่แตก แต่ได้เอามาดูจริง ๆ มันลืมเมื่อไร พอมานั่งหยุดพักเดินจงกรม ฝ่าเท้านี้เหมือนไฟลนนะ ออกร้อนวูบ ๆ ๆ โอ้โห. ทำไมฝ่าเท้าเราจึงเป็นอย่างนี้ พลิกออกมาก็มาดูหรือฝ่าเท้าแตกหรือยังไง มาดู ไม่แตก แต่เวลาเอามือลูบ ๆ มันเสียวแปลบ ๆ ๆ นี่จวนจะทะลุแล้วนะ ฝ่าเท้ามันทะลุถึงเนื้อเข้าใจไหม หนังเรานี่เดินนานเข้ามันบางเข้า ๆ มันทะลุจะถึงเนื้อ เรามาลูบดูฝ่าเท้าเรานี้มันก็ไม่แตก หรือมันฝ่าเท้าแตกทำไมอันออกร้อนหนักหนา มาดูมันไม่แตก แล้วเอามือลูบดู โอ๊ย.เสียวแปลบ ๆ ออกร้อน นี่ถ้านานกว่านี้จะแตก นี่จับได้ตรงนี้ เราฝ่าเท้าไม่แตก แต่ว่าจะแตก ถ้านานกว่านี้ไปแตกแน่ ๆ

นี่ละเรื่องของความเพียรของผู้ที่เห็นภัยในวัฏสงสาร ไม่ต้องมีใครบอกนะ เป็นอยู่ในหัวใจนี้แล้วยังไงก็ไม่อยู่ ตายก็ให้ไปเลย ที่จะมาถอยให้กิเลสบีบคั้นอย่างแต่ก่อนถอยไม่ได้แล้ว นั่นเห็นโทษขนาดไหน ถึงว่าถอยไม่ได้แล้ว ต้องเอาตายเข้าว่าเลย ถึงธรรมขั้นที่กระจ่างแจ้งจะให้หลุดพ้นโดยถ่ายเดียวแล้วจะอยู่ไม่ได้เลย ต้องหลุดโดยถ่ายเดียว ไม่หลุดก็เอ้า.ตายให้ถอยให้ยกมือไหว้ไม่มี เอาตายเข้าว่าเลย นี่ละธรรมเมื่อเวลาเข้าถึงใจไม่มีอะไรเลิศยิ่งกว่าธรรมเข้าถึงใจ พระพุทธเจ้าจึงได้สอนว่า โลกุตรธรรม ๆ คือธรรมเหนือโลก เหนือสมมุติทุกอย่าง ไม่มีอะไรเกินธรรม ถ้าลงได้เข้าถึงใจ เข้าถึงใจใครก็ตามเถอะไม่ว่าหญิงว่าชาย เพราะจิตใจไม่มีเพศ ไม่มีความตาย ป่าช้าของจิตไม่มี หลุดพ้นแล้วก็เป็นธรรมธาตุ

เวลาไม่หลุดพ้นก็จมอยู่ตามบุญตามกรรมของตนก็ไม่ฉิบหาย ตกนรกหมกไหม้กี่กัปกี่กัลป์ฟื้นขึ้นมาก็ไม่ฉิบหาย แต่เรื่องความทุกข์ขนาดไหนยอมรับว่าทุกข์แต่ไม่ฉิบหายก็คือใจ ทีนี้เวลาพ้นจากสิ่งเหล่านี้แล้วดีดผึงเป็นธรรมธาตุ ถึงนิพพานสด ๆ ร้อน ๆ แล้ว นั่นเป็นธรรมธาตุ อมตธรรมไม่ตายอีก นี่ละที่ว่าธรรมครองโลกคือธรรมชาติอันนี้ละ พากันจำเอาทุกคน ๆ อย่าไปนอนอยู่กับมันเพลินบ้ากันอยู่นะ เอาละวันนี้ เทศน์เพียงเท่านี้

เปิดดูข้อมูล วันต่อวัน ทันต่อเหตุการณ์ หลวงตาเทศน์ถึงเรื่องอะไร ทาง internet

www.luangta.com


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก