|
/body onLoad="MM_preloadImages('../images/link_2_6_a.gif')">
/SCRIPT LANGUAGE="javascript1.1" page="dhamma_online";
/SCRIPT LANGUAGE="javascript1.1" src="http://truehits1.gits.net.th/data/e0008481.js">
|
|
|
พระวินัยเป็นรั้วกั้น ธรรมเป็นทางเดิน |
|
วันที่ 1 พฤศจิกายน 2545
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด |
| | ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
| |
ค้นหา :
พระวินัยเป็นรั้วกั้น ธรรมเป็นทางเดิน
เมื่อวานนี้ทองคำไม่ได้ ดอลลาร์ได้ ๔๐ ดอลล์ กฐินทองคำได้ ๘ กอง กฐินเงินสดได้ ๒๖ กอง รวมเป็น ๓๔ กอง กฐินทองคำ ๘๔,๐๐๐ กองนั้น กฐินทองคำได้ ๒๔,๘๓๔ กอง เท่ากับ ๙๔ กิโล ๒๓ บาท กฐินเงินสดและเช็คได้ ๕๘,๕๐๙ กอง เท่ากับเงินสด ๙๓,๖๑๔,๔๐๐ บาท รวมกฐินทองคำทั้งหมดได้ ๘๓,๓๔๓ กอง ยังขาดอยู่อีก ๖๕๗ กอง ทองคำที่นำเข้าโรงหลอมแล้วเวลานี้ได้ ๓๒๔ กิโล ๒๙ บาท ๓๐ สตางค์
อย่างไรก็ตามเรื่องทองคำ ๕๐๐ กิโลนี้ต้องให้ได้แน่นอน หากว่าขาดเท่าไรเราจะสั่งให้ทางโรงหลอมเอามาเพิ่มให้เลยแล้วค่อยพิจารณาทีหลัง ขาดเท่าไรจะให้เอากับโรงหลอมเลยเทียว ให้โรงหลอมเอามาเพิ่มให้เต็มจำนวนที่เราต้องการแล้วค่อยพิจารณาทีหลัง ตอนนี้เราเพียงคิดไว้อย่างนั้น คิดว่าจะพออยู่
เมื่อเช้านกยูงมานี้ ๕ ตัว เขามาตามประสาของเขาแบบเฉยเลยนะ เขาไม่สนใจกับพระ ไม่มีคำว่ากลัวเลย เขาจะไปไหนเขาก็ไป มาเป็นฝูงเลย ๕ ตัว บางทีก็เดินเข้าไปทางจงกรมของเรา เขาไปครบคณะของเขาเหมือนกัน ดูว่าผ่านไปทางนู้น น่าจะไปทางสระแล้วเข้าในครัว หากินไปอย่างนี้ ตอนบ่ายมาอีกนะ เขาไปเที่ยวครัวแล้วค่อยออกมาข้าง ๆ ริมสระ นาน ๆ เขาจะมาทีหนึ่ง ส่วนมากเขาอยู่ทางทิศใต้และตะวันตกเฉียงใต้ มันโล่ง คือนกยูงไม่ชอบดงทึบนัก เขาจะชอบอยู่พวกดงแกมโคก หรือดงก็ไม่ให้ดงทึบมากเกินไป ถ้าดงทึบจริง ๆ เขาก็ไม่ชอบ ทางนี้เป็นดง ทางโน่นโล่ง ๆ เขาชอบอยู่
เราไปอยู่ในป่าในเขาถึงรู้ชัดว่านกยูงมีมาก หมายถึงสมัยนั้นนะ นกยูงไม่แสดงตัวไม่เห็นง่าย ๆ นะ เราอยู่ในป่ากับเขาอย่างนั้นก็ไม่เคยเจอเขาทีละมาก ๆ เจอทีละตัวสองตัว เจอทีไรก็เรียกว่าเขาเห็นเราแล้ว เขาวิ่ง เราถึงรู้ อ๋อ นกยูงวิ่งผ่าน จะให้เราไปเจอเขาก่อนนี้ไม่มีแหละ นกยูงตาดีมากทีเดียว โน่น กลางคืนเขาขันยามเหมือนไก่นี่ อยู่บนถ้ำก็มี เราก็ไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่นั่น เพราะเขาไม่ค่อยออกแสดงตัวให้เห็น แต่กลางคืนเวลาเขาร้อง เหมือนไก่ขันยาม พอตัวหนึ่งขึ้นแล้ว ตัวสองสามขึ้น ๆ ทางนั้นก็ขึ้น ภูเขาลูกไหนรอบนั้นขึ้นหมดเลย ขึ้นเป็นระยะ ๆ พร้อม ๆ กันเหมือนไก่ขันยาม ถึงรู้ว่านกยูงมากจริง ๆ
แม้เช่นนั้นเราก็ไม่ได้เจอเขาง่าย ๆ นะ อย่างมากก็ตัวหนึ่งสองตัว เจออย่างนั้นเจออยู่บ่อยแหละ เพราะไปอยู่ในป่าเขา เวลาออกบิณฑบาตบ้าง เวลาเราเที่ยวบนหลังเขาบ้างเวลากลางวัน มักจะเจอ เขาหากินตามธรรมดา พอเห็นเราเดินผ่านบนหลังเขา เขาวิ่งตัดหน้าบ้างอะไรบ้างทีละตัวสองตัว กับไปบิณฑบาตเขาก็วิ่งตัดหน้า ที่จะให้เรามองเห็นเขาหากิน โอ๋ย ไม่เคยมี เพราะเขาตาดีมาก นกยูงนี้ตาดีมากทีเดียว กลางคืนเวลาร้อง โอ๊ย เต็มไปหมดเลย เขาร้องกลางคืนเหมือนไก่ขันยาม เราอยู่ทางใต้ไม่รู้ว่าเขาอยู่ข้างบนเต็มไปหมด
นั่นละพระในครั้งพุทธกาล คือสมัยพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ ท่านเที่ยวตามป่าตามเขาอย่างนั้น ไม่ได้ออกมาเพ่นพ่านตามตลาดตเลหากระดูกหมูกระดูกวัวอย่างพระพวกเราปัจจุบันนี้ นี้มันจุ้นจ้านดูไม่ได้นะ พูดจริง ๆ อย่างนี้ ผิดไหมภาษาธรรม นี่ละฟังซิภาษาธรรมจะพูดอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมร้อยสันพันคมเหมือนกิเลส พูดอย่างนี้กิเลสมันจะออกนะ หาว่าดูถูกเหยียดหยาม นั่นเห็นไหมล่ะ ความจริงเป็นอย่างนี้ อันนั้นตัวทำลาย ไปแตะไม่ได้นะ ไปแตะมันแผ่พังพานขึ้นมา กิเลสชอบแผ่พังพานตลอด ธรรมะนี้พูดอย่างตรงไปตรงมา เป็นอย่างนี้มาตั้งกัปตั้งกัลป์ขอให้พี่น้องทั้งหลายทราบ
เวลานี้ก็มีธรรมะหลวงตาบัวเท่านั้นที่เริ่มออก ไม่ได้เต็มสัดเต็มส่วนอะไรมากนัก แต่ก็ผิดจากทั้งหลายที่พูดที่จาเทศนาว่าการกันมาในเรื่องของธรรม เราก็ไม่ได้หย่อนลงหมดนะ ออกมาเพียงเท่านั้นกิเลสฮือฮา ๆ เป็นบ้ากัน ตามเห่าตามกัด เห่าก็เห่าขึ้นฟ้า ตัวที่เห่ามันก็อยู่ในถังขยะมันเห่าขึ้นฟ้า เห่าฟ้ามันมีความหมายอะไร หมาเห่าฟ้า ฟังซิ อยู่ในถังขยะมันเห่าฟ้าไม่มีความหมายอะไร มันเห่าของมันอย่างนั้น นี่เป็นนิสัยของกิเลสไม่ยอมตัว คือกิเลสจะไม่ยอมตัวเลย แม้ที่สุดไปติดคุกติดตะราง เวลาไปถาม เป็นยังไงถึงมาติดคุก เขาหาว่า นั่นเห็นไหมล่ะ เขาหาแล้ว แล้วจ้อเข้าไปอีก แล้วความจริงเป็นอย่างไรล่ะ เป็นจริง ๆ ละครับ แน่ะฟังซิ
นี่นิสัยของกิเลส นิสัยของโลก ในสามแดนโลกธาตุเอาภาษามนุษย์ที่รู้เรื่องกันนี้พูด ต้องเป็นแบบเดียวกัน เพราะออกมาจากกิเลสเดียวกัน นี่ภาษาธรรม ถ้าเป็นภาคความจำที่เรียนมาก็วิ่งตามกิเลส เขาพูดยังไง ๆ ก็ต้องเป็นไปอย่างนั้น โมกโขโลกนะ ๆ เห็นแก่หน้าแก่ตา เกรงกันอย่างนั้นอย่างนี้ ก็เกรงกิเลสนั้นแหละ เพราะกิเลสมีอำนาจมาก ควรจะเกรงมันเพราะมันเป็นนายเรา มันเป็นอย่างนั้นทั่วดินแดน แต่เรื่องธรรมนี้ คำว่าธรรมความจำ คือเราไปเรียนมาจากคัมภีร์ใบลาน หรือได้ยินจากครูอาจารย์มาก็ตาม แต่ยังเป็นเพียงความจำ ผลจากการปฏิบัติของเรายังไม่มีเพราะยังไม่ปฏิบัติ ภาษาทุกอย่าง แม้แต่เรียนธรรมก็ยังต้องเป็นภาษาของกิเลสออกมาใช้แบบโลกเขา แบบโลกก็โลกกิเลส โลกคลังกิเลส
ถ้าเป็นภาษาของธรรมแท้จะไม่เป็น ภาษาของธรรมแท้คือถอดออกมาจากความจริง ๆ ธรรมเป็นความจริงล้วน ๆ ร้อยเปอร์เซ็นต์ กิเลสเป็นความจอมปลอมล้วน ๆ ร้อยเปอร์เซ็นต์ อยู่คนละฝั่ง ฝั่งนี้เป็นฝั่งธรรมคือความจริงล้วน ๆ ฝั่งนี้เป็นฝั่งกิเลส คือความจอมปลอมหลอกลวงต้มตุ๋นล้วน ๆ นี่มันรบกัน อยู่คนละฝั่ง ตรงกลางคือหัวใจ ถ้าว่าเป็นน้ำก็เป็นคลอง ฝั่งคลองทางนี้คือธรรม ฝั่งคลองทางนี้คือกิเลส ตรงกลางนี้คือคลอง รวมแล้วก็เรียกว่าทางด้านนี้คือกิเลส ด้านนี้คือธรรม ออกจากใจดวงเดียวกัน อยู่ที่ใจดวงเดียวกัน
เวลาธรรมกับกิเลสรบกัน ใจจึงได้รับความกระทบกระเทือน ถ้าไม่มีธรรมรบกับกิเลส มีแต่กิเลสก็ย่ำยีตีแหลก ยิ่งทุกข์ลำบากมาก พี่น้องทั้งหลายจำเอาเสีย เราจวนจะตายแล้วเปิดให้พี่น้องทั้งหลายฟังอย่างไม่สะทกสะท้านกับถังขยะในสามแดนโลกธาตุนี้ เราพูดจริง ๆ เราไม่มีอะไรเราก็บอกไม่มี แม้ใครจะมาโจมตีเท่าไรมันก็โจมตีตัวมันเอง เราไม่มีอะไรที่จะให้ถูกให้กระทบกระเทือน ตัวมันเองออกจากความคิด ความคิดเช่นเป็นความผิดนี้ เริ่มคิดมาผิด ออกจากปากก็ผิดเพื่อเข้าตัวเอง แล้วให้หูอื่นหูใดฟังก็กระทบกระเทือนไปตาม ๆ กันหมด เรื่องกิเลสจะระบาดเป็นฟืนเป็นไฟไปตาม ๆ กัน ไม่ได้ไปติดผู้ไม่เป็นนี่นะ เช่นเขาว่าชั่ว ผู้นั้นไม่ชั่วจะไปติดยังไง ความชั่วก็ติดอยู่กับผู้นี้เสีย หาเรื่อง แน่ะเป็นอย่างนั้น
เราพูดจริง ๆ เราจวนจะตายแล้วพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง จะไม่มีใครพูดอย่างนี้ว่างั้นเลย เราจึงไม่เคยสะทกสะท้านในสามแดนโลกธาตุนี่ ใครจะโจมตีตำหนิติเตียนอะไร มันก็เป็นถังขยะไปหมด คือสมมุติเท่านั้นพอ วิมุตติกับสมมุติต่างกันยังไง มันจะเข้าถึงกันได้ยังไง พูดง่าย ๆ ว่าอย่างนั้น ไม่มีอะไรกระทบกระเทือนก็คือธรรมแท้ วิมุตติธรรม ธรรมธาตุ ใครครองอันนี้ไว้จะไม่มีอะไรเข้าไปเกี่ยวเลย จะยกทัพกันมาสามแดนโลกธาตุมาโจมตี ก็มีแต่ปากของผู้ที่ยกมานี้ แล้วก็กระเทือนตัวเอง ทำลายตัวเองไปตลอด อันนั้นไม่มี เข้าไม่ถึง จึงเรียกว่าหมาเห่าฟ้า เห่าว้อก ๆ เห่าเท่าไรก็มาเข้าเนื้อเจ้าของ ๆ
เพราะคำว่า กมฺมสฺสโกมฺหิ กรรมเป็นของของตน นั่นฟังซิน่ะ ใครจะทำดีทำชั่วเป็นของตนทั้งนั้น ๆ ไม่เป็นของผู้ใด เมื่อทำลงไปเป็นชั่วก็เป็นของตัว ๆ ถ้าดีก็เป็นของตัว ๆ ถ้าท่านผ่านหมดทั้งดีทั้งชั่ว ผ่านหมดแล้วบรรดาสมมุติ จะไม่มีอะไรเข้าไปถึงเลย นั่นเรียกว่าเลยแดนสมมุติไปเรียบร้อยแล้ว เรียกว่า แดนวิมุตติ หรือแดนพระนิพพาน พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ท่านเป็นอย่างนั้น เป็นหลักธรรมชาติ ไม่ต้องไปถามใคร รู้ในหัวใจซึ่งเป็นนักรู้นั่นแหละ นี่เรียกว่าภาคความจริงที่พูดนี่ พูดมาจากภาคความจำ แม้จะเรียนในตำรับตำราออกมา ก็ไม่พ้นกิเลสที่จะเข้าไปเป็นเจ้าของ แล้วบงการให้พูดไปยังไง ๆ มันก็เป็นในหลักธรรมชาติของมัน มันก็แบบโลกเรา เรียนธรรม เวลาพูดก็พูดแบบกิเลสนั้นแหละ เกรงอกเกรงใจ
คำว่าเกรงอกเกรงใจกัน ก็คือต่างคนต่างใจมีกิเลสเหมือนกันหมด กระทบกระเทือน แล้วก็ติดเขาติดเรา เกรงเขาเกรงเรา ติดเขาติดเราแล้วก้าวไม่ออก เพราะล้อมอยู่ด้วยกิเลสตัวเราตัวเขา ตัวติดเขาติดเรา มันก็ต้องวิ่งไปตามวงของกิเลสอยู่ตลอดวันยังค่ำตั้งกัปตั้งกัลป์ กิริยาอาการทุกอย่างจะไม่นอกออกจากนี้ไปได้เลย จะอยู่ในวงนี้ เพราะฉะนั้นการแสดงออก จะให้แสดงออกอะไร จะตำหนิใคร ก็มันมีอย่างนี้ก็ต้องแสดงออกมาอย่างนี้ ทีนี้เวลามีอย่างนั้นแล้วก็ต้องแสดงอย่างนั้นอีก มันก็มีคนละแง่ ๆ ถ้าเป็นเรื่องธรรมล้วน ๆ ท่านก็เป็นอย่างนั้น
พอพูดอย่างนี้เรายังระลึกถึงตำราอันหนึ่ง ท่านพูดเรื่องธรรม ท่านปฏิบัติธรรม พระกรรมฐานท่านอยู่ในป่า ผู้หญิงทะเลาะกับผัวแล้วก็หนีจากผัวไป พอดีท่านกำลังเดินจงกรมอยู่ เห็นผู้หญิงนั้นเดินผ่านมา ท่านก็สักแต่ว่าเห็น ทีนี้การเห็นเวลานั้นท่านกำลังพิจารณากรรมฐาน เช่นอย่างว่ากองกระดูก อย่างที่พูดเข้าใจไหมล่ะ เห็นอะไรผ่านมาปั๊บมันเป็นอย่างที่พิจารณาไว้เรียบร้อย ที่เป็นอยู่ในหัวใจ เวลานั้นท่านกำลังเรียนอยู่ในอสุภะอสุภังกรรมฐานขั้นกระดูก พูดง่าย ๆ เมื่อพิจารณาจิตออกเป็นขั้นใดตอนใด เห็นอะไรมันจะเป็นอย่างนั้น เจ้าของพิจารณาเจ้าของเป็นกระดูก มองไปไหนเป็นกระดูกไปตาม ๆ กันหมด แม้ที่สุดผู้หญิงคนนั้นผ่านมาหน้านี้ ท่านกำลังทำความเพียรอยู่ ท่านก็มองเห็นเขาผ่านไป แต่ท่านก็ไม่ได้พูดอะไร
ไม่นานสามีเขาก็ตามมา นี่ท่านพูดตามความจริงนะ เห็นผู้หญิงผ่านไปนี่ไหม มาถามพระ ท่านบอกท่านไม่เห็น เห็นแต่กองกระดูก เข้าใจไหม เห็นแต่กองกระดูกผ่านไปนี้ ท่านไม่ได้พรรณนาในตำราว่าผู้ชายคนนั้นมีความรู้สึกแสดงอาการอย่างไรบ้าง ไม่แสดง มีแต่ภาพที่ท่านเห็นผู้หญิงผ่านมาข้างหน้า ท่านกำลังพิจารณากรรมฐานชุลมุนวุ่นวายอยู่ในขั้นกระดูกว่างั้น มองเห็นอะไรเป็นกระดูกไปหมด พอดีผู้หญิงคนนั้นผ่านมา ท่านก็รู้ธรรมดา ก็ไม่มีเรื่องอะไร
พอผู้ชายผ่านมานี้มาถาม ท่านก็ตอบตามความจริง นี่เรียกภาษาธรรม เห็นผู้หญิงผ่านมานี้ไหม ไม่เห็น เห็นแต่กองกระดูก ท่านว่า นี่ภาษาธรรม แล้วภาษาของกิเลส คือผู้ชายคนนั้นจะเป็นยังไงก็ไม่รู้ละนะ แต่ท่านไม่ได้แสดงไว้ในตำราเราก็ไม่นำมาพูด แต่ยังไงเรื่องของกิเลสกับธรรมต้องกระทบกันทันทีแหละ นี่เราพูดตามหลักว่า ท่านพูดตามหลักความจริง เวลากิเลสฟังมันจะกระเทือนทันที ถ้าตามหลักความจริงที่รู้ที่เห็นด้วยกันแล้วยอมทันที แน่ะ เป็นอย่างนั้นนะ ถ้านักธรรมะที่รู้ที่เห็นอย่างเดียวกันพูดอย่างนั้นปั๊บเข้ากันผึง ๆ ๆ ถ้าเป็นเรื่องของกิเลสมีเท่าไรค้านวันยังค่ำ ค้านคนเดียวที่พูดนี้ ที่ว่ากองกระดูก ดีไม่ดีมันจะยกโคตรมาเลย ทางนี้จะมีโคตรหรือไม่มีก็ไม่ทราบพระองค์นี้
ธรรมดาคนเราก็ต้องมีโคตรมีแซ่ใช่ไหมล่ะ ตั้งแต่สัตว์มันยังมีโคตรสัตว์ มนุษย์ก็มีโคตรมนุษย์ละซิ ท่านก็มีโคตรเหมือนกัน ท่านเดินจงกรมอยู่นั้น ดีไม่ดีเขาจะยกโคตรมานี้ โคตรพ่อโคตรแม่มึงเคยพูดอย่างนี้เหรอ จะว่าอย่างงั้นเข้าใจไหม คนมาทั้งคนมึงยังว่ากองกระดูกได้เหรอ มันก็จะยกโคตรมาตีหลวงตาองค์นั้นหรือพระองค์นั้น ถ้าหากพระองค์นั้นจะตอบ โคตรพ่อโคตรแม่มึงโคตรไหนไม่มีกองกระดูก ก็จะว่าอย่างนั้นอีกใช่ไหม กูเห็นแต่กองกระดูกหมดทั้งโคตรทั้งแซ่มึงนั่นละ ว่าอย่างนั้นก็ได้ใช่ไหม เป็นอย่างนั้นละ
ธรรมกับกิเลสต้องกระทบกันตลอด เราพูดจริง ๆ แต่เราไม่เคยมีอารมณ์ ถ้ามีอารมณ์เราก็เทศน์ไม่ได้ ถ้ามีอารมณ์แบบโลก ๆ เขา เราจะเทศน์ไม่ได้ แต่เราไม่มี เรามีแต่ธรรมล้วน ๆ ๆ ออกเพื่อถอดเพื่อถอนเพื่อแก้เพื่อไขโดยถ่ายเดียว อันนั้นเขาโจมตี เขาหึงหวงกิเลสเครื่องผูกมัดเครื่องทรมานเขา แต่เขาไม่รู้ว่าสิ่งนั้นเป็นภัยต่อเขา เขาก็เอานั้นออกโจมตีธรรม เพราะฉะนั้นกิเลสกับธรรมจึงต้องเป็นคู่ทะเลาะกันมาตลอดตั้งกัปตั้งกัลป์ นี่ละที่ว่าตรัสรู้ก็คือตรัสรู้เอาธรรมเข้ามาแก้กิเลส เข้ามาชะล้างกิเลสนั่นเอง เพราะมันมืดหนาเหลือเกินสัตว์โลกด้วยกิเลสหุ้มห่อ ปกปิดกำบังไปหมดเลยนะ เวลาธรรมเกิดขึ้นมาแต่ละครั้ง ผู้ที่จะได้ธรรมมาต้องเป็นพระพุทธเจ้า ตรัสรู้ธรรมขึ้นมาเอาธรรมนี้ละสอนโลก จากนั้นกระจายไปถึงพวกสาวกทั้งหลายอรหัตอรหันต์ เป็นพระอรหันต์ขึ้นมาก็เป็นธรรมด้วยกัน ๆ ก็แจกกระจายกันไปอย่างนี้เหมือนกัน นี่เรียกว่า ธรรม
ผู้ที่จะมาชำระล้างสิ่งสกปรกคือกิเลสต้องเป็นผู้รู้ธรรม เป็นผู้เห็นธรรม มีธรรมภายในใจ เช่น พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ นี่ละท่านผู้มาชำระสะสางโลกสกปรกได้เท่าที่ควรจะได้ ไม่ได้มากก็ตามแต่ได้ ถ้าวิชาอื่นใดแล้วทั้งโลกนี้ไม่มีได้เลย เพราะเป็นวิชาของกิเลสทั้งหมด ไม่ใช่วิชาธรรมเหมือนพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ท่าน จึงแก้กิเลสไม่ได้ ถ้าเป็นวิชาธรรมได้มาตามหลักความจริงนี้แล้วแก้ได้ มากน้อยได้ตลอดไป อย่างพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้เรียกว่านำธรรมมาชะล้าง พระองค์ปรินิพพานไปแล้วก็มีธรรมนั้นละเป็นศาสดาแทน ชะล้างแทนมาตลอด อย่างเราได้ยินได้เห็นได้ฟัง ปฏิบัติตามท่านก็สะอาดไปเรื่อย ๆ อย่างนี้ ท่านสอนว่ายังไงมาปฏิบัติตามท่าน ก็เหมือนมาชำระตัวเองจากน้ำของท่านที่ประทานให้แล้วคือธรรม แล้วก็ค่อยสะอาดไป ๆ อย่างนี้แหละ
นี่เรียกภาษาธรรม ภาษาโลก โลกคือกิเลสมันเป็นคนละฝั่ง ๆ ไม่ได้ไปฝั่งเดียวกัน แล้วทีนี้ที่เทศน์เวลานี้ ในปัจจุบันนี้ก็คือหลวงตาบัว แสลงหูแสลงตาของคนเรียกว่าทั่วโลกก็ได้ แต่ไม่แสลงธรรม เรานำธรรมออกไปชำระล้างสิ่งสกปรกโสมมทั้งหลาย เป็นความชอบธรรมแล้ว สัตว์โลกทั้งหลายจะได้พ้นทุกข์พ้นภัย เป็นความสะอาดสะอ้านภายในจิตใจไปโดยลำดับเพราะธรรมนี้ ไม่ใช่เพราะกิเลสตัวที่สัตว์ทั้งหลายสงวนมาก ๆ นั้นเป็นผู้พาให้พ้นทุกข์ เป็นธรรมนี้ต่างหาก แต่กิเลสมันไม่ชอบกับธรรมจึงต่อต้านละซิ
อย่างไรก็ตามเราก็ยันได้เลยว่าเราไม่มีอะไรกับโลก ใครจะมีเรื่องมีราวหาเรื่องหาราวใส่เรา โจมตีทุกแบบทุกฉบับหรือชมเชยสรรเสริญ มันก็มีน้ำหนักเท่ากัน เป็นส่วนเกินด้วยกัน ไม่มีอะไรที่จะพอหยิบขึ้นมาได้ ว่าเรายังบกพร่องสิ่งนี้อยู่แล้วเอาสิ่งนี้ขึ้นมา ไม่มี ถ้าเป็นน้ำก็น้ำเต็มแก้วแล้ว จะเอาน้ำที่ไหนมาเทมันก็ไหลออกหมดๆ เพราะมันล้นแก้วแล้ว นี่เรื่องสมมุติทั้งหลายเหมือนกับน้ำล้นแก้ว วิมุตติคือความพอดี เสมอขอบปาก น้ำเสมอขอบปากแก้วพอดี จึงเรียกว่านิพพานคือเมืองพอ พอเท่านั้น เป็นอันว่าเลิศ ชนะไปหมดคำว่าพอ อะไรก็ตามก็พอแล้วนี่ แน่ะ ไม่มีอะไรพอดียิ่งกว่าคำว่าพอ อะไรยังบกพร่องไม่พอ กินข้าวอิ่มแล้วยังไม่พอหวาน ก็เรียกว่ายังไม่พอ ให้มันพอสักอย่าง อยู่ไหนก็สบายไปหมด
นี่เวลาเราตายแล้วจะไม่มีใครแสดง แสดงอย่างที่แสดงมานี้ แสดงด้วยจะว่ากล้าหาญมันก็เลยเสียทุกอย่าง มันไม่ได้อยู่ในแดนสมมุติ ความกล้าหาญก็เป็นสมมุติอันหนึ่ง ความกลัวก็เป็นสมมุติ อันนี้มันก็เลยไปหมดแล้วจะว่าอะไร ที่มาสอนนี้ก็เอาธรรมเข้ามาสู่แดนสมมุตินะ ว่ากล้าว่ากลัว ว่าดีว่าชั่ว เพราะสัตว์ถูกขังอยู่ในดีในชั่วในสุขในทุกข์นี้ ก็ต้องมาชำละล้างอันนี้ พอล้างอันนี้ไปแล้วถึงขั้นพอตัวแล้วไม่บอกก็รู้ แน่ะ ท่านจึงต้องมาสอน การที่จะสอนให้ตรงแน่วไปทีเดียวก็ไม่เหมาะอีก ต้องสอนไปตามขั้นตามภูมิของผู้ที่จะรับได้มากน้อยเพียงไร
ดังพระพุทธเจ้าท่านทรงแสดงไว้ อนุปุพพิกถา ๕ อนุปุพพิกถา ๕ แปลแล้ว แปลว่าธรรมที่แสดงไปโดยลำดับเหมือนเครื่องบินเหินฟ้า ขึ้นจากสนามแล้วก็ค่อยเหินขึ้น ๆ เรื่อย จนสุดขีดแห่งความสูงของเครื่องบิน อันนี้ธรรมก็เหมือนกัน เริ่มต้นก็สอนพื้น ๆ ทาน ศีล สวรรค์ นี่ละพื้นของคนที่จะพ้นจากความทุกข์ เหมือนเครื่องบินจะขึ้นจากฟ้าไปจากดินนี้แหละ จะขึ้นบนฟ้านะ ไปจากดินแล้วเหินไปเรื่อย พอพ้นจากสนามบินแล้วก็เหินขึ้น ๆ นี่ทาน เป็นฐานขึ้นของผู้จะหลุดพ้นจากทุกข์ เป็นฐานเหยียบขึ้นแล้ว ทาน ศีล จากนั้นก็สวรรค์ ขึ้นสูงเลย พอถึงนั้น สวรรค์ พรหมโลกอะไรอยู่ในคำว่าสวรรค์หรือพรหมโลกหรือว่าเทวโลกทั้งนั้น พอถึงนั้นแล้วก็จะเป็นนิพพาน
ทีนี้จะไปนิพพานไปยังไง ทีแรกก็ทาน สอนให้รู้การกินการทาน ให้รักษาศีล แล้วอานิสงส์เหล่านี้ให้ได้พาไปสวรรค์ นี่ผู้ที่จะก้าวพ้นจากนี้นะ ไปสวรรค์ พรหมโลกอะไรก็อยู่ในวงแห่งวัฏจักรยังพ้นไปไม่ได้ แล้วอะไรจะพ้นที่นี่ อาทีนพ โทษแห่งความผูกพันทั้งหลาย มีกามราคะ เป็นต้น นั่นเริ่มแล้วนะที่นี่ เริ่มคลี่คลาย เหมือนพระองค์นั้นมองเห็นกระดูก อาทีนพ โทษแห่งความผูกพันคือกามกิเลสทั้งหลาย จากนั้นก็เนกขัมมะ สลัดตัวออกไป จะออกไปวิธีใดก็ตาม ออกไปเพื่อบำเพ็ญตัวเอง มีแต่ไปสลัด ๆ ออกเลย จากนั้นก็หลุดพ้น นั่นท่านบอก
นี่ละธรรมะเหินขึ้นไปอย่างนี้ ตั้งแต่บำเพ็ญเรื่องทาน พื้นฐานแห่งความพ้นทุกข์แล้ว ก้าวไปตั้งแต่ทาน ทาน ศีล แล้วก็ไปสวรรค์ ผ่านสวรรค์แล้วก็เห็นโทษของสวรรค์ของความผูกพันอะไร ๆ แล้วก็ออกจากสิ่งเหล่านี้ไป เรียกว่าบำเพ็ญแล้วที่นี่ เนกขัมมะ แปลว่าออกแล้ว ไปบำเพ็ญตัวหลุดพ้นไปเลย นี่ธรรมะท่านบอกว่า อนุปุพพิกถา แปลว่าการแสดงธรรมเป็นลำดับลำดาขึ้นไป ท่านเรียกว่าอนุปุพพิกถา แปลว่าการแสดงธรรมขึ้นไปโดยลำดับ ๆ นี้เป็นขั้นทั่ว ๆ ไป
ทีนี้ถ้าขั้นที่มีธรรมแก่กล้าสามารถที่ควรจะต้อนรับกันแบบไหน ทานไม่พูด ศีลไม่พูด สวรรค์ไม่พูด พูดเฉพาะจุดที่จะข้าม พูดอาทีนพขึ้นไปเลย อาทีนพ เนกขัมมะ ขึ้นเลย นั่นเป็นขั้น ๆ อย่างท่านสอนเบญจวัคคีย์พวกนี้ออกไปแล้วนี่ สอนก็ขึ้น เทฺวเม ภิกฺขเว เลย จากนั้นก็มัชฌิมาปฏิปทา ท่านไม่ได้บอกว่าศีลอย่างนี้ ทานอย่างนั้น ท่านไม่ได้พูดนะ แม้ที่สุดสมาธิท่านเหล่านี้ก็พอ พอหมดแล้ว มีแต่แสดงเรื่องปัญญาไปเลย สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป มรรค ๘ คืออะไร ไม่ใช่ปัญญาคืออะไร นั่นละที่นี่หมุนติ้ว ๆ เลย
นี่ธรรมควรที่จะสอนโลกด้วยธรรมขั้นนี้ก็มี ด้วยธรรมพื้น ๆ ขึ้นมาก็มี ด้วยธรรมที่จะปัดให้หลุดพ้นไปได้เลยก็มี ตามแต่ขั้นของผู้มาศึกษาหยิบยกขึ้นรับกันทันที ๆ ถ้าผู้อยู่ในขั้นนี้ควรจะเสริมให้สูงขึ้นก็เสริมขึ้น ผู้ที่ขึ้นเต็มที่แล้วควรจะหลุด หลุดก็ปัดให้หลุดเลย ธรรมะเป็นขั้น ๆ อย่างนั้นแหละ ให้พากันจำเอานะ ไม่มีใครที่จะสอนได้โดยถูกต้องยิ่งกว่าองค์ศาสดา สอนถูกต้องแม่นยำทุกอย่าง ๆ เวลาท่านนิพพานไปแล้วก็ให้ ธรรมวินัยนี่แลเป็นศาสดาของเธอทั้งหลายแทนเราตถาคตเมื่อเราตายไปแล้ว เพราะฉะนั้นผู้มีความจงรักภักดีกับธรรมกับวินัยไปที่ไหนจึงเรียกว่า เป็นผู้มีศาสดาติดตัวตลอด ผู้ไม่มีหิริโอตตัปปะ ไปที่ไหนแบกคัมภีร์จนหลังหักก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร สู้เขาแบกฟืนไม่ได้ เขาแบกฟืนเขาไปหุงต้มใช่ไหมล่ะ นี่แบกคัมภีร์ไม่เกิดประโยชน์อะไร
ศาสดาไม่ได้อยู่กับคัมภีร์ อยู่กับหัวใจของคนที่มีความจงรักภักดี ซื่อสัตย์สุจริตมีหิริโอตตัปปะ ความสะดุ้งกลัวต่อบาปต่อกรรมอยู่ในหัวใจ จึงเท่ากับว่าอยู่กับศาสดาตลอด นี่ที่ท่านว่า พระธรรมวินัยนั้นแลจะเป็นศาสดาของเธอทั้งหลาย แทนเราตถาคตเมื่อเราตายไปแล้ว นี่ท่านก็สอนพระอานนท์นั้นแหละจะสอนใคร เพราะพระอานนท์ พูดภาษาเราก็เรียกว่าไปกวนท่าน ทราบว่าท่านปลงพระชนมายุ ท่านจะปรินิพพาน พระอานนท์เดือดร้อนวุ่นวายจึงไปทูลอาราธนาท่าน ให้ท่านทรงพระชนม์อยู่เป็นเวลานาน ท่านก็ขู่เอาบ้าง อานนท์มายุ่งอะไรกับเราอีก มาหวังอะไรกับเราอีก อะไร ๆ เราก็สอนหมดแล้ว ถ้าพูดให้ตรงก็คือ นี้ก็ยังเหลือแต่ร่างกระดูกมีอะไรอยู่นี้ล่ะ ธรรมอะไรที่เลิศเลอเราสอนหมดแล้ว ๆ แล้วเธอยังจะมาหวังอะไรกับเราอีก
จากนั้นก็ค่อยอ่อนหย่อนลงไปว่า ธรรมและวินัยนั้นแลจะเป็นศาสดาของเธอทั้งหลายแทนเราตถาคตเมื่อเราตายไปแล้ว อานนท์ ถ้ายังมีผู้ปฏิบัติตามหลักธรรมหลักวินัยที่เราแสดงไว้เรียบร้อยแล้วนี้อยู่ พระอรหันต์ไม่สูญจากโลกนะอานนท์ แน่ะก็บอกชัด ๆ อรหันต์จะไปจากไหนไม่ไปจากทางนี้ จะก้าวขึ้นถึงอรหันต์ถ้าปลีกจากทางนี้ไม่ได้ ธรรมวินัยนี้เป็นทางเดิน พระวินัยเป็นรั้วกั้น ห้ามไม่ให้ออกทางนี้ ๆ พระวินัย ข้ามไปปั๊บผิดแล้ว ไปไม่ถูกแล้ว ข้ามปั๊บเท่านี้ก็ผิดแล้ว ข้ามทางไหนผิดทั้งนั้น เพราะฉะนั้นพระวินัยจึงเป็นรั้วกั้น ธรรมเป็นทางเดิน วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ก้าวเดินด้วยความมีสติสตัง มีความพากความเพียร มีความอดความทนก้าวเดินไปตามนี้ ท่านเรียกว่าก้าวเดิน พระวินัยขนาบไว้สองข้าง ไม่ผิดพระวินัยก็ไม่เดือดร้อน ทีนี้ก็เดินตรงแน่ว จะช้าจะเร็วก็ไปตามนี้ ถ้าข้ามพระวินัยแล้วไม่ได้ จะเหาะเหินไปก็เหาะเหินเพื่อลงนรกอเวจีนั้นแหละ
พระพุทธเจ้าสอนไว้ถูกต้องทุกอย่าง จึงเรียกว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว ๆ มีตรงไหนว่าผิดไม่เคยมี ดำเนินไปตามนั้น ถ้าเอาศาสดามาไว้กับตัวเองจริง ๆ ด้วยการปฏิบัติตามธรรมวินัยที่ท่านสอนไว้แล้วเราก็มีศาสดาติดตัวตลอด สมกับที่พระพุทธเจ้าแสดงว่า พระธรรมวินัยนั้นแลเป็นศาสดาของเธอทั้งหลาย เราปฏิบัติตามธรรมปฏิบัติตามพระวินัย ธรรมวินัยก็อยู่กับเรา เราก็มีศาสดานั่น เป็นอย่างนั้นนะ คงเส้นคงวาตลอดไป ถ้าปฏิบัติตามนี้มีหวังที่จะหลุดพ้นโดยลำดับ ผู้มีทุกข์ก็มีหวังที่จะได้รับความสุขเป็นเครื่องบรรเทากันไปเรื่อย ๆ
เพราะกิเลสมีมากมีน้อยทุกข์ต้องมีมากมีน้อย ธรรมมีมากมีน้อยก็บรรเทาความทุกข์ทั้งหลายออกได้มากน้อยเหมือนกัน จนกระทั่งธรรมมีเต็มเหนี่ยวแล้วทุกข์บรรลัยหมด ทีนี้มีแต่บรมสุข บรมสุขก็คือจิตที่บริสุทธิ์เต็มที่แล้ว จะเรียกว่าธรรมธาตุก็ได้ เรียกว่านิพพานธาตุก็ได้ไม่ผิด เมื่อถึงอันนั้นแล้วรู้กันเอง ผู้ที่จะรู้ก็มีแต่ผู้พ้นโลกแล้วทั้งนั้น พ้นไปแล้วก็จะไปสงสัยอะไร ไม่มีองค์ไหนสงสัย พอถึงปึ๋งนั้นแล้วรู้ด้วยกันหมด ตั้งชื่อไม่ตั้งไม่เห็นสำคัญอะไร เป็นอย่างนั้น
ให้พากันตั้งใจปฏิบัติตามร่องรอยของศีลของธรรมนะ อย่าตื่นเต้นเป็นบ้ากับกิเลสนะ มีแต่ลากออกนอกลู่นอกทางให้ตกหลุมตกบ่อทั้งนั้น อย่าพากันดิ้นกับมันไม่ได้นะ เราเคยดีดเคยดิ้นกับมัน ตกนรกหมกไหม้มานี้กี่กัปกี่กัลป์แต่ละราย ๆ กิเลสมันปิดไว้ไม่ให้รู้ว่าเราเคยเกิดเคยตาย เคยได้รับความทุกข์มามากเท่าไร นานเท่าไร มันไม่ให้รู้ ปิดทางเดินมาให้หมด ๆ เสีย สุดท้ายมันก็เปิดทางเดินข้างหน้าไป ทางเดินข้างหน้าไปไหน ก็ตายแล้วสูญอีก นั่นเห็นไหม มันหลอกถึงขั้นตายแล้วสูญ ทั้ง ๆ ที่เราเป็นนักเกิดนักตายมาตั้งกัปตั้งกัลป์ กิเลสลบเราทีเดียวเท่านั้น วิ่งไปตามมันเลยว่าตายแล้วสูญ คำว่าตายแล้วสูญคือคนหมดหวังแล้ว อยากทำอะไรก็ทำ ทีนี้มันเปิดทางเดินให้ คำว่าอยากอะไรก็ทำ สิ่งที่อยากมีแต่ความชั่วทำ ตายไปแล้วเอาอีกลงนรกอีกอยู่อย่างนั้นแหละ เกิดตาย ๆ นี่แหละมันน่าทุเรศนะ
เวลามันได้รู้มันย้อนรู้หมดนี่จะว่ายังไงจิต ก็มันเป็นผู้มาเอง มันรู้ร่องรอยของมันมายังไงๆ ไปตลอดจะว่ายังไง ตัวเองเป็นผู้มา แต่กิเลสมันปิดไว้มันก็ไม่เห็น มาสักเท่าไรมันก็ไม่เห็น เรามาทั้งโคตรทั้งแซ่ของเรามาจมลงในนรกก็บีบเข้าไป มันก็ไม่เห็นหมดทั้งโคตรแซ่ของเรา ทีนี้เวลาท่านรู้ โคตรแซ่ท่านไม่รู้ก็ตาม พระพุทธเจ้าท่านรู้สาวกท่านรู้ ท่านปฏิบัติจะว่ายังไง มันก็เห็นชัด ๆ ท่านจะไปถามใครก็เมื่อท่านรู้ชัด ๆ นั่น จำเอานะ เอาละพอ
อ่านธรรมะหลวงตาวันต่อวัน ได้ที่ www.luangta.or.th |
** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก
ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์
และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์
|
|
|
|