ภูสังโฆทองคำได้ ๑ กิโล ๔๓ บาท ๓ สตางค์ ดอลลาร์ ๓๐๙ ดอลล์ และ ร้อยดอลลาร์สิงคโปร์ เงินอังกฤษ ๑๐ ปอนด์ เงินไทย ๓ หมื่น สรุปทองคำวันที่ ๕ ทองคำได้ ๒ บาท ๑ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๑๐๑ ดอลล์ รวมยอดทองคำทั้งหมดได้ ๔,๓๐๗ กิโลครึ่ง กำลังเริ่มหนุนเรื่อย แต่นี้ต่อไปพวกเราทั้งหลายจะหนุนกันละนะ อย่าอ่อน ให้ฟังเสียงธรรม เสียงกิเลสมีแต่แหลก มีแต่เป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ เสียงธรรมไม่ ตรงไปตรงมา
นี่ฟ้าหญิงถามถึงคนที่จะไปกับเราวันที่ ๒๘ ก็จะให้เราตอบได้ยังไง ที่จะไปพระตำหนักนั้น ดูว่าเกี่ยวกับเรื่องการต้อนรับท่า เราไม่มีใคร ไปไหนมาไหนเราไม่เคย นอกจากพวกนี้มันแห่ตามเท่านั้นเอง เราไม่มีเรื่องอะไรจริง ๆ ไปไหนปั๊บไปเลย พวกนี้ก็แห่ไปเลย ๆ ล่ะซี มันถึงเต็ม ทีนี้เวลาท่านถามมาเราก็เลยตอบลำบากเหมือนกัน เราก็บอกว่า ดูจะไม่มี ถ้ามีก็ประมาณ ๔-๕ คน ถ้าเลยจาก ๔-๕ คนไปแล้วคัดลงแม่น้ำเจ้าพระยาให้หมด เพราะอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เราพูดได้เท่านั้นแหละ บ่าย ๒ โมงท่านจะลงเสาเอก คงจะสร้างพระตำหนักละมั้ง
วันที่ ๒๔ ไปถึง เป็นตอนบ่ายไปแล้วแหละกว่าจะถึง พอฉันเสร็จแล้วก็ออกเดินทาง ไปถึงโน้นก็ประมาณสักบ่าย ๓ โมงกว่าเล็กน้อย เพราะรถเราไปมีรถนำ ไปสะดวกตลอดเวลา วันที่ ๒๕ ก็ได้กำหนดกันเรียบร้อยแล้ว เราจะเตรียมอาหารสำหรับพวกสัตว์พวกเสืออยู่ในวัดป่าหลวงตาบัว ให้เขาเตรียมพร้อมไม่ต้องเสียเวล่ำเวลา พอฉันเสร็จแล้วเราก็ออกเดินทาง สิ่งที่เราเตรียมพร้อมก็คือพวกอาหารพวกสัตว์พวกเสือในวัดป่าหลวงตาบัว พอฉันเสร็จแล้วก็ออกเลย เอานี้ไปพร้อม พอถึงก็เทลงเลย ให้สัตว์ให้เสือเรียบร้อยแล้ว ออกจากนี้ก็ไปสำนักอุบาสิกาผู้หญิงบำเพ็ญธรรม ซึ่งอยู่อำเภอเดียวกัน อำเภอไทรโยค เสร็จแล้วกลับมา วันที่ ๒๕ ก็เรียกว่าไม่ได้พัก พอวันที่ ๒๖ ไปมอบทองคำที่ทำเนียบรัฐบาล วันที่ ๒๗ พัก วันที่ ๒๘ ไปพระตำหนัก ปทุมธานี วันที่ ๒๙ พัก พอวันที่ ๓๐ ออกเดินทางเลย เพราะครบจำนวน ๗ วันพอดี
ตามหลักพระวินัยท่านเมื่อมีเหตุจำเป็นที่จะต้องไป ท่านทรงอนุญาตให้ไปได้ ๗ วัน แล้วต้องกลับมาให้ถึงวัดภายใน ๗ วันนั้น หากธุระจำเป็นยังไม่เสร็จสิ้น อย่างน้อยต้องมาค้างที่วัดอีกคืนหนึ่งก่อน ตื่นเช้าวันหลังไป สัตตาหะไปได้อีก ตามพระวินัย เห็นไหมพระพุทธเจ้าแม่นยำทุกอย่างนะ จนกว่าจะเสร็จ พอ ๗ วันแล้วกลับมาค้างเสียก่อน หมายถึงธุระจำเป็นที่จะต้องทำต่อเนื่องกันในพรรษา จึงต้องจำเป็นได้ไปในระยะ ๗ วันแล้วมาค้างคืนหนึ่ง ท่านอนุโลมให้ขนาดนั้นนะ
เริ่มต้นมาตั้งแต่พ่อแม่เจ็บไข้ได้ป่วย อุปัชฌาย์อาจารย์อะไรว่าไป จากนั้นก็พวกศรัทธาใหม่ที่เขายังไม่คุ้น จนกระทั่งขึ้นไปหาพระมหากษัตริย์มานิมนต์ไป แล้วท่านก็มีแย็บไว้หรือที่ความจำเป็นอย่างอื่นมีก็ไปได้ อนุโลมตามนี้ ไม่เช่นนั้นมันก็เลอะล่ะซี เลยมีแต่สัตตาหะตลอดพรรษา คือสัตตาหะไม่ทราบว่าไปได้กี่วันกลับมาแล้วไป เลยไม่มีสัตตาหะก็มีเยอะนะพระเรา คืออาศัยนี้ ตามหลักของธรรมวินัยจริง ๆ เป็นอย่างนี้สัตตาหะ คือไปได้ภายใน ๗ วัน อย่างน้อยต้องกลับมาค้างคืนคืนหนึ่งก่อน พอตื่นขึ้นมาวันหลังแล้วค่อยไปได้อีก ๗ วันตามเหตุที่จำเป็น ท่านบอกไว้อย่างนั้น
ขึ้นต้นก็พ่อแม่ป่วย อุปัชฌาย์อาจารย์ป่วย พระมหากษัตริย์นิมนต์ เรื่อยไป อันนี้พอมีข้อแม้นิดหนึ่งนี้มันจะทะลุไปเลยพังไปเลยน่าทุเรศนะ อะไรก็มีแต่สัตตาหะ ๆ ปวดตดปวดขี้ก็ต้องไปสัตตาหะ ๗ วัน กว่าจะกลับมา ๗ วันนี้ก็ถ่ายราดมาตามทาง คือมันยังไม่หมดมันครบ ๗ วันเสียก่อนก็รีบมา พอตื่นเช้าขี้ราดเข้าอีก พวกสัตตาหะขี้ราด มันเป็นอย่างนั้นนะ คือเลอะเทอะก็เทียบกับขี้ล่ะซี ความหมายว่างั้น มันเลอะเทอะไม่มีหลักธรรมหลักวินัย
อะไรก็ตามถ้าลองไม่มีขอบมีเขตมีหลักมีเกณฑ์แล้วเหลวไหลทั้งนั้น ขอบเขต หลักเกณฑ์ จนกระทั่งขนบประเพณีมีด้วยกัน ไม่มีดูไม่ได้เลย ยิ่งพระด้วยแล้วต้องถือหลักพระวินัยเป็นกิริยาแสดงออกทุกอย่าง การแสดงออกของพระต้องอยู่ในกรอบของพระวินัย ธรรมเป็นความละเอียดมากกว่านั้นไปอีก พระวินัยบังคับไว้อย่างนี้ นี่เรียกว่างามตา เจ้าของเองก็เย็นใจ ไปที่ไหนมีหลักธรรมวินัยเป็นเครื่องประดับตนสวยงามตลอด จึงว่าเครื่องประดับซิ คือธรรมวินัยประดับกาย วาจา ความประพฤติ กิริยาการแสดงออกทุกอย่างมีธรรมวินัยเป็นเครื่องประดับแล้วสวยงามตลอด ถ้าไม่มีอันนี้เลอะเทอะ พระเราไม่มีอะไรสวยงาม ไม่มีอะไรที่เป็นสมบัติอันล้นค่ายิ่งกว่าธรรมวินัย เฉพาะอย่างยิ่งศีลของพระเป็นเครื่องประดับตลอดเวลา ถ้าพระไม่มีศีล โกโรโกโส ดูไม่ได้นะ
พระวินัย เรียกว่ากฎข้อบังคับเพื่อความเป็นพระดี แล้วก็เป็นคุณเป็นประโยชน์ภายในตัวเอง จิตใจเยือกเย็น เพราะอยู่ในกรอบ ๆ ก็เรียกว่าอยู่ในการบำเพ็ญความดีของพระ อยู่ในกรอบ ๆ ประชาชนก็เหมือนกัน เช่น วงราชการนี้มีหรือไม่มีก็ไม่ทราบ แต่เราเชื่อแน่ว่าวงราชการตั้งแต่ผู้ใหญ่ลงมาถึงผู้น้อย ควรจะมีกฎข้อบังคับตัวเองในการเป็นผู้นำผู้น้อยทั้งหลายนะ ถึงไม่ใช่พระก็ตาม วงราชการก็ต้องมีขอบเขต อันนี้เราเชื่อ ตามหลักธรรมนะ แต่ทางราชการจริง ๆ บ้านเมืองจริง ๆ เขาจะมีกฎข้อบังคับอย่างไรหรือไม่นั้นเราทราบไม่ได้ แต่เรื่องของความพอเหมาะพอดีที่เป็นธรรมล้วน ๆ แล้ว ข้าราชการนั้นแลจะเป็นตัวกฎระเบียบยิ่งกว่าผู้อื่นผู้ใดในบรรดาบริษัทบริวารวงราชการด้วยกัน ผู้ใหญ่เท่าไรยิ่งเป็นผู้มีข้อบังคับ มีกฎมีเกณฑ์ที่น่าดูสวยงามทุกอย่าง แล้วผู้น้อยก็เดินตาม สวยงามไปตาม ๆ กัน นี่ตามหลักธรรมเป็นอย่างนั้น
แต่ทางโลกเขาจะมีกฎมีข้อบังคับอะไรก็ตาม เราก็ไม่ทราบด้วย แต่หลักธรรมทราบชัด ๆ ว่าเป็นอย่างนี้ นี่ก็เรียกว่ากฎข้อบังคับอันหนึ่ง เพื่ออะไร ก็เพื่อความเป็นหลักเป็นเกณฑ์ เพื่อเป็นที่เกาะที่ยึดไม่ให้ปลีกออกนอกลู่นอกทางจากวงของตนไป เช่น วงราชการผู้ใหญ่เท่าไรก็ยิ่งประพฤติปฏิบัติตัวดีเข้าไปโดยลำดับ ก็เป็นสง่าราศีแก่ผู้น้อย ใครเจอเข้าก็มีความยิ้มแย้มแจ่มใส เคารพเลื่อมใสกราบไหว้บูชา ผู้ใหญ่วงราชการเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรแก่ผู้น้อยลงมาเป็นลำดับ ๆ นี้คือผู้ใหญ่ที่มีกฎเกณฑ์มีศีลมีธรรมในตัว ทีนี้ผู้น้อยก็ถือลงไปเป็นลำดับลำดากัน นี้หลักธรรมชาติแห่งธรรมที่ปกครองบ้านเมือง ต้องมีอย่างนี้ ว่างั้นเลย แต่ทางโลกเขาจะมีหรือไม่มีก็ตาม ทางธรรมเป็นหลักธรรมชาติมีอย่างนี้ หลักธรรมชาติจะตั้งจะกำหนดกฎเกณฑ์ขึ้น ประกาศออกมาหรือไม่ประกาศออกมาก็ตาม หลักธรรมชาติที่ว่านี้ต้องมี ต้องเป็นผู้ปฏิบัติตามขอบตามเขตให้สมศักดิ์ศรีของตัวเอง นั่นถูกต้อง
สำหรับพระในวัด พระท่านมีกฎอยู่แล้วไม่มีปัญหาอะไร มีกฎอยู่แล้วก็ยิ่งปฏิบัติให้แนบเนียนตามหลักธรรมอีกนะ คือหลักพระวินัยนี้ตายตัวเคลื่อนคลาดไม่ได้ ผิดไม่ได้ พระวินัยเป็นกฎข้อบังคับปรับโทษทันที ทีนี้หลักธรรมเป็นเครื่องประดับ ผู้ใหญ่ภายในวัดมีหลักธรรมเป็นเครื่องประกอบงามหูงามตา กิริยาการแสดงออกทุกอย่างมาจากน้ำใจ ๆ ที่เป็นธรรม ๆ ชุ่มเย็นไปหมด นี้คือธรรม อยู่ที่ไหน ๆ ก็ชุ่มเย็น บรรดาพระเณรมาจากทิศใดทางใด เข้ามาเห็นความร่มเย็นแห่งความเมตตา นั่นหลักใหญ่อยู่เมตตานะ เมตตาคือความเสียสละ มีความสงสาร องค์ใดเข้ามา ๆ เหมือนกับลูกของเราหรืออวัยวะของเรา ปฏิบัติแบบเดียวกันหมดไม่ว่าผู้ใหญ่ผู้น้อย เฉลี่ยเผื่อแผ่ทั่วถึงกันหมด นี่เรียกว่าอวัยวะเดียวกัน
เหมือนอย่างอวัยวะของเรานี่ ควรจะรับประทาน เราสอดอาหารหวานคาวเข้าไปในมุขทวารเท่านั้น นี้เป็นหลักใหญ่เข้าตรงนี้ แล้วโอชารสจะกระจายไปทั่วสรรพางค์ร่างกาย หล่อเลี้ยงกันทั่วร่างกาย เป็นความสุขหมดในอวัยวะของเรา อันนี้บรรดาผู้ใหญ่ก็เป็นส่วนใหญ่ มาที่ไหนก็เฉลี่ยเผื่อแผ่เจือจานไปให้ทั่วถึงกันหมด ไม่ว่าผู้ใหญ่ผู้น้อยเข้ามาชุ่มเย็นไปหมดนี้เรียกว่าธรรม แต่พระวินัยนั้นบังคับ ผู้ที่มาอยู่ด้วยกันต้องมีพระวินัยด้วยกัน ไม่มีไม่ได้ ยิ่งหย่อนกว่ากันไม่ได้ อย่างน้อยรังเกียจกัน มากกว่านั้นก็แตกจากกัน ดังยกแตกออกไปเป็นนิกายนั้นนิกายนี้ นิกายแปลว่าหมู่ แปลว่าคณะ เป็นพวกเป็นพ้องไป แยกเป็นนิกายนั้นนิกายนี้ก็เพราะความรังเกียจกันไม่ใช่อะไร ผู้รักษา-รักษาอยู่ ตามหลักธรรมพระพุทธเจ้าทรงสอนไว้งามตลอดเวลา ผู้มาทำลาย-มาทำลาย มาตีมาเตะมาถีบมายัน ข้ามเกินวินัยข้อนั้นข้อนี้เลอะ ๆ เทอะ ๆ ไปหมด ผู้รักษา-รักษาอยู่ จะอยู่กันได้ยังไง
ตั้งแต่เราป้านคันนาอยู่นี้ หมามันวิ่งหย็อก ๆ มา คือธรรมดาหมามันจะเป็นไปตามประสีประสา ดูซิในครัวนั่น เราเดินไปสระน้ำเขาราดซีเมนต์ เห็นแต่รอยหมาไปเหยียบแหลกหมด นี่มันมาทำงานก่อนคนแล้ว คนทำแทบตายหมามันเดินเหยียบไปนี้รอยมันไป อันนี้ก็เหมือนกัน เราป้านคันนาอยู่นี่ หมามันวิ่งหย็อก ๆ ก็ตีขามันซี กูทำแทบตายมึงมาเหยียบหาอะไร อันนี้ผู้รักษา-รักษาอยู่ ผู้มาเหยียบย่ำทำลายซึ่งเป็นเหมือนหมามาเหยียบย่ำทำลาย มันก็แตกจากกัน รังเกียจ อย่างน้อยก็ว่ากัน รังเกียจกัน ทีนี้เมื่อเห็นตำตาเข้าไปเรื่อย ๆ ก็เข้ากันไม่ได้แล้ว นี่ละที่แยกเป็นนิกาย คือความเคร่งและความหย่อนยาน
คำว่าเคร่ง-เคร่งตามหลักธรรมวินัย ไม่ได้เคร่งเกินหลักธรรมวินัยนะ เคร่งคือเคร่งครัดให้ตรงเป๋งอย่างนั้นเลย ไอ้ผู้เลอะเทอะมันทำลาย มันก็รังเกียจกันซี จะว่าอะไรตั้งแต่คนดี ๆ นี้เราไปเห็นด้วยตา เวลาเราเป็นหนุ่มก็ไปเที่ยวเหมือนกัน ทางอีสานเขามีวงลำสนุกสนาน คนไปฟังลำอึกทึกครึกโครมนี่เหมือนกัน แต่ที่ไม่เหมือนกันมันมีอยู่คนหนึ่ง มันแปลกเขาไอ้นั่น วงลำเขายกขึ้นสูง ๆ เพื่อให้คนทั้งหลายได้มองเห็น เวลาเสียงลำเสียงเพลงขึ้นก็ได้ยินทั่วถึงกัน แต่ก่อนไม่มีเครื่องขยายอะไร พูดธรรมดา อีตาขี้เหล้าซี ชื่อมันก็จำได้ แต่ว่าเดชะนะ เวลาหยุดเหล้านี้หยุดได้เพราะหลวงตานะ ผู้เฒ่าก็เด็ดเหมือนกัน ตั้งแต่หนุ่มแต่น้อยมาสะแตกเหล้า ไม่ได้บอกว่ากินว่าสะแตกเลย เพราะมันกินมากต่อมากมันถึงขั้นสะแตกก็ต้องยกขั้นสะแตกให้ซิ เพราะมันยศสูงแล้ว ยศบ้าเหล้าบ้าไม่เลิก ทีนี้เขาฟังร้องรำทำเพลง ตรงนั้นมันว่าง คนแออัดกันเข้าไปมันมีว่างอยู่ มีอีตาขี้เหล้านอนอยู่นั้น คนนั้นก็มาคนนี้ก็รุกล้ำเข้ามา เอ้า ที่นี่ว่างไว้ทำไม
ภาคอีสานมันพูดหยอกกันเก่ง นี่พ่อของใครอยู่ที่นั่น คือมันขี้แตกราดไว้หมด ใครเข้าไม่ได้เขาถอยออก พวกรู้จักเขาถอยออก ผู้ไม่รู้เข้าไป ว่างไว้ทำไมนี่ ๆ มันเมาเหล้าขี้ราดไปหมด ออกจากนั้นก็พูดหยอกกัน นี่พ่อของใคร นี่เห็นไหมรุมเข้ามามันยังแตกกัน คนมาก ๆ ไม่มีใครเข้ามาแถวนั้นเลย แตกกันฮือ ๆ นั่นละมันไม่เป็นท่านะคนขี้เหล้า ทำคนอื่นให้เสียหมด
อันนี้ก็เหมือนกัน พระเณรที่ต่างองค์ต่างดีแล้ว มีพระเณรแบบอีตานี่เข้าไปเท่านั้นแหละแตกฮือเลย นี่ละที่แยกแตกเป็นนิกายนั้นนิกายนี้เป็นเพราะเหตุนี้เอง ไม่มีสาเหตุไม่เกิด แม้แต่ครั้งพุทธกาลพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ก็ยังมีจะว่ายังไง นี่ก็คือการหย่อนยานธรรมวินัย กับผู้เคร่งครัดปฏิบัติตามหลักธรรมวินัย ใน ๒ คณะนี้ คณะหนึ่งเป็นคณะวินัยธร แปลว่าผู้รักษาวินัยเคร่งครัด คณะหนึ่งเป็นธรรมกถึก แปลว่าเป็นนักเทศน์ แต่รู้สึกจะไม่ค่อยเคร่งครัดในธรรมวินัย มีแต่เทศน์ว้อ ๆ ไปอย่างนั้น ทีนี้เวลาไปผิดพลาดนั่นซิ พระธรรมกถึกผิดพลาดไปถ่ายส้วมแล้ว น้ำในกระบอกที่ล้างเหลือเอาไว้ก็เลยไม่เททิ้งตามพระวินัยสั่งไว้ เห็นอยู่นั่น
องค์อื่นไปจับเห็นน้ำเหลืออยู่ ออกมาก็เลยตำหนิ ท่านธรรมกถึกไปถ่ายส้วม เวลาล้างส้วมเสร็จแล้วออกมาทำไมเหลือน้ำไว้ในกระบอก มันผิดพระวินัย ก็พูดเพียงเท่านั้น แล้วก็ไปพูดให้ลูกศิษย์ลูกหาฟัง ลูกศิษย์ลูกหาก็ไปโจมตีกันละซิ อาจารย์ของแกไม่เคร่งพระวินัย ถ่ายส้วมถ่ายถานแล้ว ยังเหลือน้ำไว้ในกระบอก คนนี้ก็ว่าคนนั้นก็ว่า กระเทือนถึงอาจารย์ทั้งสองละซิ อาจารย์ธรรมกถึกกับวินัยธรก็ทะเลาะกัน เมื่อทะเลาะกันแล้วก็ไม่ลงกัน พระพุทธเจ้าเสด็จมาชำระสะสางไม่ยอมฟังเสียง พระองค์ทรงทราบไว้หมดเรียบร้อยแล้ว ทรงดัดสันดาน จึงเสด็จออกไปจำพรรษาที่ป่าเลไลยก์ ช้างอุปัฏฐากอยู่ตั้ง ๓ เดือน
วันนี้เราอธิบายเรื่องนี้ให้ฟัง เรื่องความแตกกัน จนกระทั่งออกพรรษาแล้ว พระอานนท์ไปทูลอาราธนากลับมา พระองค์ก็เสด็จกลับมา นี่ฟังเสียงพระพุทธเจ้าท่านทรงสั่งสอนประชาชนสัตวโลกนะ พอไปใครก็รุมมานี่ เพราะพวกนี้ที่เวลาแตกกันแล้วนั้น ต่างพวกต่างท้องแห้งไปหมดเขาไม่ใส่บาตรให้กิน มีแต่เขาชี้หน้า นี่พวกคณะไหนวินัยธร หรือคณะธรรมกถึก เขาไม่ยอมใส่บาตรให้กินท้องแห้งมันจะตาย เลยลงกันตั้งแต่พระพุทธเจ้ายังไม่มา ปรับปรุงความเข้าใจกันหมด ยอมรับแล้วที่นี่ ว่าต่างฝ่ายต่างผิดด้วยความไม่ลงรอยกัน ผู้ผิดทางธรรมวินัยก็มี การผิดในทางวาทะโต้ตอบกันด้วยทิฐิมานะนี้ก็เป็นความผิดจากหลักธรรมหลักวินัยเหมือนกัน ตกลงเลยยินยอมกัน เสร็จแล้วไปทูลเชิญพระพุทธเจ้ามา
พระองค์เสด็จมาปุ๊บ พวกประชาชนญาติโยมรุมกันมาเต็มหมดเลยนะ มาเขาก็มาชี้หน้า ทั้ง ๆ ที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่นั่น ไหนคณะวินัยธรไหนคณะธรรมกถึก เขามาชี้หน้า ทางนี้ว่าหยุดเห็นไหมล่ะ นี่เป็นลูกตถาคตเข้าใจไหม ลูกเธอทั้งหลายอยู่ในบ้านในเรือนกี่ผู้กี่คนยังทะเลาะเบาะแว้งกันได้ ทะเลาะกันทั่วบ้านทั่วเมืองทำไมไม่เห็นไปชี้หน้า ฟังซิพระพุทธเจ้า นี่ลูกตถาคตก็เป็นคนมีกิเลสเหมือนกัน ก็ย่อมมีการทะเลาะเบาะแว้งกันบ้างเป็นธรรมดา แล้วมายุ่งหาเรื่องอะไร ลูกตถาคต ตถาคตจะชำระเองอย่ามายุ่ง เท่านั้นแตกฮือหมดเลย
นี่ฟังเอาซิเป็นคติไหม ลูกของเธอทั้งหลายไม่ทะเลาะกันเหรอ มันก็ติดที่ตรงนี้ใช่ไหม ลูกมีกี่คนมันทะเลาะกัน โอ๋ย มันกัดกันแทนหมานู่นจะว่าไง หมาในบ้านแตกหนีหมดสู้เด็กทะเลาะกันไม่ได้ พ่อแม่เลยจะตาย อันนี้ลูกตถาคตก็มีกิเลสเหมือนกัน ก็ต้องมีทะเลาะกันบ้างซิ เมื่อยังไม่ได้เห็นเหตุเห็นผลลงรอยซึ่งกันและกัน แตกฮือหมดเลย นี่สั่งสอนปุ๊บ สำเร็จเป็นพระอรหันต์มากมายนะเวลานั้น นี่แตกเป็น ๒ ก๊กแล้วนะ เรียกว่าเป็นธรรมกถึกนิกายหนึ่ง เป็นวินัยธรนิกายหนึ่งแล้ว พอยอมรับพระพุทธเจ้าทุกอย่างจนกระทั่งถึงสำเร็จมรรคผลนิพพานแล้ว ท่านไม่ต้องได้มาญัตติได้มายุ่งกันให้เข้ากันนะ เข้ากันได้พึบเดียวหมดเลย นั่นความพร้อมเพรียง ความเห็นเป็นอรรถเป็นธรรมด้วยกันแล้วเข้ากันได้สนิทเลย ความแตกกัน ก็เมื่อไม่ลงรอยกันแล้วมันก็แตกกันได้โดยหลักธรรมชาติ นี่ละการแตกกันมีอย่างนี้ เพราะฉะนั้นจึงพยายามรักษาตัวของเรา
ทีนี้ให้ย่นเข้ามาหาตัวของเรา พวกนี้พวกธรรมกถึกพวกวินัยธรนะนี่ นั่งเต็มอยู่นี่ ธรรมกถึกวินัยธรมันทะเลาะกัน ออกไปนี้ก็จะทะเลาะกับหมู่เพื่อนอีกนะ อยู่ในครัวมันหลายคน ไม่ทราบคณะไหนคณะธรรมกถึก คณะไหนคณะวินัยธร มันจะทะเลาะกันได้นะ ศาสดาเอกหลวงตาบัวไม่ได้เข้าไปชำระก็เลยไม่รู้เรื่อง เพราะเขาไม่ได้มากระเทือนใหญ่เหมือนธรรมกถึกวินัยธรกระเทือนต่อพระพุทธเจ้า ถึงขนาดที่พระองค์เสด็จหนีเลย นี่มันเป็นอะไรอยู่เราก็ไม่รู้ เป็นแต่เพียงว่าขู่ไว้อย่างนั้นละ มีหรือไม่มีก็ตามขู่ไว้ไม่เสียหาย นี่พรรคหนึ่งนะ พรรคหนึ่งมันหลายผู้หลายคนก็เลยหลายพรรคหลายพวก
คนนั้นแหย่คนนี้ คนนี้แหย่คนนั้นทะเลาะเบาะแว้งกันได้ นี่คณะหนึ่งเข้าใจไหม วินัยธรกับธรรมกถึกมันเล่นกันอยู่ในครัว ต่อจากนั้นมากุฏิเจ้าของ ก็มาเล่นกันกับเจ้าของฟัดกันกับเจ้าของ คนหนึ่ง โอ๊ย เหนื่อย ไปทะเลาะเบาะแว้งกันยุ่งเหยิงวุ่นวายมาเหนื่อยพักสักหน่อยก่อน ทางจงกรมมันไม่มอง เอาแล้วตรงนี้เข้าใจไหม มันทะเลาะกับทางจงกรมกับหมอนละที่นี่ มาเป็นระยะ ๆ เข้าใจไหม แล้วพวกนี้มีไหมแถวนี้ มันทะเลาะกันไหมกับพวกเสื่อกับหมอนกับทางจงกรมน่ะ ต้องย่นเข้ามาอย่างนั้นซิ โอปนยิโก น้อมเข้ามาซิ อย่าฟังให้เสียประโยชน์ ให้ถูกต้องตามประโยชน์
นี่เราพูดถึงเรื่องความพร้อมเพรียงความสามัคคีกัน ด้วยความรู้ความเห็นทิฐิลงรอยซึ่งกันและกัน การประพฤติปฏิบัติมีขอบมีเขตมีหลักมีเกณฑ์ ไม่ใช่ปฏิบัติสุ่มสี่สุ่มห้า อยู่โรงร่ำโรงเรียนก็ครูเป็นหัวหน้าอยู่แล้วอาจารย์เป็นหัวหน้าอยู่แล้ว มีกฎมีกติกาในโรงร่ำโรงเรียน ควรจะปฏิบัติตนอย่างไรตามโรงร่ำโรงเรียน เวลาเรียนก็เรียน เวลาเล่นก็เล่นเป็นธรรมดา เขามีช่องเล่นช่องเรียน เปิดเวลาเท่านั้นปิดเวลาเท่านี้มีทั้งหมด ไม่ว่าโรงเรียนไหนมีกฎมีเกณฑ์ด้วยกัน เราผู้เป็นนักเรียนก็ต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ เวลาเรียน ๆ จริง ๆ เวลาเล่นก็เล่นบ้างเป็นธรรมดา อย่างนี้เป็นความถูกต้องในขนบประเพณีธรรมเนียม กฎข้อบังคับต้องมีด้วยกันทุกคนไม่มีไม่ได้
มนุษย์นี้เลอะมากยิ่งกว่าสัตว์ เพราะมันฉลาดมากทำความเสียหายได้มากยิ่งกว่าสัตว์ทั้งหลาย เพราะฉะนั้นเราจึงต้องพิจารณา ทุกคน ๆ ให้มีกฎมีระเบียบด้วยกัน คละเคล้ากันแล้วสวยงาม ไม่เลอะเทอะ ๆ พากันจำเอานะลูกหลาน นี่ละหลักธรรมหลักวินัยท่านสอนกันอย่างนี้ เช่นอย่างอยู่ในวัดนี้ก็มีหลวงตาบัวเป็นหัวหน้า พระท่านก็ปฏิบัติตามหน้าที่ของท่าน เห็นไหมอยู่ในวัดใครมายุ่งท่านได้ เราก็ไม่ให้ไปยุ่งด้วย นี่ขอบเขตมี ห้ามไม่ให้เข้าไป เฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงด้วยแล้วห้ามเด็ดขาด ผู้ชายจะเข้าได้เฉพาะที่จำเป็นเกี่ยวข้องกับพระที่ท่านใช้สอยไปมาในวัด ในบริเวณนี้เข้าได้ออกได้ นอกนั้นห้ามไม่ให้เข้าสุ่มสี่สุ่มห้า
ทีนี้เวลามาสนทนาธรรมะกันในครัวก็เหมือนกัน พวกในครัวเข้ามาหาพระ อย่างน้อยต้องมีเพื่อนมีฝูงผู้หญิงก็ตามผู้ชายก็ตามมาปรึกษาปรารภกับพระท่าน ให้มาเป็นกาลเป็นเวลา ไม่ใช่มาสุ่มสี่สุ่มห้า มีความจำเป็นจริง ๆ แล้วมาปรึกษาธรรมะได้ เข้าอกเข้าใจแล้วรีบออกไป ๆ อย่ามาเพ่นพ่านกับวัดนี้ไม่ได้นะ ถ้าเราเห็นชี้หน้าไล่ออกเลย เพราะหลักธรรมวินัยเป็นอย่างนั้น เพื่อความเป็นคนดีพระดี ใครมาอยู่ที่นี่เพื่อความเป็นคนดีด้วยกัน อย่าให้เป็นเลอะเทอะนะ ให้พากันปฏิบัติ นี่กฎระเบียบของพระเพื่อความสวยงาม แม้แต่ในครัวก็เหมือนกัน เอ้า ไปซิพระ ไม่มีเหตุมีผลจำเป็นที่จะเด้น ๆ ด้าน ๆ เข้าไป เข้าไปสุ่มสี่สุ่มห้าไปดูนั้นดูนี้ พอรู้แล้วไล่หนีจากวัดเลยไม่ต้องวินิจฉัยใคร่ครวญ เห็นด้วยตาแล้วไล่ออกเลย เราปฏิบัติอย่างนั้นกับพระกับเณร เข้าใจมิใช่หรือ
เพราะฉะนั้นพระเณรองค์ไหนจึงไม่เข้าไป นอกจากได้สั่งได้เสียหรือมีกิจธุระจำเป็นให้ไปแล้วก็ไปได้ตามหน้าที่การงาน ไม่มีอะไรขัดข้อง ถ้าไปสุ่มสี่สุ่มห้าโกโรโกโสอย่างนั้นไม่ได้สำหรับวัดนี้ เราไม่ต้องพูดหลายคำ ท่านนี้ไปอะไร ไปธุระอะไรเท่านั้น ท่านต้องออกจากวัด ไล่เลย ไม่ต้องพูดหลายคำ ธรรมวินัยต้องเป็นธรรมวินัย ความผิดเป็นผิด ความถูกจะไม่ถูกได้ยังไง ดัดกันอย่างนั้นซิ เพื่อความเป็นคนดีพระดี ต้องเข้มงวดกวดขัน วันนี้ก็พูดเพียงเท่านี้ พี่น้องทั้งหลายจำเอาไว้นะ วันนี้สรุปความลงเรื่องกฎเรื่องระเบียบข้อบังคับให้มีอยู่กับทุกคน ๆ ถูกต้องดีงาม เอาละ เท่านั้นละ