ทองคำวันที่ ๒๓ ได้ ๑ กิโล ๒๔ บาท ๙๗ สตางค์ คงเป็นที่ผาแดงเมื่อวานนี้ ดอลลาร์ได้ ๑,๕๖๔ ดอลล์ ทองคำที่ ๔ พันกิโลนั้นเวลานี้ได้แล้ว ๒,๕๕๐ กิโล ยังขาดอยู่อีก ๑,๔๕๐ กิโลจะครบจำนวน ๔ พันกิโลของพี่น้องทั่วประเทศไทย รวมเข้าให้ได้เท่านี้ ส่วนเพิ่มเติมนั้น เช่นอย่างเงินสดหมุนเข้าไปทองคำ จะเพิ่มเติมส่วนใดก็ตามนั้นต่อยอดนะ ๔ พันกิโลนี้ให้เป็นพื้นฐานไว้เลย ให้ได้ว่างั้นเถอะน่ะ ต่อยอดต่อเท่าไรก็ต่อเรื่อย ๆ ไป เวลานี้ทองคำเราที่มอบเข้าคลังหลวงแล้วเวลานี้ ๔,๕๖๒ กิโลครึ่ง เท่ากับ ๓๖๕ แท่ง รวมทองคำทั้งหมดทั้งที่มอบแล้วและยังไม่ได้มอบเวลานี้ได้ ๔,๖๔๐ กิโลครึ่ง
พยายามขึ้นเรื่อย ๆ นะ เราเห็นเป็นช่องเป็นโอกาส จิตใจโล่งอยู่ในจุดนี้แหละ จุดที่พี่น้องทั้งหลายรวมกัน เวลานี้เป็นเวลาที่ราบรื่นของเรา ทั้งทางด้านชาติทางด้านศาสนาก็ราบรื่น เป็นช่องทางเป็นโอกาสอันดีที่พี่น้องทั้งหลายจะได้บริจาค สละทรัพย์สมบัติของตน มีมากมีน้อยบริจาครวมเข้าไปสู่คลังหลวงของเรา ให้มีความแน่นหนามั่นคงยิ่งขึ้น ๆ รู้สึกเวลานี้เป็นเวลาที่ราบรื่นดี ให้พากันขวนขวาย
เมื่อวานนี้ทางภักดีชุมพลก็มารับรถยนต์ไป สั่งให้มารับ พอรถยนต์ตกมาถึงแล้วก็สั่งให้ทางโรงพยาบาลที่ขอมานั้นรับไป ๆ เมื่อวานซืนนี้ยางตลาดให้ไปคันหนึ่ง เมื่อวานนี้ทางภักดีชุมพลให้ไปคันหนึ่ง พร้อมกับเราเพิ่มให้เป็นพิเศษ ดังที่เราเคยพูดไว้แล้วว่า ภักดีชุมพล ๑ เทพสถิต ๑ จ.ชัยภูมิ อันนี้ไกลมาก เพราะฉะนั้นเราจึงให้เป็นกรณีพิเศษ อย่างเมื่อวานนี้ให้เต็มคันรถทั้งสองเลย รถที่เขาขับขี่มาและรถที่เรามอบให้นี้ เอาไปเต็มทั้งสองคันรถเลยเมื่อวานนะ เขาก็มาเพียง ๓ คน ผู้อำนวยการ ๑ กับคนขับรถ ๒ คน เวลารับรถคันนี้ไป คันเก่าคนหนึ่งก็ขับ คันใหม่คนนี้ก็ขับ กับสามผู้อำนวยการเมื่อวานนี้ อันนี้ไกลมาก
เทพสถิตนี้เรายังไม่ได้ไป แต่ก็แน่ใจแล้วจากผู้ที่เขามาเขาว่า ๑๐๕ กิโล ภักดีชุมพลยังใกล้กว่า ภักดีชุมพลเราไปแล้ว เพราะฉะนั้นจึงได้มาพิจารณาสิ่งที่สงเคราะห์ ให้พอเหมาะพอดีกับทางไกลที่ท่านเหล่านั้นอุตส่าห์พยายามมา เราจึงเพิ่มให้ ๆ เช่น บุณฑริกกับโขงเจียม ที่อุบลก็แบบเดียวกัน นอกนั้นเราก็ให้เสมอกันหมด ถ้ายังมีไกลอย่างนี้อีกก็จำต้องเพิ่มเข้าอีกเหมือนกัน เพิ่ม ๆ เพิ่มไปเรื่อย ๆ โหย เราสงสารจริง ๆ นะสงสารโรงพยาบาล เพราะเราไปไม่ได้ไปธรรมดา ก็ไปด้วยความสงสาร มันซอกแซกซิกแซ็กเข้าไปหมดนะ มันหากเป็นในจิตนี้ โรงพยาบาลไหนที่เข้าทีแรก ไม่ว่าโรงไหนจะเข้าซอกแซกซิกแซ็กหมด จนกระทั่งคนไข้ในคนไข้นอก ไปหมดนั่นแหละ เข้าซอกแซกหมดเลย ควรถามก็ถามเพื่อจะเอามาเป็นข้อคิดพิจารณา ควรสงเคราะห์อะไรบ้างก็สงเคราะห์ไป ไปแรก ๆ ต้องเป็นอย่างนั้น โรงพยาบาลไหนไปทั่วถึงหมดเลย จากนั้นก็ไม่ไปละที่นี่ คอยถามสิ่งที่ขาดเหลืออะไร จำเป็นอะไรบ้าง เราก็ถามกันไปสงเคราะห์กันไปอย่างนี้แหละ
เวลานี้รถยนต์กำลังจำเป็น เราก็กำลังจำเป็น ต่างอันต่างจำเป็น ค่อยพิจารณากันไปอย่างนี้แหละ คนไข้จะอาศัยอะไร หมอก็ตะเกียกตะกาย พยายามตะเกียกตะกายแทบจะเป็นจะตาย ทั้งรักษาคนทั้งโรงพยาบาลอยู่แล้ว ไหนจะต้องมาวิ่งหาเรื่องอาหารการบริโภคสำหรับคนไข้มาประจำอยู่ในโรงพยาบาล มันตายนะหมอ พยาบาลกับหมอตายได้นะ เราคิดเห็นอันนี้จึงต้องช่วยหนุนเข้าไป ๆ พอมีได้แค่ไหนก็หนุนกันไป ๆ อย่างนั้น เพื่อให้แบ่งเบาทางหมอและโรงพยาบาลด้วย ไม่ให้เป็นกังวลมากมาย ทั้งเป็นกังวลกับคนไข้เรื่องโรคเรื่องภัย ทั้งเป็นกังวลกับอาหารคนไข้ ตายนะหมอ พยาบาลนะ เราจึงพยายามช่วยจริง ๆ
นี่ก็ขึ้นอีกแล้ว ๒ โรง โรงพยาบาลขึ้นอีกแล้ว ๒ โรง ๒ ตึก ตึกหนึ่งขึ้นแล้ว ตึกหนึ่งกำลังเริ่ม คือปล่อยจากบุ่งคล้าและอากาศอำนวยมา ๒ ตึก แล้วก็มาจับเอา ๒ ตึกนี้อีก นี่เขาก็ขออีก เราให้รองบประมาณก่อน คือได้ทราบงบประมาณจะมา ที่เป็นข้อตกลงกันแล้วก็ดี ที่ยังไม่ตกลงก็ดี ให้รอไว้ทั้งนั้น คอยฟังจนกว่าว่า งบประมาณจะมีมาช่วยเหลือมากน้อยเพียงไร จากนั้นเราค่อยวิ่งหากันใหม่ เช่น นายูง นี้ให้แล้วนะ ก็บอกอย่างสุด ๆ สิ้น ๆ จะให้ว่าไง ตึกนี้สร้างตั้งแต่มาตั้งโรงพยาบาลทีแรก เวลานี้ชำรุดเสียจนการซ่อมไม่มีความหมายเสียแล้ว เราก็เลยแทรกเข้าไปทันที ทับกันไปเลย เอ้า ถ้าหากว่าไม่มีความหมายจริง ๆ ก็ให้เขียนแปลนเสีย ไม่ควรซ่อมไม่ต้องซ่อม เอาใหม่เลย เราตกลงให้แล้วนะ บอกให้เขียนแปลนเลย
ทีนี้พอได้ทราบงบประมาณว่าจะมา เลยให้พักเสียก่อน คือพักเพื่อจะก้าวนั่นเอง ไม่ใช่พักเพื่อจะหยุดนะ พักคอยฟังทางโน้นจะช่วยเหลือได้มากน้อยเพียงไร ทางนี้ก็จะสมทบเข้า ๆ หากทางโน้นไม่มีทางนี้ก็ให้เลยตามที่กำหนดไว้แล้ว หลวงตาพูดยังไงต้องเป็นอย่างนั้นไม่เป็นอย่างอื่น เพราะฉะนั้นจึงได้ดุอยู่เรื่อยพระเณรเหลาะ ๆ แหละ ๆ มา เข้ามาเกี่ยวข้องกับกุฏิเรามันบอกเลย ด้วยเหตุนี้เองกุฏิเราจึงไม่มีพระเข้าไปยุ่งได้นะ พูดจริง ๆ คือมันขวางทันที ความคิดหรือไม่คิดอะไรก็แล้วแต่มันบอกในตัว ผลของงานที่แสดงอะไร ๆ สิ่งเหล่านี้มันบอกชัดเจน มีความรอบคอบไม่รอบคอบแค่ไหน ละเอียดลออยังไงบ้างหรือไม่ มันจะบอกตามผลงานที่แสดงไว้ในกุฏิเรา เข้าใจไหมล่ะ เป็นอย่างนั้น แม้แต่ไม่เห็นตัวก็ไม่อยากให้เข้ามา มาแล้วจะมาเห็นระเกะระกะ
พระเณรไปเกี่ยวข้องกุฏิเราเมื่อไรตั้งแต่ไหนแต่ไรมา เราไม่ให้เข้าไปยุ่ง เราทำคนเดียวของเราหมดเรียบร้อย ๆ ไปเลย ยุ่มย่าม ๆ ขวางนั้นขวางนี้ อู๊ย เอาอะไรมาขวางหัวใจ ขวางหู ตา จมูก ลิ้น กาย มันก็เข้าหัวใจล่ะซิ จึงไม่ให้เข้ามายุ่ง อย่างจำเป็นจริง ๆ ที่ไม่เป็นเรื่องยุ่งมากนักก็ปล่อยไป อันไหนที่ใกล้ชิดกับเราจริง ๆ ไม่ให้มายุ่ง เราทำของเราเอง เราทำของเราไว้เป็นกฎเป็นระเบียบของเราเรียบร้อย คิดไว้หมดในนั้น ใครมาเคลื่อนปั๊บรู้ทันที นั่นฟังซิน่ะ มันเป็นของมันเองนี่ เพราะฉะนั้นจึงกล้าสอนโลกล่ะซี มาสอนแบบสุ่มสี่สุ่มห้าหรือ เราไม่ได้ทำสุ่มสี่สุ่มห้าในตัวของเราเองก็ดี ผู้มาเกี่ยวข้องกับเราใกล้ไกลอะไรก็ดี มันก็ดูกันอยู่ตลอดเวลาจะว่าไง
บางทีเราก็ไปตามกุฏิเรา บางทีนะ คือมันขวางเอาเหลือประมาณ ไปวางนั้นระเกะระกะ เราไปดู ๆ แล้วเพิ่มเข้าอีกว่างั้นเถอะ อันนั้นระเกะระกะจับมารวมมัดเป็นกองไว้ในกุฏินั่นละ เราไปหาเก็บมารวมแล้วมัดเป็นกองไว้ในกุฏิ วันหลังไปเรียกมา เห็นไหมล่ะ สอนแบบนั้นมี หลายแบบ คือไปแล้วเจ้าของไม่อยู่ในกุฏิ ไปเห็นระเกะระกะ วางอะไรแสดงถึงคนไม่มีสติ ไม่มีจิตใจเจาะจงกับสิ่งใด ทำไปแบบเลอะ ๆ เทอะ ๆ ละเมอเพ้อฝันไปอย่างนั้น มันบอกในตัวของมันเสร็จ ทีนี้เวลาจิตเข้าไปนี้มันจับได้หมด เพราะไปด้วยความจงใจ พิจารณาไปพร้อม ดูแล้ว ๆ ได้ยินปั๊บคิดแล้ว ทีนี้เวลาไปเห็นเลอะ ๆ เทอะ ๆ จะมาสอนยังไง ก็เลยให้ไปสอนแบบเราสอนนี่แหละ คือสอนพวกเพื่อนเดียวกัน สอนยังไง คือเราสอนแบบนี้ก็ต้องเอาแบบนี้ไปสอน ไปซุบ ๆ ซิบ ๆ ระวังนะมากุฏิหลังไหนให้ระวังนะ เอาแบบนั้นนะ จนเงียบไปเรียบไปด้วยกัน นี่สอนแบบนี้ก็มี สอนแบบเปรี้ยงปร้างหลบทันไม่ทันหงายหมาเลยก็มี มันหลายแบบ
อยู่ในทางจงกรมยังดูหมด ใครไปเกี่ยวข้องกับทางจงกรม ดูไปหมดรอบ ๆ ทางจงกรม ไปที่ไหนดูตลอดนะ มันอดไม่ได้ที่ได้เอามาพูดนี่นะ ตั้งแต่สว่างไก่ตัวหนึ่งร้องแก้ก ๆ เหมือนมีอันตรายเราก็ฟัง เสียงพระอยู่ข้างนอกก็ได้ยินเสียงกุ๊กกิ๊ก ๆ อยู่ เราไม่ออกมาแหละ ตอนพระเข้าไปกุฏิเรา เราอยู่ในห้องเราไม่ออก จนกระทั่งพระหนีหมดแล้วเราถึงออก ออกก็เข้าทางจงกรมเลย เมื่อเช้านี้เสียงร้องตั้งแต่พอสว่าง เสียงมันร้องแก้ก ๆ เหมือนมีอันตราย มันร้องอยู่นั้น เอ๊ มันเป็นอะไร พระองค์ไหนจะไปที่นั่นความหมายว่างั้นนะ นี่เรียกว่าเสียงผิดปรกติแล้ว ถ้าพระมีหูมีใจก็จะต้องเข้าไปที่นั่นแหละ เราอยู่ในห้องเราเข้าแล้วนี่ ดูเหตุการณ์ของไก่มันเป็นยังไง ๆ จากนั้นมันก็กะแต้ก ๆ อยู่นั้นเรื่อยตลอด จนกระทั่งพระหนีหมดยังกะแต้ก ๆ อยู่
เราก็เข้าไปดูมันมีอะไร หรือมีงูมีอะไรอยู่นั้นมันถึงกะแต้ก ๆ อยู่งั้นตลอด ตั้งแต่เช้ามาจนกระทั่งสายไม่หยุด ไปก็เอาใหญ่เลย คว้าได้ก้อนกรวดตามนั้นกำไว้เต็มมือ เอาหนังสะติ๊กติดมือแล้วก็ไป มึงร้องอะไร มันก็ร้องอยู่นั่นละใกล้ ๆ ก็มันไม่ได้กลัวใครนี่มันเคยกับพระแล้ว กะแต้ก ๆ อยู่งั้น มึงกลัวอะไร เราก็หาดูเหตุการณ์ที่มันกลัว เช่นอย่างมีงู มันทักไว้เพื่อเตือนลูกก็ได้ ลูกมันมี ไปหาดูที่ไหนก็ไม่มี มันก็ยังกะแต้ก ๆ เราเดินเข้าไปนี้มันก็ยังกะแต้ก ๆ อยู่ไม่ยอมหยุด หาดูหมดไม่มีอะไรแล้ว ทีนี้ตั้งท่ากำก้อนกรวดในมือฟาดทางโน้นทางนี้เลยเปิดทั้งแม่ทั้งลูกเลย หายเงียบ นั่นมันชอบอย่างนั้นต้องเอาอย่างนั้นใช่ไหม มันหลายแบบนะหลวงตา ไปหาดูอันตรายก็ไม่มี มันร้องอะไรนักหนานี่นะ ลูกก็อยู่ด้วยกันนั่นไม่เห็นตื่นเต้น แต่แม่เป็นบ้าอะไร นั่นละเอาแม่มัน สุดท้ายลูกวิ่งตามแม่ ไล่ขนาบเลย เข้าป่านู้นอีกนะ เข้าตามไล่เอาจริง ๆ ตั้งแต่นั้นมาเงียบเลยจนกระทั่งป่านนี้ ไม่ได้ยินเสียงกะแต้ก ๆ มันชอบอย่างนี้ต้องเอาอย่างนี้ให้ นี่พูดมาสัมผัสก็เลยพูดให้ฟัง
คือไก่ที่มีกะต๊ากมันมีเหตุการณ์นะ ธรรมดามี ทีนี้เราไปหาดูอะไรมันก็ไม่มี สุดท้ายกำก้อนกรวดได้เต็มมือก็ไล่หลงทิศไป ทั้งแม่ทั้งลูกวิ่งตามกันไปอึกทึก เดี๋ยวนี้เงียบเลย ไก่เริ่มมากขึ้นอีก ตัวเล็ก ๆ ค่อยโตขึ้น โหย ไก่ตายมากนะ ตายคราวนี้แทบจะไม่มีไก่เหลือติดวัดนะ ไปที่ไหนเบาบางหมด ระยะนี้ค่อยมีตัวเล็ก ๆ ขึ้น เข้าไปในครัวมองไปก็ค่อยมีขึ้นบ้างแล้วเวลานี้ แต่ก่อนในครัวไก่ยั้วเยี้ย ๆ ไปแทบไม่เห็นไก่เลย ตายเกือบหมด ระยะนี้ค่อยมี กระแตก็มีตามแถวนั้น
เรารักแต่กระแต ไปที่ไหนจ้องหาดูแต่กระแต คือแมวไม่เข้ากระแตก็ค่อยงอกเงยขึ้น ถ้าแมวเข้าแล้วหมดนะ จึงได้บอกว่างูทางมะพร้าว งูสา ใครเจอแล้วให้รีบมาบอกพระ ถ้าเป็นกลางวันให้รีบมาบอกพระ ให้ดูตัวมันไว้มันเลื้อยไปไหน คนหนึ่งให้เดินตามไป แล้วคนหนึ่งรีบออกมาบอกพระ ให้พระไปจับ นี่ละตัวสำคัญของกระแต ไม่มีเหลือนะ เทียบกับแมวตัวหนึ่งงูนี้ มันหลอกกระแตนี้ของเล่นเมื่อไร พอได้โอกาสปั๊บพันเลย เราไปเห็นแล้วอยู่หน้าทางจงกรมเรา กระแตมากินน้ำ งูก็ไปเฝ้าอยู่ในน้ำ หัวจงกรมเราด้วย เราเดินจงกรมก็คอยสังเกตดู เพราะยังไงก็ไม่มีอันตรายถ้าเราอยู่ที่นั่นว่างั้นเถอะน่ะ มันจะทำแบบไหนกันก็เราดูอยู่ที่นั่น
สักเดี๋ยวมันหลอกกันนะ ทำให้กระแตเผลอ หลอกทำท่าอย่างนั้นอย่างนี้ กระแตก็วิ่งรอบนั้นรอบนี้ พอได้โอกาสปั๊บฉวยมับเลยนะ พันเลย พอพันเราก็โดดใส่เลย จับได้เลย งูนี้แหละ กระแตหลุดก็วิ่งชนต้นไม้ต้นอะไรไป แต่ไม่เป็นไรแหละ เราก็จับงูได้เลย เป็นอย่างนั้นนะ จึงได้เห็นเพลงของมัน อุบายวิธีการที่มันหลอกสัตว์กินเป็นอย่างนั้น ๆ เราดูอย่างชัด ๆ ก็เรายืนเฝ้าอยู่นั้น เดินจงกรมดูอยู่มันจะเป็นอะไร ยิ่งเห็นอย่างนั้นแล้วเดินจงกรมก็ไม่เดิน ยืนดูอยู่นั้นมันจะเป็นยังไง พอพันปั๊บก็ถึงกันเลย นี่ว่ากลัวงูก็กลัวนะ ธรรมดาแล้วกลัว แต่ทุกวันนี้พูดตามความจริง ไม่ทราบว่ากลัวหรือไม่กลัว เหตุผลเท่านั้น ถ้าเป็นงูไม่เป็นภัยไม่ระวังมากนัก เช่น งูทางมะพร้าว งูเขียว พระฉวยได้ยังไงเราก็ฉวยได้แบบเดียวกัน แน่ะ คือเหตุผล มันไม่เป็นภัยกลัวหาอะไร ไม่เป็นภัยก็ต้องไม่กลัวถึงเรียกว่ามีเหตุผลใช่ไหม มันไม่เป็นภัยยังกลัวอยู่ก็เรียกว่าบ้ากลัวเข้าใจไหม อันนี้ไม่กลัว ฉวยมับเลย จับได้เรื่อยแหละเรา ดีไม่ดีพระอาจจะคิดงงเหมือนกัน คือปรกติเราก็ลักษณะกลัวงู แต่เวลาจำเป็นจับงูมาให้พระ แน่ะเป็นอย่างนั้น เอาได้นะ เหตุผลเท่านั้น
คำว่ากล้าว่ากลัวมันก็ไม่ปรากฏ ดังที่เคยพูดแล้ว เทศนาว่าการสนั่นเมืองไทยเราก็บอกแล้วว่าเราไม่มีกล้าไม่มีกลัว ไม่มีแพ้ไม่มีชนะ ไม่มีได้มีเสีย เป็นเรื่องของธรรมล้วน ๆ ออก เราก็บอกอย่างนั้น เราไม่อยู่ในวงกรณีพิพาท แล้วเทศน์ก็เทศน์อย่างนั้น ใครผิดใครถูกบอกโดยตรง ๆ ในฐานะของธรรมซึ่งเหนือกว่าทุกอย่างแล้ว เราก็สอนอย่างนั้นนะ ทีนี้ปฏิบัติต่อโลกก็แบบเดียวกัน
เปิดดูข้อมูล วันต่อวัน ทันต่อเหตุการณ์ หลวงตาเทศน์ถึงเรื่องอะไร www.luangta.com