มหาภัยกำลังคืบคลานเข้ามา
วันที่ 23 ตุลาคม 2544
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔

มหาภัยกำลังคืบคลานเข้ามา

เมื่อวานนี้ทางโรงพยาบาลปากชมขอรถยนต์ เราบอกให้รอไว้ก่อน ทั้งหนึ่งเราหนัก สองทั้งรองบประมาณรัฐบาลจะตกมา รอฟังนั้นก่อน ถ้าหากจำเป็นจริง ๆ แล้วเราค่อยพิจารณาทีหลัง เวลานี้ให้รองบประมาณรัฐบาลก่อน เพราะได้ทราบแรก ๆ ว่างบประมาณจะมาอยู่ เกี่ยวกับเรื่องโรงพยาบาลฟังว่าเป็นธรรม เพราะฉะนั้นเราถึงรอ ถ้าคุณทักษิณทำแล้วเราเชื่อนะเราพูดจริง ๆ เราติดตามมาตลอดทุกอย่าง ไม่ใช่มาสุ่มสี่สุ่มห้า ชอบคนนี้ เอาคนนี้ โอ๋ย ไม่ได้ ต้องเหตุต้องผลหลักธรรมคุณธรรม ไม่ว่าใกล้ว่าไกล เช่นอย่างนายกนี้ใครจะสามารถยกเมืองไทยเราได้ พิจารณาเสียเต็มเหนี่ยวแล้ว เอา ว่างั้น ใส่ตูมเลย ไม่ใช่ว่าเอาคนนี้ ๆ ฟาดไปฟาดมาคว้าอะไรไม่ทันไปฟาดเอาไอ้หยอง มันไล่กัดเอาหลงทิศไปนะ ไปเอาสุ่มสี่สุ่มห้า ไอ้หยองไม่ใช่นายกมันว่าอย่างนั้นจะว่ายังไงล่ะ ข้าเป็นไอ้หยองต่างหากมายุ่งข้าทำไม สุดท้ายสู้มันไม่ได้ แพ้คดีมันเลยไม่ต้องไปขึ้นศาล แพ้ไอ้หยองแล้ว ใช้ไม่ได้หลวงตาบัวแพ้ไอ้หยอง ต้องมีเหตุมีผลทุกอย่าง

บอกเมื่อวานนี้ให้รอไว้ก่อน รอจังหวะ เมื่อจำเป็นจริง ๆ แล้วเราค่อยพิจารณากันอีกทีหนึ่ง กับตึกโรงพยาบาลนายูง ตึกหลังนี้ตั้งแต่เริ่มสร้างโรงพยาบาลมาพังไปหมด ซ่อมก็ไม่มีความหมาย เราก็เลยบอกว่าถ้าไม่มีความหมายก็รื้อเท่านั้นเอง เอ้า เขียนแปลนเสียเราว่างั้น นี่ยังไม่ทราบเรื่องงบประมาณเราก็ดิ่งลงไปเลย ทีนี้พอทราบว่างบประมาณใหม่นี้จะมาลักษณะอย่างนั้น ๆ เลยไปยับยั้งทางโรงพยาบาลนายูง บอกให้รอไว้ก่อนนะ คือรอจังหวะที่งบประมาณจะมายังไงต่อยังไง หากว่างบประมาณเป็นไปได้พอผ่านได้ก็ผ่านไปกับงบประมาณเลย ถ้าหากว่าผ่านไม่ได้จำเป็นแล้ว เราจะยึดคำเดิมเอาไว้ คำเดิมคือว่าเราให้ทำแปลน เราจะให้เอง ถ้าหากว่าเป็นไปไม่ได้แล้วเราก็เข้าเลย อันนี้มีข้อแม้อยู่ ทางปากชม อันนั้นยังไม่ทันได้ว่าอะไร บอกให้รอไว้ก่อนไปเลย อันนี้ตกลงกันเรียบร้อยแล้วนี่ ยังแต่จะลงมือเท่านั้น เมื่อได้ทราบเรื่องงบประมาณ เลยเอางบประมาณเข้าไปเป็นข้อแม้ บอกให้รอไว้ก่อนเราว่างั้น

ภักดีชุมพล ๑ เทพสถิต ๑ นี่ไกลด้วยกัน ทั้งสองโรงนี้ไกลด้วยกัน ดูว่าเทพสถิตไกลกว่าด้วยนะ ภักดีชุมพลเราก็ไปเองตั้ง ๓๒๒ กิโล ตั้งเข็มไมล์ไปจากนี้ถึงภักดีชุมพล ๓๒๒ กิโล ไปโคราช ๓๑๕ กิโลถึงกลางเมืองโคราช อันนี้ตั้ง ๓๒๒ กิโล ไกลกว่าโคราชไปอีก ๗ กิโล แล้วเทพสถิตยังไกลกว่าภักดีชุมพลอีก นั่นไม่ใช่ของเล่นนา นี้ชัยภูมิเหมือนกัน มี ๒ จังหวัดที่เราให้เป็นพิเศษ คือระยะทางไกลเช่นเดียวกัน อุบล จากอุบลไปบุณฑริก ตั้ง ๗๐ กิโล พวกโขงเจียม บุณฑริก พอ ๆ กันว่างั้น อันนี้ก็ให้เป็นพิเศษเช่นเดียวกับชัยภูมิ

๒ จังหวัดนี้ จังหวัดละสองโรงพยาบาลให้เป็นกรณีพิเศษ วันนี้ยิ่งให้เป็นพิเศษไปนี่นะ พิเศษ ๆ พิเศษอีกทีหนึ่ง คือทางโน้นเอารถพยาบาลมา โทรไปสั่งให้มาเอารถพยาบาลคันนี้ ตกมาแล้วให้ไป ทางโน้นก็เอารถพยาบาลมา ทีนี้รถคันนี้เราก็เอาใส่ของให้เต็ม รถพยาบาลที่คันมาจากนู้นเราก็ใส่ให้เต็มเหมือนกัน ให้เต็มหมดด้วยกันทั้งสองคันเลย อันนี้เรียกว่าให้เป็นพิเศษ ๆ ย้ำกันเข้าอีก พิเศษย้ำพิเศษ อย่างอื่นเราก็สั่งเพิ่มให้หมดแล้ว สั่งเพิ่ม ๆ ไว้หมด แล้วตบท้ายด้วยข้าว ขาดเท่าไร ๆ ไม่พอเท่าไรให้เอาข้าวตบท้าย ๆ จนเต็มรถแล้วไปเราว่า

วันที่ ๒๗-๒๘ นี้เราก็จะได้ไปสุพรรณนะ จะไม่เข้ากรุงเทพ ไปนี้ก็ตรงแน่วไปเลย ไปที่ อ.ด่านช้าง ใกล้กับ จ. อุทัยธานี คราวหนึ่งดูเรามาจากทางปราจีนกระมังแล้วตัดเข้าสุพรรณ ทางสายนี้ละเราผ่านภาชี พอผ่านภาชีเขาชี้บอกว่าที่ที่เขาถวายหลวงตา คือเราบอกว่าเราไม่มีปัญญาที่จะมาหาเอาที่เอาทางอะไร เราหาธรรมเราก็ว่างี้ ก็เราเป็นอย่างนั้น คนถวายอะไรต่ออะไรมากต่อมาก เราไม่ค่อยได้รับง่าย ๆ ถ้ารับมันเป็นภาระ ทีนี้เขาก็เลยย่นลงไป เขาจะรอขายได้แล้วเขาถึงจะเอาปัจจัยนั้นไปถวายเลย เราก็ไม่ตอบ เฉยเลย ก็แล้วแต่เขา ที่มันกี่ไร่ ราคายังไม่เหมาะสมยังไม่เอาว่างั้น นั่นละที่เขาชี้บอกที่อยู่ทางภาชีนี่ ทางเราก็ต้องผ่านภาชีเราว่างั้นนะ เขาชี้บอกที่แถวนี้ ๆ

นี่ก็ลูกศิษย์นั่นแหละ ลูกศิษย์มาแต่แม่เขา แม่เขาไม่ถูกต้มไม่ใช่ยกตัวนะ เพราะเรานั่นเอง เขาพูดถึงว่าวันพรุ่งนี้เช้าเขาว่างั้นนะ เขามาหาเราตอนเย็น วันพรุ่งนี้เช้าเขาจะไปจ่ายเช็คอะไร ๆ ให้เขา เขาพูดอย่างนี้ละ ตกลงเรื่องเช็คเขียนเช็คไปเรียบร้อยแล้วว่างั้น แล้วจะไปจ่ายเช็คให้เขาแล้วตกลงอะไรกับที่นี้ มันสะดุดกึ๊กขึ้นทันทีเลย ระวังนะ ขึ้นทันทีเลย อย่างนั้นนะ ถ้ามันรุนแรงมันก็ออกรุนแรง ระวังนะ ต้องวาดลวดลายไว้นะ ลวดลายของเขาเต็มตัวเราต้องเต็มตัว ไม่เต็มตัวหงายมานะเราบอก ไปก็ถูกจริง ๆ พอเขาได้เช็คแล้วก็ปั๊บเข้าธนาคารเลย เข้าไปก่อนเลย ทีนี้ก็สะดุดจิต ถึงขนาดบอกแล้วยังเผลอยังเป็นบ้าอีกนะ สะดุดจิตหลวงตาท่านสั่งไว้ เลยปุ๊บปั๊บโทรไปหาธนาคารทันทีเลย เช็คฉบับนั้น เลขหมายเท่านั้น ๆ อย่าด่วนจ่าย บอกทันที ตกลงเรียบร้อยเขาไปแล้วเห็นไหมล่ะ เขาจะเอาแล้วนั่นน่ะ

นี่ละแม่คนนี้แหละ แม่ล่วงไปแล้ว เขาจะถวายที่นี้ให้เราไม่ใช่ใคร ลูกศิษย์ทั้งนั้น เขานิมนต์เราไปฉันที่บ้านหนหนึ่งเราก็จำได้ซิ นี่เราก็ไม่ลืม บอกให้แต้มลายนะ ไม่แต้มไม่ได้ ถูกต้มหงายมานะเราว่างั้น คือมันออกผึงทันทีเลย ขนาดนั้นไปแล้วยังเอาเช็คให้เขานะ ดูซิน่ะ บอกขนาดนั้นนะ สะดุดใจกึ๊กเลย ยังไม่ได้ไปดูที่ที่จะตกลงกัน คือเราไม่ได้เข้าไปที่ที่นั่น แทนที่ว่าเขาเอาเช็คแล้วเขาจะไป เรียบร้อยแล้วถึงจะไปจ่ายเช็ค ความคิดคงเป็นอย่างนั้นนะ มันไม่เป็นอย่างนั้น พอได้เช็คแล้วปั๊บเข้าธนาคารเลย ก็เรียกว่าถูกต้มแล้วนั่น เลยรีบโทรไปธนาคาร หวุดหวิดไปเลย อย่างนั้นแล้วเราถึงได้ระลึกได้ แม่ของเด็กเหล่านี้แหละที่จะถวายที่น่ะ ตายไปแล้วเวลานี้ เป็นอย่างนั้นนะ

อู๋ย มนุษย์ทุกวันนี้ไว้ใจไม่ได้นะ เงินไม่ใช่น้อย ๆ นะนั่นน่ะ ก็เรียกว่าหมดตัวเลย มันจะพลิกเหลี่ยมไหนก็พลิกไปแล้ว เขาคิดไว้พอแล้วเขาถึงเตรียม พอได้ปั๊บปุ๊บเลยเราหงายเลย เพราะคนหนึ่งคิดไว้แล้วคนหนึ่งไม่ได้คิด มันก็ต้องหงายทันที นี่มันเดชะยังไงก็ไม่รู้ ไปสะดุดใจเลยบึ่งโทรหาธนาคาร เขาไปถึงธนาคารแล้ว เช็คใบนี้คนเอาไปแล้ว เกือบ มันเป็นอย่างนั้นนะ อู๊ย เราสลดสังเวช ยิ่งเรามาเกี่ยวข้องกับชาติบ้านเมืองแล้วได้ไปเจอด้วยตัวเอง แหม ยังสะดุดใจสลดสังเวชอยู่กับความสกปรกโสมม ความหน้าดื้อหน้าด้านพวกเปรตพวกผีนี้ สะเทือนหัวใจตลอดเวลา เราพูดจริง ๆ นี่ละธรรมพูดอย่างนี้ เราได้เห็นประจักษ์กับตัวของเรานี้จึง โถ สกปรกขนาดนี้เทียวหรือวงราชการ ว่างั้นนะ มันวงเปรตวงผีกินบ้านกินเมืองล้วน ๆ ขึ้นทันทีเลยในหัวใจ สะเทือนมากนะ ช่วยชาติบ้านเมืองคราวนี้เราสะเทือนใจมาก เรื่องผ่านไปแล้วเรื่องความสะเทือนใจกับเหตุการณ์นี้ซึ่งมันจะมีต่อไปข้างหน้ามันไม่ได้ลดละนะ มันเคยมายังไง มาถึงที่นี่แล้วมันจะก้าวต่อไปแบบนี้ละว่างั้นเลย นี่ละมันสะเทือนใจมาก เพราะฉะนั้นถึงได้ออกรุนแรงซิกับบ้านเมืองคราวนี้

พี่น้องทั้งหลายได้ยินไม่ใช่หรือ หลวงตาออกเป็นยังไง มันรุนแรง ไม่รุนแรงไม่ได้ชาติไทยเราหมด ทั้งศาสนาหมดไปพร้อมกันเลยไม่เหลือ เลยสลดสังเวชตลอดมานะ สะเทือนหนักจริง ๆ คราวนี้ ตั้งแต่เราบวชมาว่างั้นเลย มีคราวนี้เป็นคราวสะเทือนทั่วแดนไทย ทั่วแดนศาสนาของเรา ซึ่งมาอยู่ในความประจัญบานของเราคนเดียวหมด ทางศาสนาก็ เอา มาว่างี้เลย ถึงขนาดนั้นนะ มันจะเอาศาสนาให้จม เราอ่านดูเหตุผลกลไกแล้วกับศาสนาเป็นยังไง ๆ นี่ละเหตุที่เราพูดได้อย่างชัดเจน ถ้าเราไม่ได้อ่าน พูดสุ่มสี่สุ่มห้า เราก็ไม่เคยพูดนะ

นี่เราได้อ่านชัดเจนแล้ว ดูอะไรมีแต่เรื่องกินเรื่องกลืนเรื่องเอาให้ล่มให้จม ไม่มีชิ้นดีเลยในรายการรายงานเขา ศาสนาคอยแต่เป็นเนื้อบนเขียงให้เขายำกินกลืนกินเท่านั้น พอดีได้อันนี้มาอ่านชัดเจนกับเรื่องศาสนาเข้ากันได้ยังไง ๆ เราก็รักษาศาสนา เรียนธรรมมาเท่าไรแล้ว วงศาสนาเรียนมามากขนาดไหนมันก็รู้ล่ะซี กับเรื่องที่จะมาเป็นข้าศึกต่อศาสนา รู้ทันทีเลย เพราะฉะนั้นถึงอย่างนี้เลย เอา มา หลวงตาบัวคนเดียวก็เอาละ ว่างี้เลย พระสงฆ์ทั่วประเทศไทยไม่ได้เกี่ยวกับท่านองค์ใดเลย เราขึ้นคนเดียวเลย เอา ๆ มาว่างั้นเลย นู่น เวลานี้หลวงตาบัวยังไม่ตาย บอกตรง ๆ อย่างนี้นะ ออกทางวิทยุด้วยนะไม่ใช่ธรรมดา ถ้าลงได้ออกมันไม่รอใครแหละ ที่จะให้กลัวให้กล้าเราไม่มี มีแต่ธรรมล้วน ๆ พุ่งเลย

เราพูดตามหลักความจริง ใครจะเอาเราไปฆ่า-ฆ่าซิ เราไม่เคยสนใจกับเรื่องความเป็นความตาย นอกจากธรรมที่เราเทิดทูนเต็มหัวใจเรา กับเพื่อคุ้มครองรักษาชาติและศาสนาของเรา ให้เป็นไปด้วยความแน่นหนามั่นคงสงบเย็นใจเท่านั้นเอง เรามุ่งอย่างนั้นไม่ได้มุ่งอย่างอื่น ประสาคอเรายากอะไร ไม่ฆ่ามันก็ตายอยู่แล้วมายุ่งกับมันทำไม เพราะฉะนั้นจึงพูดได้ตามอรรถตามธรรมทุกอย่างเลย โห หวุดหวิดนะไม่ใช่เล่น ยิ่งสกปรกเข้าทุกวันนะ บ้านเมืองทุกวันนี้ยิ่งสกปรกเข้าทุกวัน หาธรรมไม่ได้เลย จนมองดูจะดูไม่ได้ว่างั้นนะถึงขนาดนั้น เราถึงได้เตือนพี่น้องทั้งหลายเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับเรื่องศาสนาดังที่ว่านี่ นี่ตัวมหาภัยกำลังคืบคลานเข้ามาทุกแบบทุกฉบับให้ระวังให้ดี บอกแล้วนะ หลวงตาบัวตายแล้วความจริงนี้ไม่ตาย ที่บอกไว้นี้สอนไว้นี้ไม่ตาย ถ้าใครฝืนก็ตายเลยหงายเลย ๆ ถ้าไม่ฝืนก็ไปได้

มันเป็นถึงขนาดนั้นโลกสกปรกทุกวันนี้ แหม สกปรกจริง ๆ ไม่ใช่ธรรมดา เอาธรรมจับจนจะดูไม่ได้กับความสกปรก มองดูนี้มีแต่ตัวสกปรกเต็มตัว เป็นคนเป็นสัตว์อะไรก็แล้วแต่ มีแต่ความสกปรกเรื่องของกิเลสที่จะลากถูคนลงสู่ความล่มจมเต็มตัว ๆ ทุกคน หาธรรมที่จะมาคัดค้านต้านทานมีน้อยมาก มีก็ไม่พอกับกำลังความชั่วนะ ความชั่วมันหนาแน่นขึ้นทุกวันนี้ โอ๊ย ทุเรศจริง ๆ แต่ก่อนเราก็อยู่ตามสภาพของเรา ไม่ใช่ว่าเราไม่รู้เรื่องเหล่านี้ ลูกศิษย์ลูกหาเราเต็มกระทรวงทุกกระทรวง กระทรวงไหนไม่มีลูกศิษย์ไม่มี มีแต่ลูกศิษย์ทั้งนั้น ๆ เขามาเล่าให้ฟังทุกสิ่งทุกอย่างทุกแง่ทุกมุม ส่วนมากก็มีแต่คนดีเขามาเล่าให้ฟัง คนชั่วมันไม่มาเล่าแหละ เล่าอะไรก็เข้าลิ้นชัก ๆ รับทราบ เหมือนไม่ทราบ เรื่องโลกเป็นอย่างนั้น เราก็ปล่อยไปตามเรื่องไม่ค่อยสนใจ จนกว่าเรื่องเราเข้าไปเกี่ยวข้องนี่ปั๊บ เรื่องนั้นมันเข้ามาประดังกัน มันถึงได้ขึ้นรับกันตรงนี้ ถึงได้ชัดเจนไม่สงสัยเลยที่นี่ อ๋อ เป็นอย่างนี้ หน้าด้านขนาดนี้เทียวนา จนจะมองดูไม่ได้ โธ้ ทุเรศจริง ๆ มันพิลึกกึกกือ มีแต่ความสกปรกเต็มบ้านเต็มเมือง

อันนี้เราพูดถึงเรื่องภายนอก เข้าใจไหมล่ะ การพูดต้องมีนอกมีใน ที่นี่ย่นเข้ามาภายในของเรา มันมีแต่ความสกปรกเต็มหัวใจ เรื่องอรรถเรื่องธรรมจะบึกจะบึนเข้าสู่คุณงามความดี นั่งสมาธิภาวนา เดินจงกรม พอมีสติสตังบ้าง กิเลสตีหงายออก ๆ หมดทั้งตัวเรานี่ แถวนี้แหละ แถวใกล้ ๆ หลวงตานี่ มันจะเอาให้หลวงตาตายไปด้วยกันพวกนี้ พวกบ้าไม่เลิก คือสติไม่มีจนเป็นบ้า เข้าใจไหมล่ะ มันพิลึกกึกกือ ทั้ง ๆ ที่เดินจงกรมหย็อก ๆ สติไม่ทราบไปไหน ไปทะเลนั้นไปนรกหลุมนี้ ไปอเวจีหลุมนั้น นู่นนะ ไม่ได้มาอรรถมาธรรมพอจะลากจะเข็นขึ้นนะ

เดินจงกรมสวยงามหย็อก ๆ เวลากิเลสมันลากสตินี้ฟังเสียงดังโครมคราม ๆ คือสติวิ่งไปตามกิเลสไม่ทัน มันลากไปฟังเสียงดังโครมคราม ๆ คือลากเข็นไประไปอย่างนั้น ต้นไม้ภูเขานี้พังไปเลย คือกิเลสลากสติ สติถลอกปอกเปิกไปเรื่อย ๆ ทางเจ้าของยังเดินจงกรมหย็อก ๆ ฟังซิน่ะ แล้วดูท่างามด้วยนะ เดินจงกรมทำท่าหย็อก ๆ สติกิเลสเอาไปถลุงอยู่ในป่านั้นในภูเขาลูกนี้ ในนรกหลุมนั้นอเวจีหลุมนี้ ฟังเสียงแง้ ๆ เรียกหาเจ้าของ เจ้าของยังเซ่อเดินจงกรม อู๊ย มันน่าทุเรศนะ เป็นยังไงมีไหมในศาลาหลังนี้ มันของเล่นเมื่อไร พูดเหล่านี้คือฟัดกันแล้ว ฟัดกันตั้งแต่ที่ว่าจิตเสื่อม ๆ

มันทำไมจิตเรานี้ตั้งอกตั้งใจฟาดเอาเสียจนทั้งวันทั้งคืน บางคืนไม่ได้หลับได้นอนเลยก็มี พอมันขึ้นถึงที่ของมันแล้วมันอยู่ตามธรรมดาเพียง ๓ วัน แล้วมันจะลดของมันลง ลดฮวบ ๆ เอาอะไรต้านทานไว้ไม่อยู่เลย มันลงถึงขีดยังเหลือแต่อีตาบัว สติมันเอาไปแกงแล้ว ปัญญามันเอาไปต้มยำแล้ว กินเลี้ยงกันอึกทึก ทางนี้อีตาบัวยังเดินจงกรมหย็อก ๆ ฟังให้ดีนะ นี่อีตาบัวขึ้นเวทีแล้วนะ พูดเรื่องเวทีให้ฟัง นั่นเป็นเพราะเหตุใด เพราะเรายังจับหลักไม่ได้ เรื่องจิตของเรามันทำไมขึ้นอย่างนี้แล้ว จนกระทั่งบางคืนไม่นอนเลยกลัวมันจะเสื่อม มันก็เสื่อมต่อหน้าต่อตา เป็นเพราะเหตุไร จึงทำให้คิดถึงแง่คำบริกรรม เอ๊.มันอาจจะเป็นเพราะเราขาดคำบริกรรม มันอาจเผลอไปตอนนี้ก็ได้ มันถึงไปเสื่อมต่อหน้าต่อตาได้ตลอดมาอย่างนี้ เอ้า.คราวนี้เราจะตั้งโปรแกรมใหม่

แต่หลวงตาไม่ค่อยเหมือนใครง่าย ๆ ว่าอะไรเป็นอันนั้นนะ ถ้าลงว่าตัดสินใจปึ๊บแล้วเหมือนหินหัก จะเอามาต่อกันนี้ก็เป็นรอยต่อเสียไม่ใช่เป็นหินธรรมชาติใช่ไหม ถ้าลงว่าหักปั๊วะอย่างนี้นะ จะเอามาต่อก็เป็นรอยหินต่อเสีย อันนี้พิจารณาเหตุผลต้นปลายลงแล้วในจุดที่ว่า อาจจะเผลอในเรื่องที่ว่าไม่มีคำบริกรรมติด มันอาจจะเผลอไปตรงนี้ แล้วจิตจึงมีทางเสื่อมได้ เอ้า. คราวนี้มันจะเสื่อมก็ตามเจริญก็ตามเราจะไม่สนใจ เพราะเรานี้อกจะแตก เพราะความเสื่อมความเจริญนี้มามากต่อมาก ปีกว่าแล้วนะ จิตเราเสื่อมตั้งแต่เดือนพฤศจิกาปีนี้ ฟาดถึงเดือนเมษาปีหน้า นี่ละเจริญแล้วเสื่อมๆ แบบนี้อยู่ตลอดเวลา จึงมาได้อุบายตอนเดือนเมษายนนั้นน่ะ อุบายตั้งสติ

เอ้า.ทีนี้เป็นอันว่าตกลงกัน จะไม่ยอมให้จิตเคลื่อนย้ายไปไหนเลย จะให้อยู่กับคำบริกรรมตั้งแต่ขณะตื่นนอนจนกระทั่งหลับ จะไม่ยอมให้เผลอไปไหนเลย พอตั้งลงกึ๊ก เอาละที่นี่สติจะจับปุ๊บเลย ตั้งแต่นั้นต่อกันเรื่อยไม่ยอมให้เคลื่อนไหว ทั้งวันทั้งคืนเว้นแต่หลับให้อยู่กับพุทโธคำเดียว แต่เรานิสัยชอบพุทโธ จะไปไหน จะเสื่อมก็ตามเจริญก็ตาม จะไม่นำมาเป็นอารมณ์ นอกจากคำบริกรรมนี้จะแยกจากกันกับจิตไม่ได้ คำบริกรรมกับสติติดแนบกัน เอาเท่านี้แหละพอ บังคับใส่กันตลอดเวลา นี่มันเหมือนกับเลยติดคุกติดตารางนะ คือการบังคับจิตไม่ให้คิดไปไหนเลยนี้ ให้อยู่กับพุทโธคำเดียวนี้หนักมากจริง ๆ หนักก็หนักเถอะ แต่ที่สำคัญกำลังใจมันไม่ถอย เมื่อได้ปักจิตลงนี้ต้องเป็นอย่างนี้ เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ มันก็ปักลงไป ก็ไม่หลายวันนะ คำบริกรรมติดแนบๆ ไม่ยอมให้เผลอเลย

เป็นเวลาพอดีกับพ่อแม่ครูจารย์ไปเผาศพหลวงปู่เสาร์ ท่านสั่งเสียไว้ว่าท่านมหาอยู่นี่นะ อยู่คนเดียวแหละ ผมไปเผาศพแล้วจะกลับมาหา ท่านว่าอย่างนี้นะ ท่านก็ไปปึ๊บเราก็อยู่คนเดียว นั้นละเป็นโอกาสที่ดีเหมาะที่สุด จับพุทโธกับจิตนี้ตลอดเวลา ไม่ว่าปัดกวาดเคลื่อนไหวไปมา จะเผลอไม่ได้ว่างั้นเลย เหมือนหนึ่งว่าเอาคอเป็นเครื่องประกันเลย เผลอต้องคอขาด นี่ที่มันหนักมาก ซัดกันเลย ไม่หลายวันจิตก็ค่อยละเอียดเข้าไปๆ สงบเรื่อยๆ ก็ไม่ถอยไม่ปล่อยไม่วาง เอาจนกระทั่งถึงจิตสงบลงไป ถึงขณะที่ว่าเรากำลังบริกรรมอยู่นี่นะ บริกรรมเข้าไป ๆ พอจิตละเอียดเป็นอันเดียวกันกับธรรมเรียบร้อยแล้ว คำบริกรรมนี้หายนะ จะกำหนดอย่างไรก็ไม่ปรากฏ เหลือแต่ความรู้ที่ละเอียดลออเด่น

เกิดความงง อ้าว นี่ทำไง ก็เราว่าจะไม่ให้เผลอ เราจะอยู่กับคำบริกรรมด้วยสติตลอดไป เวลานี้คำบริกรรมก็ไม่มีจะทำไง คือกำหนดยังไงก็ไม่ปรากฏ เหลือแต่ความรู้ที่ละเอียดอยู่นั้น แล้วจะทำไง งงละที่นี่ เพราะมันบริกรรมไม่ได้มันหมดจริง ๆ แล้วมันก็มีความรู้อันหนึ่งที่แทรกกันขึ้นมา เอ้า. ถ้าคำบริกรรมหมดก็ให้อยู่กับความรู้ด้วยสติ เหมือนกันกับเราบริกรรมด้วยสติ ให้สติจ่ออยู่กับความรู้นั้น มันก็จับอันนั้นอีกไม่ให้เผลอกับอันนั้น กับความรู้อันนั้น คำบริกรรมหมดหมดจริง ๆ นะ เวลามันหมดจะกำหนดอย่างไรก็ไม่มี เงียบไปเลย จึงได้มาเอาความรู้นี้ด้วยสติจ่ออยู่นั้นแทนคำบริกรรม ทีนี้เมื่อเวลามันได้จังหวะแล้ว มันก็ค่อยคลี่คลายออกมา พอคลี่คลายออกมานึกคำบริกรรมได้ เอาคำบริกรรมติดปั๊บเข้าไปอีกเลยเทียว ทำอย่างนั้น ทีนี้ต่อมามันก็รู้จักวิธีปฏิบัติ

ทีนี้พอถึงขั้นละเอียดมันก็เป็นแบบเดียวกันอีก คำบริกรรมหายเลย เหลือแต่ความรู้ล้วน ๆ สติจับอยู่กับความรู้ ทีนี้ต่อไปมันก็หนาแน่นขึ้น ๆ หนาแน่นขึ้นมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งเข้าถึงขั้นที่มันเจริญสองสามวันแล้วเสื่อม ไปถึงนี้ เอ้า. เสื่อมก็เสื่อมไปแต่คำบริกรรมเราจะไม่ปล่อย เรื่องความเสื่อมความเจริญเราอกจะแตกเพราะมันมานานแล้ว เป็นกังวลเสียดายมัน คราวนี้มันจะไปไหนก็ไปเถอะไม่เอา ว่าไม่เอา ไม่เอาจริง ๆ นะเรา ไม่ห่วงจริง ๆ ปล่อยเลย คำบริกรรมนี้ไม่ปล่อย สุดท้ายมันก็แน่นเข้าๆ ถึงระยะที่มันจะเสื่อมนะ ได้ประมาณ ๓ วัน มันจะเสื่อมลงต่อหน้าต่อตาเลย เอาลงขนาดขาดสะบั้นไปเลย สู้มันไม่ได้ แล้วมาตั้งใหม่ อีตาบัวตั้งใหม่ ขึ้นมาเป็นพระบัว พอได้หลักได้เกณฑ์ขึ้นมาแล้วเหมือนกับว่าเป็นพระบัว

ทีนี้พระบัวนี้ไม่ลงนะ ไม่ลงเป็นอีตาบัว เพราะจับคำบริกรรมนี้ไว้ พอถึงนั้นแล้ว เอ้า. เสื่อมก็เสื่อมไป ปล่อยเลย ไม่เสื่อม เสื่อมหรือไม่เสื่อมก็ไม่เป็นกังวลกับมัน จับคำบริกรรมนี้ไว้ติดกันเลย ๆ ทีนี้ขึ้นเลยไม่เสื่อม ๆ ขึ้นเรื่อย ๆ ปล่อยคำว่าเจริญแล้วเสื่อมไม่มี อ๋อ. เป็นเพราะเราขาดคำบริกรรม เพราะฉะนั้นจิตเราถึงได้เสื่อมตรงนี้เอง นี่ไม่มีคำว่าเผลอเลย มันก็รักษากันได้ตลอดเลย จึงจับหลักได้ว่า อ๋อ. เพราะคำบริกรรมนี้เองขาดไปจึงทำจิตให้เสื่อมโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว มันเผลอไปตรงนั้นแหละ ตั้งแต่นั้นมาก็ซัดใหญ่จนได้หลักได้เกณฑ์ ได้จนกระทั่งถึงนั่งตลอดรุ่งได้ ฟาดเสียจนขึ้นอุทาน เออ. อย่างนี้ไม่เสื่อมที่นี่นะ ถึงอย่างนั้นก็ตามมันก็ไม่ถอยที่จะต้องระมัดระวังตามเดิม คือลงถึงขั้นเด็ดขาดนี่นะ พอมันถึงขั้นไม่เสื่อมแล้ว นี่ละทีนี้มันจับติดแล้ว เอาชีวิตจิตใจอยู่กับความเสื่อมความเจริญ ถ้าหากว่าจิตได้เสื่อมคราวนี้เราต้องตาย เป็นอื่นไปไม่ได้ เราเหลือที่จะทนทุกข์ทรมานในความทุกข์เพราะจิตเสื่อมนี้มาเป็นเวลานานแล้ว

คราวนี้จิตจะเสื่อมไปไม่ได้ เมื่อเรายังครองชีวิตครองธาตุครองขันธ์อยู่นี้ยังไงก็ต้องฟัดกันให้ถึงที่ เพราะฉะนั้นการรักษาจึงเข้มงวดกวดขัน มันก็ไม่เคยเสื่อม ไม่เสื่อมก็ไม่ถอย เอาอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งตั้งได้ ๆ นี่ละพูดถึงเรื่องสติเป็นของเล็กน้อยเมื่อไรท่านทั้งหลายจำเอานะ สติเท่านั้นจับจิตที่มันเคยเจริญเสื่อมๆ ซึ่งขาดคุณค่าราคาไม่มีติดตัวเรา คือสติขาดไปเท่านั้น ทีนี้พอยับยั้งสติกับคำบริกรรมไว้ได้แล้ว คุณค่าขึ้นตรงนี้เองๆ เราจึงได้นำมาสอน เพราะได้ผ่านมาแล้ว นี้เป็นกองทุกข์แสนสาหัสเหมือนกัน การบังคับจิตใจไม่ให้เผลอจากคำบริกรรม เคลื่อนไหวไปไหนโลกเหมือนไม่มี แม้ที่สุดบิณฑบาตอย่างนี้ก็ไปยังงั้นแหละ แต่คำว่าพุทโธกับสตินี้ไม่ได้เผลอเลย เขาเอาอะไรใส่บาตรไม่สนใจนะ ได้อะไรๆ มาไม่สนใจ คำบริกรรมพุทโธกับสตินี้ไม่ขาดจากกันเลย นี่ละติดกันขนาดนั้น ฉันจังหันก็ไม่ยอมให้เผลอ อะไรไม่ยอมให้เผลอตลอด มัดกันตลอดเลยทีเดียว มันถึงขึ้นให้เห็น

พอขึ้นได้แล้วก็เอาความตายมัดกันเข้าไปเลย จิตถ้าเสื่อมคราวนี้เราต้องตาย ถ้าเราไม่ตายจิตจะเสื่อมไปไม่ได้ มัดกันขนาดนั้นแล้วมันก็ไม่เสื่อม เพราะความเข้มงวดกวดขันจริง ๆ มัดกันตลอดเวลา นี่จึงได้เอามาเป็นคติให้พี่น้องทั้งหลายฟังนะ เรื่องกิเลสเวลามันเก่ง-เก่งอย่างนั้นนะ ธรรมะก็คือสติที่ตั้งท่าที่จะฟัดกับความเผลอนี้ จนกระทั่งความเผลอล้มละลายไปพร้อม ไม่เผลอแน่นหนาขึ้น ๆ นี่ละอำนาจของธรรม กำลังของใจที่รุนแรงทำให้ได้อย่างใจหวัง ต่อจากนั้นก็พุ่ง ๆ เลย จำเอานะ เวลามันหนัก หนักตอนตั้งรากฐานใหม่เบื้องต้น เอาคำบริกรรมพุทโธมาเป็นชีวิตประกันตัวเราไว้ มันก็ได้เพราะอันนี้เอง เพราะฉะนั้นเรื่องสติจึงไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เรื่องใหญ่โตมากทีเดียว เพราะฉะนั้นท่านจึงแสดงไว้ในธรรมว่า สติ สพฺพตฺถ ปตฺถิยา สติจำต้องปรารถนาในที่ทั้งปวง ฟังซิไม่มีเว้น สติจำต้องปรารถนาในที่ทั้งปวง เราเอามาใช้กับคำบริกรรมของเราด้วยสตินี้มันถึงเห็นได้ชัดเจน

นี่ละการภาวนาเป็นอย่างนั้นนะ เบื้องต้นเป็นอย่างนั้น นี่เราพูดถึงเรื่องสติสตังมันลากมันเข็นลูกศิษย์ลูกหาของเรา เราไม่ได้ไปตรวจดู ฉันจังหันแล้วบางทีถ้าเราไม่ลืม เราก็อาจจะสั่งพระให้ไปตรวจดูกำแพง กำแพงมันแตกตรงไหนๆ บ้าง คือหัวพวกนี้ชน หัวของพวกลูกศิษย์ของเราอยู่ในครัวนี้มันไปชนกำแพงแตก คือกิเลสมันลากไปทั้งสติทั้งปัญญาไปด้วยกัน กำแพงแตกเรายังไม่ไปดู มันทะลุตรงไหนหรือมันถลอกปอกเปิกตรงไหน หรือกำแพงพังตรงไหน จะได้ตรวจดูถี่ถ้วน เพราะเราไม่ไว้ใจลูกศิษย์ของเรา พวกนี้มันมีหัวหลายหัว มีแต่หัวเซ่อ ๆ ทั้งนั้นฟาดกำแพงนี้แตกพังๆ ได้โดยไม่ต้องสงสัย

กำแพงหนาก็หนาเถอะ มันสู้ความเผอเรอของพวกนี้ไม่ได้ หัวนั้นก็ชนหัวนี้ก็ชน หัวไหนก็มีแต่หัวเซ่อ ๆ จอมเซ่อ ๆ กำแพงแตกได้เข้าใจไหม เราจะต้องได้สั่งพระ ดีไม่ดีจะได้ตีระฆังตีเกราะประชุมก็ได้ มันเป็นยังไงตรงไหน ใครอยู่ทางด้านไหนให้ระมัดระวังกำแพงแถวนั้นอาจพังก็ได้ ระวัง เข้าใจไหม มาจากเมืองชลเคยได้ยินคำพูดอย่างนี้ไหม ไม่เคย ๆ เพราะเมืองชลมันไม่มี พวกแบบนี้ไม่มี มีแต่วัดป่าบ้านตาด ใครมาจากเมืองไหนถ้ามาเข้านี้แบบเดียวกันหมด เข้าใจไหม เอาละให้พร

เปิดดูข้อมูล วันต่อวัน ทันต่อเหตุการณ์ หลวงตาเทศน์ถึงเรื่องอะไร www.luangta.com


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก