วัดป่าภูสังโฆ ทองคำมาแล้ว ๑ กิโล ๒๓ บาท ๓ สตางค์ ดอลลาร์ ๑,๒๐๐ ดอลล์ เงินไทย ๓๐,๐๐๐ บาท ต้องให้ขยับเรื่อยพวกเรา ตั้งแต่นี้ต่อไปให้ขยับเรื่อย ๆ ขยับขึ้นนะไม่ใช่ขยับลง ให้ขยับขึ้นเรื่อย ๆ ทุกคน รั้งชาติของเราไว้ได้คือทองคำ เพราะมีราคาแพง ใครก็ยอมรับกันทั่วโลก อันนี้จึงเป็นหลักหัวใจของโลกทุกประเทศ ต้องอันนี้เป็นเครื่องยืนยันเป็นหลักเป็นเกณฑ์เอาไว้ ถ้าอันนี้ด้อยทุกสิ่งทุกอย่างค่อยด้อยไปตาม เพราะฉะนั้นเราจึงพยายามต่างคนต่างเสาะแสวง เวลานี้เราจะสั่งสมทองคำนี้เข้าสู่คลังหลวงของเรา เพื่อให้เป็นหลักเป็นเกณฑ์แก่ชาติไทยเรา หลวงตานี้พยายามที่สุดแล้ว ทองคำเป็นที่หนึ่ง ๆ มาตลอดเลยนะไม่เคยอ่อน
คิดดูซิเงินสดนั้นเราประกาศทีแรกเราไม่ได้ว่าจะไปซื้อทองคำนะ เงินสดนี้เราจะช่วยชาติทั้งหมดทั่วประเทศ วิธีการต่าง ๆ แล้วแต่จะช่วยทางไหน สถานสงเคราะห์ โรงร่ำโรงเรียน ที่ราชการ คนทุกข์คนจนที่จำเป็นที่ควรจะสงเคราะห์ นี้รวมอยู่ในคำว่าช่วยชาติ เงินจำนวนนี้เราประกาศว่าเราจะออกแบบนั้น ครั้นเวลาเราไปเห็นทองในคลังหลวงของเรามาแล้วพลิกใหม่หมดเลย แทนที่จะออกไปโน้นกลับพลิกเข้ามาหาทองคำเราตั้ง ๘๐๐ ล้าน ถ้าบวกเต็มส่วนก็ ๘๑๕ ล้าน หมุนใส่ดอลลาร์ ๑๐ ล้าน หมุนใส่ทองคำ ๘๐๕ ล้าน เงินจำนวนนี้กะไว้แล้วว่าจะออกช่วยโลกยังออกไม่ได้ เพราะเหล่านั้นไม่จำเป็นยิ่งกว่าหัวใจของชาติ จึงต้องหมุนกลับมานี่
ด้วยเหตุนี้เองจึงได้เตือนพี่น้องทั้งหลาย ให้พากันฟังให้ถึงใจทุกคน หลวงตาเตือนออกมานี้เตือนออกมาด้วยความประสบเหตุการณ์ก็เตือนในหัวใจ ออกมาประกาศพี่น้องทั้งหลาย ก็ถอดออกมาจากเหตุการณ์ที่ได้รู้ได้เห็นมา เพราะฉะนั้นจึงให้พากันพยายามดำเนินตามนี้ทุกคน ๆ ความพร้อมเพรียงสามัคคีกันนี้เป็นของสำคัญมาก เราอย่าว่าคนนั้นจะทำคนนี้จะทำเขาจะทำ เราอยู่ยังไงก็ได้ นี้ละคนเลอะเทอะคนหนักชาติบ้านเมือง คนไม่มีคุณค่าไม่มีราคา เขาช่วยกันเต็มบ้านเต็มเมืองเราเห็นว่าไม่จำเป็น ก็คือเราเป็นคนหมดคุณค่าไร้คุณค่า อย่านำมาใช้ในเมืองไทยของเรา ให้ต่างคนต่างเห็นว่าเราเต็มตัว คนหนึ่ง ๆ ไม่ได้เป็นคนขาดบาทขาดตาเต็ง แล้วเมืองไทยทั้งชาติแล้วขาดตาเต็งไปดูได้เมื่อไร คนหนึ่งขาดตาเต็งตาชั่งใจจืดใจจางนี้ก็เท่ากับ ดึงชาติไทยของเรามาใจจืดใจจางด้วยกันหมด อย่างนี้อย่านำมาใช้ในเมืองไทยนะ ให้ต่างคนต่างขะมักเขม้นทุกสิ่งทุกอย่าง
สำคัญเวลานี้ก็มีหัวหน้านะ ให้ฟังเสียงหัวหน้า ก่อนที่จะนำมาชี้แจงพี่น้องทั้งหลายทราบทุกแง่ทุกมุม เราได้พิจารณาเต็มกำลังของเราทุกอย่าง ไม่ใช่พล่าม ๆ ออกมา พูดเต็มเม็ดเต็มหน่วยทุกอย่าง ให้คอยฟังด้วยกำลังใจด้วยใจจดจ่อ ตั้งหน้าตั้งตาช่วยชาติของเรา คราวนี้เป็นคราวที่เราจะต้องหนักหน่วงอยู่บ้าง เพราะเมืองไทยของเรานี้เรียกว่าจะจมแหล่ไม่จมแหล่ กำลังไหวตัวจะลง นี้คนทั้งชาติพอรู้เนื้อรู้ตัวแล้วก็ต่างคนต่างพยายามฉุดลากขึ้นมา ๆ ด้วยความรักชาติเป็นอันดับหนึ่ง ความพร้อมเพรียงสามัคคีเคียงกันมา ความเสียสละพันกันไปเลย สามกษัตริย์นี้แยกกันไม่ออกนะ ความรักชาติ ความพร้อมเพรียงสามัคคี ความเสียสละ เพื่อชาติไทยของเราทุกคน ๆ ให้ต่างคนต่างตั้งหน้าตั้งตา
มีมากมีน้อยไม่สำคัญ คือน้ำใจนั่นละสำคัญ ถ้าน้ำใจไม่มี มีกองเท่าภูเขานี่ก็ตามเงินทอง จะไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย คนไม่มีน้ำใจเงินทองกองเท่าภูเขาก็ไม่มีคุณค่า กลายเป็นภูเขาเงินทอง เวลาตายแล้วชาติไทยก็ปล่อยให้จมไปได้ ทั้ง ๆ ที่เงินมีกองเท่าภูเขา ช่วยก็ไม่ยอมช่วย แล้วเจ้าของก็ตายจมไป มิหนำซ้ำชาติไทยก็ยังจะจมไปด้วยคนใจจืดใจจาง อย่างนี้อย่าให้มีในเมืองไทยเรานะ ให้ตั้งหน้าตั้งตาทุกคน ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวโยงกับเมืองไทยเรา แล้วเกี่ยวกับเรา เราทุกคนเต็มบทเต็มบาท ไม่ขาดบาทขาดตาเต็ง ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับชาติไทยของเราต้องให้เต็มบาทเต็มเต็งตลอด มีมากสละมาก มีน้อยสละน้อย เราอย่าว่าคนนั้นมีมากคนนี้มีน้อย อย่าไปว่านะ ชาติไทยของเราเรียกร้องหาความสนใจ หาความช่วยเหลือจากเรา ทั้งคนจนทั้งคนมีนั่นแหละ เรียกร้องหาความช่วยเหลือจากพี่น้องชาวไทยเราทั่วประเทศ ไม่ได้นิยมว่าเป็นคนมีคนจนนะ ให้ต่างคนต่างเสียสละนี้ถูกต้อง
การปฏิบัติตัวนี้ก็เตือนเสมอให้เป็นไปพร้อม ๆ กัน อย่าเลอะ ๆ เทอะ ๆ เมืองไทยเรานี้เป็นเมืองพุทธแท้ ๆ เอาพุทธมาจับดูนี้จนจะดูไม่ได้ มันเลอะ ๆ เทอะ ๆ เคยเนื้อเคยตัว เคยมาแต่ปู่ย่าตายายที่เคยพาสมบูรณ์พูนผลมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ไม่เคยอดอยากขาดแคลน เมืองไทยเราเป็นเมืองอู่ข้าวอู่น้ำ ทีนี้คนก็อยู่สบาย ๆ ทีนี้เหตุแวดล้อมทั้งหลายมันมีแต่ผลลบ ๆ เข้ามากระทบกระเทือนชาติไทยของเราแล้วปรับตัวไม่ทัน เลยกลายเป็นคนล้าสมัยล้าโลกล้าสงสารเขา เราไม่ทันเขา คนล้าโลกเลยไม่เกิดประโยชน์นะ ให้พยายามปรับเนื้อปรับตัว
เราเกิดมาเราอยู่ที่ไหนไม่อดอยากขาดแคลน พอเป็นพอไปทุกอย่าง ทีนี้เวลาเหตุการณ์มากระทบ เขามาด้วยความบกพร่องไม่บกพร่องก็ไม่น่าคิดมากยิ่งกว่าความฉลาดของเขา ที่หาช่องหาทางที่จะสอดแทรกเข้ามาในเมืองไทยเรา ใครโง่เขาก็ฉุดเอาไป พอได้ตับเขาเอาตับไป พอเอาปอดเขาเอาปอดไป สุดท้ายเมืองไทยเราเลยจะไม่มีตับปอดติดเนื้อติดตัว เพราะความเซ่อซ่าต่อความครึความล้าสมัย พลิกตัวปรับตัวไม่ทันเขา ต้องดูซิเรา เราต้องดู
การซื้อการขายแลกเปลี่ยนกัน ถ้าความจำเป็น เขาก็จำเป็นเหมือนเรา เราจำเป็นเหมือนเขา อย่างนี้ไม่มีใครต้องติกัน แต่เอะอะ ๆ ก็มีแต่ซื้อแต่หาแต่กว้านเข้ามา ของนอกกลายเป็นของดียิ่งกว่าของในเสียหมด ๆ ใช้ไม่ได้นะเมืองไทยเรา เลยเป็นเมืองเลวสู้เมืองเขาไม่ได้ หมาในบ้านของเราก็สู้หมาของเขาไม่ได้ เป็ดไก่ในบ้านของเราสู้เป็ดไก่ของเขาไม่ได้ ลูกในบ้านของเราสู้ลูกของเขาไม่ได้ ผัวในบ้านของเราสู้ผัวของเขาไม่ได้ เมียในบ้านของเราสู้เมียเขาไม่ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างในเมืองไทยเราเลวกว่าเขาไปหมดใช้ได้ไหม พิจารณาซิ เราต้องฟิตตัวของเราซิ อะไรสู้ไม่ได้ฟิตเข้าไป ไม่อย่างนั้นก็แสดงว่าเมืองไทยนี้หมดค่าหมดราคา ไม่มีอะไรสู้เขาได้เลย วิ่งต้อย ๆ ตามเขาเพราะความไม่คิดไม่ปรับปรุงตัวเอง อันนี้เสียนะ ต้องคิด
เอาศาสนามาจับซิ นี้สอนพี่น้องทั้งหลายสอนด้วยศาสนา อะไรมันจะเหลิงเจิ้งไปมากน้อยเพียงไรก็เตือน ๆ อะไรที่จะปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้นก็เตือนตลอดเวลา นั่นละศาสนา ออกจากองค์ศาสดาคือพระพุทธเจ้าเป็นผู้สิ้นกิเลสแล้ว นำธรรมมาสอนโลกสอนด้วยความสิ้นกิเลส เป็นศาสดาเอกของโลก ไม่มีกิเลสตัวใดที่เคยก่อฟืนก่อไฟให้สัตวโลกจะไปติดพระทัยคือใจของพระพุทธเจ้านั้นไม่มี มีแต่ธรรมล้วน ๆ ออกมาสอนโลก เราเป็นลูกศิษย์ตถาคตควรจะยึดธรรมเข้ามาเป็นเครื่องกำกับใจของเรา เป็นเครื่องสะดุดใจถึงจะถูก นี้เอาธรรมไปจับดูมันดูกันไม่ได้นะ มันเลอะ ๆ เทอะ ๆ ด้วยความเคยชินความไม่เอาไหน นี้ละเรื่องที่จะล้าลงไป ๆ ล้าหลังเขาลงไป สุดท้ายอะไรก็กลายเป็นบ๋อยเขาหมด ชาติไทยเราทั้งชาติเป็นบ๋อยของคนทั้งโลกมีอย่างเหรอ ต้องคิดให้ดี
เราเป็นชาติชาวพุทธเสียด้วย พระพุทธเจ้าไม่มีอะไรเสมอแหละ เอ้า ถ้าพูดถึงเรื่องศาสนาเอามายันกันซิ ไม่ได้ดูถูกเหยียดหยามศาสนาใด ไม่ได้ยกยอศาสนาใด โดยหาเหตุผลไม่ได้ เราจะพูดตามหลักความจริงของศาสนา เช่น ศาสนาพุทธของเรานี้เป็นหลักความจริงเลิศเลอไม่มีอะไรเสมอ นี่ละเป็นศาสนาคู่บ้านคู่เมืองคู่โลกคู่สงสาร คือองค์ศาสดาแต่ละองค์ ๆ นั้นตรัสรู้ขึ้นมา สยัมภู ๆ รู้โดยลำพังพระองค์เอง เป็นศาสดาเอกของโลก ถ่ายทอดกันมา ๆ ถึงปัจจุบันนี้เป็นพระสมณโคดม นี่ล้วนแล้วตั้งแต่เป็นเจ้าของศาสนาที่ใจบริสุทธิ์ทั้งนั้น ใจไม่มีกิเลสในศาสดาแต่ละองค์ ๆ ที่เรียกว่าพุทธศาสนา เป็นศาสนาของท่านผู้สิ้นกิเลส สอนด้วย โลกวิทู รู้แจ้งเห็นจริงค่อยสอน เรียกว่า สวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบทุกอย่าง ไม่มีคำว่าหลอกลวงสัตวโลก จึงเรียกว่าศาสนาเอก
ศาสนาที่มีกิเลส เจ้าของศาสนาเป็นคลังกิเลส สอนใครก็เหมือนเราเหมือนท่านนั่นแหละ ใครจะดีกว่าใครขนาดไหนมันไม่ได้ดีแหละ ถ้าลงกิเลสเป็นคลังอยู่ในหัวใจนั้นแล้วสอนผิด ๆ พลาด ๆ สุดท้ายก็มาเข้าตัว อะไรดีอะไรตัวชอบใจก็ว่านี้ถูก บัญญัติขึ้นมา อันไหนไม่ดีทั้ง ๆ ที่อันนั้นดี เจ้าของไม่ชอบใจเสีย ปัดออก ๆ นี่ศาสนาของกิเลสต้องเห็นแก่ตัว เหยียบย่ำทำลายผู้อื่นเสมอไป แต่ศาสนาของธรรมแท้คือศาสนาของศาสดาองค์เอกเรานี้ เป็นศาสนาที่สิ้นกิเลส ปราศจากความเอนเอียงทั้งหมด ไม่มีคำว่าอคติ ตรงไปตรงมา ผิดบอกว่าผิด ถูกบอกว่าถูก
อันนี้เขายกตัวอย่างมาพูดอยู่หน้าวัด เราอดหัวเราะไม่ได้ เราก็เลยได้มาเป็นคติอันหนึ่ง อีตานั้นแกถือศาสนาอะไรแกก็มาคุยโม้อยู่หน้าวัด จำได้แต่ว่า ศาสนาของคนมีกิเลสว่างั้นเถอะนะ ทีนี้เขาก็มาถาม ศาสนาท่านห้ามฆ่าสัตว์เหรอ มันก็มาโดนพระประเภทนั้นเข้าล่ะซีก็พอดีกัน ศาสนาท่านสอนไม่ให้ฆ่าสัตว์ใช่ไหม ท่านก็สอนว่าอย่างนั้นแหละ โหย ศาสนาผมนี่ถ้าฆ่ามากินแล้วฆ่าเท่าไรก็ฆ่าเถอะ แต่ฆ่าเฉย ๆ ไม่ให้ฆ่า ว่างั้น ถ้างั้นไหนเอามีดมา ทำท่าคว้ามีดมาจะตัดคออีตานี้ทำลาบ ต้มยำ เลี้ยงในวัดกัน เอาคนนี้มากินเลี้ยงกันวันนี้ อู๋ย ไม่ได้ ๆ ไม่ได้ยังไงก็ฉันจะฆ่าไปกินเป็นประโยชน์นี่นา คือเขาจะเอาอีตาโม้เก่ง ๆ มาฆ่ามายำกินเลี้ยงในวัด นี่ฆ่าเป็นประโยชน์จะเป็นอะไร คือเขาไม่ให้ฆ่า ทำไมไม่ให้ฆ่าเราจะฆ่าเพื่อกินเพื่อเป็นประโยชน์ แกฆ่าสัตว์อื่นฆ่าเพื่อกินยังฆ่าได้ ทำไมฉันฆ่าแกเพื่อกินจะฆ่าไม่ได้ อู๋ย ไม่เอา ๆ ถ้างั้นก็แสดงว่าเห็นแก่ตัว แก้กันตรงนั้นนะ
ฆ่าใครก็ตามไม่ให้เอียง แม้แต่สัตว์อยู่ในครรภ์ก็ห้ามฆ่า สัตว์อยู่ในครรภ์มีจิตวิญญาณอยู่ในนั้นแล้ว ไม่ว่าสัตว์ตัวใดเป็นเล็นเป็นหมัดเป็นเหาอะไรก็ตาม นั่นจิตดวงหนึ่งอยู่ในนั้นแล้วเหมือนเรา ๆ ท่าน ๆ ช้างตัวหนึ่งก็มีจิตดวงเดียวอยู่ในนั้น หมัดตัวหนึ่งเล็นตัวหนึ่งก็มีจิตดวงเดียวอยู่ในนั้น ตัวนี้แหละตัวที่มันซอกแซกซิกแซ็กไปเที่ยวเกิดที่นั่นตายที่นี่ ตัวมันเองไม่ตาย ไปหาร่างนั้นร่างนี้ สวมร่างนั้นร่างนี้ ตามอำนาจแห่งกรรมดีกรรมชั่วของตัว เปลี่ยนอยู่เรื่อย ๆ อย่างนั้น ท่านจึงเรียกว่า สัมภเวสี หาที่เกิดอยู่ตลอดเวลาสัตวโลกนะ เกิดที่ไหนก็เกิดตามกรรม ๆ อยู่งั้นแหละ ท่านจึงไม่ให้ฆ่าไม่ให้ทำลาย อยู่ในครรภ์อยู่ในท้องก็ไม่ให้ทำลาย นี่ละพระพุทธเจ้าไม่เอียง
แบบที่ว่าฆ่าเพื่อกินไม่เป็นไร บทเวลาเขาจะฆ่าตัวไปต้มยำเลี้ยงกันไม่เห็นให้เขาฆ่าวะ เข้าใจไหม มันก็ติดกันตรงนั้นล่ะซี ถ้าเขาจะฆ่าเพื่อเป็นประโยชน์แล้วเอาเลย ว่าอย่างนั้นซีใช่ไหม เอาเลยต้มยำเลยไม่เสียดาย เพราะได้ทำประโยชน์ ก็ต้องว่าอย่างนี้ นี้ว่าไม่ได้ ๆ มันก็ขายตัวเองล่ะซี เห็นแก่ตัว เรื่องคนมีกิเลสเป็นเจ้าของศาสนานี้ จะเจ้าของศาสนาใดก็ตามถ้าตัวเองเป็นผู้มีกิเลสเป็นผู้สอนศาสนา ต้องเป็นคลังกิเลสสอนศาสนาไปด้วยกัน ความจริงกับความเท็จจะไปด้วยกันเลย ถ้าเป็นศาสนาจิตใจของท่านผู้บริสุทธิ์ เช่น พระพุทธเจ้านี้ ไม่มีคำว่าผิด ถ้าลงสอนตรงไหนตรงเป๋ง ๆ เพราะ โลกวิทู รู้แจ้งแทงทะลุไปหมดแล้วจะผิดไปตรงไหน ไอ้ทั้งมืดดำกำตานี่ซีลูบ ๆ คลำ ๆ มันก็ผิดก็พลาดไปได้ ถ้าลงได้เห็นแจ่มแจ้งชัดเจนจะผิดไปที่ไหน นี่ศาสดาองค์เอกทุกพระองค์สอนแบบเดียวกันนี้
เราไม่มีวาสนาไม่ได้พบนะ เกิดมาในแดนมนุษย์นี้ผู้ที่พบศาสนาอย่างพุทธศาสนาไม่สนใจก็มี ยังดูถูกเหยียดหยามเหยียบย่ำทำลายก็ยังเยอะ เพราะความหนาแน่นของกิเลสนั้นแหละ มันเห็นของดีเป็นของเลวไป เห็นของเลวว่าเป็นของดีไปเสีย มีอยู่ถมไป นี่เรามีวาสนาได้มาพบเห็นศาสนาเกิดความเชื่อความเลื่อมใสได้ปฏิบัติตัวได้ เอาเถอะไม่มีพระศาสดาองค์ใดที่สอนโลกเพื่อความล่มจม และสัตวโลกได้รับความล่มจมเพราะศาสนาของพระพุทธเจ้าของเราแต่ละพระองค์ไม่มี มีแต่ฟื้นฟูขึ้นเรื่อย ใครจะชั่วขนาดไหนก็ตาม ถ้าฟังเสียงอรรถเสียงธรรมแล้ว ปฏิบัติตัวแก้ไขตัวเอง คนนั้นจะฟื้นขึ้นมา ๆ นอกจากคนตายเสียเท่านั้นเอาเทวดามาสอนก็ไม่ได้เรื่อง ใครมาสอนก็ไม่ได้เรื่อง ถ้าคนยังมีความรู้สึกดีชั่วอยู่แล้วนี้ ฟังเสียงธรรมพระพุทธเจ้าแล้วไปประพฤติปฏิบัติ ปรับปรุงแก้ไขตัวเอง จะฟื้นเป็นคนดีขึ้นมา เหมือนกับคนไข้เชื่อหมอนั่นแหละ
นี่พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับช่วยชาติบ้านเมืองแล้วก็เรื่อยไป ๆ กระจายออกไปอย่างนี้ การช่วยชาติก็ขอให้พี่น้องทั้งหลายตั้งอกตั้งใจ หลวงตาได้พยายามเต็มกำลังความสามารถ อุบายวิธีการแนะนำสั่งสอนทั้งด้านวัตถุและด้านนามธรรม วัตถุคือเงินทองข้าวของที่จะขวนขวายเข้าสู่ชาติไทยของเรา นามธรรม ได้แก่อุบายของอรรถของธรรมที่จะนำมาให้เกิดความรู้ความฉลาด ปฏิบัติตนต่อสมบัติทั้งกว้างทั้งแคบของตนให้เป็นที่ราบรื่นดีงาม ใครปฏิบัติตามอรรถตามธรรมอย่างนี้ความเสียหายจะมีน้อยมากนะ ที่เอาตามใจมากเอาตามใจชอบเอาตามกิเลส อันนั้นก็ดี อันนี้ก็ดี นี่ซิมันฉิบหาย
เราอยากเห็นชาติไทยของเราที่เป็นชาติแห่งชาวพุทธ อยากเห็นแง่ของศีลของธรรมมีวี่แววออกมาในกิริยาการพูดการจาการกระทำทุกสิ่ง หน้าที่การงาน มันสกปรกรกรุงรังทำลายตนเองทั้งชาติของตนเองนี้มันไม่ใช่เรื่องศาสนานะ เรื่องมารของเรา มารของชาติเรา ที่เป็นอยู่ดังที่เห็นกันอยู่นี้ ถ้าเรื่องของศาสนาแล้วจะไม่มีสิ่งเหล่านี้เข้าแฝงเลย มือสะอาด ทุกสิ่งทุกอย่างสะอาด ไปทำงานสถานที่ใดสถานที่นั้นสะอาด เอา สร้างตึกสร้างหอสร้างห้างขึ้น เป็นที่ทำงานของวงราชการงานเมือง เงินนี้ออกมาจากหัวใจของพี่น้องชาวไทยของคนทั้งประเทศ คนนั้นสละให้คนนี้สละให้ด้วยภาษีอากร ครั้นเก็บมาแล้วก็มาปลูกมาสร้างที่ทำงานต่าง ๆ เพื่อวงราชการงานเมือง จะทำเป็นเนื้อเป็นหนังให้ชาติบ้านเมืองของเราได้อยู่เย็นเป็นสุข
สิ่งที่นำมานั้นออกมาจากหัวตับหัวปอดประชาชน ครั้นสร้างขึ้นแล้วมีความแน่นหนามั่นคงสง่าผ่าเผย สมคุณค่าแห่งตับแห่งปอดของประชาชนที่สละมาให้สร้างจริง ๆ แล้วผู้ที่มาครองในตึก ในสถานที่ทำงานทั้งหลายก็มีแต่วงราชการ มีความสะอาดสะอ้าน จิตใจเป็นธรรม ๆ แล้วก็ประกอบกันได้จะว่าไง เหมาะสมกัน ตึกหลังนี้ราคาเท่าไร ข้าราชการแต่ละคน ๆ ที่มาทำงานในวงราชการนี้มีแต่คนที่มีมือสะอาด มีความสะอาดสะอ้าน มีความเป็นอรรถเป็นธรรม เข้ากันได้สนิท เข้าใจไหม ถ้าในวงราชการนั้นผู้ที่ไปครองตึกครองร้านนั้น มีแต่เปรตแต่ผีกินแต่บ้านแต่เมือง อันนี้คือส้วมคือถานขี้รดตึกเจ้าของเอง ขี้รดหัวประชาชนด้วยดีไหม พิจารณาซิ เราหาแง่ได้แง่เสียให้มาพิจารณาซิ
เราก็เหมือนกัน ในบ้านของเราในตัวของเราเหมือนกัน ข้างในกับข้างนอกแต่งหรูหราฟู่ฟ่า ข้างในมีตั้งแต่กิเลสตัณหา มีแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้ตัวเอง ครั้นกลับไปบ้านก็ไปทะเลาะกับผัว ผัวกลับบ้านก็ไปทะเลาะกับเมีย ลูกอยู่ในบ้านในเรือนทะเลาะกันกัดกันยิ่งกว่าหมา หมาในบ้านนั้นอยู่ไม่ได้แตกหนีหมด สู้เจ้าของบ้านไม่ได้ มันมาทะเลาะแย่งตำแหน่งหมา นี่คนไม่มีธรรมเป็นอย่างนั้น สกปรก อยู่ในบ้านก็สกปรก หมาอยู่ด้วยไม่ได้ หมาก็ว่าเขาตัวสกปรก เรายังสกปรกยิ่งกว่าเขา ไปกัดกันต่อหน้าเขาอีก สกปรกยิ่งกว่าหมา หมาอยู่บ้านไม่ได้
นี่ละคนอยู่ในบ้านไม่สมประกอบกับบ้าน บ้านดีแต่คนเลวใช้ไม่ได้ ตึกรามบ้านช่องสถานที่ทำราชการงานเมืองต่าง ๆ มีแต่หรูหราฟู่ฟ่า ออกมาจากหัวใจของประชาชน ครั้นเวลาเข้าไปประกอบหน้าที่การงานเพื่อชาติบ้านเมืองแล้ว กลับไปสร้างส้วมสร้างถานสร้างฟืนสร้างไฟมาเผาตึกเผาร้าน แล้วเผาประชาชนทั้งประเทศดูได้ไหม พิจารณาซิ นี่คนไม่มีธรรมเป็นอย่างนั้น ถ้ามีธรรมเรียบไปหมด ไม่ว่าจะอยู่กระต๊อบ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนหัวใจดี มือสะอาด ทำงานเพื่อเป็นประโยชน์แก่ตัวเองและส่วนรวมได้โดยไม่สงสัย ขอให้พี่น้องทั้งหลายจำคำนี้ไว้ให้ดี
ไปบ้านอย่าไปหาดุคนนั้นหาดุคนนี้ ตัวเลว ๆ ของตัวเองไม่เห็นดุใช้ไม่ได้ ต้องดูตัวเสียก่อนแล้วจึงไปดูคนอื่น ถ้าจะดุก็ดุตัวเองเสียก่อน มันควรดุอะไรเราวันนี้ ถ้าไม่ควรดุแล้ว นี่แกบกพร่องอย่างนั้นนะ ฉันไม่บกพร่องนะวันนี้ สอนเขา อันนี้จะไปสอนเขาทั้ง ๆ ตัวเลว คนตาบอดไปสอนคนตาดีใครจะยอมฟัง เข้าใจเหรอ วันนี้พักแค่นี้ก่อน
ดิฉันป่วย ภาวนาไปหัวใจเต้นถี่ยิบแล้วดับไปที่โลกไหนก็ไม่ทราบ เป็นโลกกว้าง
โยมนี่จะได้ด้วยวิธีการทรมานหนักนะ ฟังสามหนแล้ว มันหากเป็น อย่าถอยนะจิตไม่เคยตาย มันจะเป็นอาการอะไรมันแสดงในตัวของมันเอง สติกับจิตให้ติดกัน พิจารณา มันจะแปรปรวนอะไรให้แปร ใจนี้ไม่แปรเข้าใจไหม สภาพนี้จะดูเหตุการณ์ทั้งหลาย เมื่อดูรอบแล้วทุกสิ่งทุกอย่างจะดับของมันไป จะเหลือแต่ธรรมชาติอันสง่างาม เข้าใจหรือเปล่าล่ะ นี่ละนิสัยของเราเป็นอย่างนี้ก็ต้องเป็น คนเรานิสัยได้ด้วยความลำบากก็มี ได้ด้วยความสะดวกก็มี ไปเรื่อย ๆ ก็มี อันนี้รู้สึกจะมีนิสัยอย่างนั้น ต้องได้ประสบกับอุปสรรคต่าง ๆ ที่มันเป็นอยู่ภายในจิตนี้ แต่เมื่อไม่ถอยมีผู้คอยแนะอยู่แล้วจี้เข้าไปเลย มันก็จะทะลุออกมาเห็นไปหมด เข้าใจไหมล่ะ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งแวดล้อมของจิต เป็นอาการอันหนึ่ง ทั้งดีทั้งชั่ว
ให้เด็ดนะ มันจะตายก็ให้มันตาย เราเคยตายมากี่ภพกี่ชาติ ใจดวงนี้ไม่เคยตาย คราวนี้ทำไมใจดวงนี้จะตาย ให้ว่าอย่างนั้นเข้าใจไหม ต้องเด็ดไม่ต้องกลัวตาย จิตไม่มีป่าช้า ถึงพระนิพพานก็เป็นธรรมธาตุเท่านั้นเอง เรียกว่านิพพานเที่ยง นั่นละธรรมธาตุเที่ยง ไม่มีกฎ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เข้าไปเหยียบย่ำทำลายได้เลย คือจิตที่เป็นธรรมธาตุล้วนๆ แต่จิตที่กิเลสห้อมล้อมนี้มันแปรของมันเรื่อย ทั้งๆ ที่มันไม่สูญแต่มันก็แปรไปด้วยสิ่งที่เหยียบย่ำทำลาย แต่จิตที่หมดสิ่งเหยียบย่ำทำลายแล้ว ผึงเดียวก็เป็นธรรมธาตุ เอาให้เด็ดนะ ไม่ต้องถอย ถอยทำไม
แต่สำหรับเราเองเวลาจะเข้าด้ายเข้าเข็มจริงๆ มันก็ไม่ใช่อย่างนั้น แต่เวลาที่ตีเข้าใส่เข้าด้ายเข้าเข็มมันก็แบบเดียวกัน คิดดูซิอย่างที่ว่านั่งตลอดรุ่ง มันจะตายท่าเดียว ร่างกายทั้งท่อนมันเหมือนกับท่อนฟืน ทุกขเวทนาทั้งหมดนี้เหมือนกับไฟเผาท่อนฟืน คือร่างกายเรา มันจะเอาให้ตายเดี๋ยวนั้น แต่ทางนี้มันไม่ถอยซิ เอา อะไรจะตายก่อนตายหลัง เราจะดูอะไรจะตายอะไรไม่ตาย จะดูกันวันนี้ ฟัดกันเต็มเหนี่ยว ลงผึง ได้ทุกที เราพูดจริงๆ นั่งภาวนา ๙ คืน ๑๐ คืน ที่ว่าตลอดๆ รุ่งๆ ไม่ได้ซ้ำกันนะ คือไม่ติดกัน ๒-๓ คืนนั่งทีหนึ่งๆ คืนไหนๆ ต้องรบกับทุกขเวทนามากน้อย ส่วนที่วันสะดวกนั้นมีน้อยมาก วันที่แทบเป็นแทบตายนี้มันแทบทุกคืนไป นี่ละได้ทุกที
เวลามันจะตายจริงๆ สติปัญญาของเรานี้มันจะหาทางออกจนได้ ไม่ยอมตาย นั่นละเกิดสติปัญญาในเวลาจนตรอกคนเรา เราจะว่าเราโง่ทุกคนไม่ได้นะ เวลาถึงความจำเป็นที่มันจะฟิตตัวช่วยเหลือตัวเองนี้มีได้นะ สติปัญญาจะมาทันทีๆ เช่นอย่างเรานั่งตลอดรุ่งนี่ เอาจนกระทั่งตัวนี้สั่นไปหมดเลย คือมันทุกข์ขนาดนั้นละ เรื่องจิตไม่มีเคลื่อนเลย เคลื่อนจากที่คือความสัตย์ความจริง เท่านั้นแหละ ฟาดกันนี้ มันหนักเท่าไร ทางนี้ก็หนัก สติปัญญาจะหมุน จะทนทุกข์เฉยๆ ไม่ได้ ไม่ถูก ทนด้วยความสู้ ฟัดกันอยู่ในนั้น สักเดี๋ยวพอได้จังหวะนี้ก็ผึงเลย มหาภัยที่มันเผาเรานี้ไม่ทราบว่ามันดับไปไหน พรึบเดียวหมดเลย นั่นเห็นไหมละ นี่ละคนเราเวลาจนตรอกจนมุมจริงๆ มันเอาตัวรอดได้ ไม่ได้โง่ตลอดเวลานะ ถึงเวลาจำเป็นจริงๆ มันเอาตัวรอดเป็นตัวฉลาดขึ้นมาได้ เพราะฉะนั้นจึงได้มาสอนหมู่เพื่อน
สำหรับเรานี้ทุกข์ ในวาระอย่างนี้ทุกข์มาก แต่เวลาจริงจังเอาจริงๆ มันก็ไม่ทุกข์เสียตอนนั้น ไม่ทุกข์ก็บอกไม่ทุกข์ ตอนนั้นเรียกว่าทุกขเวทนาอันไหนส่วนร่างกายที่เข้าไปบีบบี้สีไฟนี้ไม่มี กิเลสตัวที่ต่อสู้กันอยู่นั้น มันก็เป็นกิเลสที่อ่อนกำลังลงแล้ว คอยแต่จะพัง อำนาจของธรรมเหนือกว่าๆ ก็ผึงไปเลยได้ แต่ตอนที่นั่งตลอดรุ่งนี้เอาจริงๆ โอ๊ย แทบเป็นแทบตาย ก้นแตกฟังซิ ถึงขนาดก้นแตก นั่งภาวนาคืนแรกมันก็ออกร้อน ออกร้อนหมดทั้งก้นเรานี่ เหมือนไฟเผาแหละ คืนที่ ๒ ที่ ๓ มา จากออกร้อนแล้วก็พอง จากพองแล้วก็แตก จากแตกก็เลอะ นั่นละขนาดนั้น คือนั่งไม่ถอย ไม่สนใจ ไม่ได้ถอยเลย
เรายังไม่ลืมที่พ่อแม่ครูจารย์มาให้คติอย่างจังๆ เลยนะ เพราะวันไหนขึ้นไปหาท่าน คือมันได้ทุกคืน ถ้าคืนไหนนั่งตลอดรุ่งเอาเป็นเอาตายเข้าว่าแล้ว วันนั้นต้องได้อัศจรรย์ขึ้นมา ตอนเวลาบ่ายก็ดีหรือตอนหลังจังหันแล้วก็ดี ได้โอกาสไม่มีพระแล้วปั๊บขึ้นเลย ขึ้นหาท่าน เปรี้ยงเลยนะ นี่ละความรู้ถ้าได้เกิดขึ้นกับใจมันไม่มีคำว่าท้อถอยอ่อนแอ คำว่ากลัวว่าอะไร ขยะแขยงไม่มีนะ มันมีแต่กำลังของธรรมผึงเลยเทียวนะ ขึ้นหาพ่อแม่ครูจารย์ก็ผึงเลยทันที แต่ก่อนก็ธรรมดา ลูกศิษย์กับอาจารย์ขึ้นไปก็เหมือนผ้าพับไว้ ไม่ว่าใครเหมือนกันขึ้นไปหาครูบาอาจารย์จะไปแสดงอาการขึงขังตึงตังได้ยังไง มันไม่มีอะไรให้เป็น แต่วันมันได้เป็นไม่มีใครบอกก็ได้ ผึงเลยทันที ซัดกับพ่อแม่ครูจารย์นี้เปรี้ยงๆเห็นไหม แต่ท่านรู้แล้ว เรามันก็ร่ายบ้าของเรา ก็หมาตัวหนึ่งเท่านั้น ขึ้นไปผึงๆ
ท่านก็ เอาละบ้ามันขึ้นแล้วมันได้หลักแล้ว คงว่าอย่างนั้นละนะ ทีนี้เอาสุดท้ายนะ นั่งไม่ถอยมันจะเอาอยู่เรื่อยๆ อย่างนั้น พอขึ้นไป นี่เห็นไหมครูอาจารย์สอนผิดที่ไหน ขึ้นไปพอกราบท่าน วันนั้นก็จะไปเล่าอัศจรรย์นะ มันเป็นแล้วในคืนวันนั้น พอวันหลังมาจะไปเล่าให้ท่านฟัง พอขึ้นไปนั่งปั๊บ ขึ้นผางเลยทันที เรายังไม่ได้พูดสักคำเลย กราบท่านพอจบปั๊บเท่านั้น กิเลสมันไม่ได้อยู่ในกายนะ มันอยู่ในจิตนะว่าอย่างงั้นนะ ท่านบอกว่ากิเลสมันไม่อยู่ในกาย ความหมายของท่านก็จะทรมานมันอะไรนักหนาความหมายว่าอย่างนั้น กิเลสมันอยู่ในจิต เมื่อจิตมีหลักมีเกณฑ์พอเป็นไปแล้วก็ควรจะผ่อนสั้นผ่อนยาวกัน ความหมายว่าอย่างนั้น แต่ถ้าพูดอย่างนี้มันไม่ถึงใจของคนหนา นิสัยเรามันหนาด้วยผาดโผนด้วย พอขึ้นไปก็ กิเลสมันไม่ได้อยู่กับกายนะ มันอยู่กับใจนะ ขึ้นอย่างเปรี้ยงๆ เลย
ท่านก็ยกสารถีฝึกม้ามาเป็นตัวประกอบ อันนี้เราก็เรียนมาแล้วเห็นแล้วนี่จะว่ายังไง ม้าตัวใดที่มันคึกคะนองมากๆ ผาดโผนโจนทะยานมากๆ แล้ว สารถีฝึกม้าเขาจะฝึกกันอย่างหนัก ไม่ควรให้กินหญ้าไม่ให้กิน ไม่ควรกินน้ำไม่ให้กิน มีแต่ฝึกท่าเดียว เป็นก็เป็นตายก็ตาย เอากันอย่างหนัก ทีนี้พอม้าค่อยลดความพยศลงมาบ้างแล้วการทรมานเขาก็ค่อยลดลงๆ มันลดความพยศลงมากเท่าไรการทรมานเขาก็ค่อยเบาลงๆ เมื่อม้าใช้ได้การได้งานแล้วการฝึกอย่างนั้นเขาก็หยุด ท่านพูดเพียงเท่านี้แหละ แต่มันถึงใจเราแล้ว ก็เรานี้มันแบบนั้น ที่ท่านว่ากิเลสมันไม่ได้อยู่กับกาย มันอยู่กับใจ คือใจมันผาดโผนโจนทะยาน ฟัดตรงนั้นความว่านั้น จะฝึกทรมานแบบไหนก็เอาเถอะถึงขั้นนั้นแล้ว
พอท่านว่าอย่างนั้นเราก็ยังเสียดาย ได้มาพูดให้ลูกศิษย์ลูกหาฟัง โอ๊ย เสียดาย พอท่านพูดถึงม้า ถึงขั้นที่ว่าเมื่อม้าใช้งานได้เป็นปกติแล้ว การฝึกอย่างนั้นเขาก็ไม่ฝึก เขาก็ใช้การใช้งานเป็นธรรมดา ยังเสียดาย ท่านไม่หันมาทางนี้ หมาตัวนี้มันฝึกกันแบบไหนน่ะ อยากให้ท่านว่าอย่างนั้นเข้าใจไหม เขาฝึกม้าเขาฝึกอย่างนั้น หมาตัวนี้มันฝึกแบบไหนน่ะ แต่ท่านไม่พูดนะเรายังเสียดาย ถ้าท่านว่าออกมายิ่งจะถึงใจนะ นี่ละธรรมะไม่มีคำว่าหยาบนะเข้าใจไหม ที่ว่าถึงใจ น้ำหนักเข้าใจไหม ให้มันถึงใจๆ นั้นเป็นคติได้มาก ถ้าท่านหักมาปั๊บ หมาตัวนี้มันฝึกแบบไหนน่ะมันถึงไม่ได้มองดูหน้าดูหลัง อู๊ย เรายิ่งจะถึงใจ แต่ท่านไม่ว่านะ ท่านพูดเพียงม้าแล้วหยุดไป ตั้งแต่บัดนั้นมาเราก็ไม่เคยนั่งตลอดรุ่งอีนะ ท่านก็ทราบแล้ว เราก็ทราบแล้ว ใจได้หลักแล้วท่านทราบ
นี่ละที่ว่ากิเลสอยู่กับใจ เมื่อใจลดพยศลงไปการฝึกทรมานทางร่างกายน้ำหนักก็ควรจะเบาลงไปตามกัน ความหมายว่าอย่างนั้น ถ้าท่านพูดอย่างนี้กลัวเราจะอ่อนเปียก ท่านก็ใส่อย่างนั้นเปรี้ยงๆ นี่ละครูบาอาจารย์ผู้ที่ท่านฝึกเราท่านต้องเด็ดทุกอย่าง เหมาะสมทุกอย่าง ท่านใส่เราเปรี้ยงไหนนี้ โถ หงายเลย หงายไม่ทันหงายหมาเลย ของท่านของเล่นเมื่อไร จอมปราชญ์กับจอมโง่เข้าใจไหม เรานี่จอมโง่ ท่านจอมปราชญ์ เราจึงไม่ลืม เทิดสุดยอดเลยกับพ่อแม่ครูจารย์มั่น ทุกอย่างเราไม่มีเหลือติดตัวเราไว้เลย ความรักความเทิดทูนความเคารพทุกสิ่งทุกอย่างอยู่กับท่านหมดเลย เพราะทุกอย่างที่ท่านใส่มาตรงไหนนี้จับได้ปุ๊บๆ เลยเพราะท่านไม่ได้ใส่เบาๆ นะเปรี้ยงเลยเชียว ให้มันสมเหตุสมผลเราเป็นคนผาดโผนโจนทะยาน ท่านจะทำธรรมดาไม่ถึงใจกับคนหนาๆ ท่านต้องซัดเอาอย่างหนัก นี่เราก็ไม่ลืม
อันนี้เรื่องของเรามันฝึกมันทรมานอย่างนี้ กิเลสมันตัวผาดโผนเราก็ต้องมีอย่างนั้นเหมือนกัน ไม่ผาดโผนไม่ทันกัน นี่เทียบเข้ามาหาหัวใจของเรา ระหว่างกิเลสกับใจมันฟัดกัน กิเลสโผนขนาดไหนธรรมต้องโผน จะอ่อนไม่ได้นะ เข้าใจแล้วนะที่พูดนี่ ต้องอย่างนั้นนะ
นี่ก็ตัวสั่นไปหมดทั้งตัวเหมือนกันนะเจ้าคะ
โอ๊ย อย่าว่าสั่นเลย เพียงเท่านั้นเป็นไรไป นี่สั่นมาก่อนแล้ว มาว่าอะไร ถึงคราวเด็ดต้องเด็ดจิตนี่ ถึงคราวเด็ดต้องเอาเต็มเหนี่ยวเลย อะไรจะตายก่อนตายหลังให้ทันกันอย่างนั้นนะ อะไรจะตายในร่างกายของเรานี้ ดูมันให้หมด เรื่องความตายนี้ไม่กลัว จะดูความจริง ความจริงจะออกแง่ไหน อะไรจะตายก่อนตายหลังให้รู้กันเป็นระยะๆ นั่นละที่นี่สติปัญญามันหมุนติ้วๆ เลย มันก็ได้เหตุได้ผล ส่วนทั้งหลายที่เป็นภัยพังลงผึงทันทีเลย จิตก็จ้าขึ้นมาเลย นั่นเห็นไหมล่ะ เป็นอย่างนั้นนะ
นี่เคยฝึกมาแล้วพูดแง่ไหนก็รู้ทันที เพราะเราเคยผ่านมาแล้วทั้งสะดวกไม่สะดวก ทั้งทุกข์จนจะเป็นจะตายก็ผ่านมาหมดแล้ว ทีนี้ความรู้ภายในเป็นยังไงมันก็ผ่านมาเช่นด้วยกัน พูดตรงไหนมันรู้ทันทีๆ นอกจากจะพูดออกมารับกันหรือไม่รับกันเท่านั้น มันจะทันทีเลย เพราะผ่านมาหมดแล้ว ตาข่ายแห่งความปฏิบัติและความรู้เห็นที่เราเป็นมานี้มันครอบไปหมดแล้ว นั่นซิเรื่องธรรมะขอให้มันเป็นขึ้นในใจซิ อันนี้มันมีแต่กิเลสครอบหัวใจ ไปที่ไหนเห็นแต่ตุ๊กตามนุษย์ ไม่เห็นตัวมนุษย์ มองไปไหนเห็นแต่ตุ๊กตา ตัวมนุษย์จริง ๆ ที่มีศีลมีธรรมแทรกอยู่นั้นไม่ค่อยเห็น นี่ซิมันจึงน่าอิดหนาระอาใจ ให้พากันฝึกนะทุกคนๆ เอาละพอสมควรแล้ว