สรุปทองคำ ดอลลาร์ เงินสด วันที่ ๖ วันกฐิน ทองคำได้ ๒๓ กิโล ๔๕ บาท ๑๑ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๓๔,๘๖๔ ดอลล์ เงินสดได้ ๕,๐๑๔,๑๒๙ บาท รวมยอดทองคำที่มอบเข้าคลังหลวงแล้วได้ ๔,๕๖๒ กิโลครึ่ง รวมยอดทองคำทั้งหมดทั้งที่มอบแล้วและยังไม่ได้มอบได้ทองคำ ๔,๖๒๔ กิโลครึ่ง
วันนี้บรรดาพี่น้องทั้งหลายก็จะได้ทอดกฐินตามที่ต่าง ๆ วันนี้ทั้งวัน เมื่อวานนี้อาจมีบ้างตอนบ่ายหลังจากทอดนี้เรียบร้อยแล้ว ไปทอดที่อื่นอาจมีบ้างไม่มากนัก แต่วันนี้ดูจะมีกันทั้งวัน พอทอดเสร็จแล้วก็กลับกรุงเทพกัน วันนี้จึงเป็นวันทอดกฐินล้วน ๆ เลยทั้งวัน วัดนั้นวัดนี้ ๆ กรรมฐานสายหลวงปู่มั่นมีอยู่ในที่ต่าง ๆ ซอกแซกซิกแซ็ก ทางภาคกลางเฉพาะอย่างยิ่งคือกรุงเทพของเรา ไปเที่ยวจองและทอดหมดเลยนะ ที่พวกนี้อ้าปาก มันเซ่อมันอ้าปาก ผู้ที่ไม่เซ่องับกินเรื่อย เอาบุญเอากุศลไปเรื่อย วันนี้จึงว่าจะทอดทั้งวัน
ที่พี่น้องทั้งหลายไปทอดกฐิน ๆ นี้สมบัติทั้งหลายอย่าเข้าใจว่าจะไปไหนนะ จะไหลเข้ามาหาจุดใหญ่ของเราคือทองคำ ดอลลาร์ เงินสด เพื่อเข้าสู่คลังหลวงกันทั้งนั้น ไม่ว่าวัดใด ๆ พอไปทอดเสร็จเรียบร้อยแล้วทางโน้นก็เก็บรวบรวมแล้วมา วัดต่าง ๆ ไหลเข้ามา ๆ รวมที่นี่แล้วเข้าคลังหลวงเป็นประจำ
วันนี้ก็จะไปวัดภูวัว ให้เขาไปตลาดอยู่เวลานี้ ให้เขาเอาของที่จำเป็น ๆ เป็นอาหารเสริม อาหารที่เรากำหนดตายตัวไว้แล้วไม่บกพร่อง ส่วนเหล่านี้เป็นอาหารเสริมต่างหาก เป็นทั้งอาหารสั้นอาหารยาว คืออาหารสดอาหารแห้งไปนี้นะ ร่วม ๓ ชั่วโมง ไปคราวที่แล้ว ๓ ชั่วโมงดูเหมือนกว่านิดหน่อยจำได้ ถ้าธรรมดาไม่ถึง ๓ ชั่วโมง หากว่าทางเรียบ ๆ ธรรมดาก็ ๒ ชั่วโมง ๔๕ นาที อยู่ในย่านนี้นะ ไปวันนั้น ๓ ชั่วโมงกว่าเพราะเป็นหน้าฝน วันนี้คงจะสะดวก เอารถตู้เราไป ๒ คัน เอาของเต็มรถเลย สงสารพระเหล่านั้น เวลานี้มี ๔๓ องค์ เรียกว่าชีวิตอยู่กับวัดนี้ทั้งหมด
กี่องค์ก็ตามเรารับเลี้ยงมาได้ ๑๐ กว่าปีแล้วไม่เคลื่อนคลาดเลย พอจวนสิ้นเดือนปั๊บออกปึ๋ง ๆ เลย ตั้งแต่ประมาณวันที่ ๒๕-๒๖ ไปถึงวันสิ้นเดือนออกไปส่งย่านนี้ ๆ อย่างเราไปกรุงเทพคราวที่แล้ว ไปกรุงเทพวันที่ ๒๔ ก็เป็นช่วงที่จะไปส่งของ เขาก็จัดส่งทางนี้เลยไม่บกพร่อง ดูว่าไปวันที่ ๒๗ เขาจัดส่งทางนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างจะไม่บกพร่องตามที่เราสั่งเรียบร้อยแล้ว ไปเป็นประจำ เราสงสารท่านนะทั้ง ๆ ที่เราก็รู้ทางภาคปฏิบัติเกี่ยวกับเรื่องอาหารการกิน แต่ความสงสารมันก็มีของมัน ถ้าให้มากนักภาวนาไม่ดี นี้คือเราก้าวเดินมาก่อนแล้ว
ถ้าวันไหนฉันอาหารตามนิยมว่าดี ๆ แล้ว วันนั้นดีที่สุดในเรื่องการนอนกับความขี้เกียจขี้คร้านเลิศเลอ แน่ะเป็นอย่างนั้นนะ ให้มันอด ๆ อยาก ๆ ขาด ๆ แคลน ๆ การภาวนานี้แน่ว ๆ ร่างกายเบา จิตใจยิ่งเบา แม้ที่สุดร่างกายจะตายตะเกียกตะกายไปจะไม่ถึงหมู่บ้าน จิตมันไม่ได้เป็นนะ มันยิ่งคล่องตัว ถึงขนาดที่กิเลสเกิด เกิดเวลาเดินไปบิณฑบาต คาดเอาไว้ว่าวันพรุ่งนี้ไปจะพอถึง ไปเสียวันพรุ่งนี้ คือกำหนดเองเจ้าของ กะว่าวันไหนจะไปไม่รอดแล้วไปก่อนหน้านั่นเสีย นอกนั้นก็เงียบเลย ๆ ตลอด เวลาจะไปถึงได้กะได้ตวง วันจะไปมันจะไปถึงไหม
วันนั้นก็กะว่าจะพอถึง ที่ไหนได้ไปถึงกลางทาง ต้องนั่งกลางทาง ไปไม่รอด ทุกอย่างมันอ่อนลงหมดร่างกาย แต่จิตไม่เป็นอย่างนั้นนะ เราหาธรรมไม่ได้หาอาหารนี่ อาหารอดอยากขาดแคลนขนาดไหน หิวโหยขนาดไหน พอมาฉันเท่านั้นมันดีดผึงขึ้นเลยกำลังได้ทันที แต่เรื่องอรรถเรื่องธรรมนี้ โถ แทบเป็นแทบตาย มันไม่ได้ขึ้นง่าย ๆ นะ จึงเอาอันนี้เป็นน้ำหนักมากกว่า พอนั่งอยู่สักเดี๋ยว นี่เขาเรียกว่ากิเลสเกิด ข้าศึกของความเพียร นี่เห็นไหม ขึ้นเป็นคำ ๆ ขึ้นมา เรียกว่ากิเลสเกิด กับธรรมเกิด จะเป็นวรรคเป็นตอน จะเป็นคำเหมือนเราพูดกัน แต่ขึ้นในจิตใจเป็นคำมาเลย นี่เห็นไหมท่านอดอาหารจะฆ่ากิเลสให้ตาย แต่เวลานี้กิเลสยังไม่ตาย ท่านกำลังจะตายรู้ไหม นั่นเห็นไหมล่ะบอก จะฆ่ากิเลสให้ตาย แต่กิเลสยังไม่ตาย ท่านกำลังจะตายรู้ไหม นี่เรียกว่ากิเลสเกิด มันขวางทางเราไม่ให้เราก้าวเดิน
ถ้าเราเชื่ออันนี้ก็อ่อนเปียกละซิ กลัวตาย พอกิเลสเกิดทางนี้ก็ขึ้นรับกันปึ๋งเลย แก้กัน แก้ตกทันทีเลย การกินนี้เรากินมาตั้งแต่วันเกิด นั่นฟังซิน่ะ นี่ธรรมขึ้นนะ เราเคยกินมาแล้วตั้งแต่วันเกิดไม่เห็นวิเศษวิโสอะไร อดเพียงเท่านี้จะตายเหรอ เอ้า ตายก็ตาย นั่นเห็นไหมล่ะ ดีดผึงเลย เรียกว่าแก้ปัญหาตก นี่ละกิเลสกับธรรมมันเกิดแก้กัน ๆ ยิ่งละเอียดเท่าไรยิ่งละเอียด แก้กัน ๆ ตลอดไปเลย อย่างนั้นละเรื่องกิเลสกับธรรมอยู่ที่หัวใจอันเดียวกัน ไม่ได้นอกเหนือจากนี้ จิตนี้เป็นภาชนะสำหรับรับไว้ทั้งธรรมทั้งกิเลส เพราะฉะนั้นเราเอียงไปทางกิเลสจึงเกิดทันที เอียงไปทางธรรมจะเกิดทันที คำว่าครึว่าล้าสมัยนั้น ก็เจ้าของครึล้าสมัยเอง หลงตามกิเลส กิเลสก็ทันสมัย ธรรมในหัวใจก็ครึล้าสมัยก้าวไม่ออก ถ้าเอื้อมทางธรรมปั๊บกิเลสก็เริ่มล้าสมัยไป ธรรมดีดเท่าไรกิเลสยิ่งล้าสมัย ๆ ตีกันลงเรื่อย ๆ ในหัวใจดวงเดียวกันนี้ จนกระทั่งขาดสะบั้นไม่มีอะไรเหลือ ไม่มีอะไรมาคัดค้านต้านทาน ว่าเป็นข้าศึกอย่างนั้นอย่างนี้ไม่เคยมี นี่ก็ชี้นิ้วได้เลยว่า มีกิเลสเท่านั้นเป็นข้าศึกของใจ
เรื่องทุกข์ทั้งหลายเกิดขึ้นมากน้อย เกิดขึ้นจากกิเลสทั้งนั้น เมื่อกิเลสสิ้นซากลงไปแล้วไม่เห็นมีทุกข์อันใดมาเกิดในจิต ไม่มี มันก็ชี้นิ้วเลยว่ากิเลสเท่านั้นเป็นภัยของสัตวโลก ธรรมเป็นมหาคุณ จะว่าอะไรครึอะไรล้าสมัยล่ะ ถ้าว่าครึว่าล้าสมัยกิเลสมันก็พังไปแล้ว เอาอะไรมาครึมาล้าสมัยมันตายแล้ว ธรรมจะว่าอะไรทันสมัยไม่ทันสมัยก็เลิศเลออยู่แล้ว ก็เป็นอย่างนั้น นี่ท่านเรียกว่าธรรมเกิดกิเลสเกิด ระหว่างการต่อสู้กับกิเลสนี้ ธรรมกับกิเลสต้องฟัดกันตลอด ต่อสู้กันตลอด เกิดตลอด กิเลสเกิดตลอด ธรรมเกิดตลอด ตบต่อยเหมือนนักมวยต่อยกันนั่นเอง ยิ่งเข้าขั้นละเอียดเท่าไรกิเลสก็ยิ่งละเอียด ธรรมยิ่งละเอียด ยิ่งหมุนกันเร็ว ๆ
ถ้าถึงขั้นธรรมละเอียดแล้วกิเลสจะอ่อนโดยลำดับนะ ธรรมนี้จะดีดผึงเรื่อยเลย พอโผล่ขึ้นมาจะตั้งเป็นปัญหาทางนี้ซัดแล้ว ขาดแล้ว นั่น เวลาธรรมมีอำนาจไม่ถึงขั้นตั้งเป็นปัญหาขึ้นมา พอแย็บขึ้นมาปั๊บขาดแล้ว ๆ ไม่ยังเป็นถ้อยเป็นความที่ว่ากิเลสเกิดได้นะ เป็นอย่างนั้น การปฏิบัติธรรมเห็นในหัวใจเราจะไปถามใคร กิเลสกับธรรมอยู่ที่หัวใจ อะไรครึอะไรล้าสมัยก็คือเราผู้ที่จะหลงตามกิเลสหรือไม่หลงตามกิเลสเท่านั้น มันอยู่กับเรา เราจะไปตำหนิอะไรว่าหนักว่าเบาต่างกัน มันอยู่กับเรา ๆ ถ้าเราหมุนทางธรรม ธรรมก็ก้าวเดินเรื่อย ๆ หมุนทางกิเลส กิเลสก็พาลากไปเรื่อย ๆ
อย่าไปหลงกับโลกตาบอดว่า ธรรมหมดเขตหมดสมัย ธรรมครึธรรมล้าสมัย ตัวมันนั่นแหละตัวมันครึมันล้าสมัยไม่ใช่ตัวใด แล้วมันจะประกาศสอนโลกให้เป็นแบบเดียวกันกับมัน แล้วก็มีแต่คนหูหนวกตาบอดเต็มโลกเต็มสงสาร จะไม่มีใครดิบใครดีเอื้อมกับธรรมได้เลย เข้ายึดธรรมไม่ยึด กิเลสตีทีเดียวมือหักไปนู่น มันลากไป นี่ละเวลากิเลสมีอำนาจมาก มันอยู่ในหัวใจเราดวงเดียว อย่าไปคิดว่ากิเลสอยู่ทางโน้นทางนี้ ดินฟ้าอากาศ ๓ โลกธาตุนี้ไม่มีที่อยู่ของกิเลสและธรรม มีอยู่ที่ใจแห่งเดียว เพราะฉะนั้นท่านจึงสอนให้ปฏิบัติต่อใจ นี่ละจะเป็นการเบิกกว้างปัญหา ชำระกิเลสก็ชำระที่ใจ แก้กิเลสทั้งหลายแก้ที่ใจ ธรรมเกิดขึ้นที่ใจ ๆ จนกระทั่งกิเลสมุดมอดไปหมด ธรรมจ้าหมดเลย นั่นอยู่ที่ใจ ไปหามาจากไหนล่ะ
ธรรมมีอยู่แล้ว เป็นแต่เพียงว่ากิเลสปิดบังเอาไว้ไม่ให้เห็น มีเท่าไรมันก็ไม่ให้เห็น เหมือนคนตาบอดมองดูอะไรก็ไม่เห็น คนตาดีมองไปไหนเห็นหมด ใจที่เจิดจ้าแล้วที่ไหนก็เห็นหมด ใจที่มืดดำด้วยกิเลสปิดบังไว้มันก็ไม่เห็นทั้งนั้น ดีไม่ดีมันยังล่อไปอีก สิ่งที่มันล่อไปก็คือหลอกลวงไป เห็นไม่เห็นก็วาดภาพไปตาม ถ้ากิเลสหลอกลวงแล้ววาดภาพไปตาม จึงเรียกว่าหลงตามมัน ให้ขึ้นเวทีเสียก่อน อย่าขึ้นแบบเหยาะ ๆ แหยะ ๆ นะ เราอยากเห็นดำเห็นแดงกันระหว่างกิเลสกับธรรมในหัวใจแบบประจักษ์แล้ว ให้ฟัดความเพียรให้เข้าแน่นหนามั่นคง ทีนี้เราจะเห็นความเปิดจ้าของธรรม จะเปิดขึ้นเรื่อย ๆ กิเลสจะค่อยเบาลง ๆ พอธรรมะอ่อนกิเลสจะขึ้นทันที เพราะเป็นคู่ต่อสู้กัน
พี่น้องทั้งหลายอย่าไปหลงกลมัน ที่โน่นที่นี่จะมีบุญมีบาป ธรรมจะครึจะล้าสมัย กิเลสจะครึจะล้าสมัย อยู่ที่หัวใจเรา เราผู้ที่คอยจะเอื้อมไปทางไหนเป็นตัวของเราเอง ถ้าเราเอื้อมทางกิเลสก็จมไปวันยังค่ำ เอื้อมไปทางธรรมก็เจริญขึ้นทางธรรม ยากขนาดไหนบืนได้ เหมือนเราหาเงินหาทอง หายากหาลำบาก ได้มากได้น้อยก็ได้นะถ้าหา หาอะไรมันก็ได้อันนั้น หาอรรถหาธรรมก็แบบเดียวกัน
ครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่ปรากฏชื่อลือนามในสมัยปัจจุบัน พ่อแม่ครูจารย์มั่นนี่นะ ถามองค์ไหนพอ ๆ กันนะ เราก็ว่าเรารอดตายมา บทเวลาถามครูบาอาจารย์ ท่านก็รอดตายไปแบบหนึ่ง สุดท้ายก็เรียกว่ารอดตายไปคนละแบบ อุบายวิธีต่อสู้กิเลสจะต้องสู้คนละแบบละฉบับนะ นั่นละถ้าจิตเด็ดทางไหนมันก็ไปละ เวลามาคุยกันแล้วลืมไม่ลงนะ ไม่มีลืม ครูบาอาจารย์แต่ละองค์ ๆ เพราะพวกเรานี่พวกถูไถมันต้องหนัก ถ้าเป็นตาน้ำก็อยู่ลึก น้ำมีแต่อยู่ลึก น้ำตื้นก็มี ขุดจ๊อก ๆ ลงไปไม่นานแล้วก็เจอน้ำแล้ว พวกที่บรรลุธรรมได้เร็วคือพวกตาน้ำอยู่ตื้น ๆ พวกเราพวกตาน้ำอยู่ลึก รับรองว่ามีแต่อยู่ลึก ต้องใช้ความพยายามเต็มที่ขุดจนถึงน้ำ มันจะไปไหนวะ แล้วมันก็ถึงจนได้นั่นแหละ
สมัยนี้เป็นระยะที่กิเลสหนาแน่นเข้าโดยลำดับลำดา ธรรมะนี้นับวันอ่อนลง ๆ แทบจะไม่มีธรรม ก็มีเป็นเกาะนิดหน่อยอยู่ดอนชาวพุทธเรา มีธรรมอยู่บ้าง แล้วมีธรรมอยู่บ้างนี้ก็เป็นเกาะเป็นดอนเข้าไปอีกเป็นระยะ ๆ ผู้ที่ละเอียดแหลมคมมีน้อยมาก ถัดลงมา ๆ ผู้หนาแน่นมีมาก ทั้ง ๆ ที่มีธรรมอยู่แต่ยังหนาแน่นด้วยกิเลสอยู่ แต่ธรรมยังมีก็เรียกว่ามี แต่หนาแน่นอยู่มากกับกิเลส เป็นขั้น ๆ ลงไป คนคนเดียวก้าวเข้าไปขั้นหนาแน่น ออกขั้นเบาบางไปเรื่อย ๆ แล้วพุ่งได้ แน่ะ ถ้าเราพยายาม ถ้าไม่พยายามก็ยิ่งจมลงไปมีเท่านั้น เรื่องอื่นไม่มี
เราเอาธรรมจากหัวใจมาพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง เพราะได้ฟัดกันอย่างเต็มเหนี่ยวแล้วจึงไม่มีสงสัย ใครจะพูดมาแง่ไหนปั๊บมันจะเข้าข่ายแห่งความรู้ความเห็นความเป็นของตัวเองทันที ๆ เพราะเราได้ผ่านมาพอแล้ว พูดตรงไหนปั๊บเข้าทันที ๆ ธรรมถ้าลงได้เกิดแล้วมันเบิกกว้างนะ ไม่เหมือนกิเลส กิเลสเกิดมากเท่าไรยิ่งตีบตันอั้นตู้ นั่งอยู่กับหมู่กับเพื่อนก็รื่นเริงบันเทิง พอคิดถึงเรื่องความเป็นความตาย คติที่จะไป ไปดีไปชั่ว โอ๋ย ตีบตันเป็นไฟขึ้นมาทันที นี่แสดงว่าบาปหนาอยู่มาก ถ้าเป็นอย่างนั้นให้รีบแก้ไข ถ้าคิดถึงเรื่องความเป็นความตายนี้ตีบตันอั้นตู้ ร้อนอกร้อนใจเป็นฟืนเป็นไฟ เหมือนหนึ่งว่าจะตายในเวลานั้น นี่แสดงว่ากิเลสยังหนามาก ให้พยายามฟิตตัว เมื่อมันเป็นอย่างนี้ให้รีบแก้ไข สร้างคุณงามความดีอบรมจิตใจให้มากเข้า ทีนี้พูดถึงเรื่องความตาย อาจจะไม่ค่อยกลัว ต่อไปความตายเลยเป็นอารมณ์ของใจ เป็นเครื่องปลุกใจเรื่อยไม่ให้นอนใจ ให้ตื่นตัวอยู่เสมอ ทีนี้ก็เบิกกว้าง ๆ
เพราะฉะนั้นท่านจึงสอนมรณัสสติ ระลึกถึงความตายเป็นอารมณ์มันจะไม่ลืมตัวคนเรา จะได้มีป่าช้าเหมือนโลกทั่วไป เมื่อเป็นอย่างนั้นเราก็ขวนขวายทางดีซิ เมื่อมรณัสสติ คือความตายเตือนเรา
เวลากิเลสหนาปัญญาหยาบจริง ๆ มันไม่อยากระลึกถึงความตายนะ ระลึกถึงแต่ความเพลิดความเพลิน ซึ่งเป็นเครื่องล่อลวงของกิเลสให้เพลิดเพลินไปตามมัน เพลิดเพลินเพื่อจะจม เวลาคิดถึงความตายร้อนเป็นฟืนเป็นไฟ นี่แสดงว่ากิเลสยังหนา ให้รีบแก้ไขนะ มันจะรู้ในตัวของเราเอง พอเราพยายามฝึกหัดดัดแปลงหนักเข้า ๆ เรื่องความเป็นความตายนี่เบาลง ๆ ยิ่งเป็นคติเครื่องเตือนใจ ระลึกถึงความตายเท่าไรมันยิ่งเร่งของมัน นั่น มันต่างกันนะมันไม่ได้เดือดร้อน มีแต่จะเร่งความดีเข้าไป ๆ หนักเข้าไปความตายเป็นอารมณ์ แล้วสุดยอดจริง ๆ แล้วก็มีแต่พ้นกับตาย ไม่ตายให้พ้น สุดท้ายเลยลืมความตายไป ที่จะพ้นให้พ้นอย่างเดียว ๆ นั่นเห็นไหมล่ะ นี่ละอำนาจของธรรมเป็นอย่างนั้น
พูดถึงเรื่องความตายยิ่งกล้าหาญชาญชัยเข้าไป ที่จะได้ฟิตอย่างหนัก ๆ เข้าไป ให้มันอ่อนแอให้ได้เดือดร้อนเหมือนแต่ก่อน ไม่ได้เดือดร้อนนะ ใจดวงนี้แหละเมื่อมีธรรมเข้าเป็นเครื่องศาสตราอาวุธต้านทานกันแล้ว สู้กันได้สบาย ๆ คนที่เคยกลัวความตายมาก ๆ นั่นแหละ แล้วกลับกล้าต่อความตายได้สบาย ๆ เพราะธรรมเป็นเครื่องต้านทานไว้ได้ ๆ จนกระทั่งต้านทานไว้อย่างแม่นยำ ไม่มีคำว่าความเป็นความตาย เช่นพระอรหันต์ท่าน ความตายกับความเป็นอยู่ท่านมีน้ำหนักเท่ากัน ไม่มีอะไรยิ่งหย่อนกว่ากันเลย ถ้าเป็นหลักธรรมชาติแล้วนะ แต่เมื่อคิดถึงประโยชน์ทางโลกทางสงสาร ท่านก็เอียงไปทางประโยชน์แก่โลก ความเป็นอยู่จึงมีน้ำหนักมากกว่าความตาย คือความเป็นอยู่เพื่อประโยชน์ให้โลก ถ้าตายไปเสียระยะนี้ก็จะไม่ได้ทำประโยชน์ให้โลก ก็มีเท่านั้น มีชีวิตอยู่เท่าไรก็ทำประโยชน์ให้โลกได้มากน้อยเพียงนั้น ท่านจึงมีน้ำหนักไปทางความเป็นอยู่ ถ้าธรรมดาแล้วตายเมื่อไรท่านไม่สงสัย เท่ากันหมด เป็นคติธรรมชาติธรรมดาด้วยกัน ท่านไม่หลง
ให้พากันฟิตเนื้อฟิตตัวนะ คนไทยเรากับชาติไทยเราเวลานี้เหลวไหลมากทีเดียว เอาธรรมเข้าจับ จับนี้จับเพื่อจะรื้อจะฟื้นขึ้นมา ไม่ได้จับเพื่อดูถูกเหยียดหยามเหยียบย่ำทำลายกัน ตำหนิติเตียนตรงไหน ๆ ให้รู้ว่านั้นบกพร่อง เหมือนกับนักมวยเขาฝึกซ้อมกัน นักมวยเขามาเล่าให้ฟัง เราถึงได้เอามาพูดนี้ เวลาฝึกซ้อมกับครูนี้ ต่อยกันไป ๆ ครูเขาจะเตือน ครูเตือนลูกศิษย์ผู้ฝึกซ้อมกับครู พอต่อยไป ๆ อย่าเปิดตรงนั้น ครูนะบอกเอง อย่าเปิดตรงนั้น คือมองเห็นแล้วมันบกพร่องตรงนั้น แต่ครูไม่ต่อย บอกไว้เฉย ๆ สักเดี๋ยวก็ต่อยปั๊บ อย่าเปิดตรงนั้น เข้าใจไหม ทีแรกก็บอก อย่าเปิดตรงนั้น ๆ คือมันบกพร่องตรงไหนครูจะเตือน ต่อยกันไปเตือนไป ยังไม่ต่อย เตือนเฉยๆ ว่าจุดนี้บกพร่อง ถ้าจะต่อยก็ต่อยได้แล้ว ความหมายว่างั้น ครั้นต่อยกันไปบอกว่าอย่าเปิดตรงนั้น อย่าเปิดตรงนั้นเรื่อย พอหลายครั้งเข้าไปก็ปั๊วะเข้าไป อย่าเปิดตรงนั้น ตีแล้ว นั่นเห็นไหมล่ะ พอปั๊บเข้าไปก็ถูกแล้ว ก็มันช่องว่างอยู่แล้วนั่น นี่แหละครูเตือนอย่างนั้น เตือนลูกศิษย์ที่ฝึกซ้อมมวยกับครู
อันนี้ครูบาอาจารย์ฝึกซ้อมลูกศิษย์ก็เหมือนกัน บกพร่องตรงไหนก็บอก อย่าเปิดตรงนั้น ๆ แล้วก็ให้พยายามแก้ไขตนเองไป มันจะค่อยดีขึ้น ๆ ถ้าไม่มีครูมีอาจารย์ไปไม่ได้นะ มีครูมีอาจารย์แนะนำสั่งสอนมันถึงไปได้ แล้วก็เป็นกำลังใจดูดดื่มด้วยนะ ยิ่งครูบาอาจารย์ที่สอนอย่างแม่นยำ ๆ แล้วจิตใจมันดูดดื่มทีเดียวนะ อย่างพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นนี้ แหม โอ๋ย พูดไม่ได้แหละ มันดูดเอาจริง ๆ ท่านพูดอะไรนี้หูจ่อตลอดเวลาเลย นี่ความสนใจ ความลงใจทุกอย่าง มันจ่อ ท่านพูดแย็บออกมาตรงไหนจับปุ๊บ ๆ นี่แหละครูบาอาจารย์ที่แม่นยำ พูดอะไรออกมาเป็นคติทั้งนั้น
แบบสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ว่าท่านว่าเรา ครูบาอาจารย์ก็สุ่มสี่สุ่มห้า ลูกศิษย์ลูกหาก็สุ่มห้าสุ่มหก ทีนี้ไม่ทราบว่าใครสอนใคร จะลงกันได้ยังไง มันพอดีกัน ถ้าว่าอาจารย์ก็สุ่มสี่สุ่มห้า สอนแบบสุ่มสี่สุ่มห้า ถ้าเป็นลูกศิษย์ก็สุ่มห้าสุ่มหก ลูกศิษย์มันหนากว่าครู เลยลูกศิษย์เก่งกว่าครูไปอีก แล้วทีนี้จะสอนใครให้ลง มันไม่ลง เข้าใจไหม ถ้าครูบาอาจารย์แม่นยำปั๊บ เช่นอย่างครูเขาสอนลูกศิษย์เขานักมวย อย่าเปิดตรงนั้น พอบอกสองครั้งมันยังเปิดอยู่ ก็ปั๊วะเข้าไป อย่าเปิดตรงนั้น ตีแล้วนั่น ที่บอกว่าอย่าเปิดตรงนั้น คือว่างแล้วนั่น ถ้าเป็นคู่ต่อสู้เขาก็ใส่แล้ว แต่ครูไม่ใส่ พอหลายหนก็รำคาญ จึงปั๊วะเข้าไป อย่าเปิดตรงนั้น มันรำคาญ
นี่ก็จำให้ดี ท่านตำหนิตรงไหนให้แก้ไขนะ ธรรมเป็นของแม่นยำทีเดียว ตำหนิตรงไหนเป็นผิดจริง ๆ ให้แก้ทันที ๆ พยายามนะ วันนี้ก็เอาแค่นี้แหละ ไม่ได้พูดอะไรมาก มีแต่เตือนพี่น้องทั้งหลาย ให้พากันตั้งอกตั้งใจนับแต่นี้ต่อไป พวกเราจะเริ่มขึ้นละ ชาติไทยของเราขึ้นคราวนี้แหละ หลวงตาบัวยังนำหน้าอยู่ ยังแข็งแกร่งภายในจิตใจด้วยความเมตตา แต่เรื่องร่างกายก็ดังที่เห็นนี่แหละ อย่างเมื่อคืนวานนี้ ฟังซิ เราก็ไม่เคยเป็นนะ ตามธรรมดาไม่เคยเป็นก็บอกไม่เคยเป็น เมื่อคืนวานนี้มันเพลียเอาเสียจนจะหายใจไม่มีลมนะ จะลงไปเดินจงกรมก็เดินไม่ได้ ทุ่มครึ่ง เดินโซซัดโซเซไปตามนั้น จะไปเดินจงกรมก็ไปไม่ไหวแล้ว จะทำไง
ปุ๊บปั๊บขึ้นกุฏิเข้าห้องเลย ทุ่มครึ่งนะไฟก็เปิดเอาไว้ข้างนอก ไฟตะเกียง เพราะเราเคยเดินจงกรมกลางคืน ไฟก็เปิดไว้นั้น เข้าห้องเลยตั้งแต่ทุ่มครึ่ง จนกระทั่งสว่างถึงได้ลุกออกมา ไม่เคยมีนะเรา เมื่อวานนี้เป็นเสียแล้ว เห็นไหมล่ะ คือมันหมดกำลังทุกสิ่งทุกอย่าง จะก้าวเหินเดินไปไหนก็ไม่ไหว ๆ มีแต่นอนแน่วอยู่บนหมอน ให้หลับมันไม่ค่อยหลับแหละ หลับนิด ๆ หน่อย ๆ พอเคลิ้มไป ๆ เท่านั้น แต่มันเหนื่อย มันไม่อยากไปไหนก็ไม่ไป จนกระทั่งเมื่อเช้า คือเข้าห้องนอนตั้งแต่ทุ่มครึ่งเมื่อคืนวานนี้ จนกระทั่งสว่าง ไม่ลุกเลยนะนอนแน่วอยู่นั่นเลย จะลงไปเดินจงกรมก็ไม่ได้อะไรก็ไม่ได้ เพลีย เมื่อคืนนี้พอค่อยยังชั่วบ้าง เมื่อคืนนี้ได้เดินจงกรมบ้างพอประมาณ ลงจากนี้ไปก็เข้าทางจงกรมได้ เดินค่อยสะดวก เมื่อเช้านี้รู้สึกว่าแข็งแรง พอเช้าปั๊บมา ออกจากนี้แล้วก็ไปดูที่นั่นที่นี่ เสร็จมาก็เข้าทางจงกรมเมื่อเช้านี้ พอสว่างออกไปดูที่นั่นที่นี่ แล้วเข้ามาทางจงกรม แข็งแรงพอสมควรอยู่เมื่อเช้านี้
นี่แหละธาตุขันธ์ มันเป็นอย่างนี้แหละ ที่เจ้าของตะเกียกตะกายนี้ก็ถือเอาธาตุขันธ์เป็นประมาณ ถ้าหากว่าธาตุขันธ์เป็นไปไม่ได้แล้ว มันก็หยุดนะ การช่วยชาติบ้านเมืองก็ต้องเอาธาตุขันธ์เป็นเครื่องมือช่วย เช่น สอนเวลานี้ก็เอาธาตุขันธ์สอน ถ้าธาตุขันธ์หมดสภาพแล้ว หมดทาง ให้พากันตั้งอกตั้งใจช่วยชาติบ้านเมืองของเราทุกคน ๆ อย่าเฉื่อยอย่าชานะ ให้พยายามทุกคน ๆ
คราวนี้เป็นคราวที่เราจะหาสมบัติเข้าสู่คลังหลวง เพื่อเป็นความสง่างามและแน่นหนามั่นคงต่อชาติของเรา ขออย่าพากันนอนใจ มีมากมีน้อย เอ้า ขวนขวายทุกคน ๆ เวลานี้เป็นกาลอันเหมาะสม ทางบ้านเมืองก็เหมาะสมแล้ว ทางศาสนาก็เราเป็นผู้นำเอง เหมาะสม ๆ ท่านทั้งหลายก็เห็นเอง เวลานี้พร้อมแล้ว ให้ทุกคนพร้อมกันนะ ให้ต่างคนต่างตักตวง เพิ่มเรื่อย ๆ ตั้งแต่มอบทองคำเข้าคลังหลวงมาแล้ว คราวนี้รู้สึกว่าทองคำและดอลลาร์เด่นขึ้น ๆ อย่างเมื่อวานนี้ได้ทองคำตั้ง ๒๓ กิโล เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ดอลลาร์ก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ให้ต่างคนต่างหนุน ๆ ฟังเสียงหัวหน้านะ ถ้าลงศาสนาเอาขึ้นไม่ได้แล้วจะหมดหวังนะพวกเรา เท่านั้นแหละนะ ให้พร