วันมอบทองคำเทศน์ไม่สะดวกนะ ธาตุขันธ์มันแปร ทั้งเพลียมาแล้ว ถ้าธรรมดาไม่เทศน์ แต่นี้ก็เป็นงานใหญ่ ใคร ๆ ก็มุ่งอยากจะฟังเทศน์เราก็เลยถูไถกันไป พอเวลาจะเทศน์เอาอีกละ ไอเสียจน..ทั้งไอทั้งจาม เพลีย เทศน์ไปก็ไม่ได้ถึงไหนแหละเหนื่อยมาก มันจะถึง ๓๐ นาทีเหรอ อยู่ในย่านนั้น เทศน์ย่อ ๆ เอา จากนั้นก็จบ ทองคำก็ได้ตามที่เรากำหนด ๑๔๕ แท่ง คือแท่ง ๔๕ เราจะบุก เลยบอกแท่ง ๔๕ นี้เราจะบุก พอดีเลยไม่ได้บุก มิหนำซ้ำเหลืออีกก็เก็บไว้เวลานี้ ที่ยังไม่ได้หลอมเหลือก็เก็บไว้ เราค่อยริบรวมเข้าไปเป็นระยะ ๆ คราวนี้หลังจากการมอบทองแล้วรู้สึกว่าได้ทองเพิ่มเข้ามาใหม่เรื่อย ๆ เยอะอยู่นะ ไปคราวนี้ทองรู้สึกได้เยอะ สำหรับดอลลาร์ที่ได้ทางกรุงเทพเราสั่งให้เข้าบัญชีนั้นไว้ทั้งหมด เพราะทางนี้มีนกต่ออยู่แล้ว ไม่มากก็มีไว้แล้วจึงไม่จำเป็นต้องเอามา ให้เข้าบัญชีทางกรุงเทพทั้งหมด ได้เป็นหมื่นนะ เราก็สั่งมอบไว้ทางนู้นทั้งหมด
ดอลลาร์เราได้เรียกว่าสมใจว่างั้นเถอะ เพราะเราทำอย่างฉุกละหุก ปุบปับ ๆ สี่ห้าวันก็ไปกรุงเทพ รวมแล้วได้ ๔ แสนพอดี เราเอาเงินจากโครงการช่วยชาติ ๑๐ ล้านมาซื้อก็ได้ ๒๒๐,๐๐๐ จากนั้นก็เป็นเงินของพี่น้องทั้งหลายรวมกันแล้วเป็น ๔ แสนพอดี สำหรับทองคำได้ ๑๔๕ แท่ง น้ำหนัก ๑,๘๑๒ กิโลครึ่ง เท่ากับ ๑ ตัน ๘๑๒ กิโลครึ่ง เกือบจะถึง ๒ ตันนะคราวนี้ ขาดอยู่ ๑๘๗ กิโลครึ่ง ไปคราวนี้หมุนติ้วเลยไม่มีเวลา ตั้งแต่วันไปถึง รุ่งเช้าก็เอาอาหารไปให้พวกเสือ ข้าวสาร ๒ พันกว่าถุง ๆ ละ ๑๒ กิโล เอาไปมอบให้วัดทั้งหมดเพื่อหมูป่าที่อยู่บนภูเขา วัดติดกับภูเขา ถึงเวลาเขาลงมากิน โหย เหมือนสัตว์บ้านนะ
นี่ละความตายใจของสัตว์ ธรรมอยู่ที่ไหนเป็นอย่างนั้น พวกนี้เป็นสัตว์ป่าร้อยเปอร์เซ็นต์มาคุ้นกับพระได้ยังไงพิจารณาซิ หมูตั้ง ๓๐๐ กว่า ลูกตัวเล็ก ๆ มากับแม่มากินข้าว แม่พามากินข้าว คือเขามารออยู่แล้ว พอท่านฉันเสร็จท่านก็เอาอาหารไปแจกให้ทั่วถึงหมด ไปคราวนี้ถามชัดเจนเข้าไปอีกเกี่ยวกับเรื่องข้าวที่จะให้พวกสัตว์ คือคราวก่อนก็บอกว่าให้สัตว์ทั้งหมด เราไม่ได้ถามซอกแซก ไปคราวนี้ถามซอกแซก ปฏิบัติยังไงข้าวเหล่านี้ เอามาทำยังไง ท่านบอกเอามาหุงเป็นหม้อใหญ่ ดูเหมือน ๖ หม้อ วันละ ๖ หม้อใหญ่ แล้วแจกพวกสัตว์ พวกหมูเต็มไปหมด ๓๐๐ ให้พอกัน นกยูงเป็นร้อย เหล่านี้เป็นสัตว์ป่าล้วน ๆ มารอกินกับพระ พอกินแล้วเขาก็ปฏิบัติตัวแบบนิสัยสัตว์ป่า พอกินอิ่มแล้วเขาปุ๊บปั๊บไปหมดเลยนะ ขึ้นเขาเลยไม่มายุ่งกับเรา พวกนกยูงก็เหมือนกัน พอตอนเช้าเขาหิวเขาก็ลงมา พอให้อาหารเขาเรียบร้อยแล้ว เขากินแล้วก็หลั่งไหลขึ้นไปเลย ไม่มายุ่งกับพระกับคนนะ นอกจากสัตว์ที่เลี้ยงไว้ประจำในวัด โห น่าสงสารมากนะ
เราไปสืบถามดูเรื่องราวที่เขามาเบื่อสัตว์เบื่อเสือ ถามเจ้าตัวเลยถามท่านจันทร์ ท่านเล่าให้ฟังอย่างละเอียด แหม สลดสังเวชความสกปรกโสมมของคน จนจะดูไม่ได้ ทราบละเอียดลออหมดเลย ตั้งหน้าตั้งตาทำทุจริตสกปรกโสมมที่สุด เขาก็ทราบหมดแล้วแต่เขาไม่เอาเรื่อง เป็นแต่กัน อย่าทะลึ่งเข้ามาอีกเท่านั้นเอง เสือก็ตายไปตัวหนึ่ง จากนั้นก็กันไว้ตลอดเลย โฮ้ ความปรารถนาลามกของคน เห็นแก่ได้ แก่ร่ำแก่รวย สำคัญนะ นี่ละกิเลสตัวนี้ตัวทำลายสัตว์เสียมาก ความเห็นแก่ได้นี่ คือได้เท่าไรไม่พอ ได้เท่าไรยิ่งเพิ่มความอยากเข้า ๆ เหมือนไฟได้เชื้อ
ไสเชื้อเข้าไป เราอย่าหวังนะว่าไฟจะดับด้วยไสเชื้อเข้าไป เรียกว่าเพิ่มเชื้อ มีแต่แสดงเปลวจรดเมฆ ๆ นี่เราเอาความได้มาจากความอยาก ได้มาเท่าไรโปะเข้าเท่าไรมันยิ่งทวีรุนแรง ยิ่งอยากรุนแรงขึ้น ๆ ท่านว่า โลภคฺคินา หมายถึงว่า ความโลภเป็นไฟกองใหญ่กองหนึ่ง โทสคฺคินา ความโกรธก็เป็นไฟกองใหญ่กองหนึ่ง ราคคฺคินา ราคะตัณหาก็เป็นไฟกองใหญ่ ไฟ ๓ กองนี้ที่เด่นมากเผาสัตวโลกได้อย่างพินาศฉิบหาย แตกแขนงออกไปก็เรียกว่าเป็นดอกไฟไปทั่วโลกธาตุ เพราะโลกอันนี้เป็นโลกของกิเลส จึงเรียกว่าโลกถังขยะล่ะซิ โลกของกิเลส ถ้ากิเลสมีอยู่ที่ใด ๆ ก็เรียกว่าถังขยะไปทั้งนั้น ทีนี้สามแดนโลกธาตุนี้ก็มีแต่แดนแห่งกิเลสทั้งนั้น จึงต้องเรียกว่าสามแดนโลกธาตุนี้เป็นถังขยะ กิเลสอยู่ได้หมดทั่วไป
อย่างที่เราเคยอธิบายให้ฟัง แยกถังขยะออกไปเป็นประเภท ๆ เทียบกับธรรม ประเภทที่หนึ่ง ที่สอง ที่สาม ที่สี่ ประเภทที่เยี่ยม ผู้มีอุปนิสัยปัจจัยรอแล้วที่จะหลุดพ้นจากทุกข์ รอตลอดเวลาอยู่แล้ว อย่างนี้ก็เรียกว่าประเภทเยี่ยม ที่เรียกว่าถังขยะก็เพราะ เวลานั้นถึงจะเยี่ยมก็ตาม กิเลสยังมีอยู่ยังเรียกว่าถังขยะ มีมากน้อยเรียกถังขยะ จึงแยกออกมา ประเภทเยี่ยมประเภทที่หนึ่ง ผู้จะหลุดพ้น รอเวลาอยู่แล้วที่จะหลุดพ้น ประเภทที่สองก็รองกันลงมา ตามหลังกันมา ประเภทที่สามทั้งฟัดทั้งเหวี่ยงกัน ทั้งจะลงทั้งจะขึ้น นี่พวกเนยยะ ประเภทที่หนึ่ง อุคฆฎิตัญญู วิปจิตัญญู เนยยะ ปทปรมะ ๓ ประเภทแม้จะมีอุปนิสัยจะหลุดพ้นเลิศเลออยู่แล้ว แต่ในเวลานั้นยังมีกิเลสอยู่ในหัวใจ จึงยังต้องเรียกว่าถังขยะ ประเภทละเอียดสุด แยก ๆ ออกมา
ประเภทที่ไร้สาระโดยประการทั้งปวงคือประเภทที่สี่ อันนี้ไม่มีความหมายเลย ยังเหลือแต่ลมหายใจฝอด ๆ เท่านั้นหมดความหมายประเภทที่สี่ ท่านว่าปทปรมะ ถ้าเป็นโรคก็เรียกประเภท ไอซียู ไม่ฟังหมอไม่ฟังยา เข้าไปคอยลมหายใจเท่านั้น มาเกิดในนี้ก็คอยลมหายใจที่จะโดดลงเมืองผี เมืองผีที่ว่าไม่มีนั่นแหละมันจะเอาพวกนี้ ผู้ที่ว่ามีอยู่ไม่เข้านะ ขยะ ๆ ผู้ที่ว่าไม่มีนี้จะลงเต็มตัวเลย ใครอย่าไปอาจหาญต่อศาสดาองค์เอก ทุก ๆ พระองค์แบบเดียวกันหมด ตรัสรู้ด้วยความรู้แจ้งเห็นจริง สอนด้วยความสัตย์ความจริงทุกอย่างที่มี ไม่ลบล้างสิ่งใด พระพุทธเจ้าสอนตามหลักความจริง ส่วนกิเลสลบล้างทั้งนั้น จึงว่าเป็นข้าศึกของธรรมก็คือกิเลส มีมากมีน้อยเป็นข้าศึกตลอดไป จนกระทั่งหมดสิ้นไปเลยกิเลสไม่มีเหลือ ทีนี้ทุกข์ก็ไม่มี
กิเลสนี้เท่านั้นชี้นิ้วเลย คือตัวสร้างทุกข์ให้สัตวโลก มีมากสร้างมาก มีน้อยสร้างน้อย มีละเอียดขนาดไหนก็สร้างแบบเป็นเสี้ยนเป็นหนามเสียดแทงอยู่นั้นแหละ ไม่เป็นหอกเป็นหลาวก็เป็นเสี้ยนเป็นหนามเสียดแทง จนกระทั่งเอาออกหมดไม่มีเหลือเลยก็ดีดผึง เพราะฉะนั้นพระอรหันต์จึงไม่เคยมีทุกข์ตั้งแต่ขณะตรัสรู้ พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ตั้งแต่ตรัสรู้ผึงกิเลสขาดสะบั้นลงไป ตัดสินกันในวันนั้นว่าทุกข์ในใจไม่มีเลย เป็นกัปเป็นกัลป์เป็นอนันตกาล เรียกว่านิพพานเที่ยง ไม่มีตลอดไปเลย นั่นละคุณค่าแห่งการตะเกียกตะกายให้หลุดพ้นจากเสี้ยนจากหนามเหล่านี้ จากหอกจากหลาวเหล่านี้ ออกไปแล้วดีดผึงไม่ต้องกลับมาอีก เป็นนิพพานเที่ยง
ทำไมจะไม่อุตส่าห์พยายามคนเราถ้ามีหัวใจอยู่ จะคอยเอาตั้งแต่เหยื่อล่อของกิเลส ล่อวันยังค่ำ หลงวันยังค่ำก็จมวันยังค่ำ จมทุกภพทุกชาติไป ที่จะฟื้นขึ้นมาไม่มีถ้าใครเชื่อกิเลส ถ้าใครเชื่อธรรมมีวันจะฟื้นได้ ธรรมก็มีอยู่เวลานี้ กิเลสก็มีเต็มหัวใจเรา ธรรมก็มีเต็มหัวใจเราทุกคน ก็อยู่ในหัวใจดวงเดียวกัน อยู่ที่ไหนเอื้อมทางไหนก็ถูกทางนั้น เอื้อมทางกิเลสถูกกิเลส เอื้อมทางธรรมก็ถูกทางธรรม นอกจากเราไม่เอื้อม วิ่งตามกิเลสเท่านั้น กิเลสก็เอาไปถลุงหมด ไม่มีคุณค่ามีราคาอะไรเลย ที่พูดถึงเรื่องถังขยะ คำว่าถังขยะไม่ได้เหยียบย่ำทำลายนะ ให้ชื่อตามสภาพของมัน ตัวมันเป็นถังขยะอยู่แล้ว จึงมาให้ชื่อว่าอย่างนั้น ตัวมันสกปรก เช่น คูถอย่างนี้เป็นยังไง ขี้เป็นยังไง ตัวมันเป็นขี้อยู่แล้วก็มาให้ชื่อว่าขี้เฉย ๆ มันเป็นอยู่แล้ว แล้วจะผิดไปไหนให้ชื่อมันต่างหาก ดีก็มีชื่อ ชั่วก็มีชื่อ ก็ตั้งตามชื่อตามนามของมัน
เราเทียบเอาหัวใจดวงเดียวของเรานี้ละ ในถังขยะ ๔ ประเภทที่จะสามารถผ่านพ้นไปได้ในจิตดวงเดียวนี้ ถ้าฟิตตัวเข้าไปเรื่อย ๆ ถังขยะอันหยาบ ๆ มันจะค่อยแปรสภาพขึ้นมา ๆ พอตัวสกปรกนั้นออกมากน้อยความสะอาดก็จะปรากฏขึ้นมา ๆ ความสกปรกคือกิเลสออกหมด ความสะอาดก็เต็มเหนี่ยวเลย มันก็อยู่ในที่เดียวกันนั่นแหละ เวลาเราฝึกหัดอบรมทีแรก ดีดดิ้นแทบเป็นแทบตาย มันไม่อยากเอาไหนนะกับศีลกับธรรมกับคุณงามความดีทั้งหลาย ถ้าเป็นเรื่องฟืนเรื่องไฟมันดิ้นมันดีดทั้งวันทั้งคืน ไม่มีใครปลุกก็ตื่นขึ้นเองไปเอง เพราะกิเลสมันดีดมันดิ้นมันฉุดมันกระชากให้ไปจนได้นั่นแหละ
เวลากิเลสมันหนาเพลินแต่ความชั่วนะ คนเราถ้ากิเลสหนา ๆ นี้ไม่ได้เพลินในความดิบความดีอะไร เพลินแต่ความชั่วช้าลามกที่จะพาให้ล่มให้จม ทีนี้เวลาได้ฟังเสียงอรรถเสียงธรรมหลายครั้งหลายหนก็เข้าถึงหู ดังที่เรายกตัวอย่างมาเรื่องนายกาลนั่น ลูกอนาถบิณฑิกเศรษฐี อนาถบิณฑิกเศรษฐีนี้เป็นโยมอุปัฏฐากของพระพุทธเจ้า พ่อสำเร็จเป็นพระโสดา ลูกนี้ไม่เอาไหนเลย เวลาไปฟังเทศน์พ่อต้องจ้างไป ไปฟังเทศน์ก็ไปนอนอยู่นั่นเสียไม่สนใจ พอกลับมาบ้านมันก็ไปเอารางวัลกับพ่อ พ่อก็ยอมให้เพราะคิดถึงอนาคต เพราะพระพุทธเจ้าเทศน์นี้เสียงกังวานทั่วแดนโลกธาตุ เหตุใดไอ้นี้มันก็มีหูเหมือนกัน มันจะไม่ได้ฟังยังไง มันจะไม่เข้าใจได้ยังไงเมื่อฟังอยู่เรื่อย ๆ จากพระพุทธเจ้าซึ่งทรงแสดงธรรมอยู่ตลอดมา จ้างไปเสียก่อน หวังเอารางวัลนะไม่ได้หวังเอาธรรม นี่เวลามันหนา เข้าใจไหมล่ะ หวังตั้งแต่เอารางวัล ไปก็ไปนอนเลยไม่สนใจ
หลายครั้งหลายเสียงธรรมของพระพุทธเจ้าก็ค่อยละเอียดเข้าไป ฟังรู้สึกว่าแปลกจิตแปลกใจเข้า ฟังเข้า ๆ อ้าวที่นี่ เข้าถึงใจ พอเข้าถึงใจกลับไปบ้านแทนที่จะบึ่งไปเอารางวัลไม่ไปวันนั้น อ้อมแอ้ม ๆ หนี พ่อถามทำไมไม่เอารางวัล อู๊ย อย่าให้เอาเถอะอายพ่อจะตายแล้ว นั่นเห็นไหมล่ะ ไม่ยอมเอาเลย พอไปวันนั้นอ้อมแอ้ม ๆ หนีเลยไม่เข้าไปหาพ่อ พ่อรอให้รางวัล ทำไมไม่เอารางวัลล่ะวันนี้ อู๊ย อย่าให้เอาเลย ที่เอามาแล้วก็อายพอแล้ว ทำไมไม่เอา จะเอาได้ยังไง ฟังเทศน์พระพุทธเจ้าแล้วมันถึงใจ เอ๊ ฟังว่าสำเร็จ เราลืม ๆ เสียอ่านนานแล้ว แต่ว่าได้ผลแน่ ๆ แล้วแหละ ลงขนาดที่ว่าไม่ไปเอาเงินกับพ่อ ตั้งแต่นั้นก็ติดพันกับวัด ส่วนพ่อนั้นสำเร็จพระโสดา อันนี้ท่านก็แสดงไว้แต่เราลืม ๆ เสีย แต่เราแน่ใจว่าสำเร็จ
ไปทีแรกก็ไปนอนสบาย ๆ กลับมาเอารางวัล เรามาที่วัดนี้เราก็สบาย ๆ สบายยังไง ไปก็ไปนอนกับเสื่อกับหมอน ตอนเช้าก็มาเอารางวัล ทำท่ามากราบพระ อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ มาเอารางวัลกับพระ พระเป็นเช่นหลวงตาบัวก็เชื่อซิ โอ๊ย ลูกศิษย์เราดีนะ พร้อมหน้ากันสวดมนต์ไหว้พระดีนะ เขาพันกับหมอนทั้งคืนไม่ได้พูดนะ เขาพันกันกับหมอนกับเสื่อทั้งคืนไม่ได้สนใจ จนกระทั่งเสื่อมันเบื่อมันเขี่ยลงตกหมอนตกเสื่อ ก็อ้อมแอ้มมา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ ประจบหลวงตาอาจารย์ใหญ่ล่ะซิ อาจารย์ใหญ่ก็ว่า ลูกศิษย์เราดี ภูมิใจ เรามีแต่ลูกศิษย์อย่างนั้นนะเดี๋ยวนี้ มีแต่ลูกศิษย์ที่ว่าเราภูมิใจด้วย ไม่ได้คิดเลยว่าพวกที่มานี่มีแต่พวกเสื่อหมอนมันเขี่ยลง ตกเสื่อตกหมอนมาแล้วกลิ้งมาหาเรา ว่า อรหํ มาเอารางวัลกับเรา เลยไม่ทราบจะเอารางวัลอะไรให้
เวลาภาวนาเข้าไป พอมันได้เรื่องได้ราวเรื่องเสื่อเรื่องหมอนมันจะห่างกันไป เป็นอย่างนั้นนะ นี่หมายถึงจิตมันเลื่อนของมัน เรื่องเสื่อเรื่องหมอนไม่ค่อยห่วง ห่วงแต่อรรถแต่ธรรม ห่วงแต่ความพากความเพียร ยิ่งจิตใจได้รับความแปลกประหลาดด้วยแล้ว จิตกระหยิ่มอยู่ทั้งวันนะ เราเคยเป็นแล้ว เรียนหนังสือนี้ก็ทำไม่รู้ภาษีภาษาอะไร ทำตามภาษาของเจ้าของ ภาวนา พุทโธ ภาวนาไปมันก็รวม ก็ทำไปธรรมดาทุกวัน ๆ ไม่รวม แต่ก่อนไม่รวม ก็ทำไปเพราะความอยากทำ ความพอใจมี ความรู้ที่เป็นเหตุเป็นผลยังไม่ปรากฏก็ตามก็ทำ
บทเวลาจะเป็นขึ้นมาก็ภาวนาเหมือนเก่านั่นแหละ พุทโธ ๆ ไม่ทราบเป็นยังไงนะ มันเหมือนกับเราตากแหไว้นี้ เวลาจิตจะรวมเข้ามา เหมือนเราจับจอมแหดึง ตีนแหก็หดเข้ามา ๆ กระแสของจิตที่มันซ่านออกไปข้างนอกกว้างขวางเหมือนเราตากแห มันก็หดเข้ามา ๆ พอหดเข้ามายิ่งเป็นจุดสนใจ ๆ จิตก็จ่อเรื่อย พุทโธเรื่อย หดเข้ามา ๆ พอถึงที่แล้วลงกึ๊กเลยเทียว โอ้โห ขาดสะบั้นไปหมดเลย ทำไมจิตของเราเป็นอย่างนี้ อัศจรรย์นะ ทีนี้ความอัศจรรย์นั้นมันกระตุกตัวเอง คือมันอะไรพูดไม่ถูก มันตื่นเต้นพอพูดถูก มันตื่นเต้น คือเหมือนจอมแหหดเข้ามา พอมาถึงตัวแหแล้วมันเป็นก้อนแห คือจิตรวมเป็นอันเดียวแล้ว นอกนั้นขาดหมดเลยไม่มีอะไรเหลือโลกนี้ เหลือแต่อันนี้ โอ๋ย ทำไมจิตถึงเป็นอย่างนี้ อัศจรรย์จิต ตื่นเต้นกับจิต มันเลยปลุกอันนั้นเสีย ไม่ได้นานแหละ หากได้ชัดเจนเป็นสักขีพยาน ไม่ได้นานเพราะจิตมันตื่นเต้นในความอัศจรรย์ของตัวเองที่ไม่เคยเป็นมา วันนั้นได้เป็นขึ้นมาเห็นชัด ๆ
วันนั้นทั้งวันคิดเห็นแต่จิตดวงนั้นตลอดเวลา พอวันหลังขยับใหญ่เลย ไม่ได้เรื่อง ขยับเท่าไรก็ไม่ได้เรื่อง คือมันไปหมายเอาตั้งแต่ที่มันเคยได้มาแล้วมันไม่ได้ทำงาน ก็เทียบกับว่าวันนี้เราไปทำงานกับนายจ้างเขา เขาเห็นเราทำงานดีเขาก็ตกรางวัลให้ เช่นวันนี้ให้ร้อยบาท ทีนี้ไปก็ตื่นเต้นดีใจ พอวันหลังไปก็เอื้อมมือใส่เขาเลยไปขอเงินร้อยบาท มาขออะไร ก็เมื่อวานนี้นายให้ผมร้อยบาท วันนี้ผมก็มาขอร้อยบาท ก็เมื่อวานนี้แกทำงานนี่นะ วันนี้แกไม่ทำงานอะไร จะมาขอเงินร้อยบาท ไม่ให้ ก็คือเราได้อย่างนี้แล้ววันหลังเราจะไปเอาแบบนั้น แต่เราไม่ได้ทำ พุทโธ ให้แน่นหนามั่นคงเหมือนแต่ก่อน เรามีแต่จะเอาผลของมันทางเดียวมันก็ไม่ได้
นี่ละที่มันฝังใจไว้นะ ฝังใจที่ว่าให้ภาวนา ถึงเป็นไม่เป็นมันก็เป็นของมัน เพราะอันนั้นดึงดูดไว้ อยากให้ภาวนาเรื่อย เรียนหนังสืออยู่ ๗ ปีนั้นภาวนาลงอย่างนี้ ๓ หน นานนะมันถึงได้ลงทีหนึ่ง ไม่ใช่ลงเรื่อย ๆ เรียกว่ารวมแล้วเรียนหนังสือ ๗ ปีจิตนี้ลงถึง ๓ หน นี่ละเป็นหลักใจสำคัญที่จะให้ดูดดื่มทางด้านจิตตภาวนา เพราะเห็นผลประจักษ์ เราเคยรู้แล้วเห็นแล้ว วันหนึ่งมันจะเป็นอย่างนี้ ทีนี้เวลาออกปฏิบัติเราจะเอาใหญ่เลยให้มันเก่งกว่านี้อีก นั่น มันก็หมุนลงไป นี่ละออกภาวนามันถึงหมุนใหญ่ของมันเลย มันค่อย ๆ เปลี่ยนไปอย่างนี้ละจิต เรียกว่าเปลี่ยนไป ๆ เรื่อย
ตั้งแต่ขั้นปทปรมะไม่เอาไหนโน่น ตั้งแต่ขั้นนายกาลไม่เอาไหน ต่อมาก็ไม่รับรางวัลจากพ่อ หารางวัลด้วยตัวเอง ภาวนาเอา ทีนี้ก็เร่งใส่ทางภาวนาก็ค่อยขึ้นไป ๆ เรื่อย ๆ สรุปเอาเลยว่าจิตดวงนี้ เมื่อได้รับการฟื้นฟูการบำรุงรักษาเสมอ จะค่อยเป็นค่อยไป ถึงช้าก็เป็น นอกจากเราปล่อยไปเสีย เห็นว่าไม่ได้เรื่องแล้วก็ปล่อยไปเสีย ยิ่งไม่ได้เรื่องใหญ่ แล้วไม่เอาไหนเลย นี่ละการฝึกจิตเป็นอย่างนั้นนะ จนกระทั่งมันได้หลักได้เกณฑ์ทีนี้ถอยไม่ได้เลย นั่น พอถึงขั้นถอยไม่ได้มี
พอได้หลักได้เกณฑ์เชื่อแน่ทั้งตัวเองที่จะขยับต่อมรรคผลนิพพาน เชื่อแน่ในมรรคผลนิพพาน แล้วใกล้เข้ามา ๆ ประหนึ่งว่าอยู่ชั่วเอื้อม ๆ นั่นละความเพียรกล้ากล้าตรงนั้น ไม่รู้จักเป็นจักตาย เหมือนว่าเอื้อมหวุดหวิด ๆ กับนิพพาน หวุดหวิด ๆ อยู่อย่างนั้น ทีนี้ความเพียรมันก็หมุนกันล่ะซิ นี่ก็เป็นขั้นหนึ่งของจิต ตั้งแต่ขั้นไม่เอาไหนขยับออกมา ๆ จนกระทั่งถึงขั้นเรียกว่าเอาไม่ถอย ขั้นไม่ถอย ต่อจากนั้นมีแต่จะให้หลุดพ้นอย่างเดียว ไม่หลุดพ้นตายเมื่อไรก็ตาย ขอให้หลุดพ้นอย่างเดียว ความเห็นโทษของกิเลสเห็นขนาดนั้นเวลามันถึงขั้นเห็นโทษนะ
เวลานี้มันเห็นคุณของกิเลส มันกลายเป็นเห็นโทษของธรรม ทำความเพียรลำบาก นั่น นอนดีกว่า เห็นคุณของกิเลส เข้าใจไหม มันยกมาเทียบกันเดี๋ยวนั้นเลยนะ ทีนี้พอธรรมปรากฏในใจแล้วหมอนห่างไป หมุนเข้า ๆ ต่อไปเสื่อกับหมอนไม่ได้ยุ่งกันเลย ล้มที่ไหนหลับที่นั่น พอตื่นขึ้นมาฟัดกันแล้ว ๆ เวลามันเอาจริง ๆ แล้วความเพียรกล้าแล้ว ไม่รู้จักเป็นจักตาย ไม่รู้จักหลับจักนอน มีแต่จะให้หลุดพ้น หลุดพ้นขณะนี้ยิ่งดี ๆ เรื่อยไปเลย มันก็หมุนติ้ว สุดท้ายมันก็หลุดได้พ้นได้ นี่จิตดวงนี้แหละไม่ใช่จิตดวงไหน ไม่ใช่ว่าอยู่ ๆ มันก็หลุดพ้นไปเลย เอาจนแทบเป็นแทบตายอย่างนั้น
คนเราถ้าเชื่อคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว ผลดีไม่ได้มากก็ได้น้อยได้ไม่สงสัย นอกจากไม่เชื่อเลย เอาตามบุญตามกรรม ตามบุญตามกรรมอะไร ก็เอาตามกิเลสให้มันฉุดลากไปอย่างเดียวเท่านั้น ก็ไม่มีวันละ ตื่นมาก็มีแต่มืดกับแจ้งได้เรื่องอะไร วันไหนก็มืดแจ้งอันเก่านั่น ตะวันดวงเก่า มืดแจ้งอันเก่า แล้วมานับวันคืนปีเดือนอยู่มันได้อะไร ก็มีแต่มืดกับแจ้ง เรานับเป็นบ้าลมปากลมความสำคัญไปต่างหาก เขามีมานี้ตั้งกัปตั้งกัลป์แล้ว แล้วเขาจะมีไปอีกนานเท่าไร เราไปเป็นบ้าอะไรกับเขา ไฟเผาหัวใจเราอยู่ทำไมไม่ดู ตรงที่มันเผาหัวใจนี้มันไม่ได้มืดกับแจ้งนะ มันเผาจริง ๆ ทุกข์จริง ๆ แก้ตรงนี้ซิ แก้ลงไป ๆ มันก็เบาลงไปเรื่อย ๆ ต่อไปมันก็เย็นลงไป ๆ ดังที่ว่าแหละ เมื่อถึงขั้นไม่ถอยแล้วยังไงก็ไม่ถอย ถึงตายก็ตายกับสนามรบเลย ที่จะให้ถอยออกจากสนามรบมาไม่มี
นักปฏิบัติที่เห็นภัยในกิเลสเต็มหัวใจและเห็นคุณค่าของธรรมเต็มหัวใจแล้ว ยังไงก็ฟัดกันเต็มเหนี่ยวเลย มันหากเป็นเองในหัวใจไม่ต้องถามใคร เป็นในใจเจ้าของรู้เองนะ แต่ก่อนเจ้าของเป็นผู้ดื้อด้านมันก็รู้อยู่ ทีนี้เวลามันหมุนกับธรรมแล้วก็เป็นอย่างนั้น มันเป็นของมันเอง หมุนติ้ว ๆ มีตั้งแต่จะออกท่าเดียว แก้ตลอด แต่ก่อนกิเลสมันมัดเราโดยอัตโนมัติของมัน ทุกเวล่ำเวลามีแต่กิเลสมัดจิตใจของเราด้วยการสร้างทุกข์ตลอด ทีนี้เวลาธรรมมีกำลังแล้วคลี่คลายออก คลี่คลายออกก็แบบเดียวกัน ถึงขั้นเป็นอัตโนมัติก็เหมือนกิเลสเป็นอัตโนมัติเผาหัวใจเรา ธรรมเป็นอัตโนมัติเผากิเลสก็แบบเดียวกัน เผาตลอด ถ้ากิเลสไม่สิ้นซากยังไงไฟนี้จะดับไม่ได้เลย เผาตลอด
ท่านเรียกว่าตปธรรม แปลว่าเครื่องแผดเผา พวกความพากความเพียร สติปัญญาเครื่องแผดเผากิเลสทั้งนั้น สุดท้ายมันก็หมด จะไม่หมดได้ยังไงชำระทุกวัน ๆ แต่ก่อนเราสั่งสมทุกวันจะไม่ให้มันมีได้ยังไง ก็สั่งสมทุกวัน แน่ะ สั่งสมกิเลส ทีนี้เวลามาบำเพ็ญมีแต่สั่งสมธรรม เป็นตปธรรมเผากิเลสเรื่อยไป แล้วมันจะไม่สิ้นได้ยังไง กองเท่าภูเขาก็เถอะน่ะฟืน มันทนไฟไปไม่ได้ไฟเผาหมด นี่กิเลสจะกองใหญ่ขนาดไหนทนตปธรรมทนความเพียรของเราไม่ได้ ก็เผาไปได้หมดนั่นแหละ พระพุทธเจ้าก็สอนอย่างแน่อย่างแม่นยำตลอดมาด้วย จึงเรียกว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว ๆ แต่เราไม่ทำชอบตามพระพุทธเจ้าน่ะซี มันแหวกแนวมันถึงได้แต่กองทุกข์มาเผาตัวเอง ให้พากันตั้งอกตั้งใจนะ
เราก็พยายามเต็มกำลังความสามารถทุกด้านทุกทาง การสอนโลกก็สอนเป็นลำดับลำดาไปอย่างนี้ ตั้งแต่เริ่มออกช่วยชาติบ้านเมือง ธรรมะเปิดเผยเต็มที่ระยะนี้นะ แต่ก่อนก็เปิดเฉพาะพระ เฉพาะอย่างยิ่งคือกับพระเท่านั้น สอนธรรมะกับพระนี้สอนเด็ดสอนเดี่ยว สอนแกงหม้อเล็กแกงหม้อจิ๋วทั้งนั้น ๆ สอนประชาชนก็เป็นแกงหม้อใหญ่ แม้เช่นนั้นก็ต้องได้รับประโยชน์ตามกำลังความสามารถของตนจนได้ด้วยกันนั่นแหละ ได้ขั้นนี้แล้วมันก็ไปขั้นนั้น มันลุกลามของมันไปเอง แกงหม้อใหญ่ไม่ไปหาหม้อเล็กหม้อจิ๋วหม้อหลุดพ้นจะไปหม้อไหน เมื่อเราพยายามทำไม่ถอยมันไปของมันเอง
เราต้องเชื่อพระพุทธเจ้า ศาสดาองค์เอกไม่เคยต้มตุ๋นใครแต่ไหนแต่ไรมา ไม่ว่าพระพุทธเจ้าพระองค์ใด แต่กิเลสนับแต่ปู่ย่าตายายหลานเหลนของมัน มีแต่โคตรแซ่ของกองต้มตุ๋นทั้งนั้น แต่เราก็เชื่อได้ง่าย เพียงหลานมันเข้ามาเท่านั้นเชื่อแล้ว ลูกมันมาก็เชื่อแล้ว พ่อแม่เข้ามายิ่งหมอบเลย ๆ ยิ่งปู่ย่าตายายมาแล้วตายก่อนเกิดเลย ยังไม่เกิดตายแล้ว ยอมมันตั้งแต่ยังไม่เกิด ตายก่อนแล้ว แล้วก็จะชนะมันได้ยังไงเมื่อเป็นอย่างนี้
นี่ทองคำเราเวลานี้ก็ได้ ๔ ตันกับ ๕๐๐ กว่าที่ได้เข้าไปแล้ว ส่วนดอลลาร์ได้ ๖ ล้านเท่านั้น ๖ ล้านกว่า ค่อยเขยิบขึ้นไปเรื่อย ๆ บรรดาพี่น้องทั้งหลายมาบริจาคให้เราก็ดังที่เห็นนั่นแหละ บริจาคก็หายเงียบไปเลย ใครมาบริจาคหายเงียบไปเลย บางคนก็ปลงตกได้นะความคิดของคนเรา เพราะบริจาคแล้วไม่ได้ข่าวได้คราวอะไรเลย เงียบไป ๆ โอ๊ย เอาไปกินหมดแล้วแหละ คงว่าอย่างนั้นแหละนะ ก็เรียกว่าทอดธุระแหละ เอาไปไหนก็เอาไปเถอะ เราก็ให้ไปแล้ว พอทางนั้นสั่งสมสมบัติเงินทองข้าวของที่ได้จากพี่น้องทั้งหลายเข้าไปรวมตัว ๆ แล้วหลอมเป็นแท่ง ๆ พอสมควรแล้วก็ออกมาคลังหลวงให้เห็น นี่จึงได้เห็น
โฮ้ นึกว่าลงทะเลไปแล้ว ไม่ลงนะนี่ เห็นโผล่ขึ้นมา ต่อจากนั้นก็โผล่ขึ้นมาเรื่อย ๆ เห็นไหม เดี๋ยวนี้โผล่ขึ้นมาถึง ๔ ตันกว่านะ มันก็สร้างความแน่ใจให้คนล่ะซีใช่ไหม เขาจะคิดอย่างนั้นก็ตามเพราะเขาสงสัย เวลาได้เห็นชัดเจนประจักษ์ตาแล้ว ความคิดเช่นนั้นมันก็พลิกของมันเอง อ๋อ ไม่ได้ไปไหน มานี่ แน่ะ ต่อจากนั้นก็มีแก่ใจซิคนเรา เพราะเราเชื่อแน่ในการดำเนินของเราว่า ไม่มีอะไรกับโลกที่จะให้เป็นมลทินมัวหมองเกี่ยวกับการพาดำเนิน เราบอกเราไม่มี เพราะเราเป็นผู้ควบคุมสมบัติเหล่านี้แต่ผู้เดียวเสียเอง เราจึงแน่ใจ ๆ พอถึงเวลาแล้วก็ออกทีหนึ่ง ๆ ได้กำหนดกันไว้ว่า จะเข้าคลังหลวงแต่ละครั้งไม่ควรให้น้อยกว่า ๔๐๐ กิโล เราบอกไว้แล้ว คือถ้าได้ ๔๐๐ กิโลแล้วก็เข้าเสียครั้งหนึ่ง นี่เป็นอย่างน้อย ถ้ามากกว่านั้นเท่าไรก็ยิ่งดี
จะห่างหรือไม่ห่างแล้วแต่สมบัติที่ได้มามากน้อย สมควรที่จะเข้าเมื่อไรก็เข้า ถ้ายังไม่พอก็เข้าไม่ได้ อย่างที่กำหนดไว้ ๔๐๐ กิโลก็ควรจะถึงนั้นเสียก่อนแล้วค่อยเข้า เข้าเป็นชิ้นเป็นอันพอน่าดูบ้าง ได้กิโลหนึ่งก็เอ้า สองกิโลก็เอา อย่างนี้มันอะไรกันก็ไม่รู้ ก็เหมือนอย่างเจ๊ก เจ๊กมันไม่รู้จักศีลจักธรรม ไม่รู้จักวัดจักวา แต่ได้คนไทยเป็นเมีย ทีนี้คนไทยเป็นคนพุทธศาสนา บอกผัวให้ไปนิมนต์พระมาให้หน่อย วันพรุ่งนี้จะเลี้ยงพระ ไปนิมนต์พระมาให้หน่อย เวลาไปใส่กางเกงรุ่ม ๆ ร่าม ๆ นี่ก็ให้พันขึ้นบ้างนะ กางเกงก็ดีเสื้อก็ดี รุ่ม ๆ ร่าม ๆ ไปหาพระมันไม่น่าดู เมียสอนเขาก็นิ่งเฉย กางเกงที่นุ่งรุ่มร่าม ๆ นั้นก็ให้พันขาขึ้นบ้าง พอพันขาขึ้นแล้วเมียก็เอาเทียนกับดอกไม้ให้ เขาก็ใส่กระเป๋าไป พอไปถึงก็กราบปลก ๆ แบบเจ๊กกราบนั่นแหละ
พระถาม ว่าไงเถ้าแก่ กราบไม่สนใจตอบแหละ กราบเสร็จเรียบร้อยแล้วก็คว้าเอาเทียนในกระเป๋า นี่ เอ้าเทียง ยื่นเทียนให้(พระ) แล้วว่าไงล่ะ ไม่พูดว่าอะไร กราบปลก ๆ แล้วก็หันหลังลงไป พอลงบันไดมาหันหน้ากลับคืน วันพรุ่งนี้ไปฉันข้าวบ้างอั๊วนะ ว่างั้น แล้วไปบ้านเลย
พอไปถึงบ้านเมียก็ถาม ไปแล้วหรือไปนิมนต์พระ ไปแล้ว นิมนต์กี่องค์ล่ะ เอาแม่มังหมกวักแหละ หมดท่าเลยเมีย นี่เราพูดเรื่องอะไรลืมแล้ว มันไม่ต่อกันอย่างนี้ละ คือนี่เป็นเรื่องประกอบ แล้วจะเดินเรื่องต่อไป ทีนี้พอมันจำไม่ได้แล้วก็หมด แล้วตั้งใหม่ ไม่ได้เรื่องแหละ เป็นอย่างนั้นแหละ
ลูกศิษย์ ถวายทอง ทีละบาทสองบาทครับ
เออ เอาละเข้าใจ ใครเอามาเรื่อย ๆ ยุ่งเรื่อย เอามาแล้วก็ต้องเก็บไว้ ๆ แล้วก็ไปหลอมเอามาเก็บไว้ตู้นิรภัย พอสมควรจะหลอม ก็หลอมเสียทีหนึ่ง แล้วมาเก็บไว้ที่ตู้นิรภัย พอเห็นสมควรจะออกมอบคลังหลวง แล้วทีนี้ก็ยกออกเป็นครั้งเป็นคราว เพราะงั้นมันถึงนาน ๆ ถึงได้เอาออกไป จนกว่าเห็นว่าพอ ตามกำหนดเรียบร้อยแล้วก็ออกทีหนึ่ง ๆ กรุณาทราบตามนี้นะ การเอาไปนี่ไม่ได้เอาไปไหนแหละ ไปเก็บหอมรอมริบผสมผเส แล้วก็มาหลอม รวมกันพอสมควรจะออกได้แล้ว ออกมอบเป็นครั้งเป็นคราว ดังที่มอบมานี้ดูเหมือน ๔ หนแล้วมั้ง (๕ หนแล้วครับ) นั่นแหละก็ตั้งสี่หนห้าหนแล้วนะ ก็อย่างนี้แหละ แต่หนนี้มากกว่าเพื่อน เกือบสองตัน แต่อย่างไรก็ตามเราจะพยายาม เราก็เชื่อพี่น้องชาวไทยเรา ต่างคนต่างกระตือรือร้นละต่อไปนี้ เพราะเราเป็นที่แน่ใจแล้ว ทางบ้านเมืองก็เป็นที่แน่ใจ ทางศาสนาเราก็นำแล้ว พี่น้องทั้งหลายก็เห็นแล้ว ทางบ้านเมืองเราก็แน่ใจกับลูกศิษย์ของเรา
ท่านนายกรัฐมนตรีก็เป็นลูกศิษย์ จะเป็นอาจารย์ยังไง บอกให้มาเป็นอาจารย์ก็ไม่ยอมมา เพราะงั้นเราถึงบอกให้เป็นลูกศิษย์เสียก่อนดีกว่า เข้าใจไหมล่ะ จะว่าเป็นอาจารย์ของเรานี้ โห สลบเลยนะ มาถวายตัวเป็นลูกศิษย์ เราจะยกให้เป็นอาจารย์ไม่ยอม เพราะงั้นเราถึงบอกว่าเป็นลูกศิษย์ของเราก่อนดีกว่า นี่ก็เป็นที่แน่ใจแล้ว ท่านผู้นี้แน่ใจในหัวใจเรานะ เพราะฉะนั้นเราถึงแข็งแกร่งละซิ ใครมายุ่งไม่ได้นะว่างี้เลย เอาเต็มเหนี่ยว ๆ เลย ไม่มีคำว่าอ่อนข้อ คอขาด ๆ เลย เป็นที่แน่ใจแล้วต้องเอาให้ได้ สิ่งเหล่านั้นมีแต่จะทำให้บ้านเมืองล่มจม ๆ ทั้งนั้น ๆ เราดูมาเสียจนเบื่อ เรียกว่าสลดสังเวชนะ
คราวนี้ที่เราเข้าเกี่ยวข้องกับบ้านเมือง เราถึงได้เห็นความสกปรกโสมมที่เลวร้ายที่สุดของวงราชการ ว่าอย่างนี้แหละ นี่ธรรมเป็นอย่างนี้นะ ทีนี้มันไปสัมผัสตรงไหน ไม่ยอมรับ ๆ เลยนี้ทำไง จึงได้เอากันใหญ่ ได้เป็นนายกขึ้นมาเราก็เป็นที่พอใจแล้ว ขอพี่น้องทั้งหลายเชื่อธรรมก็แล้วกัน เอา หลวงตาบัวพูดยังไง ๆ แล้วจะพาพี่น้องทั้งหลายจมให้เห็นสักทีน่ะ ไอ้เรื่องความล่มจม จนกระทั่งจะสลบไสลแล้วบ้านเมืองของเรา เรื่องอรรถเรื่องธรรมพาพวกเราให้ล่มจมจะมีหรือไม่มีก็ให้ฟังเอา ให้เชื่อธรรมของพระพุทธเจ้านะ อันนี้เป็นหลักสำคัญ
ให้ต่างคนต่างตั้งหน้าตั้งตา เวลานี้เราจะตั้งรากตั้งฐานขึ้นมาใหม่จากประเทศไทยของเราซึ่งกำลังจะล่มจม เวลานี้กำลังฟื้นตัวขึ้นมาโดยอาศัยผู้นำเป็นสำคัญ อะไร ๆ ต้องผู้นำนำหน้าไป ทางชาติทางศาสนา อันนี้ก็ทั้งสองแล้ว ทางชาติก็ทางบ้านเมืองทางนายก ทางศาสนาก็คือเราเป็นผู้นำอยู่แล้ว ให้ต่างคนต่างอุตส่าห์พยายาม เพื่อชาติไทยของเราจะได้ขึ้น หากว่าศาสนาพาขึ้นไม่ได้แล้ว ไม่มีอะไรพาขึ้น อย่างที่เราเห็นนั่นแหละ ศาสนาพาขึ้นหรือกิเลสพาขึ้นหรือพาลงก็ดูเอา อันนี้ศาสนาฉุดลากตลอดเวลา ให้พากันจำคำนี้เอาไว้ เอาละวันนี้พูดเพียงเท่านี้ พอสมควร ต่อไปนี้จะให้ศีลให้พร