พุทธศาสนาสอนเพื่อความสมหวังอันสมบูรณ์
วันที่ 28 พฤศจิกายน 2544
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๔

พุทธศาสนาสอนเพื่อความสมหวังอันสมบูรณ์

(เมื่อวานไม่ได้ทองคำเลย ดอลลาร์ได้ ๑๐๒ ดอลล์) เรารักเราสงวนกรรมฐานเรา คือท่านเหล่านี้ พูดตรงไปเลย จะเป็นผู้ทรงมรรคทรงผลสืบทอดมาแต่ครั้งพุทธกาลมาตลอด คือท่านเหล่านี้นะ เพราะเดินตามแผนตามแปลนตามศาสนธรรมพระพุทธเจ้าจริง ๆ แผนแปลนแห่งศาสนธรรมของพระพุทธเจ้าก็คือ แปลนหรือแผนแห่งมรรคผลนิพพานโดยตรง ๆ ถ้าก้าวทางนี้แล้วไปทางนี้ จึงว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบ ตรงแน่วเลย หากผิดจากนี้ ฟังแต่ว่าผิดเถอะน่า ผิดก็ต้องพลาดไปเลย ตกเหวตกบ่อไปเลย ถ้าประคองตัวเองไปตามหลักธรรมหลักวินัยแล้ว แคล้วคลาดปลอดภัยไม่สงสัย พระพุทธเจ้าเป็นพระองค์แรกทรงดำเนินมาก่อนแล้ว จากนั้นสาวกทั้งหลายท่านก็ดำเนินมาตามแปลนแห่งศาสนธรรม คือแปลนแห่งมรรคผลนิพพานนั่นเอง ท่านก็ผ่านพ้นมาจนเป็นสรณะของพวกเรา สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ คือท่านผู้เดินตามศาสนธรรม แปลนแห่งศาสนาพุทธของเรา แปลนนี้แม่นยำมากทีเดียว

เวลาปฏิบัติธรรมเข้าละเอียด ๆ ยิ่งรู้ชัด ๆ เลยทางเดินของพระพุทธเจ้าที่พาสัตวโลกเดิน เป็นเหมือนอย่างนี้ ช่องเข้ากว้าง อยู่ข้างนอกนี้ก็กว้าง ทีนี้พอก้าวเข้าไป ๆ ค่อยเรียว เรียกว่าแหลมแน่วเข้าไป คาดไม่ได้ธรรมพระพุทธเจ้า ทีแรกกว้างขวางต่อสัตว์ทั้งหลาย ปฏิบัติตนแล้วขอบเขตค่อยแน่เข้าไป ๆ เหมือนว่าปากทางเข้ากว้างขวาง พอเข้าไปแล้วก็จะค่อยแคบเข้าไป เรียวไปข้างหน้า แหลมคมเข้าไป ไม่ใช่เรียวแหลมนะ คือแหลมคมเข้าไปเรื่อย ๆ ผู้ปฏิบัติตามจะเล็งเข็มทิศแน่ว ๆ พอเข้าถึงวิถีจิต ที่จะเข้าด้ายเข้าเข็มเข้าสู่มรรคผลนิพพานจริง ๆ แล้วแน่วเลย ผิดไม่ได้เลย ผิดก็ต้องพลาดทันที เพราะทางนี้ถูกต้องแล้วที่สอนไว้สวากขาตธรรม ชอบร้อยเปอร์เซ็นต์ ๆ ให้ก้าวตามนี้อย่าปลีกอย่าแวะ แล้วก็พุ่งเลย พระพุทธเจ้าสอนขนาดนั้นนะ แม่นยำที่สุดเลย

ทีนี้เราจึงมาวิตกวิจารณ์ถึงเรื่องชาวพุทธเรา โลเลโลกเลก หาหลักหาเกณฑ์ไม่ค่อยจะได้ เพราะฉะนั้นจึงแยกแยะนำและดุเด็ดเข้าไปเรื่อย ๆ มันจวนตายแล้วนี่วะ ยังโลเล ๆ ชาวพุทธเรา ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร ส่วนทานยกให้เป็นพื้นฐาน อันนี้ชาวพุทธเรารับไว้ได้ดี เรื่องทานยกให้เป็นพื้นฐานของพุทธศาสนาโดยตรง ว่าชาวพุทธในเมืองไทยเรารับไว้เต็มกำลังความสามารถ เรียกว่าสมบูรณ์ตามขั้นของพวกเราชาวพุทธก็ไม่ผิด ไปที่ไหนมีอยู่ทั่วไป การทำบุญให้ทานนี่ออกมาจากพุทธศาสนาโดยตรง

ก็เราเที่ยวทั่วประเทศไทยนี่วะมันก็เห็นไปหมดทุกแง่ทุกมุม นี่ละที่ชัดเจนว่าชาวพุทธเราเป็นพื้นฐาน ได้แก่การให้ทาน เขาอยู่ในป่าในเขาเขายังรู้จักให้ทาน จะว่าอะไรเราอยู่กับตลาดแห่งศาสนธรรม อยู่กับคัมภีร์ใบลาน เขาอยู่ในป่าเขาไม่ได้มีคัมภีร์ เห็นพระไปนี้การให้ทานเขาต้องนำหน้ามาเลย ไปบิณฑบาตบ้านไหนอยู่ในป่าในเขา คนพูดไม่รู้ภาษากันก็มี คือเขารู้ภาษาเรา เราไม่รู้ภาษาเขา พวกโซ่พวกข้าพวกอะไรอยู่ในป่า เวลาเขาพูดภาษาเขาฟังไม่รู้เรื่องแหละ แต่หันมาทางเราปั๊บก็แบบเดียวกันนะ เขาชำนาญภาษาเดิมเขา อย่างนี้พื้นฐานแห่งทานเขามีเหมือนกันกับพวกเรา อย่าไปประมาทเขานะอยู่ในป่าในเขาว่าเขาไม่รู้จักทำบุญให้ทาน อย่านะ เหมือนกับพวกเราเลย ไปอยู่บ้านไหนไม่ตาย บ้าน ๓ หลังคาเรือน ๔ หลังคาเรือน เขาเลี้ยงเราได้ ๆ เราบิณฑบาตเขาก็ใส่บาตรให้ มีอะไรเขาก็ใส่ อย่างนั้นนะ นี่เรียกว่าทาน

ส่วนศีลรู้สึกว่าด้อยเอามากนะ ภาวนานี้ยิ่งเหลวไหลใหญ่ เสีย ๒ จุด จุดสำคัญที่จะเข้า เพ่นพ่าน ๆ อยู่ปากคอก ที่จะไล่เข้าสู่ภาวนานี้เหมือนจูงหมาใส่ฝนนะ แหง็กหงัก ๆ มันขี้เกียจ ยิ่งหน้าหนาวด้วยแล้วเสียงมันลั่นเลย หน้าหนาวเสียงแหง็กหงัก ๆ จูงไปเดินจงกรมมันไม่ไป มันร้องแหง็ก ๆ คว้าหมอนไว้ด้วย ถ้าทนไม่ได้จริง ๆ ถูกลากถูกเข็นนักก็คว้าเอาหมอนไปด้วย ไม่ให้เสียลวดลายเรื่องของแง็ก ๆ นั่น เข้าใจไหม ต้องให้มีลวดลายติดตัวไปด้วย

นี่ละจุดสำคัญที่จะประกาศองค์ศาสดาออกมาให้เห็นชัดเจนจริง ๆ นี่ละองค์ศาสดาแท้จะเข้าจุดภาวนา ไม่ต้องไปทูลถามพระองค์ ไม่ว่าพระพุทธเจ้าพระองค์ใด จ้าเข้าไปนี้ถึงกันหมดเลย เหมือนอย่างที่ว่าเราหย่อนมือลงในน้ำมหาสมุทร พอจ่อลงปั๊บกระเทือนถึงกันหมดเลย ความรู้นี้เมื่อถึงขั้นบริสุทธิ์ พอผางเข้าไปนี้ถึงกันหมดเลย เหอ พระพุทธเจ้ามีกี่องค์ไม่ถามเลยนะ เหมือนว่าน้ำมหาสมุทรมีกี่หยดถามหาทำไม น้ำมหาสมุทรก็รู้แล้วนี่ เป็นมหาสมุทรทั้งนั้น จ้าเข้าไปปั๊บเป็นพระพุทธทั้งนั้นในอันเดียวกันนี้ เข้ากันได้ปุ๊บทันทีเลย

อย่างพ่อแม่ครูจารย์มั่นท่านว่า พูดแล้วสาธุ ยกมือขึ้นด้วยนะ แม้พระพุทธเจ้าประทับอยู่ข้างหน้าก็ไม่ทูลถาม เด็ดเสียด้วยนะ ทูลถามทำไมของอันเดียวกัน รู้อย่างเดียวกัน เห็นอย่างเดียวกัน ทูลถามท่านทำไม เท่านั้นพอ ประจักษ์เต็มเหนี่ยวแล้ว นั่นเข้าถึงมหาสมุทร จ่อปั๊บลงไปนี้ถามหาทำไมมหาสมุทร อยู่กับมือนี่ กระเทือนถึงกันหมดแล้ว อันนี้อยู่กับใจดวงนี้ จ้าไปนี้มันกระเทือนถึงกันหมด เป็นอย่างนั้นนะ ที่ว่าเห็นองค์ศาสดา พระสรีระนั้นเป็นร่างเหมือนเราทั่ว ๆ ไป เป็นเรือนร่างของพุทธะแท้ที่ครองอยู่ในนั้นเวลายังไม่นิพพาน แต่ธรรมธาตุนั้นเป็นแล้วตั้งแต่ขณะที่ตรัสรู้ปึ๋งขึ้นมาเท่านั้น จ้าแล้ว ครองขันธ์อันนี้

เพราะฉะนั้นขันธ์ของพระพุทธเจ้า ของพระอรหันต์ ท่านจึงเป็นพระธาตุได้ ก็เพราะว่าจิตของท่านบริสุทธิ์ครองขันธ์อันนี้ ความบริสุทธิ์นี้กระจายออกไปให้ขันธ์สะอาดไปตามส่วนของขันธ์ที่หยาบ จนกลายเป็นพระธาตุได้ จิตของท่านบริสุทธิ์อยู่ในนั้น ครองขันธ์นานเท่าไรก็ยิ่งมีเวลาที่จะซักฟอกธาตุขันธ์ให้เป็นความบริสุทธิ์ตามส่วนแห่งธาตุหยาบของตน ๆ ไป ยิ่งเวลาท่านเข้าสมาธิสมาบัติเข้าภาวนา รวมกระแสของจิตที่เป็นแง่ออกสู่สมมุตินี้เข้ามาสู่ภายในหมด นั้นเรียกว่าซักฟอกร้อยเปอร์เซ็นต์ ๆ เลย พอเข้าสู่ความสงบปั๊บก็เป็นการซักฟอกในตัว ท่านไม่ได้มีเจตนานะว่าจะซักฟอกขันธ์ หากเป็นหลักธรรมชาติอย่างนั้น พอกระแสจิตรวมเข้ามาสู่จุดใหญ่คือความบริสุทธิ์นี้แล้วก็จ้าออกไป อันนี้เป็นเอง เวลาท่านมรณภาพแล้วอัฐิของท่านจึงกลายเป็นพระธาตุ เรียกว่าเป็นธาตุที่ละเอียดไป แม้จะหยาบตามส่วนของวัตถุก็ตาม แต่ก็เป็นส่วนที่ละเอียดไปตามความบริสุทธิ์ของใจ จึงกลายเป็นพระธาตุได้ นั่นต่างกันอย่างนั้นนะ

แต่คำว่าเป็นพระธาตุนี้ก็มีแยกแยะเหมือนกัน ถ้าองค์ใดที่บำเพ็ญมาเรื่อย ๆ ตั้งแต่สมาธิหนุนมาเรื่อย ๆ ถึงขั้นปัญญาก็ก้าวไปเรื่อยเสมอ ๆ องค์นี้เวลาบรรลุธรรมปึ๋ง เรียกว่าตรัสรู้หรือบรรลุธรรมแล้วนิพพานไปเสียอย่างนี้ ธาตุขันธ์ท่านก็มีโอกาสที่จะเป็นพระธาตุได้อย่างธรรมดา ง่าย เร็ว แต่ท่านผู้เป็นขิปปาภิญญาตรัสรู้เร็วแล้วนิพพานไปเสียอย่างนี้ ก็เป็นพระธาตุได้ช้า ต่างกันนะ คือจิตที่บริสุทธิ์นี้ครองขันธ์อยู่นาน ก็เป็นหลักธรรมชาติที่ฟอกธาตุขันธ์อยู่เป็นเวลานาน พอนิพพานแล้วก็เป็นได้ง่าย แต่ผู้ที่บรรลุธรรมเร็ว ๆ แล้วก็นิพพานไปเสียก็เป็นพระธาตุได้ช้าต่างกัน ต่างกันอย่างนั้นนะ

ไม่ใช่ว่าพอบรรลุปึ๋งเป็นพระธาตุไปเลยอย่างนั้น คือพระธาตุนี้เกี่ยวกับจิตที่ซักฟอกอยู่ภายในตัวเองนั้นแหละ อันนี้ก็ยังมีข้อแม้อีกอันหนึ่ง ใคร ๆ อาจไม่คิดได้ ว่าบรรดาพระอรหันต์นี้จะต้องเป็นพระธาตุทุกองค์ไปหรือ อันนี้ขึ้นอยู่กับจิตซึ่งเป็นองค์ครองธาตุขันธ์ จิตนี้มีอำนาจมาก ท่านอาจจะอธิษฐานอย่างไรก็ได้ในจิตของท่าน อธิษฐานไม่ให้เป็นพระธาตุหรือให้เป็นพระธาตุชนิดไหนนี้ก็เป็นได้ อำนาจของจิตเป็นได้ หรือท่านอธิษฐานไม่ให้เป็นพระธาตุนี้ก็อาจเป็นได้ เพราะอำนาจของจิตอธิษฐานไว้ ตั้งกึ๊กไว้เลยให้เป็นไปตามนั้น คือเป็นพระธาตุ หรืออาจเป็นพระธาตุแปลก ๆ ต่าง ๆ ไปตามคำอธิษฐานก็ได้ นั่นมันหลายขั้นหลายตอน ธรรมดา ๆ ก็เป็นพระธาตุ ถ้าแยกเป็นพิเศษจะเป็นพระธาตุชนิดไหน ขึ้นอยู่กับคำอธิษฐานของท่านอีก หรือไม่ให้เป็นพระธาตุอย่างนี้ ท่านจะให้เป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับคำอธิษฐานอีกเหมือนกัน ไม่ใช่เป็นแบบเดียวกันเลย

พี่น้องทั้งหลายอยากครองธรรมพระพุทธเจ้าในหัวใจ ขอให้พากันสนใจภาวนา นี่ละจะเป็นที่บรรจุของความสุข จะเข้ามาสู่ใจนี้หมด อย่างเมื่อวานนี้ก็เทศน์ ใจนี้เป็นภาชนะรับทั้งความสุขความทุกข์ อย่างอื่นไม่มีอะไรรับ นี่เราบอกแล้ว ดินฟ้าอากาศ สมบัติเงินทอง ยศถาบรรดาศักดิ์ ไม่มีอะไรมารับ ไม่มีอะไรเป็นภาชนะได้นะ ใจเท่านั้นเป็นภาชนะสำหรับรับทั้งความสุขความทุกข์มากน้อย ใจเป็นผู้รับ ทีนี้เราต้องการหาแต่ความสุขด้วยกันทั้งนั้น แต่ครั้นได้มาแล้วมีแต่ส้วมแต่ถานเต็มหัวใจ มันก็มีแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้ตลอดทั่วโลกดินแดน มีใครครองความสุข เพราะไม่ใช่ทางของความสุข เป็นทางของความสกปรกรกรุงรัง สั่งสมตั้งแต่ฟืนแต่ไฟขึ้นมาในหัวใจ คือกิเลสเป็นต้นเหตุให้สั่งสมความสกปรกเลวร้ายทั้งหลาย ตลอดความทุกข์ทรมาน เกิดจากกิเลสทั้งนั้น

ทีนี้เวลาสั่งสมธรรมเข้า กำจัดสิ่งที่สกปรกนี้ออก เฉพาะอย่างยิ่งคือจิตตภาวนา ชี้นิ้วเลยนะ จิตตภาวนาเป็นการซักฟอกโดยตรง ๆ ซักฟอกออกค่อยกระจายออก ๆ จิตค่อยผ่องใสขึ้นมา ๆ นั่นละความสุขขึ้นแล้ว เริ่มขึ้นแล้วตั้งแต่เราเริ่มซักฟอกเรื่อย ๆ จนซักฟอกหมดโดยสิ้นเชิงไม่มีอะไรเหลือเลยขึ้นชื่อว่าสมมุติ สมมุติจะได้แก่อะไร ก็ได้แก่กิเลสนั้นแหละเป็นสมมุติ ตัวข้าศึกใหญ่คือสมมุติตัวนี้เอง พอตัวนี้บรรลัยลงไปแล้ว ความทุกข์จึงไม่มีในใจของพระอรหันต์เลย ไม่มีตั้งแต่ขณะบรรลุธรรมปึ๋งเท่านั้นละ สมมุติหมดโดยประการทั้งปวง ทุกข์ก็เป็นสมมุติ หมดไปเลย กิเลสก็เป็นสมมุติ ที่สร้างทุกข์ให้เกิดขึ้นก็เป็นตัวสมมุติ ทุกข์ที่เป็นผลของกิเลสก็เป็นตัวสมมุติ พอกิเลสซึ่งเป็นตัวเหตุดับพรึบ ทุกข์ก็ดับพรึบไปพร้อมกันเลย

นั่นละจิตของพระอรหันต์ท่านจึงไม่เคยได้มีความทุกข์ แม้ขณะหนึ่งก็ไม่มี เท่าเม็ดหินเม็ดทรายก็ไม่มีในจิตที่บริสุทธิ์ของท่านนะ ส่วนธาตุขันธ์มีเหมือนเราทั่ว ๆ ไป คือมีเจ็บไข้ได้ป่วย เจ็บหัวตัวร้อน มีหิวมีกระหาย มีอยากหลับอยากนอนเป็นธรรมดา นี่เป็นเรื่องของขันธ์ล้วน ๆ นี่ละที่ท่านว่ามันกวนท่าน เขาก็เป็นของเขาอย่างนั้น เขาไม่มีเจตนาจะมากวนเรา จิตก็รับทราบอยู่นั้น จะว่าเขามากวนให้ได้รับความทุกข์ก็ไม่ใช่ หากรับทราบกันอยู่อย่างนั้นตลอดไป จนกระทั่งขันธ์นี้หมดสภาพเมื่อไรแล้ว สมมุติโดยประการทั้งปวงที่จิตรับผิดชอบอยู่ก็คือขันธ์ เมื่อขันธ์ดับลงไปแล้วก็หมด สมมุติโดยประการทั้งปวงมายุติลงที่ขันธ์ดับ

สมมุติทั้งหลายไม่มีความหมายอะไรแหละ แต่สมมุติในขันธ์นี่ซิมันเกี่ยวข้องกันอยู่ตลอดเวลา พาอยู่พากินพาหลับพานอนพาขับพาถ่าย พาเคลื่อนไหวไปมา มีแต่เรื่องของขันธ์ แบกขันธ์บรรเทาขันธ์ทั้งนั้น จิตจะบรรเทาท่านอะไร จิตนั้นไม่มีอะไรบรรเทา เมื่อได้อยู่ด้วยกันแล้วก็ต้องรับผิดชอบกันอยู่โดยหลักธรรมชาติ จนกระทั่งถึงวันอวสานแห่งธาตุขันธ์ ธาตุขันธ์ดับลงไปปุ๊บ สมมุติโดยประการทั้งปวงก็ดับไปพร้อมกันเลย นั่นละวิมุตติล้วน ๆ แล้ว ท่านว่าอนุปาทิเสสนิพพาน สอุปาทิเสสนิพพานนี้ก็หมายถึงขันธ์ยังมีอยู่ รับผิดชอบกันอยู่อย่างนี้ พระอรหันต์ท่านจึงไม่มีทุกข์ ตั้งแต่ขณะที่กิเลสขาดสะบั้นลงไปทุกข์ในจิตของพระอรหันต์ไม่มีเลย เที่ยงตั้งแต่บัดนั้น จิตเที่ยง ท่านว่านิพพานเที่ยง คือธรรมชาตินั้นแหละเที่ยง ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงตลอดอนันตกาล จึงเรียกว่าเที่ยงล่ะซิ

นี่ละธรรมของพระพุทธเจ้าชี้เข้าไปถึงจุดนี้เลยนะ นอกนั้นไม่มีพูดยันตัวได้เลย ศาสนาใดก็ตามไม่ประมาท เอาความจริงมาพูด ศาสนาพระพุทธเจ้าเข้าถึงหลักธรรมชาติทีเดียว ปึ๋งเลยเทียวถึงนิพพาน นี่ละศาสนานำสัตวโลกให้พ้นจากทุกข์โดยสิ้นเชิงได้ ก็คือพุทธศาสนา นอกนั้นไม่มี มีแต่สั่งสมกิเลส โดยอวดอ้างว่าเป็นศาสนา ๆ เอาคำสอนเอาธรรมเข้ามาเป็นโล่บังหน้าว่าถือศาสนา ปฏิบัติศาสนา เป็นเจ้าของศาสนา มันเป็นเจ้าของกิเลส คลังกิเลสอยู่ในหัวใจ บงการออกมาอะไรเป็นเรื่องของกิเลสทั้งนั้น แล้วจะสั่งสมความสุขมาจากไหน ก็มีแต่ความทุกข์ล้วนๆ ทำลงไปว่าทำตามศาสนาว่าถูกต้อง ๆ เป็นเรื่องถูกต้องของกิเลส ไม่ใช่ถูกต้องของธรรม ว่าไปก็ว่าแต่ปากเฉยๆ ความจริงไม่อำนวยให้จะเป็นไปได้ยังไง ทุกสิ่งทุกอย่างความจริงต้องอำนวย ตั้งแต่เหตุ ความจริงอำนวยแล้วถึงเป็นความถูกต้อง ผลก็ต้องอำนวยเป็นความถูกต้องเหมือนกัน ดังธรรมพระพุทธเจ้าสอนว่า สวากขาตธรรม นั่น คำว่า สวากขาตธรรม คือเหตุถูกต้องแล้ว ตรัสไว้ชอบแล้ว ผลก็คือความบริสุทธิ์ เป็นอย่างนั้นนะ

ให้พากันภาวนาบ้างนะ ท่านทั้งหลายจะได้เห็นความสุขเกิดขึ้นในหัวใจแล้วเป็นผู้ครองความสุข ใครเป็นคนครอง ก็คือใจดวงนี้แหละจะเป็นผู้ครอง ครองมากครองน้อยตามแต่เจ้าของขวนขวายมาได้มากน้อย จะแสดงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อครองความสุขได้มากน้อยแล้ว ไอ้สิ่งที่เป็นกังวลวุ่นวายเป็นเหมือนเถาวัลย์ระโยงระยางทั่วโลกธาตุนี่ มันหดเข้ามาหมดนะ พอได้ความสุขปั๊บมากน้อย ทีนี้จะค่อยปล่อยนั้นเข้ามา ปล่อยสิ่งเหล่านี้เข้ามา ปล่อยเข้ามาๆ พอทางนี้มากเท่าไรยิ่งปล่อยมากเข้ามา ๆ ทางนี้ได้เต็มภูมิไม่ต้องอาศัยอะไรแล้ว ปล่อยหมดเลย นั่น ท่านไม่มีอะไรติดใจ ท่านปล่อยหมดเลย ไอ้เรานี้มันยึดหมดเลย ท่านปล่อยหมดเลย

สำคัญความเพียรนี้มันอยู่กับสตินะ สตินี่สำคัญมากทีเดียว เว้นไม่ได้เลยสติ แม้จะทำงานทำการอะไรๆ ต้องมีสติประจำกิจการงานของตนๆ นี่ก็เรียกว่า งานที่ชอบประเภทหนึ่ง งานที่ชอบภายใน ชำระจิตใจนั่น ท่านว่าสติ มหาสติ ก็ได้ยินแต่ชื่อเสีย เจ้าของไม่เคยทำก็ไม่เจอ สติก็ไม่เจอ อยู่กับตัวเองก็ไม่เจอกัน ตั้งสติขึ้นมาเล็กน้อยก็เริ่มปรากฏ นั่น ตั้งขึ้นมาก็มี เพราะสติเกิดขึ้นจากใจ ดับลงไปที่ใจ ตั้งมากเข้าๆ สติก็มีกำลังมากขึ้นๆ กระจายออกไปรอบตัวๆๆ จากนั้นก็เป็นสติปัญญา ปัญญานี้จะเกิดหลังจากสติตั้งฐานได้พอสมควรแล้วปัญญาจะค่อยแย็บออกๆ ต่อไปแล้วสติปัญญานี้เป็นอันเดียวกัน พอสติพับปัญญาวิ่งตามๆ พอถึงขั้นเป็นอันเดียวกันแล้วเป็น ให้มันเห็นที่หัวใจนั่นซิ

เวลาตั้งขึ้นก็ต้องมีสติตั้งเสียก่อน พอสติตั้งได้ดีๆ ทีนี้เราจะนำปัญญาออกมาใช้ ปัญญาก็ค่อยเริ่มออกๆ พอปัญญามีความคล่องแคล่วตัวแล้ว สติกับปัญญาก็ค่อยกลมกลืนเป็นอันเดียวกัน สุดท้ายเป็นอันเดียวกันเลย พอสติรับทราบปั๊บ ปัญญาจะออกแล้วๆ ท่านจึงเรียกว่า สติปัญญาอัตโนมัติ คือหมุนตัวไปเองทั้งสองอย่างนั่นละ จึงเรียกว่าเป็นอัตโนมัติด้วยกัน สติปัญญาอัตโนมัติ นี่ก็ขั้นหนึ่ง ของจิตแห่งผู้บำเพ็ญทั้งหลาย เมื่อแก่กล้าแล้วก็จะค่อยกลมกลืนเป็นอันเดียวกัน แล้วก็มีกำลังมากขึ้นด้วย พอถึงขั้นสติปัญญาอัตโนมัติแล้วความเผลอจะไม่มี พูดได้ยากมากว่าสติเผลอ

สติปัญญาอัตโนมัตินี่เริ่มไม่เผลอแล้วนะ แต่ไม่เผลอขั้นนี้อีก สติยังหยาบอยู่ ความไม่เผลอก็ติดแล้ว พอเข้าถึงสติปัญญาอัตโนมัตินี่ หนักเข้าๆ เชื่อมไปเข้ามหาสติมหาปัญญา อันนี้เป็นอันเดียวกันไปอีก อันนั้นเรียกว่า แยบคายสุดที่จะพูดได้ ไม่มีคำว่าเผลอ ตั้งแต่สติปัญญาอัตโนมัติก็ไม่เผลอแล้ว ยิ่งเป็นมหาสติมหาปัญญาแล้วซึมไปเลย ซึมซาบๆ ไปเลยทุกอย่าง ไม่ได้ถามใครนะ หากเป็นกับเจ้าของ รู้กับเจ้าของ พอเหมาะพอดีอยู่กับเจ้าของตลอดเวลา ท่านเรียก มหาสติมหาปัญญา ก้าวเข้าสังหาร กิเลสส่วนละเอียดสุดแหละที่นี่ อันนั้นก็เหมือนกับว่าซึมซาบ กิเลสประเภทนั้นซึมซาบ สติปัญญาเครื่องประหารเหล่านี้ก็ซึมซาบ ทันกันๆ ทันกันไปเรื่อยๆๆ นี่ละการปฏิบัติทางด้านจิตใจ มันรู้ชัดๆ เห็นชัดๆ ประจักษ์กับตัวเองๆ ไป อย่างนั้นเรื่อยๆ

พอมหาสติมหาปัญญามีความแกล้วกล้าสามารถ ฟาดกิเลสขาดสะบั้นลงไปโดยสิ้นเชิงแล้ว ทีนี้ผลที่เกิดขึ้นมาก็ดังที่ว่า จ้าไปหมดเลย อันนี้ มหาสติมหาปัญญามันก็รู้ทันที ว่านี้คือเครื่องมือ ไม่ใช่นิพพาน ไม่ใช่ธรรมธาตุ เป็นเครื่องมือ ท่านจึงเรียกว่า มรรค ๘ มคฺค ก็แปลว่า ทางเดิน สัมมาทิฏฐิก็เป็นทางเดินๆ เรื่อย จนก้าวเข้าสู่มหาสติมหาปัญญาก็เป็นทางเดินอันละเอียดไปเรื่อยๆ ทางเดินเพื่อฆ่ากิเลส พอกิเลสสิ้นซากลงไป มหาสติมหาปัญญานี้ก็ระงับตัวลงไป เป็นอีกประเภทหนึ่ง จะว่ามหาสติมหาปัญญาระงับตัวจนไม่มีอย่างงั้นไม่ได้นะ ระงับในการฆ่ากิเลส มีความจดจ่อต่อการฆ่ากิเลสด้วยสติปัญญาของตน

ทีนี้พอกิเลสสิ้นซากลงไปแล้ว สติปัญญาอันนี้ก็เลยกลายมาเป็นธรรมชาติของความบริสุทธิ์เสีย มันก็รู้อยู่อย่างนั้น แต่จะเอาไปแก้ไขอะไรๆ กิเลสอะไรเขาไม่มีเจตนาจะไปแก้ ก็มันขาดสะบั้นไปหมดแล้วแก้อะไร ก็มีแต่เหลือแต่หลักธรรมชาติคือ สติปัญญาในหลักธรรมชาติไปแล้ว ถ้าพูดว่าสติปัญญาก็เป็นหลักธรรมชาติประจำความบริสุทธิ์เสีย อันนี้ก็เป็นอีกอันหนึ่งในเวลามีขันธ์อยู่นั้น พอขันธ์ขาดสะบั้นลงไป เอาอีกอันหนึ่งอีก อันนั้นพูดไม่ได้เลยหากไม่สงสัย อย่างนั้นนะท่านรู้ รู้อย่างนั้น ท่านไม่รู้งูๆ ปลา ๆ เหมือนอย่างเราเอามาพูด

ความรู้ด้วยการปฏิบัติมันชัดเจนมาก ถ้าลงได้เจอเข้าไปแล้วไม่มีอะไรที่จะมาคัดค้านต้านทานได้ให้ความรู้อันนี้ล้มเหลวไปไม่มี เรียกว่ารู้จริง จริงอย่างงั้นไม่สงสัย ไม่ไปหาใครมาเป็นสักขีพยานเลย ผางขึ้นแล้วก็เป็น สนฺทิฏฺฐิโก เต็มภูมิ คือรู้ประจักษ์ตนเอง เต็มภูมิๆ นี่คือผลของพุทธศาสนาที่บรรดาชาวพุทธเราปฏิบัติได้เป็นขั้นเป็นภูมิเป็นลำดับลำดาไม่ผิดหวัง เรื่องพระพุทธศาสนาสอนเพื่อความสมหวังอันสมบูรณ์โดยแท้ ไม่มีผิดมีพลาดเลย ขอให้ปฏิบัติตามนี้

ศาสนาใดๆ เราก็เคยพูดแล้วอย่าเอามายุ่งว่างั้นเลย นี้เอกแล้ว แน่นอนแล้ว เป็นศาสนาที่ เรียกว่าพูดอะไรพูดไม่ถูก อย่างที่ว่าเลิศๆ นี้ ก็อยู่ในวงสมมุตินะ ประเสริฐ เลิศเหล่านี้ โลกมีสมมุติ ธรรมอันนั้นจะเลิศยิ่งกว่านี้ขนาดไหน ก็ต้องเอามาพูดในวงสมมุติออกมาจนได้นั่นแหละ ไม่งั้นโลกไม่เข้าใจกัน คำว่าเลิศ อันนั้นเลยแล้วนี่ถ้าให้ถูกต้องจริงๆ นะ คำว่าเลิศว่าเลอ อันนั้นเลยนี้ไปแล้ว พูดไม่ถูกแล้ว แต่ความรู้นั้นไม่ผิด เต็มภูมิ ๆ ทีนี้เวลาจะแยกมาพูดนี้ พูดไม่ได้นะ แม้เช่นนั้นก็ยังต้องยกมาพูด เช่น นิพพานเที่ยง อย่างนี้เป็นสมมุติทั้งนั้น ธรรมชาติจริงๆ ยังเหนือนี้อีก อันนี้โลกมีสมมุติก็ต้องเอามาพูดในนี้ เรียกว่าเป็นเงาของนิพพานแท้ว่างั้นเถอะน่ะ เงาติดอยู่กับตัวนั้นแหละ ว่านิพพานเที่ยง วิสุทธิธรรม บริสุทธิ์ๆ นี่เงาของธรรมชาตินั้น ธรรมชาตินั้นพูดไม่ได้

ให้มันรู้อย่างนั้นซิถึงว่ารู้จริง ถามใครที่ไหน ไม่ต้องถามว่างั้นเลย ธรรมของพระพุทธเจ้าสอนลงไปแบบให้รู้ด้วยตัวเอง ๆ ไม่ต้องไปถามใครเลย คิดดูอย่างที่เคยพูดให้ฟัง พระอัญญตรภิกขุองค์หนึ่งท่านกำลังพิจารณาธรรมขั้นสูงอยู่ นี่ธรรมขั้นอัตโนมัติ มองเห็นอะไรเป็นธรรมไปหมดนะ ลงธรรมเป็นอัตโนมัติแล้ว กิเลสเป็นอัตโนมัติมองสัมผัสสัมพันธ์อะไรเป็นกิเลสไปหมด เป็นอย่างนั้นนะ แย็บออกมาเป็นกิเลสแล้วๆ ทีนี้พอพลิกไปถึงธรรม ธรรมเป็นอัตโนมัติแล้วทีนี้มองดูอะไร สัมผัสสัมพันธ์เป็นธรรมไปหมดเลย มีแต่เรื่องแก้กิเลสๆ ไปโดยลำดับ เรียกว่าอัตโนมัติเหมือนกัน พอสิ้นซากลงไปแล้วก็หมดอัตโนมัติ

ทีนี้ภิกษุองค์นี้จะไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ทูลถามปัญหาที่มีข้อข้องใจในธรรม เกือบจะถึงขั้นสูงสุดแล้ว พอไปฝนตกก็ขึ้นเฝ้าไม่ได้ ฝนตกก็ดูฝน ฝนตกลงมาใส่หญ้าใส่สังกะสีอะไรก็แล้วแต่แหละ ตกลงมาจากหลังคามาข้างล่าง น้ำกระทบกัน น้ำพื้นที่ขังอยู่แล้วกับน้ำที่ตกมาข้างบน ตกลงมาตั้งเป็นต่อมเป็นฟองขึ้นมาท่านดูอยู่นั้น ท่านพิจารณา พอตกกระทบกันก็ตั้งเป็นต่อมเป็นฟองขึ้นมาแล้วดับไป ๆ ตั้งขึ้นดับไป กระทบกันอยู่ตลอด ตั้งขึ้นดับไป ท่านพิจารณานั้นพับบรรลุธรรมปึ๋งในเวลานั้นเลย ท่านเอาเรื่องของสังขาร แยกออกมาคือสังขาร ดีก็ตามชั่วก็ตามตั้งขึ้นแล้วดับไปเหมือนกันกับน้ำนี่เอง มันออกมาจากไหน มันก็วิ่งถึงใจเป็นเรื่องใหญ่ตรัสรู้ปึ๋งขึ้นมาทันทีในเวลานั้น พอฝนหยุดท่านกลับเลยไม่ไปทูลถามพระพุทธเจ้าอีก ถามอะไรของจริงของจังปรากฏแล้วโดยหลักธรรมชาติ เลยกลับไปเลย

ทีนี้เวลาไปหาพระ พระเลยถามว่า ไหนว่าจะทูลถามธรรมะพระพุทธเจ้า ไปแล้วทำไมจึงไม่ทูลถาม ท่านก็เลยเล่าให้ฟัง พอไปถึงนั้นฝนตก พิจารณาอันนั้นเลยรู้เสียตอนนั้นแล้วกลับมา นั่นเห็นไหม แม้ตั้งหน้าจะไปทูลถามพระพุทธเจ้ายังไม่ทูลถามฟังซิน่ะ พอรู้อย่างจังๆ แล้วกลับเลย นี่ สนฺทิฏฺฐิโก พระพุทธเจ้าประทานไว้แล้ว พระองค์ไม่ได้ผูกขาดในผลของผู้ปฏิบัติที่จะควรรู้ควรเห็น รู้ได้เต็มยันเหมือนกัน อย่างพระองค์นี้ไปถึงรู้ได้เต็มที่แล้วกลับเลยไม่ต้องไปทูลถามพระพุทธเจ้า เห็นไหมล่ะ นี่ละธรรมพระพุทธเจ้า อะไรจะเลิศเลอยิ่งกว่าธรรมของศาสดาองค์เอก

ขอพี่น้องทั้งหลายให้รู้สึกตัวนะ เราจวนตายแล้วฟังให้ชัด ๆ อย่างนี้แหละ เราไม่หวังอะไรแล้วในโลกอันนี้ มีแต่ความสงสาร จะพูดในแง่ใดมุมใดมีแต่ความสงสารล้วนๆ โลกอันนั้นอย่าเอายุ่งว่างั้นเลย มีแต่ความเมตตาความสงสารอยากฉุดอยากลากให้เป็นไปได้เท่าไร เอา ไปนะ เราทนทุกข์ทรมานอยู่ในโลกอันนี้เราหาความแน่นอนไม่ได้นะ ตายแล้วไปจมในนรกได้ถ้าทำชั่วคิดชั่ว ไปสวรรค์ได้ แต่ไม่ถึงนิพพานถ้าไม่สิ้นกิเลส นั่น เอาให้มันสิ้นเสียอยู่ไหนสบาย ลมหายใจฝอดๆ มีความหมายอะไร ลมดินฟ้าอากาศเขามากเท่าไรมาห่วงอะไรลมในจมูกนี้ มันก็เป็นลมเหมือนกันห่วงมันอะไร หนังเนื้อเอ็นกระดูกนี้ก็คือธาตุดินน้ำลมไฟจะไปห่วงมันอะไร ตั้งแต่ดินน้ำลมไฟอยู่ข้างนอกนี้ไม่หวง ธาตุเหล่านี้ก็เป็นธาตุเดียวกันหวงมันอะไร มันก็เท่านั้นเอง เมื่อมันเสมอภาคกันหมดแล้วไม่ว่าข้างนอกข้างในเสมอกันหมดนั่นแหละ ปล่อยได้แล้วปล่อยได้หมด ข้างนอกก็ปล่อยได้ ข้างในก็ปล่อยได้ ก็เท่านั้นเอง

เราสงสารจริง ๆ นะ โอ๊ย สงสารมาก ทำไมเรื่องธาตุขันธ์อ่อนลงเท่าไรๆ แทนที่ความสงสารมันจะอ่อนลงตามไม่ได้อ่อนนะ มันยิ่งหนักขึ้นๆ เพราะเรื่องหาฝั่งหาแดนมันยังไม่เจอไม่มีก็มี ผู้ที่พอมีฝั่งมีแดนมีทานมีศีลภาวนาพอเป็นหลักใจแล้วก็ยังพอเกาะได้นะ ไม่ไปชั่วละนี่ เมื่อมีศีลมีทานการภาวนาหรือการกุศลแทรกอยู่ในใจแล้ว เวลาจำเป็นจริงๆ มันจะวิ่งเข้ามาหาอันนี้ละ อาศัยเหล่านั้นไม่ได้นะ กองสมบัติเท่าภูเขาอย่าไปอาศัยมันนะ มันจะวิ่งเข้ามาหาจุดที่อาศัยได้คือบุญกุศลของตัวเอง มันเกาะปั๊บไปเลย อันนั้นทิ้งเลย มันไม่ได้มาเป็นเปรตเฝ้านะถ้ามีสิ่งที่เกาะ ถ้าไม่มีสิ่งที่เกาะอย่างน้อยมาเป็นเปรตเฝ้าสมบัติถ้าบาปไม่หนามากนัก ถ้าบาปหนามากกว่านั้นลงนรกไม่สงสัย มันไม่ได้มีอะไรกันนะสมบัติที่จะไปดึงลากขึ้นมา อย่าลงไป ข้านี่กองสมบัติของเธอกองเท่าภูเขาไม่ห่วงฉันเหรอ ฉันยังห่วงเธอ โอ๋ย ไม่ต้องพูดผึงเลยทันที เป็นยังงั้นนะ

จึงได้รีบเตือน พระพุทธเจ้าไม่ได้หลอกโลกนะ หรือเวลาสอนอยู่เวลานี้ท่านทั้งหลายเข้าใจว่าหลวงตาบัวหลอกเหรอ มันโมโหนะนี่ มันถึงใจจริงๆ นะการปฏิบัติมา เวลารู้มันก็รู้ถึงใจจริงๆ สอนจะไม่สอนถึงใจได้ยังไง ผู้ฟังถึงใจหรือไม่เดี๋ยวนี้น่ะ มันโมโห หาไม้มาหน่อยน่ะ ฟาดไปตามเหล่านี้ให้มันแหลกไปหมดเลย ร้องเสียงแหง็กหงักๆ กลัวไม้ตีหลังมัน ไล่ตีเข้าทางจงกรมไม่ไป ไปตีหลังมันอีกจะไปไหนก็ไปเถอะ ได้ยินเสียงร้องแหง็กหงัก ๆ หาที่หลบภัยเข้าใจไหม พวกนี้พวกหลบภัยถูกไม้ตีเอา สอนยังไงมันก็ไม่ได้เรื่อง เอาไม้ตีเอาละซิ วิ่งหาที่หลบภัยเสียงแหง็กหงักๆ สลดสังเวชจริง ๆ นะ

ธรรมพระพุทธเจ้านี้เจิดจ้าตลอดเวลานะ อกาลิโก ไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลามาทำลายได้เลย ขอให้ทำเถอะน่ะว่างี้เลย ทำบาปเป็นบาป ทำบุญเป็นบุญไม่สงสัย มีเสมอภาคกันเลย ใครจะอวดเก่งกล้าสามารถหาที่ลับที่แจ้งทำบาปทำกรรม เอา ไป ยกโคตรมึงไปก่อกำแพงไว้ ไปทำความชั่วอยู่ในกำแพง ยกมาหมดทั้งโคตรทั้งแซ่ ไปเราไปบาปทำกรรมอยู่ในกำแพงไม่มีใครเห็นเรา ไปกี่โคตรมันก็มาจมกันหมดพวกในกำแพง นอกกำแพงเท่านั้นที่เขากลัวบาปกลัวกรรมเขาไม่ทำ พวกนี้พวกจะไป พวกในกำแพงนี้ลงด้วยกันหมดนั่นแหละอยากเก่ง จะเอาโคตรแซ่มาบังคับบาปกรรมได้เหรอ ถ้าโคตรแซ่บังคับบาปกรรมได้แล้ว พระพุทธเจ้าก็มีโคตรมีแซ่เหมือนกัน ก็เอามาบังคับสัตวโลกอย่าให้เป็นบาปเป็นกรรม เอา ทำไปสูน่ะ สูอยากได้ผัวกี่คนสูไป สูได้เมียกี่คนไปๆ ลูกของสูแตกออกมามันยิ่งกว่าหมายั้วเยี้ยๆ ก็ไปเถอะ กูรับรองไว้หมดแล้วแหละกำแพงกูมี พระพุทธเจ้าก็จะว่าอย่างนั้น

พระพุทธเจ้าองค์ไหนก็ไม่ได้ว่า พวกท่านทั้งหลายเก่งไปไหน เราอยากถามอย่างนี้น่ะ นี่ละพูดขออภัยนะ มันถึงใจจริงๆ พูดออกมาด้วยความเมตตานี้ ผึงๆ เลย นี่เขาก็จะว่าหลวงตาบัวโกรธนะนี่นะ คิดดูซิเขาก็จะว่าหลวงตาบัวโกรธ มันหาเรื่องใส่จนได้แหละกิเลสนี่น่ะ เปิดมันออกลากคอมันออกกิเลส มันยังเข้ามาพันคอเราอีก มันหาเรื่องใส่เรา อู๊ย นี่ท่านดุนะ ไปอีกนะ พวกบ้า เอาละพอ

เปิดดูข้อมูล วันต่อวัน ทันต่อเหตุการณ์ หลวงตาเทศน์ถึงเรื่องอะไร www.luangta.com


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก