ทองคำเมื่อวานนี้วันที่ ๒๖ ได้ ๒ บาท ๕๐ สตางค์ ดอลลาร์ ๑๖๒ ดอลล์ ทองคำที่ต้องการมอบเข้าคลังหลวง ๔ พันกิโลนั้น ได้มอบเข้าแล้ว ๒,๕๕๐ กิโล ยังขาดทองคำอยู่อีก ๑,๔๕๐ กิโล จะครบจำนวน ๔ พันกิโล ทองคำที่ได้หลังจากมอบเข้าคลังหลวงแล้วได้ ๑๐๒ กิโล ๑๘ บาท ๑๙ สตางค์ นับว่าเร็วอยู่ สองเดือนได้ถึง ๑๐๒ กิโล รวมยอดทองคำที่มอบเข้าคลังหลวงแล้วเวลานี้ ๔,๕๖๒ กิโลครึ่ง รวมยอดทองคำทั้งหมดได้ ๔,๖๖๔ กิโลครึ่ง ทั้งที่มอบแล้วและยังไม่ได้มอบ ได้ ๔ ตันครึ่งกว่าแล้วเวลานี้
ที่เราช่วยโลกเหล่านี้ นี้เป็นเขาถวายเราเป็นปรกติเรื่อยมาตั้งแต่เริ่มสร้างวัดนะ ที่เราออกช่วยโลก ๆ เราช่วยตลอดเวลาอย่างที่พี่น้องทั้งหลายเห็น ไม่ใช่เราไปถอนเอาเงินโครงการช่วยชาติมาช่วยนะ เราไม่เอาง่าย ๆ นะบอกแล้ว เราสงวนไว้หมด ชาติก็เป็นของเรานี่จะว่าไง สมบัติเหล่านี้เพื่อชาติก็เป็นเรื่องของเรา เราจะไปทำสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ว่างั้นเลย เพราะฉะนั้นในจำนวนเงินที่ฝากเข้าเหล่านี้จึงไม่ถอน ถอนทีไรก็ได้ประกาศให้พี่น้องทั้งหลายทราบ
ที่ไม่ถอนแต่ช่วยโลกมาตลอด ๆ นี้มีแต่เขาถวายหลวงตา ไม่ได้บอกว่าโครงการช่วยชาติ อันใดที่บอกว่าโครงการช่วยชาติเราจะเข้าทันทีเลย เขาเขียนระบุมาเป็นอักษร เข้าทันที ๆ อันไหนเขาถวายเราเป็นปรกติดังที่เคยถวายมานั้น เราก็หมุนช่วยโลกไปเลย นี่ละที่ได้ช่วยโลกอยู่บ่อย ๆ แต่ทำไมไม่เห็นไปถอนเอาเงินในบัญชีช่วยชาติมาช่วยโลก ก็เพราะเงินเหล่านี้ก็เพื่อช่วยชาติอยู่แล้วตั้งแต่ยังไม่ตั้งโครงการจะว่าไง ก็ช่วยมาประจำอยู่แล้ว เงินจำนวนนี้มีพอเป็นไปอยู่เราก็หมุนไปเรื่อย ๆ เพราะอันนี้ก็ช่วยชาติโดยหลักธรรมชาติของมันมาดั้งเดิมก่อนโครงการช่วยชาติเสียอีก จึงเหมือนเป็นอันเดียวกันหมด มาหาเราแล้วนะ
คือจิตของเราจะพุ่งใส่ชาติไทยของเราโดยตรง ใส่โลกโดยตรง ไม่มาเกี่ยวกับเราเลย พี่น้องทั้งหลายกรุณาทราบนะ ผู้นำพี่น้องทั้งหลายมีมลทินที่ตรงไหน เราพูดยันเลยนะ ก็จะเอามลทินมาจากไหน เมตตาครอบโลกธาตุนี่ จะมาสนใจอะไรกับเงินบาทหนึ่ง สองบาทเพื่อหลวงตาบัววะ จิตมันครอบโลกธาตุนี่ หมดแล้วมันยังจะให้อีก ไม่อย่างนั้นจะติดหนี้เขาเหรอ ติดหนี้เรื่อยมานะเวลามันจำเป็น แต่ก็ยังไม่ไปถอนบัญชีโครงการ ติดหนี้เขาก็ยอมติด เอาเงินจำนวนนี้ละใส่เข้าไปเรื่อย เราช่วยจริง ๆ ยังบอกแล้ว ขอให้ตายใจได้เลย สำหรับเราแล้วไม่มีอะไรเลย ใครจะมาหาเรื่องใส่เราก็เท่ากับเอาไฟเผาหัวอกมันนั่นแหละ ก็เราไม่มีอะไรมีแต่ประโยชน์สาดกระจายทั่วโลก เราจะไปหวังเอาอะไร ไม่มีอะไรที่จะหวังแล้วในโลก มีแต่ความเมตตาต่อโลก เวลามีชีวิตอยู่ก็ช่วยเต็มกำลังความสามารถ
เพราะฉะนั้นถึงได้ทะนุถนอมธาตุขันธ์ไว้นี่เอง สำหรับเราเองไม่มีอะไรก็บอกแล้ว อยู่ได้ไปได้ มีน้ำหนักเท่ากันเลย จะไปเมื่อไรก็ไปได้สบายเลย ดีไม่ดีถ้าเราจะพิจารณาถึงธาตุขันธ์ที่กวนอยู่ตลอดเวลานี้กับปล่อยเสีย อันไหนมีผลดีกว่ากัน ไปเสียเท่านั้นเอง แน่ะ รั้งเอาไว้ก็เพื่อทำประโยชน์ให้โลกนั่นเอง หนักเบาก็สู้กันไปอย่างนี้ธาตุขันธ์ เพื่อประโยชน์แก่โลกเท่านั้นเองไม่ได้เพื่ออะไร
เมื่อวานนี้ก็ไปส่งอาหารให้พวกโรงพยาบาลคำตากล้า แล้วเลยไปบ้านแพง ไปครู่เดียวไม่นานแล้วกลับมา เมื่อวานดูมีโรงเดียว โรงพยาบาลมีมาเป็นประจำ ๆ เราถึงได้จัดอาหารไว้เต็มตลอดเวลาไม่ให้บกพร่อง เราไปแล้วพระที่อยู่ที่นี่ก็ดูแล ขาดอะไรก็สั่งทางบ้านเขา เขาก็จัดมาทันที ๆ เลยไม่ให้บกพร่อง เราอยู่เราไปมีน้ำหนักเท่ากันเกี่ยวกับเรื่องอาหารในโกดังเพื่อโรงพยาบาลต่าง ๆ อยู่ตลอดเวลา เสมอกัน นี่ละความสงสารโลกจะให้ทำยังไง
เราอยากจะให้พี่น้องชาวไทยเรา หมุนจิตใจเข้าสู่ธรรมให้หนักแน่นมากยิ่งกว่านี้ อย่างน้อยก็ให้หนักแน่นมากกว่านี้บ้างนะ จะได้พอมีความชุ่มเย็นภายในใจบ้าง ถ้าปล่อยให้เป็นไปตามกระแสของกิเลส อย่าหวังว่าสามแดนโลกธาตุนี้ว่าใครจะมีความสุขเพราะกิเลสดึงไป ได้ครองสมบัติจำนวนเท่านั้นเท่านี้ ครองความสุข มีความสะดวกสบายเท่านั้น ๆ ภายในใจ จะได้ภูมิใจนี้ไม่มี อย่าหวังนะ ให้เชื่อพระพุทธเจ้า ทรงพิจารณาโลกตลอดทั่วถึงหมดแล้ว จึงได้แยกออกมาสอนโลก ฝ่ายไหนเป็นภัย ฝ่ายไหนเป็นคุณ
ฝ่ายธรรมเป็นคุณล้วน ๆ ฝ่ายกิเลสเป็นโทษตั้งแต่ย่อย ๆ ของกิเลสขึ้นไปหาใหญ่หลวงของกิเลส ความใหญ่หลวงของกิเลสนั้นคือความใหญ่หลวงของทุกข์ในหัวใจสัตวโลกนะ อย่าพากันดิ้นจนเกินไป พออยู่ให้อยู่ แล้วหาความสงบภายในใจ ใจนี้เป็นที่รับรองความสุขความทุกข์ สมบัติทั้งหลายเหล่านั้นไม่ได้รับรอง ให้ท่านทั้งหลายจำเอาไว้ อย่าพากันดีดกันดิ้นจนเกินเหตุเกินผลจะตายทิ้งเปล่า ๆ หาสาระไว้สำหรับเกาะของจิต เวลาเป็นเวลาตายจะไม่มีติดหัวใจนะ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ท่านทั้งหลายอย่าไปหวัง ฟังให้ชัดนะ ชี้ขาดเลยเทียว อย่าไปหวัง หวังอาศัยมันชั่วระยะชีวิตของเรามีอยู่นี้ หามาเพื่อสิ่งเหล่านี้ ส่วนอรรถส่วนธรรมคุณงามความดี และการอบรมจิตใจให้สงบร่มเย็นนั้น ขอให้มีความหนักแน่นมากยิ่งขึ้นโดยลำดับ ท่านทั้งหลายจะได้เห็นความสุขเข้ามาสู่ใจ ๆ
ใจนี้เป็นสระเป็นทำนบใหญ่จะรับรองความสุข เวลานี้สระใหญ่เรานี้แห้งผากด้วยความสุข มีแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้อยู่ในสระนี้เวลานี้ สระคือหัวใจเรา ไปที่ไหนมองที่ไหนมันแบบเดียวกันหมด ไม่ได้มีความสุขนะ พากันดีดกันดิ้นเต็มโลกเต็มสงสาร ใครได้รับความสุขมาครองหัวใจบ้างเพราะอำนาจของกิเลสไม่เห็นมี จำให้ดีคำนี้ ถอดออกมาจากหัวใจ ที่ได้พิจารณาเต็มหัวใจแล้วค่อยมาพูดให้ฟัง ไม่ได้มาโกหกพี่น้องทั้งหลาย พิจารณาตรวจตราหมดทุกสิ่งทุกอย่างกลั่นกรองในหัวใจ ตั้งแต่วันออกปฏิบัติขึ้นเวที นั้นเป็นวันกลั่นกรองหัวใจ
เวลาศึกษาเล่าเรียนอยู่ก็รักษาศีลธรรมตามขั้นตามภูมิของการศึกษา การอบรมจิตใจมีน้อยก็ปล่อยไว้เสียก่อน เวลาศึกษาเพื่อจะหาความรู้ความฉลาดเป็นเครื่องมือขวนขวายหาธรรมเข้าสู่ใจด้วยภาคปฏิบัติจริง ๆ แล้วก็หา หานี้หาแบบขึ้นเวทีฟัดกับกิเลส เข้าในป่าในเขาตลอดเลยตั้งแต่บัดนั้น นี่กลั่นกรองละนะที่นี่นะ กลั่นกรอง ๆ กิเลสเวลามันหนาแน่นมันก็ฟาดเราจนหงายหมา ๆ ท่านทั้งหลายฟังซิ หงายหมา หงายไม่เป็นท่า อำนาจของกิเลสมันรุนแรง ทั้ง ๆ ที่เราจะฟัดจะเหวี่ยงกับมัน มันฟาดเรานี้หงายหมาเลย ๆ แบบไม่เป็นท่า ถึงขนาดน้ำตาร่วง ก็ได้มาเล่าให้ท่านทั้งหลายฟัง เล่าเพื่ออะไรเอาไปพิจารณาซิ
นี่ละความรุนแรงของกิเลสเอาจนน้ำตาร่วง เสียใจน้ำตาร่วง เคียดแค้นอย่างถึงใจถึงขนาดน้ำตาร่วง เพราะฉะนั้นน้ำตานี้จึงมีคุณค่ามากนะ กับความเคียดแค้นให้กิเลสนี้มีคุณค่ามาก เอาอันนี้แหละมาเป็นข้อฝังใจเลยไม่ลืม ความเพียรเน้นหนักเรื่อย ๆ จะล้มทั้งหงาย เอ้า ล้ม ยอมรับสู้มันไม่ได้ แต่ไม่ถอย ถึงขนาดว่ากูมึงเทียวนะ โถ เคียดแค้นนี่ก็ฝังใจเหมือนกัน ฝังลึกทีเดียวไม่มีจืดจางเลย ทีนี้ได้ที่แล้วฟัดมัน มันร้องโก้ก ๆ นั่นเห็นไหม เหมือนช้างเราขึ้นบนตะพองแล้วขอกระหน่ำลงไปมันร้องโก้ก ๆ มันบอกว่ายอมแล้ว ๆ ยอมกูก็ไม่ยอม มึงฟาดกูจนน้ำตาร่วงกูก็ไม่ถอย ยิ่งขนาบหนักเข้าไป ๆ
นี่ละอำนาจของธรรมหมุนเข้า ๆ ด้วยความเคียดแค้นที่มีคุณค่ามาก แล้วน้ำตาร่วง น้ำตานี้เป็นน้ำตาที่มีคุณค่ามาก ประมวลมาเข้าสู่การสั่งสมอรรถธรรมเข้าสู่ใจของเรา มีน้ำหนักมากขึ้นทุกวัน ๆ ตีลงไป ๆ จิตที่เป็นฟืนเป็นไฟ ก็กลายเป็นน้ำเป็นท่าดับไฟเข้ามาเรื่อย ๆ ด้วยอำนาจแห่งความพากเพียร ต่อไปใจก็ครองความสงบเย็นใจ ที่มันดีดมันดิ้นขนาดน้ำตาไหลนั้นเบาไป ๆ ทางนี้ค่อยมีหลักมีเกณฑ์ยึดขึ้น นี่หลักของใจฟังให้ดี
พอใจมีหลักมีเกณฑ์แล้ว ความสงบก็ขึ้นมาเอง ความสงบกับความเย็นใจ ความสบายขึ้นภายในใจ จากนั้นก็เป็นการเพิ่มความเพียร เพิ่มกำลังใจเข้าไปอีก ก็ยิ่งหนักแน่นทางความพากเพียรเข้าไปอีก กิเลสค่อยจางไป ๆ ทางนี้ถีบยันกันลงไป ชะล้างกันไป ๆ ทางนี้หนาแน่นขึ้นด้วยความสงบเย็นใจ ถึงขนาดว่าอยู่ไหนอยู่ได้เลย เพียงขั้นสมาธิเท่านั้นพออยู่พอกิน เพราะเกิดมาเราไม่เคยมีความสุขมาครองใจ มีตั้งแต่ความทุกข์มาบีบบี้สีไฟไม่ว่าเขาว่าเราทั่วแดนโลกธาตุเป็นเหมือนกันหมด เพราะอำนาจของกิเลสเท่านั้นเป็นผู้สั่งสมฟืนไฟมาเผาหัวใจเรา แล้วโลกก็ไม่ได้ลืมมันเลยนะ ไม่ได้เข็ดหลาบ ยังดิ้นกับมันตลอดเวลา มันจึงสนุกเผาตลอดเวลา
ทีนี้พอธรรมเข้าสู่ใจ เพียงขั้นสมาธิเท่านั้นอยู่ไหนสบายแล้ว อยู่ที่ไหนอยู่ได้หมด ต้นไม้ ภูเขา ดินฟ้าอากาศ ไม่มีความหมาย มีความหมายอยู่กับหัวใจที่ครองความสุขความสงบเย็นใจอยู่นั้นตลอดเวลา ยิ่งหนักเข้า ๆ ทีนี้เวลาความสงบได้เข้าเต็มที่ เรื่องความสงบเต็มเหมือนกับน้ำเต็มแก้วน้ำเต็มโอ่งนั่นแหละ ความสงบเมื่อเต็มที่แล้วอยู่แค่นั้นไม่ล้นไปได้เลย นี่อำนาจแห่งความสงบคือสมาธิ สมาธิเหมือนน้ำเต็มโอ่งเต็มแก้ว ทำยังไงจะให้มีความแน่นหนามั่นคงเพิ่มเข้าไปอีกไม่มี นี่เอาหัวใจออกมายันให้พี่น้องทั้งหลายฟัง เวลามีสมาธิเต็มภูมิแล้วเหมือนน้ำเต็มแก้วน้ำเต็มโอ่ง ทำลงไปก็แน่วอยู่ตลอด จะให้ยิ่งกว่านี้ไม่ยิ่ง มีเท่านั้น ๆ จนกระทั่งสุดท้ายก็ว่านี้แหละจะเป็นนิพพาน มันก็กระหน่ำลงแต่ความสงบ มันก็เต็มแก้ว ๆ เต็มโอ่งอยู่เพียงเท่านั้นไม่เลย เรียกว่ามีความสุขเต็มที่ในขั้นแห่งความสงบคือสมาธิ พออยู่พอกิน อยู่ไหนอยู่ได้สบาย ๆ
เพราะฉะนั้นผู้มีสมาธิจึงติดสมาธิได้ ถ้าไม่มีใครมาลากมาเข็นออกติด ติดจริง ๆ เพราะมีรสมีชาติ อยู่ที่ไหนสบายหมด มืดแจ้งไม่มีความหมายอะไร ความหมายสง่าอยู่ภายในใจ เพียงขั้นสมาธิก็เห็นได้ชัดอย่างนี้แล้ว ทีนี้พอก้าวขึ้นสู่ปัญญา พูดแล้วสาธุ ว่าอย่างนี้เลย ในอาจารย์ทั่วประเทศไทย เราไม่ได้ประมาทครูอาจารย์องค์ใด มีพ่อแม่ครูจารย์มั่นเท่านั้นมาลากเราออกจากสมาธิเราไม่ได้ลืมนะ ท่านใส่หมัดไหนนี้หงายเลยเทียวนะ คือหาที่ค้านไม่ได้ นั่นเห็นไหมผู้รู้จริงเห็นจริง พูดลงไปคำไหนค้านได้ที่ไหน เรื่องสมาธิทีแรกท่านก็ถาม เป็นยังไงจิตสบายดีเหรอท่านมหา สบายดีอยู่ ก็บอกอย่างนั้นซี ท่านก็นิ่งไปเสีย พอได้โอกาส เป็นยังไงจิตใจสบายดีเหรอ สงบดีอยู่เหรอ สงบดี บอกอย่างนี้นะ
ก็น้ำเต็มโอ่งแล้วมันไม่สงบยังไง มันแน่นปึ๋ง ๆ อยู่งั้นตลอด ไม่สนใจออกนะ ชมน้ำเต็มถังอยู่นั่น น้ำมหาสมุทรทะเลหลวงกว้างขนาดไหนไม่ไปชมนะ มันชมน้ำเต็มถังที่เป็ดที่ไก่ขี้ใส่ในถังเต็มอยู่นั้น มันก็ไปชมอยู่กับเป็ดกับไก่ ทั้งเขากินเขาขี้รดลงไป เราก็ไปเล่นกับเขา กินขี้น้ำเต็มโอ่งกับเขา นี่สมาธิเพียงแค่นั้นละนะ เทียบแล้วเหมือนกับน้ำเป็ดน้ำไก่ที่มันกินเราก็กิน มันไม่ได้วิเศษวิโสอะไร พอถึงกาลเวลาแล้วเปรี้ยงเดียวเลย เป็นยังไงใจสงบดีเหรอ สงบดีอยู่ โหย ขึ้นทันที ท่านจะนอนตายอยู่นั้นเหรอ ขึ้นเลยเทียวนะ นั่นฟังซิ เพราะรู้นิสัยอันนี้ มันฝังลึกในสมาธิ ไม่เอารุนแรงมันจะไม่ขึ้น ต้องเอาอย่างหนัก
ทีนี้เปลี่ยนทันทีสีหน้าสีตา วาทะคำพูดเด็ดเฉียบขาด ผึง ๆ พอว่า จิตเป็นยังไงสงบดีอยู่เหรอท่านมหา สงบดีอยู่ ว่างี้ บทเวลาจะเอาก็ผางเลย ท่านจะนอนตายอยู่นั่นเหรอ ขึ้นเลยเทียวนะ สุขในสมาธิมันก็เหมือนเนื้อติดฟัน ไอ้เนื้อติดฟันนี้มันมีความสุขแค่ไหนพิจารณาซิ นั่นเห็นไหม เนื้อติดฟันมันจะเอาความสุขมาจากไหน นอกจากมันรำคาญต้องหาไม้จิ้มฟันมาจิ้มออกใช่ไหมล่ะ แล้วจะเอาความสุขมาจากไหนเพียงแค่นั้น นั่นละความสุขในสมาธิ ท่านว่าเหมือนกับน้ำติดฟัน
จากนั้นท่านก็ว่า ท่านรู้ไหมสมาธิทั้งแท่งเป็นสมุทัยทั้งแท่ง ท่านรู้ไหม ๆ เหอ ๆ ขึ้นเลยนะ นี่บทเวลาท่านจะเอาฟังซิน่ะ สมาธิทั้งแท่งเป็นสมุทัยทั้งแท่ง ท่านรู้ไหม ๆ ทางนี้ก็ขึ้นเลย ถ้าว่าสมาธิเป็นสมุทัยทั้งแท่ง แล้วสัมมาสมาธิจะให้เดินที่ไหน สัมมาสมาธิมันก็มีในมรรค ๘ ใช่ไหม สัมมาสมาธิพระพุทธเจ้าไม่ได้เป็นสมาธิหมูขึ้นเขียงเหมือนสมาธิของท่านนี่ สมาธิเป็นสมาธิ ปัญญาเป็นปัญญา ท่านรอบในสมาธิในปัญญาของท่าน ท่านไม่ได้นอนตายอยู่บนเขียงเหมือนหมูดังที่ท่านเป็นอยู่เวลานี้ หมอบนะ เอ๊ เข้าท่า เห็นจะถูกของท่าน
ทีนี้ไม่แผ่พังพานละงูจงอาง สมาธิทั้งแท่งเป็นสมุทัยทั้งแท่ง ท่านเอาหมดเลยนะ เวลาเราไปแยกออกแล้ว อ๋อ ท่านว่าอย่างนั้นหมายความว่าอย่างนั้น มันไปแยกทีหลังของมันเอง ตอนนั้นท่านทุ่มหมด เอาสมาธิโยนเข้าป่าเลยไม่ให้เหลือ ให้มันหาใหม่ถ้ามีปัญญา ความหมายก็ว่างั้น ถ้าไม่มีปัญญาให้มันนอนตายอยู่ในเขียงนี้ ไปอยู่ใต้เขียงใต้ส้วมเขาโน่นถ้ามันโง่นัก ออกไปก็ออกละที่นี่ ออกก็ฟาดทางปัญญาอย่างที่ว่า นั่นเห็นไหมเมื่อลงแล้วมันไม่อยู่ ก็สมาธิมันพอตัวแล้ว ถ้าเป็นอาหารเราจะประกอบให้เป็นแกงเป็นประเภทใดก็ตาม เครื่องครัวมันพร้อมแล้ว เป็นแต่เพียงว่าเราไม่นำมาประกอบมันก็ไม่เป็นอาหารประเภทนั้น ๆ ให้เท่านั้นเอง
พอหมุนออกทางด้านปัญญามันก็ติ้วเลยเทียว เพราะอารมณ์มันอิ่มแล้ว จิตใจอิ่มอารมณ์ อิ่มอารมณ์คืออะไร ไม่อยากดูอยากฟังอยากคิดอยากอ่านเรื่องรูปเสียงกลิ่นรสทั้งหลาย ซึ่งแต่ก่อนมันอยากเป็นประมาณ อยู่ไม่ได้มันดีดมันดิ้น อยากรู้อยากเห็นอยากเป็นต่าง ๆ นานา คือความอยากผลักดันในหัวใจ จิตฟุ้งซ่าน ท่านจึงไม่ได้สอนทางด้านปัญญาในขั้นนี้ ทีนี้พอจิตอิ่มอารมณ์แล้วไสมันเข้าสู่ปัญญา ให้มันทำงานทางด้านปัญญามันก็ไม่ยุ่งกับภายนอกล่ะซี มันอิ่มอารมณ์แล้ว มันก็เป็นปัญญาขึ้นมา ก็เราอิ่มพอแล้ว คิดดูนั่งอยู่เฉย ๆ ความคิดคิดขึ้นมาแย็บนี้รำคาญแล้ว มากวนความสงบ แต่ก่อนมันอยากคิดจนจะเป็นจะตาย พอถึงขั้นสมาธิทับหัวมันลงไปแล้วมันไม่อยากคิดนะ อยู่ไหนแน่วทั้งวันทั้งคืนอยู่ได้สบาย ความคิดความปรุงนิดหน่อยเท่านี้รำคาญ ๆ นี่สมาธิเต็มภูมิ ความคิดทั้งหลายรำคาญนะ
พอออกทางด้านปัญญาก็มันพร้อมแล้ว ผางเลยเทียวนะ พุ่ง ๆ ๆ เลย บทเวลามันได้ออกทางด้านปัญญาเห็นคุณค่าของปัญญา แล้วมาเห็นโทษของสมาธิอีกแหละ มันไม่พอดีนะ ก็มาเห็นว่าสมาธิมันนอนตายอยู่เฉย ๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไร สมาธิไม่ได้ถอดถอนกิเลสนี่นะ ปัญญาต่างหากถอดถอนกิเลส มันก็ไปทางด้านปัญญา เลยเถิดอีก ฟาดจนไม่ได้หลับได้นอน ทั้งคืนทั้งวันหมุนติ้ว ๆ กลับมาอีก นี่ที่พ่อแม่ครูจารย์บอกให้ออกทางด้านปัญญา มันออกแล้วนะ มันออกยังไงท่านก็ว่า ก็มันหมุนทั้งวันทั้งคืน กลางคืนมันไม่ได้หลับได้นอนเลย กลางวันมันยังจะไม่หลับไม่นอนอีก มันหมุนติ้ว ๆ ตลอดเวลา
นั่นละมันหลงสังขาร ถ้าไม่พิจารณามันก็ไม่รู้เอาอีกนะนี่ตอบกัน คือ สังขารฝ่ายปัญญานี้มันออก ทีนี้เวลามันเลยเถิดมันไม่รู้จักประมาณ สังขารฝ่ายปัญญาก็มีสมุทัยคอยแทรก ความหมายว่างั้น แต่ท่านไม่บอก เวลาไปพิจารณาทีหลังมันถึงรู้ คือท่านเอาเราทีไรท่านทุ่มเลยแหละ ถ้ามันมีปัญญาให้มันหาใหม่ แล้วได้หาใหม่ได้ทุกทีนะแปลกอยู่ ถึงขั้นปัญญาท่านก็บอก มันหลงสังขาร ถ้าไม่พิจารณามันก็ไม่รู้ คือเอาสังขารพิจารณาเพื่อให้รู้ นั้นละบ้าหลงสังขาร ๆ ขนาบใหญ่เลย ทีนี้หมอบ เห็นจะถูกอย่างท่านว่าแหละ
ไปมันก็ไม่ถอย เวลาจะตายจริง ๆ มันก็หมุนเข้ามาสู่สมาธิ พอได้กำลังทางสมาธิก็ออกอีกซัดอีก นี่เราพูดถึงเรื่องพ่อแม่ครูจารย์มั่นนี้เอกเลยเทียวนะ ใส่เราหมัดไหนนี้แหม ถ้าไม่ใช่อย่างงั้นมันไม่ยอมขึ้นนะ มันจมขนาดนั้นแหละ ท่านต้องเอาอย่างหนักทีเดียว ท่านเอาอย่างผางๆ ถ้าว่าสมาธิโยนทิ้งหมดเลย ถ้ามีปัญญาให้มันหาใหม่ ถ้าพูดถึงเรื่องปัญญาก็มันหลงสังขาร ท่านก็โยนทิ้งหมดเลย ถ้ามันมีปัญญาให้มันหาใหม่ความหมายว่างั้น นี่เราสรุปความนะ
นี่ละเรื่องของใจที่ครองความสุข ฆ่ากิเลสออกไปโดยลำดับด้วยปัญญา เบื้องต้นก็สงบอารมณ์ไว้ด้วยสมาธิ เอาหินทับหญ้าไว้ก่อน จากนั้นก็เปิดหญ้าออกไปเอาสติปัญญาเข้ามาเป็นจอบเป็นเสียมขุดหัวหญ้าออกหมด นั่นที่นี้ฟาดออกๆ มันก็พุ่งละซิปัญญา โหย บทเวลาปัญญาออกนี้ไม่มีนะคำว่าน้ำเต็มโอ่งน้ำเต็มแก้ว ไม่มีนะ สมาธินี้เต็ม ถึงขั้นสมาธิเต็มภูมิแล้วทำยังไงก็ไม่เลย มันประจักษ์อยู่ในหัวใจแล้ว ทีนี้พอออกทางด้านปัญญานี้ โอ๋ย มันไม่ใช่ธรรมดา ล้นฝั่งล้นแดนไปเลย น้ำล้นโอ่งล้นไปเลย ปัญญาเวลาออกนี้พุ่งๆ เลย โถๆ ขึ้นเลย ฆ่ากิเลสฆ่าด้วยปัญญาต่างหาก หมุนติ้วฟาดเสียจนเต็มเหนี่ยวเลย เห็นไหมเวลาปัญญาออก ถ้ากิเลสไม่สิ้นเมื่อไรปัญญานี้จะไม่มียุติเลย
ปัญญาฆ่ากิเลสมันจะติดตามกันไปเรื่อยๆ กิเลสขั้นนี้ปัญญาขั้นนี้ กิเลสขั้นนั้นปัญญาขั้นนั้นมันมาพร้อมกัน ๆ ถึงปัญญาขั้นละเอียดละเอียดสุด เรื่องมหาสติมหาปัญญากับสติปัญญาอัตโนมัติจะเชื่อมโยงถึงกันเลย กิเลสซึมซาบปัญญาซึมซาบตามกันไปๆ ฟาดมันขาดสะบั้นไปหมดแล้วจ้าหมดโลกธาตุ ไปถามใคร ถามพระพุทธเจ้าหาอะไรท่านสอนอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ มันเห็นอย่างนี้แล้วจะไปสงสัยที่ตรงไหนล่ะ ก็ สนฺทิฏฺฐิโก ผู้ปฏิบัตินั้นแลจะเป็นผู้รู้เองเห็นเอง ผู้ไม่ปฏิบัติตายทิ้งเปล่า ๆ มันก็ไม่รู้ แบกคัมภีร์ก็ไม่รู้ ถ้าไม่แยกออกมาเป็นภาคปฏิบัติแล้วไม่รู้ เวลามันได้กระจ่าง พุ่งๆ ปัญญานี้หาประมาณไม่ได้แหละ
ปัญญามีหลายภาคนะ ภาคฆ่ากิเลสก็มี กิเลสหยาบปัญญาหยาบ กิเลสละเอียด ปัญญาละเอียด กิเลสละเอียดเท่าไรขนาดไหน ปัญญายิ่งละเอียด จนกระทั่งถึงขั้นมหาสติมหาปัญญาเป็นสมมุติทั้งนั้น เรียกว่าเป็นเครื่องมือฆ่ากิเลสทั้งมวลเลย พอกิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้ว คำว่ามหาสติมหาปัญญาก็หมดความจำเป็นไปเอง โดยไม่ต้องบีบบังคับให้หยุด ให้ยุติไม่มี เป็นหลักธรรมชาติ เหมือนเราทำงาน พองานเสร็จแล้วเครื่องมือสำหรับงานนี้มันก็ปล่อยของมันเอง ๆ เอาเครื่องมือใหม่ใส่ ทีนี้เมื่อมันหมดโดยสิ้นเชิงแล้วหาเครื่องมือที่ไหนอีกล่ะ อันนี้เรื่องของกิเลสมันขาดสะบั้นลงไปจากหัวใจแล้ว จะไปทูลถามพระพุทธเจ้าหาอะไร พูดแล้วสาธุทันทีเลย ก็มันจ้าอยู่ด้วยกันแล้ว แบบเดียวกัน รู้อย่างเดียวกัน เห็นอย่างเดียวกัน จะถามกันหาอะไร ธรรมะ สนฺทิฏฺฐิโก พระองค์ประกาศไว้แล้ว ผู้ปฏิบัตินั้นแลจะรู้เองเห็นเองในธรรมทุกขั้นของการปฏิบัติแต่ละรายๆ ไป เมื่อถึงขั้นสุดยอดแล้ว จะไปถามใครอีกที่ไหน มันก็อันเดียวกันแล้ว
นี่ละการปฏิบัติหาความสุขเข้าสู่ใจ ให้ท่านทั้งหลายรู้บ้าง ที่ยับยั้งความสุข ที่เก็บความสุข อยู่ตรงที่เราเคยเก็บความทุกข์คือหัวใจนั้นแล หัวใจนี้เป็นหัวใจที่เก็บความทุกข์กวาดต้อนกันทั้งโลกทั้งสงสาร มีแต่กวาดต้อนความกังวลวุ่นวายและความทุกข์ทั้งหลายเข้ามาสู่ใจเผาเจ้าของทั้งนั้น ถ้าร้อนใจก็หาอรรถหาธรรมเพื่อความสงบระงับบ้างในบางกาลบางเวลา เราจะพอมีความสุขระงับอารมณ์ต่างๆ ที่เป็นฟืนเป็นไฟได้พอประมาณๆ นะ เพราะฉะนั้นการอบรมจิตใจให้สงบเพื่อพักอารมณ์ของกิเลสที่เป็นฟืนเป็นไฟให้ทำกัน เพื่อจะได้ระงับๆ จากนั้นพอมันเกิดความวุ่นวายขึ้นมามันจะวิ่งหาที่หลบซ่อน เหมือนเราตากแดดวิ่งเข้าหาร่ม อันนี้เราได้รับความทุกข์เพราะความวุ่นวายมากๆ มันจะวิ่งเข้าหาความสงบด้วยการบำเพ็ญธรรม เข้าใจไหมล่ะ มันจะมีอย่างนี้ละ ต่อไปมันก็พอฟัดพอเหวี่ยง เมื่อจำเป็นปั๊บเข้าหาที่หลบซ่อนแล้วออกทำงานๆ แล้วหาที่หลบซ่อน หลบไปหลบมา หลายครั้งหลายหน สู้ไปสู้มา กระจ่างขึ้นมา
ทีนี้หาที่ไหน เรื่องความสุขหาที่ไหน เต็มอยู่ไหนหัวใจแล้วหาอะไร หลังจากนี้แล้วทำไมจึงจะไม่รู้เรื่องความทุกข์ในโลกสงสาร ที่มากองอยู่ในหัวใจเราซึ่งเป็นทำนบใหญ่ มหาสมุทรใหญ่สำหรับรับฟืนรับไฟเผาหัวใจเจ้าของมันกระจายไปหมดแล้ว ก็เป็นมหาวิมุตติมหานิพพานขึ้นแทนกันเท่านั้นเอง นี่ละศาสนธรรมของพระพุทธเจ้า ใครจะเลิศเลอยิ่งกว่าศาสดาองค์เอกไม่มี ใครอย่าเอาความรู้ความฉลาดที่ไหนมาอวด อวดพระพุทธเจ้า เป็นความรู้ในถังขยะทั้งนั้น
อย่างพวกสัตวโลกที่เรียนศึกษากันอยู่ทั่วโลกดินแดน มีแต่เรียนอยู่ในถังขยะ อำนาจของกิเลสครอบอยู่ๆ ทั้งนั้น เอาความรู้วิชานี้มา ถ้าไม่มีธรรมเข้ามาแทรกแล้ว ความรู้เหล่านี้เป็นไฟไปหมด เพราะฉะนั้นคนที่มีความรู้มากๆ จึงทำความเดือดร้อนเสียหายให้แก่โลกได้มากมายยิ่งกว่าคนธรรมดา ถ้าไม่มีธรรม ถ้ามีธรรมไม่มีใครที่จะทำความร่มเย็นเป็นสุขให้แก่โลกทั้งหลายได้รับความสุขมาก ยิ่งกว่าผู้ที่เรียนมามากและมีธรรมเข้าแทรก ๆ ให้จำเอา ศาสนาพระพุทธเจ้า ทำนบใหญ่ คือ หัวใจของเรา เอาละพอ
โอ๊ย. เหนื่อย