สรุปทองคำวันที่ ๒๕ พ.ย.๔๔ เมื่อวานนี้ ทองคำได้ ๗ บาท ๕๐ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๑๒๖ ดอลล์ ทองคำได้ใหม่หลังจากมอบคลังหลวงแล้วตั้งแต่วันที่ ๒๖ กันยา มาถึงวันนี้ได้ ๑๐๒ กิโล ๑๕ บาท ๖๙ สตางค์ รู้สึกว่าได้เร็วกว่าปกติ รวมยอดทองคำที่ได้มอบเข้าคลังหลวงแล้วเวลานี้ ๔,๕๖๒ กิโลครึ่ง เท่ากับ ๓๖๕ แท่ง รวมทองคำทั้งหมดได้ ๔,๖๖๔ กิโล หมายถึงทั้งมอบแล้วและที่ได้มาใหม่ยังไม่มอบ ไปภาคเหนือคราวนี้ดูเหมือนได้ทองคำมา ๓ กิโลกว่า
เดินจงกรมแทนที่จะสำรวมใจนี้มันไม่สำรวมนะ มันหากสอดหากแทรกดูสัตว์ตัวนั้นตัวนี้ เพราะมันเต็มอยู่ข้าง ๆ ทางจงกรม ดูเขาเล่นกับเขา ดูจริง ๆ พิจารณาจริง ๆ เพราะฉะนั้นจึงได้เห็นกระต่ายไปนอนอยู่หัวทางจงกรม ๒ ตัว หือ มาแล้วหรือ มึงหายหน้าไปไหนพึ่งมาวันนี้ เราออกมามันยังไม่มา มันยังอยู่นั้น มี ๒ ตัว สัตว์แต่ละตัวนั้นมีจิตอยู่ในนั้น ตัวนี้ตัวนักท่องเที่ยว คือจิตดวงนี้ มันเป็นได้ทุกร่าง เกิดได้ทุกร่าง ทุกภพทุกชาติไปตามแต่กรรมจะหนุนไปยังไงมันก็เกิด มีกรรมดีกรรมชั่วหนุนอยู่ภายใน ตัวนี้ไม่เคยตาย ท่องเที่ยว ตกนรกหมกไหม้กี่กัปกี่กัลป์ ทุกข์ก็ยอมรับว่าทุกข์ แสนสาหัสก็ยอมรับ แต่ไม่ยอมฉิบหาย คือใจ ท่านจึงเรียกว่า อมตจิต อมตธรรม เมื่อบริสุทธิ์แล้วก็เป็นธรรมธาตุไปเลย ไม่มีคำว่าสูญ
เมื่อยังไม่พ้นจากสมมุติทั้งมวล กิเลสคือเชื้อแห่งสมมุติมันแทรกอยู่ในจิต มีบุญมีบาปอยู่ในนั้นตามแต่ทำลงไป ตัวนี้พาให้เกิดในสัตว์ทั้งหลาย เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงห้ามเลย แม้แต่อยู่ในครรภ์ก็ห้ามไม่ให้ทำลาย ก็เพราะจิตดวงนี้มันเข้าแล้วนั่น เข้าอยู่นั้นแล้ว เกิดตาย ๆ มานี้กี่กัปกี่กัลป์พวกเราไม่รู้ เห็นไหมศาสดาองค์เอก ใครรู้ได้เห็นได้ พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ๆ เท่านั้นที่เป็นต้นเหตุแห่งความรู้สิ่งเหล่านี้ จากนั้นกระจายออกไปบรรดาสาวกทั้งหลาย ตามอำนาจวาสนาของตน ๆ ผู้ที่จะรู้สิ่งเหล่านี้ อันนี้มันสิ่งปลีกย่อย เป็นอภิญญาหรือญาณหรือความรู้อันหนึ่งที่เกิดขึ้นตามนิสัยวาสนา ไม่ใช่ความบริสุทธิ์ ความบริสุทธิ์นั้นเสมอกันหมดเลย ไม่ว่าพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ เสมอกันหมด อันนี้ไม่มีอะไรเทียบกัน เสมอกันหมดแล้ว แต่เรื่องความยิ่งหย่อนออกจากนี้ก็เป็นกิริยาของสมมุติออกไป มีความกว้างแคบลึกตื้นหนาบางต่างกัน ผู้รู้ท่านรู้อย่างนั้น
อย่างท่านไม่รู้ท่านไม่เหมือนเรานะ พระพุทธเจ้ารู้ ท่านไม่รู้ตามพระพุทธเจ้าทุกแง่ทุกมุมนี้ท่านก็ไม่ปฏิเสธ ความยอมรับว่ามี ท่านยอมรับ ท่านจะมา เรียกว่าตำหนิตัวของท่านเองก็ได้ว่าท่านไม่รู้ พระพุทธเจ้ารู้แต่ท่านไม่รู้ ท่านก็ยอมรับ แน่ะ ท่านไม่ลบล้าง พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ไม่มีอะไรลบล้างกัน สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็นนี้ พระสาวกรู้เห็นแต่ไม่กว้างขวางลึกซึ้งเหมือนพระพุทธเจ้า ก็ยอมรับว่าไม่กว้างขวาง แต่ไม่เคยลบล้างว่าสิ่งเหล่านั้นไม่มี ต่างกันอย่างนี้
พวกเรานี้ทั้งลบล้าง ทั้งขี้รดทั้งเยี่ยวรด ไปอย่างนั้นนะ พวกตาบอดหูหนวก เพราะฉะนั้นถึงแบกกรรมหนักอยู่ตลอดเวลา พระพุทธเจ้าพระสาวกท่านแบกอะไรไม่มี สิ่งเหล่านี้ก็ใช้เวลามีชีวิตอยู่ เวลาครองขันธ์อยู่จะรู้ตามสิ่งเหล่านี้ ๆ ไป เพราะเหล่านี้เป็นสมมุติ ภพชาติของสัตว์แต่ละภพละชาติมีสมมุติอยู่ในนั้นหมด ท่านก็รู้ตามนั้น พวกเรามันพวกปฏิเสธ พวกลบล้าง ศาสนาจึงว่ายกให้ศาสนาพุทธอย่างเดียวเท่านั้น นอกนั้นไม่มี อย่างผู้ที่ทำให้กิเลสสิ้นไปจากใจนี้ก็ในวงพุทธศาสนาเท่านั้น นอกนั้นไม่มี
เพราะฉะนั้นจึงมีในหนังสือท่านบอกว่า ศาสนาที่ทรงมรรคทรงผลก็คือพุทธศาสนา นั่นท่านบอกชัดเจนไหม ทรงมรรคผลนิพพานมีพุทธศาสนา นอกนั้นไม่ปรากฏ ใครจะประกาศตนว่าเป็นศาสนาใดมากี่ร้อยกี่พันกี่หมื่นกี่แสนศาสนาก็ตาม แต่เจ้าของศาสนานั้นคือคลังกิเลส นั่น คลังกิเลสนี้มันมีทุกอย่าง ฟังแต่ว่าคลังกิเลส ความชั่วมันก็เต็มอยู่นั้น ความเห็นผิดต่าง ๆ เต็มอยู่นั้น ความเห็นถูกไม่ค่อยมี เป็นแต่เพียงว่าเสกสรรตนขึ้นมาเป็นเจ้าของศาสนาเฉย ๆ ความรู้ดีไม่ดีหนาแน่นยิ่งกว่าคนที่ไม่ได้เป็นเจ้าของศาสนาเสียอีก เพราะไม่ได้บงการออกไปให้คนอื่นเสียหายด้วย อันนี้บงการออกไปให้คนอื่นเสียหายด้วยมากมาย
เจ้าของศาสนาแต่ละคนนี้ประกาศออกมาจากมหาภัยของตัวเอง สอนโลกสอนไปยังไง ความเห็นแก่ตัวต้องไปด้วยกัน..กิเลส เจ้าของก็ชี้ไปเลยว่าอันนั้นดีอันนี้ชั่ว อันนั้นผิดอันนี้ถูกก็ว่าไป ไม่ทราบว่าผิดถูกดีชั่วประการใด เพราะตามืดอยู่ภายใน นี่ละถึงเรียกว่าศาสนามีมากขนาดไหนก็ตาม ไม่ยังโลกให้สงบได้ ดีไม่ดีศาสนาต่อศาสนานี้เป็นเชื้ออันใหญ่หลวงมากที่จะทำโลกให้วุ่นวายสับสนปนเป เพราะเอาศาสนาแต่ละศาสนา ซึ่งมีความรู้ความเห็นแปลกต่างกัน แต่อยู่ในวงของกิเลสด้วยกัน เอามารบกันล่ะซิ
ศาสนาใดก็ว่าศาสนาของตัวดี คนนั้นก็ว่าของตัวดี ดีต่อดีก็คือชั่วต่อชั่วมารบกันกัดกันแหลก อันนี้ก็ก่อความยุ่งเหยิงวุ่นวายให้แก่ผู้นับถือศาสนา ดีไม่ดีบริษัทบริวารของศาสนานั้น ๆ แหละที่โจมตีกันจะเป็นใครโจมตี คนเขาไม่มีศาสนาเขาจะเอาอะไรไปโจมตี คนมีศาสนามันมีศาสตราอาวุธนี่ ไปเที่ยวตีแหลกไปหมด มันแยกออกไปเป็นศาสนาการบ้านการเมือง ก็คือเรื่องของกิเลสนั่นแหละกว้านบ้านกว้านเมืองกว้านอำนาจไปอย่างนั้น ศาสนาพระพุทธเจ้าไม่มี สอนไปตามความสัตย์ความจริง ใครนับถือไม่นับถือไม่บังคับ นี่จึงเรียกว่าธรรมล้วน ๆ ให้ความสม่ำเสมอไปเลย แล้วแต่กรรมของสัตว์ที่จะยอมรับนับถือ ไม่ยอมนับถือก็เป็นกรรมของสัตว์เอง ไม่ใช่กรรมของศาสนา มันต่างกันนะ
จึงเรียกว่าศาสนานี้ไม่สงสัยสำหรับเราเอง ว่าศาสนานี้คือบ่อแห่งความวุ่นวาย ว่าอย่างนี้เลยนะ สับสนปนเป บริษัทบริวารของศาสนานั้น ๆ รบกัน ๆ กระจายออกไปทั่วโลก ก็ศาสนาเหล่านี้แหละรบไปทั่วโลก กระจายไปทั่วโลก มีกี่ศาสนาจะทำความร่มเย็นให้โลกได้ยังไง ก็เมื่อผู้เป็นเจ้าของศาสนามีแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้ในหัวใจ หาอรรถหาธรรมไม่ได้ คำว่าศาสนา แปลว่า คำสอน ก็ต้องหมายถึงธรรมเป็นเรื่องใหญ่ เพราะฉะนั้นที่ไหนก็ตามเขาถึงเอาคำว่าศาสนา ๆ นี้ออกเป็นโล่เป็นเหยื่อล่อไว้เสมอ เพราะคำว่าศาสนานี้สัตวโลกตายใจ คือหมายถึงธรรมที่เป็นที่ตายใจของสัตวโลก พอว่าศาสนามันก็ยอมรับแล้ว เพราะศาสนาหมายถึงธรรมอันใหญ่โต ครั้นรับไปแล้วมันก็มีแต่ยาพิษอยู่ข้างใน ศาสนาแท้ออกเป็นโล่บังหน้าเป็นเหยื่อล่อ อยู่ข้างในมีแต่มหาภัย พระพุทธเจ้าไม่มี อย่างนั้นไม่มีเลย ตรงไปตรงมา ศาสนานอกนั้นมีเหยื่อล่ออย่างนี้ทั้งนั้น ศาสนา ๆ นี่แหละเป็นเหยื่อล่อ ข้างในมีแต่มหาภัย
ถือขลังไปไหนก็ตาม เด็ดเท่าไรก็ตามเถอะ เด็ดไม่ถูกเด็ดวันยังค่ำก็ผิดวันยังค่ำ เด็ดถูกเด็ดวันยังค่ำดีวันยังค่ำ นั่นมันต่างกันนะ จะว่าจริงจัง จริงจังกับความชั่วก็เป็นความชั่วได้วันยังค่ำ จริงจังกับความดีก็เป็นความดีได้วันยังค่ำ สำคัญที่แนวทางที่จะให้ดีหรือชั่ว เขาเรียกว่าศาสนา สอนไป ๆ ผิดหรือถูก ถ้าอันนี้พาผิดแล้วก็ผิดไปหมด ถ้าอันนี้พาถูกก็ถูกไปหมด อยู่ตรงนี้นะ
เราเกิดมาพบพุทธศาสนานี้นับว่าเลิศเลอแล้ว เลิศจริง ๆ ถ้าผู้เคารพยอมรับนับถือปฏิบัติตามศาสนา เรียกว่าผู้มีวาสนา ไอ้ผู้เห็นแล้วเหมือนไก่พบพลอยมันก็ไปอีกแบบหนึ่ง เพราะโลกมีหลายประเภท สัตว์มีหลายประเภทไม่เหมือนกันหมด มาเจอพุทธศาสนาแล้วไม่สนใจไม่นับถือ มิหนำซ้ำยังตำหนิติเตียนศาสนาที่เลิศเลอนั้นอีก ว่าเจ้าของเลิศเลอกว่าศาสนาไปซิ ไปตำหนิติเตียนศาสนา ว่าศาสนาไม่ดี ๆ เจ้าของเป็นยังไง เท่านั้นละ ปั๊บเข้ามาหาเจ้าของ ก็คือเลวสุดยอด
อย่างพุทธศาสนาใครตำหนิก็ตำหนิ ก็เหมือนแมลงเม่าบินไปตอมแสงสว่าง เช่น ตะเกียงเจ้าพายุนี้ พังลงกองอยู่ในนั้นหมด เอาตะเกียงเจ้าพายุไปตั้งไว้ซิ จุดแสงสว่างขึ้นมา แมลงเม่ามันจะบินไปตอมตายเกลื่อนอยู่นั้น นี่ละคนที่ไปดูถูกของเลิศของเลอ เจ้าของเป็นผู้ฉิบหายเอง ตะเกียงเจ้าพายุจะฉิบหายอะไร มันฉิบหายที่ตัวแมลงต่าง ๆ เข้าไปไต่ไปตอม ตัวแมลงต่าง ๆ เพียงเราเป็นข้อเทียบ แต่มนุษย์ที่ไปดูถูกศาสนามันร้ายแรงกว่าแมลงนั้นนะ อันนั้นเขาก็ตายเพียงแค่นี้ไม่มีเงื่อนสืบต่อเขา แต่มนุษย์เราที่หยาบโลน ที่ตำหนิติเตียนศาสนาที่เลิศเลอ อันนี้ตายแล้วเป็นบาปเป็นกรรมจริง ๆ จมได้จริง ๆ ไม่เหมือนแมลงเม่าไปติดกับแสงสว่างของตะเกียงเจ้าพายุ มันต่างกัน อันนี้มันก็ตายชั่วชีวิตของมัน ไม่ได้หาบกรรมหาบบาปอะไร แต่มนุษย์ที่เลวร้ายที่สุด ไปตำหนิติเตียนศาสนาที่เลิศเลออย่างพุทธศาสนานี้ มันเลวร้ายยิ่งกว่านั้นอีก ยังเป็นบาปเป็นกรรมติดสืบเนื่องลงไปจนถึงนรกได้ มันต่างกันนะ
ถ้าไม่ตำหนิก็ไม่ได้รับผลดีผลชั่ว ก็อยู่อย่างนั้นตามแบบสัตว์นั่นแหละ จะว่าดีกว่านั้นก็ไม่ใช่ จะว่าเลวกว่านั้นมันก็เป็นสัตว์จะว่าไง จะให้มันเลวไปไหนอีก ก็เท่านั้น นี่เราได้ปฏิบัติศาสนา การพิสูจน์พุทธศาสนาท่านก็บอกไว้แล้วว่า สัจจะคือความจริง เอา พิสูจน์ ถ้าลงเป็นความจริงลบไม่สูญเลย เป็นความจริงว่า ทุกฺขํ อริยสจฺจํ สมุทัย อริยสจฺจํ นิโรธ อริยสจฺจํ มคฺคปฏิปทา อริยสจฺจํ หรือ มคฺค อริยสจฺจํ ๔ ประเภทนี้เป็นของจริงล้วน ๆ แล้ว ทั้งสองอย่างนี้ ของปลอมมันก็จริงด้วยความจอมปลอมของมัน เป็นจอมปลอมอย่างนั้นตลอดไปจะว่าเป็นอื่นไปไม่ได้ ทางฝ่ายแก้คือฝ่ายดี คือมรรคนี้ก็เป็นของจริงเต็มส่วนของตน ให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้ ทั้งสองนี้เข้าแก้กัน ความทุกข์ความร้อนความสกปรกโสมมเป็นฝ่ายกิเลสสร้างขึ้นมา การชะการล้างด้วยมรรคปฏิปทา เป็นฝ่ายธรรมสร้างขึ้นมาชะล้างกันแล้วสะอาดไปได้ พระพุทธเจ้าจึงเป็นศาสดาเอกขึ้นมาได้เพราะนำธรรมอริยสัจ ๔ นี้ เข้ามาปฏิบัติต่อพระองค์เองตรัสรู้ขึ้นมา จึงสอนโลกด้วยอริยสัจคือของจริง ไม่มีอะไรลบได้เลย ให้พากันเข้าใจ จึงเรียกว่าเป็นของจริง
นอกนั้นมันปลอมทั้งนั้น ไม่ได้จริงนะ ทีนี้นำมาปฏิบัติต่อตัวเองนี้มันเห็นได้ชัด ไม่ต้องไปดูพระพุทธเจ้าว่า พระองค์เป็นรูปร่างหรือเป็นพระรูปพระโฉมยังไง ไม่ต้องดู ดูของจริงนี้ ของจริงพระพุทธเจ้าเข้ากันได้ทันที ของจริงนี้จะเป็นทางเดินเข้าสู่ธรรมชาติอันเลิศเลอ เรียกว่า มคฺค อริยสจฺจํ ศีล สมาธิ ปัญญา นี้เป็นทางชำระสะสาง ทุกข์ สมุทัย ให้ค่อยหมดไปจางไป หมดโดยสิ้นเชิงแล้วบริสุทธิ์ผึงขึ้นมานี้จาก มคฺค อริยสจฺจํ นี้เป็นเครื่องมือชะล้าง จากนั้นก็ถึงนิพพานได้ อย่างนี้จึงมาสอนโลก ทีนี้เวลาเราปฏิบัติมันก็เป็นอย่างนั้น แล้วจะสงสัยพระพุทธเจ้าได้ที่ไหน
ทุกข์นี้เกิดขึ้นเพราะอะไร ผู้ปฏิบัติจะต้องสาวหาเหตุ วันนี้จิตของเราไม่สบายเป็นเพราะอะไร มันสืบสาวหาเหตุ เป็นเพราะอันนั้น ก็พยายามแก้ด้วยมรรค สติปัญญาแก้กันเข้าไปก็จางไป ๆ มันเห็นอยู่อย่างนี้จะว่าไง จะให้ใครมาบอก พระพุทธเจ้าสอนแล้วก็ให้นำอันนี้มาประกอบแก้ไขตัวเองซิ สมมุติว่าแก้ไขแล้วกระจ่างขึ้นมา ผลก็เป็นความจริงตามที่สอนไว้แล้วจะค้านได้ยังไง ตั้งแต่ต้นเลย เริ่มแต่ความสงบร่มเย็นของใจเป็นลำดับลำดา จนกระทั่งถึงความสงบเต็มที่ในภูมิสมาธิ ท่านให้ชื่อว่าสมาธิ จากนั้นก็ก้าวทางด้านปัญญา พิจารณาสอดส่องแยกธาตุแยกขันธ์ไปตามสิ่งที่มันติดมันพันอะไรบ้าง ปัญญาตามเข้าไป คอยชะคอยล้างแก้ไขไป มันก็ปล่อยไป ๆ จิตหดเข้ามา หดเข้ามาเท่าไรยิ่งแสดงฤทธิ์แสดงเดชแสดงความสว่างไสวขึ้นภายในใจของตัวเองมากขึ้น ๆ นั่น
ดูตัวเองนั่นซิ พอกระจ่างไปเท่าไรมันก็บ่งบอกเรื่องพระพุทธเจ้าอยู่ในนี้ ๆ หมดเลย พอถึงขั้นบริสุทธิ์ตูมลงไปเท่านั้น พระพุทธเจ้าคืออะไรไม่ต้องไปทูลถามท่าน นี่ละที่เคยพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง เอามาอวดพี่น้องทั้งหลายเหรอ ถึงขั้นที่ว่าฟ้าดินถล่ม มันขึ้นอุทานของมันทันที ไม่ได้ไปวัดรอยพระพุทธเจ้า ไม่เคยคิดเคยอ่าน เพราะความผาดโผนโจนทะยาน ความตื่นเต้นภายในจิตใจในธาตุในขันธ์ มีน้ำหนักเกินกว่าที่จะไปหาวัดรอยพระพุทธเจ้าอย่างนั้นอย่างนี้ เวลามันผางขึ้นมานี้ นี่เห็นศาสดาเต็มองค์แล้ว ผางขึ้นมานี้ โถ พระพุทธเจ้าตรัสรู้-ตรัสรู้อย่างนี้ละเหรอ ๆ คือเป็นแล้วนั่น เป็นอันเดียวกันแล้ว
ไปวัดรอยท่านหาอะไรก็กราบท่านอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่ยังไม่รู้อันนี้ก็ยังกราบ พอรู้อันนี้แล้วจะไปเหยียบหัวพระพุทธเจ้าได้ลงคอเหรอ นั่นละที่ว่าไปวัดรอยพระพุทธเจ้า เป็นเอง พอผางขึ้นมาเท่านั้น เหอ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ๆ อย่างนี้ละเหรอๆ อยู่นั้น ย้ำลงไปด้วยความ เรียกว่ามันถึงใจว่างั้นเถอะ ธรรมแท้เป็นอย่างนี้ละเหรอๆ เราเคยถามใคร เคยคิดเมื่อไรแต่ก่อน ไม่เข้าใจ พุทโธ ธัมโม สังโฆ พระสงฆ์แท้เป็นอย่างนี้ละเหรอๆ นี่เป็นอันเดียวกันแล้วนั่น เข้ามหาสมุทรหรือเข้ามหาวิมุตติมหานิพพานอันเดียวกันแล้ว จับอะไรปั๊บมันก็เป็นทะเลหลวง จับอะไรปั๊บเข้าไปเป็นธรรมธาตุเหมือนกันหมดแล้ว แล้วถามพระพุทธเจ้าหาอะไร
พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง เป็นแล้วนะนั่น แต่ก่อนเคยคิดเคยคาดไว้เมื่อไร แต่เวลาเจอเข้าไปแล้วเป็นยังไง สงสัยที่ไหนล่ะ เป็นอย่างงั้นนะธรรมพระพุทธเจ้า จึงว่าแม่นยำอยู่กับผู้ปฏิบัติ เอาปฏิบัตินั่นแหละเป็นเครื่องทดสอบเข้าไปหามรรคหาผล พอถึงมรรคผลเต็มภูมิแล้วไม่ต้องทูลถามพระพุทธเจ้า
ดังที่พ่อแม่ครูจารย์พูดอยู่หนองผือเราไม่ได้ลืมเลยนะ ตอนนั้นเราก็กำลังกัดกำลังแทะ ทั้งกระดูกทั้งหนังกัดแทะอยู่อย่างนั้นตามภาษาของเรานั่นแหละ เวลาท่านพูดธรรมะที่เด็ดนี้ผางๆ เลย พอถึงจุดนั้นแล้ว พูดแล้วสาธุ ท่านยกมือขึ้นอย่างนี้นะ พูดแล้วสาธุว่าอย่างนี้เลย แม้พระพุทธเจ้าประทับอยู่ข้างหน้าก็ไม่ทูลถาม ทูลถามหาอะไร ของอันเดียวกันรู้อย่างเดียวกัน เห็นอย่างเดียวกันทูลถามหาอะไร เราก็ฟัง บทเวลามันขึ้นมันถึงวิ่งใส่กันปึ๋งเลยเทียวนะ ที่ว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้ๆ อย่างนี้ละเหรอๆ พระธรรมแท้เป็นอย่างนี้ละเหรอ พระสงฆ์แท้เป็นอย่างนี้ละเหรอ คือมันเป็นแล้วนั่นน่ะ เป็นธรรมชาติอันเดียวกันแล้วนั่น แยกออกไปก็เป็นกิ่งเป็นก้าน พุทธ ธรรม สงฆ์ก็คืออันใหญ่นี้เองแยกออกไป จับนั้นปั๊บก็เข้าถึงนี้ เพราะฉะนั้นจึงสอนให้พุทโธ ธัมโม สังโฆนะ จับนี้จะเข้านี้ ๆ ไม่เป็นอื่น ความหมายว่างั้นนะ
เวลามันถึงเขตถึงแดนเต็มเหนี่ยวแล้วก็จะไปทูลถามพระพุทธเจ้าหาอะไร ทีนี้พระพุทธเจ้ามีมากมีน้อยเท่าไรไม่ทูลถามอีกแหละ พระพุทธเจ้าอุบัติมานี้มากขนาดไหน ๆ ไม่ทูลถาม จ้าอยู่ในมหาวิมุตติมหานิพพาน เช่นเดียวกับว่าจ้าอยู่ในมหาสมุทรนั้นแล้ว น้ำไหลมาจากไหนๆ ก็ตาม ก็อยู่ในมหาสมุทรนี้หมดแล้วเห็นไหมล่ะ มันจะมาคลองไหนๆ ไปหานับมันทำไม ดูมหาสมุทรก็แล้วกัน เป็นที่รวมของน้ำทั้งหลาย
มรรคผลนิพพานดูที่ไหน ดูธรรมธาตุที่จ้าอยู่ในหัวใจเจ้าของ มันก็ถึงกันหมดแล้ว ไปหาพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ที่ไหนอีก จ่อลงไปปั๊บนี้ก็ถึงกันหมดแล้ว นั้นละผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราตถาคต เห็นอันนี้เอง เห็นสุดยอดก็คือเห็นอันนี้แหละ นี่ละศาสนาพุทธเราเลิศอย่างนี้ พิสูจน์ท้าทายได้ตลอดเวลาด้วยอริยสัจ อริยสัจเป็นเครื่องประกาศธรรม มรรคผลนิพพานขึ้นมา ถ้าไม่มีนี้ยังไงก็ไม่เป็น เครื่องมืออันนี้เองแก้เข้าไปชะเข้าไปล้างเข้าไป เจอเข้าไปๆ จนกระทั่งถึงมหาวิมุตติมหานิพพานแล้วมันก็หมด เหมือนแม่น้ำสายต่างๆ พอไหลเข้าไปถึงมหาสมุทรแล้วก็หมดปัญหา ทีนี้กระแสของจิตผู้บำเพ็ญทั้งหลายมีอุปนิสัยสามารถมากน้อยต่างกันไหลใกล้เข้าไป คือบำเพ็ญบารมีใกล้เข้าๆ พอถึงผางเท่านั้นถามหาอะไร เท่านั้นเอง หมดปัญหาทันที
ท่านทั้งหลายให้พิจารณาเสียนะ พุทธศาสนานี้เลิศสุดยอดแล้ว สามแดนโลกธาตุนี้ไม่มีศาสนาใดที่จะมาเป็นคู่แข่งกับพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ เป็นแบบเดียวกันหมด เพราะรู้อย่างเดียวกันเห็นอย่างเดียวกัน ไม่มีอะไรปลีกแวะกันเลย พระพุทธเจ้าทั้งหลายตรัสรู้มากี่พระองค์แบบเดียวกันหมด นี่เรียกว่าธรรมของจริง-จริงอย่างนี้ ใครรู้ก็จริงเหมือนกันหมด อย่างพระสาวกท่านรู้หลักใหญ่คือความบริสุทธิ์ด้วยกันแล้ว สิ่งปลีกย่อยพระพุทธเจ้ารู้อย่างนั้นรู้อย่างนี้ พระสงฆ์สาวกองค์นั้นรู้อย่างนั้นๆ เจ้าของไม่รู้อย่างนั้นก็ตาม ไม่มีคำว่าลบล้าง ยอมรับว่ามีแต่ไม่รู้อย่างท่านเท่านั้นเอง ธรรมชาติที่ยันไว้แล้วนี้คือความบริสุทธิ์ อันนี้ท่านลบล้างกันไม่ได้เพราะความบริสุทธิ์ยันไว้แล้ว เอาละนะ พอสมควรแล้ว
เวลานี้กำลังหนักมากนะเรา นี่ละช่วยชาติไทยช่วยพี่น้องชาวไทยเราช่วยขนาดนี้ พี่น้องทั้งหลายดูเอานะ ทั้งที่เราไม่ได้หวังอะไรเลยนะในโลกอันนี้ มันปล่อยเสียจนหมดโดยสิ้นเชิงขึ้นชื่อว่าสมมุติว่างั้นเถอะ มันจะขนาดไหนมันปล่อยโดยสิ้นเชิงแล้ว ก็ยังอุตส่าห์มาคลุกเคล้ากับสิ่งเหล่านี้อยู่ตลอดเวลา จะไม่ให้ลำบากได้ยังไง ทนเอานะ เราทนเอาสำหรับเราแล้วเราไม่มีอะไร ก็เคยพูดให้ฟังแล้ว ที่ว่าเคยโกหกก็เคยโกหกมาหลายครั้งแล้วว่างั้น จนนับไม่ได้ถ้าว่าโกหกนะ พูดออกมาอย่างสุดหัวใจถอดออกมาพูดโกหกอะไร
ถ้าลงยังมาว่าโกหกแล้วก็ โอ๊ย มึงไปบอกจ่านรกไว้ก่อนนะ ให้รีบเตรียมนรกหาซีเมนต์คอนกรีตไปเทให้หนาแน่นยิ่งกว่านี้ สูลงไปแล้วสูจะไปพังนรกพวกนี้ ว่างั้นพูดง่ายๆ นรกเสริมขนาดไหน ซีเมนต์มีกี่บริษัทในเมืองไทยเรานี้ ขนลงไปเสริมนรกให้มันแน่นหนามั่นคง บาปกรรมอันนี้มันก็ไปทำลาย สอนโลกสอนขนาดนั้นแล้วยังว่าโกหก มึงจะลงนรกลูกไหนน่ะๆ จึงต้องได้ประกาศทางนรกให้เขาเตรียมพร้อมรับข้าศึกใหญ่ จะทำให้นรกแตก สัตวโลกตายจมในนรกนี้ไม่มีรายใดไปทำนรกแตก มึงจะทำนรกให้แตกนะ ถอดออกมาจากหัวใจด้วยความเมตตาล้วนๆ ยังจะมาว่าโกหกอยู่เหรอ