คนดีให้พยุง
วันที่ 15 พฤศจิกายน 2544
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๔

คนดีให้พยุง

เดี๋ยวนี้เรื่องความจำเราจำไม่ได้นะ เช่นอย่างว่าเทศน์เท่านั้นหนเท่านี้หน จำไม่ได้ บทเวลายอมรับก็คือยอมรับด้วยเหตุผล ไปเทศน์กี่ครั้งกี่หนเหตุผลต้องพร้อมแล้ว ๆ ถึงจะไป เราเชื่อเหตุผล อย่างเราจำไม่ได้นี้ มีผู้ยืนยันมาว่าท่านได้ไปเทศน์อย่างนั้นอย่างนี้เป็นต้นนะ เรายอมรับเลย คือยอมรับว่าที่ไปนั้นเพราะเหตุไร ๆ เหตุผลลงตัวแล้วไป ๆ เจ้าของจำได้ไม่ได้ก็ยอมรับ ถ้าเขาว่าท่านไปขโมยของเขา เอ๊ จำไม่ได้นะ จำไม่ได้ก็ตามท่านเป็นผู้ขโมย เอา ยอมรับ ขโมยเพราะเหตุไร นี่ถ้าเป็นแบบพระขโมยนะ ก็ยอมรับว่าขโมย ขโมยเพราะเหตุไร

อย่างที่เราอยู่ในวัด เดินไป ๆ ไปดูกุฏิ เดินไปก็เห็นเองกุฏิพระ เดินไป ๆ เห็นกุฏิพระวางอะไรไม่เรียบร้อย ๆ ทำไม่มีสติสตัง ไม่มีความเจาะจง ไม่ตั้งหน้าตั้งตาทำด้วยเจตนา ทำแบบสุ่มสี่สุ่มห้า แบบไม่มีสติสตัง มันบอกในงาน เราก็ไปเตือนสติเสียหน่อย ไปบางทีของวางนั้นวางนี้ ความจริงท่านวางไว้ท่านจะรีบไปงานอื่นนะ เช่น ไปจัดทำข้อวัตรอย่างนั้นอย่างนี้ ท่านยังไม่ได้ไปจัดเรียบร้อย เราจะบอกอย่างนั้นมันจะลืมตัว เราต้องเอาโทษเข้าใส่เลย ไปก็ไปจับอันนั้นมาจับอันนี้มา อะไรที่วางไว้รุงรังเราจับมาล่ามโซ่ไว้หมด เอาไปแขวนไว้ที่บันไดบ้าง บางทีวางไว้ใต้ถุนกุฏิบ้างเกลื่อนไปหมด เอามามัดเป็นพวง ของอยู่บนกุฏิอะไรก็ตาม ของควรลากลากออกมามัดใส่กันหมดแล้วไป คราวหลังนี้เรียบเลย อย่างนั้นนะ ไม่บอกนะ เราทำแล้วเราไม่บอก เฉย ทางนั้นก็ไม่บอกเรา ดัดกันอย่างนั้น มีหลายครั้งหลายหน ต้องหลายแบบ

ถ้าถาม ท่านไปขโมยทำเวลาพระไม่อยู่กุฏิใช่ไหม ใช่ เข้าใจไหม นี่เหตุผล เพราะเหตุไรท่านถึงทำอย่างนี้ เรามีเหตุผลแล้ว ก่อนที่เราจะทำอย่างนี้เรามีเหตุผลแล้ว ท่านไปขโมยทำเวลาพระไม่อยู่ใช่ไหม ใช่ทันทีเลย เพราะมีเหตุผลอย่างนั้น อันนี้เราก็ไปเจอเอาพ่อแม่ครูจารย์ดัดเรา ท่านก็ไม่พูด เราก็ไม่พูด ท่านดัดเรายังไง ไม้กวาดท่านพิถีพิถันยิ่งไปกว่านั้น เราก็ว่าเรามีพิถีพิถันอยู่บ้าง ไม้กวาดดูแล้วไม่ค่อยดีแล้ว เลยไปโยนเข้าป่า ทีนี้ท่านไปเดินจงกรมอยู่ในป่าละซีตอนนั้น เราก็ไปเดินอยู่ทางอื่น เพราะทางจงกรมเราอยู่ในป่าลึกไปอีก ตอนบ่ายตอนไหนก็ดีถ้าได้ลงไปแล้วหายเงียบเลยเรา เป็นอย่างนั้น เข้าไปเดินจงกรมก็หายเงียบไปเลย ท่านออกจากกุฏิท่านก็ด้อม ๆ ไปเดินจงกรมในป่า

เวลาท่านออกมาท่านไม่เห็นไม้กวาดเราละซี ที่มันเตียนอยู่นี้เป็นป่านี้ เราเห็นว่าไม่ดีเลยจับโยนเข้าป่า ก็ไม่ไกลนัก ก็โยนธรรมดาแบบเซ่อ ๆ เราเข้าใจว่าของทิ้งแล้ว ทีนี้พอถึงเวลาปัดกวาดเราก็มา เอาไม้กวาดไปกวาด มองนี้ อ้าว ไม้กวาดอันนี้มันไม้กวาดที่เราทิ้งแล้ว มันมาอยู่ใต้ถุนกุฏิได้ยังไง เลยจับมาดู อ้าว ไม้กวาดนี้เราก็เอาไปทิ้งในป่าแล้ว มันมาอยู่นี่ได้ยังไง นั่นละคือท่านมาจากทางจงกรม ท่านมาเห็นเราทิ้ง นั่นคือท่านจะสอนเราเข้าใจไหมล่ะ ท่านก็เลยจับมาไว้ นี่มันยังใช้ได้อยู่ความหมายว่างั้น เอาไปทิ้งทำไม นั่นละความประหยัด ความมัธยัสถ์ ความรู้จักพอดิบพอดีไม่พอดี

พอไปเห็นนี้แล้วเลยจับเอามาดู แล้วเดินไปดูที่เราทิ้ง ไม่มี ไม่มีเราก็ตามรอยละที่นี่ ใครเอาไม้กวาดมาไว้ใต้ถุน เห็นแต่รอยท่านเดินด้อม ๆ โอ๋ย ใช่แล้ว หมอบเลย ตั้งแต่บัดนั้นมา ไม่ว่าแต่ไม้กวาด อะไรก็ยิ่งเข้มงวดกวดขันเข้าไปอีก เพียงเท่านั้นมันจะกระเทือนไปหมดเลย ท่านเตือนเรา ใคร ๆ ก็รู้ไม้กวาดนั้นถ้าจะทิ้งก็ทิ้งได้ แต่หัวใจของคนที่ไม่มีขอบเขตนั่นซี ท่านเอาตรงนี้ ของควรที่จะใช้ได้ยังไงใช้ ถ้านี้สุรุ่ยสุร่ายอย่างอื่นก็จะสุรุ่ยสุร่ายแบบเดียวกัน นั่นตีกระจายออกไปหมด ตั้งแต่นั้นเลยเข้มงวดกวดขัน ทุกอย่างเราก็ว่าเราระวังอยู่แล้ว

พูดตามความจริง พ่อแม่ครูจารย์กับเรานี่รู้สึกว่าจับติด ๆ ตลอด แปลกอยู่นะ ท่านจะเห็นหมดเราทำอะไร ถ้าหากว่าโจรผู้ร้ายเราก็จะเป็นตัวสำคัญตัวหนึ่งเหมือนกัน ที่อยู่ในการจับจ้องของท่านว่างั้นนะ เราทำอะไรไว้ท่านเห็นหมดนี่ สำคัญนะ เห็นหมด ๆ พ่อแม่ครูจารย์มั่น จับจริง ๆ จับเรา อย่างที่ว่าไม้กวาดนี้สอนแล้วนะ ท่านไม่พูดเลยนะจนกระทั่งวันท่านมรณภาพจากไป เราก็ไม่พูดเลย แต่มันฝังลึก เราไม่ลืม ทำอะไร ๆ นี้มีอยู่เสมอกับเรา ทางเตือนอย่างนี้ก็มี ทางอื่นก็มี เช่นอย่างที่เคยพูด ผ้าห่มท่านเองท่านห่ม ผ้าก็ไม่เก่านัก เรียกว่ากลางเก่ากลางใหม่ ท่านไปดูเราจนกระทั่งกุฏิเวลาเราไม่อยู่ ก็เราไม่เคยห่มผ้าห่ม อยู่ในวัดก็ไม่เอา อยู่ ๆ ก็มันหน้าหนาวนี่ เราไปธุระอะไรไม่รู้แหละ มันหากมีธุระร้อยแปดเกี่ยวกับพระกับเณรอยู่งั้นแหละ นั่นละท่านไปตอนเราไม่อยู่ ตอนปัดกวาด เพราะกุฏิเราก็เตี้ย ๆ ท่านก็ขึ้นง่าย

ที่นอนเราก็เหมือนหมาขี้เรือนนอน เป็นอย่างนั้นจริง ๆ นะ ไม่ได้มีอะไรสนใจยิ่งกว่าอันนี้(ใจ) นะ สิ่งเหล่านั้นเพียงอาศัย ๆ เท่านั้น อันนี้สำคัญมาก เพราะฉะนั้นการอยู่หลับนอนของเรา ส่วนมากพระกรรมฐานผู้มุ่งอรรถมุ่งธรรมมักจะเป็นอย่างนั้น ขึ้นไปเห็น โอ้โห สลดสังเวชนะเรา กราบเลยนะ ผ้าห่มของท่านพับเรียบร้อยนะ ท่านทำเองไม่ให้ใครรู้ ท่านเอาประคดมาพัน ๆ ไว้ แล้วเอาเทียนเหน็บไว้วางไว้บนที่นอนของเรา พอเราขึ้นไปไปดู อ้าว แล้วกันก็ผ้าผืนนี้เราพับเราเก็บอยู่ทุกวันเวลา ก็เราไปดูแลท่านตลอด เอ๊ ทำไมท่านเอามาบังสุกุลเรา สะดุดกึ๊กเลย นี่คือหมายความว่า มันจะลำบากมากเกินไปให้ลดลง พอสมควร ให้มีผ้าห่มเสียบ้าง เวลาอยู่กับหมู่กับเพื่อนนี้ควรจะมีผ้าห่มบ้าง ความหมายก็ว่างั้น ถ้าออกไปแล้วท่านก็ไม่อะไรละ เพราะท่านรู้แล้วนิสัยอันนี้ว่างั้นเถอะ

อย่างนั้นนะ เพราะฉะนั้นพูดให้ใครฟังจึงไม่มีใครอยากเชื่อ หนาวนี่ผิวดำตกกระหมด หน้าหนาวมันหนาวขนาดนั้นนะ นอนไม่หลับเลยบางคืน ไม่หลับก็ไม่หลับ ไม่หลับเราก็ภาวนาของเรา ท่านจึงเอาผ้าห่มนี้มาให้บังสุกุล เราจึงได้ห่มนะ ถ้าไม่อย่างนั้นไม่เอา ใครจะเอามาให้เท่าไรก็ไม่เอา มันไม่อดไม่อยากของเหล่านั้น มันอดอยากแต่ศีลแต่ธรรมภายในใจ เราหาอันนี้ต่างหากเราไม่ได้หาสิ่งเหล่านั้น ความมุ่งหมาย เพราะฉะนั้นมันถึงเด็ด ๆ แต่ธรรมอย่างเดียว ๆ อะไรมายุ่งไม่ได้ ๆ การอยู่การกินการหลับการนอน ที่ไหนล้มลงได้เลย มีแต่อันนี้ที่ประคับประคองกันมากที่สุด อยู่ในนี้หมดเลย สิ่งเหล่านั้นจึงไม่เห็นมีอะไรจำเป็น เราใช้แต่ผ้า ๓ ผืนเท่านั้นตลอดเลย พึ่งมาใช้ระยะนี้ ผ้าโรงงานบริขารต่าง ๆ คงจะอยู่ในกุฏิหลวงตาบัวหมด มันมากต่อมาก อะไร ๆ คนนั้นขนมาคนนี้ขนมา มันก็เป็นอย่างที่เห็นนี่

อย่างที่เราอยู่กับหมู่กับเพื่อนนี่เรียกว่าอยู่ด้วยความอดความทนนะ ฝืนขนาดไหนก็ทน เพราะจิตใจของคนมีความเหลื่อมล้ำต่ำสูงต่างกัน เอามาเทียบมาเคียง แล้วก็มาอาศัยเรา เกี่ยวโยงเข้ามาหาจุดนี้หมด แล้วจะทำยังไง ปฏิบัติยังไงให้เหมาะสม มันก็แบบถู ๆ ไถ ๆ แบบหูหนวกตาบอดไป ถ้าจะเอาตามนี้ใครมาอยู่ด้วยไม่ได้ เพราะฉะนั้นเวลาออกเที่ยวจากหมู่จากเพื่อน คนเดียวเท่านั้น ใครไปยุ่งไม่ได้ เวลาอยู่กับหมู่กับเพื่อนก็เป็นอีกแบบหนึ่ง ลดหย่อนผ่อนผันลง อย่างอยู่หนองผือ ฉันทุกวันแต่ไม่ให้อิ่ม ประมาณ ๕๐ หรือ ๖๐% เป็นประจำ ๆ อยู่อย่างนั้นตลอด ท่านก็รู้ทุกอย่าง เราทำคนเดียวเรา

สมาทานธุดงค์ ฉันแต่อาหารในบาตรนี้ เราก็ทำของเราคนเดียว พระทั้งวัดไม่มีใคร เราไม่สนใจกับใคร ท่านเห็นจนได้ ๆ ยังบอกที่ว่าท่านมาใส่บาตรเรา นั่นเห็นไหมล่ะ พอเรามาถึงปั๊บเรามีอะไร ๆ เราจัด ๆ ใส่เท่านั้นพอไม่ได้มาก พอจัดเสร็จแล้วเอาฝาบาตรปิดบาตรปุ๊บ แล้วเอาผ้าอาบน้ำปิดทับวางไว้แนบต้นเสา แล้วใครไปยุ่งไม่ได้นะ แต่พระเณรรู้ทั้งวัดแหละ กลัวเรามากแต่ไหนแต่ไร รองพ่อแม่ครูจารย์มั่นลงมา ดีไม่ดียิ่งกลัวเรามากกว่าท่าน เพราะท่านอยู่กุฏิ เรานี่สอดแทรกอยู่ตลอด มันได้กลัวอยู่เรื่อย จี้นั้นจี้นี้เรื่อย พอวางไว้แล้วก็มาจัดอาหารให้ท่าน อะไร ๆ ที่ถูกกับธาตุกับขันธ์ของท่านเราเอาทั้งนั้น ดูอยู่ตลอดเวลา อย่างนี้เป็นประจำ พอถึงเวลาปั๊บก็เอาบาตรออกมาฉัน ท่านเห็นจนได้นั่นแหละ

ครั้นอยู่ ๆ ก็มา ขอใส่บาตรหน่อย เวลาท่านจะใส่ โอ๋ย ไม่ได้นะปุ๊บปั๊บทันทีเลย ไม่ได้แก่นะ เอาเวลาเราเผลอแหละ เรากำลังเปิดบาตร ท่านนั่งอยู่ก็ปุ๊บปั๊บมาเลย ขอใส่บาตรหน่อย ศรัทธามาสาย ๆ ท่านหาอุบายพูดจนได้นั่นแหละ บางทีพลิกไปอย่างหนึ่ง ๆ นาน ๆ ท่านมาใส่ทีหนึ่ง นั่นเห็นไหม ท่านคงจะเห็นอะไรของท่านนั่นแหละ ก็ท่านเหนือโลกนี่วะ ไอ้เรามันอยู่จมส้วมจมถาน เวลาท่านทำอย่างนั้นเราต้องได้ฉันให้ท่านนะ ถ้าคนอื่นมาแตะไม่ได้บาตรลูกนี้ ใครก็ไม่ไปแตะแหละ แตะก็ซัดกันเลยเข้าใจไหม ของเล่นเมื่อไร นาน ๆ ท่านมาใส่สักทีหนึ่ง เดือนหนึ่งมาใส่สักทีหนึ่ง นี่ท่านเห็นหมดเหล่านี้เราทำ ทำอะไรเห็นหมด จึงว่าท่านจับเอาจริง ๆ จัง ๆ จับเรานะ นี่เราพูดตามความจริง

เราก็ดูพระเณรทั้งหมด ท่านจะไปเกี่ยวข้องกับใครกับอะไร หรือจะถามถึงใคร ๆ ท่านก็ไม่เคยถาม แต่กับเรานี้มีอยู่เรื่อยแหละ ลับหูลับตานิดหนึ่งถาม ท่านมหาไปไหน ๆ มีอยู่นั่นละ ท่านถามถึงเหตุถึงผล ทุกอย่างท่านจะดูหมดว่างั้นเถอะดูเรา จับติด ๆ ตลอดเลย อะไร ๆ รู้หมด ของที่เราเอามาให้ท่านเราหาอุบายไปเยี่ยมโยมแม่ ความจริงจะไปขนเอาของในตลาดนี้ไป ถ้าว่าอย่างนั้นไม่ได้ ถูกเขกแหลกเลย ต้องหาอุบาย มานี้สั่งเขาปุ๊บไปเอาอันนั้น ๆ ฟาดใส่เข่ง ๆ เต็มรถไปเลย พวกพรรณาเขาไปส่งเต็มล้อเต็มเกวียนเลย ไม่ใช่หนหนึ่งหนเดียวนะ หากทำอยู่อย่างนั้นไม่ให้ท่านเห็นไม่ให้ท่านรู้ ท่านรู้จนได้ เห็นไหมเก่งไหมล่ะ

บางทีเวลาออกมาจากพรรณาเข้าไปในวัด เห็นรอยล้อรอยเกวียนไป ท่านจะไล่เบี้ยเรา เราก็แก้หมัดท่าน เราให้เขาหาแก่นขนุนพอได้หลบหมัด พอเข้าวัดปั๊บเราเรียกเณรเพ็งมาขนของเข้าไปในกุฏิพิเศษสำหรับเก็บอันนี้นะ เรากับเณรเพ็งสองคนนี่สำคัญนะ เพราะฉะนั้นจึงเห็นคุณเณรเพ็งล่ะซิ ท่านเพ็งนี่ เวลาเอาของเข้าไปในวัดเสร็จเรียบร้อยแล้ว รีบขนนะเดี๋ยวท่านจะมาเห็น ท่านอยู่กุฏิลึก ๆ เราไปประตูวัดนี้รีบขนเสร็จเรียบร้อยแล้วไล่พวกล้อพวกเกวียนเขากลับ เราตามเอาไม้กวาดไปกวาดรอย ให้ใครต่อใครไปช่วยกวาดรอยล้อรอยเกวียนเข้าไปไม่ให้เห็น อู๊ย ขนาดนั้นนะ สู้ท่านไม่ได้นะอย่าว่าเก่งเลย

นี่ละจอมปราชญ์กับคนโง่ต่างกันอย่างนี้ พอเสร็จเรียบร้อยดูไม่มีอะไรแล้ว เราก็ตายใจ พอเรากลับไปถึงก็ไปหาท่านตอนเย็น ท่านก็ไม่ว่าอะไร เฉย พอตอนเช้าออกบิณฑบาตเราก็คอยจ้อง ท่านจะจ้องหรือไม่จ้องก็แล้วแต่เถอะ นี่ละที่เราได้สะดุดใจเอามากตอนนี้แหละ เราก็ว่าเราทำละเอียดลออ ใครต่อใครมาปัดกวาดรอยล้อรอยเกวียนไม่ให้เห็นเลย ไม่ให้รู้เลย ปัดกวาดเรียบ ท่านพอออกมาประตูวัดก็ชี้ นี่รอยเกวียนมายังไง ไปเห็นรอยเกวียนนิดหนึ่งอยู่นั่น เราไม่เห็น เห็นไหม นี่รอยเกวียนมายังไง อู๊ย พอดีเราได้แก่นขนุนมา นั่นละเอาไปแก้ เวลาเผลอจะได้หลบหมัดทัน นี่รอยเกวียนมายังไง มีนิดหน่อยท่านเห็นแล้วเราไม่เห็น เราก็นึกว่าเรียบไปหมดแล้วเราถึงตายใจ นี่รอยเกวียนมายังไง อ๋อ ทำท่านะเรา รอยเกวียนมานี้ ได้แก่นขนุนมา พวกพรรณาเห็นแก่นขนุนดีก็เลยใส่ล้อมา ท่านก็เลยนิ่ง มันคงแก่นขนุนใหญ่นั่นล่ะท่านคิดในใจ ท่านไม่ว่าอะไรแต่ท่านจับได้แล้วนั่น แสดงว่ามันเอามาเต็มเหนี่ยวแล้ว ความหมายว่างั้น ท่านคงคิดแต่เพียงภายใน โอ๋ย แก่นขนุนใหญ่นั่นละ เราไม่ลืมนะ

อะไร ๆ เราไปที่ไหนเราจะหามา ๆ แหละ มันเป็นนิสัยอย่างนั้น ด้วยความเคารพรักเทิดทูนสุดยอดกับพ่อแม่ครูจารย์มั่น ครั้นเอามาแล้วก็ไม่ให้เห็น หลบซ่อน ๆ อยู่ ๆ ปัดกวาดไป ๆ กวาดหลังนั้นหลังนี้ไปเปิดประตูตรงนั้นจนได้ โถ มันอะไรกันนี่ ทางนี้ก็เตรียมแก้ไว้แล้ว ว่าอะไรท่านก็จะบอกว่าแก่นขนุนใหญ่นั่นแหละ

นี่เรื่องพ่อแม่ครูจารย์จับเรานี้จับติดจริง ๆ เผลอไม่ได้นะ เป็นจริง ๆ กับพ่อแม่ครูจารย์มั่น เราไม่เคยเห็นอย่างนั้น แหม แหลมคมจริง ๆ เพราะฉะนั้นเราถึงได้พูดได้เต็มปากว่า เราไม่ได้ประมาทครูบาอาจารย์องค์ใดทั่วประเทศไทย เรายังไม่เห็นองค์ไหนหาที่ตำหนิไม่ได้ ตั้งแต่วันไปอยู่จนกระทั่งท่านมรณภาพ มีแต่ความเทิดทูน ๆ ความละเอียดลออสุดยอด เราก็เต็มเหนี่ยวของเรา หน้าผากแตกตลอดนะเรา ไม่ได้หายหน้าผากถูกตีเรื่อย แก่นขนุนใหญ่นั่นแหละนั่นเอาแล้ว รอยล้ออะไรนี่ ชี้ไป รอยเห็นจริง ๆ ล่ะซี อ๋อ ทำท่าแหละเรา อ๋อ รอยเกวียน มาพรรณาเห็นแก่นขนุนดี ๆ ก็เลยให้เขาเอามาให้เพื่อได้ใช้ในวัดเรา วัดเราขนุนไม่ดี ท่านก็คงจะคิด อ๋อ ขนุนใหญ่นั่นแหละ เป็นเสียอย่างนั้น

อู๊ย เก่งมากนะแหลมคมมากทีเดียว ท่านให้พระเณรเอายามาให้เราฉัน เราก็ไม่ฉัน สุดท้ายท่านเอามาเอง อย่างนั้นนะ ปุ๊บปั๊บเข้าไป กุฏิก็เตี้ย ๆ ไหนเป็นยังไง ขบขันนะ เราก็นอนอยู่ เป็นยังไงล่ะ ท่านขึ้นไปหาใครเมื่อไร ท่านไม่ขึ้นนะ แต่กับเราท่านทำไมเป็นอย่างงั้น มันก็แปลกอยู่นะ ไหนนี่ได้ยามานี่ เอ้าฉันเลยเดี๋ยวนี้ ฉันเดี๋ยวนี้หายเดี๋ยวนี้เลย ยานี้หาได้ยากนะ ยานี้ฉันแล้วหายเลยไม่ยากอะไรแหละ ไม่ต้องไปหาหยูกหายาที่ไหนแหละ ยาเม็ดเดียวเท่านี้พอ แน่ะ เวลาท่านจะพูดนะ เอาฉัน เราก็ต้องฉันสิ ท่านเอาไปให้ ฉันแล้วก็เท่าเก่านั่นแหละ เราไม่ได้สนใจนะว่าจะหายหรือไม่หาย ท่านก็ให้ไปแล้วท่านก็หายไปเลยไม่สนใจ เอามาให้เรา มันก็แปลกอยู่นะ ท่านทำกับเราทุกอย่าง ไม่ทำกับใครก็ตาม เราไม่ได้คุยนะ เอาความจริงมาพูด อย่างที่ว่ายานี่พระเอามาเราก็ไม่ฉัน ท่านเองสั่งให้เอามาก็ยังไม่ฉัน จากนั้นท่านก็เอามาเองละซี มันจะเป็นยังไงนะบ้าตัวนี้ มาก็เอา ๆ ยานี่ยาเทวดาสู้ไม่ได้นะ นู่นน่ะบทเวลาจะพูด ยาเทวดาสู้ไม่ได้ หายเลย เราก็เฉยเราก็ฉันให้ ท่านให้แล้วท่านก็เฉยท่านก็ไม่สนใจ

นี่แหละเรื่องพ่อแม่ครูจารย์มั่น เราเทิดทูนสุดยอด สุดจริง ๆ ไม่มีอะไรเหลือเลยกับพ่อแม่ครูจารย์มั่น จอมปราชญ์จริง ๆ ไม่มีอะไรที่ต้องติ ภายนอกภายในพร้อมหมด แหลมคมทุกอย่างเลย ยกให้เลย เรียกว่ายกให้เลย เราไม่มีอะไรติดเนื้อติดตัวมาว่าจะเป็นข้อเคลือบแคลงสงสัยในท่านนิดหน่อยในข้อวัตรปฏิบัติทั้งภายนอกภายใน ภายในก็คือจิตใจ ภายนอกก็คือข้อวัตรปฏิบัติศีลธรรม ท่านทำที่ไหนมันก็เห็นแล้ว เรียนในตำราเห็นด้วยกันแล้วจะไปค้านท่านได้ยังไง ท่านทำ อ๋อ ตรงกับวินัยข้อนั้นธรรมข้อนั้น เป็นอย่างนั้นแหละ เรื่องพ่อแม่ครูจารย์มั่นนี่ยกให้เลย

การพูดเหล่านี้เราไม่ได้มีนะ เรื่องที่จะว่ายกยอปอปั้นตัวเอง อะไร ๆ เราไม่เคยมี เราพูดเกี่ยวกับท่าน ท่านเกี่ยวกับเรายังไงเราก็พูดให้ฟัง ท่านเอาจริงเอาจังมาก สำหรับกับเรารู้สึกว่าจริงจังมากทีเดียว

เราจะพยายามเพิ่มสมบัติเข้าสู่คลังหลวงของเรา เวลานี้กำลังเริ่มนะ พี่น้องทั้งหลายต่างให้คนต่างต่างตื่นเนื้อตื่นตัวต่อชาติไทยของเรา เครื่องหนุนก็นับว่าราบรื่นแล้วเวลานี้ ผู้นำเราก็หาได้เป็นที่ต้องใจ พูดให้ตรงศัพท์ตรงแสงอย่างนี้นะ ผู้นำเราก็หาได้เป็นที่ต้องใจ คุณทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ทำประโยชน์แก่โลกโดยตรง ไม่เป็นที่สงสัยละ สมัครออกมาเพื่อรับใช้พี่น้องชาวไทย

เพราะฉะนั้น จึงขอให้เห็นใจท่านนายกฯ ให้อุตส่าห์ตะเกียกตะกายทุกคนเพื่อเดินตามหัวหน้าผู้นำของพวกเรา หาผู้นำเพื่อความเจริญรุ่งเรืองสงบร่มเย็นแก่ชาติไทยของเรานี้หายากมากนะ ไอ้.หาเปรตหาผีหายักษ์หามาร มันมีอยู่ทุกแง่ทุกมุม เต็มไปหมดนั่นแหละ เมืองไทยของเราจึงจมมาตลอด ๆ ไม่มีการฟื้นฟูด้วย รัฐบาลชุดนี้ยกขึ้น รัฐบาลชุดนั้นยกขึ้น รัฐบาลชุดนี้ได้หาเงินก้อนเงินเป็นกอบเป็นกำมาไว้สมบัติมีคลังหลวงเป็นต้น เท่านั้นกอบเท่านี้กำก็ไม่เคยได้เห็น รัฐบาลชุดนี้หาสิ่งนั้น ๆ เข้ามาหนุนชาติไทยของเราให้ขึ้นๆ เราไม่ได้ประมาทตาเรามี หูเรามี ใจเรามี ลูกศิษย์ลูกหาเรามีทั่วประเทศไทย เข้ามาถึงหัวใจเรานี้หมดเก็บไว้ในลิ้นชัก เอามาพินิจพิจารณาคลี่คลายดูบวกลบคูณหาร ดูรายได้รายเสียของรัฐบาลแต่ละชุดๆ ที่เข้ามาเป็นรัฐบาลในเมืองไทยของเรา

ไม่ได้ตำหนิ รัฐบาลก็เป็นรัฐบาลเมืองไทย ดีก็ดีอยู่ในเมืองไทย ชั่วก็ชั่วอยู่ในเมืองไทย เราก็เป็นคนไทยอยู่ในเมืองไทย ทำไมจะพูดตำหนิติชมการดีการชั่วของรัฐบาลแห่งเมืองไทยเราไม่ได้วะ ต้องตำหนิได้ เพราะรัฐบาลนี้เมืองไทยเป็นคนตั้งขึ้นมา คนไทยไม่ยกขึ้นรัฐบาลไหนขึ้นไม่ได้ทั้งนั้น รัฐบาลนี้จึงเป็นรัฐบาลของคนไทย คนไทยเป็นผู้ยกย่องสรรเสริญ แล้วก็ยกขึ้นมาให้เป็นรัฐบาล เมื่อยกขึ้นมาแล้ว จะปล่อยให้เหยียบหัวคนไทย เหยียบหัวชาติบ้านเมืองอย่างเดียว ไม่มีการฟื้นฟูบ้างมีอย่างหรือ เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงต้องพูดถึงดีถึงชั่ว ถ้าดีตรงไหนก็บอกว่าดี ชั่วตรงไหนก็บอกว่าชั่ว ดีที่จะเป็นเด่นเป็นดังมันไม่ค่อยมี ถ้าเด่นดังในทางกินบ้านกินเมืองกินตับกินปอดประชาชนเรื่อยมาเงียบๆๆ นั้นกินมาเรื่อยๆ

มันก็มาเด่นเอาตอนเมืองไทยเราจะจมเร็ว ๆ นี้เอง นี่คือกินจนหน้าด้าน จนไม่มียางอาย จนไม่มีอรรถมีธรรมในใจ ไม่มีพระไม่มีศาสนาในใจ กินแบบหน้าด้าน กินแบบดื้อด้าน กินแบบไม่ได้สนใจกับใครว่า เทวดาใน ๖ แดนสวรรค์ ๑๖ ชั้นพรหมโลกนี้ อำนาจสู้เขาไม่ได้ สู้เปรตสู้ผีพวกนี้ไม่ได้ กินไปหมดแบบหน้าด้านๆ ไม่ใครว่าเป็นอำนาจยิ่งกว่าเราคนเดียวๆ สุดท้ายมันก็จะเอาเมืองไทยให้จม มันเห็นแต่อย่างนี้ จะไม่ให้เอามาพูดอย่างนี้ได้อย่างไร ก็เมืองไทยทั้งเมือง ก็เห็นอยู่นอกจากเขาไม่พูดเท่านั้น เรามีฐานะที่จะพูดในนามความเป็นผู้นำของพี่น้องชาวไทย ที่จะยกชาติบ้านเมืองขึ้นเต็มกำลังความสามารถของเรา ผิดถูกดีชั่วอะไรเราพูดได้ทั้งนั้น มีอิสระโดยอรรถโดยธรรม ไม่ได้ยกโลกมาเป็นอิสระ เราเอาธรรมเป็นอิสระ ถ้าธรรมว่าอย่างไรเราจะเป็นอย่างนั้นเลย คอขาด ขาดไปเลย เราจะเป็นอย่างอื่นไม่ได้ ใครดีก็บอกว่าดี

นี่ก็พี่น้องชาวไทยก็เห็นแล้วเป็นยังไง นายกฯ คนนี้ที่ได้มาเป็นผู้นำพี่น้องทั้งหลาย ก่อความเดือดร้อนเสียหายล่มจมแก่พี่น้องทั้งหลายที่ไหนบ้างล่ะ ก็มีแต่พยายามพยุงที่นั่นพยุงที่นี่จนอกจะแตกแล้วนะผู้นำ ถ้าผู้ตามสัดตามส่วนของเราด้วยความเป็นจริงแล้ว ผู้นำนี้หมุนติ้วตลอดเวลา จนจะไม่มีเวลากินอยู่หลับนอนแล้วเพื่อชาติไทยของเรา เราจะหาใคร หาคนดี ถ้าคนเช่นนี้เป็นคนดีไม่ได้แล้ว ในโลกนี้หาคนดีคนไหนเอามาแข่ง ก็จะเจอตั้งแต่พวกเปรตพวกผีพวกยักษ์พวกมารเท่านั้น ครั้นหาจากนี้ไปแล้ว นี่เราได้แล้วขอให้จับติดให้เดินตามผู้นำนะอย่าปล่อย ให้เดินตามผู้นำไปเรื่อยๆ

เอ้า.สมมุติว่าหลวงตาที่พูดโดยอรรถโดยธรรม สอนพี่น้องทั้งหลายเพื่อความเป็นคนดี เพื่อความแน่นหนามั่นคงแห่งชาติไทยของเรา หลวงตาบัวนี้ตายไปแล้วไม่ได้พูดอย่างนี้อีก ขอให้พี่น้องทั้งหลายจับอันนี้ไว้ให้ดี คำสอนนี้ไม่ตาย คำว่าคำสอนไม่ตาย พระพุทธเจ้านิพพานแล้วก็ไม่ตายเห็นไหม ก็คำสอนเป็นศาสดาแทน อันนี้เราพูดไว้แล้วเอาธรรมพระพุทธเจ้ามาพูด เราตายไปแล้วก็ขอให้จับตรงนี้ เราก็ไม่พาให้พี่น้องชาวไทยให้ล่มจม ตั้งหน้าตั้งตาพาพี่น้องชาวไทยให้ฟื้นฟูขึ้นมาโดยลำดับลำดา ด้วยการเรียกร้องและขอร้องต่างๆ บิณฑบาตทุกสิ่งทุกอย่างมา เมื่อเราตายไปแล้วคำสอนที่สอนไว้นี้ก็อย่าปล่อยอย่าวาง

ใครเป็นคนดีให้จับคนนั้นให้ได้ เอ้า.ถ้าพูดถึงว่าหย่อนบัตร เรามีครอบครัวมีกี่คนๆ หมู หมา เป็ด ไก่ ถ้าเขาจะมาหย่อนบัตรได้ หย่อนลงคนนี้ให้หมด คนนี้เป็นคนดี หมู หมา เป็ด ไก่ ก็ชมเชย ถ้าคนนี้เป็นคนชั่ว หมู หมา เป็ด ไก่ เหา เม็น อะไร หนอนอยู่ในส้วมมันก็ตำหนิได้เหมือนกัน ถ้าคนชั่วแล้วทำไมจะตำหนิไม่ได้ ของชั่วเป็นความจริงตำหนิไม่ได้มีอย่างหรือ ของดีก็เป็นความจริงเหมือนกัน ชมกันไม่ได้มีอย่างหรือ ต้องชมกัน ต้องช่วยกันชาติบ้านเมืองเราจะเจริญรุ่งเรือง ให้จับให้ติดจับให้ดีพยุงให้ดี

แล้วอย่าตำหนิติโทษกันอย่างง่ายดาย คนหนึ่งแบกคนทั้งประเทศ ๆ เราปากเปราะๆ อันนั้นทำไม่ทันใจๆไปตำหนิติเตียนเขาโดยเจ้าของไม่ได้ทำ เรียกว่า มือไม่พายเอาตีนราน้ำ ใช้ไม่ได้นะอย่างนั้น จะเสีย เสียกำลังใจผู้นำด้วยไม่ใช่ธรรมดา เขาทำแทบเป็นแทบตาย เราไม่ได้ทำอะไร มีแต่ไปกีดไปขวางไปเตะไปถีบ ไปทืบไปยันดังที่เห็นอยู่เวลานี้เป็นยังไง เข้าไปในสภาแทนที่จะไปปรับปรุงความเข้าใจ คัดค้านเพื่อหาเหตุผลเพื่อเชิดชูชาติไทยของเรา กลับไปคัดค้านเพื่อเตะเพื่อถีบเพื่อยัน ที่จะให้เมืองไทยจม มันเป็นยังไงสภาของเรานี่ มีไหมในเมืองไทยของเราเวลานี้ เราได้ยินอยู่นี่น่ะ ออกมาจากความจริงทั้งนั้น

ตามธรรมดาสภามีทั้งฝ่ายรัฐบาล มีทั้งฝ่ายค้าน ค้านก็ค้านเพื่อหาเหตุหาผลหาความสัตย์ความจริงที่จะพยุงชาติไทย ไม่ใช่ค้านเพื่อจะเหยียบจะยัน จะถีบจะทำยันลงไปกลางทะเลหลวงอย่างนั้น เดี๋ยวนี้มันเป็นยังไงฝ่ายค้านทุกวันเป็นยังไงบ้าง ไปหาถามดูซิฝ่ายค้านเป็นยังไง ฝ่ายรัฐบาลเป็นยังไง ให้ถามทั้งสองฝ่ายนั่นแหละ เพื่อจะได้เหตุผลอันดีงามมาเสนอหลวงตาบัวบ้างนะ มันเป็นยังไงค้านกันยังไง หาเหตุหาผลได้ไหม ถ้าไม่ได้ให้มาบอกหลวงตาบัว เราจะเรียกหมาของเราทั้ง ๑๒ ตัวนี้ฟาดมันแหลกหมดเลย พวกนี้ให้มันตกสภาหมด ถ้ารัฐบาลไม่ดีก็จะฟาดรัฐบาลตกสภา มีนายกรัฐมนตรี คุณทักษิณเป็นต้นเอาให้ตกสภาก่อนเพื่อน ถ้าไม่เป็นท่าเราจะไล่หมา ๑๒ ตัวเราขนาบเลย ถ้าดีแล้วทั้งหมาทั้งคนยกยอขึ้นดังที่เราเคยยกยอมานี้เข้าใจไหม

ถ้าใครไม่ดีฟาดเลย สภาไหนก็ตาม สภาผู้ค้านฝ่ายค้านก็ตาม ถ้าไม่ดีไม่ว่าแต่หมูแต่หมาเป็ดไก่ เราจะยกหมดอยู่ในนี้ กระจ้อนกระแตอยู่ในวัดนี้ให้ไปช่วยกันฟาดมันลงทะเลหมด พวกนี้อย่าให้มันอยู่หนักชาติหนักศาสนาหนักบ้านหนักเมืองนะ คนชั่วช้าลามกไม่มีใครปรารถนา หมาเราก็ยังไล่หนี มันไม่ได้ไล่เข้ามาหาพวกของมันนะหมาเราก็ดีเข้าใจไหมล่ะ ตั้งแต่หมามันยังรู้ดีรู้ชั่วนี่นะ คนทำไมจะไม่รู้ดีรู้ชั่ว ให้พากันตั้งอกตั้งใจปฏิบัติ เราหาคนดีหามานานแล้ว ให้พากันพยุงนะ คนดีให้พยุง จับไว้ให้ดีคำนี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้านะ ไม่ได้ตำหนิติเตียนดูถูกเหยียดหยามใครทั้งนั้น ธรรมต้องไปกลางๆ อย่างนี้ ผิดบอกว่าผิด ถูกบอกว่าถูก ให้จำเอาไว้ เอาละวันเทศน์เท่านี้แหละ

เปิดดูข้อมูล วันต่อวัน ทันต่อเหตุการณ์ หลวงตาเทศน์ถึงเรื่องอะไร www.luangta.com


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก