สมเด็จมหาวีรวงศ์ วัดบรมนิวาส ท่านก็สักดอกผักแว่นไว้(เหมือนหลวงตา) อย่างนี้ แต่ท่านเป็น ๔ ดอกท่านทนเอาท่า เราได้ดอกเดียวทนไม่ได้เลยหยุด ท่านออกไปต่างจังหวัด สมเด็จมหาวีรวงศ์ (ติสฺโส อ้วน) ไม่ใช่สมเด็จมหาวีรวงศ์ วัดพระศรีมหาธาตุนะ ท่านเล่าให้ฟังขบขันจะตาย เราอดหัวเราะไม่ได้ หัวเราะต่อหน้าท่านก็ไม่ได้จะทำไง เล่าอยู่วัดบรมนิวาสนั่นละ เวลาท่านมีโอกาสว่าง ๆ ต้นเหตุก็คือหมามันเห่าโว้กว้าก ๆ หน้ากุฏิท่าน เหมือนจะกัดคน มันเห่าอะไร ท่านว่าอย่างนั้นนะ นี่ต้นเหตุนะ มันเห่าอะไรหมานี่ เห่าไม่กัด จากนั้นแล้วท่านก็เลยเล่าต่อไป เห่าเรามันกัด แต่นี้มันเห่ามันไม่กัด แต่มันเห่าเรามันกัด
ท่านก็เลยเล่าถึงเรื่องบิณฑบาตในหมู่บ้าน หมามันวิ่งออกมารุมมาเลย มีเณรไปด้วยอยู่ข้างหลัง วิ่งหดตัวเข้ามาหาท่าน ท่านอยู่ข้างหน้าไม่เป็นอะไร มันวิ่งใส่เณร เณรก็วิ่งเข้ามาติดกับท่าน เณรไปกลัวมันอะไร ไม่กลัวยังไงมันเห่าอยู่รอบตัวหลายตัวนี่นะ พอมาถึงวัดแล้ว โอ๊ย เณรนี้ไม่เป็นท่า ประสาหมาก็กลัว แต่ท่านพูดนิสัยท่านมีขลัง ๆ นะ เวลาท่านพูดท่านไม่ค่อยหัวเราะ ท่านพูดตามเรื่องราว แต่ผู้ขบขันมันจะตายล่ะซี พวกนี้เห็นหมามันก็กลัว มันไม่มีคาถาอย่างข้า ข้ามีคาถาหมากลัวหมาไม่กัด สักเดี๋ยวท่านก็ยื่นแขนออกมา นี่ละคาถาของข้า อยู่ตรงที่สักนี่ คาถาข้ากันไว้หมด เรื่องหมาไม่ต้องพูด คาถาของข้าหมากลัว
พอเช้าวันหลังไป มันโดดมาฟาดใส่ตรงนั้นเลย เลือดสาดเลยนะ เลือดสาดมาตั้งแต่โน้น นั่นเห็นไหม การพูดนี่เป็นการประมาทอันหนึ่งเหมือนกันนะ การพูดนี่เป็นความประมาทอยู่อย่างลึกลับเหมือนกัน ท่านก็พูดธรรมดาหยอกเณร ท่านไม่ได้ตั้งใจอวดอะไร เห็นเณรวิ่งพันท่านอยู่ หมาจะกัดเณรเลยวิ่งพันท่าน กลัวอะไรเณร พอมาถึงวัดก็ว่า อย่างนั้นละไม่มีคาถามันก็กลัว ข้ามีคาถาข้าไม่กลัว ท่านก็ไพล่มือมา นี่คาถาของข้าหมากลัวไม่กัด พอไปเช้าวันหลังมันก็ฟาดตรงนั้นเลย วิ่งมาก็ใส่เลย เลือดสาด พอมาถึงวัดท่านก็ว่า โฮ้ วันนี้คาถาขายเจ้าของ หมากัดเสียแล้ววันนี้
ท่านก็มีแง่คิดอยู่อันหนึ่งเหมือนกันให้เราคิด นี่มันคงเป็นความประมาทของเขา ท่านว่างั้น สักตั้งแต่วันสักมาจนกระทั่งป่านนี้ หมาไม่ได้กัดได้เห่าเลย วันนี้มันมากัดเอาเลย เพราะเราคุยโม้ ท่านว่างั้นนะ ความคุยโม้นี่ไม่ดีท่านว่า เป็นภาษิตสอนพวกเราได้ดีนะ ท่านพูดท่านเฉย ไอ้เราที่นั่งมันจะตาย ท่านพูดอวดคาถาท่านนั่นซี ไปวันหลังหมาฟัดเอาเลือดสาดเลย มันซัดคาถาดี ๆ ดอกผักแว่น เลือดสาดออกมาเลย นิสัยท่านมีขบขัน สมเด็จมหาวีรวงศ์ มีนิสัยขบขัน พูดไม่ค่อยหัวเราะนะ
ผู้ใหญ่ต้องดูรอบบ้านรอบเมือง ผู้ใหญ่ในครอบครัวเหมือนกัน เวลาจะหลับจะนอนพ่อบ้านแม่บ้านต้องเที่ยวเดินเลาะ ๆ ดูรอบ ๆ บ้าน ตามบ้านนอกเขาเป็นอย่างนั้น ในเมืองยิ่งมีผู้ร้ายชายโจรมาก พ่อบ้านแม่บ้านเจ้าของบ้านก็ต้องพินิจพิจารณาอย่างละเอียดลออ ไม่ใช่สุ่มสี่สุ่มห้า อยากนอนก็ตูมเลย ๆ อย่างนั้นมันงัดอะไรก็ได้ มันมาเตรียมอะไรไว้เรียบร้อยจะเข้าบ้าน พวกโจรผู้ร้ายมันเรียนวิชาเก่ง วิชาโจรผู้ร้ายก็แหลมคมตามเรื่องของโจร วิชาป้องกันโจรผู้ร้ายก็ต้องมีวิชาที่แหลมคมเช่นเดียวกัน ไม่งั้นไม่ทันกันแล้วเสียท่า
เวลานี้หลวงตาก็ค่อยสะดวกสบายดี ได้พูดถึงพี่น้องชาวไทยเรามาประจำแทบทุกวัน เกี่ยวกับการช่วยชาติบ้านเมือง ให้มีความเข้มงวดกวดขันในการกินอยู่ปูวายบ้าง อย่าให้มันเลอะเทอะเหมือนที่เคยเป็นมา ความเลอะเทอะไม่เป็นของดีเลย ต้องมีขอบมีเขต การเป็นอยู่ใช้สอยควรมีการระมัดระวังบ้าง ไม่มากก็ให้มีบ้าง เลอะเทอะไปเลยนี่ใช้ไม่ได้ มันเป็นนิสัย ถ้าเป็นนิสัยจะไปสอนใคร พ่อแม่เป็นแบบพิมพ์ของเด็ก แล้วก็สอนเด็กแบบแบบพิมพ์บ้า ๆ นี่เข้าใจไหม แล้วเด็กก็กลายเป็นบ้าตามพ่อตามแม่ เลอะ ๆ เทอะ ๆ ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ไม่รู้จักความพอดิบพอดีจึงหาความอิ่มพอไม่ได้ ก็หาความสุขไม่ได้คนเรา ถ้ามีความอิ่มพอมีความสุข สุขตรงที่อิ่มพอนะ
เรารับประทานพอเราก็สบาย นอนหลับพอกับธาตุกับขันธ์เราก็สบาย อะไรถ้าพอ พอแล้วสบาย ๆ ไอ้ไม่พอนี้ไม่มีความสบายเลย ใครจะเอาเงินมากองเท่าภูเขาก็ตามเถอะ ถ้าลงความหิวโหยไม่พอแล้วไม่มีความหมาย คนนี้เป็นกองทุกข์เต็มหัวอก เงินกองเท่าภูเขาไม่มีความหมาย มันมีความหมายอยู่ที่จิตใจ พระพุทธเจ้าสอนศาสนาจึงสอนลงที่จิตใจไม่สอนที่อื่น เพราะทุกอย่างอยู่ในใจนี้หมด สอนธรรมะลงที่นี่ โรงงานใหญ่คือใจ เมื่อใจได้รับการอบรมสั่งสอนที่ถูกที่ดีแล้ว ก็กระจายออกไปด้วยความคิดความอ่านในทางที่ถูกที่ดี สิ่งที่สำเร็จรูปขึ้นมาจากกิจการงานของเราที่ทำด้วยความพินิจพิจารณา ก็ดิบดีไปโดยลำดับ แม้ผิดพลาดก็ไม่มากคนใช้ความพิจารณา ผิดกับคนที่ไม่เอาไหน มีแต่จะเอาท่าเดียวจะไปท่าเดียว จะกินท่าเดียวนอนท่าเดียว อย่างนี้เหลวไหลไปตลอดจนกระทั่งวันตายเหลวไหลไปอีก
เอาคนคนนั้นไปลงในหีบศพ หีบศพก็เหลวไหล เอาไปเผาไฟ ไฟก็เหลวไหลไปตาม ๆ กันหมด มันเหลวไหลไปจากคน ถ้าคนดีไปที่ไหนก็ดีไปหมด ต่างกันอย่างนั้นนะ คนดี ดีที่หัวใจ ศาสนาพุทธของเราจึงสอนลงที่หัวใจ สอนแม่นยำมากทีเดียว เราไม่เคยเห็นศาสนาใด เราก็ดูบ้างศาสนาต่าง ๆ แต่ไม่ได้ประมาท เราเอาความจริงมาพูด ศาสนาพุทธนี้จี้ลงที่หัวใจ ขึ้น มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฺฐา มโนมยา สิ่งทั้งปวงนี้มีใจเป็นใหญ่ มีใจเป็นประธาน ที่จะบงการทุกสิ่งทุกอย่างออกสู่ภายนอก นั่นเห็นไหมล่ะ
เมื่อเป็นเช่นนั้นเราก็ดูตัวของเรา ดูกายวาจาความเคลื่อนไหวของเรามันผิดพลาดประการใดบ้าง ขยายออกไปต่อชุมนุมชน ชุมนุมชนเป็นยังไง หัวใจเราก็มี ชุมนุมชนเขาก็มีหัวใจ ต้องคิดหัวใจเราแล้วคิดหัวใจเขา เมื่อคิดหัวใจเทียบซึ่งกันและกันแล้วคนเราก็รู้จักความสูงความต่ำ ความควรไม่ควรเป็นลำดับลำดา ความเกรงอกเกรงใจกันก็มี ไม่พูดระบาดสาดกระจายไปตามอารมณ์ของตัวเองโดยที่ไม่คิดอ่าน ถ้าใช้ความพินิจพิจารณาจะเป็นของดีตลอดไป พระพุทธเจ้าท่านสอนอย่างนี้นะ
เราก็ดูศาสนาต่าง ๆ ศาสนาใดเราก็ดูมาบ้าง ไม่มากก็พอจับเงื่อน ๆ ไว้ได้ แต่ลงในจุดสำคัญที่ลงปึ๋ง ๆ ไม่มีเคลื่อนไปเลย ด้วยความถูกต้องดีงามนี้คือพุทธศาสนา ลงในหัวใจปึ๋งเลย จากนั้นออกจากหัวใจนี้ก็แสดงเรื่องกรรม คำว่ากรรม มโนกรรม คิดผิดทางหัวใจก็เรียกว่าอกุศลกรรมเกิดขึ้นแล้วในหัวใจ วจีกรรม พูดออกมาผิด ด้วยความไม่คิดเสียก่อนก็ผิดออกมา การกระทำทุกอย่างผิดไป ๆ นี่ท่านว่าจิตต้องสั่งงานทุกอย่าง เราดูของเราให้รอบมันเป็นยังไง คบค้าสมาคมกับเพื่อนกับฝูง เขามีหัวใจเรามีหัวใจ เอาหัวใจเรากับหัวใจเขาเทียบกันบ้าง อย่าเอาแต่หัวใจเราไปเหยียบย่ำทำลายคนอื่น เป็นการกระทบกระเทือนไปหมด ไปที่ไหนไม่มีคนคบค้าสมาคม ต้องระมัดระวังให้มาก
เราเป็นสัตว์พวก สัตว์หมู่สัตว์เพื่อน แม้แต่อยู่ในบ้านเราไม่มีอะไร เล่นกับหมาอยู่ ๆ ไปตีมัน มันก็ร้องแง็ก ๆ ว่าไง ส่วนมากหมาไม่ค่อยต่อสู้เจ้าของ ตีเท่าไรก็ร้องหมอบราบอยู่เท่านั้น แต่หัวใจมันก็หงุดหงิด มันเกลียดในใจของมันเหมือนกันกับเรา ทีนี้ยิ่งไปกระทบกระเทือนกับคนเข้าแล้วคนเราฤทธิ์มากยิ่งกว่าหมา ว่างั้นเถอะนะ ทีนี้จะเป็นยังไง เราต้องคิด เราอยู่เป็นสัตว์หมู่สัตว์พวกต้องคิด
อยู่ในบ้านก็คิดกับคนในบ้าน ออกนอกบ้านก็คิดกับคนนอกบ้าน ประสานกันอย่างนี้แล้วไปไหนก็สะดวกสบาย ไม่ค่อยผิดพลาดและไม่ค่อยทะเลาะเบาะแว้ง คน ๆ นั้นนะ นี่แหละความใช้ความคิด ออกจากศาสนานะ นี่มโนกรรม ความคิดผิดก็เกิดขึ้นแล้ว ความคิดถูกเกิดขึ้นแล้ว วจีกรรม กายกรรม กระจายออกไปข้างนอกออกจากใจนี้ทั้งนั้น ขอให้พากันพิจารณาถึงเรื่องใจ ใจอยู่กับเราทุกคน ใจเป็นผู้รับผิดชอบในตัวเราทุกคน การกินอยู่หลับนอนทุกอย่าง ใจรับผิดชอบทั้งนั้น ถ้าไม่รับผิดชอบแล้วเลอะ ๆ เทอะ ๆ ไปหมด คนเราทั้งคนหาความดีไม่ได้ ความดีอยู่กับหัวใจ ต้องให้พินิจพิจารณาเรื่องใจให้มากนะ
ศาสนาพุทธเรานี้เลิศเลอ เราเกิดมาพบพุทธศาสนา นับว่าเรามีบุญวาสนาแล้วนะ อย่าปล่อยอย่าวาง ขมก็กลืน กิเลสมันทำให้ขม ถ้ากับศาสนาแล้วมันหาว่าศาสนาขม เอ้า กลืนลงไป ที่ไหนกิเลสว่าหวาน ๆ อันนั้นแหละตัวมหาภัยอยู่ตรงที่หวาน ๆ นั้นคือเหยื่อล่อ ไหมหวาน ๆ นั่น ให้สัตวโลกทั้งหลายตายใจยอมกับมัน ล้มเหลวไปตามมันทั้งนั้น พากันจำเอา วันนี้ไม่ได้พูดมากแหละ เพราะเรารู้สึกเหนื่อย หูอื้อตั้งแต่เช้าเดินจงกรมหูอื้อแล้ว มันเป็นยังไงไม่รู้นะ ให้พากันตั้งอกตั้งใจทุกคนนะ
การช่วยชาติบ้านเมืองอย่าอ่อนอย่าชินชา บ้านเป็นของเรา เมืองเป็นของเรา เราเป็นเราทุกคน เป็นสมบัติเต็มตัวทุกคน ทั้งในตัวเราและบ้านเมืองของเรา ให้ต่างคนต่างเข้มงวดกวดขัน ช่วยซึ่งกันและกันตลอดเวลาไป อย่าเฉื่อยชานะไม่ดี ให้มีความระมัดระวังตัวเสมอ นี่แหละศาสนา เรียกว่าเรามีศาสนาก็คือมีการระวังตัว ระวังสิ่งของทุกสิ่งทุกอย่าง เกี่ยวกับตัวของเราและส่วนรวมก็ให้พิจารณาไปตาม ๆ กัน นี่เรียกว่าใช้ความคิด เอาละพอ