|
/body onLoad="MM_preloadImages('../images/link_2_6_a.gif')">
/SCRIPT LANGUAGE="javascript1.1" page="dhamma_online";
/SCRIPT LANGUAGE="javascript1.1" src="http://truehits1.gits.net.th/data/e0008481.js">
|
|
|
พุทธศาสนาแท้ดูที่จิตใจ |
|
วันที่ 15 เมษายน 2545
สถานที่ : วัดมเหยงคณ์ จ.อยุธยา |
|
ค้นหา :
พุทธศาสนาแท้ดูที่จิตใจ
[รวมเวลาแสดงธรรม ๑ ชั่วโมง ๑๖ นาที]
เวลาพูดนี้ได้ยินทั่วถึงกันมั้ย เดี๋ยวจะไม่ได้ยินกัน ผู้เทศน์เทศน์แทบเป็นแทบตายผู้ฟังไม่ได้ยินไม่เกิดประโยชน์อะไร
ที่อย่างนี้ต้องปลูกไม้ให้ร่มเย็นมาก ๆ ต่อไปก็เป็นป่าหาที่หลบซ่อนเดินจงกรมนั่งภาวนาสะดวกสบายไปหมด คือป่านี้เราปลูกได้ ป่าที่ได้ตกแต่งเองปลูกได้ทุกแง่ทุกมุมไปหมดตามแต่เห็นสมควรปลูกได้ทั้งนั้น ต้นไม้ใหญ่ปกคลุมหุ้มห่อไปหมด เย็นไปหมดอยู่ที่ไหนสะดวกสบาย ข้างล่างก็ร่มข้างบนก็ร่ม มองไม่เห็นกัน นั่นแหละเหมาะ อย่างวัดป่าบ้านตาดนี้มองไม่เห็นกันนะ เราให้บริเวณเฉพาะศาลาเท่านั้นออกไปข้างนอก ข้างในไม่ให้เข้าไปเกี่ยวข้องเลย ประชาชนญาติโยมทั้งหญิงทั้งชายไม่ให้เข้าไป ให้พระท่านบำเพ็ญสะดวกตลอดเวลา แม้ที่สุดที่เราช่วยชาติบ้านเมืองอย่างนี้ พระก็ไม่ได้ออกมายุ่งนักนะ เราจะให้ออกมาช่วยบ้างเวลาจำเป็น จะให้มาชั่วระยะเท่านั้น นอกนั้นก็เลิกเลย ให้ถือหน้าที่การงานของพระเป็นหลักเป็นเกณฑ์
นี่จะเริ่มพูดไปเรื่อย ๆ วันนี้จะพูดเป็นกันเอง จะไม่ทำพิธียกครูยกคันอะไรล่ะนะ ต่อยไปเรื่อย ๆ ใครมาผ่านหมัดก็ต่อยเลย ให้ระวังให้ดีนะ เดี๋ยวตกสระเดี๋ยวจะว่าไม่บอกนะ มวยนี้ไม่ได้มวยยกครูนะ อะไรมาผ่านหมัดแล้วต่อยเลยเรื่อย ๆ
เรามุ่งหมายอย่างมากทีเดียวต่อบรรดาพี่น้องชาวพุทธเรา ไปที่ไหนไม่มองข้ามหัวใจนะ เราไม่มอง สมบัติเงินทองข้าวของตึกรามบ้านช่องถนนหนทางเครื่องยนต์กลไกเต็มบ้านเต็มเมือง อะไรมีแต่หรู ๆ หรา ๆ เราไม่สนใจ จะสนใจแต่หัวใจคนเท่านั้นเป็นสำคัญ โลกทั้งโลกนี้อยู่ได้ด้วยหัวใจของผู้เป็นเจ้าของสมบัติแต่ละราย ๆ แต่ละชิ้นละอันแต่ละครอบครัวเย้าเรือน จิตใจเป็นผู้รักษาสมบัติ เป็นผู้บำรุงสมบัติทั้งหลายได้เป็นอย่างดี เมื่อใจของเราได้รับการอบรมด้วยดีโดยทางศีลทางธรรมเป็นเครื่องดำเนิน แต่โลกไม่มองดูจุดสำคัญ นั่นจึงน่าวิตก
พระพุทธเจ้าตรัสรู้ลงที่จิตใจ บำเพ็ญก็ชำระที่จิตใจ ตั้งแต่เริ่มเจริญอานาปานสติเรื่อยมา นอกนั้นก็เป็นทางไม่เคยเดิน สิ่งไม่เคยรู้ก็กำดำกำขาวไปเป็นธรรมดาเหมือนเรา ๆ ท่าน ๆ แต่เวลาจับจุดได้แล้วคืออานาปานสติ เรียกว่าภาวนา สติลงไปสู่จิต นั่นแหละเรียกว่าภาวนา เริ่มเห็นความสำคัญตั้งแต่ต้นมาเลย ตั้งแต่ปฐมยาม มัชฌิมยาม ปัจฉิมยามเรื่อยมา นั่นคือท่านดูจิตใจในคืนวันเดือนหกเพ็ญ ก็ได้ตรัสรู้ในคืนวันนั้น นี่บำเพ็ญถูกจุดของธรรม ธรรมย่อมเกิด ถ้าบำเพ็ญไม่ถูกจุดของธรรมก็ลูบ ๆ คลำ ๆ งู ๆ ปลา ๆ ไปอย่างนั้นแหละ ไม่ว่าท่านว่าเรา หากฎหาเกณฑ์ไม่ค่อยได้ ผลประโยชน์ที่พึงจะเกิดก็ไม่มีเพราะทำผิดพลาดไป
สุดท้ายก็มาเสริมความขี้เกียจขี้คร้าน ท้อแท้อ่อนแอ ความเคารพเลื่อมใสความเชื่อต่าง ๆ ก็ล้มละลายไปตาม ๆ กัน นี่กิเลสก็ลากไปใช้งานได้อย่างคล่องตัว เมื่ออ่อนแอทางด้านศีลธรรมแล้ว กิเลสย่อมแข็งตัวขึ้นมา ฉุดลากเอาเราซึ่งเป็นเครื่องมือของมันนั้นแหละ แล้วนำมาสับมายำเราเองให้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อนทั่วหน้ากันหมด เพราะฉะนั้น ท่านจึงสอนให้ดูจิตใจ นี่ล่ะพุทธศาสนาของเราโดยแท้ดูที่จิตใจ มโน ปุพฺพํ คมา ธมฺมา มโน เสฏฺฐา มโน มยา ขึ้นตรงนี้เลย สิ่งทั้งหลายมีใจเป็นใหญ่มีใจเป็นประธานสำเร็จแล้วด้วยใจ ถ้าใจได้รับการอบรมมาด้วยดีแล้ว การพูดก็ดี การคิดก็ดี การกระทำทุกอย่างเป็นของดีไปตาม ๆ กันหมด เกี่ยวกับสิ่งภายนอกหน้าที่การงานก็สดสวยงดงามสะอาดสะอ้านไม่เป็นมลทินเป็นโทษเป็นกรรมแก่ผู้ทำ เพราะจิตได้รับการ อบรมมาด้วยดี ถูกทางที่จะให้เกิดผลเกิดประโยชน์แก่ตนแล้วย่อมเกิดเสมอไป
ท่านจึงสอนให้อบรมจิตใจก่อนที่จะไปเป็นใหญ่เป็นโตกับสิ่งใด วัตถุใดสมบัติใดที่เราได้อาศัยอยู่นั้น ขอให้ดูจิตใจของเราซึ่งเป็นหัวหน้าซึ่งเป็นเจ้าของด้วยดี ดูที่นี่อยู่โดยสม่ำเสมอ ความระลึกดีชั่วบาปบุญย่อมปรากฏขึ้นมาในหัวใจเรานั้นแหละ เพราะใจเป็นสถานที่เกิดแห่งบาปและบุญเกิดที่ใจ กิเลสก็เกิดที่ใจ ธรรมะก็เกิดที่ใจ ท่านจึงสอนให้ดูที่ใจเป็นสำคัญ แล้วส่วนมากไม่ว่าท่านว่าเราจะตำหนิใครก็ตำหนิไม่ได้ เพราะไม่รู้ทั้งต้นเหตุคือหลักใหญ่ได้แก่ใจ ไม่รู้ทั้งสิ่งภายนอกที่เกี่ยวข้องกับตนว่าจะปฏิบัติกันอย่างไรถึงจะถูกต้องดีงามเป็นผลเป็นประโยชน์ขึ้นมา
ใจที่ไม่ได้รับการอบรมก็ไม่รู้เรื่องเหล่านั้นเสีย เพราะไม่รู้เรื่องของตน เรื่องของตนก็มีแต่กิเลสความมัวหมองมืดตื้ออยู่ภายในจิตใจ คิดเรื่องใดขึ้นมาก็มีแต่กิเลสคุมอำนาจพาคิดพาปรุงพาแต่ง คิดเรื่องไหนอดีตอนาคตปัจจุบันมีแต่เรื่องของกิเลสสร้างส้วมสร้างถาน สร้างผลงานของมันเข้าสู่ตัวมันแล้วสร้างโทษสร้างกรรมและความทุกข์ความเดือดร้อนให้เราที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวได้รับเป็นลำดับลำดาไป เพราะฉะนั้น โลกจึงมีความเดือดร้อนทั่วหน้ากันหมด ไม่ว่าชาติชั้นวรรณะใดประเทศใดเมืองใดทุกแห่งหนตำบลทั่วแดนโลกธาตุ ไม่มีผู้ที่จะได้รับความสุขความสมหวังตามใจหมายเลย เพราะก้าวเดินผิดทาง เนื่องจากไม่ได้รับการอบรมในทางที่ถูกที่ดี
กิเลสซึ่งเป็นฝ่ายผิดและคอยคุมอำนาจอยู่ตลอดเวลาแล้วมันยิ่งได้ช่องได้โอกาสฉุดลากสัตว์โลกให้หมุนตัวไปในทางที่ผิดซึ่งเป็นความดีงามความชอบของมัน แต่เป็นความผิดหวังสำหรับเราตลอดไป ผลที่ปรากฏขึ้นมาจึงไม่เลือกชาติชั้นวรรณะฐานะสูงต่ำประการใดไม่เลือก เพราะกิเลสเข้าสร้างบ้านสร้างเรือนเท่ากับสร้างฟืนสร้างไฟไว้ที่หัวใจของสัตว์ไว้ตลอดเวลา เมื่อสร้างอยู่ตลอดเวลาด้วยความยุ่งเหยิงวุ่นวายส่ายแส่ของจิตที่มันฉุดลากไปในอันดับแรก อันดับต่อมาก็เป็นผลให้เกิดความยุ่งเหยิงวุ่นวายเป็นความทุกข์ความลำบากแก่เรา เราก็ทนเอาเพราะหาทางออกไม่ได้ ไม่ทราบหาทางออกทางไหนก็จำต้องนอนจมอยู่กับกองทุกข์ด้วยกันทั่วโลกดินแดน แล้วก็ไม่มีความเข็ดหลาบอิ่มพอ เพราะไม่มีธรรมเป็นเครื่องส่องทางให้รู้พิษรู้ภัยรู้โทษของมัน มันก็ฉุดกันไปฉุดกันมา
วัฏฏวนจึงเป็นสถานที่เกิดที่ตายของสัตว์โลกไม่มีวันอิ่มพอ เกิดแล้วตายเล่าทั้งเขาทั้งเราทั้งสัตว์และบุคคล ในน้ำบนบกไม่มีปรากฏที่ว่างแห่งความเกิดตายของสัตว์เลย มีตั้งแต่ป่าช้าของสัตว์เต็มไปหมดในแดนโลกธาตุนี้ เราไม่ทราบว่าป่าช้าอยู่ที่ไหนก็อยู่กับตัวของเราทุกคนนั้นแหละ สัตว์ก็ป่าช้าอยู่กับตัวของสัตว์ สัตว์น้ำสัตว์บกบนฟ้าบนอากาศ จนกระทั่งถึงสัตว์ที่เป็นกายทิพย์ เทวบุตรเทวดาอินทร์พรหมเปรตผีประเภทต่าง ๆ มีป่าช้าประจำตัวหมด ดับที่ไหนก็เป็นป่าช้าที่นั่น เกลื่อนโลกธาตุนี้มีตั้งแต่ป่าช้าของสัตว์ ผู้ตายแล้วเกิดเล่าทั้งเขาทั้งเรา ไม่มีใครวัดเทียบกันได้ว่าผู้นี้ตายมากผู้นั้นตายน้อยเกิดมากเกิดน้อยมันมีความภาคภูมิด้วยความเกิดไม่มีวันอิ่มพอเช่นเดียวกันหมด
เพราะฉะนั้น โลกนี้จึงเป็นโลกที่เกิดตายและหาบหามกองทุกข์ไปกับการเกิดของตนเป็นลำดับมา แล้วเราจะตำหนิใคร นี่แหละที่พระพุทธศาสนาท่านมีประจำโลกเพื่อชี้ช่องทางให้สัตว์โลกได้ไต่เต้าไปตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ๆ ซึ่งตรัสรู้ขึ้นมาด้วยความสิ้นกิเลสเหมือนกันหมด จึงเรียกว่าพุทธศาสนา คำว่าพุทธศาสนาก็มีมานานตั้งกัปตั้งกัลป์กี่กัปกี่กัลป์ก็นับไม่ได้เช่นเดียวกัน แม้จะมีระยะห่างกันก็มีพระพุทธเจ้าสืบทอดกันมาเรื่อย ๆ อย่างนี้ตลอดมาและยังจะมีอย่างนี้ตลอดไป
หากไม่มีธรรมของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์นั้น สัตว์โลกที่ตายเกลื่อนกันอยู่ในวัฏฏจักรวัฏฏวนนี้ก็จะไม่มีความหมายอะไรเลย หาทางออกไม่มีเหมือนมดไต่ขอบด้งนั้นแหละ ไต่ไปไต่มาของเก่าของใหม่ก็คือขอบด้งกันเก่านั้นแหละแต่สัตว์ไม่ทราบจำต้องไต่ไปไต่มาวนไปเวียนมาอยู่อย่างนั้น นี่สัตว์โลกไม่ว่าประเภทใดนับแต่มนุษย์ลงไปเหมือนกันหมดโดยไม่มีความหมายอันใดเลยเพราะไม่มีทางออก นี่เหตุที่เกิดขึ้นแห่งธรรมของพระพุทธเจ้าทั้งหลายที่ได้มาตรัสรู้ธรรม คือมาเปิดทางความจริงทั้งหลายให้สัตว์โลกได้หลีกได้เว้นได้บำเพ็ญในสิ่งที่ควรหลีกเช่นบาปกรรมอันเป็นทางไปสู่สถานที่ไม่พึงปรารถนาเช่นนรกเป็นต้น
ท่านสอนต้นเหตุทางเดินของบาปของกรรมไว้ว่า ไม่ให้ทำบาป ถ้าทำบาปก็เท่ากับกรุยหมายปลายทางเดินของตัวเองเข้าสู่ช่องทางที่จนตรอกจนมุมเป็นเปรตเป็นผีเป็นสัตว์นรกแล้วแต่กรรมของตนที่สร้างไว้มากน้อยจะอำนวยให้ไปทางนั้น เราจำต้องไปทางนั้น แล้วสอนทางดีให้คือการสร้างบุญสร้างกุศล ผลประโยชน์อันล้ำเลิศให้เกิดขึ้นภายในจิตใจของตนซึ่งเป็นสายทางเดินเพื่อไปสู่สุคติโลกสวรรค์จนกระทั่งถึงพระนิพพาน นี่คือทางออกแห่งธรรมที่ท่านสอนไว้ เราได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนาจึงเรียกว่าเป็นผู้มีลาภมีบุญมากทีเดียว
สัตว์โลกด้วยกันแม้แต่มนุษย์เขาก็ไม่สนใจในพุทธศาสนาที่เป็นศาสนาที่เลิศเลอนี้อะไรนักเลย มีน้อย ๆ เช่นอย่างคนที่ถือพุทธศาสนาของเรา คนเต็มโลกนี้มีกี่พันล้าน แต่ผู้ที่จะนับถือพระพุทธศาสนาซึ่งเป็นทางเดินที่ราบรื่นดีงามก็มีไม่กี่คน นอกนั้นก็ตกเหวตกบ่อไปหมด ยึดศาสนานั้นยึดศาสนานี้ ยึดต้นไม้บ้างภูเขาบ้าง เจดีย์ล้าง ๆ บ้าง วัดล้างบ้าง ต้นไม้ใหญ่บ้าง ว่าเป็นที่เกาะที่ยึด สุดท้ายก็มีแต่คว้าน้ำเหลวด้วยกัน ไม่มีใครยึดได้ด้วยความสมหวังเหมือนผู้ยึดถือหลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าผู้สิ้นกิเลสแล้วนี้เลย นี่แหละศาสนาพุทธ ใครก็รู้ว่าเลิศแต่มันรู้แต่ความจำความคาดความด้นเดาเฉย ๆ ไม่ได้รู้ตามหลักความจริงดังพระพุทธเจ้าท่านรู้ท่านเห็นท่านนำมาสั่งสอนสัตว์โลกด้วยความจริงจังแน่นอนทุกอย่าง ผิดกันที่ตรงนี้
โลกทั้งหลายจึงเดือดร้อนวุ่นวายไปตาม ๆ กัน นี่เป็นมากี่กัปกี่กัลป์แล้วเราทราบไม่ได้ คำว่ากัปหนึ่งนานเท่าไหร่ ท่านพรรณนาไว้ในธรรมนี้ เรียกว่าสุดเอื้อมหมดหวังที่เราจะคาดความยืดยาวของกัปแต่ละกัปแต่ละกัลป์ แล้วเราเกิดตายมานี้นานเท่าไหร่ พระพุทธเจ้าก็ทรงอุบัติขึ้นมาเป็นองค์เป็นครั้งเป็นคราว เวลานี้ก็พระสมณโคดมของเราได้ตรัสรู้ขึ้นมาเป็นศาสดาเอกสอนโลกมาเป็นเวลาสองพันห้าร้อยกว่าปีนี้แล้ว จากนี้ไปพระอริยเมตไตรท่านก็จะมาตรัสรู้ถ่ายทอดกันไป แม้จะเป็นเวลานานก็มา ในระหว่างพระพุทธเจ้าจะมาตรัสรู้นี้ท่านเรียกว่า พุทธันดร ระหว่างแห่งพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์จะมาตรัสรู้นี้ก็แสนนานเหมือนกัน
นี่เราทั้งหลายเกิดมาได้มาพบพระพุทธศาสนา ได้มาเคารพนับถือปู่ย่าตายายของเรา ท่านพาเคารพนับถือศาสนาที่ถูกต้องแม่นยำและเลิศเลอมาตลอด เราทั้งหลายที่เป็นลูกเต้าหลานเหลนของท่าน ขอให้ยึดหลักพุทธศาสนานี้ให้แม่นยำ อย่าได้ปล่อยอย่าได้วาง พุทธศาสนานี้เท่านั้นเป็นศาสนาที่เลิศเลอแม่นยำทุกอย่าง นอกนั้นเป็นศาสนาของคลังกิเลส ผู้เป็นเจ้าของศาสนานั้นเป็นคนมีกิเลสเต็มหัวใจเช่นเรา ๆ ท่าน ๆ ที่ไม่ได้เสกสรรปั้นยอตนว่าเป็นครูเป็นอาจารย์เป็นศาสดาหรือเป็นเจ้าของของศาสนานั้น ๆ ก็เป็นผู้มีกิเลสเสมอกันหมด
การแนะนำสั่งสอนของคนมีกิเลสจะได้รับเสกสรรขึ้นมาว่าเป็นเจ้าของศาสนาก็ตามแต่ก็เป็นแต่ชื่อแต่นาม หลักความจริงไม่อำนวย คำว่าไม่อำนวยคืออะไร ผู้เป็นศาสดาสอนโลกต้องเป็นผู้สิ้นกิเลส เช่นพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ นี้ล้วนแล้วตั้งแต่เป็นผู้สิ้นกิเลส กิเลสขาดสะบั้นจากพระทัย จิตใจสว่างจ้าครอบแดนโลกธาตุ รู้เห็นไปหมด ท่านจึงเรียกว่า โลกวิทู รู้แจ้งโลก โลกนอกโลกในตลอดทั่วถึง อาโลโก อุทปาทิ สว่างกระจ่างแจ้งตลอดเวลาในพระทัยของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ๆ นี่ท่านมาตรัสรู้อย่างเดียวกันนี้หมด คือตรัสรู้ด้วยความสิ้นกิเลสจริง ๆ
ทุกสิ่งทุกอย่างจึงมองเห็นทะลุปรุโปร่งไปหมด ไม่มีอะไรปิดบังลี้ลับพระญาณหยั่งทราบของพระพุทธเจ้าได้เลย เรียกว่าเป็นศาสดาองค์เอกเป็นผู้สิ้นกิเลส สั่งสอนสัตว์โลกด้วยความกระจ่างแจ้งในพระทัยจริง ๆ นี่จะมีแต่สายทางของพระพุทธศาสนาเท่านั้นนอกนั้นไม่มี มีแต่ผู้ครองกิเลสหรือกิเลสเต็มหัวใจออกประกาศตนว่าเป็นศาสดาสอนโลก ศาสนานั้นศาสนานี้ คำว่า ศาสนาก็คือเอาธรรมเป็นสิ่งที่ให้โลกทั้งหลายตายใจกัน เพราะคำว่าธรรมโลกกราบไหว้มานานแล้ว ศาสนธรรม คือคำสั่งสอนนี้ออกมาจากธรรม โลกก็ยอมรับ ผิดถูกชั่วดีก็ยอมรับ พอว่าศาสนาเท่านั้น
เพราะฉะนั้น คำว่า ศาสนาจึงมีอยู่ทั่ว ๆ ไปสำหรับศาสนาใด ๆ ไม่มีละเว้นต้องเป็นศาสนานั้นศาสนานี้ คือคำสั่งสอนซึ่งออกมาจากธรรมที่เป็นที่ตายใจของโลกนั้นแล แต่ผู้ที่ทรงศาสนาหรือเป็นเจ้าของศาสนานั้นเป็นผู้กิเลสเต็มภายในจิตใจ การแนะนำสั่งสอนจึงเหมือนเรา ๆ ท่าน ๆ ไม่มีผิดแปลกจากกันแต่อย่างใดเหมือนพระพุทธเจ้าผู้สิ้นกิเลสนี้เลย นี่แหละที่ต่างกันต่างตรงนี้ เราได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนาแล้วได้เคารพนับถือกราบไหว้บูชาเป็นขวัญตาขวัญใจระลึกไว้ไม่หลงลืมอย่านี้ ขอให้พากันยึดไว้ให้แน่นหนามั่นคง
สิ่งใดเลิศไม่เหมือนจิตใจกับธรรมที่ครองกันแล้วเลิศออกมา พระพุทธเจ้าเลิศแต่ก่อนมีกิเลสอยู่ก็ไม่เรียกว่าเลิศ มีการเกิดการตายตกหลุมตกบ่ออยู่เช่นเดียวกันกับพวกเราตั้งแต่เริ่มแรกก่อนที่ทรงทำความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าเป็นพระโพธิสัตว์ ต้องมีการเกิดการตายเหมือนกันกับสัตว์ทั้งหลาย นรกหมกไหม้ตลอดสวรรค์พรหมโลก ขึ้นลง ๆ อยู่ตลอดเวลาเช่นเดียวกับเรา ๆ ท่าน ๆ นี้แหละ การเกิดการตายของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์จึงไม่ได้มีน้อยกว่าบรรดาสัตว์ทั้งหลายมีเหมือน ๆ กัน พอ ๆ กัน เวลามาตรัสรู้แล้วก็เรียกว่ารื้อป่าช้าออกจากพระทัยโดยสิ้นเชิง การเกิดตายก็หมายถึงใจ
เมื่อใจสิ้นกิเลสซึ่งเป็นเชื้อแห่งความเกิดตายแล้ว จิตใจย่อมไม่มีการเกิดตายต่อไปอีกแล้วเลิศเลอขึ้นมา แต่ก่อนยังไม่เรียกว่าเป็นคนเลิศเลอประเสริฐอะไรเลย พอได้ตรัสรู้ธรรมขึ้นมาเท่านั้นก็กลายเป็นศาสดาองค์เอกเลิศเลอขึ้นมาจนกระทั่งพระอรหันต์สาวกของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ๆ มีจำนวนมากเท่าไหร่กลายเป็นผู้เลิศเลอขึ้นมาเหมือนกันหมดเพราะความบริสุทธิ์ของใจเป็นเครื่องประกัน นี่แหละพุทธศาสนาเป็นของเลิศเลอมาจากจิตใจ เพราะฉะนั้น จึงได้เตือนพี่น้องทั้งหลายตั้งแต่ขั้นเริ่มแรกว่า สิ่งใดก็ตามไม่ได้มีความเลิศเลอและสำคัญยิ่งกว่าจิตใจผู้เป็นเจ้าของแห่งสมบัตินั้น ๆ ให้ประคับประคองจิตใจของตนซึ่งเป็นเจ้าของนี้ไว้ด้วยศีลด้วยธรรม
การประพฤติระบายออกสิ่งใดจากกายวาจาของเราให้มีใจเป็นเครื่องรับประกันความถูกต้องดีงามทุกอย่างแล้วกระจายออกไปก็จะเป็นการงานที่ถูกต้องดีงาม พูดออกไปก็มีเหตุมีผลไม่จับต้นชนปลายเหมือนคนบาปหนาสาโหดไม่มีอรรถมีธรรมภายในใจ จะมีเหตุมีผล มีหลักมีเกณฑ์ติดต่อสืบเนื่องไปยังผู้อื่นให้เกิดผลเกิดประโยชน์กับคำพูดที่เป็นอรรถเป็นธรรม คือความถูกต้องดีงามของตนไปโดยสม่ำเสมอ และทำหน้าที่การงานอะไรก็ให้พึงทราบว่าการทำนี้ทำเพื่อเรา การทำเพื่อเราดีก็ต้องเพื่อเราโดยหลักธรรมชาติ ชั่วก็ต้องเพื่อเราโดยหลักธรรมชาติเพราะกรรมเป็นของเราทุกคน ให้พึงเลือกเฟ้นด้วยดีในกิจการงานต่าง ๆ ที่จะทำ อย่าทำพรวดพราดสักแต่ว่าทำหรือทำตามความอยากความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมความคึกความคะนอง
สิ่งเหล่านี้จะนำยาพิษเข้ามาเผาผลาญหัวใจเราโดยไม่อาจสงสัย จึงขอให้พิจารณาสังเกตด้วยดี การจะทำหน้าที่การงานอันใดก็ดี อย่าเห็นแต่ว่าทำแล้วมันแล้ว มันไม่แล้วการทำลงไปแล้ว แต่ผลของกรรมดีชั่วที่ทำไปด้วยความผิดหรือความถูกนั้นก็ติดตามมาหาเจ้าของนั้นแหละ ไม่ไปที่อื่นที่ใด สถานที่เก็บบาปเก็บกรรมของสัตว์ทั้งหลายไม่เคยมีที่ใครสร้างไว้ที่ไหน คนนี้สร้างบาปแล้วเอาไปโยนไว้หลุมนั้นโยนไว้บ่อนี้เหวนั้น ไม่มี สร้างบุญสร้างกุศลแล้วก็เป็นโมฆะไม่สามารถที่จะสนองความดีให้แก่ผู้สร้างได้เลย อย่างนี้ก็ไม่มี
ใครสร้างบาปไม่มีที่เก็บ หัวใจเป็นผู้สร้างเอง ใจเป็นผู้เก็บบาปนั้นเอง ผู้สร้างบุญก็เหมือนกัน ไม่มีที่เก็บบุญเก็บกุศลที่ไหนมีที่เดียวคือใจซึ่งเป็นผู้สร้างบุญสร้างกุศล หนักเบามากน้อยขนาดไหนจะไปรวมอยู่ที่ใจเป็นนามธรรมมองด้วยตาเนื้อไม่เห็น แต่สิงสถิตอยู่กับใจของผู้ทำทั้งดีทั้งชั่วด้วยกันทุกราย ให้เราระมัดระวังอันนี้ให้ดี เมื่อเราเกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว เราอย่าเข้าใจว่าเป็นมนุษย์เพียงชาตินี้ชาติเดียว มันจะเป็นหลายประเภทแห่งสัตว์จากจิตใจของเราดวงเดียวนี้ แปรสภาพไปได้ตามอำนาจแห่งบาปแห่งบุญ ไม่มีกำหนดกฎเกณฑ์ สัตว์น้ำสัตว์บกบนฟ้าอากาศ มันสามารถไปเกิดได้หมด นรกอเวจีก็ไปได้ จนกระทั่งสวรรค์พรหมโลกนิพพาน จิตดวงนี้ไปได้ เป็นเปรตเป็นผี จิตดวงนี้จะแปรสภาพไปได้ตามอำนาจแห่งกรรมดีกรรมชั่วของตน
ท่านจึงสอนให้ไม่ประมาทกรรม สักแต่ว่าอยากทำอะไรก็ทำตามความชอบใจ ให้พึงคำนึงถึงผลที่จะติดตามมาจากการทำของตัวเองเสมอ ถ้าเรามีความคำนึงอยู่นี้ก็เท่ากับเราเป็นผู้รับผิดชอบในตัวของเราสมกับว่าเรารักสงวนตัว จึงต้องระมัดระวังสิ่งที่จะเป็นภัยต่อตัวของเราเอง เช่นบาปกรรมอย่างนี้จะมาเป็นภัยต่อเราเอง แม้เราเป็นผู้ทำคือความภาคภูมิใจด้วยความสมัครใจก็ตาม แต่ผลต้องเป็นพิษตลอดไป ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความภาคภูมิใจของเราที่ทำแล้วจะไม่มีผลชั่วตอบแทน อย่างนี้เป็นไปไม่ได้ ต้องมีผลชั่วตอบแทนตลอดมาและจะตลอดไป
การสร้างความดีก็เหมือนกัน ไม่ต้องหาอะไรมาบรรจุแหละความดี เราสร้างมากสร้างน้อยติดอยู่กับใจของเรา ไปเกิดในภพใดแดนใด เป็นภพเป็นแดนที่พึงหวัง ๆ เพราะอำนาจแห่งบุญที่เราสร้างไว้แล้วทั้งนั้น ไม่ต้องไปหาที่ไหน เพราะธรรมชาตินี้อยู่กับใจ เกิดที่ใจไม่เกิดที่ไหน พูดทางวาจา ทำทางร่างกาย ผลก็สะท้อนเข้าไปหาใจซึ่งเป็นเจ้าของนั้นแล จึงต้องได้ระมัดระวัง วันนี้ได้มาชี้แจงอรรถธรรมให้พี่น้องทั้งหลาย ได้เน้นหนักทางด้านจิตใจซึ่งเป็นเจ้าของสมบัติทั้งหลายให้มีหลักมีเกณฑ์พอประมาณแล้วการครองตัวของเราก็จะมีความสุขสงบร่มเย็นไปเป็นลำดับลำดา
ถ้านำธรรมเข้ามาปกครองใจแล้ว ใจจะเริ่มมีความสงบเย็นใจเป็นลำดับ ถ้าปล่อยให้บาปให้กรรมความทะเยอทะยาน ความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมมาเป็นเจ้าของครองใจแล้ว มันจะนำตั้งแต่สิ่งไม่พึงปรารถนานั้นแหละเข้ามาเผาหัวใจเราให้เกิดความเดือดร้อนวุ่นวายทั่วหน้า ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนมีคนจนคนโง่คนฉลาด ความโง่ความฉลาด โง่ฉลาดอยู่ในเรือนจำของวัฏฏจักรมีกิเลสครอบงำเอาไว้ ความฉลาดก็ฉลาดไปทางกิเลสที่จะสร้างบาปสร้างกรรมให้ตนเสียเป็นส่วนมาก ความโง่ยิ่งซ้ำเติมเข้าไปอีกให้สร้างบาปสร้างกรรมอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว เพราะฉะนั้น จึงไม่ขึ้นอยู่กับว่าคนมั่งคนมีคนจน ว่าจะทำบาปทำกรรมอะไรไม่ได้ กิเลสเป็นเจ้าของอยู่นั้นมันสามารถให้ทำได้ด้วยกัน
ยิ่งผู้ไม่มีธรรมในใจด้วยแล้วมีสมบัติเงินทองข้าวของ มียศฐาบรรดาศักดิ์สูงต่ำขนาดไหนยิ่งเป็นปุ๋ยอย่างดีงามส่งเสริมกิเลสให้ทะนงและถือตัวเย่อหยิ่งจองหองมากขึ้น การสร้างความชั่วก็สร้างได้มากกว่าคนธรรมดา ผลสะท้อนย้อนมาก็เศรษฐีคนนี้แลจะไปจมลงพื้นแห่งนรกอเวจียิ่งกว่าคนทั้งหลายที่เป็นตาสีตาสาเขาไม่มีความสามารถทำบาปช้าลามกอย่างเศรษฐีคนนั้น เศรษฐีคนนี้จมได้ไม่สงสัย แต่ถ้าเศรษฐีเป็นผู้มีใจเป็นธรรมแล้ว ผู้นี้แลจะกอบโกยเอาคุณงามความดีได้มากกว่าเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน มันขึ้นอยู่กับใจมีธรรมและไม่มีธรรม
คนมีธรรมจะเป็นคนโง่ก็ตามคนฉลาดก็ตาม โง่ก็โง่ด้วยความมีธรรม ฉลาดก็มีธรรมในใจเป็นเครื่องป้องกันรักษาตัวให้รับความอบอุ่นไปได้ทั้งโลกนี้และโลกหน้า ไม่ล่มจมคนมีธรรม ทุกข์เข็ญใจตายแล้วเหาะเหินเดินฟ้าขึ้นไปสวรรค์จนกระทั่งถึงนิพพานมีจำนวนมาก เศรษฐีกุฏุมพีสร้างตัวให้เป็นข้าศึกแก่ตัวเองตกนรกอเวจีก็มีจำนวนมากเช่นเดียวกัน ในขณะเดียวกันเศรษฐีกุฏุมพีเป็นผู้มีอรรถมีธรรมก็ยิ่งเสริมตัวให้มีความสุขความเจริญขึ้นไปเรื่อย ๆ จนถึงความพ้นทุกข์ ได้ไม่สงสัยเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้น ขึ้นอยู่กับจิตใจของแต่ละคน ๆ มีธรรมหรือไม่มีธรรม เราอย่าเอายศฐาบรรดาศักดิ์ อย่าเอาสมบัติเงินทองข้าวของมาปิดกั้นกำบังเอาไว้ว่าเป็นใหญ่เป็นโตกว่าศีลกว่าธรรมกว่าบุญกว่าบาปไม่ได้นะ ต้องเอาธรรมเข้าเป็นเครื่องกั้นกลางเป็นเครื่องทดสอบเสมอ เรื่องเหล่านั้นมันเป็นความสำคัญความทะนงตัวของกิเลสให้สัตว์โลกลืมตัวต่างหาก
คนเราถ้ามีอะไรขึ้นมามักจะลืมตัว ถ้าไม่มีธรรมนะ ถ้ามีธรรมแล้วยังไงก็ไม่ลืม คนจนก็ไม่ลืม คนมั่งมีก็ไม่ลืม คนมียศฐาบรรดาศักดิ์มากน้อยไม่ลืมทั้งนั้นยิ่งส่งเสริมความดีของคน ยศฐาบรรดาศักดิ์ให้สูงส่งขึ้นไปด้วยการสร้างคุณงามความดีและทำฐานะของตนให้สูงส่งขึ้นไปด้วยการสร้างความดี ไม่ถือทิฐิมานะเย่อหยิ่งจองหอง ผู้นี้ก็เป็นคนดีไปเรื่อย ๆ มันขึ้นอยู่กับใจ จึงขอให้ทะนุถนอมจิตใจให้ดี บรรดาพี่น้องชาวพุทธเรา อย่ามองภายนอกอย่างเดียว อันนี้ไม่ว่าท่านผู้ใดก็ตามก็เห็นใจเหมือนกันเพราะไม่มีที่ยึดที่เกาะ โลกเกิดมามันก็มีอย่างนี้มาแล้ว เกิดมาก็เกิดมากับพ่อกับแม่กับบ้านกับเรือนกับสมบัติเงินทองข้าวของบริษัทบริวารก็ต้องมาเจอสิ่งเหล่านี้ก่อนอื่น
ถ้าเจอแล้วก็ติดพันกันไป เขาก็ติดเราก็ติด ติดไปเรื่อยก็เลยเพลินไปด้านวัตถุไปเสีย คนนั้นมั่งมีดีเด่นคนนี้น่านับถือเพราะเขาเป็นคนมั่งมี เลยนับถือกันไปลม ๆ แล้ง ๆ ไปเสีย คนไหนจนดูถูกเหยียดหยามกันว่าไม่มีสมบัติเงินทองเป็นทุกข์เข็ญใจก็ดูถูกกันไปเสีย ถ้าคนไหนเป็นคนมั่งมีดีเด่นยศฐาบรรดาศักดิ์สูงส่ง คนนั้นกลายเป็นคนดีไปเสีย ทีนี้ผู้ดีไม่มีธรรมอย่างงั้นแล้วก็ลืมเนื้อลืมตัว เย่อหยิ่งจองหองพองตัวมาก สร้างแต่บาปแต่กรรม ทีนี้บาปกรรมมันเหนือสิ่งใด ๆ ทั้งนั้น ไม่ได้อยู่ใต้อำนาจอะไรทั้งหมด เรื่องกรรมดีกรรมชั่วเป็นสิ่งที่เหนือโลกสงสารตลอดมา
ขอให้ทำกรรมลงไปเถิดทั้งดีทั้งชั่ว กรรมนั้นจะเป็นผู้มีอำนาจปกครองคนนั้นได้เป็นอย่างดี ท่านสอนไว้ในธรรมว่า นตฺถิ กมฺม สมํ พลํ ไม่มีอานุภาพใดที่จะเหนืออานุภาพแห่งกรรมคือ บาปและบุญนี้ไปได้เลย กรรมดีกรรมชั่วนี้มีอานุภาพมาก ใครทำกรรมชั่วก็มีอานุภาพที่จะกดขี่บังคับทรมานผู้นั้นได้โดยไม่ต้องสงสัย ใครทำกรรมดีความดีนั้นแลจะเป็นเครื่องประคับประคองหนุนส่งคนนั้นให้หลุดพ้นจากทุกข์ที่ไม่พึงปรารถนาได้เป็นลำดับลำดาจนกระทั่งถึงแดนแห่งความพ้นทุกข์ได้เพราะอำนาจแห่งกรรมดีมีมาก ท่านจึงเรียกว่า กรรมนี้เหนือทุกอย่าง
เราทำอะไรให้พึงคำนึงว่าทำดีหรือชั่ว ถ้าเราทำชั่วกรรมชั่วนั่นแหละจะมาบีบบังคับเรา อย่าฝืนทำ ถ้าเราทำกรรมดี กรรมดีนี้แลจะพยุงเราให้อุตส่าห์พยายามทำ ยากเย็นเข็ญใจอะไร เราเกิดกับโลกนี้มันเป็นโลกสร้างอยู่สร้างกิน ไม่มีใครเกิดมาก็มีแต่ความเสวยอย่างเดียว การงานไม่ต้องทำ ไม่มี โลกนี้เป็นโลกขวนขวายต้องวิ่งเต้นหาอยู่หากินพอเป็นพอไปทั้งเขาทั้งเรา ทั่วโลกเป็นอย่างนั้น อันนี้ให้ถือว่าเป็นงานเป็นการอันหนึ่งของเราไปเสีย งานอันดีที่มีความดีประจำมีธรรมประจำหน้าที่การงานขอให้มีเสมอ อย่าปล่อยเนื้อปล่อยตัวแล้วอย่าถือสิ่งภายนอกนั้นว่าเป็นสมบัติที่พึ่งเป็นพึ่งตายของตนตลอดไป จะเสียคนจะผิดหวัง สิ่งเหล่านี้เป็นที่อาศัยสำหรับกายของเราที่มีชีวิตอยู่
คนเรามีชีวิตก็ต้องอยู่ต้องกินต้องหลับต้องนอนต้องไปมาหาสู่ เครื่องใช้ไม้สอยอันเป็นเครื่องประกอบส่งเสริมความเป็นอยู่ความเคลื่อนไหวของเราก็จะต้องมีเป็นธรรมดา เราอาศัยเขาอยู่เพียงเวลามีชีวิตอยู่เท่านี้ อย่าลืมตัว เมื่อชีวิตหาไม่แล้วสมบัติจะกองเท่าภูเขา ก็เป็นภูเขาอยู่อย่างนั้นแหละ ไม่สามารถจะพยุงจูงเราให้ไปสวรรค์นิพพานได้ ใครเกิดมาก็มาเห็นสมบัติมากน้อยที่มีจากบิดามารดาสร้างเอาไว้ เราก็มาสืบมาแทนกันไปต่อทอดกันไป ตายแล้วก็ทิ้งให้คนอื่นรักษากันไปอย่างงั้นเรื่อยมาดังที่เราเห็น ๆ กันอยู่นี้แหละ ไม่มีสิ่งใดที่จะเป็นสาระสำคัญแก่จิตใจของเราได้ นี่เป็นสมบัติภายนอกอาศัยได้เพียงร่างกายเท่านั้น เมื่อร่างกายหาไม่แล้วสิ่งเหล่านั้นก็หมดความหมายไปทันที
แต่สำคัญที่ใจซึ่งเป็นนักเกิดนักตายนักท่องเที่ยวนี้ไม่เคยจนการเกิดการตายเลย ต้องไปเกิดไปตายอยู่โดยสม่ำเสมออย่างนี้ตลอดมากี่กัปกี่กัลป์ เพราะใจนี้ไม่เคยมีป่าช้าไม่เคยมีการตาย ใจนี้จึงต้องท่องเที่ยว ดังที่หลวงปู่มั่นท่านแสดงไว้ว่า ใจนี้คือนักท่องเที่ยว ท่องเที่ยวไปเกิดในภพน้อยภพใหญ่สูง ๆ ต่ำ ๆ ลุ่ม ๆ ดอน ๆ ตามแต่อำนาจแห่งกรรมดีกรรมชั่วจะพาให้เกิดในสถานที่ใด ใจดวงนี้จะไปเกิดได้ทั้งนั้นเพราะอยู่ใต้อำนาจแห่งกรรมดีกรรมชั่ว เหนือกรรมดีกรรมชั่วไปไม่ได้ อยากเกิดในแดนสวรรค์ถ้ากรรมดีไม่อำนวยมันก็เกิดไม่ได้ ไปนิพพานกรรมดีไม่อำนวยก็เกิดไม่ได้ นรกไม่อยากไปก็ตามแต่การกระทำของตนมีความสมัครรักใคร่ทางฝ่ายชั่วช้าลามก ปิดไม่อยู่ ตายแล้วก็ผึงลงนรกเลย ไม่มีใครหักห้ามกรรมของกันและกันได้
ใครเกิดมามีบุญมีกรรมดีกรรมชั่วเท่านั้นเป็นผู้หักห้ามเป็นผู้พยุงให้ผู้นั้นไปด้วยความสะดวกและไม่สะดวก อย่างอื่นไม่มี เราต้องให้ทำความสะดวกทางด้านดีแก่ตัวของเรา ไปก็ไปดี ท่านว่า อิทฺทนนฺทติ เบจฺจนนฺทติ คืออยู่โลกนี้ก็มีความรื่นเริงบันเทิงด้วยคุณงามความดี ละโลกนี้ไปแล้วก็มีความรื่นเริงบันเทิงในโลกหน้า เช่นแดนสวรรค์เป็นต้น นี่แหละอำนาจแห่งกรรมจะเป็นผู้นำเราไป กรรมนั้นคือเราสร้างเอง เราอย่าไปตำหนิติเตียนผู้หนึ่งผู้ใด เพราะฉะนั้น ท่านจึงสอนว่าไม่ให้ประมาทกัน สัตว์โลกเกิดมา ยกตัวอย่างเช่นมนุษย์ของเรามีฐานะสูงต่ำ เรียกว่าเหลื่อมล้ำต่ำสูงต่างกัน นี่ก็เพราะอำนาจแห่งกรรมดีกรรมชั่วของตนที่สร้างมาแล้วโดยสมบูรณ์แบบของแต่ละราย ๆ ไป จึงไม่มีที่จะแบ่งสันปันส่วนออกจากกันได้หรือไปช่วยกันอย่างนี้ก็ช่วยกันไม่ได้ เพราะกรรมสมบูรณ์แบบมาแล้ว ท่านจึงไม่ให้ประมาทกัน
เวลาเกิดมาในระยะนี้อยู่ในช่วงที่ได้รับความทุกข์ความทรมาน เป็นทุกข์เข็ญใจไร้ที่พึ่งที่อาศัยก็ให้ยอมรับ ให้มีความเห็นอกเห็นใจเมตตาสงสารกัน อย่าไปดูถูกเหยียดหยามกัน เห็นท่านผู้อื่นมีความมั่งมีศรีสุขเพราะอำนาจวาสนาบุญญาภิสมภารที่สร้างมามากน้อยเป็นดังนั้น เราก็ชมเชยสรรเสริญท่าน ให้เราถือเป็นคติตัวอย่างอันดีงาม ตะเกียกตะกายสร้างตัวเองให้เป็นคนดี มีความขยันหมั่นเพียรในหน้าที่การงาน ฐานะของเราก็จะค่อยดีขึ้นเป็นลำดับ แม้ไม่เป็นเศรษฐีก็พออยู่พอกิน นี่เรียกว่าคนไม่ลืมตัว พูดถึงเรื่องสมบัติภายนอก สมบัติภายใน
สมบัติภายนอกดังที่เราทั้งหลายได้เห็น ทุก ๆ คนที่มาที่นี่หรือไม่มาก็ตาม ย่อมมีที่อยู่ที่อาศัยปัจจัยเครื่องพยุงด้วยกันทั้งนั้น นี่คือสิ่งภายนอก สมบัติภายนอกที่เราอาศัยเวลามีชีวิตอยู่ ทีนี้เวลาตายแล้วเป็นยังไง สมบัติภายในของเราไม่มีจะเสียท่านะ สมบัติภายในคือบุญคือกุศลเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงหรือพยุงจิตใจของเราให้ไปสถานที่ดี คติที่เหมาะสมตลอดไป นี่ให้พากันพยายามสมบัติภายในคือบุญคือกุศลศีลธรรม นี่คือสมบัติภายในอันเป็นที่ฝากเป็นฝากตายเป็นที่เกาะยึดของใจได้โดยแท้ อย่าได้ประมาท สมบัติภายนอกก็ยกให้เป็นภายนอก ซึ่งมีความจำเป็นจะต้องอาศัยเวลามีชีวิตอยู่
สมบัติภายในก็อุตส่าห์พยายามขวนขวายดังท่านทั้งหลายมาฟังอรรถฟังธรรมอบรมบ่มนิสัยด้วยศีลด้วยธรรมอย่างนี้ เรียกว่าถูกต้องกับทางเดินและทางดำเนินหรือ สวากขาตธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชอบนั้นเรียบร้อยแล้ว ให้พากันอุตส่าห์พยายามอบรมให้มีวันว่างวันหนึ่ง ๆ วันหนึ่งไม่ว่างให้มีเวลาหนึ่งว่างจนได้ที่จะสร้างคุณงามความดีเข้าสู่จิตใจ ที่เรียกว่าสมบัติภายใน อย่าปล่อยอย่าวางอย่าวิ่งเต้นเผ่นกระโดด ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมไปกับสมบัติภายนอก มักจะเสียผู้เสียคนเวลาจนตรอกจนมุม มันมีคนเรา เวลาจนตรอกจนมุม ความดีของเรานั้นแหละจะมาแก้ความจนตรอกให้หลุดพ้นหรือให้ผ่านพ้นไปได้เป็นพัก ๆ ตอน ๆ
ถ้าไม่มีความดีเลยจะจนตรอกจนมุมจนกระทั่งวันตายทั้งภพทั้งชาติ หาที่ปลอดภัยไม่ได้เลย จึงต้องสร้างความดีเอาไว้ ความดีนี้เป็นสำคัญเมื่อสร้างมากแล้วหลุดพ้นโดยสิ้นเชิง ดังพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ท่าน นี่คือท่านผู้สร้างคุณงามความดี เรียกว่าสร้างบารมีมาเต็มเม็ดเต็มหน่วยแล้ว อำนาจแห่งความดีนี้หนุนท่านให้หลุดพ้นจากแดนแห่งความเกิดตายซึ่งหาบหามไปด้วยกองทุกข์นี้โดยสิ้นเชิง ไม่มีอะไรเหลือเลย ป่าช้าของพระอรหันต์ของพระพุทธเจ้าไม่มีตั้งแต่วันตรัสรู้แล้ว จะไปเผาศพเผาเมนท่านตั้งแต่อัตภาพที่ท่านยังมีชีวิตอยู่เป็นพระอรหันต์เขาก็เผาศพได้ แต่จะเผาได้ในวาระสุดท้ายคืออัตภาพนั้นเท่านั้น นอกจากนั้นแล้วท่านจะไม่มาเกิดมาตายอีกต่อไป เข้าในบทบาลีว่า ทุกฺขํ นตฺถิ อาชา ตสฺส ทุกข์ย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่เกิด ท่านเห็นโทษแห่งความเกิดมากมายที่สุดบรรดาพระอรหันต์
เมื่อ ทุกฺขํ นตถิ อาชา ตสฺส ทุกข์ย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่เกิด ก็คือความเกิดนั้นแลเป็นสาเหตุให้เกิดกองทุกข์ติดตามกันไป ไปที่ไหนติดตามหาบหามตั้งแต่กองทุกข์ทุกภพทุกชาติไป เมื่อไม่มีกิเลสพาให้เกิดแล้วท่านก็ไม่เกิด ความทุกข์ก็ไม่มี นี่แหละความสุขที่เลิศเลอคือปราศจากความเกิดโดยประการทั้งปวง ท่านสอนอย่างนี้ นี่แหละผู้ที่สร้างบารมีเต็มกำลังความสามารถถึงขั้นสุดยอดแห่งความสุขความเจริญที่ท่านเรียกว่า นิพพานํ ปรมํ สุขํ พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง คือเป็นสุขอันยอดเยี่ยม ไม่มีสภาพใดสิ่งใดเสมอเหมือนพระนิพพานเลย นี่เพราะอำนาจแห่งคุณงามความดีของผู้บำเพ็ญนั้นแหละ
เราก็พยายามเดินไต่เต้าตามคำสอนของพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นสายทางเดินที่ถูกต้องแม่นยำต่อไป อย่าได้ละได้ถอย วันหนึ่งคืนหนึ่ง การงานสำหรับร่างกายเพื่อความเป็นอยู่อาศัยก็ให้มีประจำดังที่เราทั้งหลายเคยขวนขวายมาแล้ว การงานภายในที่จะให้เป็นบุญเป็นกุศลซึ่งเป็นสมบัติภายในของใจฝากเป็นฝากตายได้โดยแท้ก็ให้พยายามขวนขวายอย่าปล่อยอย่าวาง เมื่อภายในก็มีที่พึ่งภายนอกก็มีที่พึ่ง เวลาตายแล้วภายนอกสลัดปัดทิ้งไปเสีย ภายในคือสมบัติภายในใจ ใจก็ได้อาศัยเกาะยึดติดสิ่งเหล่านั้นไป ควรจะไปสู่คติใดโลกใดอันเป็นโลกดีทั้งนั้น เราก็ไปตามอำนาจแห่งกรรมของเราที่มีมากมีน้อย
ดังท่านแสดงไว้ในธรรม เช่น สวรรค์นี้มีถึง ๖ ชั้น คำว่า ๖ ชั้นนั้น ไม่ใช่ว่าผู้เป็นเทวดาจะไปอยู่สวรรค์ชั้นเดียวกันได้ ต้องไปอยู่ในชั้นที่พอเหมาะพอสมกับบุญกรรมของตนที่สร้างไว้ตั้งแต่ชั้นจาตุมฯขึ้นไปถึงชั้นปะระนิมมิตะวะสะวัตตี นี่ ๖ ชั้น แล้วเทวดาทั้งหลายก็มีวาสนาบารมีเหลื่อมล้ำต่ำสูงต่างกัน เทวดาตนใดที่จะควรอยู่ในสวรรค์ชั้นใดก็อยู่ชั้นนั้นไปก่อน แล้วผู้ที่สูงกว่านั้นจะขึ้นเรียงลำดับลำดาจนกระทั่งถึงสูงสุดแห่งสวรรค์ ๖ ชั้น นี่อยู่ได้ด้วยอำนาจแห่งวาสนาบารมี ไม่ใช่ว่าพอเป็นเทวดาแล้วโดดผึงขึ้นชั้นสุดยอด ถ้าวาสนาบารมีไม่ถึงขั้นนั้นก็ขึ้นไม่ได้ ต้องไปอยู่ตามอำนาจแห่งกรรมดีของตนที่สร้างมามากน้อย
พรหมโลก ๑๖ ชั้นเหมือนกันก็อยู่ตามขั้นตามภูมิของพวกท้าวมหาพรหมทั้งหลายซึ่งมีบุญเหลื่อมล้ำต่ำสูงต่างกัน จากนั้นวาสนาบารมีเต็มที่แล้วดีดถึงนิพพาน พอถึงนิพพานแล้วเท่านั้น เรียกว่าถึงสูงสุดวิมุตติเสมอกันหมด ท่านแสดงไว้ว่า นตฺถิ เสยฺโยว ปาปิโย บรรดาผู้ที่สิ้นกิเลสแล้วนับตั้งแต่พระพุทธเจ้าลงมาจนกระทั่งสาวกองค์สุดท้ายไม่มีความแตกต่างกันอย่างใด เสมอกันหมด เมื่อถึงนิพพานแล้วเรียกว่าเสมอกันหมด นิพพานจึงไม่มีหลายชั้น ชั้นนั้นชั้นนี้ ไม่มี ชั้นแห่งความบริสุทธิ์หลุดพ้นอย่างเดียวกันหมด มีชั้นเดียวเท่านั้น เพราะผู้ทรงวิมุตติหลุดพ้นนั้นมีคุณธรรมเสมอกันหมด เรียกว่าเป็นจิตที่บริสุทธิ์ล้วน ๆ นี่แหละคุณค่าแห่งการปฏิบัติตน
ผู้ปฏิบัติมากน้อยเพียงไร ธรรมเป็นเครื่องรับรองยืนยันที่จะยังผลประโยชน์ให้แก่ผู้บำเพ็ญให้เกิดขึ้นเสมอกันหมด ธรรมไม่มีคำว่าลำเอียง กิเลสก็เหมือนกัน กิเลสก็เป็น อกาลิโก เป็นกิเลสวันยังค่ำในหัวใจของบุคคลของสัตว์แต่ละดวง ๆ ธรรมก็มีอยู่ในหัวใจเหมือนกัน เราจะเอื้อมออกไปทางกิเลสให้กิเลสฉุดลากไปก็เป็นกิเลสตลอดเวลาแล้วสร้างความทุกข์มาให้เจ้าของตลอดไป ผู้ที่เอื้อมเข้ามามีความรักใคร่ใฝ่ธรรม พาจิตคิดหรือเสาะแสวงหาในบุญในกุศลซึ่งเป็นเรื่องธรรมแล้ว บุญกุศลธรรมนี้ก็เกิดขึ้น มีผลเสมอกันตลอดเวลา ท่านจึงเรียกว่า อกาลิโก ในบทธรรมท่านแสดงไว้ว่า อกาลิโก ๆ คือพระธรรมนั้นไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลา เป็นธรรมคงเส้นคงวาหนาแน่นส่งผลให้เกิดแก่ผู้บำเพ็ญตลอดมาและตลอดไป
กิเลสก็เช่นเดียวกัน มีความสม่ำเสมอด้วยความเป็นกิเลสเหมือนกัน ใครส่งเสริมกิเลส ทำตามกิเลสเท่าไหร่ กิเลสก็แสดงผลออกมาตลอดไป เหมือนกันกับธรรม ท่านจึงเรียกว่า อกาลิโกเหมือนกัน ทำให้เหือดแห้งจนกระทั่งสิ้นไปก็สิ้นไปได้ กิเลสไม่มีเหลือเลย จากนั้นมาแล้วจิตก็เป็นธรรมทั้งแท่งหลุดพ้นโดยประการทั้งปวงได้ นี่เรียกว่า ธรรมที่บริสุทธิ์ วิมุตติพระนิพพาน นิพพานมีชั้นเดียว เพราะพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ทั้งหลายเสมอกันหมด ถึงขั้นนั้นแล้วเป็นขั้นที่พอดิบพอดี ไม่มียิ่งหย่อนกว่ากันแต่ประการใดเลย แล้วเป็นความเที่ยงตรง กฎ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เข้าไปเกี่ยวข้องกับพระนิพพานไม่ได้ เพราะกฎ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา อยู่ในวัฏฏจักรอันเป็นวงสมมติ
ส่วนนิพพานนั้นนอกสมมติไปแล้วจึงไม่มีกฎ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เข้าไปเกี่ยวข้องได้เลย ด้วยเหตุนี้ท่านผู้ถึงพระนิพพานจึงเรียกว่า ผู้เที่ยงแล้ว ไม่มาเกิดมาตายอยู่ตลอดกัปตลอดกัลป์ตลอดกาลไหน ๆ จึงเรียกว่า นิพพานเที่ยง ทางที่เสาะแสวงหาคุณงามความดีนี้ ซึ่งเป็นของดิบของดีนี้เราจึงควรอุตส่าห์พยายามถึงจะทุกข์ยากลำบากก็ทนเอา ทุกข์เพื่อความสุขที่เกิดจากงานอันดีงามของเรา คืองานบำเพ็ญธรรมบำเพ็ญทานรักษาศีลภาวนา ถึงจะยุ่งยากลำบากบ้างให้พากันทนเอา การสั่งสมกิเลสการทำความชั่วมันก็ทนเหมือนกัน มีความทุกข์เสมอกัน เป็นอยู่กับความสมัครใจ ถ้าผู้สมัครใจทำความชั่ว ทำเท่าไหร่มันก็เพลินไป ๆ ความชั่วก็พอกพูนขึ้นมา
ทีนี้ผู้สร้างความดี ท่านทำไป ๆ เคยชินต่อนิสัยแล้วก็ราบรื่นดีงาม มีแต่อยากทำคุณงามความดีเรื่อย ๆ ทางจิตใจของผู้บำเพ็ญในทางที่ถูกที่ดีนี้ก็ยิ่งราบรื่นดีงามไปเรื่อย เลื่อนชั้นไปเรื่อย สุดท้ายถึงนิพพานได้ เพราะอำนาจแห่งความตะเกียกตะกายของเราทุกคนนั้นแหละ ให้พากันอุตส่าห์พยายามบำเพ็ญ จะปล่อยให้อยู่เฉย ๆ ตายเฉย ๆ มันไม่เกิดประโยชน์อะไร มนุษย์กับสัตว์มันไม่ผิดแปลกกันนะถ้าไม่มีธรรมในใจ ถ้ามีธรรมในใจมนุษย์เป็นมนุษย์สูงส่งได้ไม่สงสัย ถ้าไม่มีธรรมแล้วเราจะอวดอ้างว่าเราเป็นมนุษย์ สัตว์เขาต่ำกว่าเรา เขาไม่ได้ต่ำ สัตว์ก็เป็นสัตว์ มนุษย์ก็เป็นมนุษย์ เป็นคนละฝักละฝ่ายมาดั้งเดิม
ถ้าจะเสริมให้มนุษย์ดีกว่าสัตว์ต้องสร้างความดีเป็นเครื่องส่งเสริมตนเองมันก็ดีไปเอง มนุษย์เลวกว่าสัตว์ก็ยังมี ทำตัวให้เลว คุณค่าไม่มีหมดค่าหมดราคา สร้างแต่บาปแต่กรรม ตายแล้วจมนรก สัตว์เขาตายแล้วไม่จมก็มีเพราะเขาไม่ได้ทำบาปกรรมอันหนักหนาเหมือนเรา แต่เราไปทำกรรมอันหนักหนานี้ก็ลงนรกได้โดยไม่ต้องสงสัย จึงขอให้พากันระมัดระวังในการกระทำความเคลื่อนไหวของใจ นี่แหละใจจึงต้องมีธรรมเป็นเครื่องกำกับรักษาอบรมจิตใจให้รู้ทางถูกทางดีแล้วก็เลือกเฟ้นในกิจการที่จะทำในสิ่งใดว่าควรหรือไม่ควร จึงต้องมีธรรมเป็นพร่ำสอนอยู่เสมอ
มีพุทธศาสนาของเราเป็นเครื่องพร่ำสอนเสมอ คนเราจะค่อยดีได้ อยู่ในโลกอันนี้เราก็ยังมีความหวัง อำนาจแห่งความดีนี้คือบ่อแห่งความหวังของเรา เราทำได้มากน้อย ความหวังรวมอยู่นี้หมด เราไม่ต้องไปหาคาดดินฟ้าอากาศว่าจะให้ความหวังเรา ความดีของเราที่ทำมากน้อยนี้แลอยู่กับใจของเรา ให้ความหวังอยู่ในนี้เบ็ดเสร็จ ความชั่วก็เหมือนกัน ไม่หวังมันก็เป็นชั่ว ตายแล้วมันก็ลงนรกได้เหมือนกัน ผู้ที่ทำความดีตายแล้วไปสู่สวรรค์พรหมโลกนิพพานได้ไม่สงสัย ให้สร้างความดีอยู่กับใจของเรา ให้ฝึกฝนอบรม
อย่างที่พี่น้องทั้งหลายมาบวชเป็นชีเป็นพราหมณ์อะไรนั้นเป็นชื่อหนึ่งต่างหากก็คือมาละเว้นกิจการทั้งหลายที่วุ่นวี่วุ่นวายมาตลอด มาเข้าสู่ความสงบอบรมจิตใจเข้าสู่ศีลสู่ธรรมให้มีความสงบเย็น นี่เป็นความถูกต้องดีงาม ดังท่านทั้งหลายได้อบรมได้บวชกันมาเป็นพราหมณ์เป็นอะไรก็แล้วแต่ ก็คือความละเว้นในงานยุ่งเหยิงทั้งหลายเข้ามาบำเพ็ญธรรมเพื่อความสงบใจนั้นแลดี เป็นความถูกต้องดีงาม ให้พากันตั้งอกตั้งใจ แล้วก็มีครูมีอาจารย์คอยแนะนำสั่งสอนและเป็นที่น่ากราบไหว้บูชา
พระเป็นขวัญตาขวัญใจแก่พี่น้องชาวไทยก็คือพระผู้สมบูรณ์ด้วยศีลด้วยธรรมนั้นแหละ พระเปรตพระผีพระเทวทัตอย่าเอามายุ่ง มันมีถมไปในโลกอันนี้ บวชตั้งแต่เอาผ้าเหลืองมาคลุมหัวแล้วหัวโล้นโกนไปกระทั่งกะโหลกศีรษะมันก็คือคนหัวโล้นกะโหลกศีรษะเปล่า ๆ นั้นแหละ มันไม่เป็นความดีอะไรถ้าไม่สนใจรักษาศีลรักษาธรรม ท่านก็มาปฏิบัติอยู่นี้ด้วยความมีศีลมีธรรมเป็นที่น่ากราบไหว้บูชา ชักชวนหรือแนะนำสั่งสอนพี่น้องทั้งหลายให้ปฏิบัติตัวทางด้านศีลธรรมให้มีความสงบเย็นใจ ถือท่านเป็นที่ยึดที่เกาะ ฝากเป็นฝากตาย
อยู่ในบ้านในเรือนให้ระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์อยู่โดยสม่ำเสมอ อยู่ที่ไหนไม่ห่างเหินจากพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ขอให้มีใจเป็นธรรม ใจระลึกถึงพระพุทธเจ้า ถึงทันที พระธรรมถึงทันที พระสงฆ์ถึงทันที ไม่มีระยะทางห่างไกลไปเท่านั้นกิโลเท่านี้กิโลเหมือนทางของโลกเขาก้าวเดินกัน ทางของจิตนี้ถึงกันทันที นรกอเวจีไกลที่ไหน จิตนี้ไม่มีคำว่าใกล้ว่าไกลรู้ทั่วถึงไปหมด บาปกรรมก็ไม่มีคำว่าใกล้ว่าไกล ไสสัตว์โลกให้ไปสู่สถานที่ไม่พึงหวังเพราะการสร้างบาปของตนได้ด้วยดีเช่นเดียวกัน
การสร้างบุญสร้างกุศลก็เหมือนกันจะไปสวรรค์นิพพาน ไปที่ไหน มันอยู่กับหัวใจของเราผู้ที่จะเคลื่อนย้ายไปนั่นแหละ ให้สร้างหัวใจของเราให้ดี ให้ใจพาเคลื่อนย้ายไปในทางที่ถูกที่ดี ไม่ต้องไปนับกิโลกิเลทางแยกนู้นแยกนี้ไปไหน บุญพาไปตรงแน่วถึงจุดหมายปลายทางเลย นี่แหละบุญ จึงสมควรที่จะฝากเป็นฝากตายกับท่านได้ ท่านไม่หลอกลวงต้มตุ๋นเรานะบุญกุศล นี่เป็นฝ่ายฆราวาสที่ประพฤติตัวบำเพ็ญตัวเป็นคนดีมีศีลมีธรรม
ทางพระก็เหมือนกัน ทางพระก็ให้รู้หน้าที่การงานของตน เราบวชเป็นพระตั้งแต่วันบวชแล้ว นี้คือชีวิตของพระแล้วให้ทำความรู้สึกตัวของตนด้วยดีตลอดไป ตั้งแต่ขณะบวชแล้วนี่เราเป็นพระโดยสมบูรณ์แล้ว หน้าที่ของพระคืออะไร รักษาศีลรักษาธรรม บำเพ็ญศีลบำเพ็ญธรรมให้มีความแน่นหนามั่นคงไม่ให้ด่างพร้อยและขาดทะลุ เป็นผู้มีศีลขาดทะลุนี้ใช้ไม่ได้นะ ต้องเป็นผู้มีศีลสมบูรณ์ ศีลสมบูรณ์อยู่ที่ไหนก็เย็นใจ ๆ สบายใจ ไม่มีอะไร มีศีลเท่านั้นก็อบอุ่นนะพระเรา
เราจะเห็นได้เวลาเราไปบำเพ็ญในป่าในเขา ยังไม่มีสมาธิ ยังไม่มีภูมิธรรมสูงกว่านั้นก็ตาม เพียงแต่เราแน่ใจในศีลของเราว่าสมบูรณ์บริสุทธิ์บริบูรณ์เต็มที่แล้วอยู่ในป่าในเขาก็ไม่กลัว เสือช้างเต็มไปหมด แต่ก่อนมีแต่พวกเสือพวกช้างพวกเนื้อประเภทต่าง ๆ เต็มในป่าในเขา ไม่เหมือนทุกวันนี้ ทุกวันนี้ไม่มีป่ามีเขาสัตว์ทั้งหลายถูกทำลายหมด แต่ก่อนมีอยู่อย่างนี้ตลอดมา เฉพาะอย่างยิ่งชาติไทยของเราประเทศไทยของเรา เวลานี้ป่านี้ร่อยหรอไปมากหาที่บำเพ็ญสำหรับพระเราที่จะบำเพ็ญสมณธรรมก็รู้สึกมีน้อย ต้องไปตามจุด จะไปสะดวกสบายทุกแห่งทุกหนเหมือนแต่ก่อนไม่ได้
นี่ก็เคยเห็นมาแล้ว สำหรับหลวงตาก็เคยได้บำเพ็ญพอเหมาะพอดี เวลาออกบำเพ็ญป่าเขาลำเนาไพรประเภทต่าง ๆ เต็มไปหมด ไปที่ไหนอยู่ที่ใดสะดวกสบายในการบำเพ็ญเพราะไม่มีที่ใครที่จะมาจับจองเป็นของคนนั้นคนนี้ เป็นสมบัติของแผ่นดินด้วยกันหมด ไปที่ไหนก็ว่างเปล่า ๆ อยู่ได้สะดวกสบายเพราะการซื้อการขายไม่มี เราอยากจะว่าไม่มี เพราะแต่ก่อนการซื้อขายไม่มีนะเมืองไทยเรา มีแต่เมืองนอกหรือคนจีนเข้ามานำหน้าเรา พาซื้อพาขายก็มีอยู่ในตลาดลาดเลในเมือง บ้านนอกเขาไม่มี เราไม่มีการซื้อการขาย จิตใจก็ไม่กำเริบ การวิ่งเต้นขวนขวายทำลายป่าทำลายเขาก็ไม่มี
ครั้นต่อมาก็กว้างขวางออกไป เครื่องยนต์กลไกสะดวกไปโดยลำดับลำดา ป่าไม้ทั้งหลายกลายเป็นสมบัติเงินทองเข้ามา ตลอดถึงเนื้อสัตว์ทั้งหลายนี้เป็นสินค้าเต็มไปหมด แล้วสัตว์ทั้งหลายก็จมไป ๆ ฉิบหายไปเพราะพวกมนุษย์เรามีความอยาก ทะเยอทะยานโลภมาก ขายเท่าไหร่ซื้อเท่าไหร่ไม่พอ ต้นไม้ในป่าในเขาก็หมด สัตว์ป่าในป่าในเขาก็หมด แต่สมัยที่เราบำเพ็ญอยู่นั้นไม่หมด สมบูรณ์แบบเรียกว่าร้อยเปอร์เซ็นต์ ไปที่ไหนมีแต่ป่าแต่เขา ไปบางแห่งสัตว์ยังไม่รู้จักคนก็มีเพราะเขาไม่กลัว เนื่องจากว่าไม่มีผู้มีคน บ้านก็เป็นหย่อม ๆ เดินไปทั้งวันไม่เจอหมู่บ้าน มีแต่ป่าแต่เขาเต็มไปหมดแล้วสัตว์เขาจะกลัวอะไร ทั้งวันทั้งปีทั้งเดือนก็ไม่พบผู้พบคนเพราะคนมีน้อยแต่ก่อนนะ สัตว์ก็อยู่สบาย
ทีนี้เวลาเราไปบำเพ็ญคุณงามความดีบำเพ็ญภาวนาอยู่ที่นั่นอยู่ผาสุกเย็นใจสบายไปหมด นี่แหละแต่ก่อนป่าเป็นที่อำนวยความสะดวกแก่การบำเพ็ญสมณธรรมได้เป็นอย่างดีทั่วถึงกันหมด ไม่ได้เหมือนทุกวันนี้ ทุกวันนี้รู้สึกว่าร่อยหรอไปมากทีเดียว จะไปบำเพ็ญสมณธรรมตามอัธยาศัยเรียกว่าหาได้ยาก ต้องไปเป็นจุดเป็นหย่อม ไปก็ไปสำนักนั้นสำนักนี้ไม่ได้ไปตามลำพังของตนเสีย การบำเพ็ญสมณธรรมก็ไม่ค่อยสะดวก ทีนี้เราไม่มีอย่างนั้น อยู่ที่ไหนเราต้องหักเข้ามาหาผลประโยชน์แก่ตัวของเรา ไม่ให้เสียผลประโยชน์ไป ป่าไม่มีก็ช่าง กิเลสไม่อยู่ในป่ามันอยู่ที่หัวใจ แก้เข้ามาตรงนี้ กิเลสตัวพาให้วุ่นวายมันอยู่ที่ใจ แก้ลงไปตรงนี้
อยู่ที่ไหนพอจะหาที่บำเพ็ญได้ เช่นอย่างวัดนี้ก็มีที่บำเพ็ญสะดวกสบาย อยู่ที่ไหนหาที่บำเพ็ญสะดวกสบาย กลางวันก็ได้กลางคืนก็ได้ มีสติประคับประคองจิตใจของตน อย่าได้ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมไปตามโลกตามสงสารซึ่งมีแต่ฟืนแต่ไฟทั้งนั้น สำรวมระวังใจอย่าให้เพลิดเพลินไปกับรูปกับเสียงกับกลิ่นกับรสซึ่งมีอยู่เต็มแผ่นดินเราเต็มโลกนี้ ใครต้องสัมผัสสัมพันธ์กันก็ไม่เห็นใครมีวิเศษวิโสอะไรพอที่เราจะต้องวิ่งเต้นขวนขวายหาสิ่งเหล่านั้นให้มากยิ่งกว่าอรรถกว่าธรรมซึ่งเป็นธรรมที่เลิศเลอ จึงต้องให้รักสงวนจิตใจด้วยสติ มีเจริญเมตตาภาวนา อบรมจิตใจให้มีความสงบเย็นใจ นี่แหละจุดสำคัญของพระเรา
พระเราบวชมาต้องครองศีลสมบัติ สมาธิสมบัติ ปัญญาสมบัติ วิมุตติสมบัติ นี้เป็นสมบัติของพระผู้ตั้งหน้าตั้งตาบำเพ็ญโดยแท้ สมบัติภายนอกไม่ยุ่ง ขอให้มีศีลสมาธิปัญญาวิชชาวิมุตติภายในใจจากความเพียรของเราเต็มเม็ดเต็มหน่วย เราจะเป็นผู้ทรงซึ่งมรรคผลนิพพานได้ เช่นเดียวกับครั้งพระพุทธเจ้า เพราะคำว่าธรรมไม่เป็นมัชฌิมาคือเสมอต้นเสมอปลายตลอดมาขึ้นอยู่กับผู้ปฏิบัติ ถ้ายังมีผู้ปฏิบัติอยู่แล้ว มรรคผลนิพพานท้าทายตลอดเวลาที่จะยังผลให้ผู้บำเพ็ญได้รับเป็นที่พึงพอใจตามลำดับแห่งความเพียรของตน ถ้าไม่มีความพากความเพียรถึงจะไปแบกตู้คัมภีร์อยู่ มันก็มีแต่คัมภีร์มีแต่ตัวหนังสือ ธรรมไม่มีในใจ
เพราะฉะนั้น จึงกว้านเอาหนังสือในคัมภีร์นั้นเข้ามาสู่จิตใจ คัมภีร์ท่านสอนว่ายังไงให้น้อมเข้ามา เอาจากคัมภีร์เข้ามาปฏิบัติตนสติ สพฺพตฺถ ปตฺถิยา สติจำต้องปรารถนาในที่ทั้งปวงสำหรับผู้มีความพากเพียรแล้วไม่ควรจะปราศจากสติ ดึงออกมามาปฏิบัติตน จิตเมื่อมีการบำรุงรักษาอยู่เสมอแล้วย่อมแคล้วคลาดปลอดภัยเป็นลำดับ การปล่อยเนื้อปล่อยตัวของจิตไม่มีขอบเขตเหตุผลไม่มีสติสตังไม่มีการหักห้ามกันเลย นี้ไม่เกิดประโยชน์อะไร สู้ประชาชนญาติโยมเขาก็ไม่ได้ เราบวชเป็นพระต้องมีหน้าที่จำกัดของพระ
การบำเพ็ญศีลธรรมนั้นเป็นสมบัติอันล้นค่าของพระ พระมีสมบัติภายในใจเงียบ ๆ จากการบำเพ็ญนี้มีอยู่เยอะ เวลานี้มีเยอะ แต่ต้องหมายถึงพระผู้สนใจภาวนา พระบวชมาหาอยู่หากินมีแต่ความโลภความโลเล ตื่นรสตื่นลาภตื่นอำนาจบาทหลวง มีแต่พระเปรตพระผี อย่าเอามาเกี่ยวข้องกับพระลูกศิษย์ตถาคตนะ พระลูกศิษย์ตถาคตไม่หวังอะไร บิณฑบาตวันหนึ่ง ๆ อาศัยชาวบ้านเขามาขบมาฉันเพียงพอแล้ว การที่เราได้เคยผ่านมานี้ไปทั่วประเทศไทย เรายังไม่เคยเห็นเราจนตรอกจนมุมว่าบิณฑบาตที่ไหนชาวบ้านเขาไม่ใส่บาตรไม่เคยมี มีแต่ล้นบาตรมาเท่านั้น นอกจากเราจะหลีกไปเท่านั้นเพื่อการบำเพ็ญของเราเป็นกาลเป็นเวลา
จะมีมากก็ตามเราไม่ต้องการ เราจะเอาเพียงเล็กน้อยฉันเพียงเล็กน้อย การหลับการนอนก็เมื่อไม่ฉันมาก ความง่วงเหงาหาวนอนก็ไม่ค่อยมี เราฝึกเราอย่างนี้ แต่จิตดูให้ดีตลอดเวลาสติสำคัญ ภาวนาอยู่ที่ไหนจิตอย่าปล่อยอย่าวางจากสติ เช่นเราบริกรรมพุทฺโธ หรือธมฺโม สงฺโฆ ตามแต่ธรรมที่เราต้องการถูกตามจริตนิสัยของเราบทใดนำเข้ามาบริกรรมแล้วมีสติติดแนบอยู่กับคำบริกรรมนั้น ๆ นี่เรียกว่าการรักษาใจ การรักษาใจด้วยบทธรรมกิเลสที่จะแทรกซึมเข้ามานั้นแทรกได้ยาก เมื่อมีสติอยู่กิเลสไม่แทรก มันจะเอาตอนที่เราเผลอสติ เหมือนนักมวยเขาต่อยกัน เขาต่อยกันที่มีช่องว่างตรงไหนต่อยกันตรงนั้น
กิเลสเห็นช่องว่างความไม่มีสติของเราผู้บำเพ็ญตอนไหน มันก็ต่อยเอาตอนนั้น เพราะฉะนั้น อย่าให้มีช่องว่าง มีสติรักษาตัวอยู่เสมอแล้วเมื่อเวลาได้อบรมอยู่อย่างนี้เรื่อย ๆ แล้วจิตจะฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมแหกโลกธาตุไปก็ตามเถอะ สติดึงกลับมาได้ทั้งนั้นให้เข้าสู่ความสงบได้ เมื่อจิตสงบแล้วย่อมเย็นสบาย จิตที่เคยฟุ้งซ่านวุ่นวายในการคิดการอ่านต่าง ๆ ไปตามโลกตามสงสารมันก็หดตัวเข้ามา เพราะมีธรรมเป็นเครื่องดื่ม คือสมถธรรม ความสงบใจจากการภาวนา จากนั้นก็ก้าวขึ้นสู่สมาธิโดยที่จิตมีความสงบหลายครั้งหลายหนจากการการภาวนานี้จะสร้างตัวขึ้นเป็นฐานอันสูงหรือแน่นหนามั่นคงขึ้นเรื่อยจนกลายเป็นสมาธิ
คำว่าจิตรวมกับสมาธินี้ต่างกันนะ รวมหลายครั้งหลายหนเข้าไปค่อยสร้างกำลังขึ้นมาจนกลายเป็นสมาธิได้ในตัว นั่นจิตเป็นสมาธิ คือความแน่นหนามั่นคงของใจ จะคิดจะปรุงแต่งเรื่องอะไรก็ตาม จิตนี้มีฐานอันมั่นคงของตัวเองเป็นความสงบแน่วแน่อยู่ภายในตัวเอง นี่เรียกว่าจิตเป็นสมาธิ จิตที่รวมคือเวลาที่จิตสงบเข้าไปรวมเข้าไปปราศจากความคิดความปรุงทั้งหลาย เรียกว่าจิตสงบหรือจิตรวม ถอนออกมาแล้วมันก็มีความคิดความปรุงตามธรรมดาของมัน บางทีอาจเกิดความวุ่นวายขึ้นได้เพราะความคิดกวนใจ
เราพยายามทำอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ จิตของเราจะมีความสง่างามขึ้นมา ความสงบของใจ ความสบายใจจะขึ้นพร้อมกัน จากนั้นก็เป็นความแปลกประหลาดอัศจรรย์เป็นขั้นของใจ ทีนี้เมื่อเราเห็นใจของเรามีความแปลกประหลาดและปล่อยวางภายนอกได้ สิ่งภายนอกที่มันเคยยุ่งเหยิงวุ่นวายเกาะนั้นเกี่ยวนี้ มันจะปล่อยเข้ามา ๆ จิตมาอยู่กับความสงบเย็นใจ สบายทั้งวันทั้งคืน ไปไหนไม่ยุ่งเหยิงวุ่นวายสำหรับผู้มุ่งอรรถมุ่งธรรม ไม่กังวลกับการอยู่การกินการหลับการนอน อะไรไม่ยุ่งทั้งนั้น มีตั้งแต่หมุนตัวเข้าสู่อรรถสู่ธรรมด้วยสติสตังในการภาวนาเท่านั้น นี่เรียกว่าผู้ภาวนาเพื่อมรรคเพื่อผล ดังที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ จะต้องได้เป็นผู้ทรงมรรคทรงผลได้โดยไม่ต้องสงสัยเพราะธรรมนี้เป็นสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบทุกอย่างแล้ว
ที่มันไม่ชอบก็คือพวกเราผู้ดำเนินตาม แฉลบออกไปนอกลู่นอกทางให้กิเลสหามไปขึ้นเขียง ไปที่ไหนเห็นแต่พระแต่เณรถูกกิเลสหามขึ้นเขียงด้วยความขี้เกียจขี้คร้านความท้อแท้อ่อนแอ ความเผลอเลอต่าง ๆ เหล่านี้เป็นเรื่องกิเลสหามขึ้นเขียงทั้งนั้นแหละไม่เกิดประโยชน์ ให้มีสติสตังบังคับบัญชาไว้โดยสม่ำเสมอ จิตใจของราจะมีความสงบเย็นตลอดไป เวลาจิตมีความสงบมากเข้าไปเท่าไหร่ยิ่งมีความสุขความสบายมาก จากนั้นพิจารณาถึงเรื่องปัญญา แยกธาตุแยกขันธ์แยกเขาแยกเราแยกหญิงแยกชายออกเป็นชิ้นเป็นอันพิจารณาให้เห็นตามหลักความจริง ตั้งแต่ผิวหนังเข้าไปจนกระทั่งถึงไส้พุงเป็นของสกปรกโสโครก มันเห็นหมด มันถอนออกมา
จากนั้นก็ปล่อยวางเข้าไปเรื่อย ๆ จิตใจก็หดตัวเข้าไปเรื่อย ๆ มีความละเอียดลออเข้าไปเรื่อย ๆ มีความรื่นเริงบันเทิงในธรรมทั้งหลาย จนกระทั่งวันคืนหนึ่ง ๆ มีแต่ความเพลิดเพลินในความพากความเพียรเพื่อหลุดเพื่อพ้น ไม่มีความท้อถอยอ่อนแอเลย นี่แหละอำนาจแห่งธรรมที่เราบำเพ็ญไปมาก ๆ ย่อมมีกำลังดูดดื่มไปโดยลำดับ เพลินต่อความพากความเพียร ลืมหลับลืมนอน เมื่อเราบำรุงอยู่เสมอ ๆ มีความสามารถแก่กล้าขึ้นไป เรื่องความเพียรนี้มีตลอดเพื่อหลุดพ้นจากทุกข์โดยประการทั้งปวง เห็นโทษของกิเลสก็เห็นหนักเข้าไป เห็นคุณค่าของธรรมขึ้นที่จิตใจของเราก็หนักแน่นด้วยกันแล้ว ต่างท่านต่างฟัดต่างเหวี่ยงกัน ไม่มีคำว่าถอย ธรรมะจะไม่มีการถอยกันในการต่อสู้กับกิเลส ฟาดจนกิเลสขาดสะบั้นลงไปจากจิตใจแล้วหายกังวล
นี่คุณค่าแห่งการปฏิบัติธรรม มรรคผลนิพพานมีอยู่สถานที่ใด มีอยู่ที่หัวใจของผู้บำเพ็ญทั้งนั้น ไม่ได้อยู่ที่ดินฟ้าอากาศที่ไหนนะ ต้นไม้ภูเขาไม่ใช่มรรคผลนิพพาน ดินฟ้าอากาศไม่ใช่มรรคผลนิพพาน ไม่ใช่กิเลส มันเป็นกิเลสที่เกิดขึ้นที่หัวใจอยู่ที่หัวใจเรา เมื่อเราบำเพ็ญแล้วก็เกิดขึ้นอีกและแน่นหนามั่นคงที่หัวใจของเราจนกระทั่งจิตสว่างกระจ่างแจ้งถึงขั้นบริสุทธิ์พุทฺโธ ก็บริสุทธิ์ขึ้นที่หัวใจของเราจากความเพียรของเรานี้แหละ ไม่ได้มีอยู่ที่ไหน ให้พากันตั้งอกตั้งใจพระเณรเรา
เวลานี้เรื่องพระเรื่องเณรมันเกลื่อนกล่นเต็มบ้านเต็มเมืองมีแต่บวชมาทำลายศาสนาทั้งนั้น ไม่ได้บวชมาเพื่อส่งเสริมศาสนา บวชมากเท่าไหร่ยิ่งมีการส่งเสริมไปทางโลกทางสงสาร สร้างขวากสร้างหนามเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ศาสนาโดยไม่รู้สึกตัว เวลานี้มีเยอะ นี่เราเป็นพระเราพูดให้อยากเปิดเผย ประชาชนเขาไม่กล้าพูดเขาไม่อยากแตะ เพราะเห็นว่าผ้าเหลือยังครองอยู่ในพระ จะพูดถึงพระตำหนิติเตียนพระที่ไม่ดีเขาก็ไม่กล้าตำหนิ เขากลัวเป็นบาป แต่พระเองยิ่งเป็นพระหน้าด้านเข้าไป ยิ่งสั่งสมแต่ความชั่วช้าลามกเต็มหัวใจ
สุดท้ายบวชมามากเท่าไหร่ทำลายศาสนาไปได้มากเท่านั้น เลยไม่มีความหมายที่ว่าบวชมา ไม่มีคุณค่ามีราคาสมว่าบวชมา มันมักเป็นอย่างงั้นเวลานี้ กำลังหนาแน่นเข้าทุกวัน พระก็ดีเณรก็ดีรู้สึกบวชมากเข้าอาศัยศาสนาเป็นเครื่องหากิน หากินแล้วก็เรียนวิชาทางโลกเต็มวัดเต็มวาไม่สนใจกับอรรถกับธรรม เรียนวิชาทางโลกเขา พอได้วิชาแล้วก็สึกออกไป ไปโดยอาศัยศาสนาเป็นฐานเหยียบขึ้นเป็นแหล่งหาอยู่หากิน แต่จิตใจวิ่งไปตามกิเลสตัณหา นี้มีมากต่อมาก นี่วิชาทางโลกเดรัจฉานวิชาที่เข้ามาเหยียบย่ำทำลายศาสนาก็เพราะวิชาทางโลกเข้ามาเหยียบย่ำศาสนธรรมของพระพุทธเจ้า
ศาสนาธรรมเหล่านี้เลยกลายเป็นเขียงเหยียบขึ้นของกิเลสไปหมด เรียนก็เรียนได้มากได้น้อยเท่าไหร่ กิเลสเต็มหัวใจ ทีนี้ไม่ได้บวชเข้ามาชำระกิเลส มันบวชเข้ามาส่งเสริมกิเลสเต็มหัวใจแล้วก็เอาไฟเผาบ้านเผาเมืองดังที่เห็นอยู่เวลานี้แหละ ไม่ใช่ผู้ไม่เรียนนะ นี่แหละกิเลสมันเป็นหัวหน้า เรียนเพื่อกิเลสเป็นกิเลสขึ้นมาเผาได้หมด ศาสนาไม่มีเหลือ ดีไม่ดีชาติไทยของเราก็จะจมไปด้วยการเผาผลาญของพวกเปรตพวกผี ขอให้ท่านทั้งหลายจำเอานะตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ
มรรคผลนิพพานท้าทายอยู่เป็นความจริงตลอดมา ไม่เคยปลอมในวาระไหนตอนใดที่ผู้บำเพ็ญจะไม่ได้รับผลประโยชน์เพราะธรรมกลายเป็นของปลอมไปแล้วนี้ไม่มี มันปลอมอยู่ที่ตัวของเรา แก้แต่ความจอมปลอมคือกิเลสออกจากใจของเราแล้ว เราจะมีความแน่นหนามั่นคง จิตใจของเราจะสง่างามเป็นลำดับลำดา ความเลิศเลอไม่หาที่ไหน มองอยู่ที่หัวใจนี้จ้าไปหมดแล้ว หาอะไร ไม่มีอะไรเสมอเหมือนใจที่บริสุทธิ์พุทฺโธ จากการชำระสะสางจากการบำเพ็ญภาวนาของเราไปได้ ขอให้พระลูกพระหลานตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติ เรื่องมรรคผลนิพพานยืนยันอยู่กับผู้ปฏิบัติ ไม่ได้อยู่ที่ดินฟ้าอากาศกาลนั้นสมัยนี้ เมืองนู้นเมืองนี้ เช่นเมืองอินเดียเป็นต้น นั่นเป็นสถานที่ท่านบำเพ็ญ กิเลสอยู่ที่หัวใจท่าน ท่านแก้กิเลสที่หัวใจท่านต่างหากนะ ท่านไม่ได้ไปแก้อยู่ที่อินดงอินเดียอะไร ไม่ใช่กิเลสเหล่านั้น สถานที่บำเพ็ญของท่านแก้กิเลสของท่านต่างหากนะ เราอยู่สถานที่ใดกิเลสอยู่หัวใจของเรา ให้แก้กิเลสลงที่หัวใจของเรา เราจะผาสุกร่มเย็น ไปที่ไหนสง่างามนะ จิตใจถึงขั้นพอตัวแล้วพอหมด ในสามแดนโลกธาตุนี้ปล่อยหมด ไม่มีอะไรเลิศยิ่งกว่าธรรม คือความบริสุทธิ์ของใจกับธรรมเป็นอันเดียวกัน
ขอให้บรรดาลูกหลานได้นำไปประพฤติปฏิบัติ การเทศนาว่าการรู้สึกว่าเหนื่อยก็เห็นจะสมควรแก่ธาตุแก่ขันธ์แก่เวล่ำเวลา ขอให้ท่านทั้งหลายนำไปปฏิบัติให้เป็นสิริมงคล หลวงตาก็เทศน์ทั่วประเทศไทยมาแล้วเป็นเวลา ๔ ปีกำลังวังชาก็อ่อนไปโดยลำดับลำดา แต่เห็นใจบรรดาพี่น้องชาวไทยเราที่เกี่ยวกับพุทธศาสนารู้สึกว่าเหินห่างไปมากทีเดียว จึงได้ตักเตือนสั่งสอนความสำคัญของศาสนาอยู่ที่ไหน อยู่ที่ใจของชาวพุทธเรา ขอให้มองดูที่ใจเรื่อย ๆ อย่ามองดูแต่วัตถุเงินทองข้าวของอย่างเดียว มันจะพาเราจมได้ไม่ต้องสงสัย ทั้ง ๆ ที่เรามีศาสนานะ มันจะจมไปได้ มีแต่เราไม่ตั้งใจประพฤติปฏิบัติ พากันตั้งอกตั้งใจแล้วความสุขความเจริญจะไม่พ้นจากศาสนานี้ไปได้เลย ขอให้เราปฏิบัติมีความรักใคร่ใส่ใจในอรรถในธรรมแล้วเราจะเจริญรุ่งเรือง ชาตินี้กับชาติหน้าอยู่ที่หัวใจดวงเดียวนี้แหละ ถ้าใจนี้เจริญแล้วชาติไหนก็มีแต่เจริญทั้งหมด ถ้าใจดวงนี้มีแต่บาปแต่กรรมเพราะการสร้างบาปสร้างกรรม ไปโลกไหนมืดทั้งนั้น เป็นทุกข์ทั้งนั้น ใจนี้แหละสมบุกสมบันที่จะไปรับเคราะห์รับกรรม แล้วใจนี้แหละจะเป็นผู้เสวยคุณงามความดีจากการบำเพ็ญดีของตน ที่ยุติอยู่ที่ใจให้เลือกเสียแต่บัดนี้เวลายังไม่ตายนะ ตายแล้วกุสลาธมฺมา ให้กุสลาคือความฉลาดซักฟอกจิตใจของตนด้วยสติปัญญาตั้งแต่บัดนี้ ความสมหวังจะเป็นที่ยอมรับกันทั่วหน้าตามแดนพระพุทธศาสนาที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้แล้วด้วยความถูกต้องแม่นยำ
การแสดงธรรมก็เห็นสมควรแก่กาลเวลา ขอความสวัสดีจงมีแก่บรรดาพี่น้องลูกหลานทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญ
[คำถามท้ายเทศน์]
ลูกศิษย์ : ลูกศิษย์ทางวัดนี้กราบเรียนถามว่า ข้อที่ ๑ เหตุใดจึงต้องมีคัดค้างร่างพ.ร.บ.สงฆ์ฉบับที่กำลังมีความพยายามผลักดันให้เข้าสู่สภา
หลวงตา : ก็ไม่คัดค้านอะไรมันเป็นเปรตทั้งตัว ไปหาไฟเผาศาสนาเผาชาติบ้านเมืองเราไม่รู้เหรอ จะไม่คัดค้านได้ยังไง เราเป็นเจ้าของชาติของศาสนา ต้องคัดค้าน อันนี้เป็นมหาภัยเป็นมหาโจรที่จะเข้ามาเผาทั้งชาติทั้งศาสนาให้จม พี่น้องทั้งหลายยังไม่ทราบอยู่เหรอ ให้ทราบ หลวงตาไม่ได้เอาของหลอกมาหลอก เหมือนอย่างพวกเปรตมาหาหลอกบ้านหลอกเมืองเวลานี้นะ พวกนี้ไม่มีศีลมีธรรมไปไหนหลอกแต่ชาวบ้านชาวเมือง พระทำไม่ถึงเรียนแต่วิชาหลอกวิชาต้มตุ๋นโลก ไม่เคยมีในศาสนาพุทธเรา ก็เพิ่งมาเห็นกลุ่มนี้กลุ่มเปรตกลุ่มผี พระเป็นเปรตเป็นผีมันกำลังเอาไฟมาเผาบ้านเผาเมือง
เรื่องอะไรพ.ร.บ.มันไม่อยากพูดพ.ร.บนะ มันพ.ร.บีบ มันจะบีบคนทั้งชาติทั้งศาสนาให้จมไปหมดด้วยกัน ตั้งเพราะ ๆ พ.ร.บ พ.ร.แบ ตัวเปรตตัวผีมันเอามากระจายบ้าง พวกนี้พวกที่จะทำลายชาติบ้านเมือง เราสงสัยเหลือเกินว่าต่อไปนี้สังฆเภชจะเกิดขึ้นในชาติไทยของเรา ทำลายสงฆ์ให้แตกร้าวกันไปหมดทั่วบ้านทั่วเมือง ตั้งแต่ครั้งพระพุทธเจ้าของเราก็มีพระเทวทัตต่อสู้พระพุทธเจ้าจนเป็นสังฆเภชขึ้นมา ระยะนี้ก็เป็นเรื่องนี้ประเภทไหนเนี่ย พระพุทธเจ้านิพพานไปแล้ว ธรรมวินัยนั้นแลจะเป็นศาสดาของเธอทั้งหลายแทนเราตถาคตเมื่อเราตายไปแล้ว นี่ก็มาทำลายพุทธศาสนาก็คือองค์ศาสดานี่เองจะเป็นที่ไหนไป
เรานี้วิตกวิจารณ์เหลือเกินถึงเรื่องสังฆเภชจะเกิดขึ้นในท่ามกลางประเทศไทย เพราะพ.ร.บีบ อย่าไปพูดพ.ร.บ. พ.ร.แบ มันหลอกโลกเฉย ๆ พวกนี้ไม่มีความจริงมาพูด มีแต่ต้มไปเรื่อยหลอกไปเรื่อย พระที่หลอกโลกลวงโลกต้มตุ๋นโลกที่สุด ใครยังไม่เคยเห็นให้ไปดูพวกนี้กลุ่มนี้นะ ให้ไปดู พูดออกมาคำไหนไม่มีความสัตย์ความจริงเลย คำพูดของพระทำไมเป็นอย่างงั้น คำพูดของพระต้องมีศีลมีธรรมมีความสัตย์ความจริง นี้มีแต่ความหลอกลวงต้มตุ๋นตลอดไปหมดทั้งกลุ่ม เราเชื่อถือหรือว่าเป็นพระ พระประเภทไหนจึงเป็นอย่างงั้น เห็นด้วยกันหลักธรรมวินัยเรียนมาด้วยกัน ทำไมไม่รู้ มาหลอกกันหาอะไร เก่งกล้าสามารถมาจากไหนมาอวดศาสดาเอก มาเหยียบธรรมวินัยแหลกเหลวไปหมด เพราะงั้นทางนี้จึงต้านทาน ดีเพียงต้านทานเท่านั้น ไม่เขี่ยลงทะเลนู้น ให้มันสมเหตุสมผลกับมาทำลายพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นหัวใจของพี่น้องชาวไทยทั้งชาติ มันหนักจริง ๆ นะ ไม่ใช่เล่น เทวทัตทำลายศาสนา ท่านทั้งหลายดูเอา ถามไปอีก
ลูกศิษย์ : หากร่างพ.ร.บ.สงฆ์ฉบับนี้เข้าสู่สภาโดยไม่มีการแก้ไขจะเกิดผลดีผลเสียแก่พุทธศาสนาในสังคมไทยอย่างไรบ้าง
หลวงตา : เกิดผลจม ชาติก็จม ศาสนาก็จม ไม่เป็นอย่างอื่น อันนี้ทำลายทั้งชาติทั้งศาสนา ไม่เป็นอย่างอื่น เพราะงั้นหลวงตาจึงค้านจัง ๆ ดีไม่เขี่ยลงทะเล คัมภีร์เห็นอยู่ด้วยกันทุกคน มาหลอกกันหาอะไร คนตาบอดก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง เท่านั้นพอ ขี้เกียจตอบ พี่น้องทั้งหลายทราบเสีย แผนการอันนี้ออกมาจากใต้ดิน มันไม่มีตนมีตัว ใครเป็นคนตั้งแผนการนี้ขึ้นมา มันก็ไม่ระบุมันไม่บอก ตั้งอยู่ใต้ดินแล้วก็เป็นเถาวัลย์เลื้อยออกมา ทำลายคนทั่วประเทศไทย มีแต่เถาวัลย์ที่ออกมาจากใต้ดิน ไม่มีใครทราบว่ามันมาจากไหน แล้วกลุ่มนี้ก็กลุ่มใต้ดินด้วยกัน มันไม่มีความเปิดเผย มีแต่ลี้ ๆ ลับ จึงเรียกว่า มหาโจรปล้นชาติปล้นพระศาสนานั่นเอง
ไปที่ไหน ๆ มีแต่ลุกลี้ลุกลนมีแต่จะปีนขึ้นสภาเพื่อจะเอาอำนาจทางสภามาตีตราแล้วเอาอำนาจอันนั้นมาเหยียบหัวคนไทยทั้งประเทศให้แหลกเหลวไปหมด ลุกลี้ลุกลนที่สุดไม่มีใครเกินพวกนี้ หาเหตุหาผลไม่ได้ นี่เราพูดย่อ ๆ นะ ผ่านนู้นผ่านนี้แล้วเอามาอวดว่าผ่าน มันก็ผ่านเฉย ๆ มันไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร มหาโจรผ่านมันก็เป็นอย่างงั้นแหละ มิหนำซ้ำก็ว่าผ่านมหาเถระสมาคม ฟังแต่ว่าผ่านเฉย ๆ มหาเถระสมาคมไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วย ยังมาอวดเฉยๆ ไม่ใช่คำโกหกเหรอ ไม่มาโกหกจะว่ายังไง พี่น้องทั้งหลายอยากจมก็ให้เชื่อมันนะ
หลวงตาบัวได้ช่วยบ้านเมืองมาเต็มความสามารถ มีคำไหนที่มาโกหกพี่น้องทั้งหลายต้มตุ๋นพี่น้องทั้งหลายให้มีความเสียหายและล่มจมไป มีตรงไหน เวลานี้ก็สอนอยู่เต็มกำลังความสามารถ หลวงตาบัวไม่เอาอะไรนะ หลวงตานี้พอทุกอย่างแล้ว สอนด้วยความเมตตาล้วน ๆ เงินสตางค์หนึ่งก็ไม่เคยเข้ามาในพุงหลวงตานะ ดังที่พวกนี้โจมตีหลวงตา มันโจมตีว่าสมบัติตั้งแต่ทองคำ ดอลลาร์ เงินสดมาที่พี่น้องทั้งหลายบริจาคผ่านมาหลวงตาบัว หลวงตาบัวเอาเข้าพุงหลวงตาบัวหมด โกหกหรือไม่โกหก ฟังสิ เวลานี้ทองคำเข้าสู่คลังหลวงเราแล้ว ๕ ตันกว่าแล้ว ดอลลาร์ก็หกล้านแปดแสนกว่าดอลล์แล้ว เงินไทยนี้ก็สะพัดออกทั่วประเทศไทย ทั้งเข้าสู่คลังหลวงที่ซื้อทองคำเข้าสู่คลังหลวงเก้าร้อยสามสิบเอ็ดล้านแล้ว
เหลือจากนั้นก็ช่วยสถานสงเคราะห์ โรงร่ำโรงเรียน คนทุกข์คนจน จนกระทั่งถึงที่ราชการงานเมือง โรงพยาบาลทั่วประเทศไทย หมาตัวไหนมันเอาสิ่งเหล่านี้ไปช่วยบ้านช่วยเมืองเวลานี้ถ้าว่าเข้าพุงหลวงตาบัว มันจริงหรือมันปลอม เข้าว่าหลวงตาบัวเอาเงินเข้าพุงเจ้าของหมด มันมาหาโกหกเชื่อมันได้ยังไง พี่น้องก็ดูเอาสิ เราเอาอะไรของพี่น้องทั้งหลาย สตางค์หนึ่งเราไม่เคยติดใจเรานะ เราบริสุทธิ์ขนาดนั้น มีเท่าไหร่ออกอย่างเปิดอย่างเผย
เงินแต่ละสตางค์ถอนออกมาจากธนาคารพี่น้องชาวไทยรู้หมด ไม่มีการปิดบังลี้ลับแล้วจะเข้าพุงที่ตรงไหน มันไม่มาดูในบัญชีทะเบียนที่เราเป็นผู้ควบคุมรับผิดชอบอยู่นี้เลย แต่มันอวดรู้อวดฉลาดมาจากโลกไหน มันมาต้มพี่น้องชาวไทยว่าหลวงตาบัวเงินพี่น้องทั้งหลายเข้าพุงหมด ฟังได้มั้ย อย่างนี้เห็นชัด ๆ ว่ามันโกหกหรือไม่โกหก ยังจะฝืนเชื่อมันอยู่เหรอ ถ้ายังให้ชาติและศาสนาของเมืองไทยจมยังเหลือแต่หมา ให้เชื่อมันให้เหลือแต่หมา นั่นเดินอยู่นั่น หมาไม่รู้ภาษีภาษาอะไร ไม่ถือสีถือสามันแหละ ไอ้เปรตไอ้ผีมันเอาจมจริง ๆ นะ เอาล่ะพอ
มีแต่พวกโกหกหมดกลุ่มมันเลยนะ ไม่มีชิ้นไหนดีเลย มีแต่โกหกหลอกลวงต้มตุ๋น หลบหลีกปลีกตัว มีแต่มหาโจร
www.Luangta.com |
** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก
ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์
และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์
|
|
|
|