เทศน์เวลานี้เขาออกทางอินเตอร์เน็ตทั้งเห็นรูปทั้งได้ฟังเสียงด้วยเรียบร้อยแล้วหรือ(ครับ) ออกสมบูรณ์แล้วนะ นั่น มันก็เหมือนทีวีนั่นนะ ออกเห็นทั้งรูป ได้ยินทั้งเสียง ออกอินเตอร์เน็ตเห็นทั้งรูปได้ยินทั้งเสียงด้วยเวลานี้ ออกทั่วโลกไปเลยนะ (ครับ ทั่วโลก) ออกไปทั่วโลกเลย ก็ดีเรื่องราวแปลก ๆ ต่าง ๆ เขาได้ยินหมดละจากวัดป่าบ้านตาดนะ เขาได้ยินเรื่องแปลก ๆ ต่าง ๆ เช่นอย่างเมื่อวานนี้ บอกตีเกราะประชุมจังหวัดอุดรฯ ทั้งจังหวัดรวมกันใหญ่ เราเป็นหัวหน้า พอมาถึงแล้วเราจะประกาศบอกว่า ไล่จับแมว บทเวลาจะลง ลงไล่จับแมว อย่างนี้เขาก็ได้ยิน กำลังพยายามเอาให้ได้แมว แมวตัวนี้ผ่านไปแล้วตัวหลังมาอีก จะมาอีก ๆ เพราะฉะนั้นจึงต้องทำความป้องกันให้มั่นคงเป็นเวลานานไปเลยทีเดียว เอาสังกะสีมาตีครอบต้นเสากำแพง ๆ รอบไว้หมดไม่ให้มันขึ้นได้เลย สัตว์นี้ก็จะค่อยงอกเงยขึ้น
เมื่อเช้านี้ไปเจอขนนกยูง เราแน่ใจเป็นร้อยเปอร์เซ็นต์ไปเลย มันเที่ยวไปหากินข้างกำแพง พอดีเหยี่ยวมันเห็นล่ะซิ ก็เหมือนเสือเห็นวัวนั่นละ เหยี่ยวเห็นนกยูงก็เหมือนเสือเห็นวัวเจอวัว ปั๊บเลยละ เราดูรอยมันขนใหญ่ที่เอามาอย่างนี้กระจัดกระจาย ขนเล็กก็เต็มไปหมด เป็นจุดด้วย เป็นจุดที่มันขยี้ขยำ แต่เราไม่ทราบว่ามันเป็นมานานสักเท่าไร คงจะเร็ว ๆ ในเดือนนี้หรืออะไรทำนองนั้น เราแน่ใจว่าตายไปแล้วนกยูงตัวนี้ มาถามพระวันนี้ พระว่ามีอยู่อีกสองตัว นกยูงตัวผู้ดูว่ายังมีอยู่สองตัว ตัวที่มาอยู่ทีแรกนี้มันออกไปเที่ยวนอกกำแพงโน้น ดังที่มันเคยเที่ยวนั่นแหละ พระเลยจับเข้ามา แต่ตัวที่มันตายไม่ทราบว่าเป็นตัวไหน ตัวผู้ดูว่ามีสามตัว ตัวเมียมีสองตัว
เมื่อเช้าไปเห็นอย่างชัดเจน พอออกจากทางจงกรมก็เข้าป่าเลย บุกเข้าเลย ไปซอกแซก ๆ ส่วนมากดูสัตว์ ไม่ใช่อะไรนะ ออกจากทางจงกรมก็เข้าเลย เข้าซอกแซก ๆ ในป่าทั้งหมดเลย เข้าซอกแซก ๆ ดูตามกุฏิตามทางจงกรมพระ แล้วก็ดูตามป่าดูสัตว์ดูอะไร ๆ เรื่อย ไปโผล่ออกกำแพง พอดีก็ไปเจอเอาขนนกยูงนี้ จึงได้เรื่องได้ราวมาพูด โห น่าสงสารสัตว์ ถ้าอะไรที่อยู่ในวิสัยของเราจะรักษาได้ เราก็จะพยายามรักษา เช่น ชีวิตของสัตว์ เราก็พยายามรักษา เข้มงวดกวดขันเรื่องแมว แมวนี้เป็นอันตรายต่อสัตว์จำนวนมาก แต่เหยี่ยวมันสุดวิสัย มันอยู่บนต้นไม้ พวกนี้หากินเซ่อ ๆ ซ่า ๆ ไปตามภาษาว่าไม่มีอันตรายล่ะซี เหยี่ยวมันเห็นปั๊บลงมาเลย เอาไปแล้ว มันกำปุ๊บแล้วมันบินไปเลยนะ ไก่ทั้งตัวเอาไปได้สบาย นกยูงนี้ก็แน่ใจว่ามันเอาไปที่ใดที่หนึ่ง ที่สมควรแล้วมันก็กิน นกยูงตัวนี้ตัวผู้เห็นชัดเจน
อยู่ในภูเขาเยอะนะนกยูง มันอยู่แบบหลบ ๆ ซ่อน ๆ นะนกยูง มันก็ว่ามันฉลาดเต็มที่ของมัน แต่แล้วก็ไม่พ้นภัยเหมือนกัน อยู่ในป่าในเขานี้เจอบ่อย เจอทีไรมีแต่มันเจอเราก่อน คือเห็นมันวิ่งไปแล้ว แสดงว่ามันเห็นแล้ว แล้วมันวิ่งหนี เราถึงมองเห็นมัน โอ๋ นกยูง วิ่งปั๊บผ่าน มันเห็นเราแล้ว เราที่จะเห็นมันเดินหากินไม่เคยมี ที่เที่ยวในป่านี่เจอทีไร ๆ มีแต่มันเห็นเราแล้วทั้งนั้น มันวิ่งแล้วเราถึงรู้ อยู่ในภูเขามีพวกนกยูงเป็นฝูงนะ เป็นฝูง นกยูงโทนตัวเดียวมี มันหาหลบ ๆ ซ่อน ๆ อยู่งั้น
ตอนกลางคืนเราถึงรู้ชัดว่าภูเขาทุกลูกมีแต่นกยูงทั้งนั้น เวลามันร้องก็เหมือนไก่ขันยามเรา พอตัวนี้ขันขึ้นปั๊บมันก็ขันขึ้นเป็นฝูง ๆ พร้อมกันเลย นกยูงก็เหมือนกันพอตัวนี้ยาโว้กขึ้น แล้วตัวนี้ขึ้นตัวนั้นขึ้น เขาลูกนี้ขึ้นเขาลูกนั้นขึ้น ขึ้นรอบไปหมด มีแต่เสียงนกยูงเต็มภูเขา โอ๊ย นกยูงมีมากจริง ๆ อยู่บนหลังเขาที่เราอยู่ก็มีแต่ไม่เคยเจอมัน นาน ๆ เจอที นาน ๆ เจอที เจอทีไรมีแต่มันเห็นเราแล้วมันวิ่งแล้ว นกยูงนี่ตาดีมาก มีเต็มละในดงในภูเขา หมายถึงแต่ก่อนนะ ทุกวันนี้ภูเขาไม่มีแล้วต้นไม้ไม่มีแล้ว สัตว์เหล่านี้คงพินาศไปตาม ๆ กันไม่มีเหลือ เพราะพวกสัตว์อาศัยป่า ป่าถูกทำลายสัตว์ก็ถูกทำลายไปพร้อม
ดังที่เคยเล่าให้ฟัง ไปที่ไหนพวกสัตว์ป่าไม่อัดไม่อั้น มีอยู่ทั่วไปหมดเลย ไม่มีใครทำลายเขา เพราะไม่มีการซื้อการขาย การคมนาคมถนนหนทางไม่มี มีแต่ทางจากหมู่บ้านนั้นไปหาหมู่บ้านนั้นพอเป็นด่าน ๆ ไปเท่านั้น นาน ๆ เขาจะไปหากันทีหนึ่ง ๆ แล้วการหาอยู่หากินเขาไม่จำเป็นอะไร หาอยู่ตามขอบเขตบ้านเขาก็พอ สัตว์ทั้งหลายจึงเกลื่อนไปหมด เต็ม เราไม่คิดว่าสัตว์เหล่านี้จะฉิบหายนะ ทั้งป่าทั้งสัตว์ลืมคิดสนิท ไม่นึกว่าจะถูกทำลาย เวลาย้อนหลังไปคราวนี้ โอ๋ย ไม่มีเลย ที่ป่ารก ๆ หนา ๆ นั้นเป็นไร่เป็นสวนไปหมด สัตว์ไม่มีเลย สัตว์ที่ว่าเหล่านี้ไม่มีเลย หมด ไม่ปรากฏ ฉิบหายขนาดนั้น มนุษย์เรานี้เป็นภัยมากต่อสัตว์ ต่อสิ่งต่าง ๆ นี้มีเยอะ มนุษย์เราเป็นภัยมากนะ
เมื่อวานนี้ทองคำได้ ๓ บาท ๙๘ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๒๖ ดอลล์ ได้ไปทุกวัน ๆ ได้มากได้น้อยได้ขึ้นไปทุกวัน รวมทองคำทั้งหมดได้เวลานี้ ๒,๔๖๖ กิโลแล้วนะ ยังขาด ๔ พันกิโลอยู่ ๑,๕๓๔ กิโล ยังขาด ๔ พันกิโลที่กำหนดตายตัวไว้ จากนั้นเราก็ค่อยคืบไปเรื่อย ๆ มันก็ถึงเอง เช่น ๔๐๐ กิโลก็ถึงแล้ว เวลานี้ได้ ๔๐๓ กิโล ๓๗ บาท ๙ สตางค์แล้ว ที่กำหนดไว้ ๔๐๐ กิโลขึ้นไปแล้วเราจะหลอมทีหนึ่ง ๆ นี่ก็ ๔๐๐ กิโลแล้ว มันก็ขึ้นของมันไปเรื่อย ขึ้นไปเรื่อย ๆ
พวกผู้ชายอย่าเข้าไปเขตข้างในนะ เราประกาศแล้ว นี่ประกาศเด็ดขาดนะใครยุ่มย่ามเข้าไปไม่ได้นะ เขตนี้เป็นเขตพระทั้งหมด ในป่ามีแต่พระภาวนาทั้งนั้น พระวัดนี้ไม่ลดละงานทางด้านจิตตภาวนา ไม่เคยลดละ ลดละไม่ได้เราควบคุมตลอดเวลา แม้จะช่วยงานโลกเราก็ช่วยแบ่งไปเป็นสัดเป็นส่วนไปเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น หากจำเป็นจะให้พระมาช่วยเหลือบ้างก็มีเป็นบางกาล นอกนั้นก็ให้พระท่านทำความเพียรตามสะดวกสบาย นี้เป็นกิจจำเป็นของพระอย่างยิ่งทีเดียว เรื่องเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนา ชำระสิ่งที่เป็นข้าศึกอยู่ภายในใจ ความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา ความลุ่มหลงงมงาย ๔ ประเภทนี้เป็นรากใหญ่ฝังอยู่ภายในจิตใจของทั้งฆราวาสทั้งพระ
พระมีหน้าที่การงานโดยเฉพาะ คือเกี่ยวกับการชำระสะสางจิตใจ ที่มีภัยรอบด้านอยู่ภายในจิตใจนั้นให้จางหายไป ๆ จิตใจจะสงบร่มเย็น ส่องแสงสว่างกระจ่างแจ้งออกมา เห็นเหตุเห็นผลเห็นดีเห็นชั่ว เห็นบุญเห็นบาป กระจายออกไปเห็นนรกสวรรค์ ตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้แล้วไม่ได้ผิดนะ เปอร์เซ็นต์เดียวไม่มีผิดพระพุทธเจ้าสอนไว้นะฟังซิ ที่สอนไว้ทั้งหมดนี้ทรงรู้แจ้งเห็นจริงทุกอย่าง หยิบยกมาสอนพวกเราทั้งฝ่ายเป็นพิษเป็นภัย ทั้งฝ่ายเป็นคุณมากน้อย แสดงไว้หมดไม่มีผิดเพี้ยนไปเลย ขอให้เชื่อตามพระพุทธเจ้าถ้าอยากพ้นภัย ถ้าไม่เชื่อจมแน่ ๆ เราอย่าฝืนนะ
คำสอนของพระพุทธเจ้ากระจ่างแจ้งมากทีเดียว หาที่ต้องติไม่ได้เลย โน่น เวลาปฏิบัติล่ะซิ เราเพียงเรียนจำในตำรา ไม่ว่าท่านว่าเราสงสัยไปตาม ๆ กันแหละ เรียนบาปสงสัยบาป เรียนบุญสงสัยบุญ เรียนนรกสวรรค์สงสัยไปเรื่อย ๆ พรหมโลกนิพพานเปรตผีประเภทต่าง ๆ สงสัยไปหมดตามตำรา เพราะได้แต่ความจำได้แต่ชื่อเฉย ๆ เรื่องราวท่านแสดงไว้ตามหลักความจริง แต่เวลาอ่านมันไม่เอาหลักความจริงมาเป็นความเชื่อถือล่ะซิ มันก็เอาจอมปลอมสงสัยเข้าไปตีแหลก เอ๊ จะมีหรือไม่มีน้า ๆ สุดท้ายก็ลบ ไม่มี สิ่งที่มีก็คือความหน้าด้าน นั่นเห็นไหมล่ะ ความหน้าด้านหาญต่อบาปต่อกรรม หาญต่อนรกอเวจี หาญต่อการสังหารตนเองสด ๆ ร้อน ๆ นี่ละที่กิเลสมันเอามันเอาตรงนี้นะ
ธรรมสอนไว้แจ่มแจ้งชัดเจนมาก กิเลสนี้จอมปลอมสุดยอด ธรรมนี้จริงสุดยอด ครั้นแล้วกิเลสมันมาลบธรรม ๆ เอาจนไม่มีเหลือสัตวโลกนะ โอ๋ย จะทำยังไง แต่ศาสนามีอยู่ขนาดนี้มันก็ยังไม่ยอมฟังเสียง อำนาจของกิเลสมันหนาขนาดนั้นนะ มันไม่ยอมฟังเสียงใครง่าย ๆ มันดันทุรังอย่างเดียว ๆ ดันไปไหนฉิบหายไปนั้น เหมือนจ่อไฟเข้าเชื้อไฟนั่นแหละ จ่อเข้าไปไหนลุกเป็นเปลวขึ้นมา ๆ กิเลสจ่อเข้าไปไหนเผาไปเรื่อย ๆ ไปอย่างนั้น ไม่ได้เหมือนธรรมเป็นน้ำดับไฟ ผิดกัน
จิตดวงเดียวนี้ละดูตั้งแต่พื้น ๆ ขึ้นมาเลย จิตดวงนี้ สิ่งที่มันเปลี่ยนแปลงเรื่อย ๆ คือดีและชั่วมันแฝงอยู่ด้วยกัน ชั่วเวลาเราชำระมันก็เปลี่ยนแปลงไป ในการชำระก็คือการบำเพ็ญความดีด้วย ความดีก็เปลี่ยนแปลงไปตาม ๆ กัน ความมืดกระจายออกไปความสว่างก็ขึ้นมา เป็นคู่กัน ๆ ความทุกข์จางไปความสุขก็เกิดขึ้นมา เกิดขึ้นมาจากการบำเพ็ญ ในใจดวงเดียวนั่นละไม่ใช่ใจดวงไหน
ใจดวงเดียวนี่เวลามันมืดมืดจริง ๆ มันไม่คิดระลึกถึงบุญถึงบาปอะไรเลย มีแต่จะเอามีแต่อยากได้อย่างเดียว อยากอยู่อยากกิน จากนั้นก็อยากร่ำอยากรวย มีแต่อยาก ๆ เต็มหัวใจทุกคน ๆ ความอยากนี้ไม่มีบกบางนะ เต็มหัวใจทุกคน ยิ่งใหญ่โตเท่าไรยิ่งอยากมากทุกข์มากทีเดียว แต่กิเลสมันปิด ๆ ถือว่าเป็นเกียรติ เห็นไหมกิเลสมันมาหลอก มีมากเป็นเกียรติ มียศถาบรรดาศักดิ์มากมีเกียรติ เกียรติขี้หมามันอะไร ธรรมจ้อเข้าไปมันเห็นหมด เกียรติก็มีแต่เกียรติฟืนเกียรติไฟเผาหัวใจโลก ใครมีความสุข ถ้าเดินตามกิเลสหาความสุขไม่ได้ เดินตามมากน้อยเพียงไรจะมีแต่ฟืนแต่ไฟ
สิ่งที่เราหลงตามกิเลสคือเครื่องประดับร้านต่างหากนะ ความจริงไม่ได้มี เครื่องประดับร้านมันโอ่อ่า มันน่าหลงถึงหลงอย่างว่านั่นละ น่าหลงก็พวกกิเลสละ พวกน่าหลงหลังหลงเข้าใจไหม ข้างหน้าก็น่าหลง ข้างหน้าก็หลง ข้างหลังก็หลง หลงตามกิเลสนี้หลงไม่มีวันมีคืน มันละเอียดขนาดนั้นนะ มีแต่มันแทรกซ้อนไว้หมดเลยไม่เห็นนะ เวลาธรรมจับเข้าไปถึงได้รู้ไม่มีธรรมไม่รู้ ตายกี่กัปกี่กัลป์ก็ตายกองกันอยู่อย่างนี้ไม่รู้ จะตายกองกันอีกสักเท่าไรพวกสัตวโลกน่ะ ด้วยความไม่รู้ ๆ ทั้งนั้น ตามีหูมีมันก็ไม่เห็นสิ่งที่ควรจะเห็น ดังพระพุทธเจ้าและสาวกท่านเห็น มันไม่เห็น พวกเราไม่เห็นก็โดนเอา ๆ
เวลามาเกิดนี้ก็ลบเสียหมดร่องรอยที่มา ไม่ทราบว่ามาจากที่ไหน ๆ มาจากนรกอเวจีที่ไหนก็ไม่รู้ มาจากเปรตจากผีจากสัตว์ประเภทต่าง ๆ โผล่ขึ้นมาเป็นมนุษย์ก็ว่ามีชาติเดียว ลบหมดนะไม่ให้เห็น นั่นเห็นไหมล่ะมันปิดไว้อย่างนั้นละกิเลส กิเลสปิดตลอด ๆ เวลาธรรมส่องกระจ่างนี้ย้อนหลังตลอด อย่างพระพุทธเจ้าทรงแสดง ทรงรู้ก่อนแล้วก็มาแสดง ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ทรงระลึกชาติย้อนหลังของพระองค์เพียงคนเดียวได้ จนหาประมาณไม่ได้ ฟังซิน่ะ เพียงพระองค์เดียวเท่านั้นนะ ภพชาติที่เคยตายกองกัน ศพเจ้าของตายกองศพเจ้าของนั่นแหละ ศพสัตว์ศพบุคคล ศพเปรตศพผีศพนรกอเวจี ศพประเภทต่าง ๆ เกิดแล้วตายเล่าสับสนปนเปกัน แล้วมาตายกองกันไว้นี้ ศพพระพุทธเจ้าเพียงพระองค์เดียวก่อนที่จะมาเป็นพระพุทธเจ้านี้ มีศพมากขนาดไหน นี่ทรงเล็งญาณดูรู้หมด นั่นเห็นไหม
จิตวิญญาณดวงเดียวนี่ มันไปกว้านเอาศพประเภทต่าง ๆ เข้ามาเต็มไปหมด จิตดวงนี้ไม่เคยตาย มันแบกมันหามเอาบาปเอากรรม เอาความสุขเอาบุญเอาบาปไปด้วยกันนั่นแหละ อยู่ในใจดวงนี้นะ ใจดวงนี้ไม่เคยตาย ไม่มีคำว่าตายใจดวงนี้ เพราะฉะนั้นมันถึงได้สมบุกสมบันในภพชาติต่าง ๆ สูงต่ำ ใจดวงนี้รับทั้งนั้น ๆ อันอื่นไม่รับ เช่น ร่างกายนี้พอหมดสภาพนี้แล้ว ใครจะเผาก็ได้ฝังก็ได้แล้วแต่ มันไม่ได้ไปนรกสวรรค์นะร่างกาย ตัวใจน่ะตัวจะไป หามาเท่าไรก็ได้ เอ้า กองเท่าภูเขา ตายแล้วก็เป็นกองเท่าภูเขาอยู่นั้นไม่ได้ไปไหน ใจตัวนั้นตัวเป็นเจ้าของที่หวงอยู่เหมือนเสือหวงซาก ตัวมันจะไป ถ้ากรรมไม่หนักหนามากนัก ตายแล้วก็เป็นเปรตเป็นผีเป็นสัตว์ประเภทต่าง ๆ มาเฝ้ากองสมบัติก็มี อันนี้ท่านแสดงไว้ในตำราเยอะนะ
กรรมไม่หนักหนามากนักก็ตายด้วยความห่วงความใย ติดสมบัติอยู่ อย่างที่ว่าพระติสสะบำเพ็ญเพื่อมรรคผลนิพพาน มรรคผลนิพพานมีคุณค่าขนาดไหน ครั้นเวลาตายลงไปแล้วเป็นห่วงจีวรผืนเดียว มรรคผลนิพพานสู้ไม่ได้นะ สวรรค์กี่ชั้น พรหมโลกกี่ชั้นถึงพระนิพพานอันเลิศเลอ สู้จีวรผืนนี้ไม่ได้ เห็นไหมกิเลสมันหวง จีวรผืนนี้เลิศเลอกว่าทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วก็เกาะอยู่ในจีวรไม่มีใครทราบซิ ธรรมดาพระก็เห็นองค์นี้ตายแล้ว จีวรนี้จะให้ใครไปใช้ก็ให้เอาไปใช้ แต่พระพุทธเจ้าทรงหยั่งทราบล่ะซี บอกพระติสสะตายแล้ว แล้วพระองค์ทรงทราบ รีบเสด็จมาเลยเทียวนะ มารับสั่งอย่างเด็ดขาด
โห ไม่ไหวนะนี่ พระติสสะนี่บวชมาเพื่อมรรคผลนิพพาน ครั้นเวลาตายแล้วนึกว่าจะไปสวรรค์นิพพาน มันมาเกาะอยู่ที่จีวรนี่นะ นั่นเห็นไหมล่ะ ใครอย่าไปแตะ โน่นน่ะบอกขนาดไม่ให้ไปแตะเลย ไม่ให้สนใจเลยจีวรผืนนี้ เวลานี้พระติสสะกำลังหึงหวงมาก ใครไปสัมผัสไม่ได้แหละ จะเกิดโทสะอะไรขึ้นมาแล้วจะสร้างนรก ตายจากเล็นนี้แล้วจะไปจมในนรกอีก นั่นฟังซิ อย่าไปแตะ ห้ามไม่ให้แตะเลย ทิ้งไว้นั้นแหละว่างั้น
ดูเหมือนเจ็ดวันล่วงไปแล้ว ไม่มีใครแตะแหละ ตากทิ้งไว้อย่างนั้นเลย ก็พระพุทธเจ้ามารับสั่งเองนี่ นั่นเห็นไหมล่ะ บาปไม่มากนักมีแต่ความห่วงใยก็มาเป็นเล็นเกาะจีวร ไม่สนใจกับมรรคผลนิพพานเลย ทั้ง ๆ ที่พร้อมแล้วที่จะไปนะ ถ้าจิตเปลื้องออกจากอันนี้ หายห่วงนี้ก็ไปเลย ไปสวรรค์ แต่นี้เวลาจะตายมันห่วงล่ะซี ตายแล้วก็เลยมาเป็นเล็นเกาะอยู่ที่จีวร พระสงฆ์ทั้งหลายก็ไม่ทราบ พระพุทธเจ้าเสด็จมารับสั่งให้ตากจีวรผืนนี้ไว้ พระติสสะมาห่วงใยในจีวร ไม่ได้สนใจมรรคผลนิพพานยิ่งกว่าจีวร จีวรมีค่ากว่าสิ่งเหล่านั้น ตัดเลยห้ามไม่ให้พระมาแตะมาต้อง ตากทิ้งไว้นั้นเลย เหมือนของไม่มีเจ้าของ ทิ้งไว้นั้นแหละ
พอถึงวันเวลาแล้วพระองค์ก็เสด็จมาอีก เออ จีวรนี้ ใครมีจีวรชำรุดทรุดโทรมก็ให้เอาไปแจกกันได้ พระติสสะตายแล้วไปสวรรค์แล้ว คือไม่มีใครไปแตะไปต้องเรื่องของกิเลสก็ไม่กำเริบ ความโกรธ ความเคียดแค้น ความหึงหวง ก็ไม่กำเริบ ตายไปก็ไปสวรรค์แล้ว ทีนี้จีวรนี้แจกกันได้ เห็นไหมล่ะ ก็เป็นอย่างนั้นแล้ว พระติสสะไปสวรรค์แล้ว เป็นอย่างนั้นละเห็นไหมล่ะ นี่ละถ้าไม่เป็นบาปเป็นกรรมมากก็มาเป็นอย่างนี้ได้ บางทีก็เป็นพวกสัตว์ประเภทต่าง ๆ พวกเปรตพวกผีก็มีที่มาเฝ้าสมบัติ หรือเป็นพวกสัตว์ เช่น ตุ๊กแก เป็นต้น มีอยู่ในตำรา เป็นสัตว์มาเกาะอาศัยอยู่ตามนั้นมี นี่เรียกว่ากรรมไม่หนามากนัก ถ้ากรรมหนาก็ผึงเลยทันที สมบัติเงินทองข้าวของไม่มีความหมาย อำนาจแห่งกรรมนั้นหนักมาก พอลมหายใจขาดนี้ดีดผึงทันทีลงเลย ถ้าเป็นฝ่ายกุศลส่วนดีมีกำลังมากก็ดีดผึงขึ้นเหมือนกัน ถ้าเป็นส่วนชั่วมีมากก็ดีดลง ไม่มาห่วงกับอันนี้นะ เป็นอย่างนั้น ไม่ได้ไปสวรรค์นิพพานนะเหล่านี้ก็ดี ไม่ไป
เหล่านี้เราอาศัยเขาอยู่อย่างนั้น ผู้มาสร้างต่างหากผู้จะไปสวรรค์ ผู้มาสร้างศาลาหลังนี้ ศาลานี้ไม่ไป วัตถุไทยทานที่พี่น้องทั้งหลายมาบริจาคทานเหล่านี้ ไม่ไปสวรรค์ไม่ไปนิพพาน ผู้บริจาคซึ่งออกจากเจตนาที่เป็นกุศลต่างหาก บุญสะท้อนย้อนกลับเข้าไปหาผู้สร้าง เข้าสู่ใจนั่นแล ใจนี้แลจะได้อาศัยเสบียง คือความดีงามทั้งหลายที่เราสร้างนี้พาไปสวรรค์ ส่วนวัตถุไทยทานต่าง ๆ เอาอะไรมาไม่ไป เหล่านี้ไม่ไป เรียกว่าเป็นปุ๋ยหนุนบุญกุศลให้เจริญรุ่งเรืองขึ้นจากการให้ทานนี้ทั้งนั้น สิ่งเหล่านี้ไม่ไป ลงนรกก็ไม่ไป สวรรค์นิพพานก็ไม่ไป ใจต่างหากที่จะไป
ท่านจึงสอนให้บำรุงจิตใจให้ดีด้วยทานด้วยกุศล เช่นอย่างที่เราบริจาคทานเพื่อชาติบ้านเมืองของเราเวลานี้ ส่วนวัตถุนี้มีเท่าไรเราทุ่มเข้าสู่ชาติบ้านเมือง เช่น คลังหลวง เป็นต้น นั้นเป็นด้านวัตถุ คลังหลวงของเราชาติของเราก็ชุ่มเย็นแน่นหนามั่นคง บุญกุศลที่เกิดขึ้นจากการบริจาคเป็นสมบัติของเรา ต่างคนต่างได้เป็นสมบัติของตนเองโดยเฉพาะ ๆ เป็นสองชั้นนะ จึงเรียกว่ามหากุศลล่ะซี บุญกุศลที่ได้จากการบริจาคเพื่อชาติเราก็ได้ วัตถุที่บริจาคเพื่อชาติ ชาติก็ได้เป็นความแน่นหนามั่นคง เรียกว่าได้ทั้งสองต่อไม่มีคำว่าขาดทุนสูญดอก พากันจำเอานะ เรื่องกิเลสมันไม่เชื่อแหละ พูดอย่างนี้ไม่เชื่อ พระพุทธเจ้าพ้นทุกข์เพราะอำนาจแห่งธรรมที่นำมาสอนโลกนี้นะ จึงเอามาสอนให้โลกได้ยึดเหนี่ยวเกี่ยวเกาะไปตาม ถ้าไม่เชื่อพระพุทธเจ้าก็จม ถ้าเชื่อพระพุทธเจ้าแล้วทำลงไปก็ไปได้ ๆ ตามเสด็จพระพุทธเจ้าทัน
เรื่องบุญเรื่องกุศลนี้แหม ละเอียดลออมาก บาปบุญละเอียดลออมากเกินกว่าสัตว์ทั้งหลายจะรู้ได้ เป็นพุทธวิสัยของพระพุทธเจ้าจะทรงรู้ได้ละเอียดทั่วถึงหมด นั่นละธรรมละเอียดขนาดนั้น กิเลสจะละเอียดขนาดไหนก็ไม่เหนือธรรม ธรรมต้องเหนือกว่าสอดส่องรู้หมด ๆ คิดดูซิอย่างที่ว่าเล็นตายแล้วมาเกาะจีวร จีวรทั้งผืนใครก็มองเห็น แต่เล็นที่มาเกาะไม่เห็นล่ะซี พระที่เย็บจีวรนั้นก็เต็มศาลาเหมือนพระวัดป่าบ้านตาดเต็มศาลานี้ แต่มีแต่พระตาบอดล่ะซีมันไม่เห็นเล็นติดอยู่นั้น พระพุทธเจ้ามารับสั่งทันทีแล้วจริงไหมล่ะที่นี่ พอเจ็ดวันผ่านไปแล้วเสด็จมา เออ เอาละที่นี่พระติสสะตายแล้ว ไปสวรรค์แล้ว จีวรผืนนี้องค์ไหนที่มีจีวรชำรุดทรุดโทรมก็ให้แจกกันไปได้แล้วไม่มีปัญหาแหละ นั่นเห็นไหมล่ะให้แจก นั่นละละเอียดขนาดนั้น เล็นตัวหนึ่งก็เห็น..พระพุทธเจ้า สัตวโลกและพระใคร ๆ ไม่เห็น นั่นละความละเอียดของธรรม
ทีนี้ความละเอียดสุดยอดต่อความละเอียดสุดยอด ก็ดังพระพุทธเจ้ากับพระอนุรุทธะตามเสด็จเวลาจะนิพพาน อันนี้ก็ชัดมากนะ พระพุทธเจ้าจะเสด็จปรินิพพาน ทรงวางลวดลายศาสดาให้เต็มสัดเต็มส่วนก่อนที่จะปรินิพพาน เพื่อให้บรรดาสาวกหรือกุลบุตรสุดท้ายภายหลัง ได้อ่านได้เห็นได้ยินได้ถือเป็นคติตัวอย่าง ในการดำเนินของศาสดาเต็มลวดลายของพระพุทธเจ้าก่อนปรินิพพาน พอถึงเวลาแล้วก็ประทานพระโอวาทแก่ภิกษุทั้งหลาย อามนฺตยามิโว ภิกฺขเว ปฏิเวทยามิ โว ภิกฺขเว ขยวยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถาติ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราเตือนเธอทั้งหลาย สังขารธรรมมีความเจริญขึ้นแล้วเสื่อมและดับไปเป็นธรรมดาของมันอย่างนั้น เธอทั้งหลายจงอยู่ด้วยความไม่ประมาทด้วยความมีสติเถิด เท่านั้นก็ปิดพระโอษฐ์ปั๊บ จากนี้ก็เข้าปฐมฌาน
คำว่าสังขารแปลได้สองนัย คือสังขารที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนภิกษุสงฆ์ในขณะนั้น เรารู้สึกว่าซึ้งในสังขารจิต คือจิตมันปรุงมันแต่ง ไม่ใช่สังขารต้นไม้ภูเขาเหล่านี้นะ เวลาเราจะแยกไปส่วนบุคคลภายนอกก็ได้อย่างนี้ เพราะฉะนั้นสังขารจึงมีสองประเภท สังขารเกิดขึ้นจากสิ่งปรุงแต่งทั้งหลาย เช่น ต้นไม้ภูเขา สัตว์บุคคลอะไร ก็เป็นสังขารๆ นี่เป็นสังขารนอก สังขารในที่พระพุทธเจ้าประทานแก่พระสงฆ์ในเวลานั้น ซึ่งส่วนมากมีแต่อริยสงฆ์ ท่านจะมาแสดงอะไรสังขารนอก ๆ อย่างนี้ ท่านจะแสดงสังขารภายใน เพราะท่านเหล่านี้ติดตามตลอดเวลาในสังขารภายใน เพื่อจะก้าวให้หลุดพ้นด้วยการพิจารณาสังขารภายในอันละเอียดลออนี้แล จึงสอนว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สังขารธรรมทั้งหลายมีความเกิดขึ้นและดับไป เป็นหลักธรรมชาติของมัน พวกเธอทั้งหลายจงอยู่ด้วยความไม่ประมาทโดยความมีสติเถิด นั่นเห็นไหม ไม่ประมาทคือความมีสติ ให้พิจารณาสังขารภายใน สุดยอดอยู่สังขารตัวนี้นะ
สังขารเหล่านั้นพิจารณาเข้ามาเพื่อจะให้เห็นสังขารตัวนี้ สังขาร เช่น ความเกิดความตาย สัตว์ทั้งหลายเกิดแล้วตาย ชาติปิทุกฺขา ชราปิทุกฺขา เกิดแล้วตาย มีความทุกข์ ๆ ประจำตั้งแต่เกิด ชาติปิทุกฺขา ทุกข์ประจำมาแล้ว ชราปิทุกฺขา ความแก่ชรา ความเปลี่ยนแปลงของสังขารแล้วความทุกข์ก็มาแล้ว มรณมฺปิทุกฺขํ ตอนสุดท้ายแห่งสังขารนี้จะพังมันก็ทุกข์ ก็บอกชัดเจน พิจารณานี้เข้ามาๆ เข้ามาหาสังขารภายในที่นี่ สังขารภายนอกมันกำลังเกิดก็เป็นทุกข์ แก่ก็เป็นทุกข์ จะตายก็เป็นทุกข์ สังขารภายในไปหลงกันอะไรบ้าง ให้พิจารณาสังขารภายใน ทีนี้ก็ย่นเข้ามาหาสังขารภายใน ความคิดความปรุงได้เสียต่างๆ เกิดจากสังขารภายในที่เป็นตัวสมุทัย ได้แก่มรรคคือสติปัญญาสอดส่องตามสังหารไป พิจารณารอบอันนี้แล้วจิตก็พรากจากกัน ผางเลยไปเลย
นั่นละเวลาท่านจะปรินิพพานท่านก็ไม่ได้แสดงเอาไว้นะ ท่านบอกว่าสังขารต่างๆ แต่ภาคปฏิบัติมันหากจับของมันไปเองนะ เวลานั้นท่านสอนพระสงฆ์ซึ่งมีจำนวนมากมาย เกือบจะพูดได้ว่าล้วนตั้งแต่พระอริยสงฆ์ถึงขั้นอรหัตภูมิ เพราะมีแต่พระสงฆ์เฝ้าพระพุทธเจ้าเวลานั้น ประชาชนไม่ค่อยมีมากนัก การสอนจะสอนเน้นหนักลงฝ่ายพระสงฆ์ ตามขั้นภูมิของท่านที่ปฏิบัติหรือตะเกียกตะกายอยู่ ให้ได้มรรคผลเต็มเม็ดเต็มหน่วยในขณะที่ประทานโอวาทนั้น จึงต้องแสดงสังขารภายใน สังขารที่เป็นตัวสมุทัย พิจารณาให้รู้แจ้งอันนี้แล้วสมุทัยดับ สมุทัยมาจากไหน ไม่มาจาก อวิชฺชาปจฺจยา จะมาจากไหน มันเกี่ยวโยงกันมันขาดสะบั้นเข้าถึงกัน นั่นบรรลุธรรม ท่านสอนอย่างนั้น
ทีนี้พอหันพระพักตร์พูดง่ายๆ ว่าเข้าสู่ฌาน ทีนี้จะเข้าสู่ฌาน หมดอาลัยแล้ว ทุกอย่างสอนหมดแล้ว ท่านทั้งหลายจงอยู่ด้วยความไม่ประมาท จากนั้นก็เข้าปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน นี้เป็นรูปฌาน ๔ หมายถึงฝ่ายรูป นี่ก้าวเดิน จากนั้นก็ก้าวเข้าสู่อรูปฌาน ๔ อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ขึ้นไปเรื่อย พระจิตที่บริสุทธิ์ก้าวไปสู่ฌานทั้ง ๔ นี้ซึ่งเป็นสมมุติ พระจิตที่บริสุทธิ์นี้เป็นวิมุตติ ถ้าธรรมดามองไม่เห็น แต่อาศัยที่สมมุตินี้เป็นที่พาดพิงไป เวลานี้พระจิตที่บริสุทธิ์ก้าวขึ้นสู่ปฐมฌาน ทุติยฌาน พระอนุรุทธะตามดู เพราะท่านเก่งทางปรจิตวิชชา พระอนุรุทธะนะ พอไปถึงสมาบัติ ๘ สัญญาเวทยิตนิโรธ ทรงดับสัญญาความจำได้หมายรู้ทั้งหมดและเวทนาในส่วนร่างกายต่างๆ ดับหมด สัญญาเวทยิตนิโรธ ดับสัญญาและเวทนา แล้วก็ทรงสงบพระองค์ คือพระจิตนั้นสงบไม่ทรงเคลื่อนไหวไปอะไร
ทีนี้พระบรรดาพระสงฆ์ที่อยู่นั่น ถ้าจำไม่ผิดดูว่าเป็นพระอานนท์ นี่ไม่ใช่พระองค์ปรินิพพานแล้วเหรอว่างั้น พระอนุรุทธะตอบมาทันที นั่งดูอยู่นั่น คือท่านดูในจิตของท่าน ดูการเสด็จของพระพุทธเจ้าเสด็จไปตามฌานต่างๆ พระอนุรุทธะก็ตามเสด็จ จิตบริสุทธิ์ต่อจิตที่บริสุทธิ์ดูกันเข้าใจไหมล่ะ ยัง ยังไม่ปรินิพพาน เวลานี้ทรงเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ พอเคลื่อนจากนั้นก็ถอย ถอยลงฌานต่ำสุดปฐมฌาน แล้วก็ถอยออกไปเป็นพระจิตบริสุทธิ์ธรรมดา จากนั้นก็ก้าวขึ้น พอถึงจตุตถฌานที่เป็นรูปฌาน ๔ ทีนี้ไม่ไปอรูปฌาน ๔ ก็ไม่ไป รูปฌาน ๔ ก็ผ่านมาแล้ว ผ่านตรงกลาง
เหล่านี้เป็นสมมุติ รูปฌานเป็นสมมุติ อรูปฌานเป็นสมมุติ จิตนี้เป็นจิตวิมุตติหลุดพ้นแล้ว เมื่อหมดสิ่งที่ผ่านซึ่งเป็นสมมุติแล้วออกจากนี้ พระอนุรุทธะว่า เอ้อ ปรินิพพานแล้ว ทีนี้จะไปพูดได้ยังไงเพราะไม่มีอะไรพาดพิง ก็บอกว่าปรินิพพานแล้ว แล้วสูญไปไหนล่ะปรินิพพานแล้ว คือไม่มีสิ่งพาดพิงก็บอกไม่ได้เท่านั้นเอง แต่ไม่บอกว่าสูญ เวลามีสิ่งพาดพิงอยู่ก็บอก เวลาที่เสด็จไปฌานนั้นๆ ถอยหน้าถอยหลังก็พระจิตที่บริสุทธิ์ถอยไปตามฌานซึ่งเป็นสมมุติ มันก็เห็นความเคลื่อนไหวไปเรื่อยๆ เพราะอาศัยฌานเหล่านั้นเป็นสมมุติที่ก้าวเดิน พอออกจากนี้ปั๊บไปแล้ว ไม่มีแล้วที่นี่ ปรินิพพานแล้ว หมายถึงจิตที่บริสุทธิ์
นี้ละพระจิตที่บริสุทธิ์คือจิตพระพุทธเจ้า จิตที่บริสุทธิ์เป็นอรหันต์คือจิตพระอนุรุทธะ จิตที่บริสุทธิ์กับพระจิตที่บริสุทธิ์ตามกันเห็นกันจนกระทั่งปรินิพพานแล้ว นั่นละสูญไปไหน ท่านตามกันไปตลอดอย่างนั้น สูญไปไหนล่ะ ที่ว่านิพพานแล้วนั้นคือว่าไม่มีสมมุติใดที่จะพาดพิง บอกว่าประทับอยู่ที่นั่นที่นี่ไม่มีเพราะไม่มีสมมุติ จึงบอกได้แต่เพียงว่าปรินิพพานแล้วเท่านั้นเอง นี่ละที่ว่าจิตของท่านที่ว่าเป็นธรรมธาตุ คือธรรมชาติที่ยังอยู่ในขันธ์นี้ก็เป็นธรรมธาตุ แต่ยังอาศัยธาตุขันธ์อยู่ยังไม่เรียกเต็มภูมิ พอดีดจากขันธ์ทั้งหลายเหล่านี้ซึ่งเป็นสมมุติโดยประการทั้งปวงแล้ว อันนั้นก็เป็นธรรมธาตุเต็มส่วน ออกเลยเป็นธรรมธาตุ
นี่ละจิตอันนี้ไม่เคยตายฟังซิน่ะ ออกจากนี้เป็นธรรมธาตุครอบโลกธาตุจะเป็นอะไรไป คือจิตธรรมชาติที่บริสุทธิ์ ซึ่งเราเคยเทียบแล้วว่า เหมือนน้ำในมหาสมุทรที่ได้รับการส่งเสริมเพิ่มเติมจากบรรดาแม่น้ำสายต่างๆ ที่ไหลมาจากทุกทิศทุกทางรวมเข้าไปสู่มหาสมุทร แม่น้ำสายต่างๆ เมื่อไหลเข้าสู่มหาสมุทรแล้วก็เป็นน้ำมหาสมุทรอย่างเดียวกัน เวลายังไม่ถึงก็เป็นแม่น้ำสายนั้นๆ ยังไม่ถึงเรียกได้อยู่ว่าแม่น้ำสายนั้นสายนี้ เช่น แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำบางปะกง พอถึงมหาสมุทรแล้วคำเรียกเหล่านี้ก็หมดปัญหาไป
นี้จิตของท่านผู้บำเพ็ญคุณงามความดีทั้งหลาย ซึ่งเทียบกับแม่น้ำสายต่างๆ ก็เหมือนกัน ผู้นี้บำเพ็ญมาก็เป็นแม่น้ำสายของตนๆ ที่จะเข้าสู่ธรรมธาตุ แต่ยังไม่ถึง อยู่ในย่านใดๆ ก็ไปเรื่อยหมุนไปเรื่อยๆ นี่เรียกว่าแม่น้ำสายต่างๆ คือแต่ละรายๆ ที่บำเพ็ญตนไปเทียบกับแม่น้ำสายต่างๆ ต่างสายต่างไหลลงไปๆ ด้วยบารมีของตนเอง ๆ พอไปถึงแม่น้ำใหญ่คือมหาสมุทรแล้ว ก็กลายเป็นแม่น้ำมหาสมุทรไปด้วยกันหมด คำว่าแม่น้ำสายนั้นสายนี้หมดปัญหาทันที นี้จิตของท่านผู้บำเพ็ญไปด้วยบารมีของตนเองๆ ซึ่งเทียบกับแม่น้ำสายต่างๆ พอไปถึงวิมุตติหลุดพ้นแล้วเป็นธรรมธาตุแล้ว ก็เท่ากับเป็นแม่น้ำมหาสมุทร เข้าปึ๊บเดียวกันเท่านั้นเป็นธรรมธาตุด้วยกันหมด ไม่มีคำว่าผู้นั้นสร้างบารมีมาเท่านั้นเท่านี้ เป็นแม่น้ำสายนั้นสายนี้ไม่มี พูดได้คำเดียวแต่ธรรมธาตุเท่านั้น
นี่ละธรรมธาตุนี้หายไปไหนสูญไปไหน ครอบโลกธาตุอยู่เวลานี้คือธรรมธาตุนี้ เวลายังไม่ถึงนั้นมันก็ไม่สูญ ตกนรกหมกไหม้กี่กัปกี่กัลป์ ยอมรับความทนทุกข์ทรมานหนักเบามากน้อย แต่ไม่ยอมฉิบหายคือจิตดวงนี้เอง พอพ้นจากนั้นแล้วมาก็ดีดได้ ถึงขั้นแล้วดีด ไปเป็นธรรมธาตุ พากันเข้าใจแล้วนะ เอาละวันนี้เทศน์เพียงเท่านี้ ก็ไม่น้อยนะวันนี้ พากันจำให้ดี จำถึงพริกถึงขิงนะ
ธรรมะพระพุทธเจ้ากี่พระองค์มาสอนพวกสัตวโลกทั้งหลายเรานี้ เราอย่านับนะว่าเป็นหมื่นๆ แสนๆ ล้านๆๆ อย่านับนะ เราไม่ได้สนิทใจ แม้ตัวเท่าหนูเราก็ไม่สนิทใจ นับตั้งแต่วันเกิดเรานี้จนกระทั่งถึงวันตาย ว่าพระพุทธเจ้า ๑ องค์ ๒ องค์นี้ถึงวันตายก็ไม่หมด มากขนาดไหนพระพุทธเจ้า ตรัสรู้มากี่กัปกี่กัลป์ แล้วกัปหนึ่งกัลป์หนึ่งมีนานเท่าไร กัปหนึ่งกัลป์หนึ่งท่านบอกไว้ในตำราเราขี้เกียจเอามาบรรยายนะ คือกัปหนึ่งนานเท่านั้นๆ เป็น ๑ กัปแล้วจากนั้นก็เป็น ๒ กัป ๓ กัปแล้วองค์หนึ่งๆ พระพุทธเจ้าที่มาตรัสรู้มานี้กี่กัปกี่กัลป์ฟังซิน่ะ มาเรื่อยๆ ตรัสรู้มาเรื่อยๆ นี้จนกระทั่งไม่ทราบว่าต้นอยู่ที่ไหนปลายอยู่ที่ไหน ตรัสรู้มาเรื่อยๆ อย่างนี้ ถึงจะช้าก็ตรัสรู้เรื่อยมา แล้วยังจะตรัสรู้ต่อไปอีก นี่มากขนาดไหนพระพุทธเจ้าฟังซิน่ะ แล้วทีนี้ที่พระพุทธเจ้าสอนทุ่มลงหมดกำลังความสามารถแล้วปรินิพพานไป ๆ
เป็นยังไงหูเราตาเราใจเรามันเป็นยังไง มันพอรับได้ไหม คำสอนพระพุทธเจ้าที่กี่ล้านๆๆ พระองค์น่ะ หูชาวพุทธชาวไทยเรานี้จะพอรับฟังเสียงได้ไหม หรือจะรับตั้งแต่บาปแต่กรรมหาบกันลงนรกนั้นเหรอ ไม่ได้คำนึงบ้างเหรอนรกจะแตกน่ะ ถึงไม่แตกเพราะอำนาจแห่งกรรมก็ตาม มันก็น่าจะคิดว่านรกจะแตก กินมากท้องเรายังจะแตก นี่ไปตกมากๆ เดี๋ยวนรกจะแตกก็อยากจะพูดบ้างละ ถึงนรกไม่แตกก็ตาม เรายังกล้าหาญต่อนรกอยู่เหรอ ให้ฟังเสียงพระพุทธเจ้าบ้างซิ นี่ฟังตั้งแต่เสียงกิเลสตัณหามันจะจมตลอดเวลานะ เอาละทีนี้ให้พร
ลูกศิษย์ เทศน์วันนี้ละเอียดลออดีเหลือเกินเจ้าค่ะ ถูกกับลูกเมื่อคืนที่พิจารณาถึงเหตุแห่งทุกข์พอดีเจ้าค่ะ
หลวงตา สังขารนอก สังขารในเข้าใจไม่ใช่เหรอ สังขารนอกก็อย่างนี้ สังขารในก็คือตัวเกิดตัวดับ ดูนี้ขาดสะบั้นลงไปแล้วผึงเลย พระพุทธเจ้าสอนสาวกในระยะนั้นจะต้องสอนสังขารใน สังขารนอกไม่จำเป็นอะไรเพราะมีแต่พระ ส่วนมากมีแต่อริยสงฆ์ขึ้นไปที่จะพุ่งๆ อยู่แล้ว
นี่ยังจะได้ดูโรงพยาบาลอยู่เวลานี้ โรงพยาบาลจวนเสร็จแล้ว ยังอยู่ ๒ ตึกใหญ่ อากาศอำนวยกับบุ่งคล้า ตึกใหญ่นะอากาศอำนวยนี้ ๓๐ เตียง นี่ก็จวนจะเสร็จแล้วไม่ได้ไปดูนานแล้วนะ วันนี้อาจไปก็ได้ ส่วนทางโรงเรียนก็ค่อยเบาไป แล้วก็หนุนเข้ามานะโรงพยาบาลหนุนเข้ามาแต่เรายังปัดเอาไว้ๆ เราหนักๆ มากจริงๆ โห เราถึงได้เห็นเรื่องความทุกข์ของโลกนะ เราผู้รับเรื่องกองทุกข์ทั้งหลายนี้แหม วันหนึ่งๆ ไม่ทราบมาจากแง่ใดมุมใดรอบด้านๆ มีแต่เรื่องกองทุกข์มาขอความช่วยเหลือ เราผู้ให้ก็เลยจะตายก่อนเขาจะว่าไง มันหนักจริงๆ