เดี๋ยวนี้ไปที่ไหนเขาอยากเห็นแต่ตัวจริง ๆ แสดงว่าเรานี้ปลอมมากทีเดียว ไปที่ไหนมีแต่อยากเห็นตัวจริง แสดงว่าเรานี้ปลอมทั่วประเทศไทยมาแล้ว ระบาดไปหมด เราปลอม แม้ที่สุดไปในรถนี้ก็เหมือนกัน ต้องปิดม่านเอาไว้ไม่งั้นเขาจะเห็นตัวจริง เพราะมันมีแต่ของปลอมเต็มบ้านเต็มเมือง ไปที่ไหนเป็นอย่างนั้นนะ อันนี้เรามันไม่มีอะไรกับใครซิ เราก็เล็งเห็นเจตนาของเขา เจตนาที่เป็นสิริมงคลแก่เขา แต่ละราย ๆ อยากพบอยากเห็น เราก็ไปอีกแบบหนึ่งมันไม่มีอะไรกับใคร ไปไหนก็ไม่มีอะไรกับใคร พูดรวมเลยสามแดนโลกธาตุ ไม่มีอะไรกับใครกับอะไร แน่ะ เวลาเขามาเกี่ยวข้องเรามันก็เหมือนยกทอง นี่น้ำหนักก้อนอิฐ ก้อนอิฐก้อนนี้มีน้ำหนัก ๑๐ กิโล ทองก้อนนี้มีน้ำหนัก ๑๐ กิโล
เขายื่นทองมาให้เรานี้มันเทียบปั๊บกันทันที ความสรรเสริญกับความนินทามีน้ำหนักเท่ากัน เขายื่นทองมาปั๊บ อยากรู้อยากเห็น เราเกี่ยวข้องกับเขาเท่ากับเรายกทอง ๑๐ กิโล หนักขึ้น ถ้าเราไม่ยกเราอยู่เฉย ๆ ก็ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรมาเกี่ยวข้อง เราอยู่ตามหลักธรรมชาติของจิตก็เป็นอย่างนั้น ถ้ามีอะไรเข้ามาเกี่ยวไม่ว่าความติความชม นี่พูดตามหลักธรรมชาติไม่ได้เหยียบย่ำทำลายอะไร หลักธรรมพูดตามหลักธรรมชาติทั้งสองอย่างนี้ จะว่าดีกับชั่ว หรือความนินทาสรรเสริญ ว่าอย่างนั้นก็ถูก ทั้งสองนี้มีน้ำหนักเท่ากัน เหมือนเรายกอิฐน้ำหนัก ๑๐ กิโล กับยกทองคำน้ำหนัก ๑๐ กิโล น้ำหนักเท่ากัน แล้วทำไง ไม่ยกทั้งสองไม่หนักทั้งนั้น แน่ะ ไม่ยกเลยทั้งสองไม่หนักทั้งนั้น คือไม่ยุ่งกับอะไรเลย อยู่ตามหลักธรรมชาติ อันนั้นมาเกี่ยวนั้น อันนี้มาเกี่ยวนี้ มันก็ต้องยกน้ำหนัก
ทีนี้พิจารณาไปถึงเรื่องพระพุทธเจ้า ทรงปรารถนาพุทธภูมิความเป็นพระพุทธเจ้า ตั้งแต่เริ่มแรกจนกระทั่งได้เป็นศาสดาองค์เอก ก็ทรงปรารถนาเพื่อยกน้ำหนักทั้งดีทั้งชั่วคละเคล้ากันไป แนะนำสั่งสอนกันไป ซึ่งเท่ากับยกน้ำหนัก เมื่อพิจารณาตามเหตุตามผลแล้วมันก็ทน เหมือนพระพุทธเจ้าทนสั่งสอนสัตวโลกนั่นแล ท่านก็ทน จะไม่หนักหรือพระพุทธเจ้าทรงรับภาระสั่งสอนสัตวโลกน่ะ แต่ก็ทรงเล็งเห็นเหตุเห็นผล หนักก็หนักแค่ผิวเผิน ๆ แต่ส่วนสัตวโลกหนักเพื่อล่มเพื่อจมเพื่อความทุกข์ความทรมานนี้มากต่อมาก จึงต้องเอื้อมพระหัตถ์ลงไปฉุดขึ้นมา ๆ แม้จะลำบากบ้างก็ทนเอา ดีกว่าจะปล่อยให้พวกนี้จมเลย ๆ ไม่มีจุดหมายปลายทาง นั่นเอามาเทียบหมดนะ
ไปที่ไหนก็อย่างนั้น ต้องปิดม่านรถไม่ให้ใครเห็น ไปในรถนี้ถ้าเขาไม่ทราบไว้ก่อนจะไม่รู้ เปิดแต่ข้างหน้า ข้างหน้าไม่มีม่านมีแต่กระจกรถ ข้าง ๆ นี้ปิดหมด เห็นไม่ได้นะ พอมองปั๊บจับปุ๊บเลยทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ แสดงว่าตัวปลอมนี้ก็แม่นยำมากอยู่นะ ไม่มีใครสงสัย ดูตัวปลอมมาแล้วกลับมาดูตัวจริงได้กันเปรี๊ยะเลย มองเห็นจ้อเลยไม่ว่าเด็กผู้ใหญ่ที่ไหนก็ไป แม้ที่สุดปั๊มน้ำมันไม่เห็นพลาดไปเลย ปั๊บจ้อเลย
พระพุทธเจ้าทรงทนความทุกข์ความทรมาน ความลำบากลำบน เพื่อความเป็นศาสดารื้อขนสัตวโลกออกจากหล่มลึก จึงไม่มีใครลำบากยิ่งกว่าพระโพธิสัตว์ก้าวเดินเพื่อความเป็นศาสดาสอนโลกนี้หนักมาก ปรารถนาเป็นล้าน ๆ ได้อย่างมาก ๑ ราย เป็นล้าน ๆ ฟังซิน่ะ ตั้งความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า ผ่านไปได้เพียงรายเดียว นอกนั้นไปไหนหมด มันก็เรี่ยราดของมันไป ไปไม่ไหวก็ตกค้าง ๆ เป็นพัน ๆ ตกค้างไปทีละรายสองราย สุดท้ายตกค้างไปถึงพัน อย่างมากก็เหลือเพียงรายเดียว นี่ละความหนักแน่นของโพธิสัตว์จึงเกินสัตวโลกทั้งหลาย ไม่มีใครเทียบในการทำความอุตส่าห์พยายาม ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้ารื้อขนสัตวโลกขึ้นจากหล่มลึก ทรมานขนาดไหนก็ทนเอา ลำบากขนาดนั้นนะ
แม้เวลาถึงขั้นจะได้สอนโลกแล้วยังทรงท้อพระทัย ฟังซิ สัตวโลกเป็นเรื่องเล็กน้อยเมื่อไร หนักขนาดไหน พระพุทธเจ้าท่านทำความปรารถนามาหนักมากขนาดไหน ไม่มีใครเกินความลำบากลำบนของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ที่ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมา โดยเดินทางโดยโพธิสัตว์ ก็ตั้งหน้าตั้งตาจะสอนสัตวโลก ทำความอุตส่าห์พยายามมานี้ก็หนักมากพอ ทีนี้พอตรัสรู้ปึ๋งขึ้นมาแล้วนี้จึงมามองดูสัตว์ ทีนี้ดูความจริงล้วน ๆ ละที่นี่ ตอนทรงปรารถนานั้นทรงคาดเหมือนกับเรานี่แหละ จะเป็นพระพุทธเจ้าสั่งสอนสัตวโลก เป็นความคาดความหมายโดยยังไม่เห็นตัวจริง พอได้เข้าไปถึงตัวจริงได้แก่ตรัสรู้ธรรมปึ๋งขึ้นมาแล้ว ธรรมก็เป็นของจริง ศาสดาเป็นศาสดาองค์เอกที่จะสั่งสอนสัตวโลก สัตวโลกเป็นยังไงก็เห็นจริงไปหมดเลย ธรรมชาติที่จะนำมาสอนสัตวโลกเห็นประจักษ์พระทัย สัตวโลกที่จะทรงสั่งสอนก็เต็มพระทัยด้วยกัน สุดท้ายก็มาลงที่ว่าท้อพระทัย
ฟังซิ หนักมากไหมสัตวโลก ถึงขนาดศาสดาองค์เอกได้ท้อพระทัย หนักมากไหม มันหนักขนาดนั้น หนักพวกสัตว์ที่จมอยู่ในกองทุกข์ที่จะรื้อขนขึ้นมาจากกองทุกข์ มันไม่ยอมฟังเสียง มันจมอยู่ในนั้นไม่ยอมฟังเสียงอรรถเสียงธรรมแหละ ที่ว่ารื้อขนขึ้นยาก มันหนัก คือไม่ยอมฟังเสียง นี่ทำให้ท้อพระทัย มองดูนี้มืดตื้อ มืดเฉย ๆ ธรรมดาเหมือนอากาศมืดค่อยยังชั่ว มันมืดด้วยฟืนด้วยไฟของบาปของกรรมเผาอยู่ในนั้น ไม่ได้มืดธรรมดา มืดธรรมดาไม่เป็นฟืนเป็นไฟ ใครก็เจอด้วยกันก็ไม่เห็นบ่นอะไร เพราะไม่เป็นภัย แต่มืดของบาปของกรรมนี้เป็นฟืนเป็นไฟเป็นมหาภัยมาตลอด นี่ละมาเจอเข้าอย่างนี้จึงทรงท้อพระทัย ประหนึ่งว่าการเป็นพระพุทธเจ้าชะงัก จะไม่สั่งสอนสัตวโลก ทรงทำความขวนขวายน้อยจะไม่สอนใคร อยู่โดยลำพังพระองค์ ไปโดยลำพังพระองค์ดีกว่า ความหมายว่างั้น
แต่ความเป็นศาสดาแสดงมาแง่ใด ก็เอาเรื่องเอาราวของท่านมา แต่ความที่ว่าท้อพระทัย ก็ไม่ได้ท้อพระทัยแบบจะปล่อยวาง ทรงพินิจพิจารณาด้วยพระญาณรอบพระจิตของท่านตลอดเวลา สิ่งที่ผ่านก็เห็นอยู่นี้ สิ่งที่พิจารณาเพื่อจะแก้ไขยกหรือรื้อฟื้นกันขึ้นก็พิจารณาอยู่อย่างนี้ ถึงขนาดท้าวมหาพรหมมาอาราธนา ท้าวมหาพรหมอยู่พรหมโลก ทรงเล็งเห็นพระพุทธเจ้าซึ่งกำลังทรงท้อพระทัยต่อการสั่งสอนสัตวโลกอยู่นั้น ทางนั้นก็ ภาษาของเราก็เรียกว่าเสียอกเสียใจ กลัวสัตว์ทั้งหลายจะหมดหวังว่างั้นนะ จะจมไปอีกตามเดิม จึงได้มาอาราธนาพระพุทธเจ้า ลงมาอาราธนานะ
มากราบทูลท่านถึงเรื่องว่า สัตวโลกนี้ไม่มืดหนาสาโหดไปเสียโดยถ่ายเดียว ผู้ที่ยังมีมลทินเบาบางก็ยังมีอยู่มาก ขอพระองค์อย่าทอดอาลัยไปเสียถ่ายเดียว ขอทรงพระเมตตาสงสารสัตวโลกที่พอที่จะถอดจะถอนจะฉุดจะลากไปได้ ขอได้แนะนำสั่งสอนต่อไป ถ้าเราจะพูดธรรมดาแล้วก็เหมือนหนึ่งว่า ท้าวมหาพรหมนี้มีความรู้ความสามารถยิ่งกว่าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าถึงขั้นเป็นองค์ศาสดา ยังต้องให้ท้าวมหาพรหมมาสอนมาอาราธนา คิดอย่างนี้ก็ได้คนเรา แต่นี้ความรำพึงของพระพุทธเจ้าที่ทรงรำพึงถึงสัตว์ทั้งหลายที่เห็นได้ชัดเจนแล้ว มืดหนาเหลือประมาณ ๆ กำลังพิจารณา ๆ ท้าวมหาพรหมก็มาในตอนนี้ ส่วนที่พิจารณาผู้ที่มีมลทินเบาบางมากน้อยนั้น ใครจะเกินศาสดา ท้าวมหาพรหม ๑๖ ชั้นพรหมโลกมาต่อกรกับพระพุทธเจ้าก็หงายไปหมดเลย ใครจะหยั่งทราบละเอียดลออทั่วถึงยิ่งกว่าองค์ศาสดาวะ ท้าวมหาพรหมก็ทราบเพียงเท่านั้นมาทูลอาราธนา นี่เราแยกเป็นแขนง ๆ ให้พี่น้องทั้งหลายทราบ
ในขณะที่ท้าวมหาพรหมวิตกวิจารณ์ กลัวพระองค์จะปล่อยไปเสีย ทั้ง ๆ ที่พระองค์กำลังพิจารณา ๆ ส่วนได้ส่วนเสียบวกลบคูณหารด้วยพระญาณหยั่งทราบต่อสัตว์ทั้งหลายอยู่เวลานั้น เมื่อเสร็จแล้วก็ทรงพิจารณาเลือกเฟ้นสัตวโลกในวัฏจักรนี้มี ๔ ประเภท นั่นแยกขนาดนั้นเวลาพระพุทธเจ้าแยก ท้าวมหาพรหมรวมเลย สัตวโลกที่มีมลทินเบาบางยังมีอยู่มาก แต่ไม่ได้แยกเหมือนพระพุทธเจ้า เวลาพระพุทธเจ้าทรงแสดงออกนี้เรียกว่าแยก มีอยู่ ๔ ประเภท
ประเภทที่หนึ่ง อุคฆฏิตัญญู นี่เรียกว่าผู้มีมลทินเบาบางที่สุดแล้ว เตรียมพร้อมที่จะออก ที่จะหลุดพ้นจากทุกข์
ประเภทที่สอง ก็หนุนกันมา ก็ดังที่เราเคยพูดแล้วก็ไม่อยากพูดซ้ำซากนะ ประเภทที่หนึ่ง เช่น ยกเบญจวัคคีย์ทั้งห้า ว่างั้นเลย แน่ะเราก็เคยพูดแล้ว แล้วก็หนุนกันมา ๆ ประเภทที่สองหนุนกันไป
ประเภทที่สาม ต้องได้รบรากันอย่างสะบั้นหั่นแหลก
ประเภทที่สี่ ปทปรมะ ประเภทไม่เอาไหน เข้าใจไหม กับประเภทที่กำลังตะเกียกตะกาย ทั้งจะบืนขึ้น ทั้งปทปรมะลากขาลงมา จะก้าวเข้าทางจงกรมมันก็ลากขาออกมา นั่นน่ะหมอนมันว่า เข้าใจไหม มันลากขาออกมา อันนี้ก็ทั้งห่วงหมอน ทั้งห่วงทางจงกรม ขาเลยถ่างอยู่ พวกขาถ่างพวกนี้ นี่ประเภทที่สาม เนยยะ แปลว่า ผู้พอแนะนำสั่งสอนได้ คือ ไปได้ถอยได้ ดีได้ชั่วได้ เป็นกลาง ๆ อยู่ในท่ามกลาง ประเภทเนยยะ พอแนะนำสั่งสอนได้ เป็นประเภทที่สาม ประเภทที่สี่เรียกว่าหมดหวังโดยประการทั้งปวง มีแต่รูปแต่นาม ลมหายใจอยู่ฝอด ๆ เท่านั้นแหละ อยู่ไปวันหนึ่ง ๆ พร้อมแล้วที่จะจม นั้นมันก็จมอยู่แล้ว ฐานของมันก็จมแล้ว พอลมหายใจขาดมันก็ผึงเลย
มี ๔ ประเภท พระองค์ทรงพิจารณาแยกขนาดนั้น ส่วนท้าวมหาพรหมรวมลงมา ก็มาแยกเพียงว่า ในจำนวนที่หนาแน่นด้วยความมืดหนาในกรรมทั้งหลายมีมาก ๆ แต่ผู้ที่จะหลุดพ้นไปก็ยังมี เรียกว่า ผู้มีธุลีเบาบาง ก็แยกเพียง ๒ เท่านั้น ผู้มีธุลีเบาบางมีอยู่ นอกนั้นก็หนาทั้งนั้น ส่วนพระพุทธเจ้าแยกถึง ๔ ประเภทเต็มอัตราของสัตวโลกที่บรรจุอยู่ในสามแดนโลกธาตุนี้ แยกได้ ๔ ประเภท จึงต้องทรงแนะนำสั่งสอน จากนั้นก็เริ่มสั่งสอน
อย่างที่พวกเราทั้งหลายได้ยินทุกวันนี้ว่า พฺรหฺมา จ โลกา นี่ในนามของท้าวมหาพรหม ลงมาอาราธนาพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมโปรดสัตวโลก เป็นบุคคลาธิษฐานเข้ามา ส่วนธรรมาธิษฐานที่มีอยู่ในพระทัยก็คือ พระเมตตาล้วน ๆ ที่จะสั่งสอนสัตวโลก แต่กำลังพิจารณาเล็งญาณดูสัตวโลก เวลานั้นท้าวมหาพรหมก็เข้ามาผ่านในระยะนั้น
พอพูดอย่างนี้เราก็ยังระลึกได้ ยายแก่คนที่ว่าอยู่หนองผือ ชื่อกั้ง แกอยู่บ้านของแก หลวงปู่มั่นอยู่วัด พวกเทพทั้งหลายมาเฝ้าฟังธรรมเทศนาว่าการ ถามปัญหาต่าง ๆ กับหลวงปู่มั่น ทางนั้นแกอยู่บ้าน ฟังซิน่ะ แกเรียนหนังสือที่ไหน คนสมัยนั้นไม่ได้หนังสือแหละ ตั้งแต่แม่หลวงตาบัวยังไม่เห็นได้ โคตรหลวงตาบัวยังไม่เห็นได้หนังสือเลย จะมีกระเด็นออกมาแต่หลวงตาบัวได้หนังสือมา ไม่ได้มาก ก็เพียงพอโกหกโลกก็เอา ว่าหลวงตา ป.๓ เขาก็ได้ เราก็ได้ ป.๓
แกนั่งภาวนาแกเห็นพวกเทพทั้งหลายมา นี่ละหลักความจริง ที่เห็นด้วยความจริง ด้วยจิตด้วยญาณความหยั่งทราบของแก แกไม่ได้ศึกษาเล่าเรียนอะไรเลย แกดูของจริง ของจริงที่ผ่านเข้ามา ๆ แกก็ดู มาเล่าให้พ่อแม่ครูจารย์มั่นฟัง โอ๋ย พระเณรนี้เต็มหมดเลย ถ้าวันไหนยายกั้งมาวันนั้นพระเณรรีบล้างบาตร เช็ดบาตรปุบปับๆ เสร็จแล้วก็แอบเข้ามา ทางนี้ก็ขึ้นไป ศาลาเตี้ย ๆ ดูจะประมาณเมตร เมตรกว่าเท่านั้นแหละมั้ง เป็นสองพัก พักล่าง พักหนึ่งพระท่านฉัน ศาลาไม่ใหญ่แหละ พอฉันเสร็จแล้วแกก็ขึ้นมา พ่อแม่ครูจารย์ก็นั่งอยู่ที่นั่น
เราทัพพีก็แอบอยู่นั้นแหละ ทัพพีแอบอยู่กับหม้อแกงนั้นแหละ แต่ไม่ได้รสได้ชาติของหม้อแกง สู้ยายกั้งไม่ได้ เวลาแกมาบรรยายแกไม่ได้สงสัยนะ แกถามเลย นั่นเห็นไหมล่ะ เอาความจริงมาถาม ทำไมพวกอะไรที่มาจากข้างบน ๆ นั่นน่ะ ไม่ได้เหมือนกันเลย นั่นฟังซิน่ะ ความละเอียดลออต่างกันเป็นลำดับลำดามา มาเป็นคณะ ๆ โอ๋ย เต็มท้องฟ้า มาลง ๆ เข้าหนองผือ ๆ มาเป็นระยะ เครื่องแต่งเนื้อแต่งตัวของหลักธรรมชาติของความจริง แต่ละคณะ ๆ ไม่เหมือนกันเลย ทำไมเป็นอย่างนั้น ทำไมไม่เหมือนกัน แล้วสุดท้ายที่เหลืองๆ มานั่น โอ๋ย เหลืองอร่ามไปหมดเลย แพรวพราวสว่างไปหมด มาที่ไหนสว่างไปหมด อันนี้เหลืองอร่าม แกว่านะ
เราก็จะคอยฟัง ทัพพีคอยฟัง ถึงไม่ได้ซด ได้ดูก็เอา ท่านก็ไม่พูดมากแหละ เพราะอันนี้เป็นสิ่งภายนอก มีการกระทบกระเทือนได้ มีส่วนเสียได้ ท่านก็พูดพอเหมาะ เห็นไหมจอมปราชญ์ นั่นเป็นอย่างงั้นนะ
ท่านก็แยกออกไป มันเป็นด้วยอำนาจแห่งบุญแห่งกรรมของคนและสัตว์ อยู่ในมนุษย์เราก็ไม่เหมือนกัน มีคนทุกข์คนมีคนโง่คนฉลาด คนกรรมหนักกรรมเบา อันนี้พวกเทพทั้งหลายก็อยู่ในอำนาจแห่งกรรมเหมือนกัน ท่านบอกว่าเทพ ท่านไม่บอกว่าเทวดงเทวดากว้างขวางอะไร ท่านบอกว่าพวกเทพ อันนี้เขาก็อยู่ในวงของกรรมเช่นเดียวกัน พวกนี้มีความเหลื่อมล้ำต่ำสูง ด้วยอำนาจแห่งบุญแห่งกรรมต่างกัน พวกที่หยาบก็เทียบเอาเรื่องความหยาบความละเอียด พวกนี้เป็นอย่างนั้น พวกนั้นเป็นอย่างนั้น มาตามขั้นตามภูมิของตน ๆ ที่มีกรรมเหมือนกันก็มาด้วยกันอย่างนี้ กรรมประเภทหนึ่ง ๆ เป็นชั้น ๆ มา ท่านก็ย่อเอาว่าเป็นพวกเทพ เขามีหลายคณะ มีหลายชั้นที่มา สวรรค์แต่ละชั้น ๆ ต่าง ๆ กัน
ทีนี้พอสุดท้ายแล้วก็ที่เหลือง ๆ นั่นล่ะ แกถาม อู๊ย จ้อนะ ที่เหลือง ๆ อร่ามสวยงามมาก สว่างไปหมดนั้นคืออะไร นั่นก็ไม่ใช่น้อย ๆ เหลืองอร่ามไปหมดเลย แกว่ามาสุดท้าย
เออ นั่นท้าวมหาพรหม ท่านพูดเท่านี้แหละ ท่านไม่พูดมาก นั่นท้าวมหาพรหม แกฟัง ฟังจริง ๆ นะ จ้อเลย คือแกได้เรื่องของแกมาแล้ว แกจะคอยฟังจากพ่อแม่ครูจารย์มั่น ท่านก็อธิบายให้ฟังย่อ ๆ ไม่มาก ไม่เหมือนทางภายในแก้กิเลส ถ้าเป็นเรื่องแก้กิเลสใส่ผาง ๆ เข้าไปเลย เรื่องอย่างนั้นท่านพูดเพียงเล็กน้อย เมื่อมีผู้มาเกี่ยวข้องท่านก็แยกแยะเพื่อให้เป็นหลักสักขีพยาน ตรงไหน ๆ ที่ควรเตือนท่านเตือนนะพวกนี้ เกี่ยวกับพวกนี้ท่านก็เตือนเหมือนกัน แน่ะเห็นไหมล่ะ แกไม่รู้ ท่านเตือน เห็นไหมล่ะ ต่างกันอย่างนี้
เวลาแกมาพูด พูดอย่างไม่สะทกสะท้านนะ นี่ละคนเรา เมื่อเอาความจริงที่รู้ด้วยตนเองชัดเจนแล้วมาถาม ไม่ได้สงสัย มีแต่คอยจ้อจะเอา ทางนี้ถามเป็นยังไง จ้ออยากฟังเรื่องราวทางนั้น
นี่ละเรื่องของยายกั้งแกพูดอย่างนั้น แต่นาน ๆ มาทีหนึ่ง มาทีไหนเรียกว่าเป็นเรื่องอัศจรรย์เหมือนกัน ท้องฟ้านี้สว่างไปหมดเลย พวกนี้มาท้องฟ้าอากาศนี้สว่างไปหมด ยิ่งคณะเหลือง ๆ มายิ่งสว่างใหญ่ อันนี้ยิ่งน่าอัศจรรย์ยิ่งกว่าที่ผ่านมาทั้งหลาย ท่านมียิ้มนิดหนึ่ง
น่าฟังนะเวลาแกพูด แกพูดอย่างตรงไปตรงมา แกก็ยังมาถามนะ แกก็มีความแยบคายของแก หลวงพ่อก็พ้นจากทุกข์ไปหมดถึงนิพพานแล้ว ยังทำความพากความเพียรหาอะไรอีก บทเวลาจะถาม คนตรงไปตรงมาเป็นอย่างนั้นแหละ ก็จิตของหลวงพ่อถึงนิพพานแล้วสว่างครอบโลกไปหมดเลย แล้วหลวงพ่อจะภาวนาหาอะไรอีก ทางนี้ก็ตอบดีนะ ภาวนาจนตายแหละเขาถึงเรียกนักรบ ท่านว่าก็น่าฟัง ก็ไม่ทราบว่าจะรบกับอะไร ก็รบกับความขี้เกียจขี้คร้านให้โลกนั่นแหละ ท่านแยกไปนั้นนะ รบกับความขี้เกียจขี้คร้านให้โลก เพราะโลกมันขี้เกียจ นั่นเห็นไหม ท่านตอบน่าฟัง ทางนั้นหัวเราะ ฮ่า ๆๆ แกถูกใจหัวเราะ ฮ่า ๆ ๆ นั่นเห็นไหมล่ะ หลวงพ่อจะทำภาวนาไปหาอะไร ก็หลวงพ่อถึงนิพพานสว่างครอบโลกไปแล้ว จะมาภาวนาหาอะไรอีก ภาวนาจนวันตายแหละ ท่านว่า เพื่อชำระความเกียจคร้าน ความเกียจคร้านก็ของพวกเรานี่แหละ แน่ะ ท่านก็ตีมาตรงนี้ ท่านไม่ได้ว่า เพื่อชำระความเกียจคร้านของท่าน ความเกียจคร้านของพวกปะเขปะขามันออกอ้อมแอ้มอยู่ตามนั้น
แกถูกใจหัวเราะ ฮ่า ๆๆ นี่ละเห็นไหมเป็นยังไง แกถามใคร ว่าเทวดามีหรือไม่มี แกถามใครเมื่อไร พ่อแม่ครูจารย์ค้านเมื่อไร ไม่เห็นค้าน เป็นอย่างงั้นแหละ ของจริงถ้าลงได้เจอเข้าแล้วไม่ต้องไปถามใคร ใครจะเชื่อไม่เชื่อ ค้านหรือไม่ค้านไม่สนใจ ความจริงเต็มสัดเต็มส่วน ไม่จำเป็นต้องหาสักขีพยานมาจากที่ไหนอีกแล้ว จ้าเข้าไปเลย ภายในก็เหมือนกันกิเลสสิ้นซากลงไป ผางเท่านั้นก็แบบเดียวกัน อันนี้ยิ่งอยู่กับจิตด้วย อันนั้นยังมาเกี่ยวข้องนะ อันนี้อยู่กับจิต มันจ้าเข้าไปแถวนี้มันก็หมดเลย
ที่กล่าวมาเหล่านี้พุทธศาสนาเราเป็นยังไง เอาเทียบกันซิ โลกนี้มีกี่ศาสนา เทียบน้ำหนักเทียบข้อเท็จจริงกัน เอามาพิสูจน์กัน พระพุทธเจ้าพระองค์ใดตรัสรู้แบบเดียวกันหมด ไม่มีองค์ใดแข่งองค์ใดได้เลย เหมือนกันหมดไม่ทราบจะแข่งอะไร ศาสนาต่าง ๆ นั้นเถียงกันวันยังค่ำ ศาสนาพุทธมีเท่าไรไม่ได้เถียงกันนะ คือแบบเดียวกัน เห็นอย่างเดียวกัน รู้อย่างเดียวกัน ไม่มีที่จะคัดค้านต้านทานกันได้เลย ของจริงเจอเข้าไปแล้วแบบเดียวกันหมด พวกปลอมเจอเข้าไปแล้วมันก็แบบเดียวกันอีก พวกเถียงตลอดวันยังค่ำไม่มีที่สิ้นสุดยุติคือเรื่องของกิเลส ก่อความวุ่นวายไม่มีอะไรเกินกิเลส ทำให้โลกทั้งหลายได้รับความเดือดร้อนสับสนวุ่นวายนี้คือกิเลส
ธรรมไม่มี ธรรมชำระสิ่งยุ่งเหยิงได้มากน้อยค่อยเบาไป ๆ ชำระจนหมดโดยสิ้นเชิงภายในใจแล้ว เรื่องสมมุติทั้งมวลนี้จะไม่เข้าแทรกในหัวใจของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ได้เลย เป็นหลักธรรมชาติ จะมีอะไรเต็มโลกเต็มสงสาร จิตท่านผ่านไปหมดแล้ว อะไรจะเอื้อมถึงล่ะ มันก็เป็นสมมุติทั้งนั้น กองหนาแน่นขนาดไหนก็คือกองสมมุติ วิมุตติยังเหนืออยู่ตลอด จะไปท่วมท้นวิมุตติให้จมลงไปไม่มีทาง จากสมมุติที่ไปทับถมไม่มี นี่ละศาสนาพุทธเรา
เราน่ะวิตกวิจารณ์ถึงเรื่องศาสนา ไม่ได้ดูถูกเหยียดหยาม เอาธรรมมาจับ เอาความจริงกับความปลอมมาจับกัน อันนี้ปลอมอันนี้จริงเอามาจับกัน เช่น ธนบัตรจริงกับธนบัตรปลอมมันคล้ายคลึงกัน มันกองพะเนินเทินทึกอยู่นี่ แล้วผู้ที่ไม่รู้ธนบัตรจริงธนบัตรปลอม ก็ล่อแหลมต่ออันตรายไปตลอดสายเลยนะ นอกจากผู้ที่รู้ธนบัตรจริงธนบัตรปลอมแล้วก็ไม่มีปัญหา แต่แล้วผู้ที่รู้จริงนี้แหละเป็นห่วงของพวกจอมปลอมรู้ปลอมตาไม่ถึงสิ่งของ แล้วจมไปได้เพราะสิ่งหลอกลวงจากสิ่งจอมปลอมทั้งหลายเหล่านี้ กิเลสมันเป็นตัวจอมปลอมเต็มโลกเต็มสงสาร ยิ่งทุกวันนี้ยิ่งหนาแน่นมองหาธรรมแทบไม่มี ทั้งๆ ที่เมืองไทยเราเป็นเมืองพุทธ มองไปไหนมีแต่กิเลสห้อมล้อม
เราก็ว่าเรามีหนังหุ้มห่อ หนังกิเลสมันยังหนายิ่งกว่านี้ มองหาหนังเราไม่เห็นเลย หนังกิเลสมันห่อไปหมด คือมันหนาแน่นขนาดนั้นในหัวใจของสัตวโลก กิริยาท่าทางอะไรแสดงออกไปมีแต่กิเลสเปิดทางๆ ไว้ แล้วลากออกไปให้คิดให้อ่าน ให้ปรุง ให้แต่ง ให้เกิดความสับสนวุ่นวาย ตั้งแต่ตื่นนอนถึงค่ำๆ ถึงหลับๆ นี่มันหลับได้นะ ถ้าหลับไม่ได้ตายนะมนุษย์เรา ความยุ่งเหยิงวุ่นวายที่กิเลสก่อ พวกเรายังไม่เห็นโทษของมันเลยนี้ว่าไง หนาหรือไม่หนาเอาตรงนี้ซิ ก็มันเคยทับถมโจมตีเรามามากต่อมาก ควรจะได้ข้อคิดอ่านไตร่ตรอง พอจะได้มีความเข็ดหลาบบ้างมันกลับไม่มีนะ
มันไม่ทำให้ใครเข็ดหลาบละขึ้นชื่อว่ากองทุกข์ ทุกข์เท่าไรยิ่งติดยิ่งพัน ให้เข็ดหลาบไม่มี นอกจากธรรมเข้าไปชะล้างปึ๋งเท่านั้นรู้ตัวฟื้น ๆ กลับตัวๆ ถ้าไม่ใช่ธรรมไม่มีทาง หมดจริงๆ สัตวโลกนะ มีธรรมเท่านั้นเป็นเครื่องชะล้างพอได้มองเห็น พอมองเห็นแล้วก็รู้โทษรู้ภัย รู้ดีรู้ชั่ว มันก็หาทางออก พอหาทางออกธรรมท่านก็เชิดเรื่อยๆ ดึงเรื่อย ลากเรื่อย เราก็ดำเนินตามท่าน ก็ก้าวออกห่างไปเรื่อยๆ
คำว่าศาสนาเราเคยพูดแล้ว มันเป็นสิ่งหลอกลวงของสัตวโลกร้อยเปอร์เซ็นต์เลย เพราะคำว่าศาสนาๆ ใครก็ตายใจ ศาสนาเขาก็ต้องหมายถึง ธรรมเป็นที่ตายใจ คำว่าศาสนาเอาออกมาจากธรรม แล้วมันเอาคำว่าศาสนามาเป็นเหยื่อล่อ ข้างหลังมีตั้งแต่มูตรแต่คูถแต่เสี้ยนแต่หนาม แต่ฟืนแต่ไฟเต็มอยู่กับศาสนาของคลังกิเลส ผู้ที่เป็นเจ้าของศาสนานั้นเป็นคลังกิเลส มีกิเลสเต็มหัวใจ นำกิเลสเต็มหัวใจนี้ออกประกาศตนเป็นเจ้าของศาสนา แนะนำใครสั่งสอนใครก็ลากลงจมลง ๆ มีแต่ความหนาแน่นด้วยกิเลสตัณหา หนาแน่นด้วยความทุกข์ความทรมาน ทีนี้เวลาพิจารณาแยกมาแล้ว ไม่มีศาสนาเสียนั่นแหละเหมาะ ถ้าศาสนาประเภทนี้ไม่มีเสียดีกว่า จะไม่มีมหาภัยแทรกเข้าเป็นสิ่งหลอกลวงสัตว์ให้จมมากยิ่งกว่านี้ไป
ถ้าเป็นศาสนาของผู้สิ้นกิเลสแล้วไม่ต้องพูด มีเท่าไรก็ไม่มีเฟ้อ พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ไม่เฟ้อ พูดอย่างนี้ท่านทั้งหลาย ไม่ว่าอาจหรือให้ชี้มาเลยก็ได้ ก่อนที่จะพูดชี้ออกมาเลยก็ได้ ถ้าหลวงตาพูดออกมาอย่างนี้นะ นี้มีน้อยไปนะ สามแดนโลกธาตุจะมาชี้นิ้วใส่หน้าหลวงตาบัวนี้หมดเลย ชี้ยังไง พระพุทธเจ้ามีกี่พระองค์ ทางนี้ก็ยังไม่ชี้มาก เพียงชี้ไปว่าให้ไปดูมหาสมุทร มหาสมุทรกว้างแคบลึกตื้นขนาดไหนไปดู ถ้าอยากรู้ว่าพระพุทธเจ้ามีจำนวนมากเท่าไร เอาเพียงมหาสมุทรเท่านี้แหละเทียบ ไม่มากนะมหาสมุทรนี่ เอามาเทียบกับพระพุทธเจ้าที่ทรงอุบัติขึ้นมาแต่กัปไหนกาลใด ไม่มีต้นมีปลาย อุบัติขึ้นมาๆ
อย่างฝนตกเพียง ๗ วัน ๗ คืน นี้ท่วมไปหมดไม่มีเหลือ พระพุทธเจ้าอุบัติมาตั้งแต่กัปไหนกัลป์ใดไม่มีต้นมีปลาย มากขนาดไหน ฝนตกเพียง ๗ วัน ๗ คืน แต่พระสารีบุตรยังนับได้นะ ท่านบอกไว้ในตำรา ฝนตก ๗ วัน ๗ คืน ความฉลาดของปัญญาญาณ พระสารีบุตรเป็นหนึ่ง ฝนตก ๗ วัน ๗ คืน พระสารีบุตรนับได้ทุกเม็ด พระพุทธเจ้าว่า ความรู้ขี้ปะติ๋วความรู้ของเธอ เราตถาคตให้ฝนตกตั้งกัปตั้งกัลป์ ตถาคตนับได้หมดเลย นี้คือศาสดาองค์เอก
แล้วศาสดาองค์เอกนี้ทรงอุบัติขึ้นมาในโลกนี้มากขนาดไหน ตั้งแต่กัปไหนกัลป์ใดอุบัติมาไม่หยุดไม่ถอย แม้นานๆ จะมาต่อกัน แต่ต่อไม่ถอย ไม่ทราบว่ากัปใดกัลป์ใดไม่มีต้นมีปลาย จะจำนวนมากขนาดไหน น้ำมหาสมุทรท่านเทียบเพียงพอประมาณ พระพุทธเจ้าจริงๆ แล้วมากกว่านี้เป็นไหนๆ อีก หลวงตาบัวดีไม่ดีจะไม่ได้กลับกุฏิแล้วถูกเขารุมตีเอา เพราะพูดอย่างนี้ เข้าใจไหม ให้ฟังให้ดีนะ
นี่ละที่ว่าพระพุทธเจ้าอุบัติมากขนาดไหน เทียบมหาสมุทร มหาสมุทรยังน้อยนิดเดียว เป็นแบบเดียวกันหมด นี่ละให้ความร่มเย็นแก่โลก ที่ว่าธรรมมีอยู่ๆ คือธรรมชาติอันนี้ละ เรียกว่า ธรรมธาตุ เทียบกับมหาสมุทร มีอย่างนี้ แล้วพระองค์ใดก็ตาม ไม่มีการคัดค้านกัน ว่าแยกแยะจากกันในความรู้ความเห็น ในการแนะนำสั่งสอนสัตวโลก ไม่มีอะไรแปลกต่างกัน เพราะรู้อย่างเดียวกัน เห็นอย่างเดียวกัน สอนอย่างเดียวกันหมด
ไม่เหมือนคนตาบอดหูหนวก หรืออย่างตาบอดคลำช้าง คนนี้คลำไปข้างมัน โอ๊ย. ช้างตัวหนึ่งมันเหมือนกับฝาเรือน คนหนึ่งว่าฝาเรือนอะไรไอ้บ้า คนนี้ก็อวดเก่ง ช้างตัวหนึ่งมันก็เหมือนกับปลิงน่ะซิ ปลิงยังไง ก็งวงมันเหมือนปลิง โอ๊ย. ไอ้นี่ก็บ้าอีก สู้ข้าไม่ได้ แกเก่งมาจากไหน ได้ความรู้มาจากไหน มาว่าให้ฟังหน่อย ช้างมันไม่ได้เหมือนฝาเรือนมันไม่ได้เหมือนปลิงนะ มันเหมือนต้นเสา คือไปคลำดูขามัน ไอ้นี่ยิ่งแล้วใหญ่สู้ข้าไม่ได้ พวกนี้เหลวไหล แล้วแกเก่งมาจากไหน เอาตอบหน่อยซิ ช้างมันเหมือนไม้กวาด เข้าใจไหม หางมัน
เลยไม่ลงรอยกัน ทะเลาะกันก็ไปทะเลาะอยู่ใต้ร่มมะกอกเสียด้วย พอดีลมโชยมาพัดมะกอก หล่นปั๋งมาใส่หน้าผาก โห กูพูดแต่ปาก มึงเล่นทั้งตีนทั้งมือเลยเหรอ ตาบอดเลยต่อยกัน ไม่ทราบว่าต่อยถูกต้นไม้ ต่อยถูกขวากถูกหนาม ส่วนจะต่อยถูกคนไม่มีทาง เข้าใจ นี่ละพวกเราพวกตาบอด ต่อยกันอยู่อย่างงั้นตลอดเวลา เลยไม่ได้เรื่อง คนนี้นินทาคนนั้น คนนั้นสรรเสริญคนนี้ ๆ ไม่ได้ดูตัวเองเลยไม่ได้เรื่องนะ เหลวไหลทั้งนั้น พวกตาบอดคลำช้างเป็นอย่างนั้นละ วันนี้เอาแค่นี้ละนะ เหนื่อย