แสดงธรรมและรับผ้าป่าฯ ณ วัดเพชรวนาราม อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์
เมื่อวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๔๒
เร
ียนหลักวิชาเกิดตายด้วยจิตภาวนา
พิธีกร :
กราบนมัสการพระเดชพระคุณหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ที่เคารพอย่างสูงยิ่ง
เวลาอันเป็นมหามงคล และเป็นมหากุศลอันยิ่งใหญ่ ในครั้งนี้
กระผมใคร่ขอกราบเรียนเชิญ ท่านรองผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ ท่านวสันต์
เลิศธรรมเทวี ได้ขึ้นถวายธูปเทียนแพ แด่พระเดชพระคุณฯ พร้อมกับกราบอาราธนา
พระเดชพระคุณหลวงตาได้แสดงธรรมแก่พี่น้องประชาชนชาวจังหวัดเพชรบูรณ์
ขอกราบเรียนเชิญครับผม
หลวงตา :
ไม่ทัน วันนี้ไม่ทราบจะเอาโวหารไหนมาเทศน์
พี่น้องชาวไทยฟัง เพราะเปิดคัมภีร์ไม่ทัน จ้อมาตลอด จ้อจะฟังเทศน์ตลอด
ผู้เทศน์เลยเปิดคัมภีร์ไม่ทัน พากันเข้าใจไม่ใช่เหรอ เปิดคัมภีร์ไม่ทัน อ่า
ธรรมดาพระท่านจะไปเทศน์ที่ไหน ๆ ท่านต้องดูคัมภีร์เสียก่อน ใครจะไปสอนที่ไหน ๆ
เขาต้อง เปิดคัมภีร์เขาก่อน เปิดคัมภีร์แล้ว ดู คัมภีร์เรียบร้อยแล้ว
ค่อยไปสอน นี่พระก็เหมือนกัน จะไปสอนที่ไหน ก็ต้องเปิดคัมภีร์ซะก่อน
นี่หลวงตาบัวจะเปิดคัมภีร์ทันยังไงวันนี้ ตอนบ่ายสองโมงก็เทศน์แล้ว กลับมานี่
ยังไม่ได้เปิดคัมภีร์เลย ให้ขึ้นเทศน์อีกแล้ว ดีไม่ดีจะ ถ้าพูดนะโม ก็ได้ 3
จบแล้ว ก็จะนะโม 4 จบ 5 จบอยู่นั่นเหรอ มันจะไม่ได้มาก เพราะมันไม่
ไม่ได้นึกถึงได้ว่า เอ่อ ธรรมได้มาจากไหน เพราะไม่ยังไม่ได้ดูคัมภีร์
ขอให้พี่น้องทั้งหลายฟังไว้แล้วกันนะ
นี่เทศน์วันนี้ เทศน์ไม่มีคัมภีร์นะ อาจจะสะเปะสะปะไปทางไหนก็ไม่รู้ล่ะ
วันพรุ่งนี้ก็จะไปเทศน์พิษณุโลก เนี่ย ก็เปิดคัมภีร์ไม่ทัน
แล้ววันต่อไปก็เทศน์จังหวัดตาก แม่สอด ย้อนมาที่อะไร กำแพงเพชร นี้มีแต่
แบบเปิดคัมภีร์ไม่ทัน ดีไม่ดีไม่ได้ดูคัมภีร์ด้วยซ้ำ หลับตาเทศน์ไปเลย ฮ่า ๆ
ว่าไง หลับตาเทศน์ไปเลย เพราะไม่ได้ดูคัมภีร์ ถ้าจะพูดถึงเรื่องคัมภีร์นะ
หลวงตาจะอ่านคัมภีร์ ปูมหลังของเด็ก ให้ฟังนะ
หลวงตานี่เป็นนักเรียนประถม 3 เนี่ย พี่น้องทั้งหลายเชื่อไหมว่า หลวงตานี่
เรียนจบแค่ประถม 3 เท่านั้น ก็ออกมาเลย เพราะฉะนั้นไปที่ไหน จึงเรียกว่าหลวงตา
ป.3 มันเป็นอย่างนั้น ทำไมถึงเรียนแค่ประถม 3 เท่านั้น ดู
คือแต่ก่อนไม่มีประถม 4 สมัยก่อน ฮ่า ๆ สมัยหลวงตาบัวเรียนหนังสือนั้น
ไม่มีประถม 4 นะ มีแค่ประถม 3 แล้วใครสอบได้แค่ประถม 3 แล้ว ก็ออกได้เลย ๆ
ผู้ที่ต้องการต่อ ก็ไปเรียนมัธยม เพราะฉะนั้นหลวงตาจึงเป็นหลวงตา ป.3 ประถม 3
นะ เทศน์ก็เทศน์แบบประถม 3 นั่นแหละ 1 ทุ่ม 12 กำลังจะ 13 นาที ตรงกันไหม?
(หลวงตาถามโยม) ครับ (โยมตอบ) 12-13 นาที
วันนี้ท่านเจ้าคุณ และท่านรองผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นหัวหน้า เป็นประธาน
แห่งบรรดาศิษยานุศิษย์ทั้งหลาย พร้อมทั้งข้าราชการประชาชน
ทั่วจังหวัดเพชรบูรณ์ของเรา ได้มาถวายผ้าป่า เป็นครั้งที่ 2 ครั้งแรก ในนาม
จังหวัดทั้งหมด ครั้นต่อมาที่ 2 นี้ เป็นทั้งทางวัด และทางจังหวัด แต่ครั้งแรก
ทางวัดท่านก็สนับสนุน ช่วยเหลือกัน จึงเรียกว่า เกี่ยวโยงกันมาเป็นลำดับ
ตั้งแต่งานตอนบ่าย มาถึงวันนี้ ทั้งพระ ทั้งประชาชน ทั้งข้าราชการ
ได้ต่างท่านต่างมีความพร้อมเพรียงกัน ได้บริจาคสมบัติมากน้อย
เพื่อช่วยชาติไทยของเรา ให้ขึ้นจากหล่มลึก เวลานี้รู้สึกว่า อัตคัดอยู่มาก
ในชาติไทยของเรา จึงต้องอาศัยความช่วยเหลือจากพี่น้องทั้งหลาย ทั่วประเทศไทย
โดยมีพระเป็นผู้นำ นำศาสนามา ในนามหลวงตาบัว เป็นผู้นำศาสนามา ประกาศธรรม
สอนพี่น้องชาวไทยทั้งหลาย แทนพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น
ในการช่วยเหลือชาติคราวนี้ เราจึงหนัก เน้นหนักไปทางด้านธรรมะ ส่วนวัตถุ
ที่เราจะช่วยชาตินั้น ก็เคยได้เรียนให้ทราบแล้วแต่ ตอนบ่ายนั้นว่า เป็นการช่วย
ปลายเหตุ คือช่วยในจุดที่บกพร่องๆๆๆ ต้นเหตุ ได้แก่การปรับปรุงตัวเอง
ให้เป็นคนดี ดังที่กล่าวแล้วนั้น เราจึงได้แสดงธรรมไปตลอดสาย ไปที่ไหนเน้นหนัก
เพราะเป็นห่วงชาติไทยของเรา ซึ่งเป็นชาวพุทธ ห่างเหินอรรถธรรมเอาอย่างมากมาย
น่าวิตกด้วยนะ ไม่ใช่ธรรมดา จิตใจไม่ค่อย ฝักใฝ่ในอรรถ ในธรรม
ในกฎในเกณฑ์ที่จะเป็นไปด้วยความราบรื่นดีงาม
แต่ฝักใฝ่ไปในทางที่ต่ำช้าเลวทรามเสียมากต่อมาก คำว่า ชาวพุทธ
ชาวพุทธ ถือพระพุทธศาสนา นั้นจึงรู้สึกจะเป็นเพียงลมปาก จำนวนมากกว่าความจริง
ความจริงไม่ค่อยสนใจประพฤติปฏิบัติเลย เนี่ย เสียที่ตรงนี้
เมืองไทยของเราซึ่งเป็นชาวพุทธ ควรจะรู้สึกตัวในจุดนี้ให้มาก
เพราะจุดนี้เป็นจุดสำคัญ ศาสนาสอนลงที่ใจ ๆ เป็นผู้รับเหตุรับผล
ดีชั่วประการต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับใจทั้งหมด ถ้าใจไม่ได้รับการอบรม
ก็เหลวแหลกแหวกแนว ไม่มีสิ้นสุดยุติ จนถึงขั้นล่มจมได้
แต่ถ้าใจได้รับการอบรมอรรถธรรม ซึ่งเป็นทางที่ถูกที่ดีอยู่แล้ว
ใจก็จะฟื้นตัวขึ้นมา อาศัยธรรมเป็นเครื่องเกาะ ก็จะค่อยมีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมา
ผู้ไม่เคยระลึกถึงพระพุทธเจ้าเลย เมื่อได้ทราบธรรมเข้าสู่หัวใจแล้ว
ก็จะระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ได้ลงคอ และได้สนิทใจ
จนกลายเป็นเรื่องธรรมกับใจ กลมกลืนกันไปเรื่อย ๆ เกาะธรรม
ติดแนบสู่ภายในใจไปเรื่อย ๆ นี่เรียกว่า ผู้สร้างหลักเกณฑ์ เข้าสู่ใจ
อันเป็นหลักใหญ่สุด ในโลกนี้มีใจเป็นสำคัญ
คนเรา แต่ละคนก็เหมือนกัน มีใจเป็นผู้ครองขันธ์ ขันธ์นี้เป็น ธาตุ 4 ดิน น้ำ
ลม ไฟ เท่านั้น ใจเป็นผู้เข้าอาศัย เป็น เจ้าของ ครองอำนาจอยู่ภายในร่างกายนี้
นำร่างกายนี้เป็นเครื่องมือ การเดิน การเหินกิริยา ท่าทาง ทุกสิ่งทุกอย่าง
ในการแสดงออก จิตเป็นผู้บ่งการให้ ใช้กิริยาอย่างนี้ออกมา
หากว่าจิตไม่ได้รับการอบรมทางด้านศีล ด้านธรรม ด้วยความถูกต้อง
ดีงามบ้างเลยแล้ว กิริยาที่แสดงออกนั้น จะเป็นเรื่องของกิเลส ตัวสกปรกโสมม
สร้างฟืน สร้างไฟ ภายในใจของหัวใจ ของสัตว์โลก แล้วหนุนใจออกไปให้
แสดงกิริยาท่าทาง ในทางเป็นอกุศล ในทางไม่ดี สกปรกโสมม สร้าง ความทุกข์
ความเดือดร้อน เป็นฟืน เป็นไฟ เผาไหม้ เราได้ทั่วหน้ากัน
เพราะฉะนั้นจึงต้องมีธรรม เป็นเครื่องกำกับรักษา
คำว่าธรรม ธรรมนั้น เป็นหลักธรรมชาติที่มีมาดั้งเดิม ไม่ใช่จะเกิดขึ้นเมื่อ
2-3 วันนี้ เกิดขึ้นปีนั้นปีนี้ หากเป็นหลักธรรมชาติ ที่มีมาดั้งเดิม
กี่กัปกี่กัลป์แล้ว นี่ ท่านเรียกว่าธรรม ธรรมนี้ให้ความยุติธรรม
ให้ความร่มเย็นเป็นสุขแก่โลกเรื่อยมา ถ้าไม่มีธรรมเลย นี่ โลกจะร้อนที่สุด
ไม่มี ความหมายเลย มีแต่ฟืน แต่ไฟ เผาไหม้ตลอดเวลา ทั่วดินแดน
จึงต้องอาศัยธรรมเป็นน้ำ ดับไฟ ไฟ คือกิเลส ราคัคคินา ราคะตัณหา
ก็เป็นไฟกองหนึ่ง เผาไหม้จิตใจของสัตว์ โทสัคคินา ความโมโหโทโส ความเคียดแค้น
ก็เป็นไฟกองหนึ่ง โมหัคคินา คือความลุ่มหลง ไม่รู้เนื้อรู้ตัว หลงตลอดเวลา
ประหนึ่งว่าเป็นสัตว์เดรัจฉาน ก็ไม่ผิด นี่ก็เป็นไฟกองหนึ่ง
หนุนให้ทำในสิ่งไม่ดีทั้งหลาย เพราะโมหะความลุ่มหลง งมงายนี่แหละ
จึงต้องอาศัยธรรมเป็นเครื่องชะล้าง
วันนี้ก็ได้มาแสดงธรรมให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบ ในแง่แห่งศีลธรรมภายในใจ
เพราะใจเป็นของไม่ตาย ใจไม่เคยมีป่าช้า หากเป็นหลักธรรมชาติ
รู้รู้อยู่อย่างนั้น อาศัยเข้าไปในร่างใด กำเนิดใด สัตว์ตัวใด บุคคลใด เทวบุตร
เทวดา เปรตผีที่ไหน เป็นจิตดวงนี้ เข้าไปสิงสถิตอยู่ในนั้น ทั้งนั้น ๆ
เมื่อสิ่งที่ จิตนี่เข้าไปอาศัย หมดสภาพไป ก็เรียกว่าตาย เวลาเข้าไปอาศัย
ก็เรียกว่าเกิด เช่น สัตว์เกิด คนเกิด เวลาสิ่งเหล่านั้นหมดสภาพไปแล้ว
ใจนี้ไม่เคยตาย ก็ออกจากร่างนี้ไป แล้วไปสู่กำเนิด เกิดขึ้นมาใหม่เรื่อย ๆ
อยู่อย่างนี้ตั้งกัปตั้งกัลป์ กี่กัป กี่กัลป์มาแล้ว
เพราะจิตดวงนี้ไม่เคยมีป่าช้า เราไม่ได้เผาศพกิเลส เผาแต่ศพสัตว์ ศพบุคคล
ไม่ว่าที่ไหน มีตั้งแต่เผาศพซาก คือร่างกายนี้เท่านั้น ส่วนศพกิเลส
ศพของจิตนั้น ไม่เคยได้เผาเลย เพราะจิตไม่เคยตาย นี่
จิตนี้จึงต้องอาศัยเครื่องพยุง คือความดีทั้งหลาย
ความดีทั้งหลายนั้นมีหลายประเภท ฟังแต่ว่าทั้งหลาย การทำบุญให้ทานประเภทต่าง ๆ
จะทานแบบไหนก็ตาม การเสียสละลงไป ด้วยศรัทธา ด้วยความเมตตา
ด้วยความสงสารอนุเคราะห์กัน ด้วยความมีบุญมีคุณต่อกันเหล่านี้
เรียกว่าทานทั้งนั้น ผลแห่งทานนี้แล เป็นบุญเป็นกุศล เข้ามาหนุนใจของ ๆ เรา
ให้ใจของเราได้กระเตื้องขึ้นมา มีที่เกาะที่ยึด หากว่าตายในภพต่อไป
เราก็จะได้อาศัยบุญกุศลนี้ เป็นเครื่องฉุด เครื่องลากเรา ขึ้นจากกองทุกข์
เป็นลำดับลำดับดาไป จึงต้อง สร้างความดี มีการให้ทาน การรักษาศีล
การเจริญเมตตาภาวนา สวดมนต์ไหว้พระ นั่งภาวนา สงบอารมณ์
จิตนี้จะดีดดิ้นอยู่ตลอดเวลา ไม่มีสงบตัวได้เลย ก็คือจิตดวงนี้ คิดนั้น ตรงนี้
เรื่องนั้น เรื่องนี้ เรื่องที่แล้วมาแล้วตั้งกัปตั้งกัลป์ ก็นำมาคิดได้
ปรุงได้ เผาตัวเองได้ ในเรื่องยังไม่เกิด ไม่มี
มันก็คิดก็ปรุงขึ้นมาหลอกลวงเจ้าของ ให้หลงเชื่อ เกิดความดีใจ เสียใจ
เป็นฟืนเป็นไฟ เผาไหม้เจ้าของไปได้เช่นเดียวกัน นี่คือความคิด
ความปรุงของเจ้าของ ของเราเอง ที่ไม่มีขอบเขต คือธรรม
เป็นเครื่องคุ้มครองรักษาเลย จึงต้องให้อาศัยอบรมการภาวนา
คำว่าภาวนานี่ ท่านแปลว่าการสำรวม การอบรมกระแสของจิต ให้เข้ามาสู่จุดเดิม คือ
ความรู้ล้วน ๆ นี่แหละ เรียกว่าจิต เรา จะกำหนดคำบริกรรมคำใดก็ตาม เช่น พุทโธ
พุทโธ ให้มีสติอยู่กับคำบริกรรมนั้น ๆ ไม่ให้เผลอสติ นี่ท่านเรียกว่า ภาวนา
เราจะบริกรรม ธรรมโม หรือสังโฆ หรือกำหนดอานาปานสติ คือ ลมหายใจเข้า-ออกก็ตาม
ให้มีสติ เป็นเครื่องบังคับอยู่ภายในลม ภายในคำบริกรรมนั้น ไม่ส่งสายไปที่ไหน
ให้รู้อยู่ กับคำบริกรรม คือ พุทโธ พุทโธ เป็นต้น นี่เรียกว่าภาวนา
ทีนี้เมื่อเราทำไปโดยสม่ำเสมอ ด้วยความมีสติแล้ว จิตของเราจะค่อย หดตัวเข้ามา
ความรู้นี่ที่ฟุ้งซ่านไปในที่ต่าง ๆ ก็จะรวมตัวเข้ามาสู่คำบริกรรมคำเดียวนั้น
แล้วเป็นจิต เป็นความรู้ ที่เด่นขึ้นมาภายในตัวเอง แล้วปล่อยวาง สิ่งทั้งหลาย
ที่เคยคิดเคยปรุงเสียได้ เหลือแต่คำบริกรรมอย่างเดียว
คำบริกรรมนั้นเป็นความคิดปรุงเหมือนกัน แต่เป็นความคิดปรุงในทางที่ถูกที่ดี
ท่านจึงเรียกว่า มรรค คือทางเดินเพื่อความพ้นทุกข์
ด้วยคำบริกรรมนี้เป็นบาทฐานซะก่อน แล้วจิตจะค่อยสงบตัวลงไป นี่แหละ
จิตแท้เป็นอย่างนี้ ขอให้พี่น้องชาวไทยทั้งหลายได้ทราบ
เพราะอย่างยิ่งเราเป็นชาวพุทธ ไม่รู้จิตของตนว่าเป็นอย่างไร นี้ก็เกินไป
แล้วเหมาเอาร่างทั้งร่าง นี้ว่าเป็นตัว เป็นเรา เป็นของเรา ไปเสียหมด
ความจริงนั้น จิต คือผู้รู้นี้เข้าครองร่างอยู่เฉย ๆ
ร่างกายนี้เป็นเครื่องมือสำหรับใช้ของจิตนี้เท่านั้น นี่คือหลักความจริง
เราจะทราบได้ชัด ตามหลักแห่งการภาวนานี้เท่านั้น อย่างอื่น ทราบไม่ได้
ใครจะเรียนสูงต่ำขนาดไหน ไปเที่ยวเรียนรอบโลกมาก็ตาม แต่จะได้มาแต่ความเหลวไหล
หลอกลวงตัวเองเท่านั้น ไม่สามารถที่จะจับความจริงนี้ได้เลย
นอกจากเรียนทางด้านจิตภาวนา เมื่อเรียนทางด้านจิตภาวนาแล้ว
ความรู้นี้จะหดตัวเข้ามา กระแสของจิตที่คิดไปในแง่ต่าง ๆ จะรวมตัวเข้ามา ๆ
จนเป็นจุดเด่นแห่งความรู้ เมื่อจิตเด่น เป็นจุดเด่นแห่งความรู้แล้ว
ก็จะแสดงความสงบเย็นใจขึ้นมา ความแปลกประหลาดอัศจรรย์
ก็จะปรากฏขึ้นที่ใจของเรา ซึ่งผิดแปลกกับความสงบสุขเย็นสบาย
ทั้งหลายอยู่มากทีเดียว นี่เรียกว่าผลแห่งการอบรมจิต
จากนั้นเราก็จะเริ่มทราบว่า ร่างกายเหล่านี้เป็นอย่างหนึ่ง
จิตแท้เป็นอย่างหนึ่ง ไม่ใช่อันเดียวกัน จิตแท้นี้ อยู่ในร่างของเรานี่แหละ
แต่กระแสของมันซ่านไปหมด ทั่วสรรพางค์ร่างกาย อาศัยประสาทส่วนต่าง ๆ
เป็นทางเดินของความรู้นี้ ให้ทราบทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทาง
สัมผัสสัมพันธ์สิ่งใดก็ตาม อาศัยประสาทส่วนต่าง ๆ นี้แล เป็นสายทางเดิน
เพราะเป็นเครื่องมือของจิต ที่ความรู้นี้ทราบออกไปตามประสาท ส่วนต่าง ๆ นั้น
เราจึงรู้ไปหมดทั้งตัว ความจริงแท้คืออะไร เราไม่รู้ เราจึงเหมาเอาว่า
ร่างกายทั้งร่างนี้เป็นเรา เป็นของเรา ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่ กายเป็นกาย
ร่างกายส่วนต่าง ๆ เป็นสิ่งเหล่านั้น ไม่ใช่จิต ทีนี้ว่าจิต เมื่อจิตได้
ได้รับการอบรม เข้าสู่ความสงบ สงบหลายครั้งหลายหน ย่อมมีฐานแห่งความ
รู้เด่นชัดขึ้นภายในตัวเอง จนสามารถทราบได้ชัดว่า ความรู้นี้ คือจิต
นอกจากความรู้นี้แล้ว คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย แข้ง ขา อวัยวะ ภายนอก
ภายในทั้งหมดนี้เป็นอาการ เป็นเครื่องใช้ของจิตเท่านั้น ไม่ใช่จิต ไม่ใช่เรา
ไม่ใช่ของเรา เราแท้อยู่ที่จิต นี่เราจะทราบได้ชัด โดยไม่ต้องถามผู้ใด
ขอให้เรียน การให้อบรมหลักธรรม ตามหลักจิตภาวนานี้เถิด จะทราบอย่างนี้โดยลำดับ
สุดท้ายจิตของเราก็จะทราบชัด ว่านี้เป็นจิต นั้นเป็นส่วนร่างกาย
และละเอียดเข้าไปเป็นลำดับลำดา จนกระทั่งจิตนี้มีความสง่างามขึ้นภายในตน
ในท่ามกลางหัวอกเรานี่แหละ เพราะความรู้แท้อยู่ท่ามกลางหัวอก ไม่อยู่ที่ไหนนะ
ไม่อยู่บนสมอง ไม่อยู่ที่ไหนทั้งนั้น สมองเป็นสถานที่ทำงานของจิต เช่น
ความจดจำสิ่งนั้นสิ่งนี้ เราเรียนวิชาความรู้ต่าง ๆ เราจะทำงานอยู่บนสมอง คือ
ความจำจะอยู่บนสมอง แต่เวลาความจริง ด้วยจิตภาวนาแล้ว ความรู้บนสมอง
จะเข้ารวมตัวสู่ศูนย์กลาง คือท่ามกลางอกนี้เท่านั้น รู้เด่นอยู่ที่ท่ามกลางอก
สง่างาม อยู่ท่ามกลางอกของเรา สว่างจ้า อยู่ที่ท่ามกลางโลก ไม่ได้อยู่บนสมอง
จิตยิ่งละเอียดลออ มีความผ่องใส สง่างามเข้าไปเท่าไหร่ ในท่ามกลางอกนี้
ยิ่งสง่างามขึ้นมา ด้วยผู้รู้ที่เด่นดวงนั้น นี่ล่ะ
การเรียนหลักวิชาเกิดตาย พระพุทธเจ้าให้เรียนอย่างนี้ นี่เราเรียกว่า
เราตามรอยแห่งความเกิดตายของเรา ด้วยจิตภาวนา ตามเบื้องต้นก็ตามอย่างนี้แหละ
กำหนดภาวนาพุทโธ ธัมโม สังโฆ ก่อน แล้วรวมตัวเข้าได้
กลายเป็นจิตที่ละเอียดอ่อนเข้าไป จากนั้นก็ สติปัญญาของเรามี
เราออกใช้พินิจพิจารณา สังขารร่างกายส่วนต่าง ๆ
ที่เราเคยถือเป็นเรามาตั้งแต่วันเกิด โดยไม่ต้องมีใครบอก มันก็ถือเอง
เพราะกิเลสเป็นครูอยู่ในนั้นแล้ว อะไรก็มีแต่เรา มีแต่ของเรา หึงหวงเราทั้ง
ทั้งร่างนี้เลย ว่าเป็นเรา เป็นสมบัติของเรา นี่ เรื่องของกิเลส พายึด พาถือ
พาสำคัญมั่นหมาย มันทำ มันเป็นอย่างนี้ ทีนี้เรื่องธรรมแล้วกระจายออกไป
ซักฟอกออกไป จิตมีความสงบ รู้ตัว เป็นหลักเป็นฐานแล้วคือใจ ใจคือผู้ที่รู้
รู้เด่นดวงอยู่ในท่ามกลางอกเรานี้แล นั่น รู้ชัด
จากนั้นปัญญาก็ขยายออกจากจิตที่สงบ เด่นดวงนี้ ให้กระจายฉายแสงออกไป
สู่เป็นความสว่างไสว แยกธาตุแยกขันธ์ แยกสกลกายออกไป แยกไปตรงไหน รู้ชัด
เห็นชัด ปล่อยวางไปเป็นลำดับลำดา จิตยิ่งมีความสว่าง กระจ่างแจ้ง
ตามขั้นภูมิของปัญญาที่ชำระได้ จากนั้นก็ก้าวเข้าสู่ปัญญาขั้นละเอียด
เป็นลำดับลำดา ซักฟอกไปหมด ในบรรดาที่เกี่ยวข้องกับจิต ตัดออก ตัดออก
จนกระทั่งจิตนี้ ได้ถอนตัวออกมาจากความดี ยึดมั่นถือมั่นโดยประการทั้งปวงแล้ว
กลายเป็นจิตที่บริสุทธิ์ พุทโธ ขึ้นมาทั้งดวง ความรู้นี้ ที่เป็นพุทโธนี่แหละ
เรียกว่า ตัวของความเกิดตายอยู่ที่ตรงนี้ เราตามรอยมันเข้ามา ด้วยจิตภาวนา
ตามเข้ามา ตามเข้ามา จนกระทั่งถึงจุด คือ จิตดวงพาให้เกิด ให้ตายนี้
เพราะอวิชชา เชื้อแห่งความเกิดตาย มันฝังอยู่ภายในจิต
มันจึงพาให้จิตไปเกิดที่นั่น ตายที่นี่ ทั้งทั้งที่จิตไม่เคยเกิดเคยตาย
แต่อวิชชาพาให้เป็นไป ก็เรียกว่าเกิด ว่าตาย ไปตาม ๆ กันหมด ทั่วโลกดินแดน
เมื่อตามรอยเข้าไป ตามรอยแห่งความเกิดตายของจิตตรงนี้เข้าไป ถึงตัวจิตที่
กลมกลืนกรรมกับอวิชชา ตัวพาให้เกิดให้ตาย แล้วทำลายอวิชชา ตัวพาให้เกิดให้ตาย
แต่สลายไปจากจิตใจแล้ว จิตตรงนี้ก็สว่างจ้าขึ้นมา ตัดสินตนเองได้
โดยไม่ต้องไปถามผู้หนึ่ง ผู้ใดเลย แม้พระพุทธเจ้าประทับอยู่ข้างหน้า
ก็ไม่ทูลถามท่าน เพราะเป็นความสว่างกระจ่างแจ้ง ในธรรมอันเดียวกัน
รู้อย่างเดียวกัน เห็นอย่างเดียวกัน จิตคือนักรู้อย่างเดียวกัน
จ้าขึ้นภายในจิต นี้เรียกว่า ได้สังหารตัวพาให้เกิด ให้ตาย ในภพน้อย ภพใหญ่
มากี่กัปกี่กัลป์ นับไม่ถ้วน นับไม่ถ้วน ได้สิ้นสุดลงไปแล้ว ในขณะที่
ปัญญาอันแก่กล้าสามารถ กำจัดอวิชชา ตัวพาให้เกิดให้ตายนั้น หมดไปจากใจ
ใจนั้นจึงไม่มีป่าช้า เออ ใจนั้น จึงไม่ไปเสี้ยวเสาะแสวงหา เกิดที่นั่น
ตายทีนี้อีกต่อไป เป็นใจที่บริสุทธิ์ล้วน ๆ นี่แลใจพระพุทธเจ้า
ใจพระอรหันต์ท่าน ถึงขั้นนี่แล้ว ท่านเหนือโลก เหนือสงสาร
พูดถึงว่าความเลิศเลอ ก็ไม่มีอะไร เหมือนธรรมชาตินั้น มีวิเศษวิโสประการใด
ก็ธรรมชาตินั้นเหนืออยู่แล้ว เหนืออยู่แล้วทุกอย่าง ๆ
ธรรมอันนี้แลที่พระพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทั้งหลายท่านครองอยู่
ท่านแนะนำสั่งสอนสัตว์โลกด้วยความเมตตา เพราะสัตว์โลกยังจมอยู่ในวัฏวน
ในความสกปรกโสมม ความทุกข์ ความลำบาก ทรมาน ทั่วหน้ากัน ในสามแดนโลกธาตุนี้
เสวยทุกข์ในแง่ต่าง ๆ เหมือนกันหมด พระองค์จึงมีความเมตตาสงสารมาก
เพราะพระองค์ได้หลุดพ้นจากสิ่งเหล่านี้แล้ว ถึงความบริสุทธิ์พุทโธ
ไม่ต้องกลับมาเกิด เพื่อเสวยกองทุกข์ ดังที่เคยเป็นมานี้อีกต่อไปแล้ว
ท่านจึงแนะนำสั่งสอนพวกเราด้วยพระเมตตาสุดส่วน
เราเกิดมานับว่ามีวาสนาบารมี ได้พบพระพุทธศาสนา ได้ระลึกถึงพระพุทธเจ้า
พระธรรม พระสงฆ์ อันเป็นธรรมอันเอกเข้าสู่จิตใจของเรา และได้ทำบุญให้ทาน
รักษาศีล เจริญเมตตาภาวนา ตามรอยพระบาท ของพระพุทธเจ้า ที่เสด็จผ่านพ้นไปแล้ว
นับว่าเราเป็นผู้มีบุญมีวาสนา อย่าได้ปล่อย ได้วาง วาสนาบารมี ของเรา
ที่พาให้มาเกิด มนุษย์นี้ ให้หลุดลอยไปเสีย เหลือตั้งแต่ ความทุกข์ ทรมาน
เหลือตั้งแต่ความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา ซึ่งเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ตลอดเวลานี้
เราจะไม่มีความหมายอันใดเลย ไปเกิดในภพใดชาติใด ไฟ 3-4
กองนี้ก็จะตามไปเผาอยู่ทุกภพทุกชาติ หาจุดหมายปลายทางไม่ได้
เพราะฉะนั้นจงพากันสร้างความดี การให้ทาน ดังพี่น้องทั้งหลายบริจาค
เพื่อช่วยชาติของเรานี้ เรียกว่าเป็นมหาทาน เป็นมหากุศลอย่างยิ่ง เราเคยให้ทาน
ผู้ใด รายใด พระสงฆ์องค์ใดก็ตาม นั้นก็เรียกว่าทาน ทาน ธรรมดา
แต่นี่เราเสียสละทานนี้เพื่อชาติ อันเป็นเรื่องใหญ่หลวงของเรา
จึงเรียกว่ามหาทาน เป็นมหากุศลแก่พี่น้องชาวไทยทั้งหลาย
บุญกุศลเราก็ได้อย่างเป็นที่ภาคภูมิใจ ชาติไทยของเราก็หนุนขึ้นเป็นลำดับ
และก้าวเข้าสู่ความแน่นหนา มั่นคง เจริญรุ่งเรืองได้
เพราะการเสียสละเพื่อชาติของตน แต่ละท่าน ๆ รวมกันในจำนวนพลเมือง 62 ล้านคนนี้
ต่างคนต่างเสียสละ เพื่อชาติ บ้านเมืองของเรา บ้านเมืองของเรา
ก็จะมีความเจริญรุ่งเรือง ขึ้นไปเป็นลำดับ นี่แหละ อำนาจแห่งการเสียสละ
นี่ท่านเรียกว่าทำบุญ รักษาศีล ก็เคยได้อธิบายให้ฟังแล้ว ขอให้พี่น้องทั้งหลาย
เป็นผู้มีศีล มีทาน มีเจริญเมตตาภาวนา ในจิตใจ อย่าปล่อย อย่าวาง อย่าคว้านั้น
คว้านี้ เห็นว่าเป็นของดี ยิ่งกว่าธรรม เห็นว่าเป็นของดี ยิ่งกว่าบุญส่วนกุศล
ซึ่งเป็นของเลิศเลอ นี้ไม่ใช่ทาง ต้องให้ระมัดระวังเสมอ
การเกิดมา เราเกิดมาทีแรก เราไม่มีอะไรติดเนื้อติดตัว ของเรามา
แต่งตัวล่อนจ้อน มาจากท้องแม่ ตกทอดออกมา ก็เป็นธรรมชาติ
แล้วสมบัติเงินทองข้าวของ ยศถาบรรดาศักดิ์ ถึงค่อยเกิดมีตามหลังของเรา
เกิดมีมากน้อย เราก็อย่าหลง อย่าเพลิน อย่าลืมเนื้อ ลืมตัว จนลืมศีล ลืมธรรม
ไม่ใช่ของดี สิ่งเหล่านี้ ก็เกิดขึ้นมา ตามนิสัยวาสนาของเราแต่ละราย ๆ
ที่ได้เคยสร้างคุณงามความดี มามากน้อย สิ่งเหล่านี้ก็เกิดขึ้นมา ตามกันมา
เมื่อถึงกาลเวลา ที่จะไปแล้ว สมบัติเงินทองข้าวของ ยศถาบรรดาศักดิ์ มากน้อย
จะสลายตัวไปหมด ไม่มีความหมายในบุคคลที่ สิ้นลมหายใจแล้วนั่นเลย
เพราะฉะนั้นในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่นี้ อย่าได้พากันประมาท
ให้ต่างคนต่างตั้งเนื้อตั้งตัว ต่างคนต่างเป็นผู้นำของตัว ผู้นำนี้สำคัญมาก
ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย อย่างที่ว่าหลวงตามาเป็นผู้นำ พี่น้องทั้งหลายนี้
ก็เรียกว่าเป็นผู้นำ ทั่วประเทศไทย ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย
นี่เราเป็นผู้นำของเราแต่ละคน ๆ นี้ก็ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย นำผู้อื่น
ผู้ใดก็ตาม ถ้าเราเป็นผู้นำของเราไม่ดีแล้ว เราก็จะนำคนอื่นให้เสียหายไปด้วย
จึงต้องพยายามปรับปรุงตัวเอง บกพร่องตรงไหน ไม่ดีตรงไหน ให้แก้ไข ดัดแปลง
ตัวเอง ให้เป็นในทางที่ถูกที่ดี เช่น เป็นนิสัยตระหนี่ถี่เหนียว เห็นแก่ตัว
เอารัดเอาเปรียบ คดโกง รีดไถคนอื่น นี้เป็นทางความชั่ว
เป็นทางก่อฟืนืก่อไฟเผาไหม้ตนเอง ทั้งในชาตินี้และชาติหน้า
เราก็ให้พยายามละเว้น ๆ นี่ สิ่งใดที่ดี เช่น การให้ทาน การเสียสละ
เป็นของดีเราให้พยายาม เพราะการเสียสละนี้ เป็นทางที่กว้างขวางเบิกบาน
ยิ้มแย้มแจ่มใส เป็นทางแห่งความสนิทสนมกลมกลืน ฝากเป็น ฝากตายกันได้
ด้วยการเสียสละ เจือจานกันไป แต่ความตระหนี่ถี่เหนียวนั้น เป็นภัยทั้งนั้น
แม้มหาเศรษฐี ใครก็เข้าไม่ติด เพราะความตระหนี่ถี่เหนียวนั่นแหละ
ทำลายตัวมหาเศรษฐีเอง เพื่อนฝูง บริษัทบริวาร ไม่ค่อยติดค่อยพัน
ไม่ค่อยใกล้ชิด เพราะ ความตระหนี่นี้ เป็นฟืนเป็นไฟ
ใครเข้าไปใกล้ชิดติดพันไม่ได้ เดี๋ยวจะถูกกินตับกินปอดไปหมด นี่คือตัวภัย
ความตระหนี่ อยู่ด้วยกันไม่ได้นะ
คนเราอยู่จนเป็นกลุ่มเป็นก้อน จนกระทั่งถึงประเทศไทยทั้งประเทศนี้
อยู่ด้วยกันด้วยความเสียสละ ต่างคนต่างเสียสละ ช่วยเหลือกัน
ตามกำลังความสามารถที่จะเป็นไปได้ แล้วโลกก็อยู่กันได้ สนิทสนมกลมกลืนกัน
ไม่มีอะไรเหนือการเสียสละนี่เลย ไม่ต้องถาม ถึงชาติชั้นวรรณะใด
เกิดมาสถานที่ใด ชาติใด วรรณะใด ไม่ต้องถาม ขอให้มีแก่ใจ ด้วยความเสียสละ
เห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน เฉลี่ยเผื่อแผ่ ต่อผู้ที่ยากจนข้นแค้น
ที่มาอาศัยเรา นั่นก็เป็นที่สนิทติดใจ ของผู้ได้รับการช่วยเหลือจากเรา
เป็นลำดับลำดาไป เมื่อต่างคนต่างมีแก่ใจ ต่างคนต่างเป็น
ผู้มีจิตใจอันกว้างขวาง ไม่เห็นแก่ตัว แล้ว ไปที่ไหน เพื่อนฝูงก็มีมาก
ความสนิท สนมกลมกลืนกันนั้น ไม่ต้องบอก การเสียสละนี้แล
เป็นเครื่องประสานจิตใจ และหน้าที่การงาน ให้มนุษย์ทั้งหลายกลมกลืน
เป็นหนึ่งอันเดียวกันได้ ด้วยความตายใจ อย่างอื่นไม่มี
ยิ่งเป็นความตระหนี่แล้ว เป็นไฟไปหมด ขอให้พากันระมัดระวัง ความตระหนี่นี้
เป็นภัยแก่ตนเองด้วยนะ ไม่ใช่เป็นภัยแก่คนอื่น โดยที่เราเห็นว่า
ความตระหนี่หึงหวงเอาไว้นี้เป็นคุณต่อเรา มันไม่ได้เป็น! เสกสรรค์เอาเฉย ๆ
มันจะเป็นอะไร ตายแล้วก็เหมือนกับคนทั้งหลายที่เขาให้เป็นเศรษฐี เขาไม่ตระหนี่
ตายนั่นแหละ เขายิ่งดีกว่า คนตระหนี่ถี่เหนียวตาย ตายแล้ว ก็ไปเป็นเปรตเป็นผี
มาเฝ้าสมบัติเงินทองข้าวของ ถ้าบาปไม่มีมากกว่านั้น ก็ต้องมาเป็นเปรตเป็นผี
เฝ้าสมบัติ ศฤงคาร บริวาร จะไปเกิด ที่ไหน ก็ไปเกิดไม่ได้ เพราะเป็นห่วง
แต่ถ้ามีบาปกรรมมากกว่านั้น ก็ดีดผึงเดียวลงนรกเลย คนสร้างบาป
เป็นคนสร้างทางนรกให้ตัวเอง สร้างฟืน สร้างไฟ เผาไหม้ตนเอง จะสร้างแบบไหนก็ตาม
คือสร้างฟืน สร้างไฟทั้งนั้น เผาตัวเอง
คนอื่นจะเห็นก็ตาม ไม่เห็นก็ตาม ใครทำในที่แจ้งก็ตาม ทำในที่ลับก็ตาม
การทำชั่ว เป็นความชั่วของผู้ทำโดยตรง การทำดี เป็นความดีของผู้ทำโดยตรง
เพราะเวลาจะไปดี ไปชั่วนั้น ไม่ได้ไปเพราะอำนาจแห่งที่แจ้ง ที่ลับ ที่ไหน
แต่ไปเพราะอำนาจแห่งความดี ความชั่ว ที่ตนทำแล้วนั่นแหละ
ให้พากันระมัดระวังอย่างนี้ให้มาก กิเลสมันหลอกนะ เออ
อย่างที่เขาไปหาขโมยกันน่ะ ถ้าไปทำในที่แจ้ง กลัวเขาจะจับได้ว่าเราเป็นขโมย
ต้องไปหาขโมยเอา ไม่ให้เขารู้ แต่ตัวเจ้าตัวรู้อยู่ว่าเป็น ไปขโมยเขา นั่นนะ!
สำคัญตรงนั้น นี่ แล้วเวลาเราไปทำความชั่วช้าลามก ในที่ลับ ไม่ให้ใครรู้
ใครเห็น เช่น การคดโกง รีดไถสะบัด ยักยอก ตีชิงวิ่งราว แย่งเอาคนนั้น
แย่งเอาคนนี้ อย่างนี้มา นับว่านรกไม่เห็นเรา ว่านรกไม่มี
นั่นคือเราประกาศก้องทางลงนรกแล้ว ในตัวของเราเอง นรกนั้นไม่มีความหมาย
อะไรกับใครแหละ หากเป็นนรกอยู่โดยตรง เช่นเดียวกับเรือนจำ
เรือนจำก็เป็นเรือนจำนั้น ไม่ไปหาสร้างความหมาย สนใจกับใคร
แต่สัตว์พวกติดคุกติดตาราง นักโทษทั้งหลาย สร้างบาปสร้างกรรม
หากหลั่งไหลเข้าไปในเรือนจำเอง เป็นนักโทษขึ้นมาเอง นี้คนสร้างบาป สร้างกรรม
ด้วยวิธีการต่าง ๆ โดยอุบายของกิเลสมันหลอกลวงนั้น นั่นแหละ
คือสร้างปรโลกเผาตัวเอง นรกมีหรือไม่มี กรรมอันนี้แลจะพาไปเอง
เราไม่จำเป็นจะต้องไปถามหานรก ไปถามหาสวรรค์ที่ไหน
ทั้งผู้ทำความดีและทำความชั่ว ผู้ทำความชั่วช้าลามก แบบ แผนกลอุบายใดก็ตาม
ก็คือการสร้างทางนรกให้ตัวเอง ๆ แล้วก็ไปตกนรกเอง โดยไม่มีใครตามส่ง ตามเสีย
ไปชี้บอกทางนรกก็ตาม กรรมนั้นแลฉุดลากไปเอง
ทีนี้ผู้สร้างความดีก็เหมือนกัน สวรรค์พรหมโลกนิพพาน ใคร ยังไม่เคยไปเห็นก็ตาม
ขอให้สร้างความดีนี้ ให้พอก็แล้วกัน อย่าไปถามถึงสวรรค์ อย่าไปถามถึงพรหมโลก
อย่าไปถามถึงนิพพาน ให้ถามถึงตัวของเราเอง ถามตัวของเราเองว่า เราทำดี
เราทำชั่ว ใครจะไปตกนรกและสวรรค์ ก็คือการกระทำนั้นแล
เป็นเครื่องประกาศก้องขึ้นมาในตัวของเราเองว่า การทำความชั่วนี้
จะต้องไปตกนรกแน่นอน ไม่มีใคร ฉุดลากเอาไว้ได้ ไม่มีใครมีอำนาจ
เหนือกรรมนี้ไปได้ แล้วการสร้างความดี เราจะไม่เคยเห็นสวรรค์ก็ตาม
กรรมนี้จะพาไปสวรรค์โดยตรง ควรแก่สวรรค์ชั้นใด กรรมนี้จะ บุญกรรมของเรานี้
จะดึงจะดูด จะฉุก จะลาก จะพยุงเรา ให้ไปสู่สวรรค์ ชั้นนั้น ๆ
ตามอำนาจแห่งบุญกรรมของตน ถ้าสร้างกรรมมากขึ้น หนักขึ้น เต็มที่แล้วก็
บุญกุศลของเราเนี่ย ที่สร้างเต็มภูมิแล้วก็ดันเรา
ฉุดลากเราให้หลุดพ้นจากทุกข์โดยประการทั้งปวงได้ โดยไม่ต้องไปถาม เช่น ท่าน
ถึงพระนิพพาน บรรลุหลุดความหลุดพ้นจากกิเลสไปโดยประการทั้งปวง
แล้วท่านไม่ต้องถามถึงพระนิพพาน
ท่านหากเป็นพระนิพพานด้วยอำนาจแห่งบุญกรรมของท่านที่สร้างมานั้นต่างหาก
นี้เป็นจุดสำคัญ ที่จะให้พี่น้องทั้งหลายได้ยึดเป็นหลักเป็นเกณฑ์ของจิตใจ
คือศีลธรรม อย่าปล่อยวาง เวลานี้รู้สึกว่าเหินห่างจากศีลจากธรรมมาก
ไขว่คว้าแต่วัตถุภายนอกมาเป็นเรา เป็นของเรา เป็นสมบัติของเรา
มาประดับร้านของเราว่าเป็นของสวย ของงาม ของดิบ ของดี
ความดีทั้งหลายเลยไปอยู่กับสิ่งเหล่านั้นเสียทั้งหมด ตัวของเราเลวขนาดไหน
ไม่สนใจ แต่ผู้ที่จะพาให้ขาดที่พึ่ง ให้ตกนรกหมกไหม้ คือตัวของเราเอง
ตึกรามบ้านช่องสมบัติ เงินทองข้าวของ ศฤงคาร บริวาร ยศถาบรรดาศักดิ์
ไม่ได้พาเราไป แต่บุญกรรมของเราที่ทำ ลงไปนี้ต่างหาก พาเราไป
จึงต้องให้พยายามบำเพ็ญความดี เพื่อเป็นหลักใจ การให้ทาน ก็ดังที่กล่าวแล้ว
อย่าพากันตระหนี่ถี่เหนียว ให้ทำ ให้ทาน เป็นนิสัยปัจจัย ไปวันหนึ่ง ๆ
อย่าได้ขาด นี่นิสัยของชาวพุทธ ต้องมีการให้ทาน การเสียสละ
บุญจะไหลเข้ามาสู่ใจของเรา ทุกวัน ทุกเวลา ที่การ ที่เราให้ทานมากน้อย
การรักษาศีลก็เหมือนกัน ให้รักษา ศีลเป็นสมบัติอันล้นค่า สำหรับเรา
ทำไมเรารักษาไม่ได้ ต้องพยายามบังคับบัญชารักษา การภาวนาอบรมจิตใจของเรา
ให้มีความสงบเยือกเย็น ซึ่งเป็นหลักใหญ่ ที่สุดในร่างกายเรานี้คือใจ
ก็ให้อบรมจิตใจของเราด้วยธรรม ใจของเราก็จะมีที่ มีธรรมเป็นที่ยึด
มีธรรมเป็นที่เกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่งอาศัย สมบัติเงินทองเป็นที่พึ่งของกาย
เวลามีชีวิตอยู่ เราก็อาศัยเขาไป กินอยู่พูวาย หลับนอน ไปตามเรื่องราวของขันธ์
ที่เขาอาศัยสิ่งเหล่านั้นอยู่ เมื่อธาตุขันธ์นี้หมดสภาพแล้ว ขันธ์นี้ก็หมด
สิ่งเหล่านั้นก็หมดสภาพไปตาม ๆ กัน ก็ปล่อยไปตามเรื่องของเขาเสีย ส่วนใจนี้
ไม่เคยตาย ก็ให้คุณงามความดี เป็นหลักใจของเรา เป็นเรือนใจของเรา
สร้างเรือนใจขึ้นที่จิตใจของเรานี้ เราจะไม่เสียท่าเสียที ที่เกิดมาเป็นมนุษย์
พบพระพุทธศาสนา
ตะกี้นี้ได้กล่าวถึงความเป็นผู้นำ ขอให้นำตัวเองเป็นไปแบบนี้ อันไหนไม่ดี
ก็ขอให้ละเว้น ให้ทำแต่สิ่งที่ดีงาม เรียกว่าเป็นผู้นำของตัวเอง
แล้วก็เป็นคติตัวอย่างของผู้อื่นต่อไป เช่น ในครอบครัวของเรา
พ่อแม่ก็เป็นผู้นำของเด็ก เด็กเล็ก ๆ ต่อไป ตลอดถึงเป็นผู้ใหญ่บ้าน กำนัน
ก็เป็นผู้ใหญ่บ้าน กำนัน ที่ถูกที่ดี เป็นคติตัวอย่าง เป็นที่ไว้วางใจ
เป็นที่ให้ความร่มเย็นแก่ ลูกบ้าน เขาก็เคารพนับถือ เขาก็เชื่อฟัง
บ้านเมืองก็สงบร่มเย็น จนกระทั่งเป็นผู้ใหญ่ไปขนาดไหน
ก็ทำตัวให้เป็นคติตัวอย่าง อันดีไปเป็นลำดับลำดา ตามขั้นของผู้ใหญ่มากน้อย
สูงต่ำขนาดไหน เป็นผู้นำในทางที่ถูกที่ดี เป็นคติตัวอย่างแก่ผู้น้อย
ให้ดำเนินตามไปเป็นลำดับลำดา บ้านเมืองก็มีความสงบร่มเย็นเป็นสุข เป็นผู้ใหญ่
ก็เป็นที่เคารพนับถือ เป็นที่เชื่อฟังของผู้น้อย เป็นร่มโพธิ์ร่มไทร
ของประชาชนทั้งหลาย แล้วต่างคนก็อยากอยู่กันด้วยความอบอุ่น
เพราะอำนาจแห่งความดีที่เราเป็นผู้นำแต่ละคน ๆ
ก็จะกลายเป็นบ้านเมืองที่สงบร่มเย็นไปได้ เนี่ย เรียกว่าผู้นำ
นำตั้งแต่ตัวของเรา จนกระทั่งถึงวงกว้างสูงสุด ผู้นำจึงสำคัญมากที่สุด
ถ้าผู้นำเลว ซะอย่างเดียว ในครอบครัวของเรา พ่อแม่เลว ลูกเป็นไฟไปหมด ครูเลว
นักเรียนก็เหลวแหลกแหวกแนวไปหมด เนี่ย ผู้ใหญ่บ้านกำนันเลว
ชาวบ้านก็เดือดร้อนไปตาม ๆ กัน จนกระทั่งถึงวงราชการที่สูงสุด มีแต่ฟืนแต่ไฟ
มีแต่เปรตแต่ผี กินบ้านกินเมือง แล้วบ้านเมืองกลายเป็นเนื้อเป็นหนัง
เป็นอาหารการกินของคนที่เป็นข้าศึกของบ้านของเมืองไปหมด
นี้บ้านเมืองก็ไม่มีความหมายอะไรเลย ล่มจมไปตาม ๆ กัน นี่ล่ะ
ถ้าผู้นำผิดเป็นอย่างนี้ ถ้าผู้นำถูก แล้วเย็นไปตาม ๆ กันหมด สำคัญที่ผู้นำ
จึงขอให้พี่น้องทั้งหลาย นำธรรมะนี้ไปเป็นผู้นำของตัวเอง ตลอดหน้าที่การงาน
ในวงราชการงานเมือง ขอให้นำธรรมนี้ไปเป็นผู้นํา จะสงบร่มเย็น
บ้านเมืองของเราก็จะมีความเจริญรุ่งเรือง ไปโดยลำดับ นี่พูดถึงธรรมเป็นภาคทั่ว
ๆ ไป ซึ่งจำเป็นต่อเราทุก ๆ ท่าน ได้นำไปปฏิบัติ
บ้านเมืองของเราก็เจริญรุ่งเรือง ในทางด้านศีลธรรมสำหรับพระ
สำหรับนักบวชนั้นเป็นอีกประเภทหนึ่ง ต่างกันกับประชาชนทั้งหลาย
พระกับฆราวาสไม่เหมือนกัน ถึงจะเป็นคนเหมือนกันก็ตาม แต่ต่างกันที่เพศ เป็นพระ
ไม่ใช่เพศฆราวาส หน้าที่ของพระ การงานของพระ จึงกลมกลืนไปกับธรรม กับธรรม
กับวินัย ซึ่งเป็นความถูกต้องดีงาม เป็นเครื่องหมายของพระอันสมบูรณ์แบบ
คือผู้เคร่งครัดตามหลักธรรมหลักวินัย ไม่ล่วงเกินฝ่าฝืน นั้นเรียกว่า
พระร้อยเปอร์เซ็นต์ เป็นพระศากยบุตรพุทธชิโนรส
คือเป็นลูกศิษย์ตถาคตโดยความชอบธรรม นี่ พระเป็นอย่างนั้น ไม่เหมือนฆราวาส
พระต้องเป็นผู้นำของตัวเองในความเป็นพระ ให้ถูกต้องดีงามในศีลธรรมของตน
อยู่ที่ไหนร่มเย็นเป็นสุข อยู่ในป่า ในเขา ในถ้ำเงื้อมผา ก็เย็นสบาย
สงบเย็นอยู่ภายในจิตใจ เพราะใจมีธรรมเป็นเครื่องอยู่ มีศีล มีสมาธิ มีปัญญา
ตลอดถึงวิมุตติหลุดพ้น เป็นเรือนของใจ แล้วอยู่ที่ไหนสบายหมด นี่แหละพระ
ต่างจากฆราวาสอย่างนี้
แล้วหน้าที่การงานของพระก็ไม่ได้กว้างขวางอะไร ตามหลักตามตำรา
ที่ท่านแสดงไว้ในครั้งพุทธกาล อันเป็นแบบฉบับที่ตายตัว หาที่ค้านไม่ได้
ก็คือว่า งานของพระนี้คืออะไร งานของพระคือ เริ่มบวชมา
รักษาเพศแห่งนักบวชของตน คือศีลเป็นพื้นฐาน รักษากาย วาจา ให้ถูกต้องดีงาม
มีใจเป็นผู้ควบคุมด้วยความเป็นธรรม แล้วเจริญสมาธิ นี่เรียกว่างานของพระ
เดินจงกรม ชำระกิเลส ความสกปรกออกจากจิตใจของตน อย่าไปหากว้านอารมณ์ภายนอก
ที่เป็นของสกปรก เข้ามาสู่จิตใจของเรา ให้กำจัดอารมณ์เหล่านั้นออกไป ๆ
นำธรรมเข้ามาเป็นอารมณ์ของใจแทน ซักฟอกจิตใจที่ว้าวุ่นขุ่นมัวนั้น
ให้สว่างกระจ่างแจ้ง และเป็นความสงบเย็นใจขึ้นมา นี้เรียกว่างานของพระโดยแท้
ครั้งพุทธกาลท่านดำเนินมาอย่างนั้น และไม่เปลี่ยนแปลง
เป็นคัมภีร์ใบลานมาตลอดทุกวันนี้ ใครอ่านก็เห็นก็รู้ด้วยกัน
นี่พระพุทธเจ้าท่านสอนงานของพระ ไล่เข้าไปอยู่ในป่าในเขา
บวชแล้วสอนสถานที่อยู่ และสอนงานให้ทำ งานที่พระทำนั้นคืออะไร
เบื้องต้นที่อุปัชฌาย์ บวชนั้นน่ะสอน เกศา โลมา นขา ทันตา ตโจ ผม ขน เล็บ ฟัน
หนัง เรียนปฏิบัติธรรมนี้ให้กระจ่างแจ้งขึ้นภายในตัวของเรา ปัญญาจะเกิด
จะเพิกถอนสิ่งที่ตนสำคัญว่าเป็นของสวย ของงามของจีรังถาวร ออกได้เป็นลำดับ
จนกระทั่งกำจัดสิ่งเหล่านี้ออกได้ ตามลำดับแห่งความเพียรของตน
ด้วยการอยู่ในป่า ที่ท่านสอนว่า รุกขะมูละเสนาสะนัง นิสสายะ ปัพพัชชา ตัตถะ เต
ยาวะชีวัง อุสสาโห กะระณีโย บรรพชาอุปสมบทแล้ว
ให้ท่านทั้งหลายไปอยู่ตามรุกขมูลร่มไม้ ในป่า ในเขา ตามถ้ำ เงื้อมผา ป่าช้า
ป่ารกชัฏ อันเป็นสถานที่เหมาะสม ซึ่งไม่มีใครมารบกวนเลยในสถานที่ฉะนั้น
เป็นความสะดวกแก่การชำระจิตใจของตน ด้วยความพากเพียร โดยวิธีการต่าง ๆ เช่น
เดินจงกรม นั่งสมาธิ ภาวนา โดยมีสติ กำกับใจของตน ไม่ให้ส่ายแส่ไปสู่อารมณ์
สกปรกภายนอก ที่เขายุ่งเหยิงกัน ให้ชำระจิตใจเข้าอยู่สม่ำเสมอ ด้วยความมีสติ
แล้วจะเป็นผู้ทรงมรรคทรงผลขึ้นมา คำว่าพระโสดาในครั้งนั้น
กับพระโสดาในครั้งนี้ เป็นทางเดินและสถานที่อยู่อันเดียวกัน สกิทาคา อนาคา
อรหันต์ ออกไปจาก สวากขาตธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้โดยขอบธรรมแล้ว
นี้อย่างเดียวกัน ผู้ปฏิบัติตามทางเดินของพระพุทธเจ้าที่ทรงสอนไว้นี้
จะเป็นผู้หลุดพ้นจากทุกข์ไปโดยประการทั้งปวง โดยลำดับ ๆ ตั้งแต่พื้น ๆ
จนกระทั่งถึงวิมุตหลุดพ้น จะไม่นอกเหนือไปจากงานของพระ
ที่ท่านประทานให้แล้วว่าเกศาโลมานี้ และสถานที่อยู่ที่บำเพ็ญ
คือป่าเขาลำเนาไพรนี้เลย นี่เป็นงานของพระ เพราะฉะนั้น ขอให้พระลูกพระหลาน
ที่อุตส่าห์พยายามมาในงานนี้ ตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติ
กำจัดกิเลสออกจากใจของตน
เวลานี้มันกำลังเป็นมรสุม ระหว่างกิเลสเข้าโจมตีธรรม
ธรรมไม่ได้โจมตีกิเลสนะเวลานี้ ไม่ว่าฆราวาส ไม่ว่าพระ
มีตั้งแต่เป็นฝ่ายกิเลสโจมตีทั้งนั้น มองดูฆราวาส ก็มองดูไม่ได้
ในสายตาของธรรม มองดูพระก็ดูไม่ได้ ในสายตาของธรรม เลอะ ๆ เทอะ ๆ ไปหมดเลย
เลยสุดท้ายก็มีเหลือตั้งแต่เพศของพระหัวโล้น ๆ ความประพฤติ ความคิด ความอ่าน
การเสาะแสวงหา เป็นเรื่องของกิเลส รับเหมาไปเสียทั้งหมด
ธรรมไม่มีทางที่จะได้อยู่ได้กินกับกิเลสนั้นเลย
เศษเดนกิเลสมันก็ไม่ยอมทิ้งให้ธรรมได้อยู่ได้กินบ้าง
มีแต่กิเลสตีตลาดลาดเหล่ไปหมด ในวงพุทธศาสนาของเรา ในวงชาวพุทธเรา
ในวงพระวงเณรเรา มีแต่ความสกปรกโสมม เต็มวัดเต็ม เต็มพระเต็มเณร
กิเลสเข้าไปสร้างส้วมสร้างฐานไว้หมดเลย เราหาได้รู้ไม่ว่ากิเลสสร้างส้วม
มันสร้างส้วมสร้างฐาน มันสร้างยังไง มันสร้างกับฆราวาส เราก็ทราบแล้ว
แต่ฆราวาสอาจจะไม่ทราบก็ได้ ทั้ง ๆ ที่ เป็นนักสร้างส้วมสร้างฐาน
สร้างฟืนสร้างไฟ เผาตัวตลอดเวลาทุกหย่อมหญ้าก็ตาม แต่ไม่ทราบว่า
สร้างเพราะเหตุผลกลไกอันใด อย่างนี้มีเยอะ
เมื่อธรรมส่องเข้าไปมันก็เห็นหมดนั่นแหละ การสร้างความชั่วช้าลามก
ความไม่รู้จักออกมาดังที่แสดงแล้วเมื่อสักครู่นี้ ความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา
มีตั้งแต่การสร้างส้วมสร้างฐาน สร้างฟืนสร้างไฟ เผาไหม้ตัวเองทั้งนั้น นี่
เรื่องของโลกเขาเป็นอย่างนี้ ทีนี้พระเราก็กลายเป็นสร้างส้วมสร้างฐานขึ้นมา
ด้วยวิธีใกล้เคียง และเป็นวิธีเดียวกัน เลยกลายเป็นวัดวาว่า
เป็นสถานที่อยู่แห่งมูตรแห่งคูถ แห่งส้วมแห่งฐาน ธรรมไม่ได้อยู่อาศัยได้เลย
เพราะไม่มีใครสนใจ ต่ออรรถต่อธรรม ไม่มีใครสนใจต่อการประพฤติคุณงามความดี
ไม่มีใครสนใจต่อการชำระสะสางกิเลส ซึ่งเป็นตัวสกปรกภายในจิตใจ
มีแต่ต่างคนต่างกว้านเข้ามา ๆ เผาตัวเอง สร้างส้วมสร้างฐาน ด้วยกาย ด้วยวาจา
ด้วยความคิดความปรุง อันเป็นทางกิเลสเสียทั้งหมด เลยเป็นที่ไหลรวมแห่งกิเลส
ภายในหัวใจพระเณรเรา นี้ก็ กิเลสตั้งบ้านตั้งเรือน ตั้งส้วมตั้งฐานในหัวใจเรา
ธรรมไม่มีที่อยู่ ธรรมไม่มีที่สถิต สร้างวัดไว้ก็เป็นวัดร้างแห่งธรรม
แต่เป็นที่อยู่ของกิเลสไปเสีย บวชพระมาก็เป็นพระร้าง จากศีลจากธรรม
จากสมาธิปัญญา วิมุตหลุดพ้น แต่กิเลสเข้าไปทำหน้าที่แทนซะหมด
กลายเป็นส้วมเป็นฐานของกิเลสไปซะหมด ในวงของพระ ของเณร ของวัด ของวา
จนกระทั่งถึงชาวพุทธ ทั่ว ๆ ไป มีแต่ส้วมแต่ฐานของกิเลส
นี่ขอให้พี่น้องทั้งหลายได้คิด
พระลูก พระหลาน ที่ได้ยินได้ฟังอยู่เวลานี้ ขอให้พากันนำไปคิด เราเป็นเพศพระ
อย่าคุ้น อย่าชิน กับสิ่งภายนอก เราเป็นพระ เป็นโลกหนึ่งต่างหาก ที่เราอยู่
เราทำงานการของเรา เราอย่าไปแย่งการงานของฆราวาสเข้ามาทำ มาจัดมาทำ
จะเป็นการไปแย่งฟืนแย่งไฟ แย่งความสกปรกจากโลกเข้ามาทับถมตนเอง
แล้วจะกลายเป็นมูตรเป็นคูถ ในพระทั้งองค์ ๆ โดยเราก็ภาคภูมิใจเราว่าเราเป็นพระ
มิหนําซ้ำ เขายังยกยอว่า เป็นปลัดนั้น เป็นใบฎีกานี้ เป็นพระครูนั้น
เป็นเจ้าคุณนี้ขึ้นไป เช่นดั่งหลวงตาบัวนี่ เป็นเจ้าคุณราชญาณวิสุทธิโสภณ
หลวงตาบัวก็เป็นบ้ากับราชญาณฯ ลืมศีลลืมทำไปเสียอย่างนี้
พระลูกพระหลานทั้งหลาย อย่าให้เป็นแบบนี้นะ นี่หลวงตาบัวนำมาสอน
พระลูกพระหลานทั้งหลาย เหล่านี้เป็นเครื่องประดับภายนอก เป็นชื่อเป็นเสียง
เป็นลมปาก เพียงเท่านั้น ไม่ใช่ความดี ที่จะพาเราให้หลุดพ้นจากทุกข์
สำหรับนักบวชเรา แต่เป็นการ สร้างความติดพันในสิ่งเหล่านี้ ดีไม่ดี
สร้างความชั่วช้าลามก ขึ้นมาจากยศถาบรรดาศักดิ์ของตัวเองก็ได้ ถ้าเราไม่มีสติ
ให้พากันระมัดระวัง อันนี้เขาตั้งไว้ ให้เป็นนั้นเป็นนี้
ก็ตั้งไว้ดั่งนั้นแหละ แต่ความดีนั้น ให้เป็นเรื่องของพระ
เราสร้างในตัวของเราเอง อย่าไปหลงกลของกิเลส ตั้งให้เป็นอะไร ๆ เข้ามาก็เลย
กลายเป็นกิเลสหลอกพระ ให้เป็นบ้าไปตาม ๆ กันหมด ไปที่ไหนมีแต่พระ
เจ้าฟ้าเจ้าคุณยศถาบรรดาศักดิ์สูง ๆ แต่จิตใจต่ำยิ่งกว่าฐาน
ดูไม่ได้เลยนะสำหรับเพศเรา พระลูกพระหลานฟังให้ถึงใจ
เวลานี้เป็นโอกาสที่จะมาสอนพระลูกพระหลาน แล้วที่สำคัญที่สุดเวลานี้
ซึ่งกำลังกระเทือนชาวพุทธของเรา แล้วย่นเข้ามา กระเทือนพระเณร
วัดวาอาวาสของเรา เรียกว่ามหาภัย คือเริ่มมาตั้งแต่หนังสือพิมพ์
หนังสือพิมพ์นี้เป็นเรื่องเป็นราวของชาวโลกชาวโลกีย์เขา ไม่ใช่เรื่องของพระ
พระต้องเป็นผู้ชำระ เพราะนั้นเป็นข่าวนั้น ข่าวนี้จากหนังสือพิมพ์
ภายในใจของเรามันก็หาข่าวอยู่แล้ว เราจำเป็นอะไร
จะต้องไปหาข่าวจากเรื่องนั้นเรื่องนี้ หนังสือพิมพ์วิทยุ
ข่าวในหัวใจเรานี้มันก่อขึ้นมาวันหนึ่ง ๆ นับไม่ถ้วน เอาฟืนเอาไฟเผาตัวเรา
นี่คือข่าวภายในหัวใจ เผาหัวใจพระเรา ให้กำจัดข่าวนี้ออก แล้วปัดข่าวภายนอก
เช่น หนังสือพิมพ์วิทยุเหล่านี้ เป็นข่าวภายนอก เป็นกิเลสล้วน ๆ ให้ปัดออก
แล้วกำจัดข่าวภายใน ที่มันจะเล็ดลอดออกไป ชอบพอกับสิ่งภัยนั้น
กว้านเข้ามาเผาตัวเอง ให้ปัดออก นี่ก็คือพวกมหาภัย
เริ่มต้นมาตั้งแต่หนังสือพิมพ์วิทยุ จากนั้นมาก็โทรทัศน์ เทวทัต วิดีโอ
โทรศัพท์มือถือ นี้เป็นมหาภัยอย่างร้ายแรงมาก สำหรับพระเรา
เราเป็นผู้ใกล้ชิดติดพันกับคัมภีร์ใบลาน ไม่มีใครเกินพระไปได้ คัมภีร์ไหน
ท่านบอกว่าอย่างไร เรารู้หมด ๆ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่หยาบ ๆ ที่พระจะไม่รู้
ไม่มี นอกจาก พระหน้าด้านเท่านั้น จึงจะไปทำได้อย่างหน้าด้าน อย่างน่ามึน
ลูกหลานของเราที่รับการฟังสอนอย่างนี้ ให้พากันระมัดระวัง
ถ้าไม่อยากให้เป็นพระหน้าด้านหน้ามึน รบกวนชาวโลกชาวสงสาร ด้วยความสกปรกของตน
ให้พากันระมัดระวัง สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องของพระ เป็นภัยของพระอย่างยิ่ง
ให้พากันระมัดระวัง กำจัดมันออก อย่าให้มี
ไอ้เรื่องโทรศัพท์มือถือนี่สำคัญมากนะ เออ จับใส่หูปั๊บเดียว
นัดกับอีหนูที่ไหนก็ได้นะ เออ ไปพุ่มไม้พุ่มไหนก็ได้ ไปมุมวัดไปที่ไหน
เข้าที่ไหนได้หมด เนี่ย อันนี้สำคัญมากนะ โทรศัพท์มือถือเนี่ย กริ๊ง ไป ๆ
อีกแล้ว หงายเลย ๆ เทวทัต วิดีโอนี่ก็เหมือนกัน อันนี้รองกันลงมา
อันนั้นเป็นเชื้อ เป็นเครื่องดูดดื่ม เป็นเครื่องชักจูง โทรศัพท์มือถือนี่
เป็นจุดหมายที่จะสังหารพระโดยตรงไม่สงสัย เพราะฉะนั้น
ขอให้พระลูกพระหลานได้ระมัดระวัง หลวงตานี้บวชมานานแล้วได้ผ่านโลก
ผ่านสงสารมาได้ 85 ปีนี้แล้ว ทางอรรถทางธรรมก็ได้ผ่านมาได้ 65 ปีนี้
ทั้งปริยัติ ทั้งปฏิบัติ ก็ได้ดูมาพอสมควร ถึงขั้นเป็นมหา ไม่ได้โอ้อวด
เพราะฉะนั้นจึงไม่สงสัยในสิ่งที่นำมาแสดงแก่พระลูกพระหลานทั้งหลาย
ทราบว่าจะผิดไป เพราะได้ดูคัมภีร์ใบลานมาแล้ว จึงได้พอทราบได้ว่า
สิ่งไหนผิดสิ่งไหนถูก แล้วนำมาประกาศให้ลูกให้หลานทั้งหลายได้ฟัง
บางรายก็มีเจตนาดีอยู่ แต่เพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ แล้วกลายเป็นพระเป็นเณร
ติดร่างแหพวกชั่วช้าลามกไป เลยกลายเป็นความเสียหายในพระในเณรทั้งองค์ก็ได้
จึงต้องได้เตือนให้บรรดาพระลูกพระหลานทั้งหลายทราบ
อย่าคุ้นอย่าชินกับสิ่งเหล่านี้ ถ้า ไม่ลืมตัวว่า เราเลยพระไปแล้ว
เราเก่งกว่าพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เก่งกว่าหลักธรรมหลักวินัยไปแล้ว
เราก็ทำได้ทุกอย่าง อือ สัตว์นรกไม่กลัวบาป แต่สัตว์นรกเป็นผู้เร้า
เป็นผู้รับเหมาบาปเสียเอง รับเหมาบาปเสียเอง รับเหมาไฟนรกเสียเอง
ให้เราเลือกเฟ้นเสียตั้งแต่บัดนี้ ธรรมกำลังกระจายให้พี่น้องชาวไทย
และพระเณรทั้งหลาย พระลูกพระหลานเป็นต้น ได้ฟังอยู่เวลานี้ ไปประพฤติปฏิบัติ
แม้ฆราวาสก็เหมือนกัน สิ่งเหล่านี้เป็นภัยต่อพระได้
ทำไมไม่เป็นภัยต่อฆราวาสได้ สิ่งใดที่ควรจะนำมาใช้ในวัดในวา
ให้ลูกเล็กเด็กแดงได้ดูก็นำมา อันไหนที่จะเป็นภัยต่อเด็ก
ควรกำจัดปัดเป่ามันออกไป อย่ามาเผาเด็กให้เสียคนตั้งแต่เล็ก ๆ นี้
จะเสียหายไปหมด ถ้าพ่อแม่เป็นนักเพลิดนักเพลิน แล้วทำลูกให้เสียได้นะ
สิ่งเหล่านี้นะ ให้ระวังให้ดี
วันนี้ได้พูดธรรมให้พี่น้องทั้งหลายฟังเป็นสองภาค ภาคหนึ่งคือสอนทั่ว ๆ
ไปสำหรับพี่น้องชาวไทยเรา ภาคที่สอง สอนพระสอนเณร ที่เป็นลูกเป็นหลาน
ซึ่งห้อมล้อม นั่งฟังกันอยู่เวลานี้ได้ฟัง ความสัตย์ความจริงจากธรรม
ที่เป็นความถูกต้องดีงามมาแล้วตั้งแต่กาลไหน ๆ ได้นำไปประพฤติปฏิบัติ
เพื่อกำจัดความชั่วช้าลามกซึ่งมีอยู่ด้วยกับทุกคน ให้ห่างเหินไปจากตัว
แล้วเราจะเป็นคนดี พระดี ครองคุณงามความดี ครองมรรคผลนิพพาน
ขึ้นจากการปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบของเรานั้นแล วันนี้การแสดงธรรม
ก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา หากผิดพลาดประการใด หรือไม่ถูกจิตถูกใจของพี่น้องชาวไทย
หรือ ท่านผู้ฟังทั้งหลายประการใดบ้าง ก็ขอให้คำนึงถึงธรรม
ว่าธรรมนี้พูดอย่างตรงไปตรงมา ถ้าเป็นน้ำก็เป็นน้ำที่สะอาดสุดยอด
ไม่มีอ้อมค้อม พูดอย่างตรงไปตรงมา ถูกบอกว่าถูก ผิดบอกว่าผิด ผู้จะแก้
แก้โดยอรรถโดยธรรม ฟังโดยอรรถโดยธรรม แล้วก็นำไปแก้ เป็นประโยชน์แก่ตนได้
นี่แหละ ผลประโยชน์ และเกิดขึ้นจากการได้ยินได้ฟัง เพื่อปฏิบัติ
ก็จะเป็นจากผู้ฟังทั้งหลายนี่แหละ การแสดงธรรม เห็นว่าสมควรที่เวลา
เห็นว่าจะยุติลงเพียงเท่านี้
แล้ววันนี้ท่านเจ้าคุณเป็นเจ้าอาวาส ซึ่งท่านไปช่วยทั้งสองทาง
ทางด้านจังหวัดท่านก็ไป ในวัดนี้ท่านก็เชื้อเชิญประชาชนศรัทธาทั้งหลาย
ทางราชการ มีท่านรองผู้ว่าฯ ก็มาเป็นหลักชัยในงานนี้ด้วย
จึงเป็นงานที่รื่นเริงบันเทิง เป็นงานที่มีศักดิ์ศรีดีงามอย่างยิ่ง
ที่การช่วยชาติของเรา มีทั้งข้าราชการงานเมือง
ผู้ปกครองบ้านเมืองนำชาติบ้านเมืองของเรา มาเป็นประธานด้วย
มาเป็นสง่าราศีแก่งานของชาตินี้ด้วย แล้วศาสนา ซึ่งก็หลวงตาบัวเป็นผู้นำ
เพราะฉะนั้นได้เห็นพระสงฆ์ทั้งหลาย ซึ่งเป็นญาติเป็นอันเดียวกัน
เป็นพวกอันเดียวกัน มาช่วยเหลือแล้ว มาสนับสนุนด้วยแล้ว
หลวงตาบัวรู้สึกมีความปลื้มปิติต่อบรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายเป็นอย่างมาก ขอความสุข
ความสวัสดี และอำนาจแห่งบุญแห่งกุศลนี้ อันได้ดลบันดาลจากจิตใจของพี่น้อง
ชาวไทยทั้งหลายได้หนุนชาติของเรา ให้มีความเจริญรุ่งเรืองขึ้นเป็นลำดับ
จนกระทั่งถึงเป็นที่พอใจ โดยทั่วกันเทอญ ..สาธุ (เสียงโยม)
|