ปัญหานี้ถ้าไม่รู้ถามไม่ได้
วันที่ 17 กันยายน 2543
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๗ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๓

ปัญหานี้ถ้าไม่รู้ถามไม่ได้

(ผู้ฟังเทศน์ประมาณ ๑,๐๐๐ คน)

เมื่อวานนี้ก็ได้ทองคำ ๑ กิโลกับ ๑ สตางค์ ของคุณฐาวราคนเดียว นอกนั้นเงียบทั่วประเทศไทย มีคนเดียวโผล่ขึ้นมาตั้ง กิโลกับ ๑ สตางค์ มันอยู่ในแท่งกิโลนั่นแหละ แต่มันเศษไป ๑ สตางค์ก็บอกว่า ๑ สตางค์ ไม่มีเหลือเลยก็บอกว่าไม่มีเหลือ เช่นเมื่อวานทั่วประเทศไทยไม่มีเหลือเลย ให้มาเด่นสัก ๒ สตางค์ไม่มี ส่วนดอลลาร์ได้ถึง ๓๑๗ ดอลล์

เอ้า วันนี้ได้ ๑๐ ดอลล์ ทองคำที่ตั้งใจจะมอบเข้าคลังหลวงคราวนี้อย่างน้อยสี่พันกิโล นี้เคยประกาศตลอดมานะ ไม่ควรให้หลุดแม้สตางค์หนึ่งเลย อย่างน้อยให้ได้สี่พันกิโล นี่เฉพาะพี่น้องชาวไทยรวมกันเป็นเนื้อเป็นหนังเป็นตนเป็นตัวขึ้นมา ตั้งกึ๊กสี่พันกิโล แล้ว ๘๐๐ ล้านนี้ใส่กึ๊กเป็นจอมข้างบน เพราะฉะนั้นใครมายุ่ง ๘๐๐ ล้านนี้ไม่ได้ คือ ๘๐๐ ล้านนี้กะว่าจะได้ทองคำไม่ต่ำกว่า ๒ ตัน ก็เรียกว่า ๖ ตัน นี้เป็นอย่างน้อยจะได้ ๘๐๐ ล้านนี้เราตั้งเป้าหมายไว้แล้ว ประกาศไว้เรียบร้อยแล้ว แม้เราตายไปแล้วเงิน ๘๐๐ ล้านนี้ก็จะต้องหมุนเข้าไปซื้อทองคำทุกบาททุกสตางค์

ส่วนที่เศษเหลือนั้นยังก้ำกึ่งกันอยู่ คือทางไหนก็จำเป็น แต่จำเป็นมากน้อยเพียงไรคนทั่วประเทศ มีความจำเป็นเกี่ยวกับเรื่องเงินที่เศษออกไป ๕๐ ล้านกว่านี้ เราอาจจะหมุนไปดังที่ว่านี่ เป็นเงินหมุนเวียนดังที่เคยช่วย มีโรงพยาบาล เป็นต้น โรงร่ำโรงเรียน สถานสงเคราะห์ ความจนตรอกจนมุมที่ไหนที่ควรจะช่วยเหลือได้ จะออกไปจากเงินจำนวนนี้เป็นเงินหมุนเวียน เพราะฉะนั้นเราจึงไม่ตั้งเป้าหมายไว้ตายตัว อาจจะเข้ามาทางทองคำอีกก็ได้ รวมเข้ามาหา ๘๐๐ ล้านนี้ก็ได้ อาจจะแยกออกไปเป็นเงินหมุนเวียนก็ได้เงิน ๕๐ กว่าล้านนี้นะ ส่วน ๘๐๐ ล้านนั้นแน่นอนแล้วไม่เป็นอื่น รอแต่เวลาที่จะเคลื่อนไปหาทองคำเข้าสู่คลังหลวงเราเท่านั้นแหละ อย่างน้อยก็ต้องให้ได้หกพันกิโลคราวนี้ ทองคำเรา

ที่นี่ใครจะหาทองคำเข้ามาสู่คลังหลวงของเรา ก็มีพี่น้องชาวไทยเท่านั้น คนอื่นมีกี่ล้านคนก็ตามเราอย่าไปหวังพึ่งเขา เราต้องพึ่งเรา เป็นลำแข้งลำขาของเราเอง ช่วยกันเต็มเม็ดเต็มหน่วย

ทองคำนี้เป็นเครื่องประกันทั้งชาติ ทั้งชีวิตจิตใจ ความเป็นอยู่ ความแน่นหนามั่นคงแห่งชาติไทยของเรา ตลอดเงินธนบัตรที่จะหมุนออกไปก็ออกจากนี้ ถ้าไม่มีแล้วเงินนี้ก็ออกไม่ได้ อันนี้เป็นเครื่องกระจายให้เงินออก เช่นดอลลาร์ เช่นทองคำ จะออกเป็นเงินบาทกระจายทั่วประเทศไทย ถ้าอันนี้เบาบางเงินที่เราหมุนเวียนกันทั่วประเทศนี้ก็เบาบาง ๆ ถ้าทองคำกับดอลลาร์นี้หนา เงินหมุนเวียนก็หนาขึ้น ๆ ให้พากันจำเอาไว้

นี่เราจะให้ได้ละ พื้นฐานจริง ๆ ก็คือสี่พันกิโล ตั้งรากฐานไว้เลย ได้มากได้น้อยจะไปของมันอย่างนี้แหละ วันนั้นได้มาก วันนี้ได้น้อย วันนั้นไม่ได้ วันนี้ได้ แต่อยู่ในเกณฑ์ที่จะต้องได้ ๆ ไปเรื่อย ๆ จนอย่างน้อยสี่พันกิโล แล้วก็ต่อยอดอีก เราสงวนมากแสวงมากเกี่ยวกับเรื่องทองคำ เพราะฉะนั้นจึงว่า ๕๐ ล้านนี้เราก็พูดอยู่อย่างนั้น ส่วนหนักส่วนใหญ่มารออยู่ทางทองคำ อันนี้พวกเราพอถูไถกันไปก็ถูไถกันไป ขอให้หลักใหญ่ของเราตั้งเป็นรากเป็นฐานไว้เราพอใจ จึงต้องหมุนเข้ามาหาทองคำเสมอแหละ

เรารวมยอดเลยวันนี้นะ รวมทองคำที่มอบและฝากไว้กับคลังหลวงเวลานี้ ๒,๐๖๒ กิโลครึ่ง และทองคำที่ได้หลังจากการหลอมเรียบร้อยแล้วนั้น ๕๕ กิโล ๔๓ บาท จึงรวมทองคำทั้งหมดได้ ๒,๑๑๘ กิโล เราตั้งจุดสี่พันไว้ว่า เวลานี้ยังขาดทองคำอยู่ ๑,๘๘๒ กิโล จะครบจำนวนสี่พันกิโล ทองคำที่ได้ทีหลังมัน ๕๕ กิโล พวกนี้ยังไม่ได้หลอม ต้องหลอมเสียก่อน หลอมแล้วก็เข้าจำนวนใหญ่

วันนี้ก็จะไปไกลอยู่นะ นี่ก็ไปช่วยเหมือนกัน โห จะทำยังไงหัวใจมีทุกคน พอพึ่งที่ไหนได้ก็หวังพึ่ง ๆ อย่างนั้นนะ ความหวังเต็มหัวใจทุกคน เราไม่ได้เป็นอิสระนะ มหาเศรษฐีก็เป็นอิสระไม่ได้ ต้องอาศัยคนใช้ ลูกน้องเป็นผู้วิ่งเต้นหาการหางานทำการทำงาน นั่นละเศรษฐีก็ต้องอาศัยลูกน้อง ลูกน้องอาศัยเศรษฐี อญฺญมญฺญํ อาศัยกันอยู่อย่างนี้ ไม่มีใครจะอยู่โดดเดี่ยวได้เลยโลกอันนี้ ต้องหวังพึ่งคนอื่นอยู่ตลอดมา

เมื่อวานนี้พี่น้องชาวหนองผือก็มา บ้านหนองผือนาใน ยกกันมาเกือบจะทั้งบ้านเมื่อวานนี้ มาเต็มหมด พระก็เกือบทั้งวัด มากันเกือบหมด ชาวบ้านก็มามาก มานิมนต์เราไปในงานมรณภาพครบรอบของหลวงปู่มั่นเรา วันที่ ๑๐ พฤศจิกา นั่นเป็นวันท่านมรณภาพ พวกนี้จะตั้งงานวันที่ ๑๐ พฤศจิกานี้ เป็นวันครบรอบมรณภาพของหลวงปู่มั่นเรา เราก็ทบทวนดูวันว่างวันไม่ว่าง ให้เขาดูปฏิทิน วันที่ ๑๐ เป็นวันขึ้นวันแรมเท่าไร ทดสอบดู เพราะเราไม่มีเวลาว่างนะ บางทีไปโดนเอาที่งานเราก็ได้

ตกลงวันที่ ๑๑ เป็นวันเพ็ญ เดือน ๑๒ ซึ่งเป็นวันสำคัญและเป็นวันสุดท้ายของกาลกฐิน กาลกฐินจะสิ้นสุดลงวันที่ ๑๑ ตรงกับเดือน ๑๒ เพ็ญพอดี เราเลยปรึกษาเขาให้ย่นเข้ามาได้ไหม แต่ให้อยู่ในเกณฑ์วันมรณภาพของท่าน คือย่นกลับมาวันที่ ๙ วันที่ ๑๐ ก็พอดีตรงกับวันท่านมรณภาพ แล้วก็เป็นวันเลี้ยงพระ คือให้เริ่มวันที่ ๙ เราจะไปค้างที่นั่นคืนนึง วันที่ ๙ พฤศจิกา ไปค้างตอนเย็น เขาจะมีอะไร ๆ แล้วตอนเช้าก็ใส่บาตร พิธีเสร็จเรียบร้อยแล้วกลับ เป็นขึ้น ๑๔ ค่ำเรากลับมา ก็เป็นอันว่าตกลง เราจะได้ไปหนองผือวันที่ ๙ เท่ากับขึ้น ๑๓ ค่ำ วันที่ ๑๐ ก็เป็นวันมรณภาพท่าน บำเพ็ญกุศลในวันนั้น เริ่มตั้งแต่วันที่ ๙ ไป วันที่ ๑๐ บำเพ็ญกุศลบูชาพ่อแม่ครูจารย์มั่นเรา เป็นวันขึ้น ๑๔ ค่ำเดือน ๑๒ เราก็กำหนดให้เขาอย่างนั้น เขาก็รับด้วยความพอใจ เพราะไม่ได้เคลื่อนคลาดจากวันงาน วันครบรอบนะ วันที่ ๑๐ วันท่านมรณภาพก็เป็นวันบำเพ็ญกุศลตอนเช้าพอดี แล้วเสร็จงานในวันนั้น

เมื่อวานมากันเยอะ สิ้นสุดกฐินวันที่ ๑๑ ขึ้น ๑๕ ค่ำ นั่นละวันกฐินสิ้นสุดในวันนั้น วันเพ็ญเดือน ๑๒ สิ้นสุดทอดกฐิน ในวันเพ็ญยังทอดได้อยู่ ตั้งแต่วันแรมค่ำหนึ่งเดือน ๑๑ ไปถึงวันเพ็ญเดือน ๑๒ ยังทอดได้ เป็นเวลา ๑ เดือน กฐินท่านเพิ่งอนุโลมภายหลัง แต่ก่อนมีบังสุกุล เป็นพื้นฐาน เป็นใหญ่โต เห็นว่าพระท่านมาจากเมืองปาเฐย มาเฝ้าพระพุทธเจ้า ผ้าสบงจีวรเปียกปอนมา ที่จะเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้ายังเข้าไม่ได้ พวกสบงจีวรเปียกปอนต้องตากต้องอะไรกันยุ่งเสียเวลาไปนาน ทรงทราบ พระองค์จึงทรงอนุโลมผ่อนผันให้มีกฐินได้ ทอดกฐินได้ เป็นสิ่งที่ควรได้เป็นพิเศษนอกจากบังสุกุลไป อันนี้จึงมีอันดับสอง

สำหรับพ่อแม่ครูจารย์มั่นเรานี้ เป็นรากฐานสำคัญเรื่องบังสุกุล เราไปพักอยู่กับท่านที่ไหน ๆ ไม่เคยมีกฐินนะ มีแต่บังสุกุล ๆ ผ้าป่าหรือบังสุกุลตลอดเลย ท่านไม่เคยมีกฐิน องค์ท่านเองก็ไม่เคยรับผ้า เรียกว่า คหปติจีวร ที่เขามาถวายทั่ว ๆ ไป สำหรับท่านใช้เองมีแต่ผ้าบังสุกุลทั้งนั้น เพราะฉะนั้นท่านจึงรักษาประเพณีอันดั้งเดิมและใหญ่หลวงนี้ไว้มาตลอด มีหลวงปู่มั่นองค์เดียว ท่านเข้มงวดจริง ๆ รักษาข้อวัตรปฏิบัติ ท่านรักษาเพื่อใคร ท่านจะเอาอะไรท่านพอทุกอย่างแล้ว อันใดที่จะเป็นคติตัวอย่างอันดีงามแก่กุลบุตรสุดท้ายภายหลัง ท่านสงวนรักษาไว้ให้เป็นมรดกแก่ลูก ๆ หลาน ๆ ต่อไป ท่านจึงรักจึงสงวนมากทีเดียว สำหรับท่านเองท่านพอทุกอย่างแล้ว

เราก็เผลอนะวันที่ท่านอยู่เชียงใหม่ เผลอจนกระทั่งต้นไม้ต้นท่าน… คือมันพูดไม่ถูก คือความตื่นเต้นภายในจิตใจและอัศจรรย์จิตใจของท่านที่ผ่านพ้นไปได้ในกลางคืน กลางคืนเหมือนกันนะ เวลาดึกสงัด ต้นไม้ต้นเดียวร่มหนาทึบมาก กลางวันท่านก็เดินจงกรมที่นั่นเสมอ ท่านว่างั้น กลางคืนท่านก็อยู่ไม้ต้นนั้น ไม้ต้นเดียวอยู่โดดเดี่ยว แต่ร่มหนามาก กว้าง จะเป็นไม้อะไรเราเลยลืมถามจนกระทั่งชื่อของไม้ต้นนั้นชื่อว่ายังไง ลืม ลืมหมด จะเป็นวันเดือนปี ข้างขึ้นข้างแรม ลืมไปหมดเลย มีแต่ความตื่นเต้นกับจิตใจของท่านที่พ้นจากวัฏจักรไป ดีดผึง นั่นเห็นไหมล่ะ อย่างนั้นแล้ว เลยลืมวันแรมวันขึ้น เดือนไหนต่อเดือนไหน มันตื่นเต้นมากกับจุดนั้นนะ แล้วต้นไม้ต้นนั้นชื่อว่าอะไรจึงมาคิดได้ทีหลัง โอ๊ย ไม่ได้เรื่อง ท่านก็ผ่านไปแล้ว ถ้าหากว่าจะระลึกได้ในระยะนั้นอีก เรายังจะกราบเรียนถามท่านอีก ซอกแซกจนได้ ทีนี้มารก็บันดลใจ นี่อยู่เชียงใหม่นะ

จังหวัดเชียงใหม่รู้สึกจะเด่นกว่าทุกจังหวัด บรรดาพระที่เป็นเพชรน้ำหนึ่ง ไปสำเร็จเป็นเพชรน้ำหนึ่งขึ้นที่เชียงใหม่ เท่าที่จำได้นี้ก็ หลวงปู่พรหม บ้านดงเย็น หลวงปู่ตื้อ นี้องค์หนึ่ง อันนี้ไม่ชัดเจนมากนัก แต่น้ำหนักทราบว่าอยู่เชียงใหม่ เพราะท่านอยู่เชียงใหม่กับหลวงปู่มั่นมานาน หลวงปู่ตื้อ ที่บ้านข่า สามผง นี้องค์นึง แล้วก็ หลวงปู่ขาว องค์นึง พ่อแม่ครูจารย์มั่นเราองค์นึง หลวงปู่แหวนองค์นึง ๕ องค์ ที่จังหวัดเชียงใหม่นะ พ่อแม่ครูจารย์มั่นแล้วก็ จากนั้นก็มีลูกศิษย์ลูกหาของท่าน หลวงปู่ขาวก็เชียงใหม่ หลวงปู่แหวนก็เชียงใหม่ หลวงปู่พรหมก็เชียงใหม่ หลวงปู่พรหมชัดเจน เพราะท่านเล่าให้ฟังเอง อยู่ที่เชียงใหม่ หลวงปู่ตื้อก็เชียงใหม่

จังหวัดเชียงใหม่ดูเหมือน ๕ องค์ ที่เราไม่ทราบเราก็ไม่ทราบแหละ นี่มาเล่าตามที่เราทราบนะ พ่อแม่ครูจารย์มั่นเรา หลวงปู่แหวน หลวงปู่พรหม หลวงปู่ขาว หลวงปู่ตื้อ มาจากเชียงใหม่ทั้งนั้น

พระธาตุหลวงปู่ตื้อ โอ๋ย สวยงามมากนะเราไปดูเอง เพราะได้ทราบว่าอัฐิของท่านกลายเป็นพระธาตุ เราก็ตั้งหน้าไปดูเอง ให้พระเอาออกมาให้ดูจริง ๆ โอ๋ย สวยงามมากจริง ๆ เรื่องเป็นพระธาตุเป็นเหมือนกัน แต่รูปลักษณะ สีสันวรรณะ จะมีแปลกต่างกัน แต่เป็นพระธาตุเป็นพื้นฐานเป็นด้วยกัน อย่างหลวงปู่พรหมนี้เราไม่ได้ไปดู แต่เราเชื่อแน่ไว้แล้ว เพราะท่านคุยให้ฟังแล้วตั้งแต่อยู่บ้านนามนด้วยกัน หลวงปู่พรหม ท่านผ่านมาจากเชียงใหม่นู่นแล้ว เรามีแต่เพียงว่าเวลาไปเผาศพ เรากระซิบบรรดาลูกศิษย์ทางกรุงเทพนั่นแหละ ติดตามไปกับเรา ไปนี้ถ้าหากว่ามีโอกาสพอได้อัฐิท่าน พยายามเอาอัฐิท่านให้ได้นะ อัฐิของครูบาอาจารย์องค์นี้อย่างไรก็ต้องเป็นพระธาตุแน่นอนเราบอกเลย

แล้วพอดีพอเผาศพแล้ว คณะกรรมการเขาล้อมรอบไม่รู้กี่ชั้นเข้าไม่ถึง เราเองก็ไม่กล้าไปทำลายประโยชน์ของส่วนรวม ไม่ถูก ถึงเราชื่อว่าเป็นพระผู้ใหญ่องค์หนึ่งก็ตาม เป็นที่เคารพนับถือของพระเณรเหล่านั้นก็ตาม สมมุติว่าเราจะไปขอพิเศษยังไงท่านต้องให้ แต่เราไม่กล้าทำลายส่วนรวม เราก็ไม่ไปเกี่ยวเสีย สุดท้ายก็เลยไม่ได้ แต่ทางทราบน่ะทราบมาแล้วว่า อัฐิของท่านกลายเป็นพระธาตุแล้ว สมควรแล้วเพราะเราเชื่อก่อนแล้วนี่ ท่านได้เล่าให้ฟังแล้ว พอมรณภาพแล้วทราบมาปีหลัง ๆ นี้ว่า อัฐิของท่านกลายเป็นพระธาตุเรียบร้อยแล้ว ตายใจ เพราะเราเชื่อท่านตั้งแต่ท่านยังไม่ตายว่างั้นเถอะน่า ท่านเล่าให้ฟังสถานที่ที่เป็น ท่านเล่าให้ฟังหมดเลย คุยกัน

หลวงปู่ขาวก็เหมือนกัน ที่ชัดเจนก็หลวงปู่ขาว หลวงปู่พรหมนี่แหละ พ่อแม่ครูจารย์มั่น ที่เราได้ฟังต่อปากต่อคำจริง ๆ หลวงปู่ตื้อเราไม่ได้ฟังจากท่าน แต่ก็เชื่อแน่ไว้แล้วจากคำบอกเล่าอะไร ๆ กับหลวงปู่แหวน นี่ฟัดกันเลยไม่ใช่ธรรมดา เพราะต่างคนต่างเตรียมใส่กันอยู่ตลอด เหมือนเรากับหลวงปู่ขาว เราก็จ้อจะคอยโอกาสคุยธรรมะโดยเฉพาะกับท่าน ท่านก็จ้อคอยนั่นกับเราเหมือนกัน ต่างคนต่างจ้อใส่กัน ก็พอดีได้เจอกัน นี่ก็ซัดกันสุดเหวี่ยงเหมือนกัน ตั้งแต่ ๒ ทุ่มถึง ๖ ทุ่ม หลวงปู่ขาว ส่วนหลวงปู่พรหมนี้ได้พูดกันอยู่ที่บ้านนามน อันนี้ท่านก็เล่าให้ฟัง ชัดเจนมากนี่ก็ดี

สำหรับหลวงปู่แหวน โอ๊ย เอากันจริง ๆ นั่นแหละ ไปทีไรคนนี้แน่นที่วัดท่านน่ะ เข้าไม่ได้ เปรตผีมันเฝ้าอยู่นั่น เราเข้าไปทีไรเขาก็รุมเลย เพราะเราไปนี้ร้อยเปอร์เซ็นต์ต้องได้เข้า แต่เปรตผีมันไม่มาใกล้มันกลัวหน้าผากแตก มันไม่มาใกล้แหละถ้าเราไปที่นั่น ไปทีไรก็พวกญาติโยมรุม ไม่มีเวลาจะคุยกับท่านเลย เอ๊ จะทำยังไงน้า เลยหาอุบายใหม่ หาอุบายได้เรียบร้อย คราวหลังนี้ไป เอาให้ได้คราวนี้ ไปจริง ๆ เต็มอยู่แล้ว พวกรถบัสรถแบ้ด อู๋ย เต็มไปหมดเลย เข้าไม่ได้

พอเราไปเขาก็รุมมาเลย มาเราก็ชี้แจงให้ทราบ คนรุมเราคนเดียว นี่ฟังนะ จะพูดให้ฟังเสียก่อน คือนี้ให้เราไปหาท่านเสียก่อน เวลานี้เราต้องการจะไปกราบท่านโดยเฉพาะ เรียบร้อยแล้วออกมาแล้ว เราจะให้สัญญาณแล้วยังไงก็ต้องได้เข้ากราบท่านทุกคนนั่นแหละ เวลานี้ให้เราเข้าไปเสียก่อน พอออกมาแล้วเราจะให้สัญญาณ แล้วจะได้กราบท่านทั่วหน้ากันวันนี้ไม่สงสัย เขาพอใจเขาก็แตกฮือกลับหมดเลย เราก็เข้า นั่นละเรื่องมัน ต้องหาอุบายอย่างนั้น ไม่อย่างนั้นไม่ได้ พอเข้าก็ซัดกันเลย เราไม่ลืมนี่นะ เพราะเตรียมพร้อมแล้ว มาหลายหนแล้ว

พอเข้าไปก็ปัญหาขึ้นเลย ใส่ปั๊บจุดแรกเข้าตรงนั้นเลย ท่านก็เปรี้ยงออกมา อันนี้เราไม่ลืมนะ ๑๐ นาที พอเราแป๊บเข้าไปนี่ผางออกมาเลยทันที เพราะท่านเต็มอยู่แล้วนี่ว่าไง พอไขก๊อกเท่านั้นพุ่งเลย เราเข้าใจ จุดนี้เข้าใจแล้วหายสงสัย ซัดจุดที่สองเป็นจุดสุดท้าย เอาอย่างเต็มเหนี่ยวเลย พอจุดที่สองนี่ โถ ๔๕ นาที จุดที่สองนี่ ผาง ๆ ผางเรื่อย อู๋ย เสียงท่านนี่ลั่นเหมือนพระทะเลาะกัน ก็มีแต่ท่านกับเรา แล้วพระอุปัฏฐากท่านองค์หนึ่งอยู่นั้น มี ๓ องค์เท่านั้น ท่านออกครั้งที่สอง ก็เราตั้งนาฬิกาไว้ ครั้งแรก ๑๐ นาที เราหายสงสัยแล้ว เราถามเข้าไปเลย จุดนี้หายสงสัยแล้ว

พอจุดที่สองล่ะซี โอ๋ย เปรี้ยง ๆ ไหลตลอดเลยนะ พุ่ง ๆ เหมือนพระทะเลาะกัน นี่ละพลังของธรรมฟังซิ คือถ้าน้ำก็เป็นน้ำสะอาดสุดยอดแล้ว ไม่สมควรแก่การที่จะนำไปชะล้างอะไร ๆ ที่ไหนทั้งนั้นน้ำนี้ ท่านก็เก็บไว้ของท่านตลอดเวลา แต่วันนั้นก็พระขี้ดื้อเข้าไปไขก๊อกล่ะซี เข้าไปก็ผางออกมาเลย โอ๋ย ท่านรื่นเริงบันเทิงมากนะ ทั้งพูดทั้งหัวเราะฮ่ะ ๆ ๆ ท่านพอใจมาก ธรรมท่านเปิดสุดเหวี่ยงเลยวันนั้น ๔๕ นาทีเราไม่ลืม นั่นน่ะฟังซิ ไม่หยุดไม่ถอยเลย เปรี้ยง ๆ ๆ เราก็ฟังเป็นที่พอใจ รื่นเริงทุกอย่าง พอจบลง อ้าว ขึ้นอีกนะ ที่พูดมาทั้งหมดนี้ถ้าผิดพลาดตรงไหน ถ้าเห็นว่าไม่ถูกต้องตรงไหนให้ท่านมหาค้านมา ขึ้นเลยนะ กระผมไม่ค้าน กระผมหาธรรมอย่างนี้ละ เหอ ฟังเสียงหัวเราะฮ่ะ ๆ ๆ

จากนั้นไล่เบี้ยนะ อาจารย์องค์นั้นไปคุยกันแล้วยัง อาจารย์องค์นั้น คือออกชื่อเลยนะ อาจารย์องค์นั้นได้คุยกันแล้วยัง ๆ ไล่ไปหมดเลยบรรดาครูบาอาจารย์องค์สำคัญ ๆ ไล่ไปหมด องค์ไหนที่คุยแล้วก็บอกว่าได้คุยแล้ว องค์ไหนที่ยังไม่ได้คุยกันก็กราบเรียนท่านว่ายังไม่ได้คุย โหย ท่านหัวเราะลั่นเลย ตัวแดงเลยนะ นี่ละพลังของธรรมฟังซิ เพราะมีเครื่องมืออันเดียวกัน ร่างกายนี่เป็นเครื่องมือได้ทั้งฝ่ายกิเลสทั้งฝ่ายธรรม เวลากิเลสครองอยู่ร่างกายก็เป็นเครื่องมือของกิเลส สับยำได้ทุกอย่างนั่นแหละ กิเลสมันพาไปสับยำ ทีนี้พอกิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้ว เครื่องมือนี้ก็เป็นกลาง ๆ ธรรมเป็นเจ้าของ แต่ธรรมเป็นเจ้าของท่านไม่ยึด กิเลสเป็นเจ้าของมันยึดมันถือ อุปาทานอยู่ในนั้นหมด เอาไปใช้ในทางผิดทุกสิ่งทุกอย่าง ใช้ในทางที่ดีมีน้อย ใช้ทางที่ชั่วนี่ตลอดเวลาเครื่องมืออันนี้ ทีนี้พอตัวเสนียดจัญไรมันขาดสะบั้นลงไป ธรรมเป็นเจ้าของท่านไม่ยึด ท่านทำประโยชน์ล้วน ๆ

นี่ละที่ท่านแสดงในวันนั้น ตัวแดงเลยนะ เปรี้ยง ๆ เปรี้ยง ๆ เลย โหย รู้สึกท่านรื่นเริงเอาจริง ๆ นะวันนั้น ก็ดู๋จะมีวันนั้นวันท่านได้เปิดเต็มเหนี่ยว นอกจากนั้นไปใครมาหา ๆ ว่าไม่ได้ประมาทนะ แพล็บมันรู้ทันทีจะว่าไง ควรที่จะพูดหรือไม่พูดหนักเบามากน้อยเพียงไรในธรรมะแง่ต่าง ๆ ท่านจะรู้ของท่านเอง ๆ แต่ธรรมดาท่านไม่พูดไม่ว่าใครแหละ รู้ก็รู้เฉย ๆ เพราะธรรมะไม่ได้อัดอั้นตันใจ อยากคุยอยากโม้นะ มีเหมือนไม่มี สมควรที่จะออกหนักเบามากน้อยจะออกเอง ๆ สมควรที่จะเปิดถังใส่เลย อย่างที่ว่าวันนั้น นั่นท่านเปิดถังเลยนะ ท่านไม่ได้ธรรมดา เปิดถังเทเลยวันนั้น เปิดเลยถ้าควรอย่างนั้นแล้ว

ทีนี้ท่านเพิ่งได้มาเปิดวันนั่นพูดง่าย ๆ เก็บไว้อย่างนั้นแหละ ไม่ควรที่จะแสดงให้แก่ใครฟังก็ไม่ทราบจะแสดงหาอะไร ก็อยู่อย่างนั้นตลอด เวลาเราไปวันนั้นถึงไปกราบเรียนท่าน เปิดอย่างเต็มเหนี่ยว เราเป็นยังไงเราไม่ได้พูดแหละ แต่ท่านจะทราบในปัญหานี่ ปัญหานี้ถ้าไม่รู้ถามไม่ได้ว่างั้นเถอะน่ะ แล้วผู้ไม่รู้ก็ตอบไม่ได้อีกเหมือนกัน ปัญหาเราจะไปหาในคัมภีร์ไม่เจอนะ แต่ในความจริงนั้นอย่างนี้ด้วยกัน นี่เรียกว่าพระไตรปิฎกใน คัมภีร์ใน คัมภีร์นอก พระไตรปิฎกใน พระไตรปิฎกนอก พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ท่านทรงพระไตรปิฎกในไว้เต็มหัวใจท่าน พระไตรปิฎกนอกก็จดจารึกออกไปจากพระไตรปิฎกในนี้ออกไป แล้วคำถามก็บอกแล้วถ้าไม่เข้าใจถามไม่ได้ ถ้าไม่รู้ถามไม่ได้ แล้วไม่รู้ก็ตอบไม่ได้อีก เพราะไม่มีในคัมภีร์ แต่มีในความจริงเต็มสัดเต็มส่วน ใครรู้แล้วพูดปั๊บถึงกันทันทีเลย

ท่านรื่นเริงบันเทิง เราก็หายสงสัยละ เอ้อ เอาละที่นี่พอใจ เพราะเราตั้งหน้าตั้งตาจะไปคุยกับท่านในธรรมะ ให้มันสิ้นสุดในหัวใจเราที่ยังไม่แน่ใจกับท่านเป็นยังไง วันนั้นเปิดทั้งสองเลยเทียว ท่านพอใจ รื่นเริง มีคุยเพียงหนเดียวเท่านั้นละ นอกจากนั้นไม่ได้คุย ปฏิปทาที่ก้าวดำเนินมาของท่านเป็นยังไง ๆ เราก็ไม่ถามไป เพราะไม่มีเวลาจะถาม ถามเฉพาะจุดสำคัญ ผลประโยชน์ที่ได้จากการบำเพ็ญเป็นยังไง ความหมายว่าอย่างนั้น จี้เข้าไปตรงนั้นเลย นี่เชียงใหม่ก็ตั้ง ๕ องค์ของเล่นเหรอ ท่านอาจารย์คำดีนี้อยู่วัดถ้ำผาปู่ อยู่ที่นั่นเลย วัดถ้ำผาปู่ นอกนั้นเราก็ไม่ค่อยทราบแหละ ไม่ค่อยทราบว่าท่านเป็นอยู่ที่ไหน ๆ อย่างท่านสิงห์ทองนี่ก็ไม่ทราบว่าเป็นอยู่ที่ไหน ท่านไม่ได้บอกสถานที่เป็น

สำหรับแม่ชีแก้วนั้นรู้ชัดว่าเป็นอยู่ที่ห้วยทราย อันนี้รู้ชัด เป็นปีที่สองที่เราไปพักที่นั่น ปีแรกท่านก็เป็นบ้าเรื่องความรู้ต่าง ๆ นานา มาอวดเราด้วยนะ เราก็เฉย มาอวด พูดให้มันเต็มยศ มันมาอวดสังฆราช ไอ้หนูตัวนี้ เราอยากว่าอย่างนั้นนะ ไอ้หนูตัวนี้มันมาอวดแมวเหรอ อยากว่าอย่างนั้น มาคุย เริ่มต้นก็คือว่าหลวงปู่มั่นท่านไม่ให้ภาวนา เวลาท่านจะไปท่านสั่งเสีย อย่าภาวนานะ ถ้าหากว่าเป็นผู้ชายเราจะบวชเป็นเณรให้แล้วไปกับเรา แต่นี้มันเป็นผู้หญิงมันลำบากลำบน จะเป็นบ้ากับโลกกับสงสารเขาก็แล้วแต่เถอะ ท่านว่าอย่างนั้นนะเราไม่ลืม จะเป็นบ้ากับโลกกับสงสารเขาก็แล้วแต่เถอะ หลวงพ่อจะไปละ แล้วท่านก็ไป แต่ท่านทิ้งท้ายอันหนึ่งไว้ นี่แกก็เล่า ไปพบกันทีแรกแกเล่า ทิ้งท้ายไว้ว่า ห้ามไม่ให้ภาวนา

เราก็สะดุดจิตกึ๊กเลย พ่อแม่ครูจารย์ห้ามไม่ให้ภาวนา ต้องมีแง่สำคัญ ๆ จนได้แหละ เราจับเอาไว้คอยฟังแกจะค่อยแย็บออกมา แล้วทิ้งท้ายแกก็บอกต่อไปว่า ต่อไปมันจะมีผู้มาสั่งสอนอยู่นั่นแหละ ท่านว่างั้น นี่แกก็เล่าเอาไว้ ต่อไปจะมีผู้มาสั่งสอนอยู่นั่นละ แล้วท่านก็ไป ทีนี้ท่านไปแล้ว แกก็มีครอบครัวเหย้าเรือนอย่างว่าแหละ ที่จะเป็นบ้ากับโลกกับสงสารก็แล้วแต่เถอะ ท่านว่านะ ท่านปล่อยท่านก็ไป ทีนี้ไปอยู่มันอยากภาวนาเป็นกำลัง หนักเข้า ๆ ก็คิดถึงท่านห้ามด้วย ทั้งทางภาวนานี้ก็อยากภาวนาเป็นกำลัง เอ๊ ทำยังไง แกถึงได้ออกมา แต่แกมีแง่หนึ่งว่า ท่านไม่ให้ภาวนา แต่เราอยากภาวนาเป็นกำลัง เอ้า ระวังเอา ว่าอย่างนั้นนะแกนะ แกว่าเราภาวนาแต่ระวังเอา

ทีนี้แกก็เล่าแหละ โถ เรื่องความรู้ความเห็นพวกเปรตพวกผีเทวบุตรเทวดานี้พิสดารมากนะ แกมาเล่าให้ฟัง ความรู้ความเห็นนี้ พอจิตรวมปั๊บมันจะออกรู้ออกเห็นสิ่งต่าง ๆ พวกเปรตพวกผี ว่าพวกเปรตพวกผีเหล่านี้ก็มีกรงขังเหมือนกัน แกเล่าให้ฟังละเอียดลออนะ พวกเปรตพวกผี ผีก็ประเภทต่าง ๆ ผีที่โหดร้ายทารุณจริง ๆ ก็มีเหมือนมนุษย์เรา มนุษย์เราที่โหดร้ายทารุณเขาก็มีเรือนจำมีตะรางกักขังมันไว้ แกว่า ทีนี้พวกเปรตพวกผีที่โหดร้ายจริง ๆ ก็มีกรงขังเอาไว้ มีผู้กำกับรักษา มีนายบังคับ

แกเล่าพิสดารมากนะ แกไปเที่ยวดูพวกเปรตพวกผีดูอะไร เขาก็ชี้แจงให้ฟัง พวกนี้เป็นกรรมอะไร ๆ จึงต้องมาเสวยกรรมอย่างนี้ เขาก็ชี้แจงให้ทราบหมด นั่นเห็นไหม เก่งไหมพิสดารไหม แล้วมาคุยโม้กับเราซิ เราฟัง ทีนี้พอเห็นสมควรแล้ว แกเล่าไปหมดแล้ว ทีนี้ก็ขยับเข้ามาละที่นี่จะเอาละ จะให้แก้ภายใน ทีนี้แกติดเสียมากแล้วนี่ จนกระทั่งถึงลืมไป ลืมว่าเป็นครูเป็นอาจารย์ นี้เลิกพูดเสียทีนะ เพราะเราไม่เคยพูดนี่ พึ่งจะมาพูดวันนี้ ฟังซิเห็นไหม มันอัดอั้นตันใจที่ไหนล่ะ อย่างนั้นแล้ว เมื่อเรื่องสัมผัสจึงเอามาพูด ไม่สัมผัสก็ตายไปด้วยกันอีก

อันนี้เวลาเราจะไปที่นั่นแกก็ทราบไว้ล่วงหน้า พอออกพรรษาแล้ว โอ๋ย ปีนี้พระเณรจะมากทีเดียว คอยดูนะพระเณร มีหัวหน้าใหญ่มา แกบอกหัวหน้าใหญ่มา ดูหัวหน้าใหญ่นี้เหมือนดาวดวงใหญ่ สว่างจ้า ๆ มาลงห้วยทรายเรา นอกนั้นก็ตามกันมาเต็มท้องฟ้า พระจะมาที่นี่ ปีนี้จะมาก คล้ายคลึงกันกับปีหลวงปู่มั่นมาจำพรรษาที่นี่แหละ คอยดูก็แล้วกันแกบอก ในปีนี้มาแหละ คอยดู มีหัวหน้าใหญ่พามา ทีนี้เวลามีครูบาอาจารย์องค์ไหนมาพักที่นั่นก็ไปดูแล้วไปถามแก เป็นยังไงใช่ไหมองค์นี้ ไม่ใช่แกก็บอกไม่ใช่ ๆ เรื่อยมาเลย เพราะพวกทั้งหลายเหล่านั้นคอยฟังที่แกพูด องค์ไหนใช่แกก็จะบอก ความหมายว่าอย่างนั้น องค์นี้มาใช่ไหม ไม่ใช่แล้วก็ไม่ใช่

พอวาระสุดท้ายเราไปที่นั่น พอเราไปที่นั่นออกมา มาเห็น เราพูดให้มันเต็มศัพท์เลย แกก็ตายไปแล้วมีได้มีเสียอะไร เราก็เป็นอย่างนี้อยู่ แล้วมีได้มีเสียอะไรกับสามโลกธาตุนี้ว่างั้นเถอะน่ะ เพราะฉะนั้นถึงเปิดเรื่องเพื่อจะเป็นคติตัวอย่างแก่พี่น้องทั้งหลายได้ฟัง เราไม่ได้พูดแบบโลก ๆ สกปรก เราพูดแบบธรรมให้เป็นคติตัวอย่าง ทีนี้พอไปเห็นแล้ว อู๊ย แกพูดตรง ๆ อย่างนี้นะ ทั้งจะปวดขี้ทั้งจะปวดเยี่ยว หากไม่ออก แกว่า พอมองเห็นแล้วมันกระเทือนใจเอาอย่างหนักเลย พอไปเจอเข้าเท่านั้น ทั้งปวดขี้ ทั้งปวดเยี่ยว ปวดหนักปวดเบา ภาษาย่อม ๆ ภาษาเต็มเม็ดเต็มหน่วยก็ทั้งปวดขี้ปวดเยี่ยว แต่ไม่ออก พอกลับมา เป็นองค์นี้

นี่ละที่นี่เห็นแล้วที่นี่ คอยฟังนะท่านจะสอนเราไหม แต่องค์นี้แน่ ๆ แล้ว หายสงสัยแล้ว แล้วคอยฟังท่านจะสอนเราไหม คอยฟังท่านจะสอนเราหรือไม่สอน แต่องค์นี้ร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว ทีนี้ก็คอยฟัง ครั้นเวลามาถึงวาระแล้ว แกก็เอาเทวบุตรเทวดามาอวดเราล่ะซี เราก็ไม่ได้สอนแก มีแต่แกสอนเราล่ะซี พอแกสอนเราเต็มเหนี่ยวแล้ว เหมือนว่าเรารู้ตามแกแล้วละ ทีนี้ยอมรับละ ทีนี้ไล่เข้ามาล่ะซี ไล่เข้ามาหาจุดสำคัญ ๆ แกไม่ยอมเข้ามันติด เห็นไหมล่ะ ติด

ทีนี้ก็เน้นหนัก ๆ เข้า ตีเข้า ๆ เพราะการรู้การเห็นสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่เป็นเรื่องแก้กิเลส เรื่องแก้กิเลสเป็นเรื่องภายใน สติปัญญาฆ่ากิเลสภายในใจต่างหาก อันนั้นเป็นสิ่งที่รู้ที่เห็นตามสิ่งทั้งหลายที่มีอยู่เท่านั้นเอง เหมือนเราเดินถนนหนทางไปตามทาง มีอะไรเราก็เห็นไปตามเรื่อง ๆ ไม่ใช่เรื่องแก้กิเลส เป็นเรื่องเห็นเรื่องได้ยินธรรมดา อันนี้พวกเทวบุตรเทวดาอินทร์พรหมอะไร ๆ ก็ตาม เป็นเรื่องรู้เรื่องเห็นทางวิถีจิตมันรู้มันเห็นของมัน ไม่ใช่เรื่องแก้กิเลส ทีนี้เราก็ค่อยตีเข้ามา ๆ ย่นลงจนกระทั่งถึงวาระสุดท้าย ทีแรกอนุโลม ให้เข้าก็ได้ ไม่ให้เข้าก็ได้ เอ้า ได้ไหม เอาไปปฏิบัติ แล้วได้ผลยังไงค่อยมาบอก แกก็บอกยังเข้าไม่ได้

ตีเข้าเรื่อย จนกระทั่งถึงห้ามเด็ดขาดเลย บอกไม่ให้ออกเป็นอันขาด ลงแล้วให้อยู่ที่นั่น แล้วเมื่อถอยออกมาแล้วมีอะไรค่อยพูดกันอีก เราจะคอยฟังวาระนี้ก่อน ไล่เข้ามาไม่ให้ออก คือออก พอรวมปั๊บมันจะออกรู้ตามนิสัยที่เป็นนะ ทีนี้เราห้ามไม่ให้ออก ไม่ให้ออกโดยประการทั้งปวง เวลาเด็ดขาดนะห้ามอย่างเด็ดขาดเลย ห้ามไม่ให้ออก เอ้า ไป คราวนี้เด็ดแล้วนะ เอ้า ไป ก็ไปอีก ไปแล้วกลับมาเป็นยังไง เข้าได้ไหม ห้ามไม่ให้ออกได้ไหม ยังออก ยังไม่ได้ ทีนี้ก็ขนาบใหญ่เลย ไล่ลงภูเขา นั่นเห็นไหมบทเด็ดขาด ที่นี่ท่านจะสอนเราหรือไม่ก็พิจารณาซิคราวนี้ ไล่ลงภูเขาจนร้องไห้ลงภูเขา

เพราะที่เราอยู่จำพรรษาอยู่กับเณร พวกพระทั้งหลายอยู่ตีนภูเขานู้น เราขึ้นไปจำพรรษาบนภูเขา บ้านเขาอยู่ทางด้านโน้น ตามธรรมดาวันพระเขาจะยกขบวนมา ประมาณบ่าย ๔ โมงเขามา จวน ๖ โมงเย็นเขาก็ลงไป วันนั้นพอสั่งเสียกันอย่างเด็ดขาดแล้วแกก็ลงไป แล้วขึ้นมาอีกยังเข้าไม่ได้ ยังออกอยู่ แล้วไล่ลงภูเขาเลย ขนาบเอาอย่างจริง ๆ คราวนี้จะเอาอย่างเด็ด จนกระทั่งร้องไห้ลงภูเขา เราเฉยเลย ไป สถานที่นี่ไม่มีบัณฑิตนักปราชญ์ มีแต่คนพาลสันดานหยาบ ๆ เซ่อ ๆ ซ่า ๆ ใครเป็นจอมปราชญ์ฉลาดแหลมคมก็ไปตามทางของนักปราชญ์ เราจะอยู่ตามทางของความโง่เรา แล้วก็ไล่ ร้องไห้ลงไป เราเฉยเลยคราวนี้

นั่นละแกไปได้สติ เห็นไหมล่ะ พอลงไป อ๋าว หมดที่พึ่งแล้วที่นี่ เราก็ปลงจิตปลงใจหวังฝากเป็นฝากตายกับท่าน ทีนี้ถูกท่านไล่ลงภูเขา หมดที่พึ่งแล้วที่นี่ เมื่อคนเราไม่มีทางไปมันก็ต้องหาทางออกซี อ้าว ที่ท่านไล่ลงภูเขาเป็นเพราะเหตุไร เป็นเพราะเราไม่เชื่อท่าน มันผิดเราไม่ใช่ผิดท่าน ถ้าหากว่าถือเป็นครูเป็นอาจารย์จริง ๆ ท่านสอนอย่างนั้นก็ต้องฟังบ้างซิ เรื่องของเราทั้งหลายที่เป็นมานี้ท่านห้ามไม่ให้ออกรู้ แต่ก่อนท่านก็ไม่ได้ห้าม ระยะนี้ท่านห้ามไม่ให้ออก ท่านจะให้เข้านี้อย่างเดียว ทีนี้เราไม่ปฏิบัติตามท่าน ท่านไล่ลงภูเขาก็สมควรแล้ว ตำหนิเจ้าของนะ จะไปตำหนิท่านไม่ได้เพราะไม่ปฏิบัติตามท่าน ถ้าถือเป็นครูเป็นอาจารย์ต้องปฏิบัติตามครูซิ

แกจึงได้วกกลับมา เอ้า ที่ท่านว่าให้ลงอย่างนี้ เราก็มีแต่ไม่ลงมีแต่ดื้อท่าน เอ้า ๆ คราวนี้ลงซิ ครูบาอาจารย์องค์นี้เราก็ถือเป็นครูบาอาจารย์แล้ว ท่านจะพาล่มจมที่ไหนให้รู้ เลยปล่อยหมดเรื่องทั้งหลาย จิตลงปึ๋งเลย พอลงเท่านั้นมันก็จ้าขึ้นมา ได้ ๔ วันเราไม่ลืมนะ นั่นละหมดที่พึ่งแล้วไม่มีที่ไปแล้วที่นี่ หาทางออก จึงได้มายึดเราเข้าไปสอนตัวเอง เอ้า ท่านว่าอย่างนั้นก็พิจารณาตามท่านซิ มันจะเป็นยังไงก็ให้รู้ พอพิจารณาตามนั้นมันก็ลงผึงแล้วจ้าขึ้นมาเลย โห ที่ไม่เคยรู้เคยเห็น เป็นขึ้นมาทุกแบบทุกฉบับ ลง

พอออกจากสมาธิแล้วกราบไปภูเขา ว่าอย่างนั้นนะแกพูดเอง กราบไปภูเขา ยอมแล้วที่นี่ยอมแล้ว ได้ ๔ วันขึ้นไป พอโผล่ขึ้นไป มาอะไร ขนาบอีกนะ เรากำลังปัดกวาดอยู่นี่ตอนบ่าย ๔ โมง มาอะไรนี่น่ะ แกว่า เดี๋ยว ๆ ให้พูดเสียก่อน ๆ มันพูดอะไรน่ะ ไม้ตาดก็ยังจับอยู่ ยืนคุยอยู่นั้นละ แกก็เล่า สุดท้ายไม้ตาดก็เลยวางที่นั่น แล้วเณรก็มานั่งด้วยกัน พวกนี้ก็นั่งรุม เลยเล่าให้ฟัง นี่ละเรื่องราวมันนะ พอเล่าให้ฟังเราก็ยอมรับ แล้วอธิบายต่อไปอีก โอ๊ย ยอมรับเร็วนะ

ครั้งที่สองนี่พอว่าอย่างนั้นตามเลยนะ ทีนี้ลงหมด อันนอกทิ้งหมดเลย พอได้จุดนี้แล้ว อธิบายครั้งที่สองนี้ลงทันที รับทันที ๆ จากนั้นปัญญาของแกก็ก้าวเลย ไม่นานนะ นี่เป็นปีที่สอง ผ่านได้ เวลาแกผ่านได้แกก็ไปบอก เอ้อ ทีนี้ผ่านได้หมดโดยสิ้นเชิงแล้วหายสงสัย ชัดเจนว่าอยู่ห้วยทราย คนนี้ชัดเจนว่าอยู่ห้วยทราย อัฐิของแกก็กลายเป็นพระธาตุแล้ว

นี่เราพูดให้ฟังถึงเรื่องทั้งปวดหนักปวดเบา เจอแล้วเป็นยังไง ทั้งปวดหนักปวดเบามา องค์นี้ใช่ไหม องค์นี้แหละใช่แล้ว แต่ท่านจะสอนเราหรือไม่คอยฟังไป นี่เราพูดถึงผู้นี้ว่าอยู่ห้วยทราย ที่เป็นของแกอยู่ห้วยทราย

โธ่ เรื่องจิตนี่ไม่รู้สอนไม่ได้นะ ใครอย่าเอามาอวดนะ จิตตภาวนานี้ไม่ได้ฟังใครนะ จะฟังเสียงแต่ครูอาจารย์ผู้ที่ผ่านไปแล้ว ๆ ท่านจะสอนให้แน่วเลย ขัดนิดหนึ่งไม่ได้ ทีนี้แกเข้าใจว่าแกรู้ของแก ก็เถียงใหญ่ สุดท้ายแกก็ไม่ยอมลง ไม่ยอมลงก็ต้องไล่ลงภูเขา ร้องไห้ลงไปก็ตาม น้ำตานี้ไม่มีคุณค่าไม่มีราคาอะไร ธรรมเหนือนี้ ธรรมที่เราสอนนี้เหนือนี้เป็นไหน ๆ น้ำตาเป็นประโยชน์อะไร เพราะฉะนั้นเราจึงเฉย

แกร้องไห้ลงภูเขา โอ๊ย เราสงสารนะ แต่เราไม่สนใจ เพราะคุณค่าของธรรมที่แกจะได้รับจากเราเมื่อลงตัวแล้วจะเหลือล้นพ้นประมาณขนาดไหน เพราะฉะนั้นน้ำตานี้จึงไม่มีคุณค่า ไล่ลงเลย ขึ้นมาคราวหลังนี้ขนาบใหญ่อีก เดี๋ยว ๆ ให้พูดเสียก่อน เรายังไม่ลืมนะ เดี๋ยว ๆ ให้พูดเสียก่อน ๆ พูดยังไงพูดมาซีจอมปราชญ์ใหญ่ เราว่าอย่างนั้น โอ๊ย แกยิ่งหมอบใหญ่ เราเรียกว่าจอมปราชญ์ใหญ่ นั่นละลง มันไม่ได้ฟังใครนะจิต

ก็อย่างเรากับพ่อแม่ครูจารย์ เถียงท่านตาดำตาแดง คือเถียงไม่ได้เถียงด้วยอวดรู้อวดฉลาดนะ คือเรามันไม่ลงจุดไหนมันก็ซัดกันอยู่จุดนั้น เมื่อตรงไหนที่ถูกต้องยอมรับท่าน หมอบเลย ๆ ก็เป็นอย่างนั้น เรื่องการสอนทางด้านจิตตภาวนา อย่าเอาคัมภีร์มาสอนว่างั้นเลย ต้องเอาคัมภีร์ในสอนกัน อันนั้นสอนสุ่มสี่สุ่มห้า ผู้เรียนมาก็ไม่ได้หลักได้เกณฑ์ สอนก็จะเอาหลักเอาเกณฑ์มาจากไหน แต่ผู้ปฏิบัติได้หลักเกณฑ์จริง ๆ ผิดถูกประการใด ผิดถูกอยู่ในหลักเกณฑ์ของผู้ปฏิบัติ แก้ก็แก้กันอยู่ในหลักเกณฑ์ มันก็พุ่ง ๆ ล่ะซี เป็นอย่างนั้นนะ

วันนี้พูดเรื่องอะไรไปทางนี้ ก็ดีอย่างหนึ่ง เป็นคติทางหนึ่ง นี่เราพูดเรื่องจิตตภาวนาให้พากันพิจารณา ให้สนใจทางด้านจิตใจนะ เวลานี้ชาติไทยของเรานี้เป็นชาติชาวพุทธโดยแท้ แต่เหลวไหลจริง ๆ เราดูเปิดให้ชัด ๆ อย่างนี้ มันจ้าอยู่นี้ตลอดเวลาจะว่าไง นอกจากไม่พูดเฉย ๆ เพราะบอกแล้วว่า ธรรมไม่ได้อัดอั้นตันใจ ไม่อยากพูดอยากคุย แล้วแต่เหตุการณ์ที่ควรจะพูดก็พูด ไม่ควรจะพูดก็เหมือนไม่มี นี่ก็เหมือนไม่มีมานานแล้วนะ รู้เต็มหัวใจ แล้วครั้นสุดท้ายมาก็มาลงที่ว่าเจ้าของจวนจะตายแล้ว จึงต้องเปิดธรรมออก แล้วเหมาะกับเวลาที่เราช่วยชาติด้วย ธรรมะประเภทเหล่านี้จึงออกได้เรื่อย ๆ

ถ้าหากว่าเราไม่ได้มาสอนนี้แล้วตายไปด้วยกันเลย ธรรมะที่พี่น้องทั้งหลายฟังเหล่านี้ จะไม่ได้ยินจากเราเลย จะไปด้วยกัน จะได้ยินเฉพาะพระที่ตั้งใจปฏิบัติ จากเทปของเราที่เทศน์สอนพระเท่านั้น นอกนั้นไม่มี แต่นี้เปิดออกหมดเลย แกงหม้อใหญ่ หม้อเล็ก หม้อจิ๋ว ทะลุปรุโปร่งไปหมด ไม่มีอัดมีอั้นการสอนโลกว่างั้นเลย เพราะธรรมธาตุอันนี้มันเหนือโลกทุกอย่างแล้ว จะมาติดโลกอะไร ตัวโลกมันเท่ากำปั้นนี่ กับธรรมะครอบโลกธาตุ จะมาอัดอั้นตันใจกลัวติดกลัวคาไปที่ไหนไม่มีว่างั้นเลย ขอแต่ผู้ที่จะมารับประโยชน์ได้มากน้อยเพียงไร เอ้า เปิดออกมา มันจะออกรับกันทันที ๆ ควรจะฉุดลากปึ๋งก็ทันทีเลย

ธรรมะนี้ไม่ได้บอกนะ ควรจะออกหนักเบามากน้อยหากเป็นพอเหมาะพอดี ควรจะออกหนักเบาขนาดไหนนี้ พอเต็มที่นี้พุ่งทันทีเลย เหมือนหลวงปู่แหวนเปิดถังน้ำนั่นแหละ ไม่ได้ไขก๊อกนะ เปิดถังเลย หลวงปู่แหวนเปิดถังน้ำจ้ากทันที คว่ำถังเลย อันนี้มันควรจะคว่ำถังก็ให้เห็นสักทีวะ หลวงตาบัวมีน้ำในถังบ้างไหม ที่พี่น้องทั้งหลายมาคว่ำ หรือคว่ำแต่ถังเปล่า ๆ ให้มันรู้ เอามาวัดกันซิ มีแต่พูดคนเดียว ๆ มีอย่างเหรอ เราพูดขนาดนั้นนะ เราไม่เคยสะทกสะท้านอะไรในสามแดนโลกธาตุนี้ ฟังซิ พี่น้องทั้งหลายฟัง ความรู้นี้เราเคยรู้เมื่อไรตั้งแต่ก่อน มันก็มารู้มาเห็นมาเป็น จ้าขึ้นมาแล้วมันไม่มีคำว่าสะทกสะท้าน มันประจักษ์ทุกสิ่งทุกอย่าง จะไปถามใคร

พูดแล้ว สาธุ ว่างั้นเลย พระพุทธเจ้าประทับอยู่ข้างหน้าก็ไม่ทูลถาม ก็มันอันเดียวกัน เห็นอย่างเดียวกัน ถามกันหาอะไร นี่ละ สนฺทิฏฺฐิโก รู้เองเห็นเองประกาศป้างขึ้นมาเลย เราจึงเริ่มเปิดให้พี่น้องชาวไทยเรา จะพอมีนิสัยปัจจัยอยู่บ้างหรือไม่ หรือยังไง หรือจะหัวหดอยู่เหมือนหัวเต่าเหรอ สอนเต็มอรรถเต็มภูมิ ยังจะมาหาเรื่องหลวงตาบัวคุย หลวงตาบัวโอ้อวดเหรอ นั่นละหมาในถังเข้าใจไหม มันเห่าธรรม ท่านคุยท่านโม้ท่านโอ้ท่านอวด นั่นหมาในถังมันเห่า ผลประโยชน์ที่จะได้จากธรรมไม่สนใจเข้าใจไหม นี่ละพวกหมาในถัง ลงจากถังนี้แล้วก็ไปกินขี้ในถานเท่านั้นเอง จากถังก็ลงถาน จากถานก็ฟาดขี้เท่านั้น มันไม่มีอรรถมีธรรมเป็นเครื่องกิน มันก็ฟาดขี้ในถาน

พวกเรานี่พวกถังขยะ พวกขี้ในถาน ฟังนะ ถ้าจะให้เป็นประโยชน์ให้เอานะ นี้แทบเป็นแทบตายจนถึงขั้นจะสลบไสล เราก็บอก เราไม่เคยสลบก็บอกไม่สลบ แต่เฉียดสลบตลอดมา เราไม่เคยได้มีความสะดวกสบาย บวชในศาสนาภาคปฏิบัติเป็นภาคที่หนึ่งที่เป็นทุกข์มากแสนสาหัส ไม่เคยคาดเคยฝันมันหากเป็นของมันเอง ขึ้นเวทีแล้วมันต่อยเอง เหมือนนักมวยขึ้นเวที อันนี้ก็เหมือนกัน ระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกันบนเวทีคือหัวใจเรานี้ ไม่มียับมียั้ง จะเป็นจะตายไม่ว่า

ก็คิดดูซิไปบางแห่งเขาตีเกราะประชุม เขาว่าเราตายแล้ว ไปที่อื่นมันก็เป็นเหมือนกัน แต่เขาไม่ตีเกราะเราก็บอกไม่ตีเกราะ ที่นั่นเขาตีเกราะ ให้ไปดูพระองค์นี้มาอยู่กับเรานานสักเท่าไรไม่เคยฉันจังหัน หายเงียบ ๆ ไม่ทราบกี่วันถึงด้อม ๆ มาบิณฑบาตสักวันนึง หายเงียบ ๆ ท่านไม่ตายแล้วเหรอ เขาว่างั้น ผู้ใหญ่บ้านกับลูกบ้านประชุมกัน พวกเรากินวันละสามมื้อสี่มื้อยังทะเลาะกัน นี้กี่วันท่านจึงมา ท่านไม่ตายแล้วเหรอ นี่ก็หายไปหลายวันแล้วนะ ท่านไม่ตายแล้วเหรอ นั่นเห็นไหม หนักไหม แต่ไม่สลบเราก็บอกไม่สลบ เฉียด ๆ ไปตลอดเลย นี่ละการปฏิบัติธรรมถึงขนาดนี้

เวลาได้-ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ได้เป็นที่ภูมิใจ การปฏิบัติแทบเป็นแทบตาย เอาชีวิตเข้าแลกของเรานี้มีคุณค่า เป็นปุ๋ยหนุนธรรมธาตุนั้นให้ขึ้นเด่นดวงภายในหัวใจเรา เราจึงพอใจ เรื่องการกระทำของเราหนักขนาดไหน ผลเวลาแสดงขึ้นมาเป็นอย่างนั้น เป็นที่พอใจ เหตุหนัก ผลก็หนักเต็มที่ สมดุลกัน นี่ละเราจึงได้มาสอนโลก เราเอาธรรมประเภทรอดตายนะมาสอน ไม่ได้มาสอนโอ้ ๆ อวด ๆ พวกนี้ยังจะมาเห่าถังขยะอยู่เหรอ ธรรมไม่ยอมฟังเสียงเป็นยังไงกัน

มันจะไม่มีบาปมีบุญแล้วนะชาติไทยของเราเวลานี้ กิเลสเอาไปกลืนเข้าในส้วมในถานหมด มันไม่ให้มองเห็นเมฆเห็นหมอก มองเมฆมองหมอกสู้ขี้ในถานไม่ได้ มันขยี้ขยำกับความโลภ ราคะตัณหา ความร่ำความรวย ความมั่งมีดีเด่น มีชื่อมีเสียงโด่งดัง นี้พวกถังขยะทั้งนั้น พวกนี้คลุกเคล้ากันอยู่กับนี้ไม่มองอรรถมองธรรมนะ เวลานี้ชาวพุทธเรานี้จะไม่มีบาปมีบุญแล้วนะ เพราะฉะนั้นมันทำต่อกันในประเทศชาติของเราจึงปู้ยี้ปู้ยำแหลกเหลวไปหมด ไม่มีบาปมีบุญนั่นเองมันจึงไม่มีหิริโอตตัปปะ ความสะดุ้งกลัวต่อความผิดพลาดของตัวเอง ยังจะเอา ๆ ยังจะกินยังจะกลืนตลอดไปเวลานี้

นี่ละพวกหมาเข้าถานมันไม่มีอิ่มพอส้วมถานนะ หมาลงได้เข้าถานแล้วมันไม่อิ่มพอ จับหางดึงออกมานี้หางขาด มันยังเดี๋ยวถานยังไม่หมด ยังขยับใส่ถานอยู่อีก หางขาดมันไม่สนใจ อันนี้ยังขยับใส่ความโลภ ขยับใส่ราคะตัณหา แล้วไม่สมใจ โกรธแค้นฆ่ากันฟันกัน ทำลายกัน นี่คือตัวมูตรตัวคูถ มันขยับ จับหางมันดึง อย่ายุ่งมันว่างั้น ไปจับหางดึงไม่ได้ หางขาดมันไม่สนใจ เห็นไหมหางไม่มีคุณค่ายิ่งกว่ามูตรกว่าคูถในส้วมในถาน อรรถธรรมทั้งหลายไม่มีคุณค่ายิ่งกว่าความโลภ ความเห็นแก่ได้แก่ร่ำแก่รวย ความตะกละตะกลาม นี้เต็มเหนี่ยวแล้วเวลานี้

หมดแล้วนะชาติไทยของเรา ไม่มีบาปมีบุญแล้วนะในหัวใจของโลก มีแต่ส้วมแต่ถาน ได้แก่ ความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา ซึ่งเป็นตัวฟืนตัวไฟเผาไหม้ตลอดเวลาอยู่ในหัวใจ มีแต่ลมหายใจฝอด ๆ เขายกยอว่า คนนี้เขาเป็นเจ้าเป็นนายเป็นผู้สูงนะ เขาเป็นผู้สูงศักดิ์นะ เขาเป็นคนมั่งมี แล้วเป็นบ้า เป็นบ้ายังไง ภูมิใจ เขายอเท่านั้น ประสาลมปาก เจ้าของไฟเผาอยู่ในหัวใจ ตายแล้วใครไปรับรอง ลมปากเขาไม่รับรองนะ บาปบุญต่างหากที่จะยืนยันรับรองภายในหัวใจของผู้ทำดีทำชั่ว มีเท่านั้น ให้พากันระมัดระวังทุกคน

ใจดวงนี้ละเป็นผู้ที่จะไปตกนรก ไปสวรรค์ พรหมโลก หรือไปนิพพาน ไม่มีอะไรไป ไปใจดวงนี้ดวงเท่านั้น ให้ฟังเสียงอรรถเสียงธรรมที่จะเข้าฉุดลากใจดวงนี้ออกจากนรกอเวจีทั้งเป็นของเรา ซึ่งเต็มไปด้วยความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา นี้คือไฟ ให้พากันจำเอานะ เอาละเทศน์เพียงเท่านี้ นี่ ๓ โมงกว่าแล้ว ให้พร

ลูกศิษย์: ขอถามข้อหนึ่งเจ้าคะ

หลวงตา: เป็นบ้าหรือถามอะไร สอนให้เป็นคนดี..

ลูกศิษย์: คือข้าน้อยอ่านมานะค่ะว่า องค์ประกอบของการบรรลุธรรมนี่ จะมี ๔ ข้อ คือ ๑.ความสามารถของอาจารย์ ๒.ความเพียรของผู้ปฏิบัติ ๓.ความมุ่งมั่น ๔.สิ่งแวดล้อม ถ้าตัดสองข้อท้ายออกเหลือความสามารถของอาจารย์กับความเพียรของผู้ปฏิบัติ ถ้าคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ อันไหนมีเปอร์เซ็นต์สูงกว่ากันเจ้าคะ ความสามารถของอาจารย์จะกี่เปอร์เซ็นต์

หลวงตา: เตรียมจะตอบแล้ว ๆ หือ ๑. หมอน ๒. เสื่อ (เสียงหัวเราะ) อันนี้เปอร์เซ็นต์สูงมาก (เสียงหัวเราะ) เอาเท่านั้นแหละๆ ไม่เอามาก หนึ่งหมอน สองเสื่อ นี้เปอร์เซ็นต์สูงมาก ตอบแล้ว

ประกอบประแกบอะไร ท่านไม่เห็นไปหาอะไรมาประกอบ ฟาดมันให้กิเลสพังลงแล้วประกอบหาอะไร ประกอบกับองค์ไหนๆ เข้าใจไหม มีองค์นั้นองค์นี้ไปหาบรรยายบ้ามันไปอย่างนั้นแหละ ฟาดลงไป กิเลสมันไม่เห็นมีองค์ประกอบวะ มีแต่หงายหมาๆ ไป เห็นไหมละ หือ เอาละ

ลูกศิษย์: ที่พ่อแม่ครูอาจารย์บอกว่า ไม่ทราบว่าท่านอาจารย์สิงห์ทองหมดกิเลสตอนไหน แต่ตอนที่พ่อแม่ครูอาจารย์ซักท่านอาจารย์สิงห์ทองว่า ไม่รู้มันหายไปไหนหมด กิเลส ตอนนั้น

หลวงตา: ก็หาย ท่านก็ไม่ได้บอกว่า หายเวลาเท่านั้นเวลาเท่านี้นั่นซี เข้าใจไหม องค์ท่านเองก็ไม่รู้ว่ามันหายเมื่อไร มันหมดไป ๆๆ หมดไปเฉย ๆ เลยไม่รู้กาลเวล่ำเวลา แต่ทีนี้มันก็ไม่มีอะไรมาเป็นอุปสรรค เพราะคำว่า อรหันต์ ๆ อรหันต์ ๔ ใช่ไหม นั่น สุกฺขวิปสฺสโก รู้อย่างสุขอย่างสงบเย็น มันหมดไปเรื่อยๆ อย่างนั้นก็มี จากนั้นก็เป็นขณะๆ ไป เตวิชฺโช จตุปฏิสมฺภิทปฺปตฺโต เวลาเกิดขึ้นแล้วเป็นประเภทนี้ ๆ ส่วนสุกฺขวิปสฺสโก นั้นไปแบบเรียบๆ อันนั้นหมดไปเลยๆ เข้าใจไหม ความรู้เห็นอย่างสงบเงียบ อย่างสุขสบายว่างั้นเถอะ สุกฺขวิปสฺสโก คืออย่างสงบเงียบไปเลย ไม่กระทบกระเทือน ไม่แสดงอะไรๆ ขึ้นมา เข้าใจ? เพราะฉะนั้นท่านถึงไม่รู้ ไม่ทราบว่ามันหมดเมื่อไร

ลูกศิษย์: ตอนนั้นเคยกราบเรียนถามพ่อแม่ครูอาจารย์ๆ ก็เล่าถึงปี ๒,๕๐๐ ที่ดูเหมือนจะแก้ให้ท่านอาจารย์สิงห์ทอง ที่เมืองจันทบุรีค่ะ ที่พ่อแม่ครูอาจารย์เล่าว่า

หลวงตา: หือ อันนั้นมันตั้งแต่โน้น อันนั้นนะ ๒,๕๐๐ แล้วอย่างนั้นนะ ท่านมาพูดให้เราฟังนี้พูดหลังๆ นี่นา ท่านไปอยู่วัดป่าแก้วแล้ว แต่ก่อนท่านมาอยู่กับเรา ทีนี้โยมแม่ท่านมา เราก็ว่าจะเป็นการลำบากลำบนเกี่ยวกับโยมแม่ เลยพอดีกับทางบ้านชุมพล เขามานิมนต์ท่านไปอยู่นั้น ก็เหมาะสมแล้วท่านสิงห์ทองไปอยู่โน้นเสีย พาโยมแม่ไปอยู่โน้นสะดวกสบายดี เราว่างั้น หลังจากนั้นท่านจึงมาเล่าให้เราฟังนั่นซิ ไม่ทราบว่าปีไหน ๆ มาถามอะไร ถามเจ้าของนั่นนะ เป็นบ้านั่น มันโมโหนะนี่ ถามคนนั้นเป็นยังไง คนนี้เป็นยังไง เจ้าของเป็นยังไม่เห็นพูดนี่วะ มันโมโหนะ เดี๋ยวนี้ เฮ้อ ! ชี้ลมชี้แล้ง ให้เราชี้ไปตามเราไม่ชี้นั่นซี เข้าใจไหม นี่ตื่นบ้าตะกี้นี่ พอเราขู่ฟ่อ ตื่นบ้าเลย (หัวเราะ) เอาละ ไป.. เลิก ให้พรแล้วนะ เอ้าให้พรเสียก่อน มันสายแล้วนี่นะ

ตื่นบ้า ตื่นจะสลบ ตะกี้นี้ พอเห็นกิริยาของเราคึกคักอย่างนี้ ทางนั้นล้มแล้ว โอ๊ย ไม่เป็นท่า มวยแบบไหน พอเขากระดิกทางนั้น ทางนั้นล้มแล้ว ใช้ไม่ได้เลย มวยแบบนี้อย่าขึ้นเวที เอาละให้พร มันสายแล้ว มันจะไม่ได้ไปไหนนะ

เปิดดูข้อมูล วันต่อวัน ทันต่อเหตุการณ์ หลวงตาเทศน์ถึงเรื่องอะไร www.luangta.com


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก