(ผู้ฟังเทศน์ประมาณ ๔๐๐ คน)
เมื่อวานนี้ไปน้ำหนาว วันนี้จำไม่ได้เลย มันหดเข้ามาอย่างนี้ละ ไปโรงพยาบาลน้ำหนาวเมื่อวานนี้ ไปถึงโน้นเที่ยง ๘ นาที ออกจากนี้มัน ๙ โมงครึ่ง ไปนี้ก็ไม่ได้พุ่งไปทีเดียว แวะเอานั้นแวะเอานี้อยู่อย่างนั้น นิสัยหลวงตาเหมือนกับพ่อครัวแม่ครัว ไปไหนก็เดี๋ยวเอานั้นเดี๋ยวเอาอันนี้ สุดท้ายเต็มรถ อันนั้นก็ดีอันนี้ก็ดี จะเอาไปให้ทาน ไปแต่ละครั้งรถแน่น ๆ เดี๋ยวไปจอดที่นั่นเดี๋ยวไปจอดที่นี่ ลงซื้ออะไรแล้วก็ อันนี้มันมีกี่เจ้า แบ่งสันปันส่วนซื้อทุกเจ้า ๆ อย่างนั้นนะ นี่ก็สงสารนั่นก็สงสาร ทางที่จะไปให้โน้นก็สงสาร เลยแตกกระจายไปอย่างนั้น เวลาไปไม่ค่อยเร็วแหละ จอดที่นั่นจอดที่นี่ไปเรื่อย ๆ สุดท้ายของเต็มรถแล้วก็ไป
อย่างเมื่อวานนี้ไปน้ำหนาว พอไปถึงชุมแพก็ต้องโทรไปบอกเขา พักเที่ยง เพราะอย่างไรเราก็ไปถึงหลังเที่ยง เป็นตอนที่เขาพักพอดี พอไปถึงชุมแพก็โทรไปบอก พอดีไปเขาก็รออยู่แล้ว พวกนายอำเภอ พวกนายตำรวจ เขาคงจะบอกกันโรงพยาบาล แต่เราเองไม่ได้บอกใคร บอกเฉพาะโรงพยาบาลว่าเราจะมาถึงย่านนั้นย่านที่พักเที่ยง มาก็เต็มอยู่นั่นแล้ว ทั้งนายอำเภอทั้งนายตำรวจ เขาคงจะบอกกันหลังจากทราบโทรศัพท์จากเราแล้ว
โถ พูดจริง ๆ นะเราอัศจรรย์พระพุทธเจ้า อัศจรรย์ไม่จืดไม่จาง อัศจรรย์นี่ก็เป็นเหมือนแบบนิพพานเที่ยงนะ อัศจรรย์ตลอดอนันตกาล ไม่มีลดมีหย่อนมีสูงมีต่ำ เที่ยงตรงเลย อัศจรรย์พระพุทธเจ้า เลยย้อนไปทุกพระองค์ อัศจรรย์แบบเดียวกันหมด อัศจรรย์ยังไง ธรรมที่ท่านทรงครองอยู่นั้น สามแดนโลกธาตุนี้ไม่มีใครครองได้เลย ท่านครองได้ แล้วนำอันนั้นมาสั่งสอนสัตว์โลก โลกมันถูกกิเลสลากเอา ๆ ถ้าว่าอันนี้น่าให้ดูนี้ กิเลสมันปิดตาเสีย ให้ฟังอันนี้ ๆ กิเลสมันปิดหูไว้เสีย มันไม่ให้ดูไม่ให้ฟัง อันใดที่จะเป็นทางออกจากอำนาจของมัน มันจะปิดจะกั้นไว้ตลอดเวลา
นี่ที่เราอัศจรรย์พระพุทธเจ้านี้แหม คิดดูซิว่า เหมือนว่าตัวกระเด็นขึ้นเลย พูดให้มันชัด ๆ มันจะตายแล้วนี่ ของจริงเอามาพูดให้พี่น้องทั้งหลาย ทำไมจะไม่มีใครจริง ปลอมกันทั้งประเทศชาติบ้านเมืองนั้นเหรอ ของจริงนี้มาพูดมันไม่ยอมฟังเหรอ ถ้ากิเลสมันมอม ๆ แมม ๆ ตกอยู่ในถานเหมือนหนอนในถาน ไม่ยอมขึ้นนะถ้าลงได้ตกถาน ลากขึ้นมันไม่ยอมขึ้น นี่ถ้าสกปรกโสมมที่จะจมลงไปกองทุกข์ พระพุทธเจ้าลากเข็นขึ้นไปเท่าไรไม่ยอมฟัง นี่ที่ว่าทรงท้อพระทัย ๆ คืออย่างนั้น อำนาจของกิเลสมันหนาแน่นจริง ๆ ถ้าเป็นหลังก็หลังหมีดำ ถ้ามีด่างมีขาวก็ยังมีมอม ๆ แมม ๆ เปื้อน เช่นอย่างผ้าขาว ผ้าขาวนี้ไปถูกอะไรมาสกปรก ถ้าเป็นผ้าดำไม่รู้เลย นี่ถ้าเป็นหลังหมีดำแล้วก็ไม่รู้ พวกเรานี่พวกหลังหมีดำนี่ซิ สอนยังไง ๆ มันก็ไม่ฟังไม่สนใจ ท้อพระทัย
เอ้าเราพูดจริง ๆ ก็มันเป็นจริง ๆ จะให้ทำยังไง นี่ละความอาจหาญในความเป็น พระพุทธเจ้าตรัสรู้องค์เดียวเป็นศาสดาเอกของโลกในไตรโลกธาตุ จะไม่อาจหาญยังไง มันจ้าอยู่อย่างนั้น คนตาบอดหมดทั้งแผ่นดิน เราตาคนเดียวเป็นยังไง มืดไปทั้งหมด กับผู้เห็นคนเดียวจ้า มันต่างกันยังไงบ้าง นี่ละท้อพระทัย คือเห็นคนเดียว พวกนั้นตาบอดไม่รู้จะทำยังไง เราพูดจริง ๆ นะ โถ ตัวเหมือนกระเด็นขึ้นเลย เวลากิเลสกับจิตขาดสะบั้นจากกัน ไม่เคยคาดเคยคิดเคยฝันซิ บทเวลาถึงขั้นมันยังไงเอาไว้ไม่อยู่แล้วว่างั้นเถอะ ขาดสะบั้นลงไปเหมือนว่าตัวนี้กระเด็นขึ้น
เราก็ไม่เคยคาดเคยคิด คาดไม่ถูก ธรรมประเภทนี้คาดไม่ถูก ใครอย่าด้นอย่าเดาว่างั้นเลย เจอเสียทีเดียวเท่านั้นหายสงสัยทันที ไม่ต้องไปทูลถามพระพุทธเจ้าพระองค์ใด ไม่ว่าพระสาวกองค์ใด เพราะอันเดียวกัน พอผางขึ้นไปเท่านั้นกราบพระพุทธเจ้าราบเลย ยังไงก็ลงจุดเดียวกัน หือ พระพุทธเจ้ารู้ได้ยังไง ๆ อย่างนั้นนะ คือธรรมชาตินี้ไม่น่าใครจะไปรู้ได้ อัศจรรย์เลยทุกอย่าง ทั้ง ๆ ที่เราก็ทราบนะว่า พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์นั้นเป็นสยัมภู ท่านประกาศก้องมาตลอดแล้ว คือคำว่าสยัมภู ทรงขวนขวายเองในทางเหตุ ทรงรู้เองเห็นเองในทางผล ไม่ต้องไปศึกษาไต่ถามจากใครเลย ทางของความเป็นศาสดานี้เป็นศาสดาด้วยสยัมภูด้วยกันหมด อย่างนี้ก็ตามนะ มันก็อดไม่ได้
พระพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาได้ยังไง ๆ ฟังซิน่ะ คือไม่มีใครสอนเลย ความหมายว่างั้น แล้วตรัสรู้ปึ๋งขึ้นมาโดยลำพังพระองค์เองทุก ๆ พระองค์ ไอ้เรานี่ท่านสอนแทบเป็นแทบตาย ลากเสื่อลากหมอนออกจากคอยังคว้ามับ ๆ มันเสียดายเสื่อเสียดายหมอนยิ่งกว่ามรรคผลนิพพาน พวกเราเป็นอย่างนั้นนะ นี่มาเทียบถึงเรา ท่านสอนแทบเป็นแทบตาย พระไตรปิฎกมีแต่เพียงย่อม ๆ นะ ที่ว่าพระไตรปิฎกเราอย่าว่ากว้างขวาง นั่นละที่พ่อแม่ครูจารย์ออกแสดงมาในปัญหาที่เราตอบ ธรรมที่มาในพระบาลีเท่ากับน้ำในตุ่มในไหเท่านั้น แต่ที่ไม่ได้มาในพระบาลีนั้น เท่ากับท้องฟ้ามหาสมุทร ฟังซิกว้างไหม นั่นละธรรมที่ออกจากใจ ใจเป็นธรรมหมดแล้วกระจ่างแจ้งไปหมดเลย
พระไตรปิฎกเท่ากำปั้น ก็ยังมากอยู่นะเท่ากำปั้น ถ้าเทียบกับใจกับธรรมที่เป็นอันเดียวกันครอบโลกธาตุนี้แล้ว กับพระไตรปิฎกอันนี้ ให้มันเห็นในหัวใจนั่นซิจะไปสะทกสะท้านต่อใคร พระพุทธเจ้าตรัสรู้ปึ๋งขึ้นมาเป็นศาสดาสอนโลก ไม่ต้องไปถามใครเลยเห็นไหม พระสาวกทั้งหลายก็เหมือนกัน ตรัสรู้ปึ๋งขึ้นมานี้ไม่ต้องทูลถามพระพุทธเจ้า แล้วสอนโลกด้วยตามอำนาจวาสนาของตนทุกองค์ จนกระทั่งนิพพาน ไม่มีคำว่าจะไปถามกัน เพราะของอันเดียวกัน รู้อย่างเดียวกัน เห็นอย่างเดียวกัน แล้วถามกันหาอะไร พูดให้มันยันอย่างนี้เสียมันถึงถึงใจนะ
นี่พูดแบบความถึงใจถึงธรรมนะที่มาพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ถ้าว่ากิเลสละก็ โอ้โห วันนี้โมโหหลวงตาบัวนี่นะ ฉันจังหันมาอิ่ม ๆ ไม่น่าจะโมโห ทำไมคึกคักแล้ว คึกคักอยากตีหัวคน มันตาบอดหูหนวก เราอยากว่าอย่างนี้นะ สอนเท่าไรมันก็ไม่รู้เรื่องรู้ราว มันยังจะจมลงอีก ๆ ลากขึ้นเท่าไรมันก็ไม่อยากฟัง เป็นยังไงมันต่างกันยังไงบ้าง ถึงกับพระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีมาประเภทที่หนึ่ง ๑๖ อสงไขย แสนมหากัป ประเภทที่สอง ๘ อสงไขย แสนมหากัป ประเภทที่สาม ๔ อสงไขย แสนมหากัป นี่จะสั่งสอนโลกทุกข์ทรมานขนาดไหนบำเพ็ญบารมี พอตรัสรู้ปึ๋งขึ้นมาแล้วท้อพระทัย ฟังซิ คิดดูซิเป็นยังไง เลิศขนาดไหนนั้น กับส้วมกับถาน ต่างกันยังไงบ้าง
เราสงสารจริง ๆ นะ เราช่วยโลกก็ช่วยด้วยความสงสารจริง ๆ เพราะฉะนั้นอะไรถึงออกผางเลย เรื่องของธรรมจะไม่ถอยใคร ไม่มีกล้ากับอะไร ไม่มีกลัวกับอะไร เป็นธรรมล้วน ๆ พุ่งเลยถ้าเป็นทางธรรมออก ถ้าไม่ใช่ธรรมยังไงก็ไม่ไป ดึงก็ไม่ไป ถ้าเป็นเรื่องธรรมแล้วขาดสะบั้นไปเลย ไม่มีอะไรมาคัดค้านต้านทานได้เลย นี่เรียกว่าธรรม เรานำโลกนี่ก็เหมือนกัน อันใดที่เป็นทางของอรรถของธรรมแล้วนำมาชี้แจงให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบทั่วถึงกัน ใครจะว่าเราดุเราด่าเราอะไร ๆ เราไม่เคยสนใจ เรื่องนี้เป็นเรื่องของกิเลสในถังขยะ เห่าถังขยะ เห่าฟ้าต่างหาก ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไร มันก็อยู่ในถังขยะแล้วเห่าถังขยะก็ไม่เกิดประโยชน์ เห่าฟ้าก็ไม่เกิดประโยชน์ สุดท้ายมันก็หมดน้ำลายมันเปล่า ๆ สุนัขในถังขยะ เข้าใจไหม
ฟ้าเป็นยังไง ฟ้า ธรรมเป็นยังไง ธรรม ฟังซิ เราจึงไม่สนใจใครจะว่าอะไรก็ตาม สอนด้วยอำนาจความเมตตาทั้งนั้นที่ออกนี่ ไม่ว่าจะหนักจะเบาประเภทใด มีแต่ธรรมความเมตตา เหมือนกับสาดน้ำลงไปจ้าก ๆ ๆ ควรหนัก-หนัก ควรเบา-เบา ชะล้างสิ่งสกปรกโสมมทั้งนั้น ไม่ได้ไปทำลายอะไร ไม่ได้เหมือนน้ำฝนตกบนฟ้าท่วมนาเขา น้ำธรรมไม่ได้ท่วมใคร แต่น้ำฝนมันท่วมได้นะ ฟังเสียงบ่นอ้อแอ้ ๆ ช่วยไปตีปากชาวอุบลให้หน่อยมันบ่น เวลาน้ำสุราท่วมปากไม่เห็นมันบ่นวะ น้ำแม่น้ำที่ไหลมามันบ่นอ้อแอ้ ๆ บอกหลวงตาบอกสั่งไป ว่าหลวงตาสั่งมา สั่งมาว่ายังไง ให้มาตีปากชาวอุบล เพียงน้ำท่วมนาพวกศรีสะเกษ พวกบุรีรัมย์ ร้องก้อกแก้ก ๆ น้ำสุราท่วมปากไม่เห็นพูดสักคำเดียว เพราะฉะนั้นท่านจึงอยากตีปากให้ว่างั้นนะ เข้าใจเหรอ
พูดนี้ออกด้วยความเมตตาจริง ๆ นี้มันจวนจะตายแล้ว เหมือนจวนจะตาย ทั้งเป็นห่วงเป็นใย ทุกสิ่งทุกอย่างห่วงใยมาก ความห่วงใยเมตตาสงสารยิ่งมากขึ้นทุกที ๆ เราไม่ได้โอ้ได้อวด เราสอนนี่เราซัดเต็มภูมิแล้ว จะมีท่านผู้ใดบ้างที่จะมาช่วยสอนอย่างนี้ดึงอย่างนี้ขึ้นมา นี่ซิที่ทำให้คิดข้อหนึ่งเหมือนกัน สอนขนาดนี้ยังไม่รู้เนื้อรู้ตัวจะจมกันหมดนะ เราอย่าท้าทายพระพุทธเจ้านะ สด ๆ ร้อน ๆ เหมือนดินฟ้าอากาศที่มองเห็นอยู่นี่ สด ๆ ร้อน ๆ อยู่นี่ ปฏิเสธได้ไหมสิ่งเหล่านี้มีหรือไม่มี ปฏิเสธได้ไหม
สิ่งใดที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ก็เป็นอย่างนี้มาตั้งกัปตั้งกัลป์ อันนี้มันยังพึ่งเกิดขึ้นมา เช่นไม้นี้มันเกิดมากี่ปีเอามาทำบ้านทำเรือน นรก สวรรค์ นิพพาน เหล่านี้มีมากี่กัปกี่กัลป์นานสักขนาดไหน ปฏิเสธได้ยังไง ไปลบล้างได้ยังไง อย่าอวดนะถ้าไม่อยากจมว่างั้นเลย นี่ที่เราวิตกมาก
เวลานี้บาปไม่มี บุญไม่มีแล้วนะ คือหนาขนาดนั้น แต่ไม่รู้ว่ากรรมครอบหัวมันอยู่นั้น ที่มันสร้างความชั่วช้าลามกครอบลงไป ๆ แล้วปฏิเสธด้วยลมปาก ปฏิเสธลงไปมันไม่มีความหมาย พอลมหายใจขาดแล้วผึงเลยทันที เอ๋า เป็นยังไงที่นี่ เหมือนอย่างพวกนักเลงโต ๆ ท้าทายเรือนจำ ไปกองอยู่ในเรือนจำเห็นไหมนั่น นี่ละพวกท้าทายว่าเขาจะจับไม่ได้ ๆ อวดความรู้ความฉลาดของตัวเองยิ่งกว่ามนุษย์ทั่วโลก แล้วไปกองตายกันอยู่ในเรือนจำเป็นยังไง บางรายเขาก็ฆ่านอกเรือนจำ ถ้ามันสุดวิสัย ควรฆ่าข้างนอกเขาฆ่าเสีย
การฆ่านี้วิชาของการปกครองบ้านเมือง ใครจะมีวิชาสูงยิ่งกว่าเขา การปกครองบ้านเมืองเป็นยังไง โจรผู้ร้ายประเภทนี้ควรจับควรทำยังไง ๆ ประเภทนี้ควรทำยังไง ๆ การปกครองเขารู้หมด ควรจับมาไต่สวนเรื่องราว ๆ หาหลักฐานพยานมาฟ้องร้องกันก็เป็นเรื่องธรรมดา ๆ ถ้าเป็นเรื่องที่จะคอขาดบาดตายต่อชาติบ้านเมืองแล้วเขาเก็บ ๆ ไม่ให้รู้เลย การเก็บเขาไม่ได้บอกว่าเป็นเจ้าหน้าที่เก็บ ให้พากันทราบเสียนะ นี้อยู่ในนี้รู้กันทั้งนั้น ไม่ได้ไปหาเรียนวิชาที่ไหนแหละ นี่ละการปกครองบ้านเมือง
ไม่งั้นไม่ทันกับความชั่วช้าลามกของสัตว์ที่หยาบโลนที่สุดนี้ เขาต้องเก็บอย่างนั้น จับอย่างนั้น ไปที่ไหนควรเก็บ-เก็บเลย ไม่ได้บอกว่าเป็นเจ้าหน้าที่เก็บนะ เป็นคนปลอม ๆ แปลม ๆ มาเก็บ ถ้าเจ้าหน้าที่เก็บมันจะมีเรื่องราวไปอีกยืดยาวว่าเจ้าหน้าที่คนนั้น ๆ เขาปิดอีกตัดอีก ๆ นี่กลอุบายวิธีปกครองบ้านเมืองเข้าใจไหม
เขาทำอย่างนั้น ไม่ใช่ว่าเขาจะเป็นคนโหดร้ายนะ เขาทำเพื่อชาติบ้านเมือง หลักกฎเกณฑ์ก็มีมาดั้งเดิม จะไปตำหนิเขาไม่ได้ ฝ่ายปกครองบ้านเมืองต้องเป็นอย่างนั้น เช่นอย่างตำรวจ คนไหนเป็นยังไง ๆ พวกนี้จะสืบทราบกันหมด สืบทราบอย่างลับ ๆ คนไหนควรจะทำยังไง ๆ ควรเตือน-เตือน ควรบอก-บอก ไม่ฟังแล้วหนักเข้า ๆ เห็นว่ามันผาดโผนโจนทะยานก็เก็บปั๊บ ๆ เก็บทิ้งไปเลย ไม่ทราบว่าใครมาฆ่า ไอ้ผู้ที่ฆ่าก็แต่งตัวมอมแมมปลอมมาเหมือนคนขี้ยา นั่นละอุบายวิธีการปราบคนชั่วเพื่อคนดีจะได้อยู่เป็นสุข เขาปราบกันอย่างนั้น ไม่อย่างนั้นบ้านเมืองเป็นบ้านเมืองได้ยังไง
เจ้าหน้าที่ต้องเป็นผู้ควบคุมดูแลทุกสิ่งทุกอย่างต่อชาติบ้านเมือง นี้เป็นความชอบธรรมของเจ้าหน้าที่เขาปฏิบัติกันอย่างนั้นมา รายไหนที่ควรเก็บไม่ให้รู้ซากเลยก็มี เงียบเลย ๆ อุบายวิธีการเขาต้องทำหลายแบบหลายฉบับ ไม่งั้นไม่ทันกับพวกโจรผู้ร้ายที่จะทำลายชาติบ้านเมืองและส่วนรวม เขาเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความสงบสุขของบ้านเมืองเขาจะต้องทำอย่างนั้นทุกแง่ทุกมุม ไปเรียนวิชาทางไหน ๆ มีแต่วิชาดูกลอุบายของโจรผู้ร้าย และวิธีการที่จะทำความสงบให้แก่บ้านเมือง หลักวิชาการของฝ่ายบ้านเมืองที่จะปกครอง เรียน-เรียนอย่างนั้น
นี่เราพูดถึงคนอวดเก่งนัก อย่างน้อยมันตายในเรือนจำ มากกว่านั้นตายไม่มีป่าช้า ไอ้คนโหดร้ายทารุณในการทำความชั่วช้าลามก บาปไม่มี บุญไม่มี นรกไม่มี สวรรค์ไม่มี นี้ก็ปล่อยให้กรรมของมันเอง กรรมนี้ไม่มีใครมาแต่งตัวปลอม ๆ เหมือนเจ้าหน้าที่เขาปลอมไปฆ่านักเลงโตเข้าใจไหม ฆ่านักเลงโตที่ปรากฏชื่อลือนามนี้ เขาจะต้องแต่งตัวปลอม ๆ ไปเหมือนโจรผู้ร้าย ไปด้อมยิงเลย ๆ ฆ่าเลย ฆ่าแล้วหายเงียบไปเลย ไม่รู้ว่าใครฆ่า ถ้าว่าเจ้าหน้าที่ฆ่าจะมีเรื่องราวต่อไปใช่ไหม เขาก็ปิดวิธีนี้อีก อันนี้ก็เหมือนกันพิจารณาซิ แล้วไปตกนรกเป็นยังไง กรรมนี้ไม่ได้แต่งตัวปลอม ๆ แหละ เต็มอยู่ในตัวของมันเอง มันลงของมันเอง ๆ
เราสอนโลกเราสอนจริง ๆ เราพูดถึงขนาดที่ว่าเป็นตายเราไม่เคยคำนึง มีแต่ความเมตตาธรรมต่อโลกเท่านั้น การสอนถูกผิดประการใดจะว่าไปตามหลักตามเกณฑ์ ไม่อย่างนั้นไม่ใช่ธรรม ธรรมต้องพูดตามหลักตามเกณฑ์แห่งความถูกต้องดีงาม จึงเรียกว่าเป็นที่ตายใจของโลกได้คือธรรม นอกนั้นไว้ใจไม่ได้ ถ้าธรรมไว้ใจได้ เราก็นำธรรมมาสอน แล้วเราก็ปฏิบัติธรรมมาอย่างนี้จนเป็นที่ไว้ใจแน่ใจตัวเองมาตลอด ดังที่ได้พูดให้พี่น้องทั้งหลายฟังนั่นละ เวลามันตัดสินกันระหว่างวัฏจักรกับวิวัฏจักร ตัดสินกันบนหัวใจนี่ เหมือนว่าตัวกระเด็นขึ้นเลยเทียว มันกระเทือนถึงขนาดนั้น
แล้วก็พระพุทธเจ้าตรัสรู้ได้ยังไงขึ้นทันทีเลย พอถึงแดนอัศจรรย์เกิดคาดเกินหมายนี้แล้ว หือ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ได้ยังไง ๆ พระพุทธเจ้าตรัสรู้อย่างนี้ละเหรอ ๆ นั่นเห็นไหม มันประจักษ์แล้วนะนั่น แล้วท่านตรัสรู้ได้ยังไง ไม่มีใครสอนเลยท่านรู้ได้ยังไง ไอ้เราท่านสอนแทบเป็นแทบตาย ตะเกียกตะกายมาถึงมาเป็นอย่างนี้ได้ ส่วนพระพุทธเจ้าไม่มีใครสอนเลย อัศจรรย์ กราบราบ ไม่มีลดหย่อนคำว่ากราบราบ คำว่าเชื่อ เคารพเทิดทูนสุดหัวใจเลย นี่ละผู้สอนโลก ผู้ลากเข็นโลกให้พ้นจากกองทุกข์ คือท่านเหล่านี้ พระพุทธเจ้า พระสาวกทั้งหลายรื้อขนสัตว์โลกออกจากกองทุกข์ พวกกิเลสรื้อขนลงจมลงในนรก ๆ พากันเข้าใจหรือยัง ให้พากันคิดซิ
นี่มันจวนจะตายแล้วนะจึงได้เปิดออก ๆ เราไม่คำนึงละว่าใครจะว่าเราพูดสูงพูดต่ำ พูดโอ้พูดอวด อันนี้มันถังขยะ อย่าเอามายุ่ง ถ้าเป็นอย่างนี้แล้วพระพุทธเจ้าสอนโลกไม่ได้ ก็จะไปเจอเอาพวกถังขยะ ไปนี้ถังขยะนี้ ไปนั้นถังขยะนั้น เลยออกไม่ได้ ไปโดนแต่ถังขยะศาสนาเลยออกไม่ได้ เหยียบหัวมันไปเลยถังขยะ เพื่ออรรถเพื่อธรรมเพื่อทองคำทั้งแท่งที่อยู่ในหัวใจของสัตว์ ๆ มีคุณค่ามากกว่าถังขยะ ถ้าไม่สนใจกับถังขยะ มันก้าวเข้าสู่จุดใด ๆ ที่สมควรจะเป็นประโยชน์มากน้อย นั่นพระพุทธเจ้า พระสาวกทั้งหลายท่านทำอย่างนั้น ท่านจะไปสนใจอะไรกับถังขยะ มันไม่มีราคาแล้ว ไปสนใจอะไรให้เสียราคาไปวะ
เราพูดแล้ว การนำพี่น้องชาวไทยเราก็หาที่สงสัยไม่ได้นะว่าเรามีลี้ลับอะไร ๆ เป็นความมัวหมองด้วยเจตนาของเรานี้ ไม่มีเลย ฟังแต่ว่าไม่มีเลย มีแต่ความบริสุทธิ์พุทโธล้วน ๆ ไม่ว่าวัตถุใดที่นำเข้ามา เราเป็นผู้รับผิดชอบด้วยความเมตตาสะอาดสะอ้านตลอดไปเลย การแนะนำสั่งสอนเหมือนกันในขั้นใดภูมิใด แกงหม้อใหญ่ แกงหม้อเล็ก แกงหม้อจิ๋ว เรานำมาสอนหมด เพราะเหตุใด ไม่อั้นในหัวใจเราเราว่าอย่างนี้เลย
แต่ก่อนเราก็ไม่เคยคาดเคยฝันว่าจิตอย่างนี้จะเป็นอย่างนี้ได้ มันเป็นได้ก็เพราะกิเลสขาดสะบั้นลงไปมันถึงเป็นได้ กิเลสปิดไว้ อะไรของจริงปลอมหมด จะเป็นของจริงแต่กิเลสบนหัวใจสัตว์ เพราะฉะนั้นสัตว์โลกถึงได้ติด เพราะมันของปลอมอย่างหวานฉ่ำเทียวนะ ใครติดทั้งนั้นแหละ พังอันนี้ออกไปแล้ว ที่เลิศเลอกว่านั้นยังมีอีก เป็นยังไงที่นี่ นั่นละเราก็มาสอนนะนี่ สอนหมด ถอดออกจากหัวใจ
ร่างกายนี่เพียงใช้วันหนึ่ง ๆ ไปเท่านั้น เราจึงไม่เคยสนใจ เพราะเป็นเครื่องมือเท่านั้นเอง ใช้มันไปเหมือนอย่างเราใช้ เช่นมีด เช่นขวาน เช่นสิ่วเช่นอะไรนี้ ใช้ไป ถ้ามันหมดสภาพแล้วก็ทิ้งเสียก็มีเท่านั้น อันนี้เมื่อหมดสภาพแล้วก็ทิ้งเสียเท่านั้น เวลายังพอเป็นไปได้อยู่ก็นำมาใช้ ๆ ประกาศธรรมสอนโลก ตะเกียกตะกายไปอย่างนั้น ที่นั่นไปนั้นวันนั้นไปนี้ มีแต่ไปด้วยความเมตตา เราไม่ได้ไปโดยลำพังเรา มีแต่ความเมตตาครอบไว้หมดเลย
แม้แต่จิ้งเหลนมันวิ่งตัดถนน พอมองไปเห็น จิ้งเหลนนะนั่น คือกลัวรถจะไปทับมัน ถ้าควรรอได้ก็รอ ควรหลีกได้ก็หลีกไปเสีย นั้นคือชีวิตหนึ่งเหมือนกันกับชีวิตเรา ๆ ท่าน ๆ ไม่ได้ผิดกัน เวลานี้เขาอยู่ในภพนี้ ชีวิตนี้เต็มตัวเหมือนกัน คือใจอยู่ในนั้น มันหมายเอาตรงนั้นนะ ไม่ได้หมายเอาว่าสัตว์ตัวเล็ก ตัวใหญ่ ไม่มีคุณค่ามากคุณค่าน้อยอะไร มันไม่ได้สนใจ จิตดวงนี้ฝังได้ทุกแห่ง อำนาจแห่งกรรมไสเข้าไปฝังลงได้ทุกแห่ง ๆ เป็นเล็นเป็นแลนอะไรตัวเล็ก ๆ ฟาดเป็นช้างทั้งตัวก็ได้ เทวบุตรเทวดาอินทร์พรหม จากจิตดวงเดียวนี้ทั้งนั้นไม่ใช่จากอะไรนะ
ไปเป็นอะไรมีแต่จิตดวงนี้เป็นผู้เป็น ๆ กรรมครอบไว้ ๆ ไสให้ไป ๆ ดูมันชัดขนาดนั้นแล้วจะสงสัยที่ไหน ก็มันเห็นนี่ เวลาไม่เห็นก็บอกไม่เห็น เวลาเห็นจะให้ว่าไม่เห็นได้ยังไง เหอ ให้หูหนวกตาบอดมาลูบจมูกได้เหรอ ฟาดจมูกมันขาดไปเป็นไรวะไอ้หูหนวกตาบอด โห มันทุเรศจริง ๆ นะ
ธรรมพระพุทธเจ้าเลิศ คือเลยเสียทุกอย่าง ไม่มีอะไรจะมาคาดได้สามแดนโลกธาตุ คาดธรรมพระพุทธเจ้า หรือคาดธรรมธาตุว่างั้นเลย คาดไม่ได้เลย เจอเข้าปั๋งเท่านั้นยอมกราบพระพุทธเจ้าทันที ๆ ไม่ว่าสาวกองค์ใดเหมือนกันหมดเลย คือผิดคาดผิดหมาย เราจะไปคาดไปด้นไปเดาไม่ถูก เจอแล้วหายสงสัยทันที ปัญหาไม่มีเลย จะไปถามใครก็มันไม่มีปัญหา ทีนี้ปัญหาอยู่กับใคร อยู่กับกิเลส กิเลสมันสร้างทุกอย่างในหัวใจของโลก แต่เวลาอันนี้พังลงไปแล้วไม่มีอะไรมาสร้างปัญหา นี้เปิดโล่งให้พี่น้องทั้งหลายฟัง
การสอนพี่น้องทั้งหลายมาสอนแบบปาว ๆ เหรอ มาสอนแบบลูบ ๆ คลำ ๆ เหรอ เราไม่ลูบไม่คลำ เจอแล้วทุกสิ่งทุกอย่างเต็มหัวใจแล้วจึงมาสอนโลก เราจึงได้บอกว่า ถ้าหากว่าเราไม่ได้ช่วยโลกคราวนี้ เราจะตายไปเปล่า ๆ ธรรมเหล่านี้จะไม่ได้ออกให้โลกได้เห็น แต่มันก็บันดลบันดาลยังไงไม่ทราบ จึงได้ออกมาช่วยโลก ธรรมประเภทต่าง ๆ ก็ออกไปด้วยกัน จึงได้ออกให้พี่น้องทั้งหลายได้ฟังอยู่เวลานี้ ก็เพราะเกี่ยวกับเรื่องการนำชาตินั่นเอง จึงได้ออกเต็มเหนี่ยวอย่างนี้
เวลามันเต็มที่แล้วอะไรเป็นธรรมหมด ไม่มีสัตว์บุคคลตัวตนเราเขาที่ไหนพอจะไปรักไปสงวนที่ไหน หวงอันไหนไม่หวงอันไหน มันเหนือเสียทุกสิ่งทุกอย่าง คาดไม่ถึงเสียแล้ว แล้วธรรมเหล่านี้เอามาสอนหมดนะ สอนอรรถสอนธรรม สอนไปทุกขั้นทุกภูมิ แกงหม้อใหญ่ก็สอนทั่ว ๆ ไป นี่ก็ออกมาสอนหมดแล้ว แกงหม้อเล็กก็ผู้ปฏิบัติมุ่งมรรคผลนิพพาน มีทางเดินที่จะก้าวเข้าสู่ความพ้นทุกข์ได้ขนาดไหน ก็เอาแกงหม้อเล็กสอดเข้าไป แล้วผู้นี้มุ่งแล้ว เรียกว่าก้าวไปถึง ๘๐-๙๐% ยังไงจะไปท่าเดียว แกงหม้อจิ๋วไสเข้าไปเลย
เอ้า พูดจริง ๆ ไม่อัดไม่อั้นอยู่ในหัวใจนี้ พูดออกมาปั๊บรู้ทันที ที่จะเปิดทางให้เปิดให้ทันที นั่นละเป็นยังไงธรรมพระพุทธเจ้า จนตรอกจนมุมกับกิเลสที่ไหนไม่มี คำว่าจนตรอกจนมุมกับกิเลสไม่มี พังเลยกิเลส ถ้าปฏิบัติตามนั้นกิเลสของคนแต่ละคน ๆ ที่ปฏิบัติตาม กิเลสก็ต้องพังไปทุกวัน ๆ แต่นี้มันสั่งสมกิเลสนั่นซี กิเลสหนาแน่นขึ้นพังแต่ธรรมลงไป สุดท้ายพุทโธขาด กุดด้วน ได้ พุท ๆ คำเดียว โธ ไม่ไหว ได้พุท คำเดียว ครั้นว่าโธ ได้โธ คำเดียว พุท ขาดไปแล้ว นี่กิเลสมันจับหางดึงหางขาด พุทโธก็หางขาด อะไรหางขาดไปหมด นี่เวลามันมีอำนาจมาก แต่เวลาธรรมมีอำนาจมากทีนี้กิเลสหางขาด แบบเดียวกันนะ
เราอย่าเข้าใจว่ากิเลสจะหนาแน่นตลอดเวลา มีอำนาจครอบหัวใจเราผู้มีธรรมได้ตลอดเวลานะ ผู้มีธรรมสั่งสมตัวขึ้น ๆ เมื่อธรรมมีกำลังแล้วก็เป็นแบบกิเลสมีกำลัง กิเลสมีกำลังมันทำหน้าที่ของมันเพื่อหมุนหัวใจสัตว์โลกให้จมอยู่ในกองทุกข์ฉันใด ธรรมะก็หมุนย้อนกลับ ๆ เพื่อถอดถอนสัตว์โลกให้พ้นจากกองทุกข์ฉันนั้น ด้วยอัตโนมัติของตนเช่นเดียวกันหมด มันเสมอกันหมดก็บอกแล้ว เมื่อธรรมมีกำลังกล้าแล้วกิเลสขาดสะบั้น เมื่อกิเลสมีกำลังกล้า ธรรมขาดสะบั้น
เพราะฉะนั้นจึงต้องสั่งสมธรรมเพื่อความสุขความเจริญแก่เรา ให้กิเลสตัวเป็นภัยนี้ขาดสะบั้นลงไปแล้วจะได้ครองความสุข อยู่ก็จะได้มีความหมายนะ เกิดมาเรายังไม่ทราบว่าความหมายเป็นยังไง มีแต่พึ่งนั้นพึ่งนี้เพราะไม่มีที่เกาะ จิตใจไม่มีที่เกาะ มองเห็นอะไรคว้ามับ ๆ เพราะไม่มีที่เกาะ หาเกาะนั้นเกาะนี้ เกาะบ้านเกาะเรือนเกาะเพื่อนเกาะฝูง เกาะไปทุกสิ่งทุกอย่าง เกาะไปทุกแห่งทุกหน อะไรเกาะหมด จิตดวงนี้ไม่มีที่พึ่ง จำให้ดีคำนี้ก็ดี นี่เวลามันเหลวไหลมันเหลว หาแต่ที่พึ่ง คว้าที่ไหนก็คว้าน้ำเหลว ๆ เพราะไม่ใช่สาระอันสำคัญของใจที่จะควรพึ่งเป็นพึ่งตายได้ ท่านจึงสอนธรรมเข้าไป เอ้า ทำลงไปอย่ากลัว ว่าให้ทานลงไปแล้วจะจนตรอกจนมุมไม่ได้มีอะไรกิน ให้เห็นเสียทีว่างั้น ดูในหัวใจเจ้าของ
วันหนึ่ง ๆ พอมีแจกมีจ่ายทำบุญให้ทาน ให้เป็นสมบัติของใจที่จะดึงเราขึ้นจากนรก เอา สละลงไป อันนี้แบ่งไว้ธาตุขันธ์ชั่วระยะชีวิตนี้ อันนี้แบ่งไว้เพื่อจิตใจตั้งอนันตกาล จนกระทั่งถึงพ้นทุกข์ถึงพระนิพพาน เพราะบุญนี้แล ให้เทียบกันอย่างนั้นซี ไม่เทียบไม่ได้นะแล้วจะตายจมทิ้งเปล่า ๆ ก็จะมาชมอันนั้นดีอันนี้ดีอยู่อย่างนั้นตลอด ตายแล้วไม่มีอะไรติดตัวเลย เป็นยังไงโง่ไหมมนุษย์เรา นี่ละโง่มากที่สุดนะ คือใจไม่มีที่เกาะ พอสร้างนี้ขึ้นไป ๆ เอาอันนั้นเป็นที่เกาะสำหรับร่างกายได้อาศัยมันชั่วระยะกาล รู้แล้วนะ อันนี้เป็นที่เกาะของจิตพึ่งเป็นพึ่งตาย คือบุญคือกุศลทุกประเภทที่เราสร้างมา นี้คือที่พึ่งของใจ เรือนใจ ก็ได้ทั้งสองภาค ทีนี้อยู่ได้ไปได้ตายได้คนเรา ไอ้มีแต่คว้ามับ ๆ นั่นซี โลกเวลานี้กำลังคว้ามับ ๆ
เราอย่าไปคิดว่า ประเทศไหนเมืองใดจะมีความสุขความเจริญ กิเลสเผาหัวใจอยู่แล้วจมไปด้วยกัน มีแต่มาฟู่ฟ่าหรูหราด้วยอำนาจของกิเลสหลอกกันเท่านั้น กิเลสหลอกกิเลสมันตื่นตลอดเวลานะ เมืองเขาเจริญ เมืองนั้นเจริญ เมืองนี้เจริญ อะไรเจริญ ๆ ไม่ได้ดูหัวใจ ธรรมจับปั๊บดูในหัวใจนั้นมันเจริญที่ไหนว่างั้นเลย มันกำลังจะตายอยู่นี้ไฟเผาหัวมัน ความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา ความรักความสงวนอำนาจบาตรหลวงอะไร มันสงวนอยู่ในนั้น เป็นทุกข์เป็นร้อนยุ่งเหยิงวุ่นวายในนั้น แล้วไฟก็เผาอยู่ในนั้น ๆ เอาความสุขมาจากไหน ธรรมต่างหาก ธรรมมีมากมีน้อยปล่อยสิ่งเหล่านี้ออก ๆ ไม่ได้มาแบกมาหาม ใจไม่หนักนะกับธรรม ถ้ามีธรรมในใจไม่หนัก ตายร่มไม้ชายคาที่ไหนตายได้ทั้งนั้นคนมีธรรมแล้ว คนไม่มีธรรมไปตายที่ไหนก็เป็นห่วงเป็นใย สุดท้ายก็ตายด้วยความห่วงใย ด้วยกองทุกข์เพราะความห่วงใยนั้นแล ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไร ให้พากันฟังเสียนะ
นี่เราก็สอนเต็มเม็ดเต็มหน่วย นี่ละที่พึ่งของใจ ที่พึ่งของทางร่างกาย ให้แยกไว้สองประเภท อย่าหลงมันทางด้านวัตถุจนเกินไปนะ ด้านธรรมะเวลานี้เหลวแหลกทีเดียว ไม่มีที่ยึดที่เกาะ เฉพาะอย่างยิ่งเมืองไทยเราเป็นชาวพุทธ ไขว่คว้ามากทีเดียว มองไปแล้วจนสลดสังเวช เพราะฉะนั้นไปเทศน์ที่ไหน จึงเน้นหนัก ๆ ทางด้านจิตใจ เฉพาะอย่างยิ่งอบรมใจให้ได้ภาวนามีความสงบบ้าง พอความสงบได้ปรากฏขึ้นบ้าง นี่ที่พึ่งประจักษ์กับใจเริ่มปรากฏแล้ว ที่พึ่งอย่างอื่นกุศลศีลทานเราก็อยู่ขอบ อันนี้เป็นหลักแล้ว พอจิตมีความสงบ บุญกุศลศีลทานจะไหลเข้ามาหากันนี้หมด นี่คือทำนบเริ่มแล้ว ทำนบคือภาวนา จิตใจมีความสงบมากน้อยเพียงไรจะเห็นชัด ๆ ที่พึ่งเด่นขึ้น ๆ สิ่งเหล่านั้นจางออกไป ๆ ปล่อยออกไป ๆ ทีนี้ได้เต็มที่แล้วดีดผึงเลย จำเอานะ เอาละเทศน์เท่านั้น
(วิวัฏจักรกับวัฏจักรมันอันเดียวกันไหมคะ) มันจะอันเดียวกันยังไง วัฏจักรคือโลกสมมุติ โลกตายเกิด จมอยู่ในกองทุกข์ วิวัฏจักรคือพระนิพพาน พูดให้มันชัด ๆ อย่างนั้นละ คำว่าวิวัฏจักรคือหมุนกลับเพื่อพระนิพพาน วัฏจักรมันหมุนลง ๆ วิวัฏจักรหมุนกลับ ๆ เมื่อเวลาธรรมมีกำลังแล้วหมุนกลับอย่างนี้ เป็นเองนะ ธรรมมีกำลังแล้วเรื่องความเพียรได้รั้งเอาไว้นั่นละ ทีแรกไสมันใส่ความเพียรมันไม่อยากเข้า นี่กิเลสหนา เวลาเราชำระสะสางมากเข้า ๆ ให้มีกำลังมากขึ้นไป มีความดูดดื่มทางอรรถทางธรรมคุณงามความดี จะดูดดื่ม ต่อไปพอได้หลักได้เกณฑ์แล้ว ทีนี้พุ่ง ๆ เลยเป็นอัตโนมัติ แก้ตัวเองเป็นอัตโนมัติ ต่อไปนี้ก็จะให้พร
มาจากทางไหนกันบ้างนี่ (กรุงเทพ ครับ) มาจากกรุงเทพเหรอ มากันหลายคนนะ ที่เทศน์ตะกี้นี้ได้ฟังกันหรือเปล่าล่ะ (ฟังท้าย ๆ ) โอ๊ย น่าเสียดาย คือให้ท่านจบท่านไปกุฏิแล้วค่อยมายังดีนะ มันน่าเสียดาย ยังไม่เลิก มาเสียก่อน ดูอากาศค่อยโปร่งระยะนี้ น้ำท่วมที่ไหน ๆ ค่อยจางไป ไม่จางยังไงข้าวในนามันหมดแล้ว มันท่วมขนาดนั้นแล้วตายหมดไม่มีเหลือ เพราะฉะนั้นจึงน่าสงสารพวก ตั้งแต่อุบลมาศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ จนกระทั่งไปทางโคราช ในบางแห่ง ๆ ถ้าน้ำใหญ่ ๆ นี้ท่วมที่ไหนแล้วต้องเสียเลย ก่อนมันจะลดหมด ข้าวหมดแล้ว น้ำท่วมเป็นอย่างนั้น น่าสงสารพวกนี้ ต่อไปนี้จะให้พร
เปิดดูข้อมูล วันต่อวัน ทันต่อเหตุการณ์ หลวงตาเทศน์ถึงเรื่องอะไร www.luangta.com