(ผู้ฟังเทศน์นักเรียน ร.ร.ประจักษ์ฯ ๘๐ คน ประชาชน ๔๐๐ คน)
เมื่อวานนี้วันที่ ๑๓ ได้ทองคำ ๑ กิโล ๒๘ บาท ๖๐ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๖,๑๐๑ ดอลล์ ทองคำที่ต้องการมอบเข้าคลังหลวงคราวนี้นั้นสี่พันกิโล มอบเข้าคลังหลวงไว้แล้ว ๑,๐๓๗ กิโลครึ่ง ฝากไว้กับคลังหลวง ๑,๐๒๕ กิโล รวมทองคำที่มอบและฝากไว้กับคลังหลวงเป็นจำนวน ๒,๐๖๒ กิโลครึ่ง ทองคำได้หลังจากมอบและฝากแล้วนั้นเป็น ๕๔ กิโล ๔๐ บาท ๖๑ สตางค์ จำนวนนี้ยังไม่ได้หลอม รวมทองคำทั้งหมดได้ ๒,๑๑๗ กิโล ยังขาดอยู่อีก ๑,๘๘๓ กิโลจะครบจำนวนสี่พันกิโล ได้ไปเรื่อย ๆ มันก็ถึงเอง
เมื่อวานไปไหน (จ.ว.เลย) อย่างนั้นละทุกวันนี้ไปไหนมา ๆ นี้จำไม่ได้นะ เช่นอย่างเมื่อวานไปไหนจำไม่ได้แล้ว หดเข้ามา ๆ (ถ้ำผาปู่) เออ ไปถ้ำผาปู่เมื่อวานนี้ ถ้ำผาปู่เป็นสำนักที่หลวงปู่คำดี ท่านริเริ่มไปอยู่ที่นั่น เป็นป่าล้วน ๆ เลย จากจังหวัดเลยไปนี้มัน ๑๑-๑๒ กิโลหรือไง นี่เป็นดงล้วน ๆ นะแต่ก่อน สัตว์เสือ เนื้อเต็มไปหมด ยิ่งที่บริเวณถ้ำด้วยแล้ว โอ๋ย เป็นป่าสัตว์ งูเหลือมกองพะเนินอยู่ในถ้ำเต็ม มันเป็นดงทั้งหมด
แต่ก่อนไม่มีถนนหนทาง รถไม่ต้องไปถามถึงมันละ จาก จ.ว.เลยไปหานั้น คนไม่เอาจริงเอาจังไปไม่ถึงนะวัดถ้ำผาปู่ นี่ละท่านอาจารย์คำดีท่านไปพักภาวนาอยู่ที่นั่น ตั้งแต่บัดนั้นมาก็เริ่มเป็นวัดขึ้นมาจนกระทั่งทุกวันนี้ ถนนหนทางจนกระทั่งเป็นตลาดไปหมดเลย ถ้าจะดูเรื่องราวดั้งเดิมแต่ก่อน ไม่มีละ ที่ไหน ๆ เหมือนกัน ทุกวันนี้มันเปลี่ยนไปหมดเลย ถนนหนทาง รถรา ผู้คน สิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ท่วมสภาพเดิมหมดเลย
เช่นอย่างวัดป่าบ้านตาดนี่ก็เหมือนกัน พวกหมูป่าเต็มในวัดเรามาสร้างวัดทีแรก เพราะดงนี้จากนี้ถึงภูเขา ดงใหญ่นะ ฟังแต่ว่าจากนี้ถึงภูเขา ที่เรียกว่า อ.หนองแสง ๆ ทุกวันนี้ นั่นละกลางป่าใหญ่ละ พวกสัตว์พวกเนื้อพวกเสือพวกช้าง กระทิง วัวแดง หมูป่า เต็มตั้งแต่นี้ไปถึงโน้นเลย พวกสัตว์ไม่อดไม่อยากนะ(ไม่อดไม่อยาก=มีมาก) คือแต่ก่อนคนก็ไม่มากด้วย ตลาดก็ไม่มี การซื้อขายไม่มี สิ่งเหล่านี้จึงไม่เป็นภัยได้ง่าย เขาหากินเฉพาะครัวเรือนของเขา ออกนอกบ้านไปไม่กี่นาทีเขาก็พออยู่พอกินเขาแล้ว เพราะไม่มีการซื้อการขาย เวลานี้การซื้อการขายพร้อมกับประชาชนคนมากขึ้นทุกวัน ๆ ขยายออก ๆ ได้กินแล้วไม่พอ ได้มาขาย ๆ ทีนี้ได้มาขายมากกว่ามากิน สุดท้ายสัตว์หมด
วัดป่าบ้านตาดของเรานี่ เรามาสร้างวัดทีแรก ทีแรกมาพักอยู่ทางตะวันออกบ้านโน้น ผู้เฒ่าเจ้าของนาไปนิมนต์มาให้มาพักทางนี้ เป็นที่ของแกอยู่ทางแถวนี้ นาแกก็ติดอยู่นั้น แกก็นิมนต์มาให้มาพักทางนี้ เนินบริเวณนี้เหมาะสมกว่าทางด้านตะวันออก โอ๊ย มานี้ไม่ได้ตั้งใจจะมาพักมาตั้งวัดตั้งวาอะไรนะ มาเฉย ๆ มาเวลาไหนก็ตามขอให้พักที่นั่นดีกว่าที่นี่ แกว่าอย่างนั้นนะ จะอยู่หรือไม่อยู่ก็ตามแต่อัธยาศัย แต่ความมุ่งหมายอยากจะให้ท่านอยู่ที่นี่ แล้วขอถวายที่เป็นวัดเลย เราก็เลยตกลงใจมาดู
เพราะที่นี้เราก็เคยรู้อยู่แล้วแต่ก่อน ก็เราเป็นลูกบ้านนี้จะไม่รู้ได้ยังไง แต่เราก็มาดูสภาพอีกทีนึง นั่นละเรื่องราวมันนะ ผู้เฒ่านิมนต์ให้มา ว่าจะถวายหมด ว่างั้น เราไม่ได้ตั้งใจจะมาอยู่นะ เรามาพักอยู่ทางตะวันออกบ้าน ทางโน้นก็เป็นดงแต่ก่อน เราก็เลยมาดู สุดท้ายก็เลยมาตั้งแคร่ขึ้นแถวนี้ โห พวกสัตว์หมูป่าเป็นฝูง ๆ เต็มวัด พวกหมูป่าละมาก อีเก้งร้องโก้ก ๆ เก้ก ๆ อยู่ตามนี้ เสือ เราจนจำได้ว่าแถวนี้มีเสืออยู่ ๓ ตัว คือมันผ่านมาในวัดนี่รอยมัน ขนาดรอยมันต่างกัน ตัวใหญ่ ตัวเล็ก ๆ ผ่านมานี้เห็นรอยมันชัดเจน
จำได้ว่าเป็นเสือผ่านเข้ามาในวัดนี้มี ๓ ตัว เสือโคร่ง เดี๋ยวขี้แตกนะพวกนี้พูดว่าเสือโคร่งเท่านั้น ยังไม่ได้กินข้าวอย่าด่วนขี้ ให้ไปกินข้าวเสียก่อนค่อยขี้ทีหลัง พอว่าเสือละป้าดแล้ว มันไปมาอยู่นี่ ส่วนเสือดาวไม่ต้องพูดละ คือมันมาแอบกินหมากินอะไรกับคน คนไปที่ไหนเสือดาวต้องไปแอบอยู่ที่นั่น มันเป็นนิสัย สัตว์เหล่านี้หากินกับคน คือกินหมากับคน มันมีทั่ว ๆ ไป อยู่ในคงในครัว เห็นรอยมันตอนเช้า พอเข้าไปเห็นรอยเสือมันเข้าไปนี้ มันไปตามกุฏิ กุฏิไหน ๆ ซอกแซก เขาจะเข้าไปนะ คือเขาไปหาดูหมา พระเขาไม่ได้สนใจแหละ แต่ว่าคนอยู่ที่ไหนเขาเคยได้กินหมากับคน เขาจะเข้าใจว่ามีหมาอยู่ที่คนอยู่นั้น
เพราะฉะนั้นเรื่องจึงมาโดนเอาอีตาเพ็ง วัดถ้ำกลองเพลเรานี่ มันเป็นดงเป็นป่าทั้งหมด ท่านนั่งภาวนาอยู่ ท่านสิงห์ทองกับท่านเพ็งคนบ้านเดียวกัน ท่านสิงห์ทองชอบหยอกเล่น นิสัยอย่างนั้น ทีนี้วันนั้นประมาณสัก ๓ ทุ่ม ท่านเพ็งนั่งภาวนาอยู่ ทีนี้เสือมันไปที่นั่น มันไปเห็นกองไฟอยู่ที่หน้ากุฏิเล็ก ๆ คือกองไฟนั้นกับหมามันชอบกัน เสือมันมาอยู่ที่กองไฟ มันให้สัญญาณหลอกดู ถ้ามีหมา ๆ จะเห่า ถ้าหมาเห่าเป็นอันว่าอาหารว่างเกิดแล้ว ทางนั้นก็นั่งภาวนา ไอ้นี้ไปหมอบเรื่อย มันเอาหางมันตีดินตุ๊บ ๆ ตุ๊บ ๆ ท่านนั่งภาวนาอยู่ กำลังจะออกจากภาวนาว่าจะไปเดินจงกรม ท่านว่างั้นท่านเพ็ง
เสียงตีดินตุ๊บ ๆ ตุ๊บ ๆ มันอะไร นึกโมโหท่านสิงห์ทอง หยอกเล่นไม่มีเวล่ำเวลามันอะไรกัน กลางค่ำกลางคืนก็มาหยอกมาเล่นมันยังไง มันเลยเด็กไปแล้ว คิดว่าเป็นท่านสิงห์ทอง แต่ไม่สนใจก็เฉยอยู่ เดี๋ยวตุ๊บ ๆ ตุ๊บ ๆ อีก ทางนั้นก็เฉย ยังนึกว่าเป็นท่านสิงห์ทองอยู่ตลอด พอออกจากที่แล้ว มันมายังไง้ มาหาหยอกกลางค่ำกลางคืน ก็ปัดกวาดไว้หมด เดินไปไหนก็เห็นรอยใช่ไหมล่ะ ทีนี้ออกจากกุฏิมาเสียงมันดังอยู่ตรงนี้ก็ไป เห็นรอยเสือออกมา โถ นี่มันรอยเสือไม่ใช่ท่านสิงห์ทอง เสือมาอย่างนั้นละ ออกจากนั้นมันก็ไป ทางนี้เลยกลัวใหญ่
ก็บ้านเดียวกันอีกละ องค์หนึ่งไปอยู่ตรงนั้น ตอน ๕ โมงเย็นเดินจงกรมกลับไปกลับมา เสือมันมาหมอบอยู่หัวทางจงกรม คือมันมาหมอบดูหมานะ มันสังเกตดูหมา คนไม่เห็นมัน มันหมอบอยู่ หัวจงกรมห่างกันวาเดียวก็ไม่ถึง สุดจงกรมเป็นพุ่มไม้ มันหมอบอยู่ตรงนี้คอยดูหมา พอเห็นไม่มีหมาแล้ว ท่านน้อยนี่เดินจงกรมอยู่เป็นเณร เดินกลับไปกลับมา เห็นท่าว่าไม่มีหมาแล้วมันจะกลับออกไป ถ้าตอนคนไปซึ่งหน้ากับมันอยู่นี้มันไม่กระดุกกระดิกนะ ตามันจะจับตาคนตลอด เสือจะต้องจับตาคน พอตาสบกันปั๊บ ปุ๊บมันไม่อยู่นะ ถ้าตายังไม่สบยังไม่ไป
ทีนี้พอทางนี้หันหลังจะกลับเดินจงกรมทางนี้ พอหันหลังมันก็เคลื่อนที่ออก จะออกไปทางโน้น ได้ยินเสียงไม้หักทับ ผิดสังเกตเลยมองไป เห็นดุ่ม ๆ ออกไป อู๊ย สัตว์อะไรน่ารักเหลือเกิน ท่านน้อยนี่นะ อู๊ย ทำไมน่ารักเหลือเกิน เหมือนแมว แต่ลายเป็นจ้ำ ๆ ดุ่ม ๆ ออกไป มันอะไร เห็น เลยชอบมัน โดดไปหามัน มันมองเห็นปั๊บโดดทีเดียวเข้าป่า วิ่งมาหาหมู่เพื่อน อู๊ย แมวใหญ่อยู่นี้ น่ารักมากแมวตัวนี้
มันแมวยังไง ไปบอกท่านสิงห์ทองซี ท่านสิงห์ทองรู้เสือมาก่อน ทางนี้ยังไม่รู้เรื่องว่าเป็นเสือ ไปก็ไปบอกท่านสิงห์ทอง ตัวตลกอยู่ด้วย มันเป็นยังไง ก็ผมเดินจงกรมอยู่ มันอยู่หัวจงกรมนี้ พอผมพลิกกลับมานี้มันก็ดุ่ม ๆ ไปเหมือนแมวใหญ่ อู๊ย แมวใหญ่มี น่ารัก ผมเดินตามไป พอมันมองเห็นผมมันโดดเข้าป่าปึ๋งเลยไปเลย แมวใหญ่ยังไงว่าซิ ก็เลยพูดให้ฟัง มันเป็นอย่างนั้น นั่นละเสือจะกินหัวยังไม่รู้อยู่เหรอ โฮ้ ยังงั้นหรือ บ้าตัวนั้นขึ้นอีกแล้ว เสือมันเป็นอย่างนี้หรือ ก็เป็นอย่างนั้นแล้ว ถ้าอยากดูก็ไปหามันซี ให้มันงับคอเอา โอ๊ย จ้างก็ไม่ไป อย่างนั้นละไม่รู้จักเสือ มันอยู่ทั่วไปตามนี้ หมีใหญ่ก็มา นี่เราพูดถึงเรื่องในวัดนี้ สัตว์เต็มไปหมด มาสร้างวัดทีแรก
พวกสัตว์นี้เชื่อง กับคนกับพระนี้รู้ทันทีนะ เขามาอยู่ในวัด วัดนี้ไม่มีกำแพงแต่ก่อน มันออกไปข้างนอกเขาฆ่ามัน สุดท้ายก็หมด หมูป่านี่เป็นฝูง ๆ กลางวันหากินยั้วเยี้ย ๆ เห็นตัวมันอยู่ มันไม่ได้สนใจกับคนนะ เราเดินจงกรมนี้เขามาเป็นฝูง ๆ เขาเอาจมูกขุดหัวมันอะไรก็แล้วแต่ ขุดกินไป มองเห็นอยู่นี้เขาไม่สนใจกับเรา นั่นเห็นไหมเขาคุ้นมาก กับพระนี่คุ้นเร็ว สัตว์ตัวไหนเหมือนกัน เราเคยแล้วเห็นต่อหน้าต่อตา หมู่เพื่อนก็บอกเป็นเสียงเดียวกันหมด พระไปอยู่ที่ไหนถ้าเป็นพระกรรมฐานไปอยู่ไหน เขาจะแอบเข้ามา มาเรื่อย ๆ มาอยู่บริเวณวัด คือที่วัดเขารู้ว่าไม่มีคนมาเบียดเบียนมาทำลาย มันก็เข้ามาอยู่เรื่อย ๆ เต็มไป พระไปอยู่ที่ไหนเขามาละ ทีนี้พอพระหนีไปเขาก็หนีเลยนะเขาไม่อยู่
ที่นี่หมีใหญ่ก็มา มาหาเรา ฟังเสียงโครกคราก ๆ อู๊ย เสียงดังนะ เสียงเป็นเสียงหมี พอมาเห็นกุฏิเรามันก็เลยหลีกไปนี้ ออกมานี้มาเจอกุฏิพระอีก พระองค์หนึ่งตัวสั่นอยู่โน้น อยู่กระต๊อบเหมือนกัน เดือนหงาย ๆ มันออกมาตัวดำ ๆ พระนั่งตัวสั่นมองอยู่ในกุฏิ โอ๊ย ทำไมมันเกือบเท่าควาย มันอะไรน้าดำ ๆ อันนั้นก็ไม่รู้หมีเหมือนกัน แต่กลัวนะ มันมาอะไรที่นี่ มันออกมานี่ พอมันออกมาสุดถึงที่ที่เราปัดกวาด มันก็กลับไปทางโน้น หมีใหญ่ หมีก็มี เสือเยอะ เดี๋ยวนี้หมดนะที่ว่านี้หมด พวกหมูป่าเหล่านี้ สัตว์เหล่านี้บริเวณวัดนี้ออกไปข้างนอกเขาฆ่าหมดเลยไม่มีเลย เม่นมีน้อยเมื่อไร เป็นฝูง ๆ อยู่ในวัดเรา หมด
เราพูดถึงเรื่องพวกสัตว์กับพระนี้รู้ทันทีเลยนะ นี่ละพวกสัตว์เหล่านี้เขาเคยเกิดเป็นมนุษย์ เคยบวชเป็นพระเป็นเณรมาแต่ไหนแต่ไร ตั้งแต่พระพุทธเจ้าองค์ไหน ๆ สืบทอดมา จิตวิญญาณนี้มันรู้สึกของมันเอง พระไปอยู่ที่ไหนไม่กลัวนะ ไม่กลัวเลย อย่างที่เราหลงป่าไปที่ว่า นอนกลางคืนตื่นเช้าไปที่ว่านี่ละ ไปก็เห็นอีเก้งตัวหนึ่ง หินอยู่ทางนี้ จะว่ามันวิ่งก็ไม่เชิง จะว่าเดินก็ไม่เชิง มันเดินเร็วปุบปับ ๆ เราเดินไปนั้น โอ๋ย มึงอย่ากลัว มึงอยู่นี่ละว่างั้น มันใกล้ ๆ กับคนนะ ถ้าลงทางนั้นมันตกเหว ไม่กล้า ถ้าออกมาทางนี้ก็คน มันก็เดินกลับไปกลับมา คนก็มาทางนี้ ทางนั้นเหวอยู่ทางนั้นมันไม่กล้าไป มึงอยู่นี่ละ เราเดินผ่านไป เขาก็อยู่ที่นั่นเราก็เดินผ่านไป อย่างนั้นนะเขาไม่อะไรมากนะ ปุบปับ ๆ ไปมาจะไปทางไหนก็ลำบาก มันจนตรอก เราก็บอกอยู่นั่นละ ทีนี้เราก็ผ่านไป ไม่ทราบเขาไปไหนละเขาก็เดินผ่านไปเลย นี่อีเก้ง ตอนเช้าประมาณ ๘ โมง
พูดถึงเรื่องสัตว์ไม่ว่าสัตว์ชนิดไหนมันแปลกอยู่นะ กับพระนี้รู้ได้ชัดเจนเลย ว่าเขาสนิทมากกับพระ ไม่ว่าสัตว์ชนิดไหนกับพระสนิท แม้ที่สุดแต่งูก็ไม่กลัว แปลกอยู่นะ กับพระไม่ค่อยอะไรกับงูนะ งูกับพระเหมือนกัน สนิท ไม่กลัวทุกประเภทของสัตว์ ไม่ทำไม ไม่เหมือนยุง ยุงไม่กลัวด้วย กัดด้วย มีสัตว์ตัวนี้ละไม่กลัวแล้วเอาเป็นอาหารด้วย นอกนั้นกลัวทั้งนั้น แต่กลัวอย่างว่าแหละ มาแอบอยู่ข้าง ๆ ในวัดนี้เต็มไปด้วยสัตว์แต่ก่อน โอ๋ย เต็ม เก้งกลางวันก็ร้อง กลางคืนก็ร้อง ร้องอยู่ในวัดเรานี่ เราอยู่ในวัดมันร้องเก้กก้าก ๆ อยู่ตามนี้เต็ม เก้งนะ ส่วนหมูป่าก็เต็ม เสือมันก็มาหากินนั่นละ เดี๋ยวนี้หมด เราพูดเฉย ๆ หมด
จากนี้ไปถึงภูเขาเป็นดงใหญ่ทั้งหมด ที่ว่าอำเภอหนองแสง นั่นละตลาดดงใหญ่เลย สัตว์เต็มอยู่ตรงนั้น ที่เขาตั้งอำเภอหนองแสงทุกวันนี้ หมดแล้ว กลายเป็นตลาดคน แต่ก่อนเป็นตลาดสัตว์นะ สัตว์ใหญ่ สัตว์เล็กสัตว์น้อย พวกช้างพวกเสือ กระทิง วัวแดง หมูป่าเป็นฝูง ๆ เต็มอยู่นู้นละ นั่นละก๊กใหญ่เขาอยู่ตรงนั้น แล้วเขาก็ลงมาเที่ยวหากิน นี้เป็นดงใหญ่ของเขา เดี๋ยวนี้หมดแล้วไม่มีเหลือเลย
ที่ถ้ำผาปู่ที่ท่านอาจารย์คำดีอยู่ก็เหมือนกัน ท่านว่าสัตว์เต็มไปหมด บริเวณวัด พวกสัตว์พวกเสือพวกเนื้อทุกประเภทเต็มหมด มันไม่มีทางผู้ทางคน ท่านเดินด้นดั้นเข้าไปไปพักที่นั่น จากนั้นก็มีทางไป เดี๋ยวนี้ก็เป็นอย่างนั้นแล้ว ถนนหนทาง ถามว่างูมีไหมเดี๋ยวนี้ ดูว่าไม่ค่อยเห็นมี หมดแล้วนะ คืองูมันออกมานี้คนไปเจอเขาฆ่าเอา ๆ งูเหลือมใหญ่มันอยู่ในถ้ำ กลางคืนออกหากิน บางทีเขามาพันหมาอยู่ที่หน้าวัดก็มี มันออกมาหากิน เดี๋ยวนี้ไม่มี หมด มีค่างอยู่ไม่กี่ตัว พวกค่างมี ลิงหมด ค่างยังเหลืออยู่ในบริเวณวัด อยู่ในกุฏิพระตามนั้น เราไปก็เห็นมันอยู่ ก็เลี้ยงมันไว้ตั้งแต่ท่านอาจารย์คำดี มันก็สืบต่อกันมาเรื่อย ส่วนลิงมีมาก เดี๋ยวนี้หมด ไม่มีเหลือแล้ว ส่วนค่างมันไม่ออกไปข้างนอก มันอยู่ข้างในก็ยังมีอยู่ ทุกวันนี้ยังมีค่าง
เมื่อวานนี้ไปที่นั่นละไปให้หมอนวดเส้นให้อีก ค่อยดีขึ้นนะแขน หมอนี่นวดดีอยู่ กับท่านสมบูรณ์นวดดีด้วยกัน คนนั้นก็รู้เส้นดี เราปล่อยให้นวด เจ็บ เดี๋ยวนี้ยังเจ็บเลยแขน มันเหมือนเหล็กนะ เส้นมันแข็งขนาดนั้น เวลากดลงไปถึงเจ็บมาก เจ็บมากจริง ๆ ไปเท่านั้นละ พอนวดเส้นเสร็จแล้วก็กลับมาเลยเมื่อวาน เพราะตั้งใจไปนวดเส้นนี่
เราวิตกวิจารณ์กับประชาชนพี่น้องชาวพุทธเรานะ เวลานี้เหลวไหลเอามากจริง ๆ จนกระทั่งถึงว่าศาสนาจะเข้าแทรกไม่ได้ มันขนาดนั้นนะ หยาบโลนมากที่สุดกิเลสตีตลาด ศาสนานี้เข้าไปใกล้ไม่ได้ มันเขี่ยทีเดียวตกห้าทวีป
ศาสนา มีแต่กิเลสตีตลาดตเล ไม่ว่าเด็กไม่ว่าผู้ใหญ่ ไม่ว่าส่วนย่อยส่วนใหญ่ ข้าราชการ วงงานต่าง ๆ มีตั้งแต่กิเลสตีตลาด ไม่มีอะไรเลิศเลอยิ่งกว่ากิเลสเวลานี้ เพราะฉะนั้นความเลิศเลอของกิเลสจึงสร้างกองทุกข์ให้สัตวโลกมากต่อมากนะ เวลานี้เป็นยังไงเมืองไทยเรา นี่ละวัตถุเจริญ วัตถุออกจากความเสาะแสวงหาของใจที่ต้องการความร่ำความรวยความดีความเด่น ชิงดีชิงเด่นกัน ใครก็อยากร่ำอยากรวย ใครก็อยากดีอยากเด่น ต้องการแต่ความสรรเสริญ ความนินทาไม่ต้องการคือกิเลส
กิเลสนี่ต้องการความสรรเสริญอย่างเดียวเท่านั้น อย่างที่พูดเมื่อวานนี้ อยู่ในเรือนจำไปยกยอมันสักหน่อยแล้วขี้แตกป้าดอย่างที่ว่านี่ มันชอบที่สุด กิเลสมีความบกพร่องตลอดเวลา จึงชอบแต่สิ่งส่งเสริม ต้องมีสิ่งส่งเสริมตลอดกิเลสถึงอยู่ได้ กิเลสมีความบกพร่องต้องการความเยินยอสรรเสริญ โลภมากก็คือกิเลส ได้เท่าไรไม่พอคือกิเลส เสริมด้วยโกรธมาก ราคะตัณหามาก มีแต่ความไม่พอ ๆ เพราะฉะนั้นจึงทำให้สัตว์ดิ้นกันทั่วโลกดินแดน
เราจวนจะตายจึงได้ประกาศออกมาเรื่อย ๆ ถอดออกมาจากหัวใจ ดูมันตลอด แต่ธรรมดูไม่เหมือนโลกดู รู้เหมือนไม่รู้ เห็นเหมือนไม่เห็น ไม่ดีดไม่ดิ้น ไม่ผลักไม่ดัน เหมือนไม่รู้ไม่เห็น ถึงกาลเวลาที่ควรจะนำมาพูดก็ออกมาพูดตามนี้ พอจบนี้แล้วปั๊บเหมือนกับปิดลิ้นชักล็อกไว้เลย เป็นอย่างนั้น ธรรมพอดีตลอด ไม่ดีดไม่ดิ้น ธรรมคือความพอ ธรรมนี้พอ กิเลสไม่มีพอ เป็นคู่แข่งกัน ธรรมนี้พอ เริ่มตั้งแต่ศีลมีในหัวใจเรา เรารักษาศีล ไปไหนพอตัวอยู่ตลอดเวลา นั่นเห็นไหม จะต้องการศีลให้บริสุทธิ์อะไรยิ่งกว่านี้ ก็มันเต็มแล้วในหัวใจเรา เรารักษาด้วยความเข้มงวดกวดขัน มีความอบอุ่นเต็มตัวของเราแล้วเราไปหวังอะไรอีก
เพียงศีลนี้ก็พอ เต็มตัว ไปไหนสบาย ไปไหนอาจหาญชาญชัย ไม่สะทกสะท้านกับความเป็นความตาย เรื่องความผิดความถูกรักษาอยู่แล้วผิดมาจากที่ไหน มีแต่ความอบอุ่นภายในใจ ไปอยู่ในป่าในเขาศีลเท่านั้นพอนะ มีความอบอุ่น ตายแล้วจะต้องไปสวรรค์ มันแน่อยู่ในหัวใจ เป็นอย่างนั้นนะ นี่ศีลก็พอ ไม่ไปหาที่ไหนอีกแล้ว เต็มตัวในผู้มีหิริโอตตัปปะ รักษาศีลเต็มตัว ไปที่ไหนอบอุ่นตลอดเวลา
พูดถึงขั้นสมาธิ สมาธิอบรม ตั้งแต่จิตฟุ้งซ่านรำคาญวุ่นวาย นี่คือตัวกิเลสนะ กิเลสมันผลักมันดันให้หิวให้โหยให้ดีดให้ดิ้นตลอดเวลา นี่คือกิเลส พากันจำเอาไว้นะ จะไม่ให้อยู่เลยนะ พอตื่นนอนขึ้นมานี้กิเลสจะเริ่มทำงานแล้ว คิดอ่านปรุงแต่งเรื่องนั้นเรื่องนี้ตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับ คิดไม่หยุดไม่ถอยคิดมากต่อมาก ถึงขนาดมานอนยังไม่หลับ นั่นละความคิดของกิเลสพาไป ทีนี้เวลาอบรมธรรมนี้ ความคิดมาก ๆ นั้นตีเข้ามาหาความสงบเย็น เช่นอย่างท่านสอนว่าให้ภาวนาพุทโธอย่างนี้ พุทโธเป็นแหล่งหรือเป็นจุดสำคัญที่จะให้ความรู้มารวมตัวอยู่ที่นั่น
เวลาปกติแล้วความรู้จะซ่านไปเหมือนตากแห ซ่านไปตามอารมณ์ที่กิเลสมันผลักมันดัน ไม่ใช่ทางนู้นมาดึงออกไปนะ อันนั้นมาดึงนะ กิเลสตัวอยู่ภายในนี้มันผลักดันออกไป มันอยากมันหิวมันโหยมาก อยากคิดเรื่องนั้น อยากได้เรื่องนี้ อยากเห็นเรื่องนั้น อยากสัมผัสสัมพันธ์ มีแต่อยาก ๆ เต็มหัวใจ แล้วก็ผลักดันใจไปให้คิดไม่อิ่มไม่พอ จนกระทั่งหลับยังไม่พอ นี่ละเรียกว่ากิเลส ไม่มีคำว่าพอ หิวตลอด พาคิดเท่าไรยิ่งไปใหญ่เลย คำว่าพอไม่มี
ทีนี้พอเราไปอบรมภาวนา จิตฟุ้งซ่านขนาดไหนก็เคยได้พูดให้พี่น้องทั้งหลายฟังแล้ว ตั้งหน้าตั้งตาขึ้นภูเขาจะไปฟัดกับกิเลสอย่างเต็มเหนี่ยว มันฟาดเราเสียน้ำตาร่วง หงายหมาลงมา เราไม่ได้ลืมนี่ นี่ละเวลากิเลสมันฟุ้งซ่านมาก ๆ เอาบริกรรมพุทโธ ไม่อยู่นะ เลยไม่ทราบพุทโธไปไหน มีแต่กิเลสลากไป ๆ จนกระทั่งงงในตัวเอง เหอ นี่มาภาวนายังไง มีแต่เรื่องกิเลสเพ่นพ่าน ๆ ลากออกตลอดเวลา แต่ความพยายามไม่ถอย นี่สำคัญตรงนี้ ฟิตไม่ถอย ๆ สู้ครั้งนี้ไม่ได้ สู้ครั้งต่อไปอีกไม่ได้ สู้อีก ฟิตอยู่เรื่อย ๆ กำลังวังชาของเรา ครั้นต่อไปทีนี้จิตของเราก็ค่อยสงบเข้า
นี่ละที่เราบอกให้จับว่า เอาพุทโธไว้นะ จะเป็นจะตายจะได้จะเสียจะโง่หรือฉลาดก็ตาม อย่าปล่อยพุทโธ จุดนี้เป็นจุดผู้รู้จะรวมตัวให้เกิดความฉลาด และตั้งรากตั้งฐานได้จากจุดผู้รู้ที่รวมด้วยอำนาจของพุทโธมีสติควบคุมเอาไว้ และตั้งได้ตรงนี้ ทีนี้พอจิตสงบแล้วเรื่องผลักดันที่จะให้คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ก็เบาลง เพราะพุทโธบีบหัวมันไว้ ความคิดความปรุงที่มันอยากมันหิวโหยตลอดเวลา มันจะค่อยอ่อนตัวลงไป ๆ พุทโธคือความสงบใจทับหัวมันลงไป ๆ ทีนี้เมื่อพุทโธเราบริกรรมมาก ๆ เข้า ความรู้ของเราก็เด่นอยู่กับพุทโธล่ะซี พุทโธกับผู้รู้ก็เป็นอันเดียวกัน ทีนี้สงบเย็น ความคิดความปรุงถือว่าเป็นความรำคาญไปหมดนะที่นี่
แต่ก่อนมันอยากคิดอยากปรุง ทีนี้เวลาความสงบมีอำนาจมากกว่า มีรสมีชาติมากกว่าทับหัวมันไว้ จิตเลยสนใจอยู่กับความสงบ อบอุ่นอยู่กับความสงบ ความคิดความปรุงอะไรนี้กลายเป็นเรื่องรำคาญไป ไม่อยากคิด คิดสิ่งเหล่านั้นเป็นฟืนเป็นไฟ คิดพุทโธไม่เป็น มันก็เทียบกันได้ทันที นี่ละทีนี้เวลาเราสรุปเลยนะ จากพุทโธนี้จิตมีความสงบเย็นแล้วก็แน่นหนามั่นคงเป็นสมาธิ สมาธิเต็มภูมิเหมือนภูเขา จิตนี้แน่นปึ๋งเหมือนภูเขา นี่ก็พอ
นั่นเห็นไหมธรรมมีความพอนะ สมาธิเต็มภูมิแล้วเหมือนน้ำเต็มแก้ว จะเทมาเท่าไรก็ตามเถอะล้นหนีหมด ล้นออกหมด ไม่มีค้าง ค้างอยู่เฉพาะที่ขอบปากแก้วเท่านั้น น้ำมีเท่านั้น ทีนี้สมาธิเต็มภูมิก็อย่างนั้นเหมือนกัน ไม่เลยนั้น นี่ละเรียกว่าธรรมมีความพอ ทีนี้พอออกจากนี้ถึงด้านปัญญา ด้านปัญญาฟัดกับกิเลส ทีนี้ยิ่งกระจ่างแจ้งไปเรื่อย ๆ ความเฉลียวฉลาดอาจหาญชาญชัย รู้ซอก ๆ แซก ๆ ซิก ๆ แซ็ก ๆ ซึ่งไม่เคยรู้เคยเห็น มันหากเห็นมันหากรู้ เพราะใจเปิดออก ๆ สิ่งเหล่านั้นมีอยู่แล้ว ๆ เป็นแต่เพียงว่าถูกกิเลสปิดหูปิดตาไว้ไม่ให้เห็นเท่านั้นเอง
พอปัญญาเปิดออก ๆ เปิดไปตรงไหนมันก็เห็นล่ะซี เห็นไปเรื่อย กระจ่างไปเรื่อย แจ้งไปเรื่อย ทีนี้ปัญญาออกเลยที่นี่ นี่ละปัญญา ปัญญาก็พอ นั่นเห็นไหมล่ะ ศีลก็พอ สมาธิเต็มภูมิแล้วพอ ปัญญาทีนี้เวลาเบิกกว้างออกไป กิเลสมีอยู่มากน้อยเพียงไรตามต้อนตามฟันตามเผากันเรื่อย ๆ กว้างไปเรื่อย ๆ กิเลสหนาแน่นขนาดไหน สติปัญญาผาดโผนโจนทะยานฟัดกันเต็มเหนี่ยว ๆ อันนั้นขาดสะบั้นลงไป ๆ ส่วนละเอียดยังมีเหลือตามต้อนกันเข้าไปเรื่อย ๆ
เอาจนกระทั่งสุดยอดเลยนะที่นี่นะ พอปัญญาถึงขั้นฆ่ากิเลสไม่มีอะไรเหลือภายในใจ ขาดสะบั้นลงจากใจแล้ว ปัญญาที่เป็นธรรมจักรหมุนติ้วตลอดนั้นไม่ต้องบอก หยุดเอง ไม่ต้องบังคับว่าทำงานนี้สำเร็จแล้ว ปัญญาเรียกว่าเครื่องมือของเรานี้ปล่อยได้แล้ว ไม่ต้องบอกปล่อยเอง เหมือนเขาทำงานอะไรของเขาเสร็จแล้วเขาก็ปล่อยเครื่องมือของเขาเอง อันนี้สติปัญญาที่ฆ่ากิเลสเท่านั้นไม่ใช่เพื่ออะไร ฆ่ากิเลสเป็นสำคัญ พอกิเลสขาดสะบั้นไปจากใจแล้ว ปัญญาก็พอ เห็นไหม สติปัญญาอัตโนมัติ มหาสติมหาปัญญา ไปพอที่กิเลสขาดสะบั้นลงจากใจโดยสิ้นเชิง สติปัญญาเหล่านี้จะหยุดตัวทันที โดยไม่ต้องไปบอกไปกล่าวไปหักห้ามอะไรเลย นั่นพอ
ทีนี้จิตพอเข้าถึงขั้นพอแล้วก็พออีก นิพพานเที่ยง จิตเที่ยง ถามหากับใครวะ ก็รู้เจ้าของเอง นั่นละธรรมพอเป็นลำดับ ๆ ถ้ากิเลสแล้วไม่มีคำว่าพอ ได้เท่าไรเอาให้ตายจริง ๆ ขึ้นชื่อว่ากิเลสจะพาคนไปสวรรค์นิพพาน ไปถึงขั้นเมืองพอไม่เคยมี ถ้าธรรมพอเป็นลำดับ ถ้ากิเลสมีแต่หิวเป็นลำดับลำดา เอาจนกระทั่งล่มจมหมดเนื้อหมดตัว จมลงไปนรกอเวจี มีแต่กิเลสพาไปนั่นละ คือไม่พอ ๆ ถึงขั้นตกนรกอเวจี นี่ละคำว่ากิเลส เวลานี้กำลังตีตลาดในเมืองไทยเรา อยู่ที่ไหน ๆ เห็นแต่คนดีดคนดิ้นเป็นบ้ากับความโลภ กับชื่อกับเสียง กับยศ กิตติศัพท์กิตติคุณ อยากให้เขายกยอ พูดง่าย ๆ ว่าอย่างนี้นะ อยากมีหน้ามีตา อยากให้เขายกยอสรรเสริญ กิเลสมันอยากอยู่อย่างนี้ เงินกองเท่าภูเขายังไม่พอนะ ยังอยากมากกว่านี้อีก ก็คือความอยากมันไม่พอ อยากตลอดเวลาเอาจนตาย นี่กำลังกิเลสตีตลาดเวลานี้
พูดแล้วเราสลดสังเวชนะ ก็มันเห็นตลอดเวลา เอาอะไรมาปิดหัวใจดวงนี้ได้ เวลามันเปิดมันเปิดตลอดเวลาจะว่าไง เวลามันปิดทำยังไงมันก็ไม่เห็น สิ่งเหล่านั้นมีอยู่มาตั้งกัปตั้งกัลป์ก็ไม่เห็นจะว่าไง แต่เวลามันเปิดออกแล้วจ้าทันทีเลย ไม่ต้องคำนึงอดีตอนาคต จ้าอยู่กับหัวใจนี้แล้ว ประจักษ์อยู่นี้แล้วถามใคร เท่านั้นพอ นี่ละธรรมแล้วพอนะ ให้พากันตั้งใจอบรม
ต้องฝึกนะจิต ไม่ฝึกไม่ได้นะ จะปล่อยให้มันดีเองไม่มีทาง ตายทิ้งเปล่า ๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไร ต้องฝ่าต้องฝืนกัน เอา มันเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าควรหลับนอน เอ้า นอนเสียก่อน พักเสียก่อน การอยู่การกินการหลับการนอน เป็นของคู่เคียงกันกับธาตุกับขันธ์กับจิตใจด้วย จิตใจก็ต้องมีการพักผ่อนทางธาตุขันธ์ มันก็มีกำลังทางหนึ่งของจิต ควรแก่สมาธิ แก่ปัญญาการบำเพ็ญสมณธรรม ควรไปหมด ถ้าเราได้พักผ่อน การกินอยู่ปูวายจึงเป็นของจำเป็นสำหรับธาตุขันธ์และจิตใจ แทรกอยู่ในนั้นด้วย พอเราเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าไปนอนหลับ ตื่นขึ้นมาแล้วก็ เอ้า ทีนี้เริ่มงานทำงาน เวลาเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าจะพักผ่อนนอนหลับ นอนได้จะเป็นอะไร
คำว่ากิเลสหลอกคนมันหลอกสำหรับคนหมูขึ้นเขียง มันขี้เกียจขี้คร้านตลอดวัน เรียกว่ากิเลสหลอก หลอกตลอดวัน ถ้าผู้มีความพากความเพียรมีการพักการทำงานแล้วไม่เรียกว่ากิเลสหลอก อะไรก็จะว่ากิเลสหลอก แล้วอะไรก็จะว่ากิเลสพาดีไปหมดใช้ไม่ได้นะ ธรรมท่านไม่ได้มีแง่เดียวคมเดียว มีหลายสันพันคมพลิกแพลงเปลี่ยนแปลง คิดให้เป็นธรรมเป็นได้ตลอด คิดให้เป็นกิเลสเมื่อไรเป็นได้ตลอด สถานที่เกิดของธรรมของกิเลสคือหัวใจ นั่นละบ่อเกิดของมัน กิเลสเกิดขึ้นที่นั่น พาให้เกิดกิเลสเมื่อไรเกิดได้ทันที พาให้เกิดธรรมเมื่อไรไม่ต้องไปเรียนท่องบ่นสังวัธยายในคัมภีร์ใบลาน กิเลสจริง ๆ ไม่มีคัมภีร์ อยู่ในหัวใจ ธรรมจริง ๆ ไม่มีคัมภีร์อยู่ในหัวใจ ค้นเข้าไปตรงนั้นจะเจอทั้งสองอย่างนี้อยู่ในหัวใจของเรา แก้ก็แก้ตรงนี้ สั่งสมก็สั่งสมที่นี่ เวลาแก้กิเลสก็แก้ที่หัวใจของเรา เวลาเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าควรพักผ่อนนอนหลับเราก็พัก ไม่ใช่จะเตลิดเปิดเปิงไม่รู้จักเวล่ำเวลา ไม่ใช่ทาง ต้องเดิน ต้องยืน นั่ง นอน พักผ่อนแล้วทำความเพียรให้สม่ำเสมอกับธาตุกับขันธ์นี้ถูกต้อง
เราก็เคยพูดให้ฟังแล้วเกี่ยวกับเรื่องของเราซึ่งเป็นนิสัยผาดโผน เราถึงได้เทิดสุดหัวใจเรา คือพ่อแม่ครูจารย์มั่นนี่แหละ ไม่มีที่ต้องติเลยนะ ตั้งแต่แรกไปอยู่กับท่านจนกระทั่งท่านมรณภาพจากไปก็เป็นเวลา ๘ ปี หาข้อตำหนิท่านไม่ได้เลย ฟังซิ ไม่ว่าจะกิริยาอาการความเคลื่อนไหวไหนมีหลักธรรมวินัยประจำ ๆ ไม่มีเคลื่อนคลาดเลย เอ้า ถ้าพูดถึงเรื่องหลักธรรมะก็เหมือนกัน เวลามันผาดโผนมันผาดโผน หัวใจไม่รู้จักประมาณก็ต้องเป็นอย่างนั้น เวลาขี้เกียจมันก็ขี้เกียจแบบผาดโผนเหมือนกัน นอนหมอนแตกแล้วหาหมอนมาใหม่ นี่มันผาดโผน หมอนแตกแล้วหาใหม่มา หมอนนี้ใช้ไม่ได้ ให้ไปหาหมอนใหม่มา หาหมอนใหม่มาก็แตกหมดใช้ไม่ได้เหมือนกัน เพราะเหตุไร เพราะคนมันใช้ไม่ได้ พวกหมอนแตก เสื่อขาด พวกนี้ มันไม่รู้จักประมาณ
อย่างที่ว่าเราทำความเพียรเหมือนกัน ก็เคยมาเล่าให้พี่น้องทั้งหลายฟัง เพราะนิสัยผาดโผนโจนทะยาน ครั้นเวลาได้ที่กับกิเลส ฟาดกิเลสได้หมอบลงเป็นขั้น ๆ ทีนี้เราขยับใหญ่เลย ฟาดนี้เอาจนกระทั่งก้นแตก นั่งภาวนาก้นแตกไม่สนใจ เอาให้กิเลสแตกอย่างเดียว นั่นเห็นไหมมันผาดโผน ท่านก็รั้งเอาไว้ปึ๋งเลย เห็นไหมล่ะ โอ๋ย ยอมเลยนะ เราไม่ได้ลืม ไปทีแรกท่านก็ยอ ยุให้หมา เรากำลังเป็นหมาเต็มตัวร้อยเปอร์เซ็นต์ หมาบัวเข้าใจไหม หมาบัวร้อยเปอร์เซ็นต์ พอขึ้นไปเล่าภาวนาให้ฟังแบบอัศจรรย์ของภูมิของเรานั่นแหละ ท่านก็ยอหน่อย เอ้อ เอาละที่นี่ได้หลักแล้วฟาดมันลงไป อัตภาพนี้มันไม่ได้ตายถึง ๕ หน มันตายหนเดียวเท่านั้น โอ๋ย หมาตัวนี้ลงมาแล้วทั้งจะกัดจะเห่า มองเห็นใบไม้สดใบไม้แห้งจะกัดจะเห่าทั้งนั้น นี่ละมันผาดโผน
เว้นสองคืนสามคืนขึ้นไปหาท่าน ฟัดกันเลยทีเดียว เห็นไหมธรรมเกิดขึ้นในใจมันสะทกสะท้านกับอะไรเมื่อไร กิริยาอย่างนี้เราไม่ได้เคยใช้กับท่านนะ แต่เวลาอำนาจของจิต อำนาจของธรรมที่มันเต็มหัวใจอยากจะเล่าถวายท่าน ไม่ใช่อยากจะไปอวดนะ อยากไปเล่าถวายท่าน ด้วยความภูมิใจของเราด้วย และเมื่อผิดถูกประการใดท่านจะแนะด้วย เวลาขึ้นไปนี้ผาง ๆ เลย ทีนี้ท่านก็ยอให้ พอจบลงแล้ว เอ้อ เอาละทีนี้ได้หลักแล้ว ท่านยอให้หมาตัวนี้มันเห่า ทั้งเห่าทั้งกัด เว้นสองคืนสามคืนขึ้นไป ๆ พอหนักเข้า ๆ เอาละที่นี่ เห็นไหมล่ะ นั่นละท่านรู้จักความผาดโผน มันผาดโผนเกินไปท่านก็รู้ ท่านรั้งเอาไว้ พอขึ้นไปนั่งปั๊บยังไม่ได้เล่าอะไรถวายท่านเลย กิเลสไม่ได้อยู่ที่กายนะ อยู่ที่ใจนะ ขึ้นเลย เปรี้ยงมาเลย กิเลสอยู่ที่ใจ มันไม่ได้อยู่ที่กาย
ท่านก็ยกม้ามาข้อเปรียบเทียบ นี่ก็มีในชาดกแล้วเราก็เรียนมาแล้วสงสัยอะไร เป็นแต่เพียงไม่รู้จักใช้เท่านั้นเอง มันผาดโผน ถ้าใช้ตามม้านั้นก็ไม่ผาดโผน ทีนี้เรามันกลายเป็นหมา ไม่ได้เป็นม้า จากนั้นท่านก็ยกม้าตัวที่ผาดโผนโจนทะยานแล้วเขาฝึกกันอย่างหนัก ไม่ควรกินหญ้าไม่ให้กิน ไม่ควรกินน้ำไม่ให้กิน ฝึกกันอย่างหนักทีเดียว จนกว่าว่าม้านั้นจะลดพยศลงมากน้อยเพียงไร การฝึกทรมานเขาก็ลดลงตามส่วน จนกระทั่งม้าใช้งานใช้การได้แล้วเขาก็ใช้ธรรมดา ว่าเท่านั้นละ ท่านไม่ได้บอกว่าหมาตัวนี้มันผาดโผนยิ่งกว่าม้า ท่านไม่ว่า เรายังเสียดายอยากให้ท่านว่าอยู่ มันไม่ถึงใจเรานี่น่ะ ท่านก็ไม่ว่าแหละ เท่านั้นละ แต่เราเอามาเทียบทันที
จากนั้นมาเราก็ไม่ได้เคยนั่งตลอดรุ่ง ไม่อย่างนั้นมันยังจะเอาอีกอยู่นะ นั่นเห็นไหม นี่ละความผาดโผนโจนทะยานไม่รู้จักประมาณ เพราะงานไม่เคยทำ ทางไม่เคยเดิน ก็ต้องมีสงสัยสนเท่ห์หลงลืม มีหนักบ้างเบาบ้าง พอท่านรั้งปุ๊บเท่านั้นก็หยุดทันทีเลย นี่เราพูดถึงเรื่องผู้รู้กับผู้หลงกับผู้มืดผู้สว่างต่างกันอย่างนี้ ท่านรั้งเอาไว้ตรงไหนหยุดกึ๊กเลยเรา จากนั้นมาเราไม่เคยนั่งตลอดรุ่ง นี่พูดถึงเรื่องกิเลสมันผาดโผนโจนทะยาน ฟาดกันจนกระทั่งน้ำตาร่วง เวลามันเอาเราเอาน้ำตาร่วง เวลาเราได้ที่ก็ฟาดมันเหมือนกัน น้ำตาไม่ร่วงแต่ก้นแตก นี่ขั้นเริ่มแรกฟัดกับกิเลส ที่ว่าได้ทีขั้นนี้แล้วเอากันใหญ่เลย จากนั้นมาก็ไม่มีถอย ซัดกันเรื่อย ๆ เลย อำนาจของกิเลสของเล่นเมื่อไร การฝึกต้องให้รู้จักประมาณพอดิบพอดี อย่าผาดโผนโจนทะยานเกินเหตุเกินผล
เอ้า ทีนี้พูดถึงเรื่องไล่ออกจากสมาธินี้ ขึ้นถึงขั้นปัญญาก็เหมือนกัน ปัญญาไม่ได้หลับได้นอนทั้งคืนทั้งวันอีกละ กลางวันไม่ยอมนอนเลย หมุนติ้ว ๆ เป็นอัตโนมัติ นี่ละความเพียรอัตโนมัติ ธรรมเป็นอัตโนมัติเป็นอย่างนั้น ฆ่ากิเลสโดยอัตโนมัติเหมือนกัน เหมือนกับกิเลสทำลายสัตวโลกโดยอัตโนมัติของมัน เมื่อธรรมมีกำลังแล้วธรรมก็ทำหน้าที่เป็นอัตโนมัติ ให้มันเห็นในหัวใจเจ้าของจะสงสัยที่ไหน พูดได้อย่างอาจหาญชาญชัยซิ ลืมหลับลืมนอน กลางคืนนี้ตลอดรุ่งไม่ได้นอน นอนก็ไม่หลับ นอนจิตก็ทำงานของมัน ฆ่ากิเลสตลอดในท่านอน เอ้า นั่งฆ่าท่านั่ง เดินฆ่าท่าเดิน ไม่หยุดไม่ถอย สุดท้ายเจ้าของก็จะตาย
นี่ก็ไปเล่าถวายท่านอีก นี่ที่พ่อแม่ครูจารย์ให้ออกทางด้านปัญญา เวลานี้มันออกแล้วนะ มันออกยังไงท่านก็ว่า อู๋ย มันไม่ได้หลับได้นอนเลย กลางคืนทั้งคืนไม่ได้นอน กลางวันมันยังไม่นอนอีก นั่นละมันหลงสังขาร นั่นเห็นไหม คำว่าสังขารท่านพูดกับเราท่านจะไม่แยกแยะนะ ถ้าเป็นไม้ก็เอาไม้ทั้งท่อนให้เราเลื่อยเอง ทุกอย่างพูดกับเราท่านจะไม่ท่านจะไม่พูดแจกแจงไปไหน ท่านจะเอาไม้ก็ไม้ทั้งท่อนทิ้งตูมมาเลย เอ้าท่านฉลาดอยากทำอะไรกับไม้ท่อนนี้ก็ให้ทำ ไม่ฉลาดก็นอนตายอยู่นี้ ความหมายก็ว่างั้นแหละ ท่านใส่แต่ตูม ๆ อย่างนั้นแหละ นั่นละมันหลงสังขาร เท่านั้นนะ ถ้าไม่พิจารณามันก็ไม่รู้ นั่นละบ้าหลงสังขาร ขึ้นใหญ่เลยเทียวนะ เราก็หมอบ คราวนี้เห็นจะถูกของท่านละ
แต่มันไม่ถอยนะความหมุนของจิตนี่ ไปฟัดกันเต็มเหนี่ยว มันจะเป็นจะตายแล้วย้อนเข้ามาสู่สมาธิ เข้าสมาธิแล้วจิตสงบเย็นลงไป เหมือนถอดเสี้ยนถอดหนาม พอได้จังหวะแล้วดีดผึงออก คำว่ามันหลงสังขารคือสังขารมี ๒ ประเภท สังขารฝ่ายสมุทัยคือกิเลสทำงาน เอาสังขารออกใช้ สังขารฝ่ายมรรค เช่นคิดอ่านไตร่ตรองด้วยสติปัญญา ก็ใช้สังขารฝ่ายมรรค ถ้าใช้สังขารฝ่ายมรรคนี้ไม่รู้จักประมาณ สังขารฝ่ายสมุทัยมันแทรกเข้ามานี้ สังขารฝ่ายมรรคนี้กลายเป็นสมุทัยไปด้วยกันได้
แต่ท่านไม่ได้แยกนะอย่างนี้ เวลาผ่านไปแล้วถึงรู้ ท่านบอกว่านั่นละมันหลงสังขาร คือใช้ไม่รู้จักประมาณ มันหลงสังขารจนเป็นเรื่องสมุทัยไปแล้ว ความหมายว่าอย่างนั้น ให้ยับยั้งให้พอเหมาะพอดี เวลาผ่านไปแล้วถึงมารู้ทีหลัง ๆ อย่างนี้ละเราแจงเอง ท่านโยนให้ทั้งท่อนเลยเราไปแจง ตรงไหนถูกหมด ๆ ท่านอาจจะให้เราคิดเองทุกอย่าง คิดว่าอย่างนั้น มันโง่นักบ้าตัวนี้นะ โยนไม้ทั้งท่อนให้มันไปเลื่อยเอาไปจาระไนเอา เพราะมันโง่มาก คงว่าอย่างงั้นท่า ท่านจึงไม่แจงให้เรานะ ใส่อะไรมาตูม ไม้ก็ทั้งท่อนเลย ให้เราไปคิดพิจารณาแจงเอง แล้วย้อนหลังรู้ตาม ย้อนหลัง ๆ ยอมรับ ๆ
นี่เราพูดถึงเรื่องความรู้จักประมาณ ไม่ใช่ผาดโผนโจนทะยานอย่างเดียว มันควรจะพักจะหลับจะนอนก็พัก ไม่หลับนอนได้ยังไง ธาตุขันธ์มันมีความต้องการอย่างนั้น ฝืนเกินไปก็ไม่ดี ส่วนอรรถส่วนธรรมของเรา ความรู้จักประมาณที่เราจะบำเพ็ญ เราก็ต้องบำเพ็ญไปอย่างนั้นถึงถูก จะไปทำสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้นะ สำคัญให้ฟังเสียงครู เรายกตัวอย่าง อย่างเราฟังเสียงพ่อแม่ครูจารย์ ฟังจริง ๆ เพราะท่านรู้นิสัยเรา ก็รู้แล้วว่าไม่ลงใครพระบ้าตัวนี้ ไม่อยากว่าบ้าองค์นี้นะ ว่าพระบ้าตัวนี้ว่างั้นเลย มันไม่ลงใครง่าย ๆ แหละ
ความหมายก็ว่า คือมันลงเฉพาะเรา เราเท่านั้นจะเขกกบาลมันได้ คนอื่นมาเขกไม่ได้เดี๋ยวมันต่อยเอา มันต่อยง่ายอยู่นะ มาไม่เข้าท่าซัดปุ๊บเลยนะ กับพ่อแม่ครูจารย์มีแต่หมอบท่าเดียว นั่นละท่านถึงใส่เปรี้ยง ๆ ถูกหมดเรื่องพ่อแม่ครูจารย์ แล้วเราไม่ฝืนด้วยนะ หมอบตามท่าน ๆ ได้อย่างนั้นนะ นั่นละท่านรู้ฉลาดทุกอย่าง ท่านแนะตรงไหนให้ฟังเสียงครูเสียงอาจารย์ ครูบาอาจารย์องค์ประเภทใดที่ควรจะฟังเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์มันจะรู้เอง อย่างพ่อแม่ครูจารย์นี้ล้านเปอร์เซ็นต์เราก็ยอมรับเลย เรียกว่าสุดขีดสุดแดนหาที่ต้องติไม่ได้แล้ว
นี่ละเราได้เป็นผู้เป็นคนมาบ้างทุกวันนี้ ก็เพราะพ่อแม่ครูจารย์มั่น จึงว่าโรงงานใหญ่ว่างั้นเลย พ่อแม่ครูจารย์มั่นนี้คือโรงงานใหญ่สำหรับผลิตลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลาย บรรดาครูบาอาจารย์ทั้งหลายมีปรากฏชื่อลือนามอยู่ทั่วประเทศไทยเรียกว่าทุกภาค เป็นลูกศิษย์ของพ่อแม่ครูจารย์มั่นทั้งนั้น ๆ นั่นเห็นไหม จึงเรียกว่าโรงงานใหญ่คือพ่อแม่ครูอาจารย์มั่น ผลิตลูกศิษย์ลูกหาให้เป็นอรรถเป็นธรรม จนกระทั่งถึงขั้นเลิศเลอ ๆ ไปเยอะ ออกจากโรงงานใหญ่คือพ่อแม่ครูจารย์มั่นนั่นเอง นี่ละข้อสำคัญก็ขอให้รู้จักประมาณในการปฏิบัติตัว อย่าให้ผาดโผนโจนทะยาน ที่ท่านเตือนตรงไหนให้ยึดให้เกาะจับตรงนั้นเอาไว้ อันอย่างอื่นที่ปลอมแปลงมันมีกำลังมากจะมาฉุดมาลาก อย่าไปกับมัน ฝืนไว้เพื่ออรรถเพื่อธรรมที่ครูบาอาจารย์สั่งสอนแล้ว ให้ยึดนี้ไว้ให้ดี ๆ ไม่งั้นไปไม่รอดนะ
ทางไม่เคยเดินเราจะไปโดยลำพังเรา ดื้อด้านไม่ได้นะ ผู้ท่านเคยเดินท่านคล่องพอแล้ว เราไม่เคยเดินโซซัดโซเซชนไม้ชนต้นเสาจนตกเหวตกบ่อ ผิดทางไปได้ ต้องไปตามคนตาดีพูดง่าย ๆ ว่างั้น วันนี้ก็พูดเพียงเท่านี้เห็นจะพอดีมัง ว่าจะไม่นานก็นานเอง
พวกเด็กที่สอนตะกี้นี้ให้รู้จักประมาณ เข้าใจไหมรู้จักประมาณ ไม่ใช่กลับไปนี้ให้ไปด่าพ่อด่าแม่ พวกนั้นมันพวกหมา ไปหากัดพ่อกัดแม่ไม่มีที่อื่นกัด กัดที่อื่นเขาจะเขกกบาลล่ะซิ มันก็ไปกัดพ่อกัดแม่ เพราะพ่อแม่เลี้ยงมันมามันตายใจ จะว่าอะไรพ่อแม่ ไม่ว่าอะไร เราก็แว้ ๆ ๆ ถ้าหลวงตาบัวเป็นพ่อเป็นแม่จะฟาดปากมันเลย เอาละให้พร
เปิดดูข้อมูล วันต่อวัน ทันต่อเหตุการณ์ หลวงตาเทศน์ถึงเรื่องอะไร www.luangta.com