(ผู้ฟังเทศน์นักเรียน ร.ร.ค่ายประจักษ์ ๑๐๐ คน ประชาชน ๔๐๐ คน)
เมื่อวานนี้วันที่ ๑๐ ทองคำได้ ๑๒ บาท ๑ สตางค์ ดอลลาร์ ๑๑ ดอลล์ แพ้วันนี้หลุดลุ่ยเลย ดอลลาร์แพ้วันนี้มากเทียว ได้ไปทุกวัน ๆ เก็บไปตลอดนะ เมืองไทยเราเป็นเมืองเก็บหอมรอมริบเข้าสู่หลักใหญ่คือคลังหลวง หัวใจของชาติอยู่ที่นั่น เราอย่าเข้าใจว่าอยู่ลมหายใจเราฝอด ๆ นะ ลมหายใจเรามีฝอด ๆ ถ้าคลังหลวงขาดเสียอย่างเดียวนี้ขาดสะบั้นทั้งเป็น ดิ้นตายทั้ง ๆ ที่ยังไม่ตาย คลังหลวงลมหายใจใหญ่ขาด อันนี้ซึ่งมีลมหายใจฝอด ๆ อยู่ก็ดิ้นกันทั้งประเทศ ตาย เป็นสัตว์ไปเลย พากันจำอันนี้ให้ดี
เมื่อวานนี้โรงพยาบาลไหนน้ามา เราอ่านแล้วโรงนี้ดูเหมือนไม่เคยได้ยิน มาเมื่อวานนี้ ลืมแล้วไม่ทราบว่าชื่อว่ายังไง เดี๋ยวนี้โรงพยาบาลต่าง ๆ หลั่งไหลมาเรื่อย ๆ คงจะบอกต่อ ๆ กันไปท่า โน้นตั้งแต่อุบลฯ ร้อยเอ็ด มหาสารคาม มาหมดละแถวนั้นมาที่นี่ เพราะฉะนั้นโกดังต้องบรรจุไว้เต็มเอี๊ยด ๆ ตลอดเลย สิ่งที่เราให้ตามกำหนดให้กำหนดเท่านั้น ๆ ให้ครบหมด อันไหนขาดไม่ได้ต้องมาพร้อม ให้ได้ไปครบทุกโรงพยาบาลไป เพราะฉะนั้นของจึงต้องไปตรวจดูเรื่อย มีผู้ไปตรวจเป็นประจำ บกพร่องให้รีบสั่งมาทันที
เราอยู่ไม่อยู่ไม่สำคัญ เพราะเราสั่งตายตัวไว้แล้วขาดไม่ได้ ให้รีบสั่งทันที นอกจากว่าสุดวิสัย เช่นอย่างไม่มี จะว่าไม่ทันไม่ได้นะ ต้องทันว่างั้นเลย ไม่มีนี่สุดวิสัย เราจัดไว้เป็นประจำ โห น้อยเมื่อไรเข้าไปในโกดังนั่น แน่นเอี๊ยด ๆ สั่งมาเรื่อย ๆ ทางวัดเป็นพื้นฐานไว้เลยเทียว ทางอื่นก็มาช่วยกัน ทางนั้นมาบ้าง ทางนี้มาบ้าง เข้าเป็นส่วนเพิ่มเติม ๆ เข้าไปเรื่อย ๆ ขาดเหลืออะไรทางวัดต้องเป็นพื้นฐานรับรองไว้เลย ขาดไม่ได้บอกงั้นเลย เราสงสารขนาดนั้นละ
เพราะฉะนั้นโรงพยาบาลจึงหนักมาก หนักก็หนัก แต่หนักด้วยความสงสารของเราไม่เป็นไร เดี๋ยวนี้ทุกแห่งทุกหนทั่วประเทศไทยละ ทุกภาค สำหรับช่วยโรงพยาบาลทุกภาคหมดเลย สำหรับโรงพยาบาลนะเรียกว่าทุกภาค เมืองไทยเรามีกี่ภาค เราช่วยทุกภาค ๆ เป็นแต่เพียงได้มากได้น้อยต่างกัน ส่วนมากภาคอีสานจะมากกว่าเพื่อน เพราะภาคอีสานเป็นภาคคนจน เราพูดตรง ๆ อย่างนี้ละ ธรรมะต้องพูดอย่างตรงไปตรงมา บรรดาภาคทั้งหลายภาคอีสานด้อยกว่าเพื่อนในเรื่องความจน
แต่มีอันหนึ่งที่เป็นเครื่องเชิดกันไว้ ภาคอีสานเป็นภาคที่มีน้ำใจเด่นอยู่ แต่ไม่ได้หมายถึงเอาไปแข่งใครนะ เราหมายถึงว่าน้ำใจเป็นเครื่องเชิดความจนให้พี่น้องชาวไทยทั้งหลายได้เห็นใจกัน คนมีน้ำใจไปที่ไหนโลกเห็นใจทั้งนั้นแหละ คนไม่มีน้ำใจไปที่ไหนจืดจางว่างเปล่า ไม่ค่อยมีเพื่อนมีฝูงนะคนไม่มีน้ำใจ คนเห็นแก่ได้ คนมีน้ำใจนี่เฉลี่ยเผื่อแผ่ ถึงไหนถึงกันไปเลย นี่ละน้ำใจ น้ำใจไปที่ไหนไม่จนตรอก ให้พากันรักษาน้ำใจไว้ให้ดี
เมืองไทยเรานี้คน ๖๒ ล้านคน ให้ต่างคนต่างมีน้ำใจรวมกันแล้ว เป็นปึกแผ่นแน่นหนามั่นคงมาก น้ำใจเป็นของสำคัญ อยู่ด้วยกันด้วยน้ำใจ ไม่ได้อยู่ด้วยกันเฉย ๆ ให้มีน้ำใจต่อกัน ใครเป็นญาติกันทั้งนั้นแหละ ญาติพึ่งเป็นพึ่งตายกัน ใครมีความจนตรอกจนมุมที่ควรจะช่วยเหลือได้ให้ช่วยทันที ๆ เลย นี่ถูกต้องเหมาะสมกับหลักพุทธศาสนาซึ่งเป็นรากฐานชีวิตจิตใจของชาวไทยเรา คือพุทธศาสนา พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่มีน้ำใจเต็มเปี่ยม ไม่มีใครเกินพระพุทธเจ้าแหละ
ฟังซิว่า มหาการุณิโก นาโถ หิตาย สพฺพปาณินํ ที่ไหนเราก็สวดกัน แล้วแปลว่ายังไง พระพุทธเจ้าทรงมีเมตตามหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ และทำประโยชน์ให้สัตวโลกไม่มีประมาณ นี่ละแปลออกฟังเอา ฟังซิทำประโยชน์ให้แก่สัตวโลกไม่มีประมาณ นี่เพราะอำนาจแห่งความเมตตากรุณา สองอันนี้ละหนุน นี้เราเป็นลูกชาวพุทธ เราต้องเป็นคนมีน้ำใจต่อกัน
ย่นเข้ามาถึงวัด วัดเป็นหลักใหญ่ของน้ำใจ วัดเป็นพื้นฐานอันสำคัญของน้ำใจ ออกจากวัด วัดไหนไม่มีน้ำใจพระเณรก็ไม่ค่อยมี เป็นอย่างนั้นนะ ต่างกันนะ ถ้าวัดไหนที่มีน้ำใจแล้วถึงไหนถึงกัน พอพูดอย่างนี้ก็คิดถึงสมเด็จมหาวีรวงศ์ วัดพระศรีมหาธาตุ โอ๊ย นี่ไม่มีเหลือเลย น้ำใจเต็มเปี่ยมจริง ๆ ทางปริยัติเราเทิดสมเด็จมหาวีรวงศ์ องค์ที่สอง องค์ที่หนึ่งคือพ่อแม่ครูจารย์มั่น อยู่ในหัวใจเราทางฝ่ายปฏิบัติ องค์ที่สองทางฝ่ายปริยัติ คือสมเด็จมหาวีรวงศ์ ชื่อ พิมพ์ อันนี้ละอันหนึ่งอยู่บนหัวใจเราตลอดมาไม่จืดจางนะ เราไม่เหมือนใคร ถ้าลงฝังปั๊บแล้วไม่มีถอน เป็นอย่างนั้นละ ตายตัวเลย นี้องค์หนึ่ง มีเท่าไรเป็นหมด ๆ ไปที่ไหนยั้วเยี้ย ๆ มีแต่ลูกศิษย์ลูกหา
เรายังไม่ลืมนะ คือท่านพูดของท่านเฉย ๆ แต่เราอดคิดไม่ได้ คือพูดด้วยความเมตตา ถึงจะพูดยังไงก็อย่างว่า ไม่มีใครถือสีถือสา ท่านไปอุบลฯ ปีละครั้ง ๆ ท่านไปเยี่ยมแม่ท่าน เวลามานี้พวกชาวอุบลฯ เขาก็ขนสิ่งของ เฉพาะอย่างยิ่งเค็มหมากนัด(สับปะรดดอง) เต็มรถมา ทีนี้ตั้งแต่ต้นสถานีรถไฟทางโน้นถึงปลายทางเลยเขาไม่เก็บนะ ของมีเท่าไรขนขึ้นหมดไม่ได้เสียค่าระวางนะ ของท่านเอามาจากทางนั้นละ แล้วก็มีทุกอย่าง ไม่ว่าผ้าหมงผ้าไหม อะไร ๆ มีหมด เป็นเข่ง ๆ มา เอามาตั้งปึ๊บ ท่านมองเห็น โฮ้ ผ้าไหมนี่สำคัญนะ ท่านว่าอย่างนั้นนะ เราไม่ลืม นี่รีบเก็บนะ เดี๋ยวอีตาญาณฯ มันมามันเอาไปกินเงียบนะ อีตาญาณฯ ท่านว่า อีตาญาณฯ มามันเอาไปกินเงียบนะ แล้วท่านไม่เคยสนใจนะ พูดเท่านั้นแหละ
วันนั้นฉันเพล ตอนเช้าท่านฉันอะไรนิดหน่อยเท่านั้น ท่านฉันเพลทีเดียว เหมือนหนึ่งว่าฉันหนเดียว ตอนเช้าท่านจะฉันอะไรนิดหน่อยเท่านั้น ท่านไม่สนใจ ตอนเพลท่านถึงฉัน ทีนี้พอฉันตอนเพลท่านระลึกได้ยังไงไม่รู้นะ เอะใจขึ้นมา เอ้อ เค็มหมากนัดเราเอามาฉันสักหน่อยน่ะ เอามาแล้วยังไม่ได้ฉันเลย ท่านเองยังไม่ได้ฉันจริง ๆ มาเป็นเข่ง ๆ ไปไหนหมดไม่รู้ ทีนี้ก็ไป เอาเค็มหมากนัดมา เณรก็ปุ๊บปั๊บเข้าไปในห้องครัว ออกมาบอกว่า เค็มหมากนัดหมดแล้ว อันนี้เราก็ไม่ลืม หือ เค็มหมากนัดหมดแล้ว พวกเธอก็อยากเป็นเจ้าคุณเหมือนข้าว่ะ เท่านั้นละ เจ้าคุณไม่ได้กินเค็มหมากนัด พวกเณรเอาไปกินหมด พระเอาไปกินหมด อยากเป็นเจ้าคุณเหมือนข้าวะ เจ้าคุณไม่เห็นกินเค็มหมากนัด ไม่ได้กินเลย ลูกศิษย์ลูกหาเอาไปกินหมด
นี่เราพูดถึงเรื่องความเมตตาท่าน อู๊ย เก่งมากนะ มีเท่าไรชี้นิ้วได้เลยไม่มีเหลือ อำนาจความเมตตา เพื่อนฝูงไม่ว่าฝ่ายพระฝ่ายเณรฝ่ายฆราวาสเต็มไปหมด ท่านไปไหน นั่นเห็นไหมอำนาจความเมตตา ท่านเก่งมากนะถึงได้ขึ้นอยู่บนหัวใจเรา นี่เราพูดถึงเรื่องวัด วัดไหนสมภารวัดตระหนี่ถี่เหนียว ไม่ค่อยมีพระมีเณรนะ ถ้าวัดไหนมีอัธยาศัยกว้างขวางแล้วอย่างว่าละ ยิ่งพร้อมด้วยธรรมภายในใจด้วยแล้ว ยิ่งเป็นแม่เหล็กดึงดูดสำคัญ ๆ เป็นเองนะ นี่ละอำนาจแห่งธรรม มันดึงดูดอยู่ภายใน มองไม่เห็นนะข้างหน้า ด้วยตาเนื้อของเราไม่เห็น
กระแสของธรรมที่เข้าดึงดูดจิตใจของสัตวโลก เป็นอยู่ภายใน ๆ นั่นละเรียกว่าธรรม มองไม่เห็น แต่เป็นเครื่องดึงดูดกันภายในใจ เป็นนามธรรมด้วยกัน ใจเป็นนามธรรม ธรรมกับใจเข้าถึงกันเป็นนามธรรมด้วยกัน จึงไม่มีใครทราบ แต่มันดึงดูดอยู่ตลอดเวลา ธรรมกับใจของโลกดึงดูด ใครมีธรรมในใจมากน้อย เครื่องดึงดูดจะมีมากน้อยไปตามนั้นแหละ นี่เรียกว่าธรรม เข้าใจไหมล่ะ บางคนจะไม่เข้าใจว่าธรรมเป็นยังไง
คือกระแสของธรรมนี้ไม่มีใครทราบได้เลย แผ่กระจายครอบโลกธาตุ ธรรมเป็นอย่างนั้น แล้วเครื่องดึงดูด อะไรมีเครื่องรับก็รับกัน ๆ เครื่องดึงดูด คือใจใดที่มีสาระกับธรรมจะเข้ากันทันที ๆ ใจใดหมดสาระแล้วธรรมเข้าไม่ถึง นี่ละคนหมดคุณค่า มีหัวใจเหมือนกันก็ตาม หมดคุณค่าที่ธรรมภายในใจไม่มี ถ้าธรรมมีในใจมากน้อย แม้แต่สัตว์ก็ติดพันกันได้ สัตว์มีเมตตา อย่างโพธิสัตว์อย่างนี้ พระโพธิสัตว์เวลาท่านเสวยพระชาติเป็นสัตว์นี้ หากเป็นอยู่ในนั้นอย่างนั้นละ พระโพธิสัตว์นี้บริษัทบริวารมากตลอด และเป็นนักเสียสละตลอด นี่ละโพธิสัตว์ คือไม่เห็นแก่ตัว เห็นแก่เพื่อนฝูงด้วยกัน จะเป็นจะตายเจ้าของรับรองเลย เห็นได้ในชาดก
เช่นอย่างที่ว่า พาบริษัทบริวารไปหากิน บริษัทบริวารมากล่ะซี ทีนี้พวกนายพรานเขากางตาข่ายไว้ข้างหน้า ไม่รู้ พาบริษัทบริวารไปหากิน ไม่รู้ว่านายพรานเขากั้นตาข่ายไว้ข้างหน้า มันจะไปไม่รอดทำยังไง ท่านคิดทันทีเลย เตือนเพื่อนฝูงว่า เราจะเข้าสู่ที่สำคัญ คือเข้าสู่อันตราย พอเราเข้าสู่อันตราย เมื่อเหตุการณ์ชุลมุนให้พวกเพื่อนทั้งหลายต่างตัวต่างวิ่งเอาตัวรอดนะ พอว่าอย่างนั้นท่านก็บึ่งเข้าไปหานายพรานเลย แทนที่จะพากันวิ่งหนีไม่วิ่งนะพระโพธิสัตว์ เตือนลูกน้องทั้งหลาย เวลาเขาชุลมุน คือเขาจะยิงท่านหรืออะไร เพราะอยู่ ๆ ท่านวิ่งเข้าไปหานายพรานเลยมีอย่างเหรอ ธรรมดาสัตว์ทั้งหลายต้องกลัวตายใช่ไหม ต่างตัวต่างวิ่งหนี แต่โพธิสัตว์ไม่เป็นอย่างนั้น เตือนหมู่เพื่อนแล้วท่านก็วิ่งเข้าสู่ที่ชุลมุนเลย
ทีนี้คนนั้นก็จะยิงคนนี้ก็จะยิง จะยิงก็จะถูกกันซินายพราน กลัวยิงจะถูกกัน ท่านก็วิ่งผ่านนายพรานเข้าไปตรงนั้น คนนั้นก็จะยิงคนนี้ก็จะยิง เลยยิงไม่ได้สักคนเดียว เพราะมันจะถูกกัน พวกนี้ก็แตกฮือหนีหมดเลย พวกบริษัทบริวารเอาตัวรอดไปหมด ท่านเองท่านก็พ้นนะ แทนที่ไปนั้นเขาจะยิงเขายิงไม่ได้ มันจะถูกกันนายพราน ปืนจี้ไปทางไหนก็จะถูกกันทางนั้น เลยยิงไม่ได้ ท่านก็ผ่านไปได้ในช่องกลางนายพรานนะ วิ่งเข้าหานายพรานเลย ทีนี้คนไหนจะยิงมันก็จะถูกกัน ตกลงท่านก็เลยรอดพ้นไปได้ พวกบริษัทบริวารก็เผ่นหนีกันหมด นั่นเห็นไหม นี่ละโพธิสัตว์เป็นอย่างนั้น ท่านเอาตัวเข้ารับรองเลย ท่านไม่ได้มีคำว่าเอาตัวรอดนะโพธิสัตว์ ให้เพื่อนฝูงเอาตัวรอด ท่านยอมตายไปเลยทีเดียว
ในชาดกมี โอ๊ น่าอัศจรรย์นะ สัตว์ตัวไหนจะไปทำได้อย่างนั้น เราก็ไม่เคยมีใช่ไหมล่ะ ที่ตายที่นายพรานเขาเตรียมยิงอยู่นั่น ต่างตัวต่างจะวิ่งหนีซี พอวิ่งหนีปืนเขาก็กราดมาแล้วตายพินาศเลย อันนี้แทนที่จะเป็นอย่างนั้น ตัวนี้ก็วิ่งปึ๋งเข้าไปหาเลย เขาก็สนใจกับตัวนี้ซิ ตัวเหล่านั้นก็เผ่นเอาตัวรอดไปได้หมดเลย นั่นเห็นไหมล่ะ อย่างนั้นแหละน้ำใจ
คนมีน้ำใจไปไหนไม่อดอยาก ให้พากันจำเอาไว้นะ น้ำใจเป็นของสำคัญมากยิ่งกว่าเงินทองข้าวของใด ๆ เราอย่าเห็นว่าสิ่งเหล่านั้นมีคุณค่ามากยิ่งกว่าน้ำใจ น้ำใจครอบหมด ถ้าน้ำใจไม่มีสิ่งเหล่านั้นก็เป็นเศษเงินเศษทองเศษสมบัติไปอย่างนั้นแหละ ถ้าน้ำใจมีสิ่งเหล่านั้นก็มีค่ามีคุณไปตาม ๆ กัน สำคัญอยู่ที่น้ำใจ
เราพูดถึงเรื่องอดอยากขาดแคลน พูดถึงเรื่องภาคอีสานเป็นภาคคนจน แต่มีน้ำใจอันนี้เป็นเครื่องเชิดกันไว้ เป็นน้ำใจโดยหลักธรรมชาติ ไม่ค่อยคับแคบตีบตัน พึ่งเป็นพึ่งตายกันได้ จะทุกข์จะจนก็ตามแต่หัวใจไม่จนต่อกัน นี่สำคัญอย่างนี้ เพราะฉะนั้นไปที่ไหนจึงสนิทกันหมดเลย ความสนิทกันหมดก็เป็นพลังใจซึ่งกันและกัน เป็นของดี น้ำใจ การพูดอย่างนี้เราไม่ได้หมายถึงว่าเมืองอื่นไม่มีน้ำใจ นี้หมายถึงว่าเมืองนี้เป็นเมืองคนจน แต่มีน้ำใจเป็นเครื่องเชิดกันไว้ เราหมายอย่างนั้นนะ ทางโน้นน้ำใจก็มี สมบัติก็มี ก็ไม่มีที่ตำหนิจะไปตำหนิตรงไหน ทางภาคอีสานนี่ตำหนิความจน แต่เมื่อมีสิ่งที่จะเชิดกันไว้ก็คือมีน้ำใจ ก็เอาน้ำใจมาช่วยกัน หลวงตาเป็นคนภาคอีสานพูดต้องเข้าตัวบ้างซิ
พูดเรื่องเข้าตัวก็ทำให้ระลึกได้อีกแหละ บ้านอะไร เขาเรียกบ้านยางโล้น ออกจากหนองผือ จำพรรษาที่หนองผือ ทีนี้เราจะออกเที่ยวละที่นี่ พระเณรก็คอยรุมจะตามเราไป คราวนั้นดูเหมือนติดตามไปตั้ง ๔ องค์ ทั้ง ๆ ที่ตีไว้ไม่ให้ไป ยังติดตามเราไปตั้ง ๔ องค์ เข้าไปถึงบ้านยางโล้น บังเอิญยังไงให้ความจำนี้ติดหูติดตานะ เขามาใส่บาตร พระไป ๔ องค์เขามาใส่บาตร มีกล้วยเขาเรียกกล้วยตีบ กล้วยตีบเนื้อหนังไม่ได้เต็มอะไรนะ ไม่อ้วนกล้วยตีบ เนื้อมันไม่อ้วน ก็มีลูกเดียวนี่ ไปบิณฑบาตเราเป็นหัวหน้าก็ไปก่อน เขาก็เอากล้วยตีบนี่ละใส่บาตรให้เราลูกเดียว มีลูกเดียวเท่านั้นนะ นี่เป็นเหตุให้ได้คิดนะ ธรรมดากล้วยมีพระกี่องค์เขาก็ใส่ให้ครบ
วันนี้มีกล้วยตีบลูกเดียว เขาว่าอย่างนั้น ใส่หลวงพ่อแหละ เราก็ยิ้ม ๆ แล้วไป พอกลับมาถึงที่พัก ไปพักอยู่ที่โรงเรียนเขาเพราะเราเดินทางไป พอไปแล้วก็พูดหยอกเล่นกับเณร เณรนั้นชื่อเณรกัน มีเณรหนึ่งไปด้วย พระ ๓ องค์กับเรา วันนั้นได้เท่านั้นละ มีข้าวเปล่า ๆ ละมา มานี้เรายื่นกล้วยลูกนี้ละ เอา เณร วันนี้เอากล้วยใส่บาตรให้ เอาให้เต็มเหนี่ยวนะวันนี้เราจะเดินทางไกล มีกล้วยลูกเดียว วันนี้เอาให้เต็มเหนี่ยวนะเราจะเดินทางไกล เณรนั่นก็ยิ้ม กล้วยตีบลูกเดียว บอกเอาให้เต็มเหนี่ยวนะวันนี้เราจะเดินทางไกล เราก็ไม่ลืมนะ อย่างนั้นแล้ว ได้กล้วยมาแทนที่เจ้าของจะกินกลับไม่ได้กินนะ เอาให้เณร ให้พระเหล่านี้ก็ไม่ให้ ให้เณร มันก็เป็นธรรมชาติของมันเอง มิหนำซ้ำยังพูดหยอกเล่นด้วย เอาให้เต็มเหนี่ยวนะวันนี้เราจะเดินทางไกล จะเต็มเหนี่ยวอะไรกล้วยตีบลูกเดียว จบแล้วมีเท่านั้น
พูดถึงเรื่องธรรม พอมีปั๊บมันจะวิ่งของมันออกกระจายออก ถ้าเรื่องกิเลสกวาดเข้ามาเลย เรื่องกิเลสจะกวาดเข้ามาทันที ๆ ถ้าเป็นเรื่องธรรมตีออกเลย กระจายออกข้างนอกเลย อันนี้ก็ทำให้คิดอีกแหละ พ่อแม่ครูจารย์ ปีนั้นสงครามโลกนี่นะ พวกอะไร ๆ อดอยากขาดแคลนทั้งนั้น เครื่องใช้ไม้สอย เฉพาะอย่างยิ่งเครื่องนุ่งห่ม พวกผ้าไม่มี โอ๊ย พวกญาติโยมเขามาขอผ้าในวัด เขาไม่มีผ้า เวลามีคนมาถวายท่าน ท่านก็เอาไว้สำหรับแจก แจกพวกนี้ละ พอมาแล้วเขามาขอ ตามธรรมดาท่านจะไม่เก็บสิ่งของภายในห้องท่าน แต่เวลาท่านสงวนเพื่อแจกทานให้ประชาชน ท่านกลับสั่งว่าให้เอาเข้าไปไว้ในห้องท่าน คือท่านจะเป็นคนสั่งจ่ายเอง เราขนได้มาเท่าไรก็ขนเข้าไว้ในมุมห้องท่านนั่นละ
พอญาติโยมมาแล้ว ท่านก็ว่า เอ้อ เขามาแล้วทีนี้เอา ขนออกมาแจก ท่านแจก พวกญาติโยมก็รุมเข้ามา คนนั้นก็อยากได้ คนนี้ก็อยากได้ ทางนี้ก็ขนออกมาแจก ๆ ท่านก็เข้าในห้อง ทีนี้โยมเขาดูจะไม่ทันใจ เลยโดดเข้าไปในห้องกับท่าน พอท่านหันหน้าออกมานี่ อู๊ย นี่มาอะไรจะให้อยู่แล้ว ท่านเสียงร้องลั่นเลยนะ จะมาอะไรกำลังเอาออกไปให้ ไปออกไป พวกโยมเขาวิ่งเข้าไปในห้องท่าน
นี่พูดถึงเรื่องการทาน หลวงปู่มั่นนี่ โอ๋ย ไม่มีอะไรเหลือเลย หมด ๆ ๆ ไม่มีอะไรเหลือเลย นักเสียสละ นี่ก็เป็นฝ่ายปฏิบัติเรายกให้แล้ว ฝ่ายปริยัติเป็นอันดับสองก็สมเด็จมหาวีรวงศ์ เห็นเท่านั้นละเรา เราไม่ได้ประมาทครูบาอาจารย์องค์ใดนะ เพราะเรานี้เป็นนักล่าครูบาอาจารย์ ไปที่ไหน เพราะเรามันเข้านอกออกใน ทางด้านปริยัตินี้ก็ไม่ทราบว่าไปกี่สำนัก เรียนหนังสือไม่ทราบกี่สำนัก ออกจากนั้นก็ล่าครูบาอาจารย์ทางด้านปฏิบัติ
ทั้ง ๆ ที่เราก็ขี้ริ้วขี้เหร่ โง่เขลาเบาปัญญา แต่จะหาของดีซิ มันก็เป็นนักล่าอาจารย์ไปใช่ไหมล่ะ ไปอยู่ที่นี่เป็นยังไง ไปอยู่ที่นั่นเป็นยังไง ถ้าไม่น่าอยู่ไม่อยู่ ไปเรื่อย ๆ อย่างนั้น ทีนี้ก็เห็นล่ะซี ไปที่ไหนเห็นหมด ทางปริยัติก็เห็น ปริยัติปกครองกันยังไง ๆ ก็รู้ ปฏิบัติปกครองกันยังไง ๆ ก็รู้ มีธรรมวินัยครอบเอาไว้ แต่การปกครองนั้นมีแยกมีแยะกันอยู่ในวงธรรมวินัย แต่มีแยกมีแยะกัน ฝ่ายปริยัติปกครองกันอย่างนั้น ๆ ฝ่ายปฏิบัติปกครองกันอย่างนี้ ๆ มันก็รู้ไปหมดล่ะซี เราเป็นนักล่าอาจารย์ไปที่ไหนก็รู้ไปหมด ถึงได้เรื่องราวอะไร ๆ มาพูดแปลก ๆ ต่าง ๆ เพราะไปเห็นทุกแห่งทุกหน เรื่องของครูบาอาจารย์จะไม่เหมือนกัน
แต่ครูบาอาจารย์องค์ใดก็ตามสรุปความลงแล้ว ถ้าครูบาอาจารย์องค์ใดมีความตระหนี่ถี่เหนียว พระเณรไม่ค่อยติดนะ ไม่ค่อยมี ถ้าครูบาอาจารย์องค์ใดเป็นนักเสียสละ โอ๋ย มีเท่าไรรุมมา ๆ ทั้งนั้น นี่ก็หมายถึงว่าน้ำใจ นี้ละกระแสของธรรมดึงดูดกันอย่างนี้ อยู่ลึก ๆ มองไม่เห็น ตาเรามองไม่เห็นแต่น้ำใจมันถึงกัน ๆ ดูดดื่มอยากมา ๆ เป็นอย่างนั้นละ วันนี้เอาเท่านั้นละ ไม่ได้พูดอะไรมาก สายแล้ว จวนจะ ๙ โมงแล้ว เราก็มีธุระ มีธุระประจำแหละหลวงตา
(มีลูกศิษย์กลับจากทำบุญวัดป่าบ้านภู่มากราบ) นี่ละที่เอาหลวงปู่มั่นมาพักวัดนี้ละ ออกจากนี้ก็เอาแคร่ใส่ท่านหามออกมา คืออันนั้นเป็นเกาะเป็นดง แล้วก็ข้ามดงนั้นออกมาท้องนา หามท่านมาขึ้นรถไปสกลนคร แต่ก่อนทางรถลำบากมาก เป็นหลุมเป็นบ่อ หินลูกรังทั้งเป็นหลุมเป็นบ่อ ไปลำบากลำบนมากทีเดียว เวลากลางคืนท่านเร่งของท่าน เราก็เสียเหมือนกันมาระลึกทีหลัง แหม เห็นโทษของตัวเอง ถ้าท่านแย็บออกมาสักนิดนึง ๆ นี้จะทันทีเลยนะเรา คือท่านเร่งมา ๓ คืนให้รีบเอาท่านออกไปสกลนคร ท่านบอกว่าท่านไม่มุ่งจะมาตายที่นี่ ออกมาก็บอกว่าจะไปตายสกลนคร นี่ไม่ใช่สกลนคร ให้รีบเอาผมออกไป ว่าแต่อย่างนั้นนะ
พอคืนที่สามนี่ซิ มันจะเป็นจะตาย เราเป็นเนื้อบนเขียงท่านสับลงมา ครูบาอาจารย์อยู่ทางใต้ เราเป็นเนื้อบนเขียงอยู่ข้างบน ครั้นเวลาท่านขนาบเราแล้วออกมาปรึกษาครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์องค์ใด ๆ ก็มีความรู้ความเห็นเป็นแปลก ๆ ต่าง ๆ ไอ้เราผู้รับเหตุการณ์มาจากท่านเด็ด ๆ ขาด ๆ นี่นะเราจะตาย เนื้อบนเขียง วิ่งหาครูบาอาจารย์องค์นี้ว่าอย่างนั้น องค์นั้นว่าอย่างนั้น เอ๊ นี่มันยังไง ท่านบอกให้เร่ง แล้วคืนวันนั้นท่านไม่นอนนะเห็นไหม เราไม่ทราบ ถ้าท่านแย็บให้เรารู้สักนิด คืนนั้นจะระเบิดกันเลยเทียวนะ
ให้รีบ ๆ เอาผมไปนะ ๆ ว่าแต่อย่างนั้นนะ ถ้าท่านบอกว่า นี่ผมรั้งไว้เท่านั้นละ คือรั้งความตายของท่าน พอรั้งได้ท่านรั้ง เพราะฉะนั้นท่านถึงเร่งให้รีบเอาไป เวลานี้ท่านก็รั้งของท่านเต็มที่ คือยังไม่ให้ตาย ให้ไปถึงที่เสียก่อน ความหมายว่าอย่างนั้น แต่ท่านไม่ได้บอกว่าท่านรั้งเอาไว้ เราละเป็นบ้าอยู่กลางคืน โอ๊ย โมโหให้ครูบาอาจารย์ก็โมโห เปิดเสียบ้างมันโมโหจริง ๆ นี่นะ เราเป็นผู้รองรับกับท่านอยู่ตลอดเวลา ท่านไม่นอนเราไม่ได้นอนไม่ว่าเวลาไหนก็ตาม แต่นี้เวลาไปหาครูบาอาจารย์ ไปปรึกษาหารือเรื่องท่านเร่งเราบีบเรา อาจารย์องค์นั้นว่าอย่างนั้น อาจารย์องค์นี้ว่าอย่างนี้ แล้วตกลงในคืนวันนั้นท่านไม่นอนเลยนะ
ที่นี่มันบันดลบันดาลยังไงไม่ทราบ ตอนเช้ารถเขาก็มา รถแขวงการทาง บริษัทแม่นุ่มซึ่งเป็นลูกศิษย์ก้นกุฏิของท่านมานานอยู่ที่สกลนคร เขาสั่งทางนู้นมาโดยด่วนเลย ตอนเช้าเอารถแขวงการทางมา ทีนี้เวลามาถึงตอนเช้า รถมาถึงแล้วจะมารับพ่อแม่ครูจารย์ไปสกลนคร ท่านนิ่ง เพราะท่านเร่งพอแล้วจะให้ไปนี่นะ เพราะถ้าเลยวันนั้นจะไม่ไหวนะดูท่าว่าอย่างนั้น คือท่านรั้งเอาไว้ แต่ท่านไม่บอกว่ารั้งล่ะซี เราถึงไม่รู้เรื่องที่จะปฏิบัติ ถ้าท่านบอกว่านี่ผมรั้งเอาไว้ เพียงเท่านั้นเราจะเอาใหญ่เลย ดีไม่ดีจะเอาไปกลางคืนว่าไง แต่นี้ท่านไม่ได้บอก
พอรถมาถึงแล้วท่านก็พูดว่า พระเณรมีมาก รถมาแล้วจะรับพระเณรไปไหวหรือ พระเณรมีมาก ทางนั้นเขาก็ตอบรับมาทันที รับไม่ไหวเขาจะรับทั้งวัน ขอเอาพ่อแม่ครูจารย์ไปก่อน ท่านก็เลยนิ่ง เขาเอาหมอมาพร้อมมาฉีดยานอนหลับให้ท่าน เอาหมอมาพร้อมเลย พอฉีดยาปั๊บก็ไปเลยเพราะท่านเร่งแต่กลางคืนแล้ว พอฉีดยาให้ดูเหมือนไม่ถึง ๑๐ นาทีมั้งท่านก็เริ่มหลับแล้วก็เอาออกไป วัดนี้แหละ แล้วตรงเป๋ง พอไปถึงนั้นแล้ว หกทุ่มท่านฟื้นจากฤทธิ์ยา นี่ละมันเห็นได้ชัดนะ เราดูอยู่ตลอดเวลานี่ ไม่ทราบว่าสังเกตหรือไม่สังเกตเราก็ดี มันเต็มหัวอกทุกอย่าง
พอท่านฟื้นขึ้นมาท่านไม่พูดอะไรเลย พอฟื้นขึ้นมาท่านมองนั้นมองนี้ เป็นที่แน่ใจว่ามาถึงสกลนครแล้ว ท่านมองดูนั้นมองดูนี้ กุฏินั้นเป็นกุฏิท่านเคยพัก ก่อนที่ท่านจะจากอุดรฯ ไปเขาปลูกกุฏิหลังนี้ไว้รอรับท่านแล้ว แล้วเขาก็มานิมนต์ท่านไป ท่านไปพักกุฏิหลังนี้ก่อนแล้วค่อยไปทางบ้านโคกนามน เพราะฉะนั้นถึงวาระสิ้นสุดของท่านจึงเอามากุฏิหลังนี้ ท่านจึงได้มองดู ๆ ท่านก็จำได้ จากนั้นมาท่านก็สงบ ไม่นานนะ สงบนิ่งอยู่นั้น สักเดี๋ยวก็ทำอาการแล้ว เห็นไหมล่ะ อาการที่จะไป จะเปิดละที่นี่ ไม่รั้งละ เปิดเลย จากนั้นก็ทำหน้าที่เลย
เราก็รีบสะกิด นี่เห็นไหม ที่ท่านเร่งมาได้สองสามคืน เต็มเหนี่ยวนะ เห็นไหมที่นี่แสดงยังไงบ้างดูเอา ว่าอย่างนั้นนะเราก็ดี จากนั้นก็ทำหน้าที่เรื่อย ๆ จนกระทั่งวาระสุดท้ายไปอย่างเงียบ ไม่มีใครรู้นะว่าท่านสิ้นเมื่อไร หัวเราจ่ออยู่นี้ตลอดเวลา อ้าว ธรรมดาคนจะสิ้นใจต้องมีนิมิตเครื่องหมายนะ มียิบ ๆ แย็บ ๆ บ้างส่วนอวัยวะ มีกระตุกบ้างหรือมีอาการอะไร ๆ นี่เงียบเลย ไปเลย
นี่พูดถึงเรื่องพ่อแม่ครูจารย์มั่น ท่านไม่ได้บอกท่านรั้งเอาไว้ มาเป็นกับเรานี่เองเราถึงรู้ ที่ว่ารั้ง ๆ นี่นะ เราจะไปกี่ครั้งแล้วนะ เมื่อพอรั้งได้เราก็รั้ง ถ้าสุดวิสัยแม้แต่พระพุทธเจ้าก็ยังตาย เมื่ออยู่ในวิสัยที่ควรจะรั้งได้ ท่านถึงบอกให้รีบนะ ๆ หมายถึงท่านรั้งเอาไว้ จนกระทั่งถึงวาระแล้ว พอไปถึงแล้วมองโน้นมองนี้แล้วก็ไปเลย อันนี้เราก็รั้งไม่รู้กี่ครั้งโรคหัวใจเรานะ เราถึงได้มาพูดเรื่องรั้งนี่นะ ท่านไม่พูด มันเป็นกับเราเวลามันออก อ๋อ ท่านเป็นอย่างนี้เอง เราถึงได้ออกมาเป็นคำพูดว่ารั้งเอาไว้ พูดไปพูดมาเลยจะค่ำอยู่นี่ละ เลยรั้งกันอยู่ที่นี่ไม่ไปไหนละ (ขออาราธนานิมนต์ท่านหลวงตาให้รั้งไว้อีกหลาย ๆ ครั้งเจ้าค่ะ) มาพูดติดต่อแต่กับเรา ไม่ไปติดต่อกับพญามัจจุราชทางโน้นว่าอะไรบ้าง นายใหญ่อยู่โน้นนะ เข้าใจ เอาละให้พร
เปิดดูข้อมูล วันต่อวัน ทันต่อเหตุการณ์ หลวงตาเทศน์ถึงเรื่องอะไร www.luangta.com