|
/body onLoad="MM_preloadImages('../images/link_2_6_a.gif')">
/SCRIPT LANGUAGE="javascript1.1" page="dhamma_online";
/SCRIPT LANGUAGE="javascript1.1" src="http://truehits1.gits.net.th/data/e0008481.js">
|
|
|
อานิสงส์แห่งการเสียสละ |
|
วันที่ 4 เมษายน 2545
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด |
| | ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
| |
ค้นหา :
อานิสงส์แห่งการเสียสละ
ก่อนจังหัน
พระเณรดูนะข้อวัตรปฏิบัติ ดูให้ดีนะ ข้อวัตรปฏิบัติบกพร่องแสดงว่าพระเณรแต่ละองค์ ๆ บกพร่อง ข้อวัตรปฏิบัติเป็นเครื่องประกาศพระเณรของเราให้ดูให้ดี ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวโยงกับพระกับเณรในวัดนี้ทั้งนั้น อะไรสมบูรณ์อะไรบกพร่องส่ออยู่กับพระกับเณรเรา ผมไม่ค่อยได้ไปดูแหละ แต่ก่อน โอ๋ ได้เหรอสอดแทรกตลอดเวลา พอไล่ไล่ทันที ๆ เลย เดี๋ยวนี้มันอย่างว่านั่นแหละ หลับหูหลับตาไป นาน ๆ ดูทีหนึ่ง ๆ เวลานี้มันคับแคบเข้ามานะพระเราน่ะ คือพระที่พระพุทธเจ้า พระศากยบุตรดำเนินตามร่องรอยพระพุทธเจ้านี้ หดย่นเข้ามา ๆ จนจะไม่มีเกาะมีดอนนะ แม่น้ำมหาสมุทรมีเกาะมีดอน พระพุทธศาสนานี้จะไม่มีเกาะมีดอนของพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบซุกหัวนอนละนะ มันจะมีแต่ทะเลสาบความสกปรกโสมมเป็นส้วมเป็นถาน เต็มพระเต็มเณรในวัดในวา เต็มไปหมดเวลานี้ ดูเอาตามีทุกคนหูมีทุกคน
ผู้ทำชั่วนั้นแหละมันเห็นตัวเองตลอดเวลา ทั้งที่แจ้งที่ลับ ไม่มีอะไรประกาศโจ่งแจ้งตามความจริงของความผิดและถูกในตัวของบุคคลแต่ละคน พระเณรแต่ละองค์นะ ดูให้ดี เวลานี้ร้อนมากทีเดียวศาสนาพุทธเรา พระพุทธเจ้าเป็นยังไงให้ความร่มเย็นแก่โลกมากขนาดไหน ลูกศิษย์ตถาคตทำไมจึงก่อความเดือดร้อนเป็นฟืนเป็นไฟเผาโลกที่แดนแห่งชาวพุทธของเรา จนเวลานี้จะไม่มีเหลือแล้วนะ นี่ละกิเลสมันเข้าตีตลาดให้ดูเอา ตีอยู่ตามหัวพระเณรโล้น ๆ นี่ละไม่ได้ตีที่ไหน
หยิ่งตัวด้วยนะพระเณรเรานี่ มันเก่งทั้งเขาทั้งเราเหมือนกันตำหนิใครไม่ได้ เพราะกิเลสมีอยู่กับทุกคน มันหยิ่งของมันนะใครไปแตะไม่ได้ผ้าเหลือง ๆ หัวโล้น ๆ นี่ เขาไม่อยากแตะเขาอายบาป แต่ตัวเราเองกลับดื้อด้านไม่อายบาป น่าอายประชาชนไหมพระเณรเราเวลานี้ มันเหลวขนาดไหนพระเณร ดูเอาซิตามวัดตามวาหูตามีทุกคน หลักพระวินัยกางปึ๋งลงไป ธรรมกางปึ๋งไป มันรู้หมดนั่นแหละ มันทำลายธรรมวินัยขนาดไหน อยู่ที่ไหน ๆ
บวชมามากเท่าไรแทนที่จะทำศาสนาให้เจริญ ยิ่งต่างคนต่างเหยียบย่ำทำลายศาสนาเข้าไปด้วยความเย่อหยิ่งของตัวเอง โดยอาศัยผ้าเหลืองนี่นะ โอ๊ย น่าสลดสังเวช พิจารณาซิ ให้ดูตัวเองนะ อย่าประกาศตัวเองด้วยความหน้าด้านให้โลกเขาเห็น เวลานี้กำลังหน้าด้านมากที่สุดพระเราตัวเก่ง ๆ นั่นละ ตั้งแต่สูง ๆ จนกระทั่งสูงสุดลงมาตัวเก่ง ๆ เวลานี้เอาไฟเผาชาติเผาศาสนาอยู่ทั่วดินแดนนี่ ดูเอา เอาคัมภีร์กางปึ๋งลงไปรู้หมดเลยเทียว ใครจะมาหน้าด้านอวดรู้อวดฉลาดใส่คัมภีร์พระพุทธเจ้าไม่ได้นะ เดี๋ยวนี้กำลังเป็น เราเป็นยังไงถามดูซิ พวกเราพวกอลัชชี ๆ ยิ่งลูกศิษย์หลวงตาบัวนี้หัวหน้าอลัชชีนะ หลวงตาบัวเป็นจอมอลัชชีคนหนึ่ง เราก็เปิดทางให้พูดได้เลย เพราะเราเพื่ออรรถเพื่อธรรม ผิดถูกดีชั่วพูดให้กันฟังทั่วถึงกัน จะได้เอาไปเป็นคติเครื่องเตือนใจปฏิบัติตัวเองให้ดีขึ้น เอาละให้พร
หลังจังหัน
เมื่อวานนี้ทองได้ ๕๐ สตางค์ ดอลลาร์ ๒๐ ดอลล์ รวมทองคำทั้งหมดที่ได้เวลานี้ ๕ ตัน ๔๓ กิโลครึ่ง เมื่อวานไปวัดผาแดง ไม่ได้ไปนานแล้ว เมื่อวานเอาของไปส่งวัดผาแดง ไปก็ไม่ได้อยู่นาน เอาของไปส่งแล้วคุยกับพระเล็กน้อยก็กลับมา เป็นห่วงโรงพยาบาลศูนย์แผนกตา ก็มีแต่ติดต่อกันทางเรื่องราวเราไม่ได้เข้าไปดูเอง ขาดตกบกพร่องอะไรทางนี้ก็จ่ายเลย ๆ เขาไปซ่อมอะไร ๆ สำหรับเครื่องมือตา ซ่อมมากน้อยเพียงไรพอส่งบิลเข้ามาแล้วเราก็จ่ายเลย ๆ แต่ไม่ได้ไปดูด้วยตัวเอง เมื่อวานนี้ไป หมอเขาก็เกรงใจอยู่ตามธรรมดาแหละ นี่คนมีมารยาท คนมีธรรมต้องมีมารยาทอันเป็นธรรมออกมา ไปเมื่อวานก็ถามเลย ถามในฐานะลูกศิษย์กับอาจารย์ อะไรขาดตกบกพร่องยังไงต่อยังไง ๆ เขาแสดงออกมาก็มีความเกรงใจหลายแง่หลายทางเกี่ยวกับเรื่องเครื่องมือ เขาก็ไม่กล้าจะสั่งอะไรมากมาย เกรงใจ เพราะมากต่อมากแล้ว เราก็ตอบรับกันไปเลย
ที่เราเปิดนี้เราเปิดด้วยความพออกพอใจ ได้พิจารณาเรียบร้อยแล้ว เอา ที่ขาดเท่าไรที่พูดอยู่นี้ที่ไม่กล้าจะสั่งให้สั่งมาหมดเลย นี่ละเขาแสดงความเกรงใจ...หมอ เพราะแต่ละชิ้น ๆ มันน้อยเมื่อไร ก็ต้องขยะ ๆ แหละราคาของมัน เพราะฉะนั้นเขาจึงต้องเกรงใจไม่มาบอกเราขอเราและไม่สั่งมา ด้วยเหตุนี้เองที่เราข้องใจ เราจึงไปเองเมื่อวานนี้ ไปก็เปิดอกใส่กันเลย ที่เราได้ปวารณาและเปิดโอกาสไว้เรียบร้อยแล้วตั้งแต่โน้น ๆ มาจนกระทั่งบัดนี้ สมบูรณ์ตลอดมาในความเปิดโอกาสของเรา ทีนี้อะไรมีขาดตกบกพร่องสำหรับเครื่องมือทำตา เราถามเลย เขาก็ชี้แจงออกมา ๆ อันไหนที่เขาเกรงใจเราเขาก็บอกอันนั้น ๆ เขาเกรงใจ แสดงด้วยความเกรงใจ ด้วยความมีธรรม
คนมีธรรมย่อมมีความเกรงใจ เราก็เห็นใจเขา ในฐานะว่าเราก็เป็นอาจารย์ด้วย เป็นผู้เปิดโอกาสด้วยความเมตตาด้วย เราก็พูดตรงไปเลย ทั้งหมดเหล่านี้ให้สั่งทั้งหมด บอกให้สั่งมาทั้งหมดเลย ให้เป็นทางหมอนี้สั่งเอง ไม่ต้องเกี่ยวกับผู้อื่นผู้ใดแหละ ให้ทางหมอเรานี้สั่งเองที่เห็นว่าอะไรจำเป็น ๆ มีกี่ชิ้นกี่อันให้สั่งมาให้หมดเลย ไม่ต้องไปเกี่ยวข้องกับใครแหละ เราบอกอย่างนั้น ก็เป็นอันว่ารับคำไปเรียบร้อย ทางโน้นก็จะสั่งเอง นี้อันหนึ่ง แล้วอีกอันหนึ่งก็รถอีกแหละ รถก็จำเป็นจะทำไง เราขู่เสียก่อนทีแรก ส่วนมากมักจะขู่เสียก่อน บอกว่ารถชำรุดมากอะไรต่ออะไรเสียหายมาก ใช้ไม่ทันต่อกาลเวลาซึ่งคนไข้จำนวนมากมาตลอดว่างั้น เราก็ยังไม่ตอบรับ ฟังเหตุผลเสียก่อน เก็บเรื่องราวอื่น ๆ หมดเรียบร้อยแล้ว ประมวลเข้ามาหารถอีกทีหนึ่ง ถามย้ำเข้าอีก มันขาดเขินอย่างไรเอ้าว่ามา
เขาก็ชี้แจงด้วยเหตุผลพร้อมทั้งมันบกพร่องอยู่แล้วตั้งแต่เรายังไม่ไป เขาก็ชี้แจงมาได้อย่างจะแจ้ง เราก็เลย เอา ให้เลย รถนี้เราจะรับไปให้ ส่วนเครื่องมือทั้งหมดมอบให้ทางโรงพยาบาลสั่งทั้งหมด ที่เราตกลงกันเรียบร้อยแล้วนะ ว่ามีขาดอะไรสำหรับแผนกตา เราให้หมด ส่วนรถนี้เราจะไปติดต่อเอง เพราะบริษัทกับทางวัดมันเป็นอันเดียวกันแล้ว รู้เรื่องกันดี เมื่อเช้านี้ก็สั่งแล้วกลัวมันจะลืม เราไม่แน่ใจในความจำของเรา เราก็สั่งมาแต่โน้น สั่งคนขับรถไว้เลยให้บอกคนนั้น ๆ เร็ว ๆ นะ ให้ติดต่อสั่งรถคันนี้มาเลยเราบอกงั้น แล้วเมื่อเช้านี้พอดีจัดอาหารเห็นพระ ระลึกได้ก็พับเอาอีก ทางนี้รับเรียบร้อย ทีนี้สมบูรณ์แหละ หมดปัญหาเรื่องหลงลืม มามอบให้คนอื่นแล้วก็เป็นอันว่าไปได้ อยู่กับเราไม่ได้หายหมด
ระยะนี้ก็กำลังแหละรถจะทำไง คันหนึ่ง ๙๗๕,๐๐๐ ระยะนี้ขึ้นเป็นลำดับ ๆ ส่วนเครื่องมือนอกนั้นเราก็ไม่พูดกับมันแหละ เพราะมันขึ้นทั้งนั้น สำหรับโรงพยาบาลอื่น ๆ รถที่ว่ามาขอเรา เราให้พักไว้ก่อนรอไว้ก่อน บทเวลาจะมารับก็มารับโรงพยาบาลศูนย์ เขาก็อ้างเหตุผลดี ว่าคนไข้มีมากตลอดเวลาเลย รถชำรุดทรุดโทรม รถเราให้ไปสองหรือสามคัน จะว่าให้ก็ให้มานานแล้วนี่นะ ทางใช้ใช้อยู่ทุกวัน มันจะเอาเครื่องอัศจรรย์มาจากไหน ก็ต้องชำรุดล่ะซี นี่เราก็ยอมรับ เลยให้แล้วเมื่อวานนี้ อย่างนั้นละไปไหนก็เป็นอย่างนั้น พี่น้องทั้งหลายก็อนุโมทนานะ เหล่านี้เป็นสมบัติของพี่น้องทั้งหลายทั้งนั้นนะ หลวงตาไม่ได้มีสักสตางค์ เป็นแต่เพียงว่าผู้ทำหน้าที่แทนพี่น้องทั้งหลายเท่านั้น อะไรจำเป็น ๆ เราเป็นผู้ทำแทน ๆ จตุปัจจัยพี่น้องทั้งหลายเอามารวมไว้กับเรา เราแยกออกใช้ที่จำเป็น ๆ
อย่างนี้แหละใช้อะไรก็อย่างพี่น้องทั้งหลายเห็น เราทำสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ เราเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ก็เคยพูดแล้วเรื่องคำสัตย์คำจริง ลงตรงไหนขาดสะบั้นไปเลย บอกแล้ว นี่พอออกจากโรงพยาบาลมาก็รีบสั่งคนรถกลัวจะลืม เป็นอย่างนั้นละ แล้วตกมาจนกระทั่งเช้าพระท่านรับเรียบร้อยแล้ว เป็นอันว่าหมดปัญหาไปแล้วเรื่องลืม นี่ก็กำลังสั่งอยู่คันหนึ่งนะเวลานี้ สั่ง ๆ เร็ว ๆ นี้ นี่ก็โรงพยาบาลไชยา จ.สุราษฎร์ อันนี้รถออกมาถูกเขาชน เขาเป็นฝ่ายผิด ผิดถูกช่างมันเถอะบอกอย่างนั้น เราก็รับเอาเลย บอกว่าเราสั่งให้ใหม่ ส่วนรถคันนั้นมันเกี่ยวกับคู่กรณีเขาอาจจะตกลงกันยังไงต่อยังไง ตามธรรมดาก็ต้องเป็นคู่กรณี จะเกี่ยวข้องใช้กันเรื่องการซ่อมการอะไร เพราะฉะนั้นเราจึงไม่พูดถึงให้เสียเวลา เป็นเรื่องของเขาเอง เรื่องของเรามีแต่สั่งให้ใหม่ นี่กำลังสั่งอยู่ วันนี้ก็อาจจะไปสั่งอีกแล้ว เป็น ๒ คันติดกัน
ทางอุตรดิตถ์ก็ขอแต่ไม่ให้ เพราะให้พอสมควรแล้วเฉลี่ยให้คนอื่นบ้าง จังหวัดอื่นจังหวัดใดที่จำเป็นอะไรเฉลี่ยให้ทั่วถึง เราดูทุกอย่าง ๆ แม้ที่สุดจัดอาหารนี้ก็ดูตลอดนะ สั่งพระเรื่อยกำชับพระเรื่อยให้ละเอียดทั่วถึงทุกสิ่งทุกอย่าง ธรรมต้องทั่วถึง มีมากมีน้อยให้สม่ำเสมอนั้นคือธรรม อดอยากขาดแคลนอะไรให้เป็นความเสมอภาคต่อกันนั้นคือธรรม กินได้สบาย เย็นใจนะ ผู้อิ่มอิ่มจนจะตาย ผู้ไม่ได้กินไม่ได้เป็นอันขาด สำหรับเราไม่ได้จริง ๆ เราไม่ได้มองดูพุงเรานี่นะ ไม่ได้สนใจ มันจะหมดก็หมดไป อันนี้เราไม่เคยสนใจ ดูให้ทั่วถึง เราเป็นผู้จัดเองอดบ้างเป็นไรก็เอาจัดเอง แน่ะ อย่างนั้นนะ ให้ความเป็นธรรม
นี่ละเรื่องความเป็นธรรม เสมอไปหมด ไปที่ไหนเย็นไปหมด ธรรมพระพุทธเจ้าไปไหนเย็นไปหมด ไม่มีคำว่าชาติชั้นวรรณะ ธรรมเข้าตรงไหนเฉลี่ยถึงกันหมด มีความเห็นอกเห็นใจเมตตาสงสาร แม้แต่สัตว์ก็สงสารเขา ถึงกันหมดเลย นี่เรียกว่าธรรม ไม่มีสูงมีต่ำ ความจำเป็นอยู่ที่ไหนนั่นละธรรมจะเข้าแทรก ๆ ไม่มีคำว่าสูงว่าต่ำว่าใหญ่ว่าน้อยอะไรอย่างนั้น ยิ่งเราเป็นหัวหน้าด้วยแล้วจะเป็นอย่างนี้ไม่ได้เป็นอันขาดสำหรับเรานะ เราพูดว่าเป็นอันขาดเลย จะมาเป็นกับเราไม่ได้เป็นอันขาด ที่เราเหลือเฟือหมู่เพื่อนอดอยากให้ตายเสียเลย โน่นน่ะฟังซิธรรมดาเมื่อไร เพราะฉะนั้นถึงจี้ตลอดเวลา
เฉพาะอย่างยิ่งจัดอาหารนี้ต้องดูต้องสั่งเสีย ทั้งจัดด้วยทั้งสั่งเสียด้วย ความเสมอภาคกัน ทั้งหมดในวัดนี้ที่มาอยู่ในความรับผิดชอบของเรา ก็เท่ากับเป็นลูกของเรา เราก็ต้องดูแลให้ทั่วถึง อวัยวะของเรานี้อะไรบ้างที่ไม่ดูแลทั่วถึงมีไหม เอาดูอวัยวะตัวเอง ดูให้หมด เป็นความรับผิดชอบของเราในหลักธรรมชาติเหมือนกันหมด เสมอกันหมด บรรดาอวัยวะทุกส่วนจะไม่มีอะไรยิ่งหย่อนกว่ากันความรับผิดชอบของผู้เป็นเจ้าของร่างกายนี้นะ อันนี้ก็เหมือนกัน ก็เป็นความรับผิดชอบอย่างเดียวกันนั้นเอง ต้องให้สม่ำเสมอ
ความสม่ำเสมอไปที่ไหนเย็นไปหมด ๆ พอพูดอย่างนี้แล้วก็ทำให้ระลึกไปโน้น มันก็บันดลบันดาลนะ อย่างนั้นละอันไหนที่มันไม่ลืมมันไม่ลืมเอง ที่อันไหนธรรมดามันก็ลืมของมันไปเรื่อย อันไหนไม่ลืมมันจะตกค้างอยู่ในความจำ ไปเที่ยวกรรมฐาน ออกไปพระก็รุมด้วย ดูเหมือนพระคราวนั้นไปด้วยกัน ๓ องค์หรือไง มีเณรองค์หนึ่งเป็น ๔ ออกจากหนองผือ นั่นละปีมาจำพรรษาสุดท้าย พอออกพรรษาเรียบร้อยแล้วเราก็ออกไปทางโน้น เดินป่า มันไม่มีเรื่องรถเรื่องราอย่าไปคิดถึงมัน ไม่มีใครคิดถึงหัวมันแหละ พอไปไปถึงบ้านหนึ่งก็ไปพักที่โรงเรียนเขา ตอนเช้าไปบิณฑบาตมา มันก็บันดลบันดาลนะล่ะ พระดูเหมือน ๓ องค์ มีเณรองค์หนึ่งเป็น ๔ องค์ มีกล้วยตีบลูกหนึ่ง เขาจำเป็นจริง ๆ เขาถึงได้มีกล้วยตีบเพียงลูกเดียว
เขามาใส่บาตรเขาก็ต้องใส่หัวหน้าละซิ เขาใส่หัวหน้าใส่เรา วันนั้นไม่มีอะไรมีแต่กล้วยตีบลูกเดียวเท่านั้น พอถึงวัดเราก็พูดหยอกเณร เณรก็ยิ้มนะเณรก็ดี เอ้า วันนี้เณรจะให้อาหารพิเศษ เราว่างั้นนะ ว่าอาหารพิเศษ คือกล้วยตีบลูกเดียว เอ้า ให้อาหารพิเศษวันนี้ ให้เณร วันนี้เราจะออกเดินทาง เอาให้เต็มเหนี่ยวเลยนะ กล้วยตีบลูกเดียวเท่านี้บอกเอาให้เต็มเหนี่ยวเลยนะ วันนี้เราจะออกเดินทาง เราก็ไม่ลืม เณรนั่นละได้ฉันพิเศษกว่าเพื่อน นอกนั้นฉันข้าวเปล่า ๆ ทั้งหมดตั้งแต่เราลงไป มีเณรได้พิเศษ เราบอกว่าอาหารพิเศษ แล้วเอาให้เต็มเหนี่ยวนะบอกด้วย เราจะออกเดินทางไกลนะวันนี้ เณรก็ยิ้ม ๆ ก็กล้วยตีบ เอาให้เต็มเหนี่ยว เราก็ไม่ลืมอย่างนี้เราพูดหยอกเณร
นี่ละได้ลูกเดียวมานี่เราจะมาฉันต่อหน้าหมู่เพื่อนทั้งหมดนี่ โดยถือว่าเราเป็นหัวหน้านี้ไม่ได้เด็ดขาด นั่นเห็นไหมธรรม ใครที่ควรจะสงเคราะห์ เณรเป็นผู้ที่ว่าสุดท้ายแหละ อะไร ๆ ก็อยู่กับผู้ใหญ่หมด เณรจะให้กินไม่ให้กินมันอดตายก็ได้นี่ ใส่ให้เณรปุ๊บเลย นั่นเป็นธรรมแล้ว
ความเป็นผู้น้อยเราก็เคยเป็นมาแล้ว ไปที่ไหน ๆ ดูหมด เป็นผู้จัดการทำอะไร ๆ แต่ส่วนมากเราไปอยู่ที่ไหนมักจะเข้าใกล้ชิดติดพันกับครูกับอาจารย์ผู้เป็นเจ้าอาวาสทั้งนั้นแหละ ไปที่ไหนนิสัยมันหากเป็นของมันเอง เข้าไปใกล้ชิดติดพันกับท่าน ทำข้อวัตรปฏิบัติต่อท่านเป็นประจำ ๆ นี้เป็นนิสัยอันหนึ่ง คือจะไปอยู่ห่าง ๆ ไม่อยู่แหละ ไปต้องเข้าถึงสมภารเลย เป็นนิสัยอันหนึ่ง ใกล้ชิดติดพัน เรื่องราวอะไรมันก็รู้ดีทุกอย่างละซิ เป็นผู้น้อยก็เคยเป็นมา เป็นผู้ใหญ่เคยเป็นมา วัดแต่ละวัด ๆ ขึ้นอยู่กับสมภาร ๆ ดูจุดกลางมันก็รู้ไปหมด สมภารเป็นยังไงก็รู้ ดูสมภาร จุดศูนย์กลางอยู่ตรงนั้น สมภารเย็นเป็นยังไง การประพฤติปฏิบัติธรรมเย็น นี่แสดงว่าลูกน้องชุ่มเย็นไปตาม ๆ กัน ถ้าสมภารเห็นแก่ตัว ยิ่งเป็นคนตระหนี่ถี่เหนียว เราพูดจริง ๆ เราอยู่ไม่ได้นะ
ตัวเท่าหนูก็ตามแต่หัวใจมันไม่เหมือนหนู มันคับฟ้าโน่นหัวใจ มันเป็นอย่างนั้นมาตลอด มันกว้างอยู่ในจิตนี่แหละ ได้อะไรมาส่วนมากเจ้าของจะไม่เคยกินเคยใช้แหละ ให้หมู่เพื่อนไปหมด นี่เป็นนิสัยอย่างนั้น เราปฏิบัติตัวเรามา แล้วยิ่งมาเป็นผู้ใหญ่ด้วยแล้วจะเป็นสุ่มสี่สุ่มห้า อู๋ย ไม่ได้เด็ดขาดเลยนะ เพราะฉะนั้นจึงต้องแทรกดูทุกสิ่งทุกอย่างให้สม่ำเสมอแล้วพอใจนะ จะมีมากมีน้อยก็ตามพอใจ เสมอกันแล้วพอใจ สุขทุกข์ด้วยกันเสมอกันหมดพอใจ นี้ละคือธรรม เย็นด้วยกันหมด ไม่ว่าผู้ใหญ่ผู้น้อยมีความเสมอภาค ให้ความอบอุ่นเสมอกันหมดสบายตรงนี้นะ ให้พากันไปปฏิบัติต่อบ้านต่อเมืองของเรา
เราเป็นสัตว์พวก สัตว์ขี้ขลาด อยู่ที่ไหนต้องอาศัยซึ่งกันและกัน อย่าเห็นแก่ตัวจนเกินไปดูไม่ได้นะ เรื่องกิเลสมันต้องเห็นแก่ตัวเป็นธรรมดา แต่อย่าแบ่งให้มันจนเด่นจนน่าเกลียด ต้องแบ่งให้ธรรม ธรรมนี้จะน่าดูน่าชม วัตถุชิ้นนี้ ยกตัวอย่างนะ หรือเงินบาทนี้อยู่ในกระเป๋าเรา ใครจะรู้ไม่รู้ก็ตาม จะว่าอบอุ่นหรือไม่อบอุ่นเราก็รู้ตัวของเราเองเงิน ๑ บาท ลองยื่นเงิน ๑ บาทนี้ไปซิ เอาแจกตั้งแต่เด็ก ให้คนนี้กี่สตางค์ ๆ เด็กจะยินดีทั่วถึงกันหมดเห็นไหมล่ะ นี่เงินบาทเดียวไปแจกให้เด็กคนละ ๑๐ สตางค์ ๒๐ สตางค์ก็ตาม เพราะเรามีเงินเท่านี้บอกงั้นนะ เราจะแบ่ง เด็กจะยิ้มแย้มแจ่มใสทั่วหน้ากันหมด ฟังซิน่ะ นี่เงินบาทเดียวสละออกไป
ความเสียสละจึงมีคุณค่ามาก ทำความดีใจให้คน แม้ที่สุดให้เด็กทั่วถึงกันหมด แล้วมากกว่านั้นเพิ่มเข้าอีก ๆ มีแต่ความดีใจแจกแบ่งให้จิตใจของผู้ได้รับ ได้รับไปมากน้อยเพียงไรยิ้มแย้มแจ่มใสทั่วหน้ากันหมด นี้คืออานิสงส์แห่งการเสียสละ พี่น้องทั้งหลายจำเอาไว้นะ
การเก็บไว้ด้วยความตระหนี่ถี่เหนียวเห็นแก่ตัว เท่าไรก็ไม่เกิดความหมายนะ เอามาเทียบกันซิ นี่ละพระพุทธเจ้าทรงชมเชยเรื่องการให้ทาน แจกจ่ายความสุขให้แก่เพื่อนทั่วโลกเข้าใจเหรอ ให้มีความสุขทั่วหน้ากันด้วยการเสียสละ นี่ต่างกันไหมกับคนที่มีแต่ความตระหนี่ถี่เหนียว ไปที่ไหนคับแคบตีบตัน ไม่มีใครอยากคบค้าสมาคมคนตระหนี่ถี่เหนียว อย่าเข้าใจว่ามีคุณค่านะ คนที่ด้อยคุณค่าที่สุดคือคนตระหนี่ถี่เหนียว คนเห็นแก่ตัวนั้นแหละ คนที่มีคุณค่ามากโดยลำดับจนกระทั่งมีคุณค่ามากที่สุดคือนักเสียสละ ไปไหนเย็นไปหมดเลย ๆ นั่นเห็นไหมล่ะ อย่างที่ว่าเงินหนึ่งบาทเก็บไว้ในกระเป๋าเราเป็นอย่างนี้ พอแจกออกไปเป็นอย่างนั้น แล้วมีจำนวนมากเท่าไรแจกไปเท่าไรยิ่งแจกจ่ายความดีอกดีใจยิ้มแย้มแจ่มใสทั่วหน้ากันไปหมด นั่นเป็นอย่างนั้น
ท่านทั้งหลายเห็นคุณค่าหรือยังการให้ทาน หรือจะเห็นคุณค่าตั้งแต่ความตระหนี่มันจะพาเจ้าของตายนะ ความตระหนี่พาจมได้ ตระหนี่ถี่เหนียวพาจมได้ ทานไม่มีคำว่าจม มีมากมีน้อยเท่าไร ให้เขาไปนี้แทนที่จะไปหมดอยู่กับเขานั้น บุญกุศลความเฉลี่ยเผื่อแผ่ทั้งหลายออกจากใจเรา ไหลเข้ามานี้หมด อันนี้แหละมาสั่งสมพลังให้เป็นคนกว้างขวาง ไปที่ไหนไม่อดอยาก คนที่มีความเฉลี่ยเผื่อแผ่มีจิตใจกว้างขวาง ไปที่ไหนไม่อดอยาก หากเป็นอยู่ในนั้นแหละ เพราะอำนาจแห่งบุญแห่งกุศล ทานออกไปบุญกุศลเข้ามาแล้ว คนนั้นก็ได้รับความสุขความเย็นใจยิ้มแย้มแจ่มใสทั่วหน้ากันไปแล้ว นี่สองทอดสามทอด อำนาจแห่งการเสียสละ
พระพุทธเจ้าจึงยก ทานบารมี ขึ้นต้นเลย ไม่ว่าพระพุทธเจ้าพระองค์ใดที่ได้ตรัสรู้ขึ้นมา ขึ้นทานบารมีหมดเลยไม่เว้นแต่พระองค์เดียว ทานบารมีขึ้นเลย นี่แหละคุณค่าแห่งการเสียสละการให้ทาน
อย่างบ้านเมืองของเรานี้ก็เหมือนกันนะ ถ้าต่างคนต่างตระหนี่ถี่เหนียวเห็นแก่ตัว บ้านเมืองนี้จมไม่สงสัยเลย นี่เพราะอะไรถึงฟื้นขึ้นมา เอาประจักษ์อย่างนี้แหละ ประจักษ์ตอนที่ได้มาเป็นผู้นำพี่น้องทั้งหลาย เตือนเพื่อช่วยกันหาทางออก แล้วก็นำ ต่างท่านต่างก็มีความรักชาติอยู่แล้ว เป็นแต่เพียงไม่มีผู้นำ อุบายวิธีการที่จะนำสมบัติออกเป็นประโยชน์แก่ชาติบ้านเมืองซึ่งเป็นส่วนรวม ก็หาทางออกไม่ได้ พอมีผู้มาเปิดแล้วก็ออก ๆๆ ใครมีมากน้อยเพียงไรก็เฉลี่ยเข้ามา เวลานี้เข้าคลังหลวงของเราแน่นหนามั่นคงขึ้นเป็นลำดับ แล้วอบอุ่นทั่วประเทศไทย เห็นไหมล่ะ พิจารณาซิ เงินอยู่ในกระเป๋าจะมีสักกี่บาทกี่สตางค์ กี่ร้อยกี่พันกี่หมื่นกี่แสนแต่ละคน ๆ ไม่ได้ทำความชุ่มเย็นให้แก่ชาติบ้านเมืองทั่วถึงกันนะ อันนี้ออกไปเข้าสู่คลังหลวงนี่ชุ่มเย็นไปหมด
พี่น้องชาวไทยเราทราบทั่วหน้ากันว่า สมบัติเราเข้าคลังหลวงเวลานี้เท่าไร จากความรักชาติ และความเสียสละความพร้อมเพรียงสามัคคีของพวกเราทั้งหลาย มันก็เห็นชัด ๆ อย่างนี้ นี่ละความเสียสละ อุ้มชาติบ้านเมืองขึ้นมาได้อย่างนี้ ความตระหนี่ถี่เหนียวจมไม่สงสัย
คราวที่แล้วมานี้แหม หายใจหวุดหวิด ๆ นะเรา ถึงขนาดที่ร้องโก้ก ๆ เราบวชมาเราก็ไม่เคยเป็นอย่างนั้น ถึงร้องโก้ก ๆ เลย โถ ยังไงเป็นอย่างนี้ มันเป็นไปได้เหรอ เมืองไทยปู่ย่าตายายบรรพบุรุษเราพาตั้งเป็นหลักเป็นเกณฑ์เป็นเนื้อเป็นหนัง พาลูกหลานก้าวเดินมาด้วยความสงบเย็นใจสมบูรณ์พูนผล คราวนี้จะจมเสียแล้วเหรอ โน่น เห็นไหมล่ะ จะจมเสียคราวนี้ละเหรอ เพราะลูกหลานเป็นยังไงทำบ้านเมืองให้เราจม แล้วใครเป็นผู้ทำให้จม ก็ลูกหลานบ้านเมืองเรา เอ้า ช่วยกันฟื้น นั่น ธรรมเตือนขึ้นมาก็ต่างคนต่างฟื้น ฟื้นทีนี้ก็ค่อยได้มากขึ้นโดยลำดับลำดา ก็อย่างนี้ เราเห็นประจักษ์
นี่คือความเสียสละ เสียสละเพื่อชาติไทยของเราอยู่เย็นเป็นสุขทั่วหน้ากัน ทราบด้วยกันหมดว่าสมบัติของเราที่บริจาคนี้ เข้าสู่จุดศูนย์กลางที่จะทำความร่มเย็นให้แก่ชาติไทยของเรา รู้ทั่วหน้ากัน เห็นชัด ๆ อย่างนี้ นี่อำนาจแห่งความเสียสละ ถ้าหากว่าต่างคนต่างเฉยเมยแล้ว จมแล้วนะเมืองไทยเรา คราวนี้จมแน่ๆ ไม่สงสัยเลย มิหนำซ้ำของที่มีอยู่ในหัวใจของเรา มันยังจะลากออกไปแหลกเหลวหมดถลุงหมด โอ๋ย พิลึกนะ นี่ละให้พี่น้องทั้งหลายจำเอาไว้ อำนาจแห่งความเสียสละ ไอ้ตาบอด ๆ เหมือนเรามันก็เห็นแต่กระเป๋าของเจ้าของนั่นแหละ หรือจะไปหาคว้าเอาที่ไหน ๆ มาด้วยความสุจริตนั้นไม่ค่อยจะมีนะ มันจะมีแต่ทุจริต ถ้าคนตระหนี่ถี่เหนียวมาก ๆ จะมีแต่ความทุจริตเต็มหัวใจ มัวหมองมืดตื้ออยู่ในนั้นแหละ สมบัติเงินทองข้าวของมี ไม่มีสง่าราศี อยู่ด้วยความตระหนี่ ความตระหนี่ครอบเอาไว้มืดตื้อ ทีนี้ความสว่างก็คือการเสียสละ กระจายออกมานี้มันก็แจ้งไปหมด ไปที่ไหน ๆ แจ้งไปหมด
ยกตัวอย่างอีกทีหนึ่ง ตอนคอมมิวนิสต์มิวแนส นี่ละ ไม่ไกลนะ อยู่จังหวัดใกล้เคียงกันนี่ นี่เขารู้จักบุญจักคุณเห็นไหมล่ะ อำนาจแห่งความเสียสละไม่ไปที่ไหนนะ คือคนนี้ถูกเขาจ้างให้ไปฆ่าคนนั้นให้ เขาว่าอย่างนั้น ก็รับคำว่าจะไปฆ่าให้ แล้วก็พาไปดูลาดเลาเสียก่อนดูรูปร่างของคนดูทุกอย่างเสียก่อน พอไปเจอเข้า โอ้โห.ขึ้นเลยทีเดียว ถ้าจะให้ฆ่าคนนี้ให้ไปฆ่าพ่อผมเสีย นั่นเห็นไหม เขาเลี้ยงผมมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก เป็นคู่เคียงกับพ่อกับแม่ผมมาคน ๆ นี้ ว่าอย่างนั้นเลย ถ้าจะฆ่าคนนี้ให้ไปฆ่าพ่อกับแม่ผมเสีย ผมไม่เอาเลยว่างั้น สลัดปึ๊บเดียว กลับเลย
เห็นไหมอำนาจแห่งความเสียสละ เขาเลี้ยงดูคนนี้มา พอมองเห็นเท่านั้น โอ๋ย.พ่อของผม ขึ้นเลย ผมฆ่าไม่ได้ นี่ละอำนาจแห่งความเสียสละ เขาเลี้ยงดูมาด้วยความเมตตาสงสาร และนิสัยคนนั้นเขาก็เป็นคนจิตใจอันกว้างขวาง แต่อันธพาลสันดานหยาบมันไม่เห็นว่าใครเป็นคนดีละ ขัดใจมันมันก็จะจ้างเขาไปฆ่าคนนั้น เขาก็เป็นคนดี นี่ยกตัวอย่างอำนาจแห่งทาน เขาสลัดปึ๊บเดียว ไม่เล่นด้วยสักสองสามคำเลย ไม่เอาทันทีเลย นี่ละอำนาจแห่งความเสียสละเป็นอย่างนั้น ถ้าอำนาจแห่งความตระหนี่ พอมองเห็น โอ๋.ใช่แล้วนี้คนนี้มันเคยไปหลอกไปลวงเอาของเขามาอย่างนั้นเอาของเขามาอย่างนี้ มันเคยไปฆ่าคนนั้นฆ่าคนนี้ คนนั้นอาจไม่พ้นสามวันถูกฆ่าแล้ว เจอมันแล้วเอาเลย เอาเลยตายเลย พอไปเจอเข้าแล้ว โอ๋ย.ถ้าฆ่าคนนี้ให้ฆ่าพ่อผมเสีย พลิกกลับเลย นี่ละอำนาจแห่งความดีเป็นอย่างนั้น พี่น้องทั้งหลายจำเอาไว้นะ
พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติถือทานเป็นที่ตั้งมาทุก ๆ พระองค์ เอาทานบารมีขึ้นเลย ๆ ทานบารมีไปไหนนี้กว้างขวางเย็นไปหมด ถ้าว่าอบอุ่น อบอุ่นไปหมดกว้างขวางไปหมดอำนาจแห่งทาน ความตระหนี่ถี่เหนียวไปไหนตีบตั้นอั้นตู้ไปหมด จำคำนี้เอาไว้ให้ดี เอาละวันนี้พูดเพียงเท่านี้
หลวงตานี้หนักมากนะ วันพรุ่งนี้ก็จะไปดงเย็น ในงานเผาศพ นี่เขาก็มายุ่งจนได้ แล้วเป็นวัดหลวงปู่พรหมที่เราสนิทสนมกันมาเป็นเวลานาน นี่วัดของท่าน คือแต่ก่อนท่านอยู่วัดนี้แล้วท่านย้ายจากนี้ออกไปตะวันตก แต่ก่อนตะวันตกนี้เป็นดงใหญ่นะ ดงทั้งหมด ดงสัตว์ดงเนื้อดงเสือเต็ม วัดท่านก็อยู่ในดง เราไปพักกับท่านอยู่นั้น รู้สึกท่านเมตตามากนะกับเรา นิสัยท่านน่าเกรงขามมาก นิสัยจริงจังเด็ดเดี่ยวทุกอย่างฉลาดรอบคอบ ไม่ใช่เล่นนะ พอเห็นเราไปแล้ว หา.ขึ้นเลย ก็สนิทกันมาเท่าไรแล้ว พอมองเห็นเราเรากำลังสะพายบาตรเข้าไป หา.ท่านมหามาเหรอ โอ๊ย.มาแล้วคิดถึงครูบาอาจารย์มาก ต้องมาละ
เอ่อ เอ้า.มาเวลานี้กำลังหนาว เราไปเดือนธันวาคมมันก็หนาวละซี แล้วบ้านดงเย็นเป็นบ้านที่หนาวมากด้วย ไปคุยธรรมะธัมโมกับท่าน โอ๊ย.สนิทกันมากตั้งแต่อยู่บ้านนามน พอออกพรรษาแล้วท่านก็ไปหา ทีแรกจวนจะเข้าพรรษาท่านไปหาหลวงปู่มั่นก่อน พอดีทางสกลฯ วัดสุทธาวาสไม่มีหัวหน้าวัด เขาก็ไปขอพ่อแม่ครูจารย์มั่น ก็พอดีท่านอาจารย์พรหมไปถึงนั้น ท่านมาจากเชียงใหม่ ท่านบึ่งเข้าไปหาพ่อแม่ครูจารย์มั่น พอเขาพูดจบคำเรียบร้อยแล้ว นี่จะทำยังไงท่านพรหม เขาก็มาหาหัวหน้าจะทำไง ถ้าว่าท่านไปอยู่ที่นั้นได้ก็จะดี ท่านไม่บังคับนะ ถ้าท่านอยู่ที่นั่นเป็นหัวหน้าให้เขาบ้างก็จะดีท่านว่าอย่างนั้น ออกพรรษาเราอยากมาค่อยมา พอออกจากนั้นปั๊บท่านก็กลับคืนไปอยู่วัดสุทธาวาส พอออกพรรษาแล้วท่านก็มาอีก พอออกพรรษาแล้วท่านมาเลย
นั้นแหละได้คุยกันตลอดสนิทสนมกันมา นี่ละที่เราไปในงานเกี่ยวกับหลวงปู่พรหม แต่นี้เป็นวัดใหม่แล้ว คือวัดเก่านี้ย้ายไปเป็นวัดใหม่ ทุ่งกว้างขวางไม่เป็นดงเหมือนแต่ก่อน เราก็ไปนี้อันหนึ่ง ท่านผางก็เป็นลูกศิษย์ติดตามเรานะ ลูกศิษย์มาขอเครื่องสูบน้ำอะไร ๆ จากเรา เราก็ให้ไป เวลานี้ท่านตายแล้วเราก็เลยจะไป
เกี่ยวโยงมาตั้งแต่หลวงปู่พรหม นี่ท่านประกาศ ๗ วัน เพราะท่านเป็นพ่อค้า แล้วไม่มีลูกมีเต้า ถ้าพูดถึงฐานะบ้านนอกก็เรียกว่า ท่านเป็นที่หนึ่งของบ้านนี้ เพราะการค้าการขายท่านเป็นพ่อค้า ทีนี้เวลามาปรึกษาหารือกับแม่บ้านเพราะไม่มีลูกด้วยกัน นี้ทำยังไง นี่เห็นไหมคนมีอุปนิสัยมันเป็นนะ เราก็อยู่ด้วยกันมา ไม่มีลูกมีเต้าที่จะสืบหน่อต่อแขนงมรดกเหล่านี้จะทำไง แล้วตายแล้วใครจะสืบต่อก็ไม่ได้ไปทั้งนั้น สืบต่อกันเป็นระยะๆ อันนี้เรายังมีชีวิตอยู่ สิ่งเหล่านี้เราครองมานานแล้วก็ไม่เห็นเป็นประโยชน์อะไร ก็อยู่อย่างนี้แหละ เราออกบวชจะไม่ดีเหรอ ต่างคนออกเสาะแสวงหาสมบัติภายใน สมบัติภายนอกเราเห็นอยู่นี้แหละ ท่านเล่าให้ฟังนะ แม่บ้านก็พอใจทันทีเลย ถ้าเราออกบวชแล้วอันนี้เราก็ประกาศให้ทานไปหมดเสีย เสร็จแล้วออกเลย ทางนั้นก็พร้อมเลยไม่ว่า
ท่านบอกว่าประกาศอยู่ ๗ วัน ของให้ทานหมดเลย ให้ทาน ๗ วัน แล้วแม่บ้านออกทางหนึ่ง ท่านก็ออกทางหนึ่งไปเรื่อย ท่านเล่าให้ฟัง ท่านเป็นคนศักดิ์ศรีดีงาม มีอำนาจวาสนาน่าเกรงขามมาก เด็ดเดี่ยว ไปในงานศพท่านเราก็ได้บอกกับบรรดาลูกศิษย์ว่า พวกเราทั้งหลายไปนี้ ให้พยายามเอาอัฐิของท่านอาจารย์องค์นี้ให้ได้นะ อัฐิของท่านอาจารย์องค์นี้จะเป็นพระธาตุแน่นอนเราว่าอย่างนี้ ครั้นเวลาไปเผาศพ พอเผาศพเสร็จเรียบร้อยแล้วพวกกรรมการเขาไม่ทราบกี่ชั้น เข้าไม่ได้เลย ตกลงต่างคนต่างเผ่น จากนั้นมาอัฐิของท่านก็กลายเป็นพระธาตุ ก็อย่างนั้นแล้ว แน่นอนมาตั้งแต่คุยกันอยู่บ้านนามน อย่างนี้แหละเห็นไหมล่ะ ไม่ต้องเอาอะไรมายันกัน เพราะท่านคุยให้เราฟังอย่างถึงใจเมื่ออยู่บ้านนามน ท่านผ่านมาตั้งแต่อยู่เชียงใหม่โน้น
พูดอะไร ๆ นี้ อย่างนั้นละมันเรียงกัน มันเรียงตามหลังท่านเข้ากันได้พับเลย แต่ก่อนท่านเล่าให้ฟังเราก็ยังไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไร ท่านเล่าให้ฟังจนกระทั่งถึงท่านผ่านได้เลย เราก็ฟังแบบหูหนวกตาบอด ครั้นเวลามาปฏิบัติ ปฏิบัติไม่ถอยมันก็รู้ตามกันไป ๆ สุดท้ายยอมกราบท่านราบ ด้วยเหตุนี้เองจึงพูดว่า อัฐิของท่านอาจารย์พรหมนี้จะเป็นพระธาตุแน่นอน ท่านเล่าให้ฟังแล้ว ทางนี้ตามอีกด้วยข้อปฏิบัติ ด้วยความรู้ความเห็นมันตามเข้าไปหาที่แย้งกันไม่ได้ ยอมรับเลย นี่องค์หนึ่ง อัฐิเป็นพระธาตุ แล้วท่านอาจารย์ขาว ท่านอาจารย์แหวน ท่านอาจารย์ตื้อแหมสวยงามมากนะ อัฐิของท่านอาจารย์ตื้อเราไปดูเอง เหลืองอร่ามเหมือนทองคำนะ เหลืองอร่ามสวยงามมาก เราถึงจะได้ไปงานศพนี้
โยม : พรุ่งนี้เทศน์บ่ายโมงครับผม
หลวงตา : เอ่อ เทศน์บ่ายโมงเหรอ วันพรุ่งนี้สาย ๆ หน่อยเราก็ออกพอดีละนะ ประมาณ ๑๐ โมงพอดี แต่อย่างมากก็ไม่เลย ๑๑ โมง
โยม : เคยคุยธรรมะกับหลวงปู่ตื้อ ไหมคะ
หลวงตา : ไม่ได้คุย แต่ท่านคุยให้พระสงฆ์ฟังเสียก่อน นิสัยหลวงปู่ตื้อท่านตรงไปตรงมาเรียกว่าร้อยเปอร์เซ็นต์เลย ท่านไม่มีอะไร เทศน์นี้พวกกิเลสนี้ฟังไม่ได้เลย แตกฮือ ๆ หนีหมด ท่านใส่เปรี้ยง ๆ นี่ท่านปฏิบัติมาอย่างนี้รู้อย่างนี้ ฆ่ากิเลสฆ่าแบบนี้ ๆ เอาร้อยเปอร์เซ็นต์นี้ออกพูด คนจึงแตกฮือเลย เข้าใจไหม เราไม่ได้พูดกับท่านแต่ท่านพูดกับพระสงฆ์ต่อหน้าสงฆ์ เรื่องของเราไปเสียก่อนแล้ว อยู่วัดอโศการาม มาพูดมันก็ได้พูดละซิ วันนั้นเป็นวันอุโบสถ ลงอุโบสถวันนั้น เพราะนิสัยท่านเป็นอย่างนั้นใครก็ทราบกันทั้งวัด พออยู่ ๆ ขึ้นไปพระสงฆ์นั่งเงียบอยู่แล้ว บทเวลาจะขึ้น ท่านมหาบัวเป็น พระอรหันต์ ขึ้นอย่างนี้เลยนะ หน้าตาเฉยเลยไม่ได้พูดมาก เพียงเท่านี้ละ ไม่มีเรื่องราวที่ไปสัมผัสสัมพันธ์อะไรนะ อยู่ ๆ ท่านก็ขึ้นเองของท่าน พระสงฆ์เต็มอยู่นั้น อยู่ ๆ เงียบ ๆ ท่านมหาบัวเป็น พระอรหันต์ จากนั้นก็เลิกกันไปเลย นี่ละเราไม่ได้คุยกับท่านแต่ท่านพูดอย่างนี้เข้าใจไหม วันนี้เปิดเสียบ้าง ก็มีเหตุจะเปิดนี่ แล้วอัฐิของท่านก็กลายเป็น พระธาตุ
แต่กับเรานี้สนิทกันมาก สนิทตามนิสัยของท่าน นิสัยของท่านเป็นอย่างนั้นเราก็นิสัยของเราเป็นอย่างนี้ พอเข้าไปหาท่านที่บ้านข่า ท่านมาอยู่บ้านข่า เราทราบว่าท่านเป็นอัมพาตแล้ว เราก็ไม่ได้ไปเยี่ยมท่าน วันนั้นเลยเตรียมของใส่รถเต็มไปเลยแหละเรา พอไปให้พระสงฆ์ทราบแล้วก็เข้าไปกราบเรียนท่านว่าเรามา ท่านก็ให้พระท่านเอาแคร่ยกท่านออกมา พอท่านมาเรานั่งรออยู่แล้ว
หลวงปู่ตื้อ : เหอ.ท่านมหามาเหรอ ท่านว่าอย่างนั้น
หลวงตา : โอ๊ย มาแล้วคิดถึงครูบาอาจารย์อยู่ตั้งนาน ไม่มีเวลามา พึ่งได้มีเวลามาวันนี้ ต้องมาละวันนี้
หลวงปู่ตื้อ : เอ่อ.ถ้างั้นฟังเทศน์นะ จะเทศน์ให้ฟัง
หลวงตา : โอ๋ย.เปิดร้อยเปอร์เซ็นต์เลย ใส่เปรี้ยง ๆ เราก็สนุกฟังนะ ก็มันอ่านกันชัดเจนแล้ว เรียกว่า ท่านออกร้อยเปอร์เซ็นต์ ๆ เปิดให้ฟัง เราก็ฟังแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ ท่านก็เทศน์ร้อยเปอร์เซ็นต์ ถึงกันวันนั้น ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่ได้ฟังเทศน์ท่านอีกนะ แล้วก็ไม่ได้ไปหาท่าน ท่านเสีย เทศน์ในงานก็เราแหละเป็นคนเทศน์ ในงานเผาศพท่าน เขาก็นิมนต์เราไปเทศน์ แน่ะ.ก็อย่างนั้นแหละ เอะอะ เราต้องเทศน์ ๆ พอเทศน์จบลงแล้ว จุตปัจจัยไทยทานที่เขาถวายทั้งหมดมอบหมดเลยในงานนั้น เพื่อเป็นเกียรติในการศพท่าน เอาละ ไปละนะ
เปิดดูข้อมูล วันต่อวัน ทันต่อเหตุการณ์ หลวงตาเทศน์ถึงเรื่องอะไร ทาง internet www.luangta.com |
** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก
ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์
และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์
|
|
|
|