ขันธ์ ๕ เครื่องมือของกิเลสและธรรม
วันที่ 7 กันยายน 2543
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๗ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๓

ขันธ์ ๕ เครื่องมือของกิเลสและธรรม

(ผู้ฟังเทศน์นักเรียน ร.ร.ค่ายประจักษ์ฯ ๑๐๐ คน ประชาชน ๔๐๐ คน)

ไปไหนมา ๆ จำไม่ได้นะ เดี๋ยวนี้เป็นอย่างนั้นนะ ไปที่ไหน ๆ มานี้จำไม่ได้ เช่นเมื่อวานนี้ไปที่ไหนไม่รู้ อย่างนั้นละตัดเข้ามา ๆ ความจำหดย่นเข้ามา ๆ เราได้วิตกวิจารณ์เตือนหมากพลูนี้ไว้นะ ตอนบ่าย เฉพาะอย่างยิ่งหมู่บ้านตาดนี่ละ บ่าย ๔ โมง ๕ โมงเย็น เดี๋ยวหลวงตาบัวจะสะพายบาตรปึงปัง ๆ เข้าไปนึกว่าถึงเวลาบิณฑบาตแล้ว เพราะ ๔-๕ โมงเย็นกับ ๗ โมงเช้ามันคล้ายคลึงกันใช่ไหมล่ะ ลุกคึกคักไปบิณฑบาต เพื่อแก้อายทางโน้นต้องเตรียมหมากเอาไว้ โอ๋ ท่านมาบิณฑบาตแล้วเตรียมหมากมา นี้เป็นตอนบ่ายท่านบิณฑบาตหมากต่างหาก เขาแก้ให้หลวงตาบัว เป็นได้นะ ความจำ คือทำแล้วเหมือนไม่ได้ทำ ลืมหายเงียบไปเลยนะ หายเงียบไป ๆ นี่ละความจำ เขาเรียกว่าขันธ์ ร่างกายเรานี้เขาเรียกว่าขันธ์ ให้พากันทราบเอาไว้

ขันธะ ถ้าเป็นหนังแส่หนังสือก็เรียกว่าเป็นพวกหมวด แปลว่า กอง คือรวมกันอยู่ เรียกว่าขันธ์ ขันธะ คือกองรวมกันอยู่ ขันธะ แปลว่ากองหรือแปลว่าหมวดว่าหมู่ รูปขันธ์ เรียกว่า กองของรูป เวทนาขันธ์ กองของความเสวย ความสุข ความทุกข์ เฉย ๆ รวมอยู่ในเวทนาขันธ์หมด นี่เรียก เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ นี่ก็เป็นกองเป็นหมวดรวม เรื่องอะไร ๆ เป็นหน้าที่ของสัญญาทั้งนั้นเป็นผู้จดผู้จำ เป็นหมวด ๆ หน้าที่ของใครของเรา สังขารขันธ์ ความคิดความปรุงต่าง ๆ ดีชั่วไม่มีประมาณ อาศัยสังขารเป็นผู้คิดผู้ปรุงขึ้นมา วิญญาณ รูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส ต่าง ๆ มาสัมผัสสัมพันธ์กับตา หู จมูก ลิ้น กาย ทางนี้รับทราบ ๆ ว่านั้นคือรูป นี้คือเสียงอะไรเป็นต้น นี่เรียกว่าวิญญาณขันธ์ เป็นกองเป็นหมวดเป็นหมู่

ที่ท่านว่า ขันธ์ ๕ คือกอง ๕ กองนี้รวมอยู่ในตัวของเรา มีรูปขันธ์เด่นกว่าเพื่อน เรียกว่าขันธ์ ๕ ทีนี้เวลาเราใช้งานเราก็เอาขันธ์ ๕ นี้ออกใช้ ขันธ์ ๕ นี้เป็นสมบัติของกิเลส พูดโดยตรง เป็นเครื่องมือของกิเลส พาให้เกิดมาเป็นรูปเป็นขันธ์ เวลาเป็นรูปเป็นขันธ์แล้ว กิเลสก็นำไปใช้งานใช้การ ถ้าเป็นเรื่องของธรรม ธรรมไม่มีเครื่องมือเป็นของตัว อาศัยธาตุขันธ์นี้เป็นเครื่องมือสำหรับใช้ ดังพระพุทธเจ้าทรงประกาศพระศาสนาสอนสัตวโลก ก็เอาขันธ์นี่ละ คือพุทธสรีระรอบตัวนี้ออกทำประโยชน์ให้โลก เพราะฉะนั้นขันธ์นี้จึงเป็นเครื่องมือได้ทั้งฝ่ายกิเลสกับทั้งฝ่ายธรรม เป็นแต่เพียงว่าฝ่ายกิเลสเป็นเจ้าของ มันยึดมันถือมันสงวนของมัน ฝ่ายธรรมท่านเป็นเจ้าของไม่ยึด จึงได้ใช้ขันธ์นี้ด้วยกัน กิเลสก็ใช้ขันธ์นี้ทำหน้าที่ของมัน ธรรมะก็ใช้ขันธ์นี้ทำประโยชน์ให้โลก จึงเรียกว่าอาศัยขันธ์

ทีนี้ก็ย่นเข้ามาถึงเรื่องที่ทำประโยชน์ให้โลกอยู่เวลานี้ ก็อาศัยขันธ์นี้ทำ สัญญาขันธ์ หดเข้ามา ๆ จำไกลจำใกล้เข้ามา สุดท้ายจำภายในตัวเอง จากนั้นก็จะจำไม่ได้แล้ว สัญญาความจำ สถานที่ใกล้ไกล คนนั้นชื่อไร สัตว์นั้นชื่อไร สิ่งนั้นชื่อไร ใช้สัญญาคือความจดความจำ นี่เขาบอกชื่อว่าอย่างไร เขาบอกชื่อว่ากระโถน จำชื่อนี่ไว้ เห็นทีหลังก็นี้ชื่อว่ากระโถน ทีนี้เวลาสัญญาความจำมันหดมันย่นเข้ามาจำไม่ได้แล้ว นี้อะไร จำไม่ได้ แต่ก่อนจำได้ มันหดเข้ามาทีนี้กลับเป็นจำไม่ได้ เอาขันธ์ใช้ นี่ก็หดย่นเข้ามา ๆ

พวกเรียนหนังแส่หนังสือไม่ว่าทางโลกทางธรรม ใช้ความจำทั้งนั้นเป็นผู้นำหน้า ๆ ไม่มีความจำเรียนไม่ได้ ต้องมีความจำ จำอรรถ ภาษาบาลี อย่างนี้เป็นต้น ทางฝ่ายโลกเขาเรียนวิชาต่าง ๆ ก็ต้องอาศัยความจำเป็นพื้นฐาน ทีนี้ธรรมะก็ต้องอาศัยขันธ์นี้เป็นเครื่องมือสำหรับใช้ เป็นแต่เพียงว่าท่านไม่ยึด ท่านเอาไปใช้เฉย ๆ จะว่าท่านถือว่าเป็นเจ้าของท่านก็ไม่ถือ แต่เอาเครื่องมือนี้ออกใช้ไปทำประโยชน์ให้โลก ส่วนกิเลสมันยึดถือด้วย ใช้ด้วย ยึดถือว่าเป็นของตัวด้วย ต่างกันอย่างนี้ ทีนี้เวลากิเลสซึ่งเป็นเจ้าของของขันธ์นี้พังลงไปแล้ว หรือฉิบหายสิ้นซากลงไปเรียบร้อยแล้ว ธรรมเป็นเจ้าของหรือธรรมทำงานแทนกิเลส ธรรมท่านไม่ยึด

อันนี้จึงเป็นเครื่องมือได้ทั้งกิเลสทั้งฝ่ายธรรม ขันธ์ ๕ นี้ แต่กิริยาท่าทางนั้นเหมือนกัน ที่แสดงออกของขันธ์นี้ ไม่ว่ากิเลสไม่ว่าธรรม กิริยาท่าทาง สุ้มเสียงที่แสดงออกนี้ เหมือนกันกับกิเลส แต่คุณและโทษของมันต่างกัน คุณของธรรมแสดงกิริยาท่าทางไปอะไรก็ตามเป็นธรรมล้วน ๆ เลย ผิดแต่กิริยานี้เหมือนกิเลส เช่นอย่างดุด่าว่ากล่าวอย่างนี้เป็นต้น ขึงขังตึงตัง ถ้าเป็นกิริยาของธรรมก็เป็นพลังของธรรมดันออก ๆ เพื่อเป็นประโยชน์มากน้อย ถ้าเป็นเรื่องของกิเลสก็เป็นไฟดันออก ไฟดันออกเผาแหลกไปเลย นั่นละกิริยาของธรรมกับกิริยาของกิเลสใช้ขันธ์อันเดียวกัน จึงไม่ค่อยเข้าใจและไม่เข้าใจกัน

ดังที่เคยพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟังในเวลาที่ออกช่วยชาติบ้านเมืองนี้ เขาออกทางทีวีจากกิริยาของหลวงตา หลวงตาก็รีบประกาศให้ทราบทั่วถึงกันเลย บางทีจะเข้าใจผิด ตีอรรถตีธรรมนี้ไปเป็นพิษเป็นภัยต่อผู้ฟังผู้เห็นเสีย เราจึงรีบประกาศออกไว้ว่า กิริยาของหลวงตาที่แสดงออกในทีวี จะเป็นกิริยาท่าทางใดก็ตาม ดุด่าว่ากล่าวหรือขึงขังตึงตังก็ตาม ที่มีอยู่ในทีวีนั้น ห้ามไม่ให้ตัด อย่าตัด นี้คือกิริยาของธรรมออกสนาม กิริยาของกิเลสออกสนามเราเห็นทั่วดินแดน แต่กิริยาของธรรมออกสนามยังไม่มีใครออกแสดง นี้เราออกแสดง เราพูดตรง ๆ อย่างนี้เลย คือห้ามไม่ให้ตัด ให้ดูกิริยาของธรรม เพราะใช้เครื่องมืออันเดียวกัน

คือร่างกายอันเดียวกันนี่ แต่พลังที่ออกมานั้นอันหนึ่งเป็นพลังของกิเลส อันหนึ่งเป็นพลังของธรรม ออกมาเป็นธรรมจึงเท่ากับน้ำดับไฟ ๆ ถ้าออกมาจากพลังของกิเลสก็เป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ไปหมดเลย แล้วผู้ฟังผู้ดูทั้งหลายจะเข้าใจผิด เราจึงบอกตามความสัตย์ความจริงเลยว่า นี้คือกิริยาของธรรมออกสนาม พี่น้องทั้งหลายยังไม่เคยเห็นให้ดูเอา บอกตรง ๆ เลย ไม่มีละเรื่องพิษเรื่องภัยที่จะออกจากกิริยาอันนั้นไม่มี นอกจากเราไปตีความหมายไปตามกิเลสที่เคยฝังใจมานานเท่านั้น แล้วจะเป็นพิษเป็นภัยต่อตัวเอง นี่ขันธ์เครื่องมือทำงาน ทำงานได้ทั้งฝ่ายกิเลสทั้งฝ่ายธรรม

พอพูดอย่างนี้แล้วก็ย่นเข้ามาหาตัวเอง ที่เทศน์เวลานี้จะเทศน์ไม่ได้นะ หดเข้ามา ๆ ความจำ เพราะการเทศนาว่าการเราก็ต้องใช้ขันธ์โดยตรง ใช้อย่างอื่นไม่ได้ต้องใช้ขันธ์ ความจดความจำก็เป็นขันธ์ สัญญาขันธ์ การพูดการจาทุกอย่างเป็นกิริยาของขันธ์ออกทั้งนั้น ทีนี้หดเข้ามา ขันธ์หดเข้ามา การเทศนาว่าการ กำลังวังชาของธาตุของขันธ์ก็อ่อนลง ๆ แต่ธรรมยังไม่อ่อน

เพราะธรรมไม่มีวัย ธรรมจึงไม่อ่อน แต่ธาตุขันธ์มันมีวัยของมันชำรุดทรุดโทรม มันก็อ่อนลง ๆ สัญญาก็เป็นไปตามวัยเหมือนกัน ค่อยอ่อนเข้าไป ๆ จดจำอะไรนี้ไม่ได้ เช่นอย่างทุกวันนี้พูดอย่างตรง ๆ เลย ให้เราเทศน์ทางด้านปริยัติตามที่เราเรียนมานี้มันจะเทศน์ไม่ได้ แล้วต่อไปมันก็บอกว่าเทศน์ไม่ได้ คือจะเทศน์ไม่ได้และเทศน์ไม่ได้ เป็นขั้น ๆ เข้าไป คือเข้าประตูปากคอกแล้วว่าจะเทศน์ไม่ได้ พอเข้าคอกแล้วเรียกว่าเทศน์ไม่ได้ เป็นขั้น ๆ

ที่เทศนาว่าการอยู่ทุกวันนี้อาศัยภายใน พูดให้พี่น้องทั้งหลายฟังเสีย ภายในนี้คือความจริงล้วน ๆ ที่นำออกแสดงนี้คือความจริงออกจากใจ ใจคือผู้ทรงความจริงไว้ ไม่ว่าธรรมประเภทใดสิ่งใดใจเป็นผู้ทรงไว้ ใจเป็นผู้นำออกมาแสดง ๆ ออกจากความจริง ไม่ขึ้นอยู่กับความจำที่โน่นที่นี่ ขึ้นอยู่กับความจริงที่รู้ที่เห็นที่เป็นอยู่ในใจ ถอดออกมาๆ เรียกว่าความจริง ความจำต้องไปเอาตามคัมภีร์ใบลาน แบบแปลนแผนผังที่ไหนไปหาเก็บหายึดเอามา นี้คือความจำ เช่นอย่างท่านแสดงไว้ในพระไตรปิฎก นี่เป็นความจำทั้งนั้น ถอดออกจากความจริง คือพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ท่าน แสดงออกจากความจริง แล้วก็มาจดจารึก ธรรมของจริงออกจากท่านนี้ไปเป็นความจำ

ใครเรียนจึงจำได้แต่ชื่อแต่นาม ตัวจริงที่ท่านรู้ท่านเห็นที่ทรงไว้แล้วและนำมาแสดงนี้ไม่มีใครเห็น เพราะฉะนั้นชาวพุทธเราจึงไม่ค่อยเชื่อศาสนากันเท่าที่ควร ที่ว่าไม่เชื่อเราก็ไม่อยากพูด บางอย่างไม่เชื่ออย่างเด็ด ๆ ก็มี แต่ก็มีน้อย จึงเรียกว่าไม่ค่อยมี ส่วนเชื่อมีมาก แต่เชื่อไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยไม่ว่าท่านว่าเรา เพราะจำมาเฉย ๆ จำคำบอกเล่าในคัมภีร์ใบลานมานี้เป็นคำบอกเล่าจากความจริงทั้งนั้นนะ แต่เวลามาฟังแล้วมันก็ผิวเผินออกไป ๆ ไม่ค่อยเชื่อ

อย่างพูดง่าย ๆ ว่านรกสวรรค์ ดูซิน่ะ ก็เป็นหลักของศาสนา เป็นสิ่งที่ทรงรู้ทรงเห็นเหมือนกันหมด ที่นำมาแสดงให้โลกได้ยินได้ฟังกัน โลกก็เชื่อได้เป็นบางอย่าง บางอย่างก็ไม่เชื่ออย่างนี้แหละ เพราะฉะนั้นกิเลสถึงมีกำลังมาก นอกจากไม่เชื่อธรรมแล้ว ไม่เชื่อธรรมก็คือเรื่องของกิเลสไม่ให้เชื่อ ทีนี้ไม่เชื่อธรรมแล้วเชื่ออะไร ก็เชื่อตามที่มันฉุดลากไม่ให้เชื่อนั่นแหละ ไปตามมันเสียเงียบ ๆ เลย นรกไม่มี ๆ เพราะฉะนั้นถึงมีแต่พวกชาวพุทธหัวแตก โดนตั้งแต่สิ่งที่ว่าไม่มี ๆ

เหมือนคนตาบอด อันไหนก็ไม่มี..คนตาบอดเพราะมันไม่เห็น แต่ผู้ที่โดนมากที่สุดทุกข์มากที่สุดก็คือคนตาบอด ไปที่ไหนมันไม่เห็น คนตาดีเขาหลีกนี่ เป็นขวากเป็นหนามเป็นหลุมเป็นบ่อเป็นต้นไม้หัวตอนี้ คนตาดีไม่โดนไม่เหยียบ เห็นแล้วไปเหยียบได้ลงคอเหรอ ไอ้ผู้ไม่เห็นนั่นละมันเข้าใจว่าไม่มีนั่นเองถึงโดน นี่ละที่ว่า บาป บุญ นรก สวรรค์ ก็เหมือนอย่างที่ว่านี่ เหมือนขวากเหมือนหนาม คนตาบอดคือใจเราบอดมันชนดะ ๆ ความอยาก-อยากไปไม่ถอย อยากทำไม่ถอย มันลากลงไปหาหลุมหาบ่อหาตมหาโคลนอยู่ตลอดเวลา ใจบอดเป็นอย่างนั้น

มันผิดกัน ผู้ที่มาสอนโลกสอนด้วยหูแจ้งตาสว่าง ท่านเรียกว่า โลกวิทู คือรู้แจ้งทั้งโลกนอกโลกในตลอดทั่วถึงหมด เรียกว่าโลกวิทู จากนั้นเป็นพื้นฐานไปอีกเทียบเป็นคู่เคียงกันไปว่า อาโลโก อุทปาทิ ความสว่างโร่อยู่ทั้งวันทั้งคืน นี่ได้เกิดขึ้นแล้วในตถาคตพูดง่าย ๆ ได้เกิดขึ้นแล้ว ๆ ที่นำมาสอน นำมาสอนจากสิ่งที่ทรงรู้ทรงเห็นด้วยความสว่างกระจ่างแจ้งจึงไม่มีผิด สอนตรงไหนไม่ผิด พระพุทธเจ้าทรงสอน เพราะถอดออกมาจากสิ่งที่มีจริง ๆ ไม่ได้ลูบ ๆ คลำ ๆ มาสอนโลกนะพระพุทธเจ้า

ทีนี้กิเลสมันเป็นข้าศึกของธรรมตลอดมา มันจะไม่ยอมรับความจริงทั้งนั้นแหละ ที่ยอมรับความจริง คือเชื่อว่าบาปมี บุญมี นรกมี สวรรค์มี ก็คือสายแห่งธรรมแทรกเข้าอยู่ในจิต จึงทำให้เชื่อสิ่งเหล่านี้ เชื่อความจริง เพราะธรรมเป็นของจริง เมื่อแทรกอยู่ในใจมันก็คัดค้านกัน อันหนึ่งว่าไม่เชื่อ อันหนึ่งเชื่อ มันถกเถียงกันอยู่ในนั้น ถ้ามีแต่กิเลสความชั่วช้าลามกอย่างเดียวความจริงจะไม่ยอมเชื่อเลย แต่จะเชื่อไปตามความปลอมร้อยเปอร์เซ็นต์ตลอดไปเลย เป็นอย่างนั้นนะ

เพราะฉะนั้นจึงว่าความจำกับความจริงต่างกัน พระพุทธเจ้ามาสอนนี้ถอดออกมาจากความจริง แล้วก็มาจดจารึกเป็นความจำท่องบ่นสังวัธยายกันมา ความเชื่อถือจึงมีน้อย เชื่อในความจริงที่ถอดออกมานั้นมีน้อย ๆ ถ้าอยากจะให้เห็นความจริงจริง ๆ ก็ จำได้แล้วให้ติดตามนี้เข้าไป ติดตาม เราจำได้ว่า ให้ละบาป ละยังไง บำเพ็ญยังไง ให้ละให้บำเพ็ญตามนั้น แล้วก็จะเจอของจริงที่บอกไว้แล้วนั้นด้วยใจของตัวเอง ทีนี้ความจริงกับความจำมันต่างกัน เราจำอะไรเท่าไรก็ตาม ความสงสัยมันจะคืบคลานติดตามกันไปเรื่อย ๆ

ทีนี้พอไปเจอเข้าจัง ๆ เรียกว่าเจอความจริงด้วยภาคปฏิบัติ พอเจอเข้าไปก็ยอมรับ อ๋อ ๆ ไปเรื่อย ๆ หาที่ค้านไม่ได้ เพราะเราเห็นเราค้านเราไม่ได้ แล้วสิ่งที่เราค้านไม่ได้คืออะไร คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้แล้ว ทรงรู้แล้วเห็นแล้วสอนไว้แล้ว เป็นแต่เพียงเรายังไม่เห็น พอไปเจอเข้าเท่านั้น ส่วนย่อยส่วนไหนก็ตาม พอเจอตรงไหนแล้วยอมรับ ๆ อ๋อ ๆ เรื่อยไปเลย นี่ละความจริงไปถึงไหนลบล้างความจอมปลอมตลอด ๆ จนกระทั่งถึงนิพพานลบหมดโดยสิ้นเชิง ไม่มีอะไรเหลือเลย นี่ละความจริง

เดี๋ยวนี้พวกเรามันพวกศาสนาคัมภีร์ ศาสนาความจำ ศาสนาความจริงคือภาคปฏิบัติ เพื่อเข้าสู่ความจริงที่ทรงแสดงไว้แล้วนั้น ไม่ค่อยมีและไม่มี จึงมีแต่งู ๆ ปลา ๆ ถือศาสนาอะไรก็ดี แต่กิเลสมันจริงจังตลอดนะ มันไม่ได้งู ๆ ปลา ๆ นะกิเลส มันจริงจังทุกอย่าง มันไม่เคยอ่อนข้อ..กิเลส เพราะมันเคยมีอำนาจปกครองโลกวัฏจักรนี้มานานแสนนาน มันยึดอำนาจตลอด จึงไม่มีคำว่าอ่อนข้อสำหรับกิเลส ถ้าไม่มีธรรมเข้าไปทำลาย ไปเหยียบย่ำทำลายต้านทานกันแล้ว กิเลสจะไม่มีวันอ่อนข้อเลย จะลากเข็นสัตวโลกให้เกิดให้ตายมานี้กี่กัปกี่กัลป์

เพียงรายเดียวเราเท่านี้ เอาประเทศไทยเราทั้งประเทศนี้มาวางศพของคนคนเดียวสัตว์ตัวเดียว คนคนนี้แหละทั้งไปเป็นสัตว์เป็นเปรตเป็นผีเป็นอะไร ๆ กี่กัปกี่กัลป์มานี้ ตายแล้วร่างนั้นให้ยังเหลืออยู่ไม่ให้เปื่อยให้เน่า ตายแล้วมากองไว้ ๆ ประเทศไทยเราไม่มีที่กอง เพียงศพของคนคนเดียว จากประเภทต่าง ๆ แห่งภพชาติของตนที่เปลี่ยนภพนั้นชาตินี้ แล้วมากองกันไว้ ๆ นี้ ประเทศไทยเรานี้ไม่มีที่กองเลยสำหรับศพของคนคนเดียว มันเกลื่อนไปหมด นี่เพราะตายแล้วมันก็สลายไป ๆ ก็เท่ากับไม่มี แล้วเท่ากับไม่เคยตายไม่เคยเกิด นี่กิเลสมันก็ปิด ๆ แล้วเกิดชาติเดียวอยากทำอะไรก็ทำ นั่นเห็นไหมล่ะกิเลสมันเป็นอย่างนั้นนะ มันไม่ได้อ่อนข้อนะกิเลส

เวลาปฏิบัติถึงได้เห็นกันชัด ระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกัน พอกิเลสตามทันตรงไหนธรรมนี้ราบไป ๆ ถ้ากิเลสไม่ทันตรงไหนมันจะกางตาข่ายไว้สำหรับครอบหัวธรรม ธรรมโง่กว่ามันตรงไหนมันเอาตรงนั้น ถ้าธรรมฉลาดกว่ามันตรงไหนมันก็หมอบ ๆ ภาคปฏิบัติเป็นอย่างนั้นนะ อย่างที่ว่าความขี้เกียจขี้คร้านท้อแท้อ่อนแอเหล่านี้ มีแต่เรื่องกิเลสทั้งนั้นไม่ใช่เรื่องอะไร โน่นเวลามันเหนือกันแล้วความขี้เกียจขี้คร้านหายหน้าไปหมด มันก็เห็นได้ชัด เวลากิเลสหนาแน่น ความขี้เกียจขี้คร้านที่จะทำคุณงามความดีนี้หนาแน่นมาก ไม่อยากทำเลย ถ้าเป็นความชั่วไหลเลย ๆ อย่างนั้น ถ้าเป็นรถไม่ต้องติดเครื่อง ดีไม่ดีไม่ได้เหยียบกระทั่งคันเร่ง มันพาลงคลองเลย กิเลสลื่นขนาดนั้น

ทีนี้เวลามีธรรมะเป็นเบรกห้ามล้อ กิเลสก็ค่อยเบาลง ๆ ธรรมะก็ค่อยเร่งเครื่องขึ้นไป ๆ ต่อไปธรรมะก็เหนือ ๆ ทีนี้ก็เห็นกิเลสทั้งหมด อะไรเห็นกิเลสทั้งหมด เช่นอย่างตัวตระหนี่ถี่เหนียว คือตัวกิเลสอย่างจัง ๆ ขึ้นชื่อว่าจะทำความดีหรือจะทำบุญให้ทานอะไรนี้ ฟังแต่ว่าขึ้นว่า ขึ้นชื่อว่าจะทำความดี เป็นภัยต่อกิเลสแล้ว กิเลสจะต้องเข้าคัดค้านต้านทานจนได้ไม่มากก็น้อย ในหัวใจของคนคนหนึ่งนั้นแหละ ทีนี้เวลาเรารบไป ๆ เมื่อธรรมมีกำลังมากกว่าสิ่งที่มันเคยเป็นเคยเก่งกว่าก็อ่อนลง ๆ อ่อนลงเรื่อย ๆ เมื่อกิเลสสิ้นซากไปแล้ว ความขี้เกียจขี้คร้าน ความตระหนี่ถี่เหนียว เปิดโล่งหมด ไม่มีเลย นั่นเห็นได้ชัดว่า ธรรมเหยียบหัวมันไปแล้ว

นี่ละธรรมมีภาคปฏิบัติรู้กันได้อย่างนี้ มันลบล้างกันอย่างชัด ๆ เห็นอยู่ในหัวใจเรา ความเพียร ความขี้เกียจขี้คร้าน เวลายังไม่ได้หลักได้เกณฑ์ก็ถูไถไปตามครูตามอาจารย์ตามตำรับตำราที่ท่านสอน แล้วก็ทำไปทั้งขี้เกียจขี้คร้านท้อแท้อ่อนแอ ทั้งตระหนี่ถี่เหนียว หากให้ให้ด้วยความตระหนี่ ตระหนี่อยู่หากให้ คือแย่งกันไป เพราะอันหนึ่งเชื่อกิเลส อันหนึ่งเชื่อธรรม ฝ่ายเชื่อธรรมก็ให้ ไม่ให้มากให้น้อยก็เอา ก็เรียกว่าให้ นี่ละมันขัดมันแย้งกันอยู่อย่างนี้ ดูภาคปฏิบัติมันถึงชัดเจนมาก นี่ละพระพุทธเจ้าสอนสอนด้วยความชัดเจน เห็น ได้ฟัดได้เหวี่ยงกันมาแล้วจึงได้มาสอนโลก

ทีนี้เวลาธรรมมีกำลังขึ้นแล้ว ทีนี้กลับกันเป็นลำดับลำดานะ มันติดนิสัย เช่นอย่างการทำบุญให้ทาน วันหนึ่งไม่ได้ทำบุญมันไม่สบายในจิต นั่นธรรมจะเตือนตลอด ไม่สบายในจิต แล้ววันหนึ่งไม่ได้ไหว้พระเสียก่อน หรือไม่ได้สวดมนต์ย่อ ๆ หรือไม่ได้ภาวนานี้ ไม่สบายในจิต ๆ นี่มันเคยเข้าไปแล้วนะ ต่อไปขยับเข้าเรื่อย ๆ ความขี้เกียจอ่อนแอทั้งหลายค่อยถอยตัวออก ๆ ทีนี้ก็พุ่ง ๆ เรื่อย ทีนี้ตัวความขี้เกียจขี้คร้านความตระหนี่ถี่เหนียวหายหน้าไป ๆ หายหน้าไปหมดเลย จึงรู้ชัดว่านี่ตัวกิเลส เหยียบหัวมันแล้ว เป็นอย่างนั้นนะ ใจดวงเดียวเรานี่ไม่ใช่อะไรนะ ใจดวงนี้ละ

เวลามันอ่อนมันอ่อนอย่างนั้นนะจิต คือกิเลสหนา ธรรมะอ่อน แทบจะไม่มีติดตัวเลย ครั้นเวลาพยายามถูไถไปมาไม่หยุดไม่ถอย ทางนี้ก็มีกำลังขึ้น ๆ ท่านจึงบอกให้อุตส่าห์พยายาม ให้พากให้เพียร คือถูไถกันไป ยากก็ให้ถูไถ อย่าปล่อยตามมันเป็นอันขาด ถ้าปล่อยตามมันแล้วจมแน่ ๆ เลย เราต้องแบ่งต้องแยกเอาไว้ ไม่ได้มากให้ได้น้อย นี่จึงเรียกว่านักต่อสู้กัน ครั้นต่อไปก็ค่อยเบิกกว้างออก ๆ วันหนึ่ง ๆ ไม่ได้ทำความดีอยู่ไม่ได้ นี่ละอำนาจของธรรมเป็นอย่างนั้น มันเป็นคู่ปรับกันมาตั้งกัปตั้งกัลป์แล้ว เป็นมาอย่างนี้ เพราะฉะนั้นศาสนาจึงต้องมี ไม่มีไม่ได้ โลกหมดความหมายทันทีเลย ศาสนาจึงต้องมีเป็นระยะ ๆ แม้จะไม่ติดพืดกันไปเหมือนกิเลสก็ตาม แต่ธรรมะมีเป็นบางกาลก็ยังมีพักมีต้านมีทานมีลบล้างกันเป็นบางกาลบางเวลา พอมีความหมายบ้างบรรดาสัตวโลก ถ้าไม่มีธรรมเลยหาความหมายไม่ได้ มันต้องได้ใช้ความพยายาม

นี่เราพูดมาตั้งแต่ภาคความจำมาหาความจริง เราพูดเราเอาตัวของเราพูด เราไม่คำนึงถึงเรื่องว่าโลกถังขยะนี้จะมาคัดค้านต้านทาน ยุแหย่ก่อกวนแบบไหนเราไม่สนใจ ธรรมไม่สนใจกับถังขยะ ธรรมเป็นธรรม ถังขยะเป็นถังขยะ ไปแบบแถวธรรม ถังขยะเป็นถังขยะ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงสอนโลกได้ อุคฆติตัญญู วิปจิตัญญู เนยยะ ปทปรมะ สอนมาเป็นลำดับลำดา ถึงขั้นปทปรมะแล้วท่านก็ชักสะพาน หมดแล้ว ถ้าเป็นคนไข้เข้าไปหาหมอ เพียงแต่หายใจปลาพะงาบ ๆ คอยจะไป หมอก็หมดหวัง นี่ปทปรมะแล้ว

เตรียมโลงไว้ว่างั้นเถอะน่ะ ไม่ใช่ไปหาเตรียมยา ไปหาเตรียมโลงไว้โลงผี นี่พวกปทปรมะ คอยแต่ลมหายใจ พอลมหายใจขาดสะบั้นลงไปนี้ผึงเลย ๆ จมอยู่ในนรกนะ ที่กิเลสหลอกว่านรกไม่มีนั่นแหละ แต่จมลงตรงนั้น คือความจริงก็พระพุทธเจ้าสอนไว้ ผู้สิ้นกิเลสสอนไว้ กับตัวกิเลสเป็นผู้ลบล้าง ฟังซิน่ะ มันลบล้างความจริงให้เป็นของปลอมตามตัวเอง จะเป็นไปได้ยังไง ก็ต้องเป็นของจริงวันยังค่ำ นี้บาปมี บุญมี นรกสวรรค์มี ก็มีวันยังค่ำตลอดกัปตลอดกัลป์ ใครจะมาลบไม่ได้นะ กิเลสตัวไหนลบได้ลบไม่ได้ก็ตามมันต้องลบมาตลอด จึงเรียกว่ากิเลสต่อสู้กับธรรม สู้จนสุดเหวี่ยง สู้ไม่ได้มันก็ถอยจากไป

อย่างกิเลสสิ้นซากไปจากหัวใจพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ นั่นไม่มีอะไรที่นี่ หัวใจดวงนั้นจะไม่มีอะไรเข้าไปผ่านเลย แม้เม็ดหินเม็ดทรายหรือเท่าเส้นผมจะผ่าน ให้เป็นข้าศึกศัตรูขัดแย้งกันกับใจ ไม่มีเลย จึงทราบได้ชัดเจนว่า สิ่งที่ผ่านมามากน้อยนี้มีแต่กิเลสทั้งนั้น ๆ มีหนาแน่นก็ผ่านธรรมเข้ามาเป็นกองทัพใหญ่ ทับเข้ามา ๆ จะเดินจงกรมนี้ขาสะเปะสะปะ ๆ จะนั่งภาวนาคอจะเอียงหงายหาหมอน เวลากิเลสมีอำนาจมาก เข้าใจไหม ครั้นเวลาจะลงไปเดินจงกรมชะแง้ มองคืนหลังเสียก่อน ลืมหมอน ต้องเอาหมอนมัดติดคอ ชะแง้อีก อะไรอีก อ๋อ เสื่อยังไม่ได้ติดหลังมา

นั่นเวลามันขี้เกียจมาก ๆ นั่นละกิเลสตัวหนา ๆ มันชะแง้ ๆ คืนหลัง จะชะแง้ดูมรรคผลนิพพานไม่ยอมไป มันสู้เสื่อหมอนไม่ได้ กิเลสหนา เสื่อหมอนดีกว่ามรรคผลนิพพาน ถ้าเวลาอรรถธรรมเกิดขึ้นแล้ว เสื่อหมอนนี้ โอ๋ย ปัดเลยนะ อย่างที่ท่านทำความเพียร ถึงขั้นที่นิพพานเบิกกว้าง ๆ นิพพานอยู่ชั่วเอื้อม ๆ แล้ว ท่านเหล่านี้ความเพียรจะไม่มีถอยเลย ตายก็ตายไปเลย ให้ถอย-ถอยไม่ได้แล้ว

อย่างที่ท่านแสดงไว้ในตำราอย่างพระโสณะประกอบความเพียร เดินจงกรมจนฝ่าเท้าแตก ฝ่าเท้าแตกกับหมอนแตกต่างกันนะ ทีแรกก็หมอนแตก ครั้นเร่งเข้าไป ๆ ทีนี้พอได้เบิกกว้างเพื่อพระนิพพานแล้วจ้า จ้าขึ้นมาเรื่อย ๆ แล้วชั่วเอื้อม นิพพานอยู่ชั่วเอื้อม ทีนี้เบิกกว้างไปเรื่อย เดินจงกรมจนฝ่าเท้าแตกไม่รู้ตัวเลย นั่นคือความเพียรกล้า เร่งตลอดเลย นอนต้องได้บังคับ ไม่บังคับไม่นอน เพลินในความเพียรเพื่อพ้นจากทุกข์ ไม่ว่าอิริยาบถใดมีแต่เพลินเพื่อหลุดพ้นจากทุกข์โดยถ่ายเดียวเท่านั้น

นี่ละเวลาธรรมมีกำลังแล้วธรรมจะเตือน ธรรมจะฉุดจะลากตลอดเวลา เช่นเดียวกับกิเลสที่มีกำลังจะฉุดลากลงตลอดเวลา มีมากเท่าไรยิ่งฉุดลากลงอย่างหนักอย่างแน่นทีเดียวจนสู้มันไม่ได้ หงายไปเลย ๆ ทีนี้เวลาอุตส่าห์พยายามไม่หยุดไม่ถอย ธรรมก็ค่อยมีกำลังขึ้นมา ๆ แล้วทีนี้สิ่งที่ฉุดลากก็ค่อยเบาลงไป ทีนี้มีแต่ธรรมเรื่อย ๆ เป็นอัตโนมัติ ความเพียรเพื่อความหลุดพ้นเป็นอัตโนมัติหมุนตัวเป็นเกลียว ไม่มีวันคืนยืนเดินนั่งนอน มีแต่ความเพียรฆ่ากิเลสภายในหัวใจตลอดเวลา นี่ถึงขั้นธรรมที่มีกำลังแล้ว

ไม่ใช่ธรรมจะอ่อนแอตลอดไปนะ เวลาสั่งสมขึ้นมากธรรมมีกำลังแล้ว ทำหน้าที่สังหารกิเลสเป็นอัตโนมัติ เหมือนกันกับกิเลสทำลายโลกเป็นอัตโนมัติของมันไม่ผิดกันเลย เปอร์เซ็นต์เดียวก็ไม่ผิด เมื่อธรรมมีกำลังแล้วหมุนตลอดเลย อยู่ยังไงมีแต่หมุนจะออกท่าเดียว หมุนแก้กิเลสตลอดเวลา ท่านเรียกว่าความเพียรอัตโนมัติ หรือสติปัญญาอัตโนมัติ มหาสติมหาปัญญา นี้คือความเพียรที่หมุนติ้วแล้ว เอายังไงเอาไว้ไม่อยู่เลย ประเภทนี้เอาไว้ไม่อยู่ มีแต่จะไปท่าเดียว ๆ นิพพานอยู่ชั่วเอื้อม ๆ เพลินในความพากความเพียรเพื่อจะได้หลุดพ้นตลอดเวลา

นอนก็ต้องบังคับให้นอน ไม่นอนมันเพลินในการก้าวเดินเพื่อความหลุดพ้น ต้องพักให้ได้กำลังพอสมควร อย่างเขาเดินทางเขายังต้องมีการพักกลางทาง เช่น รถวิ่งนาน ๆ เครื่องร้อนก็ต้องพักเครื่องรถ พักเพื่อให้เครื่องมันเย็นแล้วก้าวต่อไปอีก อันนี้ความเพียรของเราเมื่อเผ็ดร้อนมากก็จะเลยเถิดไป เอ้า พักเครื่องเสียก่อนมันจะไม่ถึงที่หมายเดี๋ยวจะตายเสียก่อน พักเครื่อง เช่นพักเข้าสู่สมาธิสงบเย็น ไม่ต้องใช้กิริยาท่าทางการฆ่ากิเลสด้วยปัญญาเหมือนเวลาใช้ปัญญาอยู่ พักสมาธิ ตัดทางด้านการค้นคว้าทางด้านปัญญานี้ออกหมด ให้มีตั้งแต่ทำสมาธิล้วน ๆ ไม่ให้มีอะไรเข้ามาเจือปน พักสงบแน่วลงไป นี่เรียกว่าพักเอากำลัง

ทีนี้พอถอนออกจากความสงบแล้วก้าวเข้าสู่ปัญญาไม่ต้องห่วงสมาธิ ทีนี้ก้าวทางด้านปัญญา เมื่อเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าแล้วก็พักทางด้านปัญญาเข้าสู่สมาธิ หรือเป็นอยู่หลับนอน พักผ่อนธาตุขันธ์ นี่เรียกว่าพักจิตพักธาตุพักขันธ์ ก้าวเดินอย่างนั้น หมายถึงความเพียรธรรมที่มีกำลังแล้วต้องได้รั้งเอาไว้ ๆ ในหัวใจดวงเดียวในบุคคลคนเดียวนั้นแหละ เวลากิเลสมีอำนาจมากมันก็เหยียบย่ำทำลายให้ลืมตาดูอะไรไม่ได้ กิเลสตีตา ๆ ถ้าดูอรรถดูธรรมดูไม่ได้ ถ้าดูกิเลสดูวันยังค่ำ อ้าปากไม่งับก็ได้ ทั้งดูทั้งอ้าปาก ดีไม่ดีตดแตกออกด้วยก็ได้มันเผลอ ดูเผลอ จนตดแตก ดีไม่ดีขี้แตกออกก็มี

เหมือนอย่างเขาเมาเหล้า การเมาเหล้ากับเมาด้วยอำนาจของกิเลส เมามาก ๆ เข้าไปขี้ทะลักออกเลย นอนเฝ้าขี้เจ้าของอยู่ นี่เราก็เห็นด้วยตาของเรานะ เราจึงเอามาพูดได้เต็มปาก ก็ผู้มันเป็นมันเป็นได้เต็มตัวของมัน เราทำไมพูดเรื่องของมันไม่ได้ มันเป็นมันยังเป็นได้ อีตาคนหนึ่งเขาเรียกเฒ่าขี้เหล้า อย่าบอกชื่อมันเถอะ มันชื่อเฒ่าขี้เหล้า ไปไหนในวงงานไหนอีตาคนนี้แกจะไปเป็นหัวหน้างานหัวหน้าเหล้า ไปฟัดเหล้าแล้วก็อ้อแอ้ ๆ อยู่นั้นคนเดียว แต่ดีอันหนึ่งแกไม่เคยทะเลาะกับใคร แกก็เป็นของแกคนเดียว ทีนี้เวลามันหนักเข้า ๆ หลับที่นอน ขี้ทะลักออกเต็มที่นอนของแก

ทีนี้พวกไปดูไปชมขับลำทำเพลงรุมไป ๆ ไอ้ที่หนึ่งมีอีตาคนนั้นนอนอยู่คนเดียว ว่าง ๆ อยู่ตรงนั้น อ้าว แล้วที่ว่าง ๆ ทำไมไม่ไป ใครไปลองดูซิน่ะ นี่พ่อใครนอนหลับทั้งขี้ เขาพูดหยอกเล่นกันพวกภาคอีสาน นี่พ่อใครหลับทั้งขี้ทั้งอะไรอยู่นี่ ว๊าย เลยหงายออกมา ๆ เห็นไหมเวลามันเอา-มันเอาขนาดนั้นนะเหล้าเอาคน ฟาดหลับครอก ๆ ขี้ทะลักออกมา เราพูดอะไรมาถึงเรื่องเหล้า อย่างนี้ละความจำไม่ดีมันไม่เงื่อนสืบต่อกัน ถ้าความจำดีมันก็ต่อกันไปเลย เพราะอันนี้เป็นข้อประกอบเฉย ๆ ทีนี้พอถึงข้อประกอบ ความจริงที่เทียบกันไปหายไปไหน ตะกี้นี้พูดเรื่องอะไรไม่รู้นะ ถึงอีตาขี้เหล้าหลับครอก ๆ เหอ พูดเรื่องอะไร อย่างนี้ละเดี๋ยวนี้เทศน์ที่ไหนจึงไม่ได้ เทศน์ถึงขี้เหล้าแล้วเลยไม่มีเงื่อนต่อ

นี่เราพูดถึงเรื่องเวลากิเลสมันหนา หนาตลอดนะกิเลส กำลังของมันมีตลอด กิเลสไม่เคยมีวัยอ่อน ๆ ธรรมนี้ทีแรกล้มลุกคลุกคลาน จะว่ามีวัยก็ได้ แต่พอถึงขั้นที่ธรรมไม่มีวัยแล้ว ถ้าไม่หลุดพ้นจากทุกข์เสียก่อนแล้ว คำว่าวัยนี้ไม่มีความหมายเลย พุ่ง ๆ จนกิเลสขาดสะบั้นไปหมดแล้ว วัยไม่วัยไม่สนใจ นิพพานเที่ยงเท่านั้นพอ วัยอะไรนิพพานเที่ยง ให้พี่น้องทั้งหลายพากันอุตส่าห์พยายามนะ ให้พากันฝืน ไม่ฝืนไม่ได้

ให้ทราบว่ากิเลสเป็นภัยต่อโลกมาตั้งกัปตั้งกัลป์แล้วเราอย่าคุ้นกับมัน ธรรมเป็นเครื่องฉุดลากออกจากกองฟืนกองไฟที่กิเลสก่อขึ้นมา ให้พยายามฉุดลากธรรมให้ได้ ฉุดไปฉุดมามันก็ค่อยแข็งขึ้น ๆ ต่อไปตัวของเราก็กลายเป็นเนื้ออรรถเนื้อธรรมไปหมด กิริยาท่าทางทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปด้วยสติความระมัดระวัง ความชั่วปัดออก ๆ เป็นเองนะเวลามันชินแล้ว เดินไปธรรมดานี้มันหากรู้ตัวของมันเอง อะไรที่ผิดนี้มันปัดออกทันที ๆ โดยอัตโนมัติของมัน ด้วยความชินของตัวเองที่เคยระมัดระวังรักษาอยู่

ทีนี้ถ้าหากว่าเราไม่เคยสำรวมระวังตัวเองแล้ว ปล่อยตลอดเวลา จมตลอดเวลา จมไปตลอดไม่มีความหมาย จะให้กิเลสอ่อนข้อปล่อยตัวเรามานี้ไม่มีทาง ไม่มีคำว่าปล่อยนะกิเลส มีแต่ยึดมั่นเข้าเรื่อย ๆ จึงต้องให้พากันบึกบึนทุกอย่าง ช่วยตัวเอง ธรรมเท่านั้นที่จะช่วยตัวเองให้เป็นคนดีมีความสุข มีฝั่งมีฝาได้คือธรรม กิเลสไม่มีคำว่าฝั่งว่าฝา มีแต่ความจมถ่ายเดียว ๆ หมดคุณค่าหมดราคาไม่มีความหมายอะไร คือกิเลสตัวมันหมดคุณค่าหมดราคา แต่มันเสกสรรตัวของมันมีราคายิ่งกว่าทองคำทั้งแท่ง โลกถึงได้หมุนตามมัน กิเลสเป็นตัวมูตรตัวคูถ กลายมาเป็นทองคำทั้งแท่งด้วยความเชื่อถือมัน เพราะมันหวานมาก เคลือบน้ำตาลไว้ทุกซอกทุกมุม สัตวโลกทั้งหลายถึงได้หลง พากันตั้งใจปฏิบัตินะ วันนี้เทศน์เพียงเท่านี้ก็เห็นพอสมควร

(หลวงตาอธิบายถึงสัญญาขันธ์ ยังไม่ได้อธิบายถึงวิญญาณขันธ์) เออ ๆ วิญญาณก็รับทราบ เช่น ตามองเห็นรูปรู้แพล็บ ได้ยินเสียงแพล็บ เรียกว่าวิญญาณ วิญญาณคือรับทราบ ขณะที่สิ่งนั้นมาสัมผัส รูปสัมผัสตา รู้ว่ารูป นั่นสัมผัสแล้ว เสียงกระทบหูแพล็บเข้ามา พอเสียงดับความรู้ที่ว่าเสียงก็ดับไป เรียกว่าวิญญาณ วิญญาณรับทราบทางรูป ทางเสียง ทางกลิ่น ทางรส อันนี้ก็หดย่นเข้ามาเหมือนกัน ขันธ์ ๕ สำหรับใช้เป็นเครื่องมือของธรรม ท่านเอาขันธ์นี่ใช้ อันนี้เป็นเครื่องมือของกิเลสมาดั้งเดิม กิเลสม้วนเสื่อไปแล้วร่างกายนี้ก็กลายเป็นเครื่องมือของธรรมไป อย่างพระพุทธเจ้าสอนศาสนา พระอรหันต์ท่านสอนศาสนา ท่านเอาร่างกายนี้เป็นเครื่องมือไปสอน นี่เป็นเครื่องมือของธรรมไปแล้ว

นี่เรียกว่าขันธ์ แปลว่า กอง แปลว่า หมวด เป็นเครื่องมือใช้ เป็นของกิเลส เป็นสมบัติของกิเลสด้วย เป็นเครื่องมือสำหรับกิเลสใช้ด้วย ทีนี้เวลามาเป็นฝ่ายธรรมแล้ว จะว่าเป็นสมบัติของธรรมท่านก็ไม่สนใจ ถ้าว่าเป็นเครื่องมือของธรรมถูกต้องกว่า ท่านใช้เพราะท่านไม่ยึด ท่านใช้เฉย ๆ พอถึงกาลเวลาก็ปล่อยปั๊บแล้วไปเลย ท่านไม่ยุ่งกับสิ่งเหล่านี้ กิเลสมันยุ่ง มันอุปาทานยึดมั่นถือมั่น วันนี้พูดเพียงเท่านี้แหละ ให้พากันจดจำเอาทุกคน ไปฝึกหัดอบรมตนเองนะทุกคน บ้านเมืองเรามันจะล่มจมจริง ๆ ถ้าต่างคนต่างปล่อยเนื้อปล่อยตัวตามอำนาจของกิเลสตัณหา ซึ่งไม่มีคำว่าอ่อนตัวเลย แล้วใครก็จะไหลไปตามมัน สุดท้ายโลกอันนี้ก็เป็นโลกทะเลแห่งกองทุกข์ทั้งหลายนั่นแหละ เอาละวันนี้เทศน์เพียงเท่านั้น ให้พร

ยังไม่ได้อ่านอันนี้ เมื่อวานวันที่ ๖ กันยา ที่เขาเอาทองมาให้ตอนเช้า คุณปทุม เกิดผล น่ะ เอาทองมาให้เมื่อวานตั้ง ๑ กิโล พึ่งจะมาอ่านเช้าวันนี้ ถ้ามาบ่ายอ่านเช้าไม่ทันก็เอามาอ่านเช้าวันหลัง อันนี้เมื่อเช้าวานนี้วันที่ ๖ กันยา ทองคำได้ ๑ กิโล ๓ บาท ๖๒ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๔๐ ดอลลาร์ เวลานี้ได้ทองคำทั้งหมด ๒,๑๑๔ กิโลครึ่ง ยังขาดอีก ๑,๘๘๕ ครึ่งจะครบจำนวนสี่พันกิโล เอ้า นี่คุณฐาวรา หวั่งหลี ถวาย ๑,๐๐๐ ดอลล์ มาครู่เดียวคิดเป็นเงินไทยตั้ง ๔๑,๐๐๐ กว่า ค่อยขยับขึ้นไปเรื่อย ๆ

อย่าอ่อนข้อนะพวกเราทุกคน ให้ขยับขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อชาติไทยของเรา ไม่มีเราจะหวังพึ่งเป็นพึ่งตายจากใคร นอกจากชาติไทยของเราด้วยกันเท่านั้น ครอบครัวนี้พึ่งเป็นพึ่งตายกัน บ้านนั้นพึ่งเป็นพึ่งตายกัน ๆ ตำบล หมู่บ้าน อำเภอ จังหวัด เป็นกลุ่มใหญ่ ๆ สุดท้ายทั่วประเทศไทยเป็นกลุ่มใหญ่ ซึ่งอาศัยซึ่งกันและกันเกี่ยวโยงกันไปหมด ทีนี้เมื่อเวลากระเทือนนี้กระเทือนทั่วประเทศไทย ใครจะเป็นมหาเศรษฐีอย่าภูมิใจคนเดียว จะจมไปด้วยกันกับชาติไทยทั้งชาติที่จมไปแล้วนั้นแลไม่เป็นอย่างอื่น เพราะฉะนั้นจึงต่างคนต่างหนุนกันนะ จำข้อนี้ไว้ให้ดี เอาละให้พร

เปิดดูข้อมูล วันต่อวัน ทันต่อเหตุการณ์ หลวงตาเทศน์ถึงเรื่องอะไร www.luangta.com


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก