(ผู้ฟังเทศน์ประมาณ ๔๐๐ คน)
เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าขึ้นทุกวัน ๆ นะ ความห่วงโลกห่วงสงสารยิ่งห่วงมาก สำหรับร่างกายจิตใจเจ้าของไม่มีอะไรห่วงเลย กลับไปห่วงโลกมากขึ้นทุกวัน ๆ ธาตุขันธ์เจ้าของจะจมอยู่แล้ว แทนที่จะมาห่วงอันนี้มาก ไม่มี นั่นฟังซิ บางทีเราก็คิดสลดสังเวชเหมือนกัน อยู่ ๆ ก็มาขยี้ขยำมูตรคูถ ปฏิบัติเพื่อศีลเพื่อธรรมเพื่อมรรคผลนิพพาน แต่ที่ปรากฏประจักษ์อยู่เวลานี้ มีแต่ขยำมูตรขยำคูถ อู๊ย ทุกอย่างติดไม้ติดมือเหม็นคลุ้งไปหมด แล้วเหม็นตำจมูกเราด้วย มูตรคูถถังขยะ ปฏิบัติศีลธรรมแทนที่จะได้ไปทางนู้นไม่ต้องมาเกี่ยวกับทางนี้ กลับเป็นอันว่าเวลานี้เกี่ยวกับเรื่องมูตรเรื่องคูถทั้งนั้นนะ อู๊ย สลดสังเวชจริง ๆ นะเรา
โอ้โห ผู้มันหยาบมันหยาบจริง ๆ เลยเทียวนะ มันไม่ดูว่าผิดว่าถูกว่าดีว่าชั่วอะไรเลย หยาบสุดยอด มันเลยมูตรเลยคูถไปอีก ผู้ดีก็มีนั่นซิ ได้ขยี้ขยำคุ้ยเขี่ยขุดค้นหาของดี หาสาระอันเป็นคุณประโยชน์ มันแทรกอยู่ในมูตรในคูถนั่น ถ้ามีแต่มูตรแต่คูถอย่างเดียว ก็จะไปสนใจมันอะไร ตั้งแต่อยู่ในท้องเราก็ถ่ายเทมันออก แล้วจะไปกว้านไปจับมันหาอะไร อันนี้มันก็ได้กว้านได้จับได้คุ้ยเขี่ย ทั้งเหม็นทั้งอะไรพูดไม่ถูกก็ทนเอา
เพราะสารประโยชน์มันแทรกอยู่ในมูตรในคูถนั่น มีอยู่ ๆ อย่างนั้น ไม่มีแต่มูตรแต่คูถโดยถ่ายเดียว โลกนี้ผู้ดียังมี ผู้ที่เลวก็เหมือนมูตรเหมือนคูถ ผู้ที่ดีและดีเข้าไปหาขั้นดีเลิศยังมีอยู่ในนั้น นี่เรียกว่าสารประโยชน์มีแทรก ๆ อยู่ในมูตรในคูถ จำเป็นได้คุ้ยเขี่ยขุดค้นหาสารประโยชน์อันนั้นแหละ เราถึงจำเป็นต้องขยี้ขยำ โอ๊ย มันเลยเหม็นไป
อ้าว คิดจริง ๆ นะ เราเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ในหัวใจเรา นี้เราก็ไม่เคยคาดเคยคิดว่าเราจะได้เจออย่างนี้ เทียบเคียงกันกับเรื่องธรรมอันเลิศเลอเลยสมมุติโดยประการทั้งปวง กับมูตรกับคูถต่างกันอย่างไรบ้าง ทีนี้การปฏิบัติธรรมเราก็ปฏิบัติดังที่เคยพูดแล้ว เพื่อมรรคผลนิพพาน ๆ ด้นไปเดาไปคาดไปคะเนไป แต่การปฏิบัติไม่ถอย เรียนมาเรียนเท่าไรสงสัยไปเรื่อย ๆ เรียนบาปก็ต้องตามไปสงสัยบาป เรียนบุญตามไปสงสัยบุญ เรียนนรกสวรรค์ที่ท่านแสดงไว้ด้วยความถูกต้องแม่นยำ ก็ตามไปสงสัย ๆ ตลอดถึงนิพพาน ตามไปสงสัย คือกิเลสมันคืบคลานไปตาม แทรกไปตาม
เรียนไปมากไปน้อย ทั้ง ๆ ที่ธรรมท่านชี้แจงบอกด้วยความถูกต้องแม่นยำ แต่เวลาเรียนเข้าไปจำเข้าไป จำเข้าไป ความสงสัยก็แทรกเข้าไป ๆ ไม่มีอะไรเป็นความจริงใจแน่ใจจากการศึกษาเล่าเรียนมา บทเวลาปฏิบัติไปนั่นซีมันชัดน่ะ
นี่ละที่ว่าเราไม่เคยคาดเคยคิด เรียนไปปฏิบัติไป ๆ คือก้าวไปก็ไปเจอของจริงเป็นลำดับลำดาไปเรื่อย ๆ เพราะท่านสอนแนวทางเพื่อของจริง การปฏิบัติให้ปฏิบัติตามแนวทาง จะเจอของจริงอย่างนั้น ๆ เป็นขั้นเป็นตอน เป็นขั้นเป็นภูมิไปเรื่อย ๆ เวลาปฏิบัติก็เจอ พอเจอปั๊บหายสงสัยปุ๊บ ๆ ลบล้างความจำความด้นเดาเกาหมัดนั้นออกโดยลำดับลำดา มันเจอเข้าไป ๆ ไม่ต้องถามใคร คำว่า สนฺทิฏฺฐิโก รู้เอง พระพุทธเจ้าประทานให้ทุกสัตวโลกที่ปฏิบัติ คือ สนฺทิฏฺฐิโก รู้เองเห็นเอง แล้วก็หายสงสัยทันที ๆ ไม่ต้องไปหาใครมาเป็นพยาน ลง สนฺทิฏฺฐิโก ได้จ้าขึ้นภายในใจแล้ว
ทีนี้เวลาปฏิบัติตั้งแต่ขั้นภูมิต่ำ ๆ ก็เป็น สนฺทิฏฺฐิโก ตามขั้นภูมิของตนไปโดยลำดับ ขยายออกไป กว้างออกไป การปฏิบัติปฏิบัติไปมากเท่าไร เดินก้าวไปเรื่อย เหมือนเราเดินทางไปนี่ เดินไปเท่าไรความเห็นไม่มีสิ้นสุด ผ่านไปที่ไหน ๆ จะเจอจะเห็น เพราะสิ่งที่สองฟากทางมีอยู่แล้ว เดินไป ก้าวไป เห็นไป รู้ไปเห็นไป นั่น นี่เป็นข้อเทียบเคียง
สภาวธรรมทั้งหลายที่เกี่ยวกับจิตซึ่งจะต้องสัมผัสสัมพันธ์จะรู้จะเห็นกัน ก็แบบเดียวกัน ปิดไม่อยู่ เราเดินไปสองฟากทางเราจะปฏิเสธได้หรือว่า สิ่งสองฟากทางไม่มีอะไรจะสัมผัสทางหูทางตาเรา ก็มันมีอยู่เป็นประจำมาตั้งกัปตั้งกัลป์สิ่งเหล่านี้ เมื่อมีหูมีตาก็ต้องเห็นต้องได้ยิน ธรรมชาติเหล่านั้นก็เหมือนกัน มีตั้งกัปตั้งกัลป์มาแล้ว เวลาปฏิบัติไปก็เหมือนกับเดินไปตามสายทางก็เจอเอา ๆ เจอตรงไหนก็หายสงสัย อย่างเรามองไปนี้ เห็นอะไรเราก็หายสงสัยไปเรื่อย ๆ การก้าวเดินหรือการปฏิบัติก็เป็นแบบเดียวกัน
นี่ละท่านจึงว่า ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ปริยัติได้แก่การศึกษาเล่าเรียนตามแบบแปลนแผนผังคือตำรับตำรา ท่านทำกรุยหมายป้ายทางเอาไว้ ๆ ให้เรียนตามนั้น ให้เดินตามนี้ เป็นภาคปฏิบัติ คือก้าวเดิน ท่านสอนให้ทำอะไรก็ทำอย่างนั้น เรียกว่าก้าวเดิน แล้วก็จะเจอเรื่อย ๆ
เวลามันมืด-มันมืดจริง ๆ นะใจ มันมืดมันเลวไม่ใช่ของเล่นนะ ความมืดมันก็เพื่อความเลวนั่นแหละไม่เพื่ออะไร เวลาปฏิบัติไปตามสายทางที่ท่านแสดงก็ปรากฏ ๆ นั่นละ สนฺทิฏฺฐิโก คือรู้ประจักษ์ ๆ ส่วนย่อย ส่วนใหญ่ ส่วนไหน ความรู้กับสิ่งนั้นมาสัมผัสก็ชัดเจน ๆ เป็น สนฺทิฏฺฐิโก ประจักษ์กับตัวเองไปเรื่อย ๆ แล้วกระจ่างขึ้นเรื่อยด้วยนะ ที่ไม่กระจ่าง ที่มืดมิดปิดตาก็คือกิเลสอย่างเดียวเท่านั้น สามแดนโลกธาตุนี่ ต้นไม้ภูเขาดินฟ้าอากาศไม่มีอะไรมาปิดใจได้เลย มีกิเลสซึ่งเป็นสนิมกัดเหล็ก มันอยู่ภายในใจกัดใจตลอดเวลา ให้สึกให้กร่อน แต่ทำลายจิตไม่ได้ หากกัดให้สึกให้กร่อนไป ส่วนสนิมกัดเหล็กกัดไปจนเหล็กหมด
แต่กิเลสกัดจิตไม่หมด จิตไม่หมด จิตไม่ตาย แต่กัดตลอดให้ได้รับความทุกข์ความทรมาน ด้วยความชั่วช้าลามกที่เกิดขึ้นจากกิเลสแล้วก็เผาจิต ๆ เพราะฉะนั้นผู้ไปตกนรกตั้งกัปตั้งกัลป์ จึงต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ตั้งกัปตั้งกัลป์ เพราะจิตไม่ฉิบหาย เวลาปฏิบัติไป ๆ
พระพุทธเจ้าเราจะได้พบง่าย ๆ เหรอว่าอย่างนั้นเลยนะ เราพูดแล้วกราบตลอดนะ มันอดไม่ได้ คือสด ๆ ร้อน ๆ ตลอดหัวใจ คืออันนี้กับธรรมชาติหรือว่าธรรมธาตุของพระพุทธเจ้ามาเป็นอันเดียวกัน แล้วมันจืดมันจางไปไหน เป็นอดีตอนาคตไปที่ไหน มันประจักษ์ตลอดเวลาในหัวใจนี้ เกี่ยวโยงกันเป็นธรรมธาตุเดียวกัน แล้วไปถามใครมันเห็นอยู่อย่างนี้ จะไปถามใคร เรากราบท่านสนิท ๆ ตลอด
แล้วพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ที่มาสอน สอนตามหลักความจริงล้วน ๆ นะ กิเลสมันก็ตามกลบตามลบไปเรื่อย ๆ อันใดว่ามีมันบอกไม่มี อันใดว่าดีมันบอกว่าชั่ว อันไหนที่ชั่วมันบอกว่าดี นี่ลบกันไปตลอด ๆ พระพุทธเจ้าสอนไว้ตรงไหนเรียกว่า เอกนามกึ คือตรัสไว้คำใดแล้วไม่มีสอง คือคำสอนโลกนั้นเอง กิเลสมันก็ลบ ทีนี้เวลาปฏิบัติไปมันก็เป็นไปตามนั้น เห็นไปตามที่ทรงสอนแล้วตามวิสัยของตนมากน้อย อันนี้มันก็เป็นพยานได้ในส่วนใหญ่ ที่เราไม่รู้ไม่เห็นก็เป็นพยานได้ในส่วนใหญ่ ที่ยังไม่เห็นก็ยอมทันทีไปเลย ๆ ยอมไปเรื่อย เพราะอันนี้เป็นพยาน ๆ
เวลามันจ้าขึ้นมา เอ้า สรุปความลงแล้วจ้าขึ้นมา อันที่ว่าธรรมธาตุ เหล่านี้โลกมันมีสมมุตินะ เช่นว่า นิพพาน หรือวิมุตติ หรือธรรมธาตุนี่ โลกมีสมมุติท่านก็เอาอันเลยสมมุติไปแล้วมาตั้งให้โลกให้สัตว์ทั้งหลายได้คาดได้หมาย ประหนึ่งว่าเป็นกรุยหมายป้ายทางไป เป็นเครื่องดึงดูดของจิตใจไปในทางที่ดี ส่วน สนฺทิฏฺฐิโก ท่านมอบไว้แล้ว เมื่อเจอแล้วก็หายสงสัยเอง ๆ ทีนี้เราเจอเอาอย่างจัง ๆ อย่างที่ว่านั่นซิ ทีนี้สงสัยอะไร มีแต่กราบพระพุทธเจ้าราบ ๆ อ๋อ เป็นอย่างนี้เอง
ทีนี้ธรรมชาตินั้นกลับมาดูเรื่องวัฏจักรของกิเลสที่ควบคุมอยู่นี่ ควบคุมสัตว์ทั้งหลายอยู่ในวัฏจักรอันนี้แล้วดูกัน อันนี้ก็เทียบเหมือนกัน อันธรรมชาติวิมุตติหลุดพ้นก็ตั้งเป็นสมมุติขึ้นมา เป็นขั้นที่สุดยอดแห่งความสูงแหละ ทีนี้จึงมาดูกองมูตรกองคูถนี้มันดูกันได้ยังไง นี่ละที่พระพุทธเจ้าทรงสลดสังเวชทรงท้อพระทัย จะปล่อยไปเสียเหรอกองมูตรกองคูถที่มืดตื้ออยู่นี้ จะปล่อยไปเสียเหรอ อ้าว แร่ธาตุต่าง ๆ ที่เป็นสารประโยชน์ก็แทรกอยู่ในนั้น ๆ ก็ทรงให้เป็นความห่วงใยเมตตาสงสาร ก็ต้องมาคุ้ยเขี่ยขุดค้นหาสาระที่อยู่จมในกองคูถนั้นแหละ
ที่พระองค์ทรงสั่งสอนสัตวโลกก็คือ คุ้ยเขี่ยขุดค้นหาสิ่งสาระสำคัญในกองมูตรกองคูถของสัตว์ทั้งหลาย ที่มืดแปดทิศแปดด้านนั่นแหละ มันแทรกอยู่ในนั้น ๆ ท่านถึงยอม จึงว่าท้อพระทัยจะไม่สั่งสอนโลก ก็คือมองไปมันมีแต่อันเดียวมืดตื้ออยู่ มีแต่มูตรแต่คูถแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้สัตวโลกตลอดเวลา แล้วท้อพระทัยจะไม่ทรงสั่งสอน ทีนี้ในขณะเดียวกันก็ทรงทราบ สิ่งที่เป็นสารประโยชน์ก็ไม่ได้อยู่ที่ไหน มันก็แทรกอยู่กับกองมูตรกองคูถ จำเป็นก็ต้องได้คุ้ยเขี่ยขุดค้นกองมูตรกองคูถ ถึงเหม็นถึงอะไรก็ต้องทนไป หยิบไปจับไป เปื้อนเปรอะเลอะเทอะก็เอา เปื้อนไป ๆ เหม็นก็จำเป็นต้องดมกันไปอย่างนั้น นี่ละพระพุทธเจ้าท่านสอนโลก
มาเทียบเราเหมือนกับหนูก็ตามนะ แต่ก็เป็นอย่างเดียวกันจะให้ว่ายังไง พูดเปิดอกให้พี่น้องทั้งหลายฟัง มันต่างกันยังไงธรรมชาตินั้นจึงมาเล่นกับกองมูตรกองคูถ พูดนั้นพูดนี้อย่างที่พูดเมื่อวานนี้ ก็มีแต่กองมูตรกองคูถทั้งนั้นแหละ นี่มันจะมีอะไรอันนี้ บอกว่าสารประโยชน์ยังมีอยู่ในกองมูตรกองคูถ ในเรื่องราวที่พูดถึงนั่นเอง จึงจำเป็นต้องได้พูดถึงมัน ทั้งดีทั้งชั่ว อย่างที่แสดงเมื่อวานนี้ได้ยินทุกคนเห็นไหมล่ะ นั่นละเรื่องกองมูตรกองคูถมันเต็มไปหมดอย่างนั้น ทีนี้สิ่งที่เป็นสาระก็แทรกอยู่ในนั้น แล้วจะปล่อยไปตามกองมูตรกองคูถนั้นเสีย สารประโยชน์นั้นก็หายขาดไปไม่เป็นประโยชน์อะไร เอ้า ก็ต้องคุ้ยเขี่ยขุดค้นหยิบออกมา ดึงออกมาไปอย่างนั้น พิจารณาซิ
โห เราสลดสังเวชจริง ๆ นะ เห็นโลกมันมืดมันหนาเท่าไร ยิ่งใจนี่มันท้อมันถอย แล้วมันก็มีอีกละที่ว่าให้ได้ไปหยิบอีกแหละ จะถอยจะหนีเสียเลย อันที่น่าสงสารก็มีอยู่ในนั้นอีกแหละ เป็นอย่างนั้นนะ เป็นอย่างนั้นจริง ๆ ในหัวใจนี้ เราก็ไม่เคยคาดเคยคิดเคยฝันว่าจะรู้จะเห็นอย่างนี้ จึงได้ยกโคตรแซ่หลวงตาบัวมาล่ะซิ คือให้มันถึงความจริงให้มันมีน้ำหนัก ธรรมชาตินี้เป็นยังไง เกิดมาแต่โคตรพ่อโคตรแม่หลวงตาบัวว่างั้นเลย ไม่มีคนไหนมารู้มาเห็น แต่ทำไมเราโผล่ขึ้นมารู้คนเดียวอย่างจัง ๆ อย่างนี้ นี่ซิถึงยกโคตรมา หมดทั้งโคตรเราก็ไม่รู้ ทำไมเรามารู้ได้นี่น่ะ ความหมายว่างั้น ทีนี้ความด้นเดาเกาหมัดนั้นล้มไปหมดเลย พอความจริงผางเข้าถึงหัวใจเต็มเท่านั้นไม่ต้องไปถามใคร
เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ สาวกทุกองค์นะที่ตรัสรู้ปึ๋งขึ้นมา ไม่ถามใครทั้งนั้น แม้แต่จะก้าวเดินไปทูลถามพระพุทธเจ้าในแง่สงสัยปัญหาธรรมะขั้นสูง พอไปตรัสรู้ปึ๋งในท่ามกลางทางนั้นเสีย กลับทันทีไม่ไป นั่นเห็นไหมล่ะ สนฺทิฏฺฐิโก เต็มสัดเต็มส่วนประกาศป้างขึ้นแล้วกลับทันที ไม่เห็นไปทูลถามพระพุทธเจ้า นั่นละ สนฺทิฏฺฐิโก ประกาศไว้อย่างเด็ดขาด สิทธิ์ขาด อำนาจสุดยอดอยู่ในนั้นหมด ใครรู้เข้าไม่ต้องถามใคร ๆ นี่ละธรรมเป็นของจริงอย่างนี้ พี่น้องทั้งหลายจำเอา อย่าฟังแบบเซ่อ ๆ ซ่า ๆ นอนใจนอนจมนะ
นี่พยายามสอนเต็มเหนี่ยว เราก็จวนตัวเข้ามาทุกวัน ๆ แล้ว เราจะหวังอะไรก็หวังตั้งแต่ผู้ที่จะได้รับประโยชน์ ก็ลากก็เข็นกันไปอย่างนั้นแหละ ลำพังเจ้าของก็ดูตั้งแต่ขันธ์มันดีดมันดิ้น มีแต่ขันธ์เท่านั้น ถ้าว่าเป็นภัย ก็ขันธ์เท่านั้นเป็นภัย แต่จะเป็นภัยกับอะไรล่ะ แน่ะ ก็เพียงรับทราบเท่านั้น รับทราบมันเท่านั้น พาขับพาถ่ายพากินพาหลับพานอน พาไปพามา เคลื่อนไหวเยียวยารักษา มีแต่เรื่องของขันธ์ที่มันกวน ระงับมันไว้พอประทังวันหนึ่ง ๆ พอถึงกาลเวลาที่จะทิ้งมันเท่านั้นเอง แล้วสุดท้ายโลกธาตุนี้ไม่มีอะไรกวนนะ มีแต่ขันธ์ ธาตุขันธ์ในร่างกายของเรามันกวน รวมมาแล้วมีเท่านี้ในจิตดวงนี้ว่างั้นเลย นอกนั้นไม่มี
อันเหล่านี้มันสัมผัสสัมพันธ์ให้รู้อยู่ตลอด เจ็บมันก็รู้ เจ็บท้องปวดศีรษะหิวหลับหิวนอนอะไร ปวดเจ็บปวดถ่ายมันก็รู้ ๆ มันก็กวน ๆ ก็ระบายมันไป คือหมายความว่าบรรเทามันไปด้วยการระงับ พาหลับพานอนพาขับพาถ่ายไป พอถึงกาลเวลา มันก็มีเท่านี้กวน ไม่มีอะไรกวน สิ่งเหล่านั้นถ้าว่ากิเลสมันก็พังลงไปแล้วเอาอะไรมากวน ตัวกวนที่สุด ตัวบีบบี้สีไฟทำสัตวโลกให้ได้รับความทุกข์ความทรมานคือกิเลสประเภทต่าง ๆ พังไปหมดแล้ว เอาอะไรมากวน
ก็มีแต่ขันธ์ที่เป็นเศษเป็นเดนของกิเลสเท่านั้น มันยังเหลืออยู่อันนี้กวน พออันนี้ดับลงไปแล้วพรึบหมดเลยเรื่องสมมุติทั้งหลาย อนุปาทิเสสนิพพาน เป็นธรรมธาตุล้วน ๆ ไม่มีสมมุติเข้าไปเกี่ยวข้องเลย สมมุติก็คือธาตุขันธ์ ขยายออกไปก็คือเรื่องภายนอกเท่านั้นเอง เมื่อตัวใหญ่มันคือธาตุขันธ์อันนี้เป็นสมมุติ มีใจรับผิดชอบอยู่ พังลงไปเท่านั้น ก็พรึบหมดเลย นั่นละท่านว่านิพพาน ดับหมด ขึ้นชื่อว่าสมมุติโดยประการทั้งปวง ไม่มีเศษมีเหลืออยู่ในธรรมธาตุอันนั้นเลย นั่นละที่ว่าเลิศก็เลยเลิศไปเสียทุกอย่าง ไม่มีอะไรเกิน คาดไม่ได้ แต่เจ้าของผู้รู้ผู้เห็นไม่สงสัย สนฺทิฏฺฐิโก ประกาศตีตราไว้เรียบร้อยแล้วไม่สงสัย
นั่นละที่บึกบึนอยู่เวลานี้ เราพูดจริง ๆ ทนเอานะ พอฉันจังหันเสร็จแล้วก็หาที่หลบหลีก ไม่ใช่อะไรนะนั่น หลบหลีกเพื่อขันธ์ของตัวเอง ไปนี่เราขึ้นบนรถนี้นอนเลย ระงับอยู่ในขันธ์ ภาวนาระงับอยู่ในขันธ์นี้เรื่อย ๆ รถจะไปไหนมาไหนไม่สนใจ สบายอยู่ในระหว่างขันธ์กับจิตที่ครองกันอยู่เท่านั้นพอ ภาวนาไปในนั้น ภาวนาก็เกี่ยวกับขันธ์กับจิต ภาวนาเพื่อฆ่ากิเลสฆ่าตัวไหนว่างั้นเลยนะ พูดให้มันชัด ๆ ขนาดนี้ เอากิเลสตัวไหนมาฆ่าว่างี้เลย จะให้พูดว่ายังไงอีก
มันเด็ดขนาดนั้นนะหัวใจนี้ เวลามันเต็มเหนี่ยวของมันแล้วจะให้อ่อนกว่านั้นไม่ได้ ต้องเต็มสัดเต็มส่วนตามหลักธรรมชาติ เวลาพูดออกมาตามหลักธรรมชาติจึงพูดอย่างนี้เอง นี่ละหลักธรรมชาติ
ไปอย่างนั้นละ ไปนี่ความเมตตามันครอบโลกธาตุตลอดเวลานะ เป็นหลักธรรมชาติ ไปที่ไหนมีแต่ความเมตตาสงสาร เห็นหมาก็เล่นกับหมา เล่นอยู่ในรถนะ ครั้นเวลาลุกนั่งขึ้นมาเห็นหมาก็เล่นกับหมา มันอยู่นอกรถมันไม่รู้กับเรานะ เล่นกับหมาคือเล่นด้วยความสงสาร ไอ้ด่างบ้าง ไอ้ดำบ้าง ไอ้ตูบบ้าง ว่าให้มันนะ ว่าอยู่ในรถคนเดียวแหละเหมือนบ้านะ พิจารณา ความเมตตานี้ก็เหมือนบ้าเหมือนกันเวลาแสดงออก มึงมาอะไรเดี๋ยวกูเหยียบหัวมึงนะ พูดหยอกมัน มึงไม่รู้จักรถสังฆราชเหรอนู่นน่ะ เล่นกับหมา มึงไม่รู้จักรถสังฆราชเหรอ เดี๋ยวเหยียบหัวมึงนะ
เขาก็ไปตามประสาของเขาเขาจะไปรู้อะไรสังฆราชฆะแรดเข้าใจไหม แต่เราก็เป็นบ้าด้วยความเมตตานั่นแหละ ที่แสดงออกมีแต่ความเมตตาทั้งนั้นนะ เป็นกิริยาที่เล่นที่อะไรกับเขามีแต่ความเมตตา เห็นหมาจับหูขยี้เลย อันเดียวนั่นละไม่ใช่อะไรนะ เห็นอะไร ๆ จับขยี้ เห็นหมูเห็นหมาอะไรจับหูมันขยี้ ๆ ไม่อะไรละอันเดียวละพาให้เป็น
ไปเห็นอะไรก็เอาอีกแหละ พอซื้อ-ซื้อไปเรื่อย บางทีซื้อไม่เอาของซื้อไปเรื่อย สำคัญนะ โอ๊ย อยากให้เห็นให้รู้นะ แหม พิลึกจริง ๆ คาดไม่ได้ ใครอย่ามาคาดนะ อย่างนั้นละที่ว่าเลิศเลอ-เลิศขนาดนั้นละ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระสาวกอรหันต์ทั้งหลายทุกองค์ เลิศอย่างนั้นให้ดูเอา ไปไหนความสงสารนี่เป็นพื้นฐานเลย ก็อย่างที่ทำแก่โลกเวลานี้ ทำด้วยความเมตตาสงสารทั้งนั้น พอช่วยได้ขนาดไหนก็ช่วยไป ๆ เมื่อช่วยไม่ได้แล้วก็สุดวิสัยอย่างว่านั่นแหละ
ผู้ที่มันมืดมันมืดจริง ๆ นะ โอ๊ย จนอิดหนาระอาใจ นั่นละที่ว่า ปทปรมะ คือพระพุทธเจ้าปล่อยเลย ชักสะพานเลย คือไม่เล่นด้วยเลย มันไม่มีอะไรเจือปนในนั้นพอที่จะไปคุ้ยเขี่ยขุดค้นไปยกไปยอมันให้หนัก ปล่อยเลย ๆ ปทปรมะ พวกนี้หนาที่สุด ไม่ฟังเสียงอรรถเสียงธรรม เสียงความผิดความถูกประการใดเลย มีแต่จะบืนตามกิเลส จะเอาให้ได้อย่างใจ เด็ดเพื่อจะจม เด็ดขาด ๆ เพื่อให้จมถ่ายเดียว
เจ้าของไม่ตั้งใจว่าจะจมนะ แต่หลักธรรมชาตินี้คือก้าวเพื่อจม มันก็ไม่สนใจ นี่เรียกว่าหนาที่สุดเลย อยู่ในร่างของสัตว์นั่นแหละ หัวใจอยู่ในนั้น คือลมหายใจประกันเอาไว้ชั่วระยะไม่ให้เจออย่างจัง ๆ ให้เจอแต่อยู่ภายในใจ คือใจนี้เป็นฟืนเป็นไฟเผาอยู่ตลอดเวลา จะเอาอะไร จะทำยังไงจะให้ได้อย่างใจยังไง มีแต่กิเลสบงการ เป็นไฟ ๆ เผาตลอด เจ้าของไม่รู้ มันส่งออกข้างนอกกับสิ่งต้องการ จะเอาอันนั้นจะเอาอันนี้ ทางนี้เผาอยู่ภายใน
ธรรมดูหมด เห็นหมดจะว่าไง ไม่ได้สนใจว่ามันจะไปเจออะไรอย่างจัง ๆ ด้วยความชั่วช้าลามก นี่ละมันจะไปเจออะไร เพราะฉะนั้นจึงว่าลมหายใจรั้งเอาไว้เสียก่อน รอเวลา พอลมหายใจขาดสะบั้นนี้ปึ๋งเลยทันที ลมหายใจขาดก็เรียกว่าเครื่องกั้นขาด กำแพงขาด กำแพงเหมือนลมหายใจกั้นเอาไว้ ยังไม่เห็นตัวจัง ๆ ที่พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์สอนไว้นั้น นรกอเวจี พวกนี้จะลงจุดนั้นเลยไม่ไปที่อื่นแหละ ลมหายใจกั้นเอาไว้ แต่กิเลสตัณหามันก็สับยำข้างใน ให้ดีดให้ดิ้นเพื่อฟืนเพื่อไฟเพิ่มเข้าไป จนกว่าจะถึงเวลา พอถึงเวลาแล้วปึ๋งเลย ปัญหาที่ไหนหมดทันทีเลย ไอ้ตัวที่ลบล้างเก่ง ๆ หมด ไม่มีฤทธิ์มีเดชอะไรเลย
เหมือนกับนักโทษที่เวลาอยู่นอกเรือนจำ เขาจับยังไม่ได้ ก็มีฤทธิ์มีเดชสุดยอดของนักเลงโต พอจับมัดเข้าไปในเรือนจำแล้วหมดฤทธิ์ เป็นอย่างนั้นละ นี้ก็แบบเดียวกันกับพวกประเภทปทปรมะที่หนาที่สุด ทำลายนรก พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ไม่มีพระองค์ใดทำลายได้ ตัวนี้ในความรู้สึกของมัน มันสามารถจะลบล้างได้ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มี ๆ เพราะฉะนั้นถึงสร้างเอาเต็มเหนี่ยว พอจบแล้วก็อย่างว่านั่นแหละ วันนี้พูดเพียงเท่านี้แหละ ไม่เทศน์มากอะไรนัก จะให้พรเสียก่อนเดี๋ยวลืมให้พร
เมื่อวานนี้โรงสี(สมหมาย)ร้อยเอ็ด(เอาข้าวสารมาถวาย)มาเมื่อวาน ๑ พันถุง นั่นอย่างนั้นแหละ เอามาเพิ่มเรื่อย โกดังนี้ ขาดเท่าไรขาดไม่ได้ ซื้อมา ๆ มาทุกวันรถโรงพยาบาล โรงพยาบาลต่าง ๆ มาคันไหนก็เต็มเอี๊ยด ๆ ตามอัตราที่กำหนดไว้ทุกคัน ไม่ให้มากน้อยต่างกัน อย่างนี้ทุกคัน ๆ เป็นประจำวัน ไม่ค่อยมีขาดนะ มาทุกวันไม่มากก็น้อย วันละ ๒ โรง ๓ โรง อยู่ในย่านนี้ ๓ โรง ๔ โรง มากก็มี แต่นาน ๆ มีทีหนึ่ง ที่ไม่มีเลยนี้จะไม่ค่อยปรากฏ ต้องมีจนได้ เช่นอย่างเมื่อวานนี้ไปดู ก็มีโรงหนึ่ง
เมื่อวาน เราไม่ได้ไปโรงพยาบาล เราไปวัดป่าแก้ว ไปวัดป่าแก้ว เราเอาของไปเหมือนกัน ไปที่ไหนก็แบบนั้นแหละ หลวงตา ไม่ใช่วัดรอยนะ คือเอาเมตตาพูดเลย หลวงตาพระเวสสันดร ว่างั้นไม่ผิด คือเราไม่ได้วัดรอย แต่เราเดินตามศาสดา เราไม่ได้วัดรอยศาสดา ไปที่ไหนแบบเดียวกันหมด เต็มรถ ๆ เหมือนกัน จะไปโรงพยาบาล หรือไปวัดไปวาไปที่ไหนแบบเดียวกันหมด ขนเต็มรถ ๆ ไปอย่างนั้น ก็ไม่เห็นหมดนะ ก็มาเรื่อย
เอา มันจะจนตรอกจนมุมพาพี่น้องชาวไทยทั้งหลายตกนรกอเวจี ด้วยการให้ทานนี้ ขอให้เห็นเสียที ในตำราไม่มี มีแต่ขึ้นตลอด ถึงจะจนก็จนเพื่อมหาสมบัติคือพระพุทธเจ้า เป็นพระเวสสันดร ไม่มีอะไรทาน ฟาดเอานางมัทรีทาน กัณหาชาลี ก็ไปแล้ว นางมัทรียัง ท้าวสักกเทวราชเนรมิตเป็นพราหมณ์แก่มาขอนางมัทรี ยกให้เลย นั่น ท้าวสักกเทวราชก็เลยขอพร ตั้งแต่นี้ต่อไป พระนางมัทรีนี้เป็นคู่พระบารมีของพระองค์ ขออย่าให้แยกย้ายไปไหนจากพระองค์เลย อย่างอื่นก็เป็นบารมีเหมือนกัน แต่นี้เป็นหลักใหญ่ เป็นคู่ของพระองค์โดยแท้ นั่นฟังซิ ท้าวสักกเทวราชขอพร ถวายคำแนะนำ ขออย่าให้ทานแต่นี้ต่อไป ข้าพระองค์ที่มานี้ ไม่ใช่เป็นคนขอทานทุกข์จนหนโลกธรรมดา เป็นท้าวสักกเทวราช แปลงเพศลงมาจะขอทดลองก็ถูก จะมาถวายคำแนะนำก็ถูก พอถวายแล้ว ท้าวสักกเทวราชก็ยกให้คืน แต่นี้ต่อไปขออย่าได้สละทานนางมัทรีต่อไป พระองค์ก็ไม่ทำอีกเลย นั่นเห็นไหมล่ะ นั่นละพระเวสสันดรจนถึงขนาดไม่มีอะไรทาน ลูกก็หมดไปแล้ว ยังเหลือแต่พระนางมัทรีคู่พระบารมีก็ยกให้ จนไหม เวลาดีด เห็นไหม ศาสดาองค์เอก นั่น อ่อนลงเพื่อจะดีดนะ ไม่ใช่อ่อนลงเพื่อล่มเพื่อจม อ่อนเพื่อดีดขึ้นนะ อย่างนั้นแล้ว
นี้จึงว่า เอา มันจะจนอะไรก็ให้มันจนไป ไม่มีอะไรติดเนื้อติดตัว พาพี่น้องชาวไทยเราจมลง ด้วยการทำบุญให้ทาน เอาให้เห็นเลย ว่างั้นแหละเรา พูดอย่างกล้าหาญเลย เอาให้เห็น ว่างั้นเลย
มันก็ค่อยเป็นค่อยไปมา ให้ทานเรื่อย เอาจนไม่มีอะไรติดเนื้อติดตัวแล้วสบาย แน่ะ แปลกนะ อะไร ๆ หมดไปเท่าไร แทนที่จะเป็นกังวล เป็นข้อหนักใจ เป็นทุกข์ ไม่เป็น มาอีกอยู่งั้น เมื่อวานนี้เขาก็ขนมาจนเต็ม(โกดัง) ไข่ลม ข้าว ขนม อะไร เราเข้าไปดูเมื่อคืนตอน ๒ ทุ่มเราไปดู เต็มเอี๊ยดเลย มาเรื่อย ๆ พวกโรงพยาบาลแหละมา ทีนี้เขายิ่งทราบนะ ว่าวัดนี้แจกทาน โรงพยาบาลต่าง ๆ จึงมาทั้งใกล้ทั้งไกล จนกระทั่งอุบลฯ อุบลฯมาบ่อยเหมือนกัน แถวนี้มาหมด ทานไปเรื่อย ๆ อย่างนั้น ทำให้พอเสีย ตายแล้วก็หมดเรื่องอันนี้ กิริยาอย่างนี้ไม่มี เวลามีชีวิตอยู่นี้ก็ทำเสีย ให้เป็นผลเป็นประโยชน์ เป็นสิริมงคลแก่โลก เป็นคติตัวอย่างแก่โลกต่อไป
ให้ภาวนานะ จับหลักใจให้ดี ใจนี้เป็นหลักสำคัญ สิ่งภายนอกก็อย่างที่พูดแล้ว อาศัยชั่วเวลา ส่วนใจนี้พึ่งเป็นพึ่งตายตลอดกัปตลอดกัลป์ ต้องอาศัยบุญถึงจะมีที่ยึดที่เกาะ เกิดก็เกิด ตายก็ตายเหมือนโลก แต่เกิดของคนมีบุญนี้ต่างกัน ความทุกข์มีน้อยมาก ยิ่งผู้ที่มีความดีมากเท่าไร ความทุกข์ลด ๆ ความดีเด่น ๆ ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงที่สุดจุดหมายปลายทาง เพราะอำนาจแห่งบุญแห่งกุศลค้ำชูจิตใจตลอดไป ถ้าเป็นฝ่ายความชั่วแล้วกดลงตลอด เป็นอย่างนั้นนะ อำนาจแห่งกรรมดีกรรมชั่วนี้เหนือทุกอย่าง ใครอย่าไปอาจหาญนะ ถ้าไม่อยากให้จม
เปิดดูข้อมูล วันต่อวัน ทันต่อเหตุการณ์ หลวงตาเทศน์ถึงเรื่องอะไร www.luangta.com