เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อเช้าวันที่ ๙ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๕๓
เป็นธรรมอยู่ที่ไหนเป็นธรรม
คนก็มากอยู่นะ ภิกษุเฒ่าภิกษุแก่เวลาหนาวนี้เข้าห้องนอน จะคึกคักเป็นการไปเที่ยวที่นี่ไม่ค่อยไป ภิกษุแก่เข้าห้องนอน เป็นอย่างนั้นละ มันมาถูกเจ้าของ มันไม่อยากไปไหนนะ (ผู้กำกับ : ตอนหนุ่มๆ ที่ออกภาวนาหน้าหนาวหลวงตาบอกว่ากลางวันเดินจงกรม) เป็น เรื่องภาวนานี่นับว่าเอาจริงเอาจังมากนะ ผ้าห่มไม่เอาไป มีแต่จีวรสังฆาพับซ้อนกันให้เท่านั้น มันหนาว กลางคืนนอนไม่หลับก็มี โอ้การฝึกเจ้าของไม่ใช่เล่นๆ นะ นี่มานั่งเต๋งเหมงอยู่นี้ ท่านเห็นไหมเวลาเราฝึกเจ้าของ เอาเป็นเอาตายจริงๆ ไม่ใช่เล่นๆ เอาจริงมากนะ นิสัยจริงจังมาก ถ้าว่าอะไรเอาจริง ไม่เหลาะแหละ ผ้าห่มหนาวไม่ให้ติดตัวไป เอาเฉพาะผ้าจีวรสังฆาฏิซ้อนกันห่ม นอนไม่หลับบางคืนมันหนาวมากนะอยู่ในป่าในเขาหนาวมาก
(ผู้กำกับ : หลวงปู่มั่นให้ผ้าห่มผืนหนึ่ง) หลวงปู่มั่นท่านคงสงสาร ท่านไปดูเราไม่มีผ้าห่ม ผ้าห่มหนาวไม่มี มีแต่จีวรสังฆาซ้อนกันห่ม คือดัดเจ้าของ ท่านคิดสงสารท่านเลยเอาผ้าห่มมาบังสุกุลให้ นี่หลวงปู่มั่น ไปเห็น โอ้..ท่านทำดีนะ ท่านทำเป็นคติตัวอย่างอันดี ทำด้วยความเคารพธรรม เวลาเราไม่อยู่เราไปเดินจงกรมอยู่ในป่าท่านด้อมๆ ไป ไปเอาผ้าห่มไปให้..หลวงปู่มั่น ท่านเคยทำมาแล้ว หลวงปู่มั่นท่านเคยฝึกทรมานท่านมาแล้ว ท่านมาเห็นเราทำอย่างนั้นท่านสงสารเราเลยเอาผ้าห่มมาบังสุกุลให้เรา คือท่านเคยทำมาแล้ว หนาวขนาดไหนท่านฝึกท่านทรมานท่านมาก่อนแล้ว นี่มาเห็นเรากำลังฝึกทรมาน ผ้าห่มไม่ให้มี ให้มีจีวรสังฆาฏิซ้อนกันห่ม พอหลับก็หลับไม่หลับก็ไม่หลับเวลาฝึกทรมานเจ้าของ ท่านเลยเอาผ้าห่มมาบังสุกุลให้..หลวงปู่มั่น เราไม่ลืมนะ ท่านเอาผ้าห่ม ถ้าเป็นผ้าห่มใหม่ๆ ท่านกลัวเราไม่ใช้ ท่านเอาผ้าห่มท่านเองเลยมา ผ้าห่มของท่าน ท่านห่มอยู่ละเอามา ไม่ใช่เก่าไม่ใช่ใหม่ กลางเก่ากลางใหม่ ถ้าใหม่กลัวเราจะไม่เอา ท่านเลยเอาผ้าท่านห่มอยู่นั้นมาบังสุกุลให้เรา..หลวงปู่มั่น
เวลาฝึกทรมานมันเอาจริงนะ รู้สึกว่าจริงมากทีเดียว ว่าอะไรเป็นอันนั้น ว่าอะไรเป็นอันนั้นเลย ขาดสะบั้นเลย ไม่มีเหลาะแหละๆ หลวงปู่มั่นท่านเอาผ้าห่มไปบังสุกุลให้ ท่านมาดูว่าเราไม่มีผ้าห่ม มีแต่ผ้าจีวรสังฆา เวลาหนาวท่านก็หนาวเราก็หนาวอยู่ด้วยกันมันก็รู้ ท่านเลยเอาผ้าห่มของท่านนะ ผ้าห่มใหม่ๆ ไม่อดนะ เราไม่เห็นเอาท่านคิดแล้วละก็เลยเอาผ้าห่มของท่านห่มอยู่ละมาบังสุกุลให้เรา ทีนี้เป็นผ้าห่มของท่าน ท่านก็รู้ว่าเราเคารพเราก็ต้องห่มผ้าห่มของท่านเอง ท่านห่มอยู่ท่านเอามาให้มาบังสุกุลให้..หลวงปู่มั่น
ท่านดู เวลาอยู่ด้วยกันท่านก็ดูอยู่นี่ นิสัยขี้เกียจขี้คร้านท้อแท้อ่อนแออย่างไรหรือขยันขันแข็งอะไรๆ ท่านดูหมดดูพระดูเณร ใครจะฉลาดยิ่งกว่าจอมปราชญ์คือหลวงปู่มั่นสมัยปัจจุบัน จอมปราชญ์ พอไปอยู่ได้สามวัน..เราก็นิสัยเราก็ใช้อย่างนั้น ไม่ใช่ไม่มีใช้ มีแต่เราไม่ใช่ เราใช้ตามนิสัยของเรา ท่านก็เอาผ้าใหม่ๆ ผ้าห่มมาให้เลย ท่านเห็นเราไม่มีผ้าห่มเวลาหนาวๆ เราไม่เอาผ้าห่ม เอาผ้าจีวรสังฆาฏิซ้อนกัน คือฝึกทรมานเจ้าของแต่ท่านสงสารท่านเลยเอามาให้ เอาผ้าห่มท่านละผ้าห่มใหม่ๆ กลัวเราไม่เอาเพราะมันมีอยู่ถมไปเราไม่เอา ท่านเอาผ้าห่มของท่านเองมาบังสุกุลให้ ตกลงเราก็ต้องใช้ล่ะ ผ้าห่มหลวงปู่มั่นนะ
ใครฉลาดยิ่งกว่าหลวงปู่มั่น โอ๋ยฉลาดแหลมคมมาก ตาแหลม เรารับไว้ได้สามวันหรืออย่างไร สบงเราก็สบงเก่าๆ เราก็ใช้ไปอย่างนั้นตามนิสัย ไม่ใช่ไม่มี เราจึงใช้อย่างนั้นละ มีแต่เราไม่ใช้ เราใช้ตามนิสัยของเรา พอมาท่านก็เอาสบงใหม่ๆ มาให้ เอานี่สบงนี่ให้ท่านมหานะ ดูสบงมันขาดมันจะเห็นหำอยู่นะ ท่านว่าอย่างนั้นนะ ท่านพูดเฉย ท่านพูดเฉยนี่ละแต่เราคนฟังจะตาย เอาผ้าสบงนี้ให้ท่านมหา ดูมันจะเห็นหำอยู่ ท่านว่า ท่านเอานั่นเอามาให้เรา เวลาท่านพูดท่านเฉยนะแต่เรามันจะขบขันจะตาย
ผ้าสบงเก่าแก่จนจะขาดหลุดลุ่ยมันจะเห็นหำอยู่นั่น ท่านว่าอย่างนั้น ท่านหาอุบายเอาอันนี้ให้เรา ความหมายว่าอย่างนั้น ตกลงเราก็ได้เอาถ้าเป็นของหลวงปู่มั่นแล้วทุกอย่างเอาทั้งนั้นละ เพราะท่านคิดแล้วท่านถึงปฏิบัติต่อเรา ไม่ใช่ท่านสุ่มสี่สุ่มห้านะ ท่านคิดท่านเอามาปฏิบัติต่อเรา ท่านคงเห็นพอแล้วว่าเราก็อาจคิดบ้างตามความโง่ของเจ้าของ ท่านใช้แต่ความคิดฉลาดๆ รับอะไรของท่านได้คิดหมดนั่นละ
เอาผ้าห่มมาให้ก็มาบังสุกุลเลย เอามาวางไว้กลางที่นอนผ้าห่ม แล้วเอาดอกไม้มาวางไว้ เป็นบังสุกุลจริงๆ นะ เอาผ้าห่มมาวางไว้แล้วก็เอาดอกไม้มาวางไว้ข้างบน มาบังสุกุล เราไปดู ใครเอามาให้ โอ้ยนี่มันผ้าห่มหลวงปู่มั่นพ่อแม่ครูอาจารย์เรา เราก็เลยใช้นะ ท่านเห็นเราไม่ใช้ผ้าห่ม หนาวขนาดไหนเราก็ไม่เอา เอาผ้าเท่านี้ละ คือดัดเจ้าของ ท่านคิดสงสารท่านเลยเอาผ้าห่มท่านบังสุกุลให้เรา คนหนึ่งฝึกทรมาน คนหนึ่งผ่านมาแล้ว ท่านก็เลยมาสอนอุบายให้เรา คือผ่านมาแล้วท่านทุกขทรมานมาพอแล้ว ท่านฝึกมาพอ เห็นเราเป็นอย่างนั้นท่านก็เลยเอามาให้ เรากำลังฝึกทรมานท่านไม่ว่าละ ท่านเอามาให้
เราไปหาองค์ไหนไปหาแต่จอมปราชญ์นะ ไปหาครูบาอาจารย์ธรรมดาไม่ค่อยไป ไปหาแต่จอมปราชญ์ฉลาดแหลมคมละเราไป ทีนี้จอมปราชญ์ท่านจะไม่รู้ได้อย่างไรฟังว่าจอมปราชญ์ อะไรๆ บกพร่องไม่บกพร่องอย่างไรท่านรู้หมดล่ะ ไปหาท่านได้สามวันแล้วได้เอาสบงใหม่มาให้ นี่เอาสบงนี้ให้ท่านมหาเสียนะ ดูสบงขาดจะเห็นหำอยู่นะนั่น ท่านพูดเฉยนะ ท่านเล่าขบขันจะตาย ท่านหาอุบายให้เรา ความหมายว่าอย่างนั้น นี่เอาสบงนี้ให้ท่านมหา ดูจะเห็นหำอยู่แล้ว ท่านว่า มันเก่ามันแก่มันขาดหลุดลุ่ย ท่านว่า มันจะเห็นหำอยู่นะท่านว่า ท่านเอามาให้ หาอุบายให้เรา เราไม่ลืม แต่อุบายการใช้แล้วท่านก็ผ่านไป เพราะจอมปราชญ์หาใหม่เรื่อย ไม่ได้หาของเก่าล่ะจอมปราชญ์ ได้ใหม่เรื่อยหาใหม่เรื่อย ความคิดความเฉลียวฉลาดเป็นอย่างนั้น
อยู่กับหลวงปู่มั่นโอ้สำคัญ เห็นหมดอะไรของเราเห็นหมดเลย ท่านคงมาดูเวลาเราไม่อยู่ ในกุฏิได้อะไรๆ มาดู อะไรขัดข้องขาดเขินท่านเอามาให้ นี่มันชัดเจนตอนนั้นละ อะไรขัดข้องท่านเอามาให้ ไม้ตาดเห็นว่ามันเก่าแก่แล้วเราเลยเอาไม้ตาดโยนเข้าในป่า ท่านไปเห็นท่านเห็นว่ามันใช้ได้ท่านเอาไม้ตาดนั่นละมาไว้ให้เราอีก ท่านสอนเรานะ อย่างนั้นนะ ตั้งแต่นั้นมาเราระวังมาก คือท่านสอนในตัวท่านไม่บอกนะ ดูรอยท่านซิ รอยเท้าท่าน โอ้ยรอยเท้าท่านให้เอาไม้ตาดของเราที่ทิ้งแล้วมาไว้ของเก่านะ เอามาไว้ของเก่าให้ มันยังดีอยู่ความหมายว่า อยางนั้นละท่านไม่สุรุ่ยสุร่าย ทุกอย่างท่านประหยัดมัธยัสถ์ จอมปราชญ์ทำอะไรน่าคิดทุกอย่างนั่นละ
แก่เข้าๆ เรารู้ได้ชัด จิตไม่มีวัย อันนี้แก่ ร่างกายแก่ อย่างนี้ละเปลี่ยน นั่งอันนี้ไป แต่ก่อนลุกไปเลย เดี๋ยวนี้นั่งอันนี้ไป แต่จิตไม่ จิตคล่องตัว จิตถ้าฝึกได้แล้วเป็นอย่างนั้นละคล่อง สว่างไสวเสียด้วย ภายในสว่าง ภายนอกอืดอาด ต้องมานั่งอันนี้ไป จิตภายในไม่เป็น คล่องตัว แต่ก่อนจะไปไหนนี่ดีดผึงเลย มันมีกำลังแข็งแรงดีดผึง แล้วเป็นเดินจงกรมในนั้น เดินจงกรมไป เดินทางใกล้ไกลไม่คำนวณ จิตกับสติไม่เผลอกัน พิจารณาในนั้น เรียกว่าเดินจงกรมไปตลอด ไม่ได้ไปแบบเซ่อๆ ซ่าๆ นะ
อย่างนั้นละฝึกจิตฝึกขนาดนั้น เดินทางไปนี้ก็กำหนดเป็นเดินจงกรมไปเลย ถ้าถึงไหนก็ถึงนั้นละเท่ากับเดินจงกรมไป ฝึกเจ้าของฝึกอย่างนั้นละ ฝึกจนอยู่ เอาจนกระทั่งตัวเสนียดจัญไรขาดสะบั้นไปหมด พูดให้ชัดเจนเสียจวนจะตายแล้วนะ เวลามันดื้อมันดื้อนะจิตนี่นะ ฝึกก็ฝึกกันอย่างหนัก เอาเสียจนกระทั่งจิตหมอบเลย ไม่มีดื้อ ทุกวันนี้ไม่ดื้อนะ ภายในจิตใจคิดไปตามโลกตามสงสารไม่มี คิดเป็นธรรมล้วนๆ ไปเลย จิตเป็นธรรมแล้วออกก็เป็นธรรม อยู่ข้างในก็เป็นธรรม คิดไปไหนเป็นธรรมหมดเวลาเป็นธรรมแล้วนะ เวลาเป็นโลกไปไหนเป็นโลกไปหมด จำเอานะคำนี้นะ มันเป็นอยู่กับจิต คือฝึกจนกระทั่งว่ามันเป็นธรรม เป็นธรรมอยู่ที่ไหนเป็นธรรมหมด ยืนเดินนั่งนอนเป็นธรรมทั้งนั้นละ แต่เวลามันเป็นโลกเป็นกิเลสอยู่ไหนเป็นกิเลสหมด จำเอา จากการฝึกทั้งนั้นละ พยายามฝึกเอา
รับชมรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM103.25 MHz
พร้อมเครือข่ายทั่วประเทศ
|