สะเทือนมากในหัวใจ
วันที่ 10 กรกฎาคม. 2553 เวลา 11:00 น.
สถานที่ : วัดป่าเกษรศีลคุณธรรมเจดีย์ (ผาแดง) ต.หนองอ้อ อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส

ณ วัดป่าเกษรศีลคุณธรรมเจดีย์ (ผาแดง)

ต.หนองอ้อ อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี

เมื่อวันที่ ๑๐ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๓

เวลาประมาณ ๑๑.๐๐ น.

สะเทือนมากในหัวใจ

 

          ท่านเพียรเรียกว่าหมดจด เครื่องอะไรอย่างนี้พวกเล็บพวกอะไรกลายเป็นธาตุหมดเลยท่านเพียร พวกเล็บพวกอะไรตัดออกๆ พระเก็บไว้ เจ้าของยังไม่ตายกลายเป็นธาตุหมดของท่านเพียร ท่านเพียรนี้เรียกว่าหมดจด บริสุทธิ์เต็มที่ ที่เป็นลูกศิษย์ของเรานี้มีหลายองค์ เวลานี้ยังเหลืออยู่ท่านบุญมี ท่านเพียรก็เสียไปแล้ว ใครบ้างนะที่เป็นลูกศิษย์ซึ่งยังเหลืออยู่ ท่านเพียร ท่านบุญมี ใครบ้างจำไม่ได้ ท่านเพียรนี้เรียกว่าหมดจด บริขารอะไร พวกเล็บพวกอะไรตัดออกกลายเป็นพระธาตุหมดท่านเพียร เรียกว่าหมดจดท่านเพียร

ท่านอยู่กับเรามานาน นานท่านเพียร-ท่านบุญมี เรานะส่งออกไปอยู่ ท่านเพียรกับท่านบุญมีแต่ก่อนอยู่กับเราอยู่นาน เราเลยส่งออกไป เป็นพ่อตาแม่ยายแล้วยังมาเป็นลูกเขยใหม่อยู่ทำไม เราว่า ไปออกไป ท่านเพียรเลยไปอยู่นั้นนาคูณหรืออะไร ท่านบุญมีไปอยู่ด้วยกัน นี่ละอยู่กับเรามานาน ถ้าเราไม่ไล่ออกไปก็น่าจะอยู่จนกระทั่งป่านนี้ละท่านบุญมีนะ อยู่กับเรามาตั้ง ๒๘ ปีท่านบุญมี ท่านเพียรนี่เท่าไรไล่เลี่ยกัน เราไล่ออกไปนะนั่น เป็นพ่อตาแม่ยายแล้วยังมาเป็นลูกเขยใหม่อยู่ทำไม ไป ไล่ไป ท่านเพียรไปอยู่ที่นั่น ท่านบุญมีไปอยู่ด้วยกัน ความพอใจนั่นแหละ คนเราอยู่ด้วยกันได้นานเท่าไรอยู่ด้วยความพอใจ เพราะไม่ได้ผูกมัด ไม่ได้ขับไล่ไสส่ง ไม่ได้ผูกมัดว่าอย่างนั้นเถอะ จนขับไล่ออกไป

ท่านเหล่านี้น่าจะหายสงสัยมานานกับเรา ว่าเป็นผู้หมดจดแล้ว อยู่กับเราเรื่อยมาจนเราไล่ออกไป ท่านเพียร-ท่านบุญมีอยู่กับเรามานาน เราละไล่ออก ไล่ออกไป แต่ท่านเพียรหมดจดแล้ว อะไรก็กลายเป็นพระธาตุไปหมดท่านเพียร อยู่ด้วยความตั้งใจอยู่กับเรา เราก็พาปฏิบัติอยู่อย่างนั้นตลอดมา ท่านเหล่านี้ก็อยู่ด้วยความตั้งใจ เพราะฉะนั้นจึงได้ไล่หนีถึงไป ไม่ไล่ไม่ไป

ที่คนเขาร่ำลือว่าหลวงตาบัวดุแต่ท่านเหล่านี้ได้ไล่ออกไป พวกอยู่ไกลก็ว่าดุ พวกอยู่ใกล้ได้ไล่ออก เป็นอย่างนั้น เมื่อน่าว่าน่าดุก็ดุ เพราะเป็นอาจารย์คนคอยแนะนำผิดถูกชั่วดีก็ต้องว่ากันเป็นธรรมดา ถ้าเมื่อไม่ผิดแล้วจะว่ากันหาอะไร แน่ะมันก็เท่านั้น อย่างที่ว่าเหล่านี้ไม่ได้ว่านะ ไม่เคยดุ แต่ที่อื่นเขาว่าดุ ว่าเราดุ แต่ที่อยู่กับเราหลายๆ ปีได้ไล่ออกไป ไม่ว่าดุนะ เป็นอย่างนั้นละ พระเณรอยู่ด้วยกันก็อยู่อย่างนั้นไม่เคยได้ดุด่าว่ากล่าว เมื่อต่างคนต่างดีแล้วก็ต่างคนก็อยู่ ไม่ได้ว่ากัน

เรานี่มันถูกสับถูกยำมาพอแล้วล่ะตั้งแต่พ่อแม่ครูอาจารย์มั่น นั่นละมาสอนหมู่เพื่อน ใครก็ว่าเราดุ อยู่กับพ่อแม่ครูอาจารย์ยิ่งเก่งดุ แต่ก็ไม่ได้ดุสำหรับผู้ไม่ผิด แน่ะ ผู้ผิดมันก็ดุ ไม่ว่าใครดุเหมือนกัน อย่างเราไปอยู่กับท่านไม่เคยเห็นท่านดุนะ อย่างนั้น แหละ ท่านยิ่งไว้ใจเสียด้วย ไม่เห็นท่านดุ อยู่ดีๆ นั่งอยู่ด้วยกันบทเวลาท่านจะพูดขึ้นมา  “ท่านมหาไปไหน” ทั้งๆ ที่นั่งอยู่ด้วยกัน นั่นคือความตายใจ ความไว้วางใจ อยู่ดีๆ อยู่กับหมู่กับเพื่อน “ท่านมหาไปไหน” เมื่อไม่ผิดท่านก็ไม่ดุ อย่างเราไม่เห็นท่านดุ ไม่เห็นไม่มี พ่อแม่ครูอาจารย์มั่นไม่เคยเห็นท่านดุนะ คนหนึ่งระวังเหมือนกันกับเหยี่ยวกับนก ระวังกันแล้วยังจะดุได้หรือจะดุช่องไหน ระวังตลอด ท่านไม่เคยดุกับเรา ดีไม่ดีท่านไว้วางใจด้วย คือเรามันเอาจริงเอาจังทุกอย่าง ไม่ได้เหลาะแหละ ทำอะไรไม่เหลาะแหละ

ไม่มีที่ไป มีแค่นี้มานี้ ที่เที่ยวกรรมฐานไม่ค่อยมี ทางนู้นก็ท่านอุ่น แต่ก็ไม่ค่อยได้ไป ท่านอุ่นไม่ค่อยได้ไป นานๆ ไปทีหนึ่ง

ท่านบุญมียังอยู่หรือตายแล้ว ยังอยู่นะ เดี๋ยวนี้มือยังสั่นท่านบุญมี ท่านเพียรตายแล้วนะ นี่เป็นลูกศิษย์คู่กันมากับเรา เราส่งให้ไปอยู่ที่นั่นๆ นี่อยู่กับเรานาน ท่านบุญมีดูว่า ๒๘ ปีหรืออะไร กับท่านเพียรนี้ไล่เลี่ยกัน เราส่งออกไปให้ไปอยู่ตามอัธยาศัย ถ้าอยู่กับเรามันก็เป็นลูกเขยใหม่อยู่นั้นละ มันต้องระวัง ไม่ระวังไม่ได้ ถึงไม่ดุก็ระวัง ถ้าออกไปอยู่ลำพังเจ้าของเป็นอีกอย่างหนึ่ง เพราะอย่างนั้นเราจึงไล่ออกไป ไล่ออกไป มาเป็นลูกเขยใหม่อยู่ทำไม พอเป็นพ่อตาแม่ยายได้แล้ว ไป ไล่ พระเณรอยู่ไปนานๆ ติดนะ ติดครูบาอาจารย์ เช่นอยู่กับเราได้ไล่ออก ใครก็ว่าเราดุ ใครก็ว่าเราดุ ครั้นมาอยู่จริงๆ แล้วพวกที่อยู่นานๆ ได้ไล่ออกไป เป็นอย่างนั้นล่ะ ไม่ผิดจะไปดุกันหาอะไร คนผิดต่างหากได้ดุ บางทีได้ไล่ออกไปอย่างนี้

พ่อแม่ครูอาจารย์นี้ดุ ดุจริงๆ นะ เพราะท่านคล่องแคล่วทุกอย่าง ตาอะไรๆ หูตาท่านคล่องแคล่วว่องไว ผิดถูกชั่วดีมองเห็นแล้ว พวกเรายังเซ่อซ่า ท่านเห็นแล้ว ถ้าภาษาของเราพูดเร็วๆ ท่านเอาตับไปกินแล้วเจ้าของยังเซ่อซ่า ถ้าอย่างนั้นได้ดุเรื่อยละ เราระวังตัวตลอด ไม่ได้ดุ แต่เราอยู่กับท่านก็ไม่เห็นท่านดุ เพราะระวังตลอด สมัยอยู่กับพ่อแม่ครูอาจารย์พ่อแม่ครูอาจารย์เป็นทั้งพ่อทั้งแม่ เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรครอบไว้หมด

ท่านก็บอกว่าท่านไม่เลย ๘๐ นะ พ่อแม่ครูอาจารย์มั่นท่านบอกไว้เลย บอกว่าเราไม่เลย ๘๐ พอถึงระยะแล้วก็บอกอีก พอเริ่มป่วย “วาระสุดท้ายของเรา ไม่หาย เริ่มป่วยจนตาย” ท่านว่าอย่างนั้นนะ แล้วไม่หายจริงๆ วาระสุดท้าย เหตุที่เราจะจำได้แม่นยำก็คือเราไปเที่ยวอยู่ทางอำเภอวาริชภูมิ ท่านอยู่หนองผือ พอเรามา “ท่านมหาไปไหน” ลักษณะขู่ๆ “นี่ๆ ป่า เหล่านี้ป่า มันอดอยากเมื่อไรจึงต้องไปหาที่นั่นที่นี่” จากนั้นมาก็แย็บออกมา “ผมก็เริ่มป่วยเมื่อวานซืนนี้” ท่านว่า เราก็จับได้ปั๊บอ๋ออันนี้เอง ทีนี้ท่านจะป่วยจริงๆ แล้ว เราจับได้ตรงนั้นละ

อยู่ธรรมดาท่านไม่เห็นว่าอะไร มาวันนั้นท่านว่าเลย “ท่านมหาไปเที่ยวที่ไหน ที่ไหนป่าไม่อดไม่อยาก เหล่านี้ๆ ” ท่านชี้ไป เราก็คอยฟัง ท่านแย็บออกมา “นี่ผมก็เริ่มป่วยเมื่อวานซืนนี้” ท่านว่าวานซืน เราก็จับได้ปุ๊บ อ๋อป่วยคราวนี้คงเป็นการป่วยสำคัญของท่าน  เราจับเอา แล้วก็บอกว่าไม่หายนะทีนี้ ไปเตลิดจนตาย ท่านว่า แน่ะท่านแย็บออกมา แต่ก่อนท่านไม่เห็นว่า เราไปที่ไหนท่านไม่ว่านะ แต่คราวนั้นท่านว่า “ท่านมหาไปไหน กรรมฐานที่ไหน นี่ๆ ป่า” เราก็คอยจับเอา สักเดี๋ยวก็แย็บออกมา “ผมก็เริ่มป่วยแล้ว” อ๋ออันนี้เอง เท่านั้นละ “ป่วยคราวนี้ไม่หาย” เปิดออกเรื่อย ก็ไม่หายจริงๆ

น้ำตานี่มันพังเลยนะ พอพ่อแม่ครูอาจารย์ละเท่านั้นละน้ำตานี้พังเลย ไม่ทราบมันมาจากไหน ความสลดสังเวช ความรักความเคารพ ความอาลัยเสียดาย ความเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรอยู่นั้นหมด ว่าอย่างนั้นเถอะ น้ำตาพังเลยเรา ไม่ทราบมันมาจากไหนละน้ำตาพังเลยเชียว ท่านก็อายุ ๘๐ หลวงปู่มั่นอายุ ๘๐ ท่านก็บอกไว้เลยว่าไม่เลย ๘๐ แน่ะ ท่านบอกไม่เลย ๘๐ พอป่วยครั้งสุดท้ายบอกว่าครั้งนี้แหละ ครั้งนี้ไม่หายจนตาย ท่านว่า แล้วเป็นจริงๆ แต่ก่อนท่านไม่เห็นพูด การเจ็บไข้ได้ป่วยมีเหมือนเราๆ ท่านๆ ท่านไม่ได้พูด แต่ป่วยคราวนี้ท่านบอกเลย

พ่อแม่ครูอาจารย์ล่วงไปนี้น้ำตาไม่ทราบมาจากไหน พรูออกมาเลย เพราะบุญเพราะคุณ เพราะความเคารพ เพราะความรัก รวมอยู่นั้นหมดเลย ท่านก็ไปอย่างสบาย ท่านไม่มีอะไร ท่านไปอย่างนักปราชญ์จอมปราชญ์สมัยปัจจุบัน เราก็อยู่จนท่านสิ้นลม เหมือนฟ้าดินถล่มนะ พ่อแม่ครูอาจารย์มรณภาพจากไปมันเหมือนฟ้าดินถล่ม มันสะเทือนมากในหัวใจเรา สะเทือนมากจริงๆ น้ำตาไม่ทราบมาจากไหน ทั้งๆ ท่านก็บอกเป็นระยะๆนะ บอกเรื่องความตายของท่าน มันก็ไม่ค่อยตื่นเต้นอะไรนัก ครั้งสุดท้ายนี้มันตื่นเต้นเอามาก

เราก็ไม่เคยพูดให้ใครฟังนะ วันนั้นเราไม่ได้อยู่ที่นั่น แต่ท่านพูดเรื่องเราแล้วพูดให้ใครฟังคนนั้นก็มาถึงเรา อย่างพูดเรื่องของเรา พูดให้องค์ไหนองค์นั้นก็มาเล่าให้เราฟังทุกองค์ ท่านก็พูดทำนองนั้นละ “เวลาผมตายแล้วพวกท่านจะพึ่งใครละ” พระเณรก็เงียบ ไม่มีใครพูดอะไร นิ่ง แต่เราไม่ได้อยู่ที่นั่น พวกเณรอยู่กับท่านสองสามองค์ สักเดี๋ยวก็ “เอ้อ เวลาผมตายแล้วให้พึ่งท่านมหานะ ท่านมหานี่สำคัญอยู่นะทั้งภายนอกภายใน” ท่านว่าอย่างนั้นละ ท่านไม่พูดมาก ท่านพูดกับพระต่างหากท่านไม่พูดกับเรา กับเราไม่พูดอะไรละ

ตอนนั้นจิตเรากำลังหมุนเป็นธรรมจักร ตอนที่ท่านจวนนั่นละ ท่านสั่งแบบอุบายวิธี “เวลาผมตายแล้วพวกท่านจะพึ่งใครละ” นั่นอุบายวิธีท่าน จากนั้นมา “ให้พึ่งท่านมหา ท่านมหาสำคัญอยู่นะทั้งภายนอกภายใน” พอดีกับจังหวะนั้นเป็นจังหวะที่จิตเราไม่ได้หลับได้นอน หมุนติ้วๆ เข้ากันได้กับที่ท่านว่า ไม่ได้หลับได้นอน ธรรมหมุนตลอดเลย บางคืนไม่ได้นอนเลย มันหมุนของมัน มันหากเป็นเอง พูดให้ใครฟังชัดเจนไม่ได้ รู้ได้เฉพาะเจ้าของ เวลามันหมุนของมันกลางคืนไม่นอน

          ไปล่ะทีนี้ ไม่อยู่ละ (คณะลูกศิษย์หลวงปู่ลีถวาย ๖,๒๐๐ เจ้าค่ะ ดอลลาร์อีก ๑๐๐ ดอลล์เจ้าค่ะ)

 

รับชมรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th

และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM10

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก