ผีจะเอาไปแต่งงาน (เรื่องเกี่ยวกับผี)
วันที่ 16 มิถุนายน 2543
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๖ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๓

ผีจะเอาไปแต่งงาน

โฮ้ ไปประเทศอังกฤษเขาน่าสงสารมากนะ ไปดูสภาพ เพราะเขามีกฎมีระเบียบ ความสวยงามประจำชาติของเขาอยู่แล้ว นี่ถ้าได้หลักธรรมได้ศาสนาพุทธเราเข้าไป กับผู้ที่สนใจอย่างนี้แล้วจะเข้ากันได้สนิท แต่ก็ไม่แน่นักนะ ไอ้กรรมปทปรมะ มันอยู่ทั่วไปใช่ไหมล่ะ งามแต่ภายนอก ภายในมีแต่ขี้ก็ได้

แต่ที่เราไปนั้นมันเห็นได้ชัด เราไปถึงทีแรกพวกฝรั่งมังค่าเขาก็มา คนไทยเราก็เยอะ แล้วมานี้หนาแน่นขึ้นทุกวันๆ ไม่ว่าคนไทยไม่ว่าฝรั่ง ยิ่งฝรั่งนั้นหนาแน่นขึ้นทุกวันๆ แต่เสียดายที่ว่าเราไม่ได้พูดตรงไปกับปากของเราเอง ส่งผ่านล่ามไปอย่างนั้น ท่านปัญญาเป็นล่าม เราเทศน์ผ่านท่านปัญญา ท่านปัญญาอธิบาย ถ้าออกนี้ปั๊บถึงนั้นเลยมันก็เต็มเม็ดเต็มหน่วย เราไปปี ๕๑๗ ไปก็เทศน์ประมาณสัก ๓๐ นาที เทศน์อบรมทางด้านจิตใจ แล้วจากนั้นก็พานั่งสมาธิภาวนา ๓๐ นาทีทุกวัน ที่เราไปนี้มานี้หนาแน่นขึ้นทุกวันๆ ทีแรกมาก็นั่งเก้าอี้ ครั้นเวลามากเข้าๆ ไม่ได้นั่งเก้าอี้ นั่งแทรกเก้าอี้ก็มี ต่อไปเก้าอี้เลยไม่มีความหมาย นั่งพื้นกันหมดเลย พวกฝรั่งเหมือนผ้าพับไว้นะ เขาหนาแน่นขึ้นทุกวัน ท่านปัญญาก็เป็นชาวอังกฤษนี่ เป็นฝ่ายปฏิบัติด้วย อธิบายธรรมะให้ฟัง

ถ้ามีผู้ตั้งใจซึ่งมีหลักเกณฑ์ คือพระที่ไปประกาศศาสนานั้น ต้องเป็นพระปฏิบัติดีตามหลักศาสนาจริงๆ ภายนอกภายในพร้อม ภายในก็คือจิตตภาวนา หลักฐานของจิตเป็นชั้นๆ สำหรับพระผู้ปฏิบัติ ภายนอกข้อวัตรปฏิบัติหลักธรรมหลักวินัยแล้ว ดีไม่ดีอังกฤษนี้เขาจะเป็นเจ้าของพุทธศาสนานะ เพียงเราไปได้ ๒ อาทิตย์เท่านั้น โอ๋ย หนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ บางคนที่มาสังเกตการณ์ เขามาสังเกตการณ์ของเขา ทีนี้สุดท้ายคำว่าสังเกตการณ์เลยหมดความหมาย ไม่ได้มาอยู่ไม่ได้ เลยอยากมา มาเป็นประจำ ที่ว่าสังเกตการณ์หมดความหมายไปเลย (หัวเราะ) เขาเล่าให้ท่านปัญญาฟัง ท่านปัญญาเล่าให้เราฟังอีกที ฟังเทศน์รู้สึกว่าซาบซึ้งอะไรๆ เขาว่า

เวลาตอบปัญหานี้ โธ่ ฝรั่งก็หัว(เราะ)ดีเหมือนกันนะ ตอบปัญหาฝรั่งหัว(เราะ)เอิ้กอ้ากๆ เหมือนกัน เวลาเราตอบปัญหา แต่เสียดายไม่ได้ตอบพุ่งถึงเลย ตอบแล้วผ่านท่านปัญญาไป น้ำหนักไม่เต็ม ถ้าตอบปึ๋งเลยทีเดียว โอ๊ย เต็มเม็ดเต็มหน่วย อ้อ ฝรั่งก็หัว(เราะ)เก่งเหมือนกัน พอถามมาปั๊บตอบปุ๊บ สวนหมัดปั๊บ หัวเราะ

เราไปดู น่าสงสารนะ มามากขนาดไหนเหมือนผ้าพับไว้ๆ ครั้นเวลาเราจะมาเขาขอท่านปัญญาไว้ น่าสงสารเหมือนกัน เขาขอท่านปัญญาไว้ทางนู้น ท่านปัญญาก็มาถามเรา เขาก็นั่งล้อมอยู่นั้นแหละ ท่านปัญญาก็มาถามเรา “นี่เขานิมนต์ผมให้อยู่ที่นี่ ท่านอาจารย์จะว่ายังไง” “โห ผมไม่ว่ายังไง ผมพร้อมเสมอถ้าท่านพร้อมแล้ว ผมพร้อมเสมอที่จะให้อยู่ เวลานี้ท่านพร้อมหรือยัง ท่านพร้อมแล้วยัง” “พร้อมอะไร” พร้อมภายในจิตเป็นหลักเป็นเกณฑ์ พร้อมภายนอกหลักธรรมหลักวินัยล่ะซิ ท่านพร้อมหรือยัง” “ยังไม่พร้อม” “ถ้ายังไม่พร้อม มาพูดกับผมทำไม” ก็เลยดุท่านปัญญาตรงนั้น เขาก็หัวเราะลั่นเหมือนกัน

“ผมพร้อมแล้ว ผมสอนนี้สอนเพื่อโลกนะ ผมไม่ได้สอนเพื่อผม สอนเพื่อท่าน ถ้าท่านเป็นหลักเป็นเกณฑ์แล้ว ท่านก็สอนผู้อื่นได้ ถ้าท่านพร้อมแล้ว” (ท่านปัญญา) บอกว่า “ยังไม่พร้อม” สุดท้ายก็เลยมากับเราอีก (หัวเราะ) แสดงว่ายังไม่พร้อม นี่ยังไม่ได้ถามเดี๋ยวนี้พร้อมแล้วยัง (ลูกศิษย์หัวเราะ) หรือพร้อมที่จะเตรียมโลงเผาศพก็ไม่รู้นะ มันพร้อมหลายอย่าง เดี๋ยวนี้รู้สึกว่าจะพร้อมไปทางเผาศพมากกว่าเพราะแก่แล้ว (หัวเราะ) ขบขันดี

โห ร้องไห้ สงสารจริงๆ เราก็ดี ผู้หญิงร้องไห้ ผู้หญิงชาวอังกฤษ เขาเคยมาอยู่ที่นี่ เขาเคยมาภาวนาทีละเป็นเดือนนู่นน่ะ ทีละสองคนสามคนเขามาอยู่ในครัวกับโยมแม่ (ของหลวงตา) เขาภาวนา เดี๋ยวนี้เขายัง (มี) ชีวิตอยู่ ดูเหมือนแก่มากแล้วนะ

พวกเหล่านี้แหละที่พวกเคย (--คุ้น) กับเรา โอ้ เวลาเราจะไปน้ำตาพังเลยเทียว โอ้ น่าสงสาร ตามส่งถึงสนามบิน พอถึงประตูที่ส่งสุดท้ายเราก็ขึ้นเครื่องบินเลย นั้นละเอาอีกพักหนึ่ง (ร้องไห้) เหมือนกันนะ คือส่งเป็นระยะๆ พอไปถึงประตูสุดท้าย ที่นี่เขาห้ามคนตามส่ง ให้กลับ ตรงนั้นอีกจุดหนึ่ง เอ้อ น่าสงสาร

เราก็ไม่เคยได้ไปอีกเพราะเข็ด โอ๊ย นั่งเครื่องบินนี้เข็ด เขามานิมนต์ทุกปีแหละ สองสามปีสี่ปีทีแรกนะ เราบอกเราไม่ไป เราเข็ดยังไม่หายเราว่ายังงี้ (หัวเราะ) จะมาขอพระชาวอังกฤษ ท่านปัญญานี้ไป “โอ๊ย ท่านอาจารย์ไม่ไป ผมก็ไม่ไป” ท่านว่า ก็เลยไม่ไปจนกระทั่งป่านนี้

น่าสงสาร ถ้ามีหลัก สอนตามหลักของพระพุทธศาสนาจริงๆ ผู้ที่ต้องการความจริงอยู่แล้วต้องถึงกันทันทีๆ ไอ้พวกเหลวไหลยังไงมันก็ไม่สนใจละ

เราพูดถึงเรื่องศาสนาไปสู่ต่างแดน ถ้าไปด้วยมีหลักมีเกณฑ์จริงๆ ก็ดี อย่างทางออสเตรเลียก็ดูเหมือนท่านเอียนไป ท่านเอียนก็อยู่นี้ดูเหมือนประมาณสักสิบปีกว่าละมั้ง ไปนี้เอาเทปไปด้วย เอาเทปจากวัดนี้ที่สอนพระล้วนๆ ไปด้วย เอาไปเยอะนะ ท่านเอียนก็เป็นชาวอังกฤษ พอบวชแล้วก็มาอยู่ที่นี่เลย ได้สิบกว่าปี ท่านถึงได้ไปจากนี้

โอ้ พุทธศาสนาเรานี้ไม่มีวาสนานี้ไม่ได้พบจริงๆ เลิศขนาดนั้นละฟังเอาเถอะ ต้องเอาใจเข้าจับ จับธรรมของพระพุทธเจ้า เพียงสายหูสายตาเรานี้ ก็เพียงเป็นแนวทางสำหรับผู้สนใจจะเข้าสู่ทางปฏิบัติและจะสัมผัสสัมพันธ์ธรรม ถ้าเพียงเรียนจดจำมาเฉยๆ อย่างว่าแหละ ก็มีแต่ชื่อในตัวหนังสือ ตัวจริงไม่เห็น และไม่สนใจปฏิบัติ คือไม่สนใจก้าวเดินไปสู่จุดนั้นๆ ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ เรียนก็ได้แต่ตัวหนังสือ บาป บุญ นรก สวรรค์ นิพพาน มีเท่าไรก็ไม่เห็น ก็ไม่ก้าวเดินไปดูจะเห็นยังไง

การก้าวเดินด้วยวิธีปฏิบัติตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้านี้จะไปไหน จะเจอ เพราะมีอยู่แล้ว นำสิ่งที่มีทั้งหมดมาสอนพวกเรา ไม่ได้มาสอนแบบสุ่มสี่สุ่มห้า มีภาคปฏิบัติก็เรียกว่าก้าวเดิน ก้าวเดินไปถึงนี้ ก็จะเจอสิ่งนี้เจอสิ่งนั้น เจอเรื่อยไป ก้าวเดินไปเรื่อย เจอไปเรื่อยๆ ภายในก็เจอกิเลสเจอธรรมเจ้าของ (--ตัวเอง) เข้าไปเรื่อย ภายนอกที่มาสัมผัสสัมพันธ์รอบด้านนี้ก็เจอไปพร้อมๆ กันเลย ภายในก็เจอภายนอกก็เจอ ภายในเจอทั้งกิเลสเจอทั้งธรรม ภายนอกเจอทั้งเปรตทั้งผี สัตว์นรกอเวจีอะไร สวรรค์พรหมโลก ภูมิจิตภูมิใจ ไปนี้มันจะเจอของมันไปเรื่อยๆ ๆ

นี่ธรรมท่านสอนอย่างนั้นนะ สิ่งเหล่านี้เป็นของมีอยู่แล้วทั้งนั้น ที่พระพุทธเจ้ามาสอนพวกเรา ทรงรู้ทรงเห็นหมดแล้วนำมาสอนพวกเรา ให้ปฏิบัติ หลักใหญ่ก็คือว่าแก้กิเลสภายในใจ สิ่งนั้นเป็นสิ่งภายนอก นอกจากกิเลสซึ่งเป็นตัวภัยในใจของเรา และธรรมที่เป็นคุณในใจของเรา ให้แก้ตรงนี้ก่อน อันนั้นเป็นผลพลอยได้ไปในตัวของมันนั้นแหละ

มันหากรู้หากเห็นไปเรื่อยๆ รู้เห็นตรงไหนยอมรับๆ มีแต่ อ๋อๆ เรื่อยเลย นั่นเห็นไหม เมื่อไปเจอแล้วค้านพระพุทธเจ้าได้ยังไง ก็รู้แล้วเห็นแล้วจึงมาสอนโลก เอาอะไรมาค้าน ให้ปฏิบัติพอไปเจอแล้วมันก็ยอมรับๆ

ก็อย่างที่เคยพูดให้ฟังนั่นละ ที่เป็นตัวอย่างในปัจจุบันนี้ พระกรรมฐานเรานี้ละ อย่ามาพูดว่าเราหยาบโลนนะเราพูดตามหลักความจริง ที่เห็นด้วยกัน ค้านกันได้ยังไง พระปฏิบัติท่านก็มีความเชี่ยวชาญทางความรู้เกี่ยวกับสิ่งภายนอกเหมือนกัน องค์หนึ่งอยู่ถ้ำนั้น องค์หนึ่งอยู่ถ้ำนี้ นัดกันว่า วันนั้นๆ ค่อยลงมา องค์นี้ก็ไปอยู่ทางโน้น องค์หนึ่งก็อยู่ทางโน้นฟากโน้น อยู่ได้สามคืนองค์นั้นเผ่นมาเลย “อ้าวแล้วมายังไง ก็นัดกันว่าจะอยู่เท่านั้นคืนเท่านี้คืน” “โอ๊ย อยู่ไม่ได้” “มันเป็นอะไร” “เปรต ผีผู้หญิงมากวน” ว่าอย่างนี้ คือผู้หญิงคนนั้นเป็นหญิงท้อง ไปขึ้นเอาผลไม้อะไร แล้วตกลงมาตายแถวหน้าถ้ำนั่นแหละ เราไม่รู้ แต่พระหาอุบายสอบถาม เพราะพระท่านเจอเรื่องนี้ ท่านเลยหาอุบายสอบถามประชาชน เขาทราบเขาก็เล่าให้ฟัง ถึงรู้ ผู้หญิงคนนั้นตายแล้วมาเป็นเปรตเฝ้าอยู่ที่ถ้ำนั่นน่ะ

ตายทั้งกลมด้วย ทีนี้พระองค์นั้นไปภาวนามุ่งหาอรรถหาธรรม ผู้หญิงคนนั้น มันเอาเท้ามันเกาะเพดานถ้ำ หย่อนตัวลงมา เอานมมาเปรอะเข้าตรงนี้ ท่านผลักเท่าไหร่มันก็ไม่ถอย ทำยังไงมันก็ไม่ถอย แผ่เมตตาอะไรมันไม่ยอมรับทั้งนั้น มันมากอดมากุมท่าน ทนอยู่ได้สามคืน พอหลับตาเข้าไปปั๊บ พอจิตเริ่มเข้าปั๊บ เอาแล้วมาแล้ว ถ้าอยู่ธรรมดานี่ก็ไม่เป็นไร

ภาวนาพอจิตจ่อเข้าปั๊บนี่ เหตุการณ์มันก็มาพร้อมกัน ทำยังไงมันก็กวนทั้งคืน เลยอยู่ไม่ได้ ทนอยู่ได้สามคืน ท่านก็เผ่นเลย ไปก็ไปหาองค์นู้นละ “แล้ว อ้าวทำไมนัดกันวันนู้นวันนี้จะมา แล้วมาอะไร” “อู๊ย อยู่ไม่ได้” “มันเป็นอะไร” ท่านเล่าให้ฟังตามเรื่องอย่างนี้ “ถ้างั้นผมไปทดลองดู” มาซี นี่แหละเห็นไหมพยาน เอ้า“ถ้าอย่างนั้นผมไปทดลองดู” “เอ้อ ไปลองดูซี” องค์นี้ได้สองคืน (หัวเราะ) ได้สองคืนแล้วเผ่นมา เป็นยังไง “อู๊ย อย่าพูดเลยมันเหมือนกัน” “แบบเดียวกันเลย บอกบุญไม่รับ” ว่าอย่างนั้น

นั่นละเห็นไหม นั่นละความจริง เจอแล้วเหมือนกันแล้วค้านกันได้ยังไง ยอมรับเลยทันทีๆ ทีแรกก็อาจหาญละซี เอ้า “ผมไปดู” “เอ้า ไปลองดูซิน่ะ” “ผมไปลองดูเป็นยังไง” องค์นี้ได้สองคืน (หัวเราะ) องค์นั้นได้สามคืน เวลามาสืบถามเขาดู เป็นผู้หญิงตายทั้งกลม มันขึ้นไปเอาผลไม้อะไรแล้วตกลงมาตาย มาเป็นเปรตเป็นผี ท่านหาอุบายถามนะ ไม่ได้ถามตรงๆ เขาก็เล่าให้ฟังธรรมดาๆ ท่านก็ทราบต้นเหตุ อ๋อ เป็นอย่างนั้น เขาไม่ทราบว่าท่านรู้ท่านเห็นอะไร ท่านไม่ได้บอก

ก็อย่างพ่อแม่ครูจารย์ (มั่น) ท่านเคยหาอุบายสอนประชาชน ญาติมิตรเขาตาย ไปเป็นเปรตเป็นอะไรอย่างนี้ นั่นเห็นไหมล่ะ หาอุบายสอนเรื่องการทำบุญให้ทานอุทิศถึงเปรตถึงผีแถวบ้านนี้ไม่มีเหรอ คนล้มคนตายมันอาจเป็นเปรตเป็นผีได้นะ ท่านหาอุบายสอน ท่านไม่บอกตรงๆ ให้ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ คือพวกปรทัตตูปชีวีเปรตนี้ คือเปรตมี ๑๓ จำพวก จำพวกที่หนัก หนักมาก คือจำพวกที่ผ่านจากนรกหลุมสุดท้ายขึ้นมาแล้วก็มาเป็นเปรต เปรตนี้เป็นประเภทที่หนักมาก แต่เบากว่านรกหลุมสุดท้าย

นรกหลุมสุดท้ายก็ว่าเบาแล้ว แต่ว่ามาเป็นเปรต ๑๓ จำพวก เปรตจำพวกแรกนี้ หนักกว่าเพื่อน ทีนี้จำพวกที่เป็นปรทัตตูปชีวีเปรตนี้ เป็นจำพวกที่จะรับไทยทานของญาติมิตรทั้งหลายได้ อย่างเราทำบุญให้ทานอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ล้มผู้ตาย ก็คือประเภทนี้ได้รับ นอกจากนั้นไม่ได้รับ ท่านบอกไว้อย่างชัดเจนในธรรม

นี่ละธรรมของพระพุทธเจ้าที่ว่าเลิศ เลิศอย่างนี้ ให้เห็นด้วยใจของเจ้าของ (ตัวเอง) ซี แล้วไม่ต้องไปหาใครมาเป็นสักขีพยานนะ ก็อย่างที่ว่าพระสององค์นั้น เห็นไหมล่ะ พอมาเล่าให้กันฟังแล้ว “ไหนๆ ให้ผมไปทดลองดูเป็นยังไง” ไปได้เพียงสองคืน “เป็นยังไง” “อู๋ย ทนไม่ไหว” นั่นเห็นไหมล่ะ อย่างนั้นแล้ว ค้านกันได้ยังไง มันก็เป็นอย่างนั้น ถ้าลงเป็นอย่างเดียวกันแล้วจะไปถามกันหาอะไร ภาคปฏิบัตินี้เป็นภาคที่แน่นอนแม่นยำมาก พอไปเจอตรงไหน อ๋อ ทันทีเลย แล้วไม่ต้องหาใครมาเป็นพยาน พอเจอเข้าไป อ๋อ เรื่อยๆ เลย

เพราะฉะนั้นจึงว่าพระพุทธเจ้าจะปรินิพพานไปแล้วก็ตาม ยังทรงพระชนม์อยู่ก็ตามสิ่งเหล่านี้จะไม่ลบล้างความจริงของตัวไปได้ มีอย่างไรมีอย่างนั้น เจออย่างไรก็ต้องเป็นอย่างนั้นตามเดิม พระพุทธเจ้านิพพานไปแล้วสิ่งเหล่านี้ก็มีอยู่อย่างนี้ เจออย่างนี้ เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้

คนไม่มีวาสนาแล้วถึงอยู่ในแดนพุทธศาสนาก็ไม่ยอมรับ มันหากหนาหากแน่นอยู่อย่างนั้น มันเป็นอยู่ในใจนี่ แต่เรื่องความกลัวตายนี้มันทำให้ลืมศาสนาได้เหมือนกันนะ ความกลัวตาย เขาเรียกบ้านแร่บ้านเร่ออะไร เราก็เคยไปอยู่ที่นั่นไปพักภาวนา มีบึงใหญ่ บึงนี้มีจระเข้ใหญ่ตัวหนึ่งประจำอยู่ในบึงนั้น ถ้าถึงหน้าน้ำจริงๆ แล้ว น้ำอูนนี่แหละ เวลาน้ำล้นฝั่งมากๆ นี้ จระเข้ก็ออกจากบึงลงไปน้ำอูนนี่ไปเที่ยว พอจวนน้ำลดลงไปแล้วมันก็ปีนขึ้นมามาอยู่ในบึง เพราะลำน้ำอูนกับบึงนี้ห่างกันดูเหมือนจะประมาณสักเพียง ๒ เส้นเท่านั้นละมั้ง (๘๐ เมตร) บึงใหญ่มันอยู่ทางด้านนู้น แม่น้ำอุ่นมันผ่านไปนี้ จระเข้ตัวนี้มันอยู่นี้ มันเคยเข้าเคยออกไปมาอยู่ตลอด มันรู้ทิศทางดี ถึงหน้าฝนนี่มันก็ลงเที่ยวไปตามลำน้ำอูนไปเรื่อย ไปที่ไหนมันก็ไป พอจวนน้ำจะลดลงๆ จะสิ้นฤดูฝนแล้วมันก็มานี้แหละ ขึ้น เข้าบึงนี่

บึงนั้นเขาบอกว่าแรงมาก แรงจริงๆ ใครไปทำอะไรก็ไม่ได้ ภาษาทางเรา(อีสาน) นี่เรียกว่า มันเข็ดมันขวางมาก ทางนี้เขาเรียกว่า มันแรงมาก มันจะแสดงให้เห็นแปลกๆ ต่างๆ แล้ววันนั้นก็ อีตาสม ส.ค.ส นี่ละ (ลูกศิษย์หัวเราะ) ไปภาวนาอยู่นั่น เข้าใจไหม ส.ค.ส น่ะ หรือจะให้แปลให้ฟังอีกเหรอ (หัวเราะ) อย่าให้แปลเลย (หัวเราะ) อีตา ส.ค.ส ไปอยู่ที่นั่น

เขาบอกว่า โอ๊ย อยู่ที่นี่มันแรงนะ มันจะแรงอะไร มันสู้ธรรมได้เหรอ นี่ละความโม้ความคุยมันเป็นกิเลสนะ กิเลสกับธรรมก็ฟัดกันล่ะซิ พอไปให้เขาทำทางจงกรมให้ ทำร้านอยู่สูงดูเหมือนจะขนาดนี้ละมั้ง (ชี้ไปที่ระดับใต้ถุนศาลา) เราก็ไม่เห็นไอ้ร้านบ้านั่นน่ะ ร้านท่านสมอยู่ ท่าน ส.ค.ส. อยู่ เพราะเราไปพักทีหลัง เขาทำร้านไว้ คือเดินจงกรมแถวนี้ไม่ได้ น้ำเต็มอยู่ ต้องไปเดินบนฝั่งโน้น ให้เขาทำทางจงกรมให้บนฝั่ง

นี่มันแปลกไหมล่ะ กำลังคนทำทางจงกรมอยู่มากๆ นี่นะ ชาวบ้านเขาไปทำทางจงกรมให้เรียบร้อย อยู่ๆ หมาก็ไล่หมูป่ามา เห็นกันทั้งบ้านจะปฏิเสธกันได้ยังไง ร่ำลือกันทั้งบ้าน อู๊ย ผีบึง บึงนี้เขาเรียกกุดละโฮง เขาว่าผีบึงนี้แรงแท้ๆ เห็นชัดเจนวันนี้ ก็เห็นกันทั้งบ้านเขาไปทำทางจงกรม อยู่ๆ หมาที่ไปทำงานกับเขานั้นแหละ ไปกับเจ้าของเขา มันก็ไล่หมูใหญ่มา โอ้โห หมูทอกโทนใหญ่โตวิ่งมา หมาก็เห่า ว้อกๆ ๆ ไล่กันมา หมา ๒ ตัว ๓ ตัว

ไอ้หมูตัวนั้นก็วิ่งบึ่งเข้ามาหาคน หมาก็ตามไล่มา พอมาถึงคนนี้วิ่งเข้ากอไผ่ห่างๆ นี้หายเงียบเลย หมูตัวนั้นไม่ทราบไปไหน ทีแรกก็เห็นเป็นหมูร้อยเปอร์เซ็นต์วิ่งมา คนก็แตกฮือล่ะซี หมาไล่มันมา มันก็วิ่งมาๆ พอมาถึงนี้ ไปนี้เข้ากอไผ่ห่างๆ นะ หายเงียบไปเลย ต่างคนก็ต่างงงงันอันตู้ แล้วมันไปไหนๆ ก็ไม่ทราบไปไหนก็ดูกันอยู่นี้ เอ๋ มันไปยังไงน้า ไอ้หมาก็เลยโลเล มาถึงที่นั่นหมาก็เลยโลเล หมูไปแล้วไม่ทราบไปที่ไหน

“โธ่ ทำไมมันเตรียมท่าสู้เราแต่หัวปีนักนา” เพิ่นว่านะ “ผีตัวนี้มันคงแรงจริงๆ ตั้งแต่ทำทางจงกรมอยู่มันก็ยังแสดงฤทธิ์อย่างนี้ ตอนกลางคืนนี้กับเราคงฟัดกันแน่ๆ ละ” อีตา ส.ค.ส. นี่มันคิดบ้าของมันคนเดียวนั่นแหละ (ลูกศิษย์หัวเราะ) “ตอนค่ำคงได้ฟัดกันแน่ละ” พอดีหกโมงเย็นจวนจะมืด ทางนี้ก็เตรียมท่าอยู่แล้ว คงจะฟัดกับผีนั่นแหละ

พอดีกับไอ้คริสต์ศาสนาอยู่บ้านแร่ใกล้ๆ กันนั้นแหละ มันไม่เชื่อว่าผีมี พวกนี้ไม่เชื่อว่าผีมี เขาก็ถือตามนั้นมา ทีนี้มันมาแขวนเบ็ดล่ะซี ตอนค่ำมาแขวนเบ็ดหรือปักเบ็ด ทางนี้นั่งภาวนาอยู่ พอค่ำสักเดี๋ยวได้ยินเสียงเดินจ๋อมแจ๋มๆ ๆ มา “เอ๊ มันเริ่มแต่หัวค่ำนักนา” (หัวเราะพร้อมลูกศิษย์) ไอ้อยู่ข้างบน ไอ้ ส.ค.ส. นี่ “โธ่ มันเริ่มแต่หัวค่ำนะนี่ นี่ยังไม่มืดนะ” มองลืมตาดูมันยังไม่มืด “มันทำไมมาแต่หัวค่ำนักนา” (หัวเราะ)

ทางนั้นพอปักเบ็ดเป็นพักๆ เขาก็หยุด พอปักเบ็ดตรงนั้นเสร็จเขาก็จ๋อมๆ มาเรื่อย มาปักตรงนี้ แล้วก็จ๋อมๆ มา “โถ ใกล้เข้ามาแล้ว” (หัวเราะพร้อมกับลูกศิษย์) ใกล้เข้ามาทุกที ทางนี้ก็เสกคาถา ว่าอย่างนั้นนะ ท่านว่าซัด วิรูปกฺเขฯ จบ กรณีฯ จบ ว่างั้นนะ (หัวเราะ) มันยังจ๋อมๆ เข้ามาเรื่อยๆ “โธ่ มันจะเอาจริงๆ นะ” มีแต่จะเอาจริงๆ เรื่อยๆ เข้ามา เห็นท่าไม่ได้การณ์ คือมาใกล้ๆ นี่ มันจะปักเบ็ดผ่านไปนี่ละเรื่องมัน พอมาถึงที่นี่แล้ว มาถึงนี้ เห็นท่าไม่ไหวกลัวมันจะปีนขึ้นไปหาไม่ใช่อะไรนะ คาถาอะไรก็ไม่ได้เรื่องแล้ว เสกคาถาอะไรมันก็ไม่สนใจ

มันจ๋อม ๆ เข้ามาเรื่อย จนกระทั่งมาถึงที่นี่แล้วกลัวมันจะปีนขึ้นไปหาซี ไอ้จ๋อม ๆ นั่นน่ะ คาถาปราบไม่ไหวแล้ว ทางนี้เห็นไม่ไหวก็เลยสู้แบบ อะแอ้ม ว่างั้นนะ พอกระแอม อะแอ้ม ทางนั้นก็วิ่งเอาตายว่าเลย วิ่งเอาตัวรอด ฟังเสียงน้ำนี่แตกกระเจิงไปเลย วิ่งหนีตาย เข้าใจไหม นี่ละมันว่าผีไม่มี ไอ้ศาสนาคริสต์ เข้าใจไหม บทเวลากลัวผี โอ๋ย ไม่มีใครสู้มัน เป็นไข้อยู่ ๓ วัน ไอ้ผีไม่มีเป็นไข้อยู่ถึง ๓ วัน มันวิ่งไปถึงบ้าน โอ๊ย ใครจะว่าผีไม่มีอย่าไปเชื่อ เราเห็นด้วยตัวของเราเองแล้ว เสียงกระแอมเหมือนเสียงคนเทียวละ ว่างั้นนะ ผีมันอยู่บนหัวเราด้วยนะ ก็ร้านเขาตั้งอยู่นี้ ไอ้นี้ก็หนีตายอย่างว่าละ ทางนี้ อะแอ้ม ขึ้นเลย ทางนั้นก็นึกว่าเป็นผี มันก็วิ่งเสียงน้ำแตกกระเจิงเลย ไปถึงบ้าน ใครว่าผีไม่มีอย่าไปเชื่อ เราเห็นด้วยตาเราเอง เสียงกระแอมเหมือนเสียงคนเชียวละ ส.ค.ส กระแอม ทางนั้นก็วิ่งไป เป็นไข้ถึง ๓ วันนะไอ้กลัวผี เป็นไข้ถึง ๓ วัน

ตอนเช้ามีพระองค์ ส.ค.ส.อยู่ที่นี่ องค์หนึ่งอยู่นู้น หัวบึงไกล ๆ โน่นนะ ตื่นเช้ามาก็โดดลงจากนี้ไปหาองค์นั้น โถ พิลึกจริง ๆ มันฟัดผมตั้งแต่หัวค่ำ ผีนี่สำคัญมากมันฟัดผมแต่หัวค่ำเลย มันเป็นยังไงว่าซิน่ะ ก็มาทีแรก มานี่เสียงจ๋อม ๆ เหมือนเสียงคน มาเป็นระยะ ๆ คาถาเสกเรื่อย เสกคาถาไหนก็ไม่มีความหมาย ๆ เข้ามาจนกระทั่งถึงใต้ร้านผมนี่แหละ ผมไม่มีท่าสู้ก็เลยกระแอม บทเวลามันวิ่งนี้แหม ผีตัวนี้สำคัญมากนะ เวลามาเดินจ๋อม ๆ เหมือนเสียงคน เวลาไปเหมือนเสียงช้าง วิ่งน้ำแตกกระเจิงเลย ไปใหญ่เลย มันใช่เหรอ องค์นั้น ไม่ใช่ยังไง เมื่อคืนนี้ผมนอนไม่หลับเลยคอยต่อสู้มันอีก มันไม่ใช่นา มันไม่ใช่คนเหรอ มันจะคนอะไรเสียงผีแท้ ๆ แต่มามันเหมือนเสียงคน เดินจ๋อม ๆ บทเวลามันไปนี้ผีร้อยเปอร์เซ็นต์เลย

มันใช่เหรอ ไหนพาไปดูน่ะ ผมยังไม่เชื่อ ไม่ใช่เขามาแขวนเบ็ดเหรอ องค์นั้นว่างั้นนะ ไม่ใช่เขามาหาปลาเหรอ ไม่ใช่เขามาแขวนเบ็ดเหรอ ทีนี้ชักอ่อนลง องค์ ส.ค.ส.นี่ เอ ก็ไม่แน่ละ ไปดู พอไปดูแล้ว โอ๋ย คน รอยมันวิ่งตามมานี้ กระโดดขึ้นเนินเล็ก ๆ นี้รอยมันแหลกหมดเลย นี่เห็นไหมดูเสีย ทำอะไรไม่พินิจพิจารณาเป็นอย่างนี้ นี่จะไปโกหกชาวบ้านเขานะ ว่าผีเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ให้ดูเอานี่ โอ๋ คนจริง ๆ แหละยอมรับ เบ็ดนี้ปักไว้เป็นแห่ง ๆ เห็นเป็นพยาน มันวิ่งหนีแล้ว ไอ้ทางนั้นไข้ยังไม่หาย ๓ วัน

นี่ศาสนาฝรั่งว่าผีไม่มี ๆ บทเวลามันได้กลัวเป็นไข้ ๓ วัน มันกลัวผีเห็นไหม นั่นละเวลากลัวตาย ศาสนาหมดเลย ศาสนาสอนว่าไม่มีผี หมดเลยวันนั้น ความกลัวตายพาเผ่นไปใหญ่ เป็นไข้ถึง ๓ วัน นี่พูดถึงเรื่องศาสนาว่าไม่มีผี ๆ ไม่มียังไง มันมีมาตั้งแต่โคตรแซ่ของพวกนี้ยังไม่เกิด ผีมีทุกแห่งทุกหน แต่นี้เป็นผีคนเท่านั้นแหละ ผีจริง ๆ มันก็มีอยู่อย่างนั้น

ทีนี้เราไปอยู่ที่นั่นก็เกิดเหตุอีกเหมือนกันนะ แต่เราขี้เกียจพูดมันยืดยาว เหตุแบบที่ไม่คาดไม่คิดเหมือนกันนะ เณรเขาอยู่บ้านหนองโดกมาเยี่ยมพระองค์หนึ่ง พระนั่นวิ่งติดตามเราชื่อท่านสีทา เราหลบหนีขนาดไหนวิ่งตามเราไปได้ เราเลยไล่ไปอยู่ทางโน้นห่าง ๆ ไกล ๆ ไม่ให้อยู่ เหมือนเราอยู่คนเดียว วิ่งติดตามเรา ถ้ายังเห็นเราอยู่ที่ร้านนี้เมื่อไร อย่าเข้ามานะเราบอกอย่างนั้น ถ้าจะมาทำอะไรก็ให้มาตอนเราไปเดินจงกรม เพราะทางจงกรมของเราอยู่ในป่า ท่านก็มา ทีนี้เณรแปงนี้มา พอออกจากนี้ไปแล้ว ผ้าเช็ดตัวแกพาดบ่ามามันหลุดตกอยู่ที่กลางทาง

พวกนี้เขาไปหาปลาที่น้ำอูนนี่ละ ทางเขาเดินผ่านไปนั้น แล้วเณรนี้ก็ไปที่นั่น ผ้าตกอยู่นั่น เขามาเห็นผ้าตก พวกแรกก็เอาผ้านี้ขึ้นพาดเอาไว้ พวกที่สองที่สามมา โอ้ พระท่านมาแผ่ปลานะ นี่ผ้าพาดไว้นี้ท่านจะมาแผ่ปลา เขาก็จับปลาร้อย ๆ แล้วเขาก็วางไว้ พวกไหนมาก็มาเห็นปลาร้อย เห็นผ้าเหลืองเขาก็มาร้อยเต็มอยู่นี้ ทีนี้เขาก็ผ่านไป ไอ้เณรแปงมันก็ลืมผ้า มันก็ไปวัดแล้วละ ผ้านี้ก็เลยเป็นตัวเหตุ พวกนี้เขาเอาปลาร้อยแล้วก็แขวนไว้ ตื่นเช้าเราบิณฑบาต เห็นพวกโยมบ้านที่เราบิณฑบาตเขามารออยู่ที่เราบิณฑบาต

นี่ท่านไปแผ่ปลาเขาเหรอว่างั้น แผ่ปลาอะไร เราก็ไม่รู้เรื่อง ก็เราไม่รู้เรื่องนี่นะ นี่ปลา เขายกขึ้นมาเป็นพวงเลย อ้าว ทำไม แผ่ปลายังไงว่าซิน่ะ ก็เห็นผ้าเหลืองพาดไว้ทางนั้น นึกว่าท่านแผ่ปลา เขาก็เลยร้อยปลาแล้วเอาแขวนไว้ที่ผ้าที่ห้อยอยู่นั้น ผ้าที่พาดไว้นั้น อ้าว มันผ้ายังไง ผ้าเหลืองผ้าเช็ดตัว หือ มันเป็นยังไง ไหนผ้าเหลืองอยู่ไหน เขาก็วางไว้ นั่น ๆ นี่ผ้าเหลือง มันผ้าเหลืองอะไร เอ้า ท่านสีทาว่ายังไง ถ้าว่าเป็นโจร ก็เราสองคนนี้เป็นโจร ไม่มีใครมาเป็นโจรแหละ ผ้าเหลืองนี่ก็เป็นผ้าของพระ เราก็มีสององค์เท่านี้ ท่านเอาผ้าเหลืองไปวางไว้แผ่ปลาหรือ ผมก็ไม่รู้เรื่องเหมือนกันนะว่างั้น แล้วไม่รู้เรื่องเราจะไปหาโทษกับใครล่ะก็มีสองคนเท่านี้ ถ้าเป็นโจรผู้ร้ายก็เราสองคนนี้

นี่ก็เลยคิดไปคิดมา พวกโยมเขาก็นั่งคอยฟังเสียงเรา เราสองคนทะเลาะกัน เรากับท่านสีทาทะเลาะกัน มันไม่มีใครมีแต่เราเท่านี้ว่าอย่างนั้นแหละใส่กัน สักเดี๋ยวท่านระลึกได้ คือเวลาเณรแปงมาเยี่ยมท่านเราไม่รู้ไม่เห็น เพราะอยู่ในป่า ท่านด้อม ๆ มาตอนบ่ายมาเยี่ยมกันแล้วท่านกลับออกไป แล้วผ้าท่านตกหายเขาเอาพาดไว้ โอ้ หรือจะเป็นผ้าเณรแปงมาเมื่อวานนี้เหรอ เณรแปงมานี้ มาเมื่อไรเราว่า ก็มาเยี่ยมกระผมที่นี่เมื่อวานนี้ เยี่ยมที่ร้านนี้ แล้วแกก็กลับไป ไหนเอาผ้ามาดูซิ เราก็เลยบอก เอ้า เอาผ้านี้ไปหาเณรแปงบ้านหนองโดกนะ เอาไปให้ได้ความนะ เขาก็เลยเอาผ้านี้ไป หน้าพอยิ้มแย้มขึ้นมาได้บ้าง เอ้า เอาผ้าผืนนี้ตามไป

พอตามไป เณรแปงก็ยอมรับ โอ๊ย ใช่แล้วผ้าผมตกหาย หาที่ไหนก็ไม่เจอ ผมลืมไปนึกว่าตกที่ไหน ไม่ได้นึกว่ามันตกที่โน่น ใช่แล้วนี่ผ้าผม เขาเลยนำมาแจ้งอีก เรื่องราวก็เลยกระจ่าง เลยขบขัน นี่ละกุดละโฮงกุดนี้มันตัวเหตุเข้าใจไหม ไม่ได้อะไรก็เอาอันนี้มาใส่เราจนเกิดเหตุจนได้ ขบขันดี จบแล้วละพอ กุดใหญ่นี้มันแรงอยู่นะ

นี่ที่ว่าโยมผู้หญิงคนนั้น แกอยู่บ้านหนองบัว บ้านนี้ละบ้านเราไปบิณฑบาตนี่ละ ชื่อบ้านหนองบัว เวลานี้เขาทำเขื่อนน้ำอูนท่วมหมดแล้ว ยกหนีไปหมด อันนี้ก็สำคัญมากนะ เพราะแกรู้ภายในดี แกเล่าเรื่องภาวนาให้พ่อแม่ครูจารย์มั่นฟังที่หนองผือ ผัวของแกชื่อบุญมา แต่เมียนั้นจำชื่อไม่ได้ แต่เมียนั้นละภาวนาเก่ง ไปหาพ่อแม่ครูจารย์มั่น ท่านแก้ถึงเรื่องแกรู้นิมิตต่าง ๆ พวกเปรตพวกผีอะไร แกอยู่บ้านหนองบัว ลูกของแกนั้นป่วยกะออดกะแอดอยู่อย่างนั้น เอายาอะไรมาใส่ก็ไม่หาย ๆ

ทีนี้เวลาแกภาวนาล่ะซี แกไปเล่าให้พ่อแม่ครูจารย์ฟังเป็นตุเป็นตะจริง ๆ พูดอย่างอาจหาญด้วย พูดถึงเรื่องลูกสาวแกน่ะ ป่วยกะออดกะแอดอยู่อย่างนั้นไม่มีทางหาย ทำยังไงก็ไม่หาย แกเลยนั่งภาวนากลางคืน เขาเตรียมจะกินเลี้ยงกันพวกผีอยู่กุดละโฮง มันมีบ้านใหญ่โตว่างั้นนะ บ้านผี แกว่า เขาเตรียมจะกินเลี้ยงกัน คือจะแต่งงานกับเด็กผู้หญิงคนนี้ ผีคนนั้นผีที่อยู่ในกุดละโฮงนั้น เขาจะมาเอาเด็กคนนี้ไปเป็นเมีย เขากำลังเตรียมจะแต่งงานกัน ทางนี้ภาวนาไปก็ไปเจอล่ะซี แกก็เลยไปไล่เบี้ยกันเลยกับเขา ซัดกันเสียจน โถ เกิดเรื่องกับผีไม่ใช่เล่นแกว่า เขาบอกว่าจะเอาเด็กคนนี้ เอาไปได้ยังไงลูกของฉัน ฉันมีสิทธิ์เต็มตัว ดีไม่ดีฉันจะมาฟาดบ้านนี่ให้แตก แกว่างั้นนะ นี่หมายถึงความรู้ของแกที่ฟัดกับผี

เอ้า ถ้าฝืนไปเอาลูกของฉันมาแต่งงานนี้ ฉันก็จะไปเอาพวกนี้มาแต่งงานอีกเหมือนกัน ฉันจะเอากี่คนก็ไม่ทราบแหละ ว่าอย่างนั้น แกก็เก่งนะโวหารของแก คือถ้าเอาลูกของฉันไปแต่งงานเป็นลูกสะใภ้แล้ว ฉันจะเอาโน้นมาให้ลูกของฉันมาแต่งงาน เอามันทั้งผู้หญิงผู้ชายในนี้ จะยอมให้ฉันไหม ไม่ยอม ไม่ยอมลูกของฉันก็ต้องไม่ยอมเหมือนกันซี ตกลงเลยยกเลิก คือถ้าทางนี้จะเอาลูกของแกนี้ไปแต่งงาน พอแต่งก็ตายใช่ไหมล่ะ คนนี้ต้องตาย ทางนี้ไปถกกันกับผีกุดละโฮง

ฟังให้ชัดนะ แกก็ไปถกกับตาคนนี้ที่เขาจะแต่ง โอ๊ย ยกกันมาชุมนุมกันทั้งบ้านเลยแกว่าอย่างนั้นนะ แกบอกว่า เอ้า เหตุผลเป็นอย่างนี้ ถ้าเอาลูกสาวของฉันมาแต่งงานนี้ ฉันก็จะเอาลูกสาวลูกชายของผีไปแต่งงานกับลูกของฉัน หลานของฉันมีเท่าไรฉันจะมากว้านเอาพวกนี้ไปแต่งงานให้หมด จะยอมไหม โอ๊ย ยอมไม่ได้ คนหนึ่งเป็นผี คนหนึ่งเป็นคน อันนี้ลูกของฉันก็เป็นคน อันนี้เป็นผีนี่ ว่างั้นนะ ถ้ายอมฉันก็จะให้ เสียดายฉันก็จะให้ แต่ฉันจะเอามากกว่า ทางนี้จะเอามากกว่า ดีไม่ดีบ้านผีแตก แกว่างั้นนะ ทางนั้นไม่ยอม ถ้าไม่ยอมก็ต้องเลิกกันซี ตกลงเขายอมรับ เลิก

พอจิตถอนออกมาแล้ว เอ้า ทีนี้ลูกของเรานี้ไม่ต้องไปหายามาใส่มันเลย แกยันกับผัวเลย ลูกของเราคนนี้ เพราะอะไร เพราะผีเขาจะเอาไปแต่งงาน จนจะตายแล้วนี่ ทีนี้ได้ตัดสินกันแล้ว ฟัดกันกับทางผีเสียจนแหลกเมื่อคืนนี้ เราก็จะเอาลูกผีมาแต่งงาน ผีก็จะเอาลูกเราไปแต่งงาน ต่างคนต่างไม่ตกลงกันก็ต้องเลิกกัน ไม่ยุ่งกัน ทีนี้ผียอมเลิกแล้ว แล้วเด็กของเรานี้ไม่ต้องหายาแล้วมันหายเอง หายจริง ๆ นะ หายวันหายคืนไปเลยไม่ต้องหายา เรื่องของผีก็เลิกกันไป นี่เก่งไหมแกภาวนา เห็นไหม

ไปเล่าให้พ่อแม่ครูจารย์ฟัง แต่อันนี้เราไม่เคยเล่าใช่ไหม เราไม่เคยเล่าให้ฟัง พูดอย่างเป็นตุเป็นตะ พ่อแม่ครูจารย์มั่นไม่ได้ค้านสักคำเดียว เห็นไหม ท่านยิ้ม ๆ เก่งไหมแก อาจหาญมากนะ อย่างนี้ละความรู้ถ้าเป็นในจิตแล้ว ไปพูดให้พ่อแม่ครูจารย์ฟังแบบเป็นตุเป็นตะเลยเทียว ท่านไม่ค้าน มีแต่ยิ้ม ๆ นั่นเห็นไหม ความจริงท่านรู้แล้วท่านจะไปค้านยังไง ความรู้ของผู้หญิงคนนี้ โอ๋ย แปลกประหลาดมากนะ พิสดารมากเวลาแกไปเล่าให้ฟัง ให้พ่อแม่ครูจารย์ฟัง เรานั่งฟังตลอดนี่นะเวลาเราอยู่ที่นั่น นี่ละที่เราไปอยู่ที่นั่นมันก็มีของมันเหมือนกัน เรื่องเณรแปงไปหลงลืมผ้าไว้ ไปเกิดเรื่องกับเราจนจะติดคุกกัน

เป็นยังไงผีมีหรือไม่มี นี่ละเอาตัวจริงของนักภาวนามาพูด เขาพูดมีเหตุมีผลฟังซิ เวลาเขาไปถกกันกับบ้านผี โถ ผีไม่ใช่น้อย ๆ กุดละโฮงนี้บ้านผีทั้งนั้นเขาว่างั้นนะ เต็มอยู่นี้หมดเลย เวลาไปฟัดกับเขา เขาสู้เราไม่ได้ คือเขาจะเอาลูกสาวเราไปแต่งงานกับผี เราก็จะเอาลูกของเขามาแต่งงานกับลูกของเรานี้ เขาจะยอมไหม เขาบอกเขาไม่ยอม เพราะเหตุไร ก็ทางหนึ่งเป็นคนทางหนึ่งเป็นผี ก็นี่ของฉันเป็นคนของแกเป็นผีจะมาแต่งงานได้ยังไง สุดท้ายก็ล้มเลิกกันไป เป็นอันว่าเลิกกัน พอจิตถอยออกมาแล้วก็บอกสามีเลย ไม่ต้องรักษาละยา…เด็กคนนี้ มันเป็นเพราะผีจะเอาไปแต่งงานด้วย หายวันหายคืนไปเลย

เก่งไหมล่ะแกภาวนาฟัดกับผี แล้วไปพูดให้พ่อแม่ครูจารย์ฟังนี้ โอ๊ย อย่างอาจหาญเสียด้วยนะ นี่ละความรู้ในจิตจริง ๆ มันไม่ได้สะทกสะท้านนะ ผึง ๆ เลย มันแน่ในหัวใจนี่ ภาวนาดี ท่านก็บอกให้ตีตะล่อมจิตเข้าไปสู่ภายใน แล้วให้พิจารณาร่างกายส่วนต่าง ๆ นี้เป็นทางแก้กิเลสตัณหา สิ่งเหล่านั้นเป็นตามอุปนิสัยไปธรรมดา เป็นสิ่งที่รู้ที่เห็น เหมือนเราเดินไปไหน ไปเห็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ เห็นเปรตเห็นผี เห็นเทวบุตรเทวดา ก็เหมือนเราเห็นผู้เห็นคนเห็นสัตว์ต่าง ๆ ในสองฟากทางไปนั้นแหละ ไม่ใช่เรื่องแก้กิเลส แน่ะท่านสอน เรื่องแก้กิเลสต้องหมุนสติปัญญาเข้ามาสู่ภายใน กิเลสอยู่ภายใน พิจารณาร่างกาย ท่านก็สอน สิ่งเหล่านั้นมันก็มีอย่างนั้นแหละ มีตาเราก็เห็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ มีตาใจเราก็เห็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ซึ่งเป็นอุปนิสัยของกันและกัน ท่านก็บอก แต่ไม่ใช่เป็นเรื่องแก้กิเลส ถ้าหลงตามมันแล้วผิดแน่ ท่านสอนเข้ามาภายใน เราฟังละเอียดลออ

ฟังซิเรื่องผีเป็นยังไง บ้านกุดละโฮง เราไปก็เกิดเหตุ อีตา ส.ค.ส. ไปก็จนจะตกร้านลงมาแหละ อีตาคริสต์ศาสนาก็เผ่น เป็นไข้อยู่ ๓ วัน ป่านนี้หายหรือยังก็ไม่รู้ไข้ของมัน หรือมันตายแล้วก็ไม่รู้ มันได้กี่ปีมาแล้วนา เอ้อ เป็นพรรษาที่ ๑๖ นะ นั่นละตอนที่ที่เรากำลังหมุนติ้ว ใครติดตามไม่ได้ ท่านสีทาแอบตามไปจนได้ เราไล่ไปอยู่โน่น คนละฟากป่าโน่น เราอยู่ที่นี่ให้เหมือนอยู่คนเดียว เรียกว่าไม่ให้พบกันเลยทั้งวัน บิณฑบาตท่านก็ไปสายหนึ่ง เราก็ไปสายหนึ่ง ไม่เห็นกัน แต่มาพบกันเวลาฉัน นอกนั้นไม่พบกันเลย เพราะเราต้องการอยู่คนเดียว อันนี้แอบติดตามเราเหมือนปลิงมันเกาะติดนั่นเอง จึงบังคับให้ไปอยู่ทางโน้น กลางค่ำกลางคืนเวลาไหนห้ามไม่ให้มาหาเรา เราบอกกันอย่างนี้ เราจะอยู่คนเดียวเราอย่างนี้ พระองค์นั้นถึงได้ติดตามเราไปอยู่โน้น

ทีนี้เวลาเณรแปงมาหาก็ไม่รู้กันซิ มันอยู่คนละฟากทวีปว่างั้นเถอะ เราก็เดินจงกรมอยู่ในป่า ถึงขนาดนั้นนะจิตเวลามันหมุน มันหมุนแก้กิเลสนะ นี่แก้กิเลสล้วน ๆ เวลามันได้หมุนเป็นธรรมจักรไปเลยอยู่ในนี้ ใครยุ่งไม่ได้ ไปบิณฑบาตมันก็หมุนของมันตลอด ๆ ใครใส่บาตรไม่ทราบผู้หญิงผู้ชายไม่สนใจนะ จิตจะทำงานนี้ตลอด ๆ ได้มาฉันเพียงพอมีชีวิตให้อยู่เป็นไปเท่านั้น แม้เวลาฉันจังหันจิตก็ไม่ได้อยู่กับอาหารการกินนะ มันจะหมุนของมันระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกัน นี่ละเวลาธรรมมีกำลังแล้ว กิเลสอยู่ที่ไหนมันตามเผาตามฟันกันแหลก ๆ

ไม่เหมือนที่กิเลสมีกำลัง เราอยู่ที่ไหนมันคิดแต่เรื่องกิเลสนะ ไม่ว่าอยู่ที่ไหน กายสงบแต่ใจมันเป็นไฟหมุนติ้ว ๆ กิเลสทำงานของมันเป็นอัตโนมัติมากี่กัปกี่กัลป์ ทีนี้พอธรรมมีกำลังแล้ว ธรรมก็เป็นอัตโนมัติเหมือนกัน ฆ่ากิเลสแบบขาดสะบั้นหั่นแหลกไปเลยตลอดเวลา ถ้ากิเลสยังไม่สิ้นเมื่อไร แสดงว่าเชื้อไฟยังมี ไฟคือธรรมะจะเผากันไปเรื่อย ๆ ระยะนั้นเป็นระยะที่เราหมุนติ้ว ๆ เพราะฉะนั้นจึงใครติดตามไม่ได้ พอพ่อแม่ครูจารย์มรณภาพเท่านั้นหลบหลีกนี้เหมือนขโมยนะเรา เราไม่ลืม เพราะอันนี้มันสำคัญมาก ใครจึงยุ่งเราไม่ได้เลย หลบนั้นหลบนี้ ไปอยู่ที่ไหนบางทีก็ ๒ อาทิตย์ เดี๋ยวเพื่อนฝูงจะตามทันล่ะซี ปั๊บหลบไปโน้น หลบปั๊บอยู่โน้น หลบอยู่งั้นนะ กลางคืนกลางวันไปคนเดียวทั้งนั้นเรา เพราะจิตทำงานไม่ได้หยุดนี่

นี่ละจิตฆ่ากิเลส ดูเอาฟังเอา ธรรมฆ่ากิเลส ธรรมอยู่ในใจ กิเลสอยู่ในใจ เวลากิเลสมีกำลังมากนี้ธรรมไม่มีเลย บาป บุญ นรก สวรรค์ อะไรไม่เชื่อทั้งนั้น กิเลสปิดไว้หมด แต่เวลาธรรมเกิดขึ้นมานี้มันเบิกความมืดบอดคือกิเลสนี้ออก ๆ เบิกนั้นจ้าออก ๆ จนทะลุไปหมด นั่นเห็นไหมล่ะ ฆ่ากิเลสฆ่าไปในตัว ฆ่าตลอดเวลา จนกระทั่งหมดไม่มีอะไรที่จะเผาแล้ว กิเลสละเอียดขนาดไหน ตปธรรมละเอียดขนาดนั้น เผากันแหลก จนกระทั่งขาดสะบั้นหมดแล้วไม่ต้องถามหานิพพาน ถามหาอะไร ตัวกั้นนิพพานคืออะไร กิเลสเท่านั้นกั้นนิพพาน กิเลสขาดสะบั้นลงแล้วความจริงทั้งหลายจะจ้าของมันขึ้นมาเอง กิเลสเท่านั้นปิดสิ่งทั้งหลายไว้ นั่นเป็นอย่างนั้นนะ พอกิเลสออกเท่านั้นละ

เพราะฉะนั้นจึงชี้นิ้วไว้เลยว่า มีกิเลสเท่านั้นตัวภัยของจิต พอกิเลสขาดสะบั้นแล้วไม่มีอะไรเป็นภัย เรื่องเจ็บหัวตัวร้อนอะไร ๆ นี้เป็นเรื่องธาตุเรื่องขันธ์ เจ็บก็เจ็บ ปวดก็ปวด เหมือนโลกทั่ว ๆ ไป เพราะนี้เป็นสมมุติด้วยกัน แต่ยังไงมันก็ไม่สามารถที่จะเข้าไปจิตธรรมชาตินั้นได้เลย เป็นอฐานะ เป็นไปไม่ได้แล้ว ถึงเจ็บถึงปวดถึงตาย ก็เป็นเรื่องทุกขเวทนามันแสดงตัวของมัน หมดฤทธิ์ของมันแล้วมันก็ดับของมันไป ธรรมชาตินั้นก็เป็นธรรมชาตินั้น ดีดผึงไปเลย นี้เราพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง เราทำเล่น ๆ เหรอ

เวลาเราทำเราก็ทำอย่างนั้นจริง ๆ จนถึงขนาดที่ว่าพิจารณาย้อนหลังนี้ เราได้ตำหนิความเพียรเราตรงไหนบ้างไม่มี นั่นฟังซิ มีแต่ขยะ ๆ มีแต่ได้รั้งเอาไว้ ๆ ความเพียรมันรุนแรง ผาดโผนโจนทะยาน เพราะฉะนั้นพ่อแม่ครูจารย์ถึงต้องรั้งเอาไว้ ๆ สอนเรานี้สอนตรงไหนจะสอนอย่างแม่นยำทีเดียวเลย คุยกันธรรมดานี้นะ คุยกันธรรมดากับเรานี้เหมือนพ่อกับลูกนะ ความสนิทหรือว่าความเมตตาของท่านครอบ เราก็รักเทิดทูนท่านสุดหัวใจเราแล้ว พูดกันนี้เหมือนพ่อกับลูกคุยกัน พอหมุนออกธรรมะปั๊บเท่านั้น พอเราพูดถึงเรื่องธรรมะ ท่านจะผางออกมาเลย ไม่มีคำว่าอ่อนนะถ้าพูดธรรมะกับเรา คึกคักขึ้นทันทีเลย เพราะเห็นนิสัยอันนี้มันผาดโผน ต้องเอาที่แม่นยำให้มันจับพูดง่าย ๆ ว่างั้นนะ ท่านจึงไม่ได้สอนผิดพลาดสอนเรา ซัดตรงไหนเปรี้ยงลงตรงนั้นเลย เราจับปุ๊บเลย ๆ

อย่างที่ลากเราออกจากสมาธิก็เหมือนกัน สมาธิหมูขึ้นเขียง ท่านจะนอนตายอยู่นี้เหรอ นั่นเห็นไหมล่ะ แต่ก่อนท่านไม่เห็นว่า มีแต่ถาม สบายดีเหรอท่านมหา..จิต ทางนี้สบายก็บอกว่า สบายดีอยู่ ๆ นานเข้า ๆ ท่านก็ขนาบเลย ท่านจะนอนตายอยู่นี้เหรอ นั่นเห็นไหมบทเวลาจะเอานะ ท่านรู้ไหมสมาธิทั้งแท่งเป็นสมุทัยทั้งแท่ง ท่านรู้ไหม ๆ ท่านจะเป็นหมูขึ้นเขียงอยู่ในสมาธินี้เหรอ ซัดเข้า อย่างนั้นยังเถียงท่านได้ ถ้าว่าสมาธิเป็นสมุทัยแล้ว สัมมาสมาธิจะให้เดินที่ไหน หือ สัมมาสมาธิพระพุทธเจ้าไม่ได้เป็นสมาธิหมูขึ้นเขียงไม่ยอมลงเหมือนสมาธิท่านนี่น่ะ ยอมนะ สมาธิต้องเป็นสมาธิ ปัญญาต้องเป็นปัญญา สติต้องเป็นสติ นี้มันมีอะไรมีแต่หมูขึ้นเขียง นี้เหรอสัมมาสมาธิ อย่างนี้เหรอ ท่านซัดเอา อู๊ย หมอบ

อย่างนั้นนะ ท่านทำกับเราท่านไม่ทำอ่อน ๆ แหละพ่อแม่ครูจารย์มั่น ไม่ว่าเวลาใด คุยกันธรรมดาเหมือนพ่อกับลูก พอหมุนออกธรรมะนี้จะป้างออกมาเลย คือท่านจะใส่เราให้อย่างแม่นยำ ให้จับปุ๊บ เพราะท่านแน่ใจแล้วว่าเรานี่ต้องการความจริงอย่างยิ่ง ท่านจึงไม่สอนแบบผิด ๆ พลาด ๆ ใส่ปึ๋งลงไปเลย เราก็จับปุ๊บเลย ๆ ที่ไหนไม่ลงก็เถียงท่าน ก็เถียงเพื่อหาความจริงนี่ พอความจริงออกมาปึ๋งก็ยอมรับเลย ๆ อย่างออกทางด้านปัญญาก็เหมือนกัน ท่านลากออกไปแล้วออกทางด้านปัญญานี้มันหมุนตลอดเลย ไม่นอนทั้งวันทั้งคืน เอาเสียจนเจ้าของจะตาย แล้วกลับมาหาท่านอีก

ที่พ่อแม่ครูจารย์ว่า ให้ออกทางด้านปัญญา เวลานี้มันออกแล้วนะ มันออกยังไง ท่านก็ว่าอย่างนั้นแหละ อู๋ย ไม่ได้นอน บางคืนสองคืนสามคืนไม่ได้นอน กลางวันมันยังไม่ยอมหลับอีก มันหมุนติ้ว ๆ ตลอดเวลา นั่นละมันหลงสังขาร ฟังซิ คำว่าหลงสังขารคืออะไร ท่านไม่ได้แยกนะ ท่านให้เราไปตีความหมายเอง นั่นเห็นไหม นั่นละมันหลงสังขาร ก็เมื่อไม่พิจารณามันก็ไม่รู้จะทำยังไง นั่นละบ้าหลงสังขาร ๆ ท่านฟาดใหญ่เลย ทีนี้หมอบนะ ไม่แผ่พังพานเป็นงูเห่าเหมือนตอนสมาธิ ตอนสมาธิต่อสู้กันเต็มเหนี่ยว พอครั้งที่สองนี้ คือสมาธิยอมรับแล้วว่าถูกของท่านแล้ว พอคราวนี้ท่านว่าหลงสังขาร เห็นจะเป็นอย่างท่านว่าแหละ ว่างั้นนะ แต่มันไม่ถอยนะ มันหมุนติ้ว ๆ

คำว่าสังขาร คือสังขารฝ่ายมรรค สังขารสติปัญญาใช้ให้รู้จักประมาณ ทีนี้เอาสังขารฝ่ายมรรคนี้ใช้เมื่อไม่รู้จักประมาณ สมุทัยแทรกเข้าไป เข้าใจไหม ความไม่รู้จักประมาณกลายเป็นสมุทัยไปในตัวของมันเอง นั่นละท่านว่าหลงสังขาร สังขารฝ่ายสมุทัยไม่รู้จักประมาณ ความหมายว่างั้น เวลามันผ่านแล้วมันย้อนมารู้หมด ท่านไม่บอกมากท่านบอกมันหลงสังขาร บ้าหลงสังขาร ท่านว่าอย่างนั้น ท่านเอารวม ๆ ให้เราไปตีความหมายเอาทุกอย่างแหละ ทุกอย่างให้เราตีความหมายเอง นี่ก็ยอมรับท่าน อย่างนั้นละท่านใส่ตรงไหนปึ๋งนี่ไม่มีพลาดนะพ่อแม่ครูจารย์มั่นเรา

นี่เราพูดถึงเรื่องอรรถเรื่องธรรม ถ้าลงมันได้รู้ในใจแล้ว สามแดนโลกธาตุนี้มาค้านไม่มีความหมาย ว่างั้นเลย ไม่ต้องหาใครมาเป็นสักขีพยานเลย จ้าอยู่ในนี้แล้วมันเห็นหมดจะว่าไง ใครจะมาคัดค้านต้านทานลงมันได้รู้ในใจแล้ว สนฺทิฏฺฐิโก รู้เองเห็นเองประกาศป้างขึ้นมาตามธรรมพระพุทธเจ้าสอนแล้วค้านที่ตรงไหน แม้พระพุทธเจ้าประทับอยู่ข้างหน้าก็ไม่ทูลถามท่าน มันจ้าขนาดนั้นจะว่าไง มันชัดขนาดนั้น ไม่งั้น สนฺทิฏฺฐิโก จะมีความหมายอะไร ท่านว่าให้รู้เองเห็นเองจะหายสงสัยในตัวเอง ก็มีเท่านั้น พูดไปพูดมาไปใหญ่แล้วนะ เอาละพอ

ขับรถอย่ารีบอย่าด่วนนะ อย่าลุกลี้ลุกลนการขับรถขับรา ให้พิจารณาเรื่องความปลอดภัยเป็นที่หนึ่ง ถึงช้าถึงเร็วไม่สำคัญอะไร สำคัญที่ความปลอดภัย ให้พากันระมัดระวังการขับรถ

เปิดดูข้อมูล วันต่อวัน ทันต่อเหตุการณ์ หลวงตาเทศน์ถึงเรื่องอะไร www.luangta.com


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก