เอะอะก็ มยํ ภนฺเต มยํ ภนฺเต ศีลตัวเดียวก็ไม่ติดตัว มยํ ภนฺเต วันยังค่ำ นี่ละศาสนามีแต่ปากมีแต่ลมไม่มีการปฏิบัติตัว คนจึงเดือดร้อนวุ่นวายทุกหย่อมหญ้า ไปที่ไหนมีแต่ มยํ ภนฺเต มยํ ภนฺเต ศีลข้อเดียวจะติดหัวใจไม่มี มีแต่ มยํ ภนฺเต เต็มบ้านเต็มเมือง ไปที่ไหนก็ มยํ ภนฺเต มยํ ภนฺเต ไม่ทราบว่า มยํ ภนฺเต หมายความว่ายังไง หลวงตามันเฒ่าแก่เกิดมาแก่เฉย ๆ ไม่รู้ว่า มยํ ภนฺเต แปลว่ายังไง แปลให้ฟังสักหน่อยซิ เอะอะขึ้นมาไม้เรียวหวดแล้วยังไม่ได้เรื่องได้ราวอะไรเลย
นี่ละประเพณีมันเหยียบย่ำทำลายของจริง เหยียบอย่างนี้แหละ ของจริงปฏิบัติจริงจริง ๆ แล้วไม่เห็นจำเป็นอะไรจะ มยํ ภนฺเต ทุกบททุกบาททุกวาระทุกก้าวขามีแต่ มยํ ภนฺเต เต็มบ้านเต็มเมือง เต็มปากผู้ปากคน แต่ศีลธรรมข้อเดียวไม่ติดหัวใจเลย มันเข้ากันได้ไหมล่ะกับที่ว่าเราเป็นชาวพุทธนั่นน่ะ อันนี้ซิที่มันน่าคิดมาก พี่น้องทั้งหลายชาวพุทธขอให้คิดสักหน่อยนะ
เวลานี้มีแต่ศาสนาลมปาก ไม่มีผู้ปฏิบัติตามหลักศาสนาจริง ๆ พอจะได้มรรคได้ผลมาเป็นความสงบเย็นใจแก่ตัวเองและชาติบ้านเมือง เพราะมีแต่ลมปาก ผู้ทำงานอยู่ภายในมีแต่ความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา เป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ตลอดเวลา ไม่ว่าหญิงว่าชาย ไม่ว่าชาติชั้นวรรณะใด ไฟสามกองมันเผาอยู่ทุกหัวใจ ๆ แล้วความสุขจะเอามาจากไหน ครั้นระบายออกมาก็มีแต่ มยํ ภนฺเต ได้เรื่องอะไร น่าคิดอยู่มากนะ นี่คิดมานานแล้วไม่ได้ธรรมดา คิดจริง ๆ ปฏิบัติ ๆ จริง ๆ หาของจริงอย่างแท้จริงเต็มหัวใจ เพราะฉะนั้นจึงเอาของจริงที่ปฏิบัติได้รู้ได้เห็นมามาจับดู ของปลอมมันเต็มบ้านเต็มเมือง
ของจริงจะไม่ปรากฏนะเวลานี้กับคำที่ว่าพุทธศาสนาและชาวพุทธเรา มันมีแต่ชาวเปรตชาวผีเต็มบ้านเต็มเมือง ความสกปรกโสมมเกิดขึ้นแล้วจะไม่ให้ความเดือดร้อนเกิดขึ้นได้ยังไง การประพฤติปฏิบัติตัวเองไม่ได้สนใจกับความสะอาดสะอ้านพอจะเป็นกุศลผลบุญเข้าสู่ใจเลย มีแต่ความสกปรกโสมม ไปที่ไหน ๆ เห็นแต่ฟัดส้วมฟัดถานอยู่เต็มบ้านเต็มเมือง ฟัดของดิบของดีไม่ได้เหรอ นี่มองไปไหนเห็นแต่พวกชาวพุทธเรากอบโกยเอาแต่ส้วมแต่ถานขึ้นมาอวดกัน ๆ ข้าดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ ลมปาก
เห็นไหมกิเลสออกตลาดเวลานี้ มีแต่ลมปากนะของดีไม่มี เพราะฉะนั้นไฟมันถึงเผาหมดแหละ ร้อนไปหมดทุกหย่อมหญ้า ไม่พูดกันเฉย ๆ นะ เอาธรรมจับเข้าไป นี่เอาธรรมจับเข้าไปแล้วดึงออกมาพูดให้ฟังเวลานี้ อะไรจะละเอียดแหลมคมยิ่งกว่าธรรมของพระพุทธเจ้า เอามาจับซิโลกเป็นยังไง มันสกปรกขนาดไหนรู้หมด ไม่รู้สอนโลกไม่ได้ พระพุทธเจ้าไม่รู้เรื่องของโลกของสกปรก ชำระของสกปรกไม่ได้ สอนโลกไม่ได้ อันนี้มันไม่ได้เรื่องได้ราวอะไรพวกเรา
ไปที่ไหนก็เหมือนกัน ว่าชาวพุทธ ๆ โอ๋ย ออกเหลือเกินนะออกหน้าออกตา มีแต่ขนบประเพณีของกิเลสตีตลาด ๆ หลักความจริงของธรรมที่จะออกแทรกกันบ้างไม่ค่อยมีเลยนะ ถ้าว่าขึ้นเวทีก็ไหว้ครูอยู่นั้น จนกระทั่งผู้คอยดูการต่อยกันนี้เบื่อ หนีแตกบ้านแตกเรือนไป เพราะเห็นตั้งแต่นักมวยยกครูไหว้ครูอยู่นั้น ไม่ยอมต่อยกันเลย คนที่ไปดูรอบเวทีก็เลยเบื่อ เอือมระอา หนี เพราะไม่ต่อยกันให้เห็น
นี่ก็เหมือนกันนั่นแหละ ร่ายกันอยู่ทุกแห่งทุกหน ร่ายตั้งแต่เราเป็นชาวพุทธ ๆ ไปที่ไหนมีแต่ มยํ ภนฺเต มยํ ภนฺเต เต็มบ้านเต็มเมือง เรียกว่าไหว้ครูอยู่งั้นแต่ไม่ยอมต่อย ต่อยคือยังไง ปฏิบัติให้จริงจังบ้างซี มนุษย์เรามีคุณค่าขนาดไหนถ้าเอาธรรมเข้ามาประดับ ถ้าเอาส้วมเอาถานคือความประพฤติชั่วช้าเลวทรามสกปรกโสมมเข้ามาประดับ ก็มีแต่ขี้แต่ถานเต็มตัวเอาความสะอาดมาจากไหน ความสกปรกโสมมมีอยู่ที่ไหนนั้นละกองทุกข์อยู่ที่นั่น เวลานี้มันอยู่ที่หัวใจของพี่น้องชาวไทยเรานะ
ความโลภก็เหลือทนเวลานี้ ล้นโลกล้นสงสาร ความโกรธก็เหมือนกัน ความโลภความโกรธมาด้วยกัน ราคะตัณหามันก็เป็นรากใหญ่มาด้วยกันนั่นแหละ มันถึงสลดสังเวชนะ ขอให้พี่น้องทั้งหลายจำเอาว่าศาสนาแท้เป็นยังไง มาดูโลกนี้จนจะดูไม่ได้เลย มันมีแต่ของสกปรกโสมม สายตาของธรรมดูไม่ได้ แต่กิเลสนั้นกล่อมสัตวโลกให้เป็นบ้ากับมันตลอดเวลา มีแต่ความดิบความดีของกิเลสทั้งนั้น ความดิบความดีของกิเลสปรากฏเป็นผลขึ้นมามีแต่ไฟเผาหัวใจ ๆ
ดูซิหัวใจดวงไหนที่พอมีความสงบร่มเย็นบ้างเพราะอรรถเพราะธรรมมีไหม ไม่มี เราอยากจะพูดว่าไม่มี มันออกมาตีตลาดประดับห้างร้านต่างหาก สวยงามภายนอกแต่ภายในเป็นฟืนเป็นไฟด้วยกันหมด เพราะไม่มีธรรมเข้าไปชะล้างน่ะซิ มีแต่กิเลสโปะเอา ๆ ก็งามแต่ภายนอก ๆ แต่ภายในก็ไม่งามน่ะซิ ไปที่ไหนเห็นแต่คนเดือดร้อนวุ่นวายทุกหย่อมหญ้า ที่ไหนมีความสุขบ้างเอามาเล่าให้หลวงตาฟังสักหน่อยน่ะ ไปที่ไหนมันไม่มี ใครเข้ามาหามีแต่บ่นกองทุกข์ให้ฟัง ๆ กองทุกข์มาจากไหน สาเหตุไม่มีมันเกิดขึ้นได้เหรอกองทุกข์ภายในหัวใจคน ถ้าไม่ใช่เรื่องกิเลสสร้างขึ้นมาเผาหัวใจแล้วระบายกองทุกข์ออกมาเท่านั้น มันจึงมีแต่อย่างนั้นนะ
วันนี้ก็เป็นวันบูรพาจารย์ ระลึกถึงครูบาอาจารย์ นี่ก็จะเป็นเพียงกิริยานิดหน่อยเท่านั้น มันไม่ได้จริงจังในหัวใจของชาวพุทธเรา ถ้าระลึกถึงครูบาอาจารย์ท่านพาดำเนินยังไง ยกตัวอย่างสองพระองค์ท่านนี่ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น เป็นยังไง อัฐิของท่านกลายเป็นพระธาตุทั้งสองพระองค์เลย อัฐิกลายเป็นพระธาตุคือตีตราแล้วว่านี้คือพระอรหันต์ สะทกสะท้านที่ไหน กิเลสมากี่กองทัพให้มา ยกสามแดนโลกธาตุนี่มา จะทำลายพระอรหันต์ให้เป็นปุถุชนด้นลงไปหามูตรหาคูถอยู่ในส้วมในถาน เหมือนพวกเราทั้งหลายที่โจมตีท่าน ไม่ยอมรับความจริงในท่านนี้มีที่ไหน ไม่มีทางทำลายความเป็นเอกของพระพุทธเจ้า ของพระอรหันต์ท่านได้ มีแต่กิเลสมันเห่า เห่าบนฟ้า ฟ้าอยู่ที่ไหนไม่ทราบ มันก็เห่าไปอย่างนั้นละ
ปากสกปรกมันไม่ยอมรับความจริงนะ ทุกวันนี้มีแต่ของปลอมเต็มบ้านเต็มเมือง ถ้าเป็นของปลอมแล้วเอาวันยังค่ำคืนยังรุ่ง ตายเท่าไรก็ไม่เข็ดหลาบ ทุกข์เท่าไรไม่เข็ดหลาบ เพราะกิเลสขยำขยี้หัวคนที่หลงตามมัน เอาธรรมแทรกเข้าไปบ้างซิจะได้เห็นทางต่อสู้กับกิเลส แก้กิเลสออกมากน้อยเท่าไรกองทุกข์ทั้งหลายจะค่อยกระจายออกไป ๆ ความสุขจะปรากฏขึ้นมา ๆ ที่หัวใจของเราที่แบกหามกองทุกข์อยู่ทั้งวันทั้งคืนนี่แหละ เวลาธรรมแทรกเข้าไปแล้วความสุขจะสงบเย็นขึ้นมา
พระพุทธเจ้าท่านค้นเห็นมาประจักษ์โลก สอนสามแดนโลกธาตุ พวกเราอยู่โลกธาตุไหนจึงไม่สนใจกับอรรถกับธรรมของพระพุทธเจ้า พอที่จะได้รับการรื้อถอนขึ้นจากทุกข์บ้างเล็กน้อย ครั้นกลับไปบ้านนี้ก็ไปทะเลาะกันน่ะซี ผัวกับเมียก็ทะเลาะกัน มีผัวมีเมียเท่าไรในโลกธาตุนี้ นั่นคือแดนหมากัดกัน เข้าเวทีก็คือเข้าบ้านเข้าเรือน ผัวกับเมียก็ทะเลาะกัน ถ้าเป็นเรื่องธรรมจะทะเลาะหาอะไร ผัวก็ทราบว่าผัว เมียก็ทราบว่าเมีย ต่างคนต่างปฏิบัติตัวให้ดิบดีด้วยกันแล้วเถียงกันหาอะไร ถ้าไม่ใช่ต่างคนต่างผิดต่างคนต่างพลาด ต่างคนต่างเข้าส้วมเข้าถาน โกยเอาขี้หมูขี้หมา โกยเอาส้วมเอาถานมาโปะหน้ากัน แล้วก็ทะเลาะกันกัดกัน หมาสู้ไม่ได้
นี่ละกิเลสออกตลาดพี่น้องทั้งหลายให้ทราบเสีย มันออกทุกแง่ทุกมุมเราเห็นโทษมันไหม วันหนึ่ง ๆ ไม่ได้ทะเลาะกันผัวกับเมียมีไหม ไม่อยากจะมีนะ อย่างน้อยก็ ๕ ยกแหละ วันหนึ่ง ๆ ผัวเมียทะเลาะกัน ๕ ยก ถ้ามีเขี้ยวหมาสู้ไม่ได้นะ กัดผัวแหลกไปเลยแหละ เมียเป็นฝ่ายกัดฝ่ายหยิกฝ่ายข่วน เมียนี้เก่งกว่าผัวนะ เรื่องบ่นเรื่องหยิกเรื่องข่วน ผัวนี้นาน ๆ เพราะธรรมดาก็ถือว่าเมียนี้เหมือนว่าเป็นน้อง เป็นคู่พึ่งเป็นพึ่งตาย ก็ไม่ยึดไม่ถือไม่สนใจ ผู้หญิงก็ได้ใจล่ะซิ ทั้งหยิกทั้งข่วน ลับสายตาบ้างไม่ได้ ไปไหนมาตะกี้นี้
ถ้าเป็นหลวงตาบัวก็จะบอกว่าไปฟังเทศน์มา ฟังเทศน์วัดไหน ไม่บอกเดี๋ยวจะติดตามไปดูที่เทศน์ ที่เทศน์คืออะไร ก็ที่ผู้หญิงชุม ๆ นั่นละผู้ชายมันไปน่ะ มันมักจะไปหาผู้หญิงชุม ๆ ทีนี้เมื่อมาแล้วเมียก็ผัวของตัวไม่หวงยังไง มาก็ต้องถามไปไหนมา ไปฟังเทศน์มา แหมพระท่านเทศน์ดีนะ พระวัดไหน ๆ เมียถาม โอ๊ย ไม่บอกเดี๋ยวจะติดตามไปฟังอีก ความจริงมันกลัวเมียจะสะกดรอยไปเห็นความสกปรกของมัน เพราะฉะนั้นมามันถึงได้ทนให้เมียหยิกเมียข่วนบ้าง เราไม่ใช่จะหยิกจะข่วน ถ้าหากว่ามีไม้ฟาดหัวมันเลยผัวชนิดนั้น อย่าเอามาติดค้างในบ้านเรือน สกปรกในบ้านในเรือน กัดฉีกกันตลอดเวลา นี่คือกิเลสออกทำงานพี่น้องทั้งหลายรู้ไหม ถ้าให้ธรรมออกทำงานผัวเป็นผัว เมียเป็นเมีย อันใดที่ผิดที่ถูกรู้ทุกคน ผัวก็รู้ เมียก็รู้ อย่านำเข้ามาทะเลาะเบาะแว้ง นำมากัดกัน นั่นละความชั่วความผิดมันมากัดกัน
กิเลสมันตีตลาดแหลกเหลวหมด ท่านทั้งหลายได้สำนึกตัวหรือเปล่า ทุกวันนี้เป็นยังไง บ้านเมืองว่าเจริญ เจริญที่ไหน มันเจริญตั้งแต่กิเลส ความโลภเจริญ ความโกรธเจริญ ราคะตัณหาเจริญ นี่คือไฟเจริญในโลก อันอิฐปูนหินทรายกี่ห้องกี่หับกี่ชั้นก็ตาม ก่อไปนี้ถึงชั้นดาวดึงส์ ก็มีแต่อิฐแต่ปูนแต่หินแต่ทราย มันเจริญที่ไหนอิฐปูนหินทราย มันเกิดไปจากดิน เราเหยียบหัวมันไปทุกวัน ๆ มันเจริญที่ไหน มันเจริญที่หัวใจคน เสื่อมที่หัวใจคน ตกนรกก็คือหัวใจคน ไปสวรรค์ พรหมโลก พ้นจากทุกข์ก็คือหัวใจคนต่างหาก
ให้ดูหัวใจเจ้าของซิ มันไปได้ทั้งนรก ถ้าปฏิบัติไม่ดีมันพาลงนรกได้ อิฐปูนหินทรายไม่ลงนรกไม่ขึ้นสวรรค์นะ แต่หัวใจนี้ไปได้แน่ ๆ ไม่สงสัย สัตวโลกเต็มอยู่ในนรกนั้นมีตั้งแต่หัวใจไปนั่นละ อิฐปูนหินทรายเหล็กหลาที่เราว่าฟู่ฟ่า เจริญอย่างนั้นเจริญอย่างนี้เขาไม่ได้ไปไหน เราเป็นบ้ากับเขาต่างหากนี่นะ มีตึกมีร้านหลาย ๆ หลัง โห คนนั้นเขาดีนะ โอ่อ่าฟู่ฟ่า เป็นบ้าทั้งสด ๆ ร้อน ๆ เลย ยาแก้บ้ายิ่งไม่ค่อยมีนะ
เวลานี้มนุษย์เราเป็นบ้ามากมาย เป็นบ้าความโลภ ได้มาเท่าไรไม่พอ ๆ อยากให้เขาชมเชยว่า นี่เขามีฐานะสูง เขามีตึกเท่านั้นตึกเท่านี้ตึก เขามีโรงแรมเท่านั้นโรงแรมเท่านี้ เขามีไร่นารั้วสวนมากมาย เงินเขานี้ใคร ๆ มากู้มายืมมากมายก่ายกอง เขาคิดดอกวันหนึ่งเป็นล้าน ๆ เป็นหลาย ๆ ล้าน คนนี้เขาดีนะ ๆ ทางนั้นก็เป็นบ้ายิ่งโลภใหญ่ ไม่รู้จักเป็นจักตายเลย แล้วเวลาตายเจ้าของนะไปลงนรก สิ่งทั้งหลายที่กล่าวมาที่ชมเชยกันเขาไม่ได้ไปนรกเขาไม่ได้ไปสวรรค์ เราอย่าเป็นบ้ากับเขาจนเกินไป
ให้ดูหัวใจเจ้าของบ้างชาวพุทธเรา มันดีดมันดิ้นไปทางไหนมากเวลานี้ ถ้ามันโลภมาก อย่าให้โลภมากนัก ความโลภมากพาคนให้จมมากต่อมากแล้ว ใครโลภมากเท่าไรคนนั้นละจมมาก กองทุกข์เต็มอยู่กับคนที่โลภมาก ๆ เราอย่าว่าความโลภนี้พาคนเป็นเศรษฐีนะ ความโลภนี้พาคนตกนรกทั้งเป็น หาอะไรมาสร้าง สร้างด้วยความโลภ สร้างเท่านี้ไม่พอสร้างเท่านั้นไม่พอ กะการณ์ไกลไว้นะ กิเลสมันคาดการณ์ไกลเอาไว้ให้สร้างตึกอย่างนั้น ๆ เวลาสร้างแล้วจะขายได้จำนวนเท่านั้น ๆ โรงแรมที่ไหนก็ตามกว้านซื้อไว้หมด ที่ไร่ที่นารั้วสวนอะไรซื้อไว้เพื่อขายเก็งราคา ๆ เวลาเขาไม่มาซื้อแล้วจมไปเลย เห็นไหมความโลภ ความโลภพาคนจมอย่างนี้เอง มันไม่ได้ว่าอยากได้อันนั้นอันนี้ ได้มา ๆ เป็นเศรษฐีด้วยกันทุกคน โลกนี้ไม่จน ศาสนาพระพุทธเจ้าก็ไม่มีความหมายเพราะความโลภพาคนให้มีความสุขความเจริญ
ศาสนาท่านตำหนิอยู่แล้วว่า ความโลภเป็นภัยต่อโลก ให้พากันยับยั้งเอาไว้นะ โลภธรรมดาอยากธรรมดาสัตว์ไม่ตายคนไม่ตายอยากด้วยกันนั่นแหละ แต่ให้อยากอยู่ในกรอบของศีลของธรรมพอที่จะเป็นประโยชน์แก่ตน นั่นละเย็นใครมีขนาดนี้ ถ้าใครอยากมีมากกว่านี้แล้วจม พวกที่อยากมาก ๆ หิวมาก ๆ โลภมาก ๆ นั้นคือพวกจม ให้ดูให้ชัดเจน สายตาของธรรมจับเห็นหมดเลย อะไรพาโลกให้จมเวลานี้ คือความโลภพาโลกให้จม ความโลภไม่ได้พาคนให้เป็นเศรษฐี ให้ได้เสวยบรมสุข มันเสวยมหันตทุกข์เพราะความโลภมาก เมื่อไม่สมหวังแล้วก็จมลง ๆ
ดูไปซิตามตึกรามบ้านช่องที่บ้านใดเมืองใดมีทั้งนั้น ปลูกเป็นแถวยาวเหยียดกี่กิโล ๆ ปลูกลงไปแล้วใครไปซื้อใครไปเช่ามีไหม ปลูกแล้วทิ้งเป็นอิฐเป็นทรายเป็นปูนอยู่นั้นละ เจ้าของไปจมที่ไหนก็ไม่รู้ แล้วกิเลสมันยังหลอกอีก นี่ยังจะมีคนมาซื้อ ยังจะมีคนมาเช่าบ้านหลังนี้ เจ้าของจมไปแล้วกิเลสยังสร้างความหวังหลอกไว้อีก ๆ เป็นบ้าไปอีกสองชั้นสามชั้น ไม่เห็นโทษของกิเลสเลย ให้เห็นเสียนะโทษของกิเลส ใครโลภมากเท่าไรนั้นละกองทุกข์ยิ่งมีมาก จมมากทีเดียวคนนั้น เราอย่าเข้าใจว่าความโลภจะพาคนเป็นเศรษฐีเสวยบรมสุขแข่งเทวบุตรเทวดาอินทร์พรหม แข่งพระพุทธเจ้าบนนิพพานนะ อย่าเอามาคุยอย่ามาอวด เรื่องของกิเลสมันพาสัตวโลกให้ล่มจมมามากต่อมาก ไม่ได้พาสัตวโลกให้มีความเจริญรุ่งเรืองไปที่ไหนนะ ขอให้พี่น้องชาวพุทธเรารู้เนื้อรู้ตัวไว้บ้าง อย่าโลภมากจนเกินไป
ราคะตัณหาก็เหมือนกัน นี่ละตัวพาให้โลภมากคือราคะตัณหา มันหนุนมันดันออก ได้เท่าไรไม่พอ ๆ ตัวราคะตัณหานี่เป็นตัวสำคัญมากที่สุดทีเดียว หนักมากที่สุดในบรรดากิเลสที่ครองโลกธาตุนี้ ไม่มีอะไรเกินราคะตัณหา ตัวนี้เป็นเบอร์หนึ่ง แล้วก็หนุนให้ความโลภนี้เกิดขึ้น ๆ เมื่อไม่ได้แล้วความโกรธความเคียดแค้นตาม ๆ กันมา ความฉิบหายวายปวงเพราะการฆ่าฟันรันแทงเป็นไปด้วยกัน เพราะอำนาจแห่งราคะตัณหานี้ มันตัวสำคัญมาก ขอให้พี่น้องทั้งหลายจำเอา
การเทศนาว่าการให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ไม่มีใครเทศน์อย่างนี้นะ ไม่ทราบเพราะอะไรให้พิจารณาเองนะ นี่เทศน์ ๆ อย่างนี้ เวลาปฏิบัติมาปฏิบัติจนกระทั่งจะสลบไสล การปฏิบัติตัวเองนะ ฆ่ากิเลสนั่นแหละ ที่จะสลบไสลเพราะกิเลสมันรุนแรง กำลังของกิเลสมาก กำลังของธรรมไม่พอกันต้องสู้กิเลสไม่ได้แหละ จมไปเลย ๆ ใครจะอยากแพ้กิเลส เมื่อขึ้นเวทีต่างคนต่างต้องการความชนะเท่านั้น หวังความชนะเป็นจิตเป็นใจ เป็นก็เป็น ตายก็ตาย ฟัดกันเลยบนเวที
นี่ระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกันบนเวทีคือหัวใจของเราก็เช่นนั้นเหมือนกัน เอาเต็มเม็ดเต็มหน่วยถึงพริกถึงขิง ตกนรกทั้งเป็น เราได้ฟาดมาแล้วกับกิเลสนี่ จึงได้มาพูดเต็มปากให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ไม่ได้มาลูบ ๆ คลำ ๆ แล้วมาโอ้มาอวดนะ นี่ไม่โอ้ไม่อวด ปฏิบัติมาเป็นแบบไหนเอาความจริงมาพูด ไม่ใช่ความปลอม ของปลอมฟังกันมาพอแล้ว มันกล่อมสัตวโลกให้จมไปมากต่อมากแล้ว ของจริงที่พูดกับพี่น้องทั้งหลายนี้จะพาจม ก็แล้วแต่กรรมของสัตว์เท่านั้นเอง นี้เอาของจริงมาพูดเพื่อรื้อฟื้นจิตใจของคนเราให้รู้เนื้อรู้ตัว ปฏิบัติตัวให้เหมาะสมกับอรรถกับธรรม แล้วจะได้ครองความสุขเป็นชั้น ๆ ขึ้นไป ตามอำนาจแห่งการปฏิบัติธรรมของตนมีมากน้อย นี่ได้ทำ ทำอย่างนั้นมา
มันถึงดูไม่ได้นะเวลานี้พูดจริง ๆ จิตดวงนี้ละเวลามันมืดมันมืดจริง ๆ มืดไม่เห็นทิศเห็นทาง มืดแปดด้านเลย ไม่กลัวบาปกลัวบุญก็คือจิตดวงนี้ อาจหาญต่อการทำความชั่วช้าลามกก็คือจิตดวงนี้ สิ่งเหล่านี้ที่ว่าอาจหาญชาญชัยก็คือกิเลสพาให้อาจหาญ หลอกสัตวโลก ลากสัตวโลกให้มีความอาจหาญชาญชัยต่อการสร้างความชั่วช้าลามกต่าง ๆ แล้วเวลาตายลงไปก็จมลงในนรก ก็คือกิเลสตัวนี้ละพาให้จม กิเลสจริง ๆ มันไม่จม มันหลอกแต่สัตวโลกให้จม
ฟัดกันกับกิเลสตัวมันหลอกลวงนี้ มันมีหนาแน่นเท่าไรเราก็หนักมาก ความมืดบอดไม่เห็นบุญเห็นบาป นรก สวรรค์ มีมาตั้งกัปตั้งกัลป์บาปบุญนรกสวรรค์ นานเท่าไร ใจมันก็ไม่ยอมรับความจริงอันนี้ มันจะยอมรับตั้งแต่บาปบุญนรกสวรรค์ไม่มี นี่ละเรื่องของกิเลสมันลบล้างอยู่อย่างนี้ ครั้นเวลาไปตกนรกก็คือพวกที่ไม่เชื่อบาปบุญนรกสวรรค์ว่ามีนั่นละไปตก ผู้ที่เชื่อไม่ไป ผู้เชื่อว่าบาปมีบุญมีนรกสวรรค์มี ย่อมกลัวในสิ่งที่ควรกลัวตามธรรมพระพุทธเจ้าที่สอนไว้แล้วอย่างแท้จริง ไม่เป็นอื่นนะ ให้ปฏิบัติตามนั้น แล้วเวลาปฏิบัติตามแล้วพวกนี้ไม่ไปตกนรกนะ พวกกลัวบาปกลัวกรรม คนเชื่อว่าบาปแล้วก็ต้องกลัว เชื่อว่าบุญแล้วต้องขยับตัวเข้าใส่ บำเพ็ญเพื่อการกุศลยกตนขึ้นให้พ้นจากทุกข์เป็นลำดับลำดาไป นี่คนไม่เชื่อกิเลสเป็นอย่างนี้
คนเชื่อกิเลส บาปไม่มี บุญไม่มี อยู่นั้นหมด นรกไม่มี สวรรค์ไม่มี ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นภัยต่อสัตวโลก ไม่มี แต่หลอกสัตวโลกไสสัตวโลกเข้าไป เวลาตกนรกก็สัตวโลกที่เชื่อกิเลสว่าไม่มีนั่นแหละ ไปตกนรกหลุมไม่มีนั่นแหละจะว่าไง มันเก่งไหมกิเลส ธรรมพระพุทธเจ้าเลิศเลอขนาดไหนกิเลสไม่ให้มอง และไม่มีใครเห็นกิเลสได้นอกจากธรรมพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ท่านเห็นหมด กระจ่างแจ้งหมด ท่านจึงมาชี้แจงได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย เพราะท่านเห็นจริง ๆ ท่านไม่ได้มาพูดหลอก ๆ ลวง ๆ
รู้ไปเรียนไปมันก็ลูบ ๆ คลำ ๆ ไป มันก็ไม่แน่นะ เหมือนเราเรียนรอยโค เรียนรอยช้าง เราไม่เคยเห็นช้างเลยตั้งแต่เกิดมา เราจะว่าช้างเป็นยังไงมีลักษณะยังไง ถึงเชื่อว่ามีก็ไม่ทราบว่าเป็นยังไง มีก็สงสัยอยู่นั้นแหละ สุดท้ายก็ว่าจะไม่มี พอไปเจอช้างเข้าจริง ๆ แล้วเป็นยังไง เจอโคเข้าจริง ๆ เป็นยังไง ตามรอยมันเข้าไป พอไปเจอตัวมันแล้วหายสงสัย ๆ
เหมือนพวกเราทั้งหลายที่มาวัดสุทธาวาส วัดสุทธาวาสเป็นรูปลักษณะอย่างไร ต่างคนต่างวาดภาพวัดสุทธาวาสเพราะยังไม่เคยเห็น วัดสุทธาวาสนี้น่าจะเป็นอย่างนั้นน่าจะเป็นอย่างนี้ เวลาเข้ามาถึงวัดสุทธาวาสแล้วการวาดภาพหลอกลวงตัวเองล้มเหลวไปหมดเลย เห็นแต่ความจริงเต็มวัดเต็มวา ไม่ถามกันแหละเข้ามาแล้ว นี้ผู้เห็นบาปเห็นบุญนรกสวรรค์นิพพาน ท่านก็เห็นอย่างนี้จะสงสัยอะไร ในเวลายังไม่เห็นก็คาดอย่างที่เราว่านี่แหละ บาปเห็นจะเป็นอย่างนั้น บุญเห็นจะเป็นอย่างนี้ นรกเห็นจะเป็นอย่างนั้น สวรรค์เห็นจะเป็นอย่างนี้ นิพพานเห็นจะเป็นอย่างนี้ พอเข้าเจออย่างจัง ๆ เต็มหัวใจแล้วสงสัยที่ไหน
พระพุทธเจ้าบรรลุธรรมปึ๋งขึ้นมา ท่านไปถามบาปถามบุญนรกสวรรค์กับผู้ใด ท่านไม่ได้ถามใครเพราะจ้าที่หัวใจ เหมือนเรามาดูวัดสุทธาวาส จ้าที่สายตาของเราแล้วสงสัยที่ไหน นั้นก็แบบเดียวกันไม่ได้ผิดกัน ของจริงเป็นอย่างนั้น นี่เราได้ปฏิบัติมาให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบ ให้ตื่นเนื้อตื่นตัวนะ บาปเป็นบาป บุญเป็นบุญ นรกเป็นนรก สวรรค์เป็นสวรรค์ พรหมโลก นิพพาน เป็นพรหมโลก นิพพาน สัตวโลกทั้งหลายที่เสวยกรรมต่าง ๆ กันเต็มทั่วโลกธาตุนี้เป็นสัตวโลกทั้งหลาย มีมาตั้งกัปตั้งกัลป์นะ ไม่ใช่มีมาในบัดนี้ แล้วยังจะมีอีกตั้งกัปตั้งกัลป์ แล้วกิเลสตัวไหนจะมาลบล้างสิ่งเหล่านี้ได้ มันยังมาหลอกโลกได้ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มี เห็นไหมมันเก่งไหม
แล้วพวกเราก็พวกโง่ตาบอด มันว่ายังไงก็เชื่อไปหมดนั่นแหละ บาปไม่มี บุญไม่มี นรกไม่มี สวรรค์ไม่มี มันก็มีแต่นรกทั้งเป็นเผาอยู่ในหัวใจ พอลมหายใจขาดสะบั้นลงไปก็จมปึ๋งลงไปเลย นั่นนรกไม่มี ผู้นั้นก็ไปตกนรกหลุมไม่มีนั่นแหละ นรกหลุมไม่มียิ่งแผดเผายิ่งกว่าผู้ที่เข้าใจว่านรกมีนะ ถ้าผู้เข้าใจว่านรกมีถึงตกก็เบาบาง หรืออย่างหนึ่งไม่ตก คนกลัวนรกย่อมไม่ทำบาป แต่คนไม่กลัวนรกเป็นผู้กล้าหาญชาญชัยที่สุดเลย เพราะเห็นว่านรกไม่มีแล้วทำเต็มเหนี่ยวเลย เวลาได้รับผลแล้วก็ลงนรกที่ว่าไม่มีนั่นละ ทีนี้พอไปเจอเข้าแล้วเป็นยังไงนรกมีไหม สายเสียแล้ว หมดหวัง
เราอย่าสร้างความหมดหวังให้เรานะ เราเป็นมนุษย์ทั้งคน ให้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติตัวเอง การปฏิบัติธรรมให้มีในใจบ้าง พุทโธ ธัมโม สังโฆ อย่าละในวันหนึ่งคืนหนึ่ง ไปไหนยิ่งให้พุทโธติดหัวใจเราไป นั้นชื่อว่าเราสร้างสารคุณในหัวใจของเรา อย่ามีแต่ความคิดความปรุงฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมไปตามกิเลสตัณหา ที่มันลากลงนรกทั้งเป็น ๆ อยู่ตลอดเวลานั้น นักหนานะ อย่าคิดเกินไปนะ ให้ย้อนมาหาธรรมซึ่งเป็นธรรมสำคัญที่จะฉุดลากเราจากนรกบ้างนะ
คนมีธรรมในใจนี้จะมีที่พึ่ง ไม่มีธรรมในใจสมบัติเงินทองข้าวของกองเท่าภูเขาไม่มีความหมาย เศรษฐีตกนรกได้ไม่สงสัย คนทุกข์คนจนตกนรกได้ไม่สงสัยถ้าทำความชั่วช้าลามกแล้ว สิ่งเหล่านั้นเอามาหลอกลวงไม่ได้ เอามาปิดกั้นนรกไม่ได้ ปิดกั้นได้แต่คนสร้างความดี ปิดกั้นนรกได้นะ ถ้าสร้างความชั่วแล้วปิดไม่อยู่ เป็นมหาเศรษฐีก็ตกนรกได้ เป็นคนทุกข์คนจนก็ตกนรกได้ถ้าสร้างความชั่ว ถ้าสร้างความดีทุคตะเข็ญใจขึ้นสวรรค์ได้ ตั้งแต่สัตว์ก็ขึ้นสวรรค์ได้มีความดีแล้วนะ มหาเศรษฐีก็ขึ้นสวรรค์ได้ถ้าทำความดี ถ้าไม่ทำความดีแล้วไม่มีความหมาย
อย่าให้กิเลสมันหลอกนักนะ เกิดมาแล้วมาเห็นเพียงอิฐเพียงปูนเพียงหินเพียงทรายเพียงเครื่องประดับตกแต่งต่าง ๆ ก็เป็นบ้าตื่นกันไปหมด ให้กิเลสขยำเอา ๆ ตื่นกับกิเลสนี้จมไปทั้งนั้นล่ะน่ะ ให้ตื่นทางด้านอรรถธรรมบ้างซิ รู้เนื้อรู้ตัวบ้าง กุศลผลบุญที่จะเข้าสู่ใจเพื่อเป็นหลักยึด เป็นที่เกาะ เพื่อไปสู่คุณงามความดีเราได้สร้างแล้วยัง ให้ดูตรงนี้ ดูใจกับบุญกับกุศล ได้ทำบุญให้ทานไหม ได้รักษาศีล ได้ภาวนาบ้างไหม ให้ดูตรงนี้ เราจะไปหาตั้งแต่เป็นบ้ากับคนนี้เป็นบ้ากับคนนั้น ตายแล้วจะเป็นบ้าอีก เป็นบ้าในมนุษย์นี้แล้วเป็นแบบหนึ่ง เวลาจมลงไปในนรกยิ่งไปใหญ่ ให้พากันตั้งอกตั้งใจปฏิบัติ
นี่ธรรมสอนพี่น้องทั้งหลายเราสอนด้วยความอาจหาญชาญชัย พูดสาธุ เราไม่ได้ประมาท นี่ละธรรมของจริงพี่น้องทั้งหลายฟังเสีย พระพุทธเจ้าสอนโลกเอาธรรมของจริงมาสอน ไม่เอาของปลอม ๆ มาสอนเหมือนกิเลสมาสอนเราทุกวันนี้ กิเลสมาสอนเอาของปลอม ๆ ทั้งนั้นของจริงไม่มี แต่เราก็เชื่อกันทั้งโลกทั้งสงสาร เป็นยังไงโง่ไหมมนุษย์เรา เอาของจริงมายื่นให้มันไม่ยอมรับเป็นยังไง ธรรมของจริงยื่นให้ไม่รับ หมดความหมายหมดคุณค่าหมดราคาแล้วมนุษย์ มันเศษมนุษย์เท่านั้นเองยังค้างโลกอยู่นี้น่ะ
เราจะเป็นเศษมนุษย์ค้างโลกหรือจะเป็นอะไร ให้ตั้งปัญหาถามตัวเองในเวลานี้ เวลามีชีวิตอยู่นี้ ตายแล้วจะนิมนต์มา กุสลา ธมฺมา กุสลา ธมฺมา ยายนี้ตายแล้วไปไหนนา ตาคนนี้ตายแล้วไปไหนนา ถ้าเป็นหลวงตาบัว ตายแล้วไปสันพร้านี่เราจะว่างั้น เราไม่ได้บอกว่าไปนรกไปสวรรค์ ไปสันพร้านี่จะว่างั้น เวลามีชีวิตอยู่ไม่สนใจคุณงามความดี เป็นบ้ากับกิเลส เวลาตายแล้วนิมนต์พระทั่วประเทศไทยมา กุสลา ธมฺมา มีความหมายอะไร เจ้าของสร้างความหมายอันชั่วช้าลามกไว้เต็มหัวใจ กุสลา อันไหนจะไปลากขึ้นได้ล่ะ
กิเลสมันลากลงนรกแล้ว ใครจะไปแย่งกิเลสขึ้นมา กุสลา ธมฺมา ยายนี้ขอแบ่งส่วนนะ กลางตัวฝ่ายหนึ่งให้ไปนรก ฝ่ายหนึ่งให้ไปสวรรค์ พระองค์ไหนเก่ง ๆ นั่งอยู่บนศาลานี้เอามาถามดูซิน่ะองค์ไหนเก่ง ๆ ไปแบ่งสันปันส่วนจากยายคนนั้นที่ตายแล้วจะลงนรก แล้ว กุสลา ธมฺมา นี่ไปแบ่งได้มาครึ่งหนึ่ง เรียกว่า ๕๐ สตางค์มีองค์ไหน แล้วไปถามพระดูซินั่งเต็มอยู่นี้องค์ไหน
สำหรับหลวงตาบัวแล้วไม่สามารถ บอกตรง ๆ เลยไม่สามารถ สิ่งที่สามารถก็สอนอยู่เวลานี้ ให้สร้างความดีแก่ตัวเอง ตายแล้วไม่ต้องนิมนต์พระมา กุสลา ก็ได้ บุญ กุสลา พอแล้ว บุญกุศลผลประโยชน์อันใหญ่หลวงนี้สร้าง กุสลา คือความฉลาดให้เรารอดพ้นจากความทุกข์ในวัฏสงสารนี้ไปได้ ด้วยอำนาจแห่งบุญแห่งกุศลของเราที่สร้างมาแต่คราวเป็นมนุษย์ นี่ละเป็นกุสลาให้เรา อย่าไปหายุ่งภายนอกจนเกินเหตุเกินผล เราไม่ปฏิเสธตายแล้วไป กุสลา ถ้าธรรมดาเราก็เป็นธรรมดาประเพณี กุสลา ธมฺมา ท่านก็ว่าขึ้นทีหลังนี่แหละ
ในครั้งพุทธกาลจริง ๆ พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้สอนพระให้ไป กุสลา ธมฺมา หาเงินหาทองหากล้วยหอมกล้วยง้าวจากคนตายมากินนะ ท่านไม่สอน เหตุเบื้องต้นก็มีนางสิริมาตาย พระพุทธเจ้าเลยสั่งให้พระ ใครอยากจะไปดูกรรมฐานไปปลงกรรมฐานที่นางสิริมาตายก็ได้ ก็เลยนิมนต์พระไปกรรมฐานนั้น จากนั้นกรรมฐานนั้นเลยกลายมาเป็นกรรมฐานหากินไปแล้วนี่ กุสลา ธมฺมา กล้วยหอมไปไหนนาโยม กุสลา ธมฺมา กล้วยง้าวไปไหนนะโยมไปแล้วนะ ทีนี้โยมก็เป็นตัวเก่งอีกเหมือนกัน ถ้าท่านอยู่วัดอยู่เฉย ๆ ก็ ยายนี้ตายมานิมนต์ไป กุสลา ก็คือนิมนต์ไปเอากล้วยนั่นแหละ มันเลยยุ่งไปในของไม่เป็นท่าอย่างนี้แหละ สิ่งที่เป็นท่าไม่สนใจ เรื่อง กุสลา ธมฺมา ไม่ใช่มีมาอย่างนี้ดั้งเดิมนะ
กุสลา ธมฺมา ที่เรามาสวดมาติกาอยู่ทุกวันนี้ไม่ได้มีมาดั้งเดิมนะ มีมาหลังจากพระพุทธเจ้ารับสั่งให้พระไปปลงกรรมฐานที่นางสิริมาตาย จากนั้นก็ถือเป็นกรรมฐาน แต่มันไม่เป็นกรรมฐานล่ะซี มันไปหากล้วยหอมเสียนี่พระเรากรรมฐานทุกวันนี้ หลวงตาบัวยิ่งเก่ง ยังดีอันหนึ่งที่เขานิมนต์ไป กุสลา ธมฺมา ไม่ได้ถามเขาว่ากล้วยหอมติดมือมาหรือเปล่าล่ะ ไม่ได้ถามเขาอย่างนี้ นี่ก็พูดอย่างตรง ๆ กุสลา นั้นไม่ได้มีความหมายนะถ้าตัวไม่สร้างตัวเองเสียตั้งแต่บัดนี้ ให้พากันสร้างเสียนะ การปฏิบัติศีลธรรมเป็นของสำคัญ
ใจไม่เคยตายจำให้ดี ใจดวงนี้ไม่เคยตาย เคยเกิดมาเคยตายมากี่กัปกี่กัลป์แล้วอยู่ตลอดเวลา ตกนรกหมกไหม้ไม่ทราบกี่ครั้งกี่หนนับไม่ได้เหมือนกัน ขึ้นสวรรค์ชั้นพรหมขึ้นลง ๆ นี้ตลอดเวลา เว้นพรหม ๕ ชั้นนั่นเสีย อวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี อกนิฏฐา นี้เป็นที่อยู่ของพระอนาคามี ใครไปอยู่ชั้นนี้แล้วไม่กลับมาเกิด นอกนั้นกลับมา ถึงอายุยืนขนาดไหนก็ไม่พ้นกฎอนิจจัง ต้องกลับมาเกิดอีกจนได้ ขึ้นลง ๆ พวกสัตวโลก ขึ้นสวรรค์พรหมโลกแล้วตกนรกนี้ เหมือนขึ้นบันไดบ้าน ขึ้นอยู่อย่างนี้
แต่กิเลสมันปิด ๆ ไม่ให้รู้ว่าขึ้นสวรรค์ชั้นพรหม ไม่ให้รู้ว่าตกนรกมากี่กัปกี่กัลป์ ได้รับความทุกข์ยากลำบากขนาดไหนกิเลสไม่ให้รู้ เพราะฉะนั้นเวลาผ่านมาแล้วเราจึงไม่รู้ว่าเราเกิดมาจากไหน เช่นอย่างปัจจุบันนี้เราแต่ละคน ๆ เราทราบไหมว่าเราเกิดมาจากภพไหน แต่ก่อนเกิดเป็นอะไรถึงมาเกิดเป็นมนุษย์เราก็ไม่ทราบ ปัจจุบันนี้ตายแล้วจะไปไหนก็ไม่ทราบอีกเหมือนกัน เพราะไม่ได้สร้างความแน่นอนใจแก่ตนเอง คนที่สร้างความแน่นอนใจแก่ตนเอง คือสร้างบุญสร้างกุศล แล้วจะแน่นอนในใจโดยลำดับ
ยิ่งเป็นนักภาวนาด้วยแล้วแม่นยำเห็นชัดเจน เอ้า พูดให้มันชัดเจน เราภาวนาเวลาออกภาวนาทีแรกงุ่มง่ามต้วมเตี้ยม ๆ สู้กิเลสไม่ได้ ล้มทั้งหงาย ๆ นี่ก็เคยพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ไปล้มทั้งหงาย ๆ น้ำตาร่วงอยู่บนภูเขาก็พูดให้ฟัง นี่เพราะสู้กิเลสไม่ได้ ถูกกิเลสฟัดเอาหงาย ๆ ทั้ง ๆ ที่เราตั้งใจจะปฏิบัติตนให้เต็มความสามารถ ฆ่ากิเลสให้ขาดสะบั้นลงไปจากหัวใจ เมื่อไปแล้วกิเลสฟาดเราขาดสะบั้นลงไป ล้มทั้งหงาย เขาเรียกว่าล้มหงายหมา ล้มไม่เป็นท่าเขาเรียกล้มหงายหมา เราล้มหงายหมามาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว
แต่สำคัญที่จิตใจไม่ถอย เอา มึงเอากูขนาดนี้เทียวเหรอ มึงเอากูถึงขนาดนี้เทียวหรือ กูมึงภายในใจนะ เพราะความเคียดแค้นอย่างสุดหัวใจต่อกิเลส เอา กูจะไปหาครูบาอาจารย์อีกไปศึกษาอบรม ก็จะเป็นใคร ก็หลวงปู่มั่นเรานี่เป็นผู้ประพรมอรรถธรรมให้ เป็นกำลังใจ แล้วกลับคืนไปอีกสู้อีก สู้หงายมาอีก เอาไปอีก ได้รับการอบรมจากท่านแล้วกลับไปอีกสู้อีก สู้หลายครั้งหลายหนมันก็พอฟัดพอเหวี่ยงกันไป ๆ
พอหนักเข้า ๆ กิเลสหงายให้เห็นแล้วที่นี่นะ หือ มึงก็มีท้องเหมือนกันเหรอ นึกว่ากูมีแต่ท้องหงายให้มึงดูนะ มึงก็มีท้องเหมือนกันหรือกิเลส ท้องเหมือนคนนี่เหรอ เพราะกิเลสมันอยู่กับคน หงายท้องก็หงายเหมือนท้องคนนั่นแหละ ก็ท้องเรานี่แหละ กิเลสมันหงายไปจากเรานี่ จากนั้นก็ซัดกันใหญ่พอได้กำลังแล้ว ฟังให้ดีนะ จิตเวลามันมืดมันมืดอย่างนั้น มันมืดหาทางออกไม่ได้ สู้กิเลสไม่ได้น้ำตาร่วงบนภูเขา ไม่ลืม พูดเมื่อไรพูดได้ทั้งนั้นเพราะเคียดแค้นถึงใจ เคียดแค้นให้กิเลส
ตามธรรมดาความเคียดแค้นนี้ทางธรรมท่านบอกว่าเป็นกิเลส ความเคียดแค้นเป็นกิเลส นี่หมายถึงว่าเคียดแค้นให้บุคคลผู้ใดสัตว์ตัวใดก็ตามเป็นกิเลสทั้งนั้น แต่ความเคียดแค้นให้กิเลสภายในตัวเอง จะฟาดฟันหั่นแหลกให้มันขาดสะบั้นลงไปจากใจนี้เป็นมรรค เป็นทางเดินเพื่อความพ้นทุกข์ เราก็เคียดแค้นอย่างนั้น มาฟิตตัวตลอดเวลา จนกระทั่งตั้งตัวได้ จิตไม่เคยสงบก็สงบขึ้นมา เมื่อจิตสงบแล้วอารมณ์ทั้งหลายที่ก่อกวนยุ่งเหยิงวุ่นวายเพราะอำนาจของกิเลสนั้นจางไป ๆ มีแต่ความสงบเย็นใจ ความสงบเย็นใจเป็นสมถธรรม เรียกว่าธรรมอันสงบกล่อมหัวใจ
อยู่ไหนสบายที่นี่นะ อยู่ต้นไม้ภูเขาในถ้ำเงื้อมผา อดบ้างอิ่มบ้างสบาย ๆ เพราะอาหารอันโอชานั้นอยู่ภายในใจแล้ว ได้แก่สมถธรรมหรือสมาธิธรรม อยู่ที่ไหนสบาย ๆ อดอิ่มบ้างไม่สนใจ เพราะใจนี้อิ่มด้วยอรรถด้วยธรรม ปีติยินดี ไม่สนใจกับอะไรทั้งนั้น นี่เห็นแล้วนะ เมื่อธรรมเข้าสู่ใจความทุกข์ทั้งหลายจางไป ๆ โดยลำดับลำดาอย่างนี้ จากนั้นก็ฟัดกันเข้าให้หนัก ๆ จากสมถะเป็นความสงบแล้วเข้าสู่สมาธิ จิตมีความตั้งมั่นเป็นสมาธิแน่นหนามั่นคงเหมือนภูเขาทั้งลูก นั่นละจิตเป็นสมาธิ เพียงสมาธิเท่านั้นก็แน่นปึ๋งเหมือนภูเขาทั้งลูก เห็นอยู่ที่หัวใจเรา เราจะไปถามใครก็มันเห็นอยู่ที่หัวใจ เวลาปรากฏสมถะคือความสงบเย็นใจมันก็ชัดในหัวใจ เวลาเป็นสมาธิแน่นหนามั่นคงก็เห็นที่หัวใจ
จากนั้นก้าวออกทางด้านปัญญา พิจารณาทางด้านปัญญาแยกธาตุแยกขันธ์ทุกสิ่งทุกอย่าง อสุภะอสุภัง ทุกฺขํ อนิจฺจํ ที่โลกสงสารติดพันตัวนี้ คือรูปกายหญิงชาย ฟาดให้มันแหลกหมด ๆ ตีแตกกระจายออกไปหมดแล้วทีนี้ดีดผึงละจิต นั่นเห็นไหม จิตดีดผึงออก เมื่อดีดออกนี้แล้ว เรื่องตัวนี้เป็นเรื่องสำคัญมากเห็นไหมที่นี่ กองทุกข์ทั้งมวลที่เกิดนี้ กามกิเลสเป็นตัวสำคัญมาก นั่นลงได้แล้วจับได้แล้ว กองทุกข์ทั้งมวลที่สัตวโลกแบกหามอยู่ตลอดเวลาไม่มีจืดจางนี้ ออกจากกามกิเลสราคะตัณหา ตัวนี้รุนแรงมาก แต่ยาเคลือบน้ำตาลมันก็หนามากทีเดียว สัตวโลกจึงชอบมาก ชอบกามกิเลสชอบมาก ทุกข์ก็ทุกข์มากที่นี่ พอตัวนี้ถอนผึงออกไปแล้วไม่มีทุกข์ ประหนึ่งว่าไม่มีทุกข์ หายไปหมด เหมือนอย่างบ้านร้างเมืองร้าง คนเต็มบ้านเต็มเมืองแต่ไม่มีอันธพาลมาแสดงผาดโผนโจนทะยานให้ขวางหูขวางตาคนมีสมบัติผู้ดีทั้งหลาย จึงว่าประหนึ่งบ้านร้าง ไม่มีอันธพาล
กิเลสตัวนี้เป็นตัวนักเลงโต เป็นตัวอันธพาล ตัวออกสนามก่อกวนยุ่งเหยิงวุ่นวายแก่โลกแก่สงสารคือตัวนี้ จับได้ชัดเลย อ๋อ นี่มหันตทุกข์อยู่ตรงนี้ ความชอบความพอของสัตวโลกก็ยาเคลือบน้ำตาลมันเคลือบไว้ที่นี้ สัตวโลกจึงชอบมาก ดีดผึงขึ้นมามันก็เห็น จากนั้นพิจารณาเข้าไปเรื่องธรรมอันละเอียดยิ่งกว่านี้เข้าไป ทีนี้จิตหมุนติ้วเลย จิตขั้นนี้ไม่ถอย จิตขั้นฆ่ากามกิเลสขาดสะบั้นลงไปจากหัวใจแล้วไม่มีถอย เป็นจิตอัตโนมัติ สติเป็นอัตโนมัติ ปัญญาเป็นอัตโนมัติ หมุนตัวไปเอง ๆ เป็นธรรมจักร ไม่มีว่าวันว่าคืน ไม่มีอิริยาบถยืนเดินนั่งนอน แต่ระหว่างกิเลสกับจิตฟัดอยู่บนหัวใจนี้ตลอดเวลา ๆ หมุนติ้ว ๆ นี่เรียกว่าธรรมเป็นอัตโนมัติ ธรรมฆ่ากิเลสเป็นอัตโนมัติแล้ว
แต่ก่อนกิเลสฆ่าธรรมฆ่าหัวใจเรามันเป็นอัตโนมัติ คิดแง่ใดมุมใดเป็นกิเลสทั้งนั้น ปรุงแต่งเรื่องราวอะไรเป็นกิเลสทั้งนั้น ๆ เวลาธรรมได้มีกำลังถึงขั้นนี้แล้ว พอถึงขั้นกามกิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้วธรรมเป็นอัตโนมัติ หมุนตัวเป็นเกลียวไปเลยเป็นธรรมจักร ไม่มีคำว่าการยืนการเดินการนั่งการนอน เป็นเวลาฆ่ากิเลสโดยลำดับลำดาตลอดเวลา เว้นแต่หลับเท่านั้น ตื่นขึ้นมาฟัดกันแล้ว ๆ หลังจากนั้นไปสติปัญญาก็เป็นน้ำซับน้ำซึม ไหลรินอยู่ภายใน ไหลรินคือแก้กิเลส กิเลสส่วนละเอียด สติปัญญาก็เป็นน้ำไหลรินส่วนละเอียด สังหารกันไป ๆ ฟาดมันขาดสะบั้นลงไปจากหัวใจไม่มีอะไรเหลือแล้ว จ้าขึ้นมาในหัวใจแล้ว
หัวใจดวงนี้เวลามันมืดมันเป็นอย่างนั้นนะ มันเป็นในหัวใจเราเองทำไมจะไม่รู้ ทำไมเราพูดไม่ได้ ทีนี้เวลามันจ้าขึ้นมาด้วยความสว่างกระจ่างแจ้งก็หัวใจดวงนี้เอง มันจ้าขึ้นมาแล้วทำไมเราจะพูดไม่ได้เห็นไม่ได้
นี่ละธรรมพระพุทธเจ้าท่านรู้ท่านเห็นอย่างนั้นท่านมาสอนโลก สอนโลกตาบอดคือพวกเรานี่ ใครจะฟังก็ให้ฟังนะ ให้นำไปบรรเทา การกล่าวทั้งนี้ไม่ได้หมายถึงว่าให้ละกิเลสเหล่านี้ให้ขาดสะบั้นออกไปจากหัวใจหมดทุกดวง ให้ใช้ตามกำลังความสามารถของเรา ให้อยู่ในขอบในเขต อย่าดิ้นอย่ารนจนเกินไปเราจะพอมีความสุข ความไม่ดิ้นรนจนเกินไปก็คือธรรมบังคับเอาไว้
ตามธรรมดากิเลสจะดิ้นตลอดเวลา ถ้าว่าโลภก็ไม่พอ โกรธก็ไม่พอ ราคะตัณหาไม่มีเมืองพอ ผู้ชายคนเดียวมีเมียหมดทั้งจังหวัดสกลนครนี้ เอาผู้หญิงมาเป็นเมียหมดก็ไม่พอ ผู้หญิงในสกลนครเรานี้ เอาผู้ชายหมดสกลนครนี้มาเป็นผัวก็ไม่พอ แล้วไปกว้านเอาเมืองอุดรฯ อีก แต่ระวังหลวงตาบัวจะฟาดหน้าผาก ไปเอาผู้หญิงผู้ชายเมืองหลวงตาบัวน่ะ อันนี้ก็ไม่พอเห็นไหม นี่ละเรื่องความโลภมันเป็นอย่างนี้ ตีมันเข้าให้อยู่ในกรอบของศีลของธรรม ให้มีผัวเดียวเมียเดียว นี่เรียกว่ากรอบของศีลของธรรม
ผัวคนเดียวเมียคนเดียวอยู่กันเป็นสุข ไม่ยุ่งเหยิงวุ่นวายกับการงานทั้งหลาย การไปการมาก็ไม่มีขอบเขต ไม่ต้องบังคับบัญชา ไม่ระแวงแคลงใจซึ่งกันและกัน เพราะต่างคนต่างมีศีลมีธรรมเป็นที่ตายใจแล้ว เชื่อกันแล้ว ฝากเป็นฝากตายต่อกันแล้ว ซื่อสัตย์สุจริตต่อกัน ให้ความอบอุ่นต่อกัน อันนี้สบาย ให้อยู่ในเพียงเขตนี้ ไม่ได้หมายถึงว่าให้ละให้หมดนะ ให้ละสิ่งที่เป็นภัยต่อเราซึ่งมีกิเลสอยู่แล้วนี้ มันจะเพิ่มกิเลสเข้าไปอีก เมียคนหนึ่งแล้วยังไม่แล้ว สองเข้ามานั่นละเพิ่มแล้วนะนั่นน่ะ ผัวคนหนึ่งไม่แล้ว สองผัวสามผัวเพิ่มแล้วนั่นน่ะ อย่าเอามาเพิ่ม ให้อยู่เพียงผัวเดียวเมียเดียวนี้ก็พอแล้ว พระพุทธเจ้าสอนให้อยู่ในกรอบ ท่านไม่ได้สอนให้ละขาดทั้งหมดนะ พวกเราให้ปฏิบัติตามนี้
ครอบครัวเหย้าเรือนของใครมีขื่อมีแปมีหลักมีเกณฑ์ แล้วอยู่ผาสุกสบายเมื่อมีธรรมเข้าควบคุมรักษา ถ้าไม่มีธรรมแล้วเตลิดเปิดเปิงหมด หมาสู้ไม่ได้ หมาเขามีผัวมีเมียเขามีเพียงสองตัวสามตัว มนุษย์นี้ โถ ใครจะไปสู้มนุษย์ได้ ไปที่ไหนมีเมียเต็มบ้านเต็มเมืองเต็มแผ่นดิน ไปที่ไหนมีผัวเต็มบ้านเต็มเมืองเต็มแผ่นดิน มิหนำซ้ำยังจะไปคว้าเอาเทวบุตรเทวดามาเป็นผัวเป็นเมียอีก ไม่ได้กลัวพระอินทร์อยู่บนฟ้าฟาดหน้าผากให้หงายหมาลงมาเลย เวลาความอยากมันทะเยอทะยาน ความไม่พอ ทะเยอทะยาน ดิ้นเกินไปจนกระทั่งไปแย่งเมียพระอินทร์นั่นละ ท่านฟาดหน้าผากตกลงมาไม่รู้ตัวนะ
นี่ละความโลภให้รู้จักอย่างนี้ มันไม่มีขอบเขต มันยังจะไปแย่งนางเทวดาอยู่บนสวรรค์มาเป็นเมียมันอีก ของเล่นเหรอ มันยังจะไปแย่งเอาพระอินทร์มาเป็นผัวมันอีก เป็นของเล่นเหรอ นี่ละให้บังคับเอาไว้อย่าให้มันคึกคะนองจนเกินไป นี่เรียกว่าเป็นผู้มีศีลมีธรรม ให้ตั้งใจปฏิบัติตัวเอง
สอนพี่น้องทั้งหลายเราสอนด้วยความเมตตาจริง ๆ นะ เพราะดูแล้วแทบจะว่าดูไม่ได้ มันสกปรกเอาเสียจริง ๆ ในสายตาของธรรมแล้วจนจะดูไม่ได้ ให้ปฏิบัติกำจัดสิ่งที่เลวร้ายที่สุดนี้ให้อยู่ได้พอเป็นพอไป อย่าให้เป็นน้ำล้นฝั่ง ๆ แล้วจะสร้างตั้งแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้กันหมด ที่ว่าโลกเจริญ ๆ มันเจริญด้วยความดีดความดิ้น เป็นกองทุกข์ทั้งนั้น ความเจริญที่เป็นความสงบร่มเย็นจะไม่มีในหัวใจของชาวพุทธเรา ให้พากันตั้งอกตั้งใจปฏิบัติ นี่ละศาสนาของพระพุทธเจ้า จริงมาตลอด ไม่ได้หลอกลวงนะ ให้ตั้งใจปฏิบัติ ขอให้ต่างคนต่างปรับเนื้อปรับตัวให้ดี
นี่เราก็กำลังช่วยชาติบ้านเมืองของเราด้วย ช่วยตัวของเราด้วย ช่วยชาติบ้านเมืองซึ่งเป็นส่วนรวมอันเป็นหลักใหญ่ด้วย ด้วยความขยันหมั่นเพียร ด้วยความประหยัดมัธยัสถ์ อย่าฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมไปตามกิเลสเอานักหนานะ ที่ความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมนี้มันวิ่งตามกิเลสนะ กิเลสไม่มีเมืองพอ ต้องลากต้องเข็นเราไป ดีดดิ้นไป จนขนาดไหน เอ้า กู้ยืมเขามาดีดมาดิ้น ผู้มีแล้วก็ไม่พอ ไปคว้าเอาจากธนาคารมาดีดมาดิ้น สุดท้ายจมไปด้วยกัน นี่เรื่องกิเลสหลอกคนหลอกได้ทุกขั้นทุกภูมิของคนถ้าเราไม่มีธรรม ถ้ามีธรรมแล้วหลอกไม่ได้ จะอยู่ในความพอดีพอประมาณ นี่เรียกว่าอยู่ได้ ให้พากันตั้งอกตั้งใจ
ฝ่ายพระของเราก็เหมือนกัน ให้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติตัวเองตามหลักของพระ พระคืออะไรเป็นเครื่องประกันของพระ ศีลเป็นหลักสำคัญมากอย่าพากันล่วงเกินฝ่าฝืน ให้เป็นผู้สง่างามตาทั้งภายนอกทั้งภายในตาใจของเรา ดูตัวของเราแล้วว่าเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ เย็น ไปไหนเย็นทั้งหมด จากนั้นให้สร้างสมาธิขึ้นมาภายในใจ นี่ละงานของพระ คือ ศีลรักษาให้ดี สมาธิบำเพ็ญให้เกิดขึ้นภายในใจ สมาธิเกิดขึ้นแล้วความสงบร่มเย็นจะประจักษ์ในจิตใจ ปัญญาดังที่กล่าวตะกี้นี้ ตีกิเลสแตกกระจัดกระจายออกจากจิตใจแล้วสว่างจ้าขึ้น จนกระทั่งกิเลสสิ้นซากไปจากใจหมดแล้วด้วยอำนาจของปัญญา หรือมหาสติมหาปัญญาญาณ จากนั้นขาดสะบั้นหมดแล้วไม่มีทุกข์ตัวใดที่จะมาผ่านหัวใจของพระอรหันต์ได้เลย
ตั้งแต่วันกิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้ว ทุกข์ทั้งหลายเท่าเม็ดหินเม็ดทรายจะไม่มีอะไรมาผ่านเลยตลอดอนันตกาล ท่านเรียกว่านิพพาน พอทุกอย่าง ที่มีทุกข์มากทุกข์น้อยคือกิเลสทั้งนั้นเป็นผู้สร้างขึ้นมา เมื่อกิเลสสิ้นไปจากใจแล้วจะไม่มีอะไรสร้างขึ้นมา มีแต่บรมสุขครองอยู่ในหัวใจ และไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลาด้วย จิตเมื่อเข้าถึงขั้นเมืองพอคือบริสุทธิ์เต็มที่แล้ว ไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลา ท่านจึงเรียกว่านิพพานเที่ยง เที่ยงที่จิตไม่ได้เที่ยงที่ไหน เที่ยงที่จิต วอกแวกคลอนแคลนที่สุดก็คือจิต เพราะกิเลสพาวอกแวกคลอนแคลน เมื่อธรรมตีแตกหมดแล้ว ธรรมไม่วอกแวกคลอนแคลน อยู่สบายตลอดอนันตกาล เรียกว่านิพพานเที่ยง อยู่กับผู้ปฏิบัติเรานี้ละ
สำคัญที่สุดคือผู้ปฏิบัติเรา ให้ถืองานของพระเป็นสำคัญ งานของพระคือการบำเพ็ญ เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา นี้คืองานของพระโดยแท้ดังครั้งพุทธกาลท่านสอน งานเหล่านั้นงานฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม การก่อการสร้างยุ่งนั้นยุ่งนี้กวนบ้านกวนเมือง เลยเป็นศาสนากวนบ้านกวนเมือง ไปที่ไหนเขาไม่อยากพบหน้า ไปที่ไหน อาตมากำลังสร้างศาลานะโยม อาตมากำลังสร้างโบสถ์ กำลังสร้างวิหาร ไปที่ไหนเขาก็ไม่อยากฟังไม่อยากพบอยากเห็น คำว่า ปุญฺญกฺเขตฺตํ โลกสฺส พระสงฆ์เป็นเนื้อนาบุญนั้น กลับกลายเป็นว่า พระสงฆ์คือปอบกินตับของชาวบ้านก็ไม่ผิด
เราอย่าปฏิบัติตัวเป็นปอบกินตับชาวบ้าน อยู่ไปกินไปบิณฑบาตมาเท่าไรมีเท่าไร ฉันไปตามเกิดตามมี แล้วหน้าที่การงานของเราคือเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนาเพื่อมรรคผลนิพพาน สมกับเพศของเราที่ตั้งหน้าตั้งตามาเพื่อความสลัดปัดทุกข์ออกจากใจ ให้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ นี้คืองานของพระโดยแท้ งานเหล่านั้นมันงานกิเลสเสริม งานกิเลสตีตลาดต่างหาก ไปที่ไหนมีแต่กิเลสตีตลาด ในวัดในวาก็คือส้วมคือถานของกิเลสจะเป็นอะไรที่ไหนไป สร้างวัดสร้างวาแทนที่จะเป็นที่สถิตอยู่ของธรรม กลับเป็นที่อยู่ของกิเลส คลังกิเลสเต็มวัดเต็มวา
ไปที่ไหน โอ๋ย หรูหราฟู่ฟ่าสง่างามตา ๆ มันงามตากิเลสนั่นซีไม่ได้งามตาธรรม นั่นละคือส้วมคือถานของกิเลสที่อยู่ในวัดในวาของเรา หรูหราฟู่ฟ่าสง่าผ่าเผย เป็นที่เกรงขาม วัดไหนที่มีกุฏิใหญ่ ๆ มีศาลากว้าง ๆ สูง ๆ แล้วมีโบสถ์หลังใหญ่ ๆ อู๋ย วัดนี้เจริญนะ ๆ เจริญบ้าอะไรมีแต่อิฐแต่ปูนแต่หินแต่ทราย มันเสกมาหาอะไรประสาอิฐ ธรรมเจริญเป็นยังไงดูบ้างซิ หักจิตเจ้าของเข้ามาดูธรรมเจริญอยู่ที่ไหนแน่ พระพุทธเจ้าเจริญที่ไหน พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ท่านเจริญที่ไหน ท่านเจริญด้วยอิฐด้วยปูนด้วยหินด้วยทราย ด้วยกุฏิหรูหราฟู่ฟ่าเหรอ หรือท่านเจริญด้วยศีล สมาธิ ปัญญา วิชชาวิมุตติหลุดพ้น ธรรมอันเลิศเลอท่านเจริญอย่างนั้น
พวกเรามันเอากิเลสเข้าไปเจริญแข่งพระพุทธเจ้าน่ะซิ ไปที่ไหนจึงยุ่งไปหมด พอเจอกันแล้ว เป็นยังไงสร้างโบสถ์ถึงไหนแล้ว สร้างศาลาถึงไหนแล้ว พวกบ้าก่อสร้าง พวกกรรมฐานเรานี่ตัวสำคัญไม่ว่าใครละ ว่ากรรมฐานวงพ่อแม่ครูจารย์มั่นนี่แหละ นี่หลวงตาบัวเป็นพี่เบิ้มต้องว่าลูกว่าหลานเสียบ้างซิ ว่าลูกว่าหลานไม่ได้จะไปสอนใคร สอนคนอื่นเดี๋ยวเขาเอาไม้ไล่ตีโดดลงธรรมาสน์ไม่ทัน นี่สอนพระลูกพระหลานตีได้ทั้งนั้นแหละ มีแต่พระลูกพระหลาน สอนให้รู้เนื้อรู้ตัวปฏิบัติตัวเองให้ได้ทรงมรรคทรงผลสมชื่อสมนามเราว่า บวชมาในศาสนาเพื่อมรรคเพื่อผล ให้เห็นธรรมของพระพุทธเจ้า
มรรคผลนิพพานไม่นอกเหนือไปจากคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า สวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้ว ชอบเพื่อเข้าสู่มรรคสู่ผลเพื่อนิพพานนั่นเองจะชอบที่ไหน ให้ปฏิบัติตามนั้นแล้วเราจะไม่เสียท่าเสียทีในเพศของเรา หน้าที่การงานของเราถูกต้องแล้วมรรคผลนิพพานเราจะเป็นผู้ทรงโดยไม่ต้องสงสัย พระพุทธเจ้าสอนไว้เพื่อให้ผู้ปฏิบัติได้เข้าทรงมรรคผลนิพพานอย่างนี้เอง ไม่ได้สอนแหวกลงนรกที่ไหน
แต่พวกเรามันอยากแหวกเองนี่นะ อยากแหวกตั้งแต่นรกที่พระพุทธเจ้าไม่สอนนั่นละ ตีไว้เท่าไร ขานี้หักขานั้นยังบืนไปอีก ตีไว้ไม่ให้ลงนรกมันยังบืนไปอีก ขาหักแขนหักก็ไม่ถอยบืนลงนรกน่ะ ถ้าลากขึ้นสวรรค์ วันนี้เหนื่อยเดินจงกรมไม่ไหวแล้ว นั่งภาวนาหน่อยวันนี้ก็เหนื่อย พักสักหน่อยนอนสักหน่อย นั่นเห็นไหมกิเลสหลอกมันลากลงเสื่อลงหมอนเร็วที่สุดนะ ลิงร้อยตัวสู้ไม่ได้ สู้พระโดดลงเสื่อลงหมอนไม่ได้เร็วที่สุด ถ้าลากขึ้นภาวนาไม่สนใจ พวกนี้พวกลิงสู้ไม่ได้ พากันเข้าใจนะการปฏิบัติศีลธรรมต้องเป็นอย่างนั้น
วันนี้ขึ้นมาก็พูดเลย ยก มยํ ภนฺเต ขึ้นเป็นต้นเหตุ พวกบ้าทั้งหลายบ้า มยํ ภนฺเต ไปที่ไหนมีแต่บ้า มยํ ภนฺเต ศีลไม่ได้สนใจ รับไปแล้วก็เป็นสูญไปหมด ทั้งบ้านทั้งเมืองมีแต่สูญเต็มบ้านเต็มเมือง ศีลไม่มี แล้วเรียกเรื่อยขอเรื่อย หามาแล้วทิ้งลงเป็นสูญไปหมดเลย วันนี้เทศน์เพียงเท่านี้ละ รู้สึกเหนื่อย วันนี้เสลดติดคอ พูดออกมาเวลาพักนอนอยู่นี่มันสะดุ้ง ๆ เสลดติดคอวันนี้ แปลกอยู่ นึกว่าจะพูดอะไรไม่ได้นะวันนี้ ทำให้วิตกเหมือนกัน โรคเสลดติดคอนี้อาจจะเป็นโรคตัดทอนวัยของเรา วัยนี้ก็เรียกว่าแก่แล้วแต่ยังควรจะเป็นไปได้อีกพอประมาณ ถ้ามีโรคอันนี้เข้ามาแทรกแล้วทำให้วิตก มันอาจจะเป็นโรคตัดทอนวัยนี้ จะไม่ให้ไปตามวัย ให้เป็นไปตามมันก็ได้ ทำให้วิตกเหมือนกัน
วันนี้มาจากกุสุมาลย์ก็เข้าไปนอนภาวนา มันสะดุ้งเรื่อย เสมหะปิดคอ ๆ ทำให้วิตก วันนี้จะพูดอะไรได้เหรอ เลยวิตกเจ้าของถึงการพูดเทศนาว่าการให้พี่น้องทั้งหลายได้ฟังวันนี้ แต่เวลาพูดแล้วก็พอพูดได้พอประมาณ ทั้ง ๆ ที่เสลดก็มีเต็มอยู่ในคอเวลานี้
ขอให้พี่น้องทั้งหลายได้ตั้งอกตั้งใจนะ วันนี้เราทั้งหลายได้ระลึกถึงบุญถึงคุณครูบาอาจารย์ หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ นี้เป็นรากฐานอันสำคัญของพระกรรมฐานเรา ที่ได้เด่นอยู่ในเมืองไทยของเรานี้ออกจากทั้งสองพระองค์นี่นะ สายกรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ เป็นคติตัวอย่างอันดีเยี่ยมคือหลวงปู่มั่นของเรา ไม่มีอะไรคลาดเคลื่อนในปฏิปทาข้อปฏิบัติ เป็นที่ยอดเยี่ยมว่างั้นเลย ลูกศิษย์ลูกหาที่ไปอบรมจากท่าน ทรงมรรคทรงผลมาจำนวนมาก เป็นเพชรน้ำหนึ่ง ๆ มีไม่น้อยนะลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่น เพชรน้ำหนึ่งต้องหมายถึงพระอรหันต์เลยละ สำเร็จถึงขั้นอรหันต์ ๆ จากหลวงปู่มั่น มีจำนวนน้อยเมื่อไรที่ปรากฏชื่อลือนามในที่ต่าง ๆ แต่ท่านไม่ได้ประกาศตนว่าท่านเป็นพระอรหันต์เฉย ๆ แต่เป็นอรหันต์ในหลักธรรมชาติ
กิเลสสิ้นซากไปแล้วคือพระอรหันต์ เป็นเพชรน้ำหนึ่ง ๆ มีมากนะลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่นเรา นั่นละท่านเด่นขนาดไหนพิจารณาซิ เราเป็นลูกศิษย์ของท่านก็แอบเกาะชายจีวรท่านด้วยการปฏิบัติตัวให้ดิบให้ดี ฝ่าฝืนความชั่วช้าลามกความดีดความดิ้นไปตามกิเลส ให้ฝืนมันบ้างจึงเรียกว่ารบกันกับกิเลส อะไรก็จะวิ่งไปตาม ๆ ให้มันร้อยจมูก วิ่งไปจมูกขาด ๆ ยังยื่นหูให้มันอีก มันร้อยหูหูขาดอีก ยังยื่นคอให้มันอีก มันมัดคอลากไปอีก คอขาด ยังยื่นแขนให้มันอีก แขนนี้ยังมี แขนขวาขาดไปแล้ว เอ้าแขนซ้ายยังมี ยื่นให้กิเลสลากไปคอขาด ๆ จากนั้นยังเหลือแต่ขา ขาซ้ายยังมี เอ้าลากขาไปอีก ขาขวายังมีลากขาไปอีก สุดท้ายยังเหลือแต่ตัวเป็นซุงทั้งท่อน หมดหวัง วิ่งตามกิเลสนั่น ให้ปฏิบัติตัวให้ดี
ต่อสู้กันบ้างซิ เราอยากเป็นคนดีต้องได้ต่อสู้กับความชั่วคือกิเลส กิเลสไม่อยากให้ใครทำความดี เราจะทำความดีอะไรก็ตาม ขอให้พี่น้องทั้งหลายดูหัวใจเจ้าของก็แล้วกัน เวลาจะสร้างคุณงามความดีไม่ว่าส่วนหยาบ ส่วนกลาง ส่วนละเอียด กิเลสจะเข้าขวางทันที ๆ ไม่อยากให้สร้าง ไม่พอใจสร้าง ถ้าเป็นเรื่องของกิเลสวันยังค่ำ ตายไปแล้วก็ยังไม่เข็ดหลาบนะ นี่ละกิเลสมันหลอกสัตวโลก เพราะมันมียาเคลือบน้ำตาลไว้หนาแน่นทุกแง่ทุกมุมของกิเลสที่มันหลอกสัตวโลก ไม่งั้นสัตวโลกไม่ติด ต้องเคลือบน้ำตาลเอาไว้สัตวโลกจึงติดกันงอมแงม ๆ ทั่วโลกธาตุติดยาเคลือบน้ำตาลของกิเลสมันครอบเอาไว้ ๆ เราอย่าให้ติดเกินไป ให้เคลือบธรรมบ้างซิ ตั้งใจปฏิบัติตัวให้ดี
แล้วเรื่องตายแล้วเกิดหรือตายแล้วสูญ ท่านทั้งหลายเคยตายเคยเกิดมากี่กัปกี่กัลป์แล้วในซากแต่ละคน ๆ นี้ คนนี้ตายเก็บไว้ ๆ ตายในภพใดชาติใดก็ตาม กำเนิดใดก็ตาม ร่างนั้นอย่าให้สูญหายไปไหน ไม่ให้พังไม่ให้ถูกทำลาย เพียงคนเดียวนี้ประเทศไทยเรานี้ไม่มีที่วางนะ ศพของเราเพียงคนเดียว ๆ มากไหม มันตายมากี่กัปกี่กัลป์แล้วจิตดวงนี้ เรายังว่ามันตายแล้วสูญอยู่เหรอ มันจะพาไปตายอีกนะ ถ้าลงว่าตายแล้วสูญเอาอีก มันจะเพิ่มเข้าไปอีกตายแล้วสูญน่ะ มันจะพาให้เกิดอีกนะ ถ้าว่าตายแล้วเกิดเชื่อ เมื่อเชื่อแล้วก็มีอนาคตมีอดีต อดีตเป็นมาไม่ดียังไง อนาคตจะต้องทำตัวของเราให้เป็นคนดีให้หลุดพ้นจากสิ่งเหล่านี้ นี่มีทางดีอย่างนี้ ให้พากันตั้งอกตั้งใจ
วันนี้แสดงธรรมมากไปก็รู้สึกเหน็ดเหนื่อย เสมหะค่อยตันคอ การแสดงธรรมก็ไม่สมควรแก่เวล่ำเวลา แต่ธาตุขันธ์ไม่อำนวยวันนี้ รู้สึกเหนื่อย ๆ จึงของความสวัสดีจงมีแก่พี่น้องทั้งหลายโดยทั่วกัน แล้วการปฏิบัติตัวของเรานี้อย่าลืมนะ ไปที่ไหนอย่าลืมพุทโธ ๆ เวลาจะหลับจะนอนนั้นละสำคัญมาก บีบกันตรงนั้นนะ กิเลสลากเราไปตั้งแต่ตื่นนอนจนยันค่ำ มันไม่ให้มีเวลาว่างเลย มันไม่ได้บอกว่านี่กิเลสเอาไปทำงานนานแล้ว ควรจะแบ่งให้ธรรมบ้าง กิเลสไม่ยอมนะ เวลาเราจะมาแบ่งให้ธรรมบ้าง เข้าห้องพระหาวหวอด ๆ มันจะตายแล้ว เข้าห้องพระ อิติปิโส ภควา แอ้ แน่ะหลับไปด้วย เป็นอย่างนั้นนะกิเลสกล่อมเข้า ๆ
เวลาเราจะสร้างความดีมันขวางตลอดเวลา จะทำบุญให้ทานเหมือนกัน จะให้ทานมากน้อยนี้กิเลสต้องขวาง ๆ จะไปวัดไปวาเพื่อศีลเพื่อธรรมกิเลสขวางไม่ให้ไปนะ ถ้าเข้าโรงลิเกละครที่รื่นเริงบันเทิงเป็นบ้าไม่มีวันมีคืน เอ้าไปเลย ยกไปหมดครอบครัวเลย หมามีในบ้านจะเอาไปก็เอาไปด้วยกันได้ แต่หมามันจะกัดเอาล่ะซี มันไม่เป็นบ้าเหมือนคนดูลิเกละคร หมามันไม่ดูลิเกละครมันดีกว่าคน ให้ระวังหมาบ้างนะที่เลี้ยงไว้ในบ้าน อย่าว่าเขาเป็นสัตว์ต่ำ ๆ ไม่ได้นะ เขาสูงกว่าเราเขาไม่เป็นบ้าเหมือนเรา นั่นละตรงที่เขาสูงเขาสูงตรงนั้น การแสดงธรรมก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา ขอความสวัสดีจงมีแก่บรรดาพี่น้องทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญ