เด็กสองคนนั่นอยู่บ้านกุมภวาฯ กุมภวาฯมานี้ดูเหมือนไม่เลย ๓๐ นาทีจากตัวอำเภอเลย อยู่ข้างใน เขาเรียกเมืองเก่าเมืองใหม่ เขาย้ายไปตั้งทางโน้นก็เลยเป็นเมืองใหม่ พอว่ากุมภวาฯ ใครก็นึกว่าเมืองเก่าเพราะมันเคยมา เขาย้ายไปอยู่ลึก ๆ เป็นเมืองใหม่ คนก็ไม่ค่อยคุ้นหูกัน มาคุ้นเมืองเก่านี้ ว่าอำเภอกุมภวาฯ ก็ว่าตรงนี้ ความจริงอยู่ลึก จากนี้ไปถึงนู้นไม่เลย ๓๐ นาที
(ที่พ่อแม่ครูจารย์ว่าเดินกว่าครึ่งวันไปฉันบ้านโยมที่กุมภวาฯ) อ๋อ นั่นหมายถึงเป็นฆราวาส เขาอยู่ตะวันตกกุมภวาฯ มานี้ ชื่อคำ พี่ชายเราก็ชื่อคำ เลยฝังจนกระทั่งปัจจุบันนี้นะ อย่างนั้นนะเราถ้าลงได้ฝัง-ฝังจริง ๆ โอ๊ย ดีแสนดี เลยไม่ลืมนะ ๓ หนไปกินข้าวที่บ้านเขา ทีแรกไปจากทางนี้ พอเที่ยงหรือบ่ายกำลังหิวข้าวเต็มที่ เราก็เป็นคนหนุ่มนี่ พอไปถึงนั่งยังไม่ถึง ๑๐ นาที ไปกับเพื่อนก็หลายคนด้วยกัน ราวสามสี่คน ไปไม่ถึง ๑๐ นาทียกสำรับอาหารมาเลย โหย เราอยากกราบคนเสียก่อนถึงจะกินข้าวได้ลงคอ นั่นเริ่มแล้วนะ มาครั้งที่สองมาจากกุมภวาฯ แล้วผู้เฒ่าบ้านนี้แหละเขามีลูกชายคนเดียว ลูกชายผู้เฒ่าชื่อคำ ผู้เฒ่าเองชื่อเพชร นั่นถ้าลงได้จำมันถึงนะ
ผู้เฒ่าไปจังหันกุมภวาฯ เขามีงานที่วัดกุมภวาฯ แกก็ออกแต่เช้า เราก็มาจากโน้นมาสวนทางกันกลางทาง ผู้เฒ่าไปสามสี่คนไปจังหัน ไอ้เราก็มาจากโน้น ๓ คนด้วยกัน แล้วมีคนหนึ่งที่เป็นหลานผู้เฒ่า แม่ของผู้นั้นเป็นพี่สาวของผู้เฒ่านี้ คนนั้นเรียกว่าน้า เพราะเป็นน้องชายของแม่ พอมาเห็นก็ว่า สูจะไปไหนเดี๋ยวนี้ ผู้เฒ่าถาม คงมุ่งหน้าต่อหลานแหละ ไปด้วยกัน ๓ คน สูจะไปไหนเดี๋ยวนี้ ก็จะกลับบ้านแล้ว จะมาบ้านสงเปือย จะกลับมานี้ ตัดทาง ดงทั้งนั้นนะ เป็นดงทั้งหมดเลย เออ สูไป-สูไปแวะบ้านก่อนนะ มีเด็กอยู่ในบ้านว่างั้น เด็กมีอยู่ในบ้าน ไปแวะบ้านเสียก่อน ก็หมายความว่าสูไปกินข้าวเสียก่อน นี่ก็เป็นครั้งที่สอง
พอเห็นพวกเราไป เด็กคนนั้นกำลังทอหูก พอมองเห็นปั๊บโดดลงจากกี่ กำลังทอหูกอยู่ โดดลงปุ๊บปั๊บถามคำเดียวเท่านั้นว่า มาจากไหน ว่ามาจากโน้น ก็เข้าไปในครัว อันนี้ก็ ๑๐ นาทีอย่างมากนะ กำลังหิวด้วย มาจากโน้นเดินทางมา ก็พอดีเลยเหมือนปล่อยหมาเข้าถานว่างั้นเถอะ เด็กคนนั้นก็จัดอาหารมาให้กิน อันนี้ก็อีกแหละ ทีแรกอยากกราบคน ต่อมาอยากกราบสัตว์ในบ้าน เพราะมีคุณมากมาย
ครั้งที่สามอีก มาจากกุมภวาฯ อีก ทีนี้ก็พอดีมาเจอกับลูกชายชื่อคำ ตอนนั้นพ่อไม่อยู่ เขามีลูกชายคนเดียว มันฝังลึกจริง ๆ นะ มาก็มาที่บ้านนั้นแหละ กินข้าวที่บ้าน ก็แสนดีอย่างเดิมร้อยเปอร์เซ็นต์ ๆ ทีนี้มันฝังใจลึกเข้า ๆ ก็เลยถาม พูดกันไปพูดกันมาเงื่อนมันเลยต่อกัน ลูกชายแกชื่อคำนี้เป็นเสี่ยวกับผู้ใหญ่นายผาย บ้านคำกลิ้งนี้ ไอ้คนนี้ก็เป็นเสี่ยวกับนายผายบ้านคำกลิ้ง ทีนี้เลยเสี่ยวติดเสี่ยวต่อกันซี ตกลงเลยเป็นสามกษัตริย์ เสี่ยวสงเปือย เสี่ยวคำกลิ้ง เสี่ยวบ้านตาด พอถามนั้นแล้วก็เลยพันกันตั้งแต่นั้นมาเลย เป็นอย่างนั้นนะ เพราะคุณมันฝังลึกพอแล้ว พอเงื่อนมันรวมลงไปนี้ปั๊บเข้าผึงเลย ตั้งแต่นั้นเหมือนอวัยวะเดียวกัน เราฝังลึกมากนะ
เวลาแกตายเราก็จัดเครื่องไทยทานอะไร ๆ ทำบุญเขามาบอกเหมือนกันนะ เพราะเห็นว่าเรากับนี้คุ้นกันมานานแล้ว ทางบ้านเขาก็รู้หมดแล้ว เขาตั้งหน้ามาบอกเลย เราก็จัดอะไร ๆ พร้อมกับปัจจัยให้เลยด้วยความพอใจ แกเสียแล้ว โห คุณนี้ฝังลึกจริง ๆ ทีเดียว ทีแรกอยากกราบคน ต่อมาอยากกราบสัตว์ ครั้งที่สามอยากกราบกระทั่งหมาในบ้านนู่นน่ะ คือจิตมันลงขนาดนั้นนะ มันเห็นความดีของเขา ลงถึงอยากกราบหมาเขาเสียก่อนถึงจะมากินข้าวเขา เห็นไหมล่ะ โห ดีแสนดี พ่อของคนนี้เป็นคนบ้านโนนทัน แกไปมีครอบครัวอยู่บ้านสงเปือย เหตุที่มีครอบครัวอยู่บ้านสงเปือย ก็เพราะลุงของเฒ่านี้ไปมีครอบครัวอยู่นั้น ผู้เฒ่าก็ติดตามลุงไป เป็นหลานกับลุง เลยติดพันกันไป ไปมีเมียอยู่สงเปือยเรื่องมัน
เดิมทีแกอยู่บ้านโนนทัน ย้ายมาจากมหาสารคามด้วยกัน ครอบครัวใหญ่ เพราะย้ายมาหลายบ้าน รวมครอบครัวใหญ่มาก็มาตั้งบ้านคำกลิ้งนี้เป็นอันดับแรก แยกไปเป็นบ้านโนนทัน แยกมาเป็นบ้านตาด สามหมู่บ้านนี้มาจากพวกเดียวกัน แล้วคนนี้ไปมีเมียอยู่โน้น ผู้เฒ่านี้ก็อยู่บ้านโนนทัน โอ๊ย ดีแสนดีเลยไม่ลืม ตั้งแต่นั้นมาแล้วเป็นอันเดียวกันเลยนะ เราไปบวช เพราะเราคุ้นกันมาแต่ก่อนบวชแล้ว จากนั้นมาเหมือนเป็นอวัยวะเดียวกันเรื่อยมา
นี่เราพูดถึงเรื่องกุมภวาฯ แล้วต่อไปถึงเรื่องคนดี คนดีมันฝังลึก ฝังลึกตลอดเลยไม่มีถอนนะ ๓ หนบ้านหลังนี้นะเราจึงไม่ลืมเลย พอสืบเรื่องราวไปมาไปติดพันกันเข้ากับพี่ชาย ทางนั้นก็เสี่ยวทางนี้ก็เสี่ยว ต่อกันสามกษัตริย์สามก้อนเส้า เลยพันเป็นอันเดียวกันเลย ดีจริง ๆ ไม่ใช่ธรรมดา เหมือนเป็นกันเอง เหมือนในบ้านในเรือนคุ้นกันมาตั้งแต่เมื่อไร ทำไมถึงดีแสนดีนัก
นี่ละความดี ไปอยู่ที่ไหนคนใดก็ตาม มันมีรสมีชาติซึมซาบภายในใจทันที สนิทสนมประหนึ่งว่าเป็นอวัยวะเดียวกันเลย นี่ละความดีซึมซาบได้อย่างซึ้งทีเดียว ไม่ว่าพระว่าอะไร เพราะพระก็เป็นคนมีกิเลส ต้องมีพระดีพระชั่ว ชั่วในเพศของพระไม่ได้ชั่วแบบฆราวาสเขา ก็ชั่วอยู่ในเพศของพระนั้นแหละ ในวงพระ ถ้าว่ากิเลสหนาก็หนาอยู่ในวงของพระ มันจึงมีทั้งพระดีพระชั่ว อยู่ในวัดก็มีพระดีพระชั่ว แต่ไม่ชั่วแบบโลก ชั่วอยู่ในวงของพระที่พอให้จับกันได้นั้นแหละ จับกันได้ หรือรังเกียจกันลึกลับ ๆ แต่มากกว่านั้นก็ไม่ใช่ หากพอให้ระแคะระคายเข้ากันไม่สนิทนั่นแหละ
พระก็มีเพื่อนมีฝูงสนิทเป็นบางองค์ ไม่สนิทเป็นบางองค์เหมือนกันนะพระก็ดี ก็เหมือนฆราวาสนั่นแหละ ในวงของพระจะสนิทกันหรือไม่สนิทกันในวงของพระ แต่ไม่ใช่เป็นแบบโลกนะ หากละเอียดกว่ากันพูดง่าย ๆ ว่างั้น อยู่ด้วยกันสนิทกับองค์ใดมากน้อยเพียงไร ๆ มันจะบอกอยู่ในหัวใจหรือกิริยาของผู้นั้นอย่างลึกลับ เป็นลึกลับ ๆ อย่างนั้น แต่หลักใหญ่ที่รวมกันลงในจุดความดีนี้คือว่า ผู้มีจิตใจอันกว้างขวาง ไปอยู่ไหนเพื่อนฝูงเต็มไปหมดเลย สำคัญความดีนี้นะ พระก็มีพระดีพระเด่นภายในวงปริยัติด้วยกันเรียนหนังสือด้วยกัน มีผู้คับแคบ มีผู้กว้างขวาง แบบฆราวาสนั่นละเพราะเป็นคลังกิเลสเหมือนกัน เป็นแต่เพียงมาเปลี่ยนรูปโฉมใหม่ให้เป็นผ้าเหลือง ให้เป็นหัวโล้น เข้าใจไหม พวกนี้ผมยาว ๆ ก็มี สั้น ๆ ก็มี พวกนั้นมีแต่ผมสั้น เป็นคนละแบบ
แต่เวลาสรุปความลงแล้ว องค์ไหนที่มีอัธยาศัยกว้างขวางเพื่อนฝูงมาก ในพระก็เหมือนกันนะ เพื่อนฝูงมีมาก ไปที่ไหนเพื่อนฝูงติดพันไปเลย แปลกอยู่นะ มันหากเป็นในนั้นละ ถ้าองค์ไหนคับแคบเพื่อนฝูงไม่ค่อยมี มันหากบอกอยู่ในตัวของมันเอง เหมือนกับว่ามันจืดชืดไม่มีเครื่องดูดดื่มกันประสานกัน ไม่ค่อยสนิท แต่เรื่องจิตใจอันกว้างขวาง มีเมตตาอารี ไม่ค่อยถือใครง่าย ๆ โดยปราศจากเหตุผล องค์อย่างนั้นไปไหนชุ่มเย็น ๆ เฉพาะอย่างยิ่งความกว้างขวางสำคัญมาก ไปไหนชุ่มเย็นไปหมด พระเหมือนกันกับโยมนะ
เฉพาะเราก็คิดดูซิบวชมาได้ ๖๗ ปี ดูว่า ๘ เดือนแล้วนะที่บวชมานี้ นี่ละผ่านชีวิตของพระมาตั้งแต่วันบวชได้ ๖๗ ปีกับ ๘ เดือน ถ้าพูดถึงด้านปริยัติเราเข้านอกออกใน เพราะเรียนไม่ใช่สำนักเดียว ไปหลายสำนักนะ เพราะฉะนั้นจึงเห็นสำนักต่าง ๆ ทั่ว ๆ ไป ไม่ว่าวัดราษฎร์วัดหลวง วัดใหญ่วัดเล็ก ไปหมดเลย เรานี่เป็นนักล่าจริง ๆ แต่ไม่ใช่ล่าด้วยเจตนานะ มันหากไปด้วยความจำเป็นของมันนั่นละ สุดท้ายก็กว้างขวาง ไปหมดเลย ทีนี้อัธยาศัยของพระมันก็ทราบ ทราบ ๆ ไปเรื่อย ๆ อย่างนั้น มาแล้วก็ไม่พ้นสมเด็จมหาวีรวงศ์ที่เป็นอาจารย์ของเรา ฝ่ายปริยัติสมเด็จมหาวีรวงศ์นั่งอยู่บนหัวใจเรา ฝ่ายปฏิบัติก็พ่อแม่ครูจารย์มั่น สององค์กับอุปัชฌาย์เรา ๓ องค์นั่งอยู่ในหัวใจเรา นี่เรียกว่าฝังลึกทีเดียว
สมเด็จมหาวีรวงศ์นี้เรียกว่ายอดเลยนะนักเสียสละ เรียกว่ายอดก็ได้ไม่ผิด เพราะท่านไม่มีอะไรติดตัวเลย อติเรกลาภก็เป็นเจ้าฟ้าเจ้าคุณ ใครมาถวายเท่าไร ๆ หมดเรียบ ๆ ไม่มีเหลือ เราเป็นผู้อุปถัมภ์อุปัฏฐากดูแลท่าน เป็นลูกศิษย์ก้นกุฏิก็ถูก ก็อยู่กุฏิเดียวกัน เราเป็นผู้รองรับท่านตลอด ทีนี้พวกพระที่อยู่ในคณะของท่านก็เราดูแลหมด อย่างนั้นนะ เพราะฉะนั้นได้อะไร ๆ มาเราถึงรู้หมด เราเป็นผู้เก็บผู้รักษา อะไรของท่านเราไม่เคยแตะนะ ไอ้เรื่องที่ตะกละตะกลามเราไม่มีเราแน่ใจ ทะลึ่งอย่างนี้เราก็ไม่มี เคารพมาก ทุกสิ่งทุกอย่างเก็บสงวนไว้หมดให้ท่านเป็นผู้สั่งเอง เราถึงจัดการตามนั้นทันที ๆ ถ้าท่านไม่สั่งเราไม่รุ่มร่ามนะ
นี่เรียกว่ามีเท่าไรหมด เจ้าคุณสมเด็จมหาวีรวงศ์ ที่วัดพระศรีมหาธาตุ ไม่มีอะไรติดเนื้อติดตัวละ หมด พระเณรเจ็บไข้ได้ป่วยไม่ว่าแต่คณะของท่าน ที่ทั่ว ๆ ไปในวัด ท่านก็ทำแบบเดียวกัน ใช้จ่ายเงินของเล่นเมื่อไร มีเท่าไรหมด ค่าหยูกค่ายาฉีดหยูกฉีดยา เราเป็นคนถือบัญชีนี่ จ่ายเท่าไรเราเป็นคนสั่งจ่าย ๆ เพราะบัญชีอยู่กับเรา ท่านไม่สนใจละ กับเงินกับทองไม่สนใจนะ ได้มาเท่าไรเขาเอามาท่านก็สั่งให้ไวยาวัจกรเก็บ เราเป็นคนถือบัญชีคอยรับสั่งท่านจ่ายเรื่องอะไร ๆ เรียบ สั่งจ่ายเราก็ไม่ให้คลาดเคลื่อนเหมือนกันนะ
พอสิ้นเดือนปั๊บเราก็เอาบัญชีรายจ่ายไปวางไว้ข้างหมอนท่าน ทำเลที่ท่านนอน ท่านนอนพักกลางวันหรือเวลาไหนพิเศษ พอสิ้นเดือนแล้วก็เอาบัญชีไปวางไว้ ท่านไม่เคยสนใจอ่านนะ เราคอยสังเกตตลอด บัญชีที่เราลงไว้เรียบร้อย ๆ จ่ายอะไรค่าอะไรเท่าไร ๆ วันที่เดือนปี เราเขียนไว้อย่างละเอียดลออทุกอย่าง ท่านไม่เคยสนใจ ไปวางไว้ก็ทิ้งไว้นั่นแหละ บางทีท่านก็จับโยนออกไปข้างนอก ท่านคงรำคาญ ส่วนมากก็ทิ้งไว้ข้าง ๆ หมอน ไปวางไว้ข้าง ๆ ท่านไม่สนใจอะไรสังเกต พอผ่านวันเวลาไปแล้วเราก็มาเก็บไว้เสีย ท่านไม่เคยถามนะ
นี่ก็สมกับว่าท่านเป็นนักเสียสละ ท่านจะถามทำไม อันนั้นเท่าไร อันนี้เท่าไร ถามหาอะไร มันก็เข้ากันได้กับหัวใจเรา เราไม่เคยถามนะ จะหมดไปเท่าไรไม่เคยถาม มีเท่าไรเอามาว่างั้นเลย อันนี้ท่านก็แบบเดียวกัน บัญชีรายจ่ายเท่าไร ๆ ท่านไม่เคยสนใจ หมด ค่าหยูกค่ายา ฉีดหยูกฉีดยาพระเณร เราเป็นคนสั่งจ่าย จนเขาเรียกเราว่าแพทย์ คือเป็นผู้ดูแลจับจ่ายการเงินการทองเกี่ยวกับหยูกกับยา แล้วพาไปหาหมอด้วย ก็เราพาไป ครั้นต่อไปนานเข้า ๆ คนนั้นเรียกแพทย์คนนี้เรียกแพทย์ สุดท้ายเรียกแพทย์ทั้งวัด เรียกเองนะ เรียกเองด้วยงานของเราที่ทำ เรียก แพทย์ไปไหน เมื่อติดปากแล้ว ต่างคนต่างเฉย เพราะเข้าใจกันแล้ว ทีแรกก็รู้สึกแปลก ๆ ว่าแพทย์ว่าอะไร ครั้นต่อมาเลยเรียกแพทย์กันทั้งวัด ใครก็ว่าแพทย์ ๆ เราก็เลยเป็นแพทย์
องค์นี้ละทางปริยัติยกนิ้วให้เลย เรียกว่าไม่มีเหลือเลย หมด ๆ ตลอดเลย ไม่เคยถามอะไร ๆ ไม่ว่าจะได้อะไร ๆ มาท่านไม่เคยสนใจเลย อันนี้ที่เราเทิดทูนสุดยอดทางปริยัติ แล้วก็เป็นผู้สอนบาลีเราด้วย ขั้นเปรียญท่านสอนเรา เป็นอาจารย์ทางฝ่ายบาลีด้วย ส่วนหลวงปู่มั่นเราทราบแล้วไม่ต้องสังเกตว่างั้นเถอะ หลวงปู่มั่นไม่สังเกต คือฝ่ายปริยัติไม่สังเกตก็เหมือนสังเกตอยู่นั่นแหละ สมเด็จนี้เป็นที่หนึ่งฝ่ายปริยัติเท่าที่ผ่านมานี้นะ สมเด็จนี้เป็นที่หนึ่ง ส่วนกรรมฐานหลวงปู่มั่นยกให้เป็นยอดเลยละ ไม่สังเกตคือมองเห็นธรรมชาติอยู่แล้วก็พอใจแล้วว่างั้นเถอะ ท่านไม่มีอะไรเลย
ท่านเจ้าคุณ(พระธรรมเจดีย์) นี้ท่านมีอันหนึ่งกับเราคือเป็นอุปัชฌาย์ อันนี้เราบูชาคุณท่านเหมือนกัน อะไร ๆ ที่เราเทศนาว่าการ ถ้าอยู่กับท่านไปกับท่านแล้วเราไม่เคยแตะนะ จตุปัจจัยไทยทานทุกประเภทได้เท่าไรนี่ทุ่มหมดเลย ถวายท่านหมดเราไม่เคยแตะ ไม่เคยเลย นี่เราก็บูชาคุณท่าน ท่านเป็นอุปัชฌาย์เรา ตลอดมานะ จนกระทั่งสร้างเมรุหลังนี้ก็คำพูดของท่านนั่นเองพูดออกมา บอกว่า นี่เวลาผมตายแล้วให้พากันสร้างเมรุนะ ผมตายแล้วให้เผาศพผมเป็นองค์ที่หนึ่งกับเมรุนี้ เพราะต่อไปเมรุนี้จะเป็นประโยชน์มากมาย เวลาเผาศพผมไปแล้วต่อไปนี้ก็เผาคนทั่วไปหมดนั่นแหละท่านว่า เป็นประโยชน์มากมาย ถ้าไม่มีตัวหลักตัวเกณฑ์สร้างยากนะสร้างเมรุ
เพราะแต่ก่อนเมรุหลังหนึ่งก็สามแสนสี่แสน เงินแพง ท่านพูดคำนั้นเท่านั้นฝังใจเราแล้วนะ พอท่านล่วงไปแล้วก็ประชุมกัน เรายกคำนี้ขึ้นเลย ท่านก็สั่งทางเจ้าอาวาสไว้ด้วย เราก็ทราบจากนั้นด้วย เพราะฉะนั้นเมรุหลังนี้จึงขึ้น วัดโพธิฯ เราเป็นคนหาเงินพูดตรง ๆ เลย หาเงินมาทำเมรุนี้ รวมทั้งหมด ๕ แสน เมรุใหญ่นะ เงิน ๕ แสนแต่ก่อนแพง นี่ละเราเทิดทูนท่าน การเทศนาว่าการอะไรเขาถวายมากน้อยเราไม่เคยแตะเลย ถวายท่านทั้งหมด ๆ เลยไม่แตะ
นี่พูดถึงเรื่องคนดีพระดีเป็นอย่างนั้น ถ้าพูดตามนิสัยของเราก็ไม่ได้ยกยอตัวเอง เป็นนิสัยที่กตัญญู อะไรก็ตามถ้าได้ฝังในจิตแล้ว ความดีนี้ฝังตลอดไปเลยไม่มีถอน อย่างที่ว่าบ้านสงเปือยนี่ก็เหมือนกัน ฆราวาสก็คนนี้ ทางฝ่ายพระก็ครูบาอาจารย์ดังที่ว่านี่ ฝังลึกด้วยนะ บุญคุณนี้ฝังลึกมากทีเดียว อย่างหลวงปู่มั่นมันยิ่งไล่ให้ละเอียดไปนะ การสงเคราะห์ของท่านด้วยความเมตตาต่อเรา เรื่องอรรถเรื่องธรรมท่านสอนตรงไหน ๆ จับๆ ได้จากท่านทั้งนั้นเลย ท่านสอนตรงไหนไม่มีเคลื่อนคลาด ๆ ถ้าฝืนก็ฝืนเพราะความเข้าใจของเรา เราเข้าใจว่าเราถูกดังที่เคยพูดนั่นแหละ ที่ทะเลาะหรือว่าถกเถียงกันกับท่าน กลางคืนเสียงลั่นไปหมดก็คือฟัดกัน เราก็รู้ของเรา ไอ้เราก็รู้แบบกบ ความรู้ท่านรู้แบบงู จะกลืนเมื่อไรก็ได้กลืนกบ แต่กบก็พองตัวมัน
นี่คือเข้าใจว่าเจ้าของถูก ไม่ใช่ว่าตั้งใจต่อสู้แบบโลก ๆ อย่างนั้นไม่มี เมื่อไม่มั่นใจมันก็ลงใจไม่ได้ พอทางนั้นใส่ปั๊วะมาทางนี้ยอมรับ หมอบปุ๊บเลย อย่างนั้นนะ ผ่านได้แล้ว ตรงไหนเหมือนกันหมดพ่อแม่ครูจารย์สอนเรา สอนตั้งแต่ที่เด็ด ๆ เคลื่อนไม่ได้เลยสอนตรงไหนนะ เคลื่อนเป็นพังเลยถ้าเคลื่อน ท่านสอนแบบนั้นสอนแบบตรงแน่วเลยเทียว คุณของท่านอันนี้ลึกซึ้งมากทีเดียวสอนจิตตภาวนา อย่างอื่นไม่ค่อยได้สอนแหละ เรื่องพระวินัยก็รู้ด้วยกันแล้วไม่จำเป็นต้องสอนกัน เพราะรู้ด้วยกัน เรียนมาด้วยกัน ส่วนจิตตภาวนานี้สำคัญมาก ต้องเป็นครูบาอาจารย์ที่ผ่านไปแล้วอย่างช่ำชอง สอนนี้แม่นยำไม่ผิด อย่างหลวงปู่มั่นไม่มีอะไรผิด
นี่เราพูดถึงเรื่องคนดี คนดีไปที่ไหนสมานได้ ๆ ทั้งนั้น คนชั่วไปที่ไหนทำลาย ๆ แตก ๆ ไปเรื่อย คนชั่วเหมือนไฟ ไปไหนเผาเรื่อย ไม่ว่าลำสดลำแห้งเผาไปเรื่อย ๆ คนชั่ว เผาไม่เลือกหน้า ไม่รู้บุญรู้คุณไม่รู้จักผิดจักถูก จะเอาตั้งแต่มานะทิฐิเจ้าของ ความเข้าใจของเจ้าของเป็นใหญ่ครอบไปหมด แล้วก็เป็นไฟเผาไปได้หมดเลย นี่ละคนชั่วไปที่ไหนจึงเป็นที่รังเกียจแก่ชุมนุมชน แต่คนดีไปที่ไหนสมาน ๆ เรื่อย คนดีจึงเป็นสิ่งที่ควรเสาะแสวงหา อันดับแรกแสวงตัวของเราก่อนให้เป็นคนดี ดูอากัปกิริยาความเคลื่อนไหวของตัวเองตลอดเวลา นี่ชื่อว่าผู้รักษาตัว
ยิ่งเราเป็นนักปฏิบัติธรรมด้วยแล้วควรจะ อย่างน้อยว่าควรจะสอดส่องดูแลความเคลื่อนไหวของจิตใจกายวาจาของเรา ที่เกี่ยวข้องภายนอกก็ดี ภายในที่เกิดขึ้นโดยลำพังก็ดี เพราะมีทั้งผิดทั้งถูกทั้งภายนอกภายใน สังเกตได้ทุกเวลาถ้ามีสติ ทีนี้เราก็พยายามแก้ไขดัดแปลงไปเรื่อย ๆ ตามที่เราสังเกตรู้เห็นว่าผิดถูกดีชั่วประการใด แล้วแก้ไขดัดแปลงไปเท่านั้นก็ค่อยดีวันดีคืน ๆ ต่อไปการอบรมสั่งสอนตัวเองด้วยความมีสติสตังนี้ ก็จะค่อยเจริญงอกงามขึ้นในทางที่ดี สติสตังก็ค่อยดีขึ้นชินต่อนิสัยการระมัดระวังด้วย ความชั่วก็ไม่กำเริบเสิบสาน ความดีค่อยเจริญ ต่อไปเป็นนิสัยเลย
นั่นละการฝึกตัวเอง ต้องใช้ความพินิจพิจารณา อย่าแบบสุกเอาเผากิน อันนั้นแบบกิเลสใช้ไม่ได้นะ แบบธรรมต้องสุขุม มีเหตุมีผล ฝึกตนได้แล้วเลิศนะ ไม่มีอะไรเลิศยิ่งกว่าการฝึกตนด้วยธรรม ฝึกอันนี้ดีเป็นลำดับลำดา อบอุ่นไปเรื่อย ๆ อบอุ่นไปเรื่อย ๆ เลย ต่อไปอยู่ที่ไหนก็อยู่ได้สบาย พอจิตมีหลักมีเกณฑ์เพียงขั้นสงบของใจ จิตเป็นสมาธิมีความเยือกเย็นเป็นสุข มีฐานของตนเป็นความสงบแน่นหนามั่นคงภายในจิตใจเท่านั้นก็พอ อยู่ที่ไหนสบายไปเลย อยู่ในป่าในเขาอย่างนี้ ธรรมนี้เป็นเครื่องอบอุ่นนะ ความกลัว-กลัว แต่ธรรมเป็นเหมือนกับกำแพงกั้นเอาไว้ ความดีของตัวเองทำให้กล้าหาญ ไปอยู่ในป่าในเขาที่น่ากลัวขนาดไหน ตัวของเราเป็นคนดีอยู่แล้วมันเหมือนมีกำแพงกั้นอยู่ตลอดเวลา ไปอยู่ที่ไหน ๆ ก็เหมือนกำแพง
คือกำแพงความดีของเรานั่นแหละ เป็นเครื่องกั้นเราอยู่ตลอดเวลา มันอยู่ได้นะ ดังที่เคยพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง นิสัยเรามันหยาบ ไปอยู่ที่ไหนถ้าสะดวกสบายไม่ได้นะ กิเลสมันกำเริบ ขี้เกียจก็เพิ่ม สติสตังก็ไม่ดี ความเพียรอ่อนทุกด้านเลย เมื่อเป็นอย่างนั้นก็เรามาหาความดี อย่างนี้ไม่ใช่ความดี มีแต่ความอ่อนลง ๆ จะล่มจมได้เสียหายได้ พลิกปั๊บ ขยับเข้าไปหาที่กลัว พอสถานที่ไหนที่กลัวสติจะติดแนบกับตัวเอง ไปที่ไหนกลัวสติมี นั่นละเรียกว่าสติธรรมรักษาใจ ใจไม่ยุ่งใจสงบ เปลี่ยนเรื่อย ทำความเพียรสติกับจิตอยู่ด้วยกันในสถานที่กลัว ๆ ต้องเอาเสือเป็นครูซิ มันไม่กลัวพระพุทธเจ้า มันกลัวเสือก็เอาเสือเป็นครู พุทโธ ๆ มันไม่กลัว ว่าเสือมันกลัวก็เอาเสือเป็นครู เอาอย่างนั้นซิ บังคับๆ อยู่ตลอดเวลา นี่คือบังคับตัว
ตามธรรมดาใครอยากไปอยู่ในสถานที่ลำบากลำบนอย่างนั้น แต่ลำบากอย่างหนึ่งความดีมีอยู่กับความลำบากมันก็ต้องทนเอาซิ กลัวเท่าไรก็ยิ่งไป พลิกเรื่อยไม่พลิกไม่ได้นะการประกอบความเพียร แต่ก่อนไปที่ไหนมันสัตว์มันเสือมันเนื้อเต็มดงเต็มป่านะไม่ได้เหมือนทุกวันนี้ แผ่นดินไทยทั้งแผ่นนี้มันเป็นของไทย ไม่ได้เป็นของคนใดคนหนึ่ง ไม่มีใครสงวนว่าเป็นของตัวๆ ป่าดงนี้มีแต่เป็นสาธารณะประโยชน์เป็นสมบัติของแผ่นดิน ใครอยู่ที่ไหนอยู่ได้เลย สัตว์ก็เต็มไม่มีใครไปทำลายเพราะการซื้อการขายไม่มี การซื้อการขายนี่มันทำให้กว้างมากนะความเสียหายต่อสัตว์ทั้งหลาย ทรัพยากรต่างๆ ฉิบหายได้เพราะการค้าขาย ถนนหนทางไปที่ไหนๆ การค้าขายสืบต่อกันไปเรื่อยๆ ทีนี้มีอะไรกว้านเอามาขายๆ กินน้อยขายมากนั่น นี่ละมันเสีย ก็เลยสัตว์เหล่านี้หมดไปเพราะอันนี้ หามาขายกันแหลก ต้นไม้ก็ปราบเอาเป็นไร่เป็นสวนไปหมด ปลูกนั้นปลูกนี้ ต้นไม้ฉิบหาย
แต่ก่อนไม่มี ไปอยู่ที่ไหนอยู่ทั้งนั้นๆ ภาวนาสบาย พออยู่นานไปมันชินนะ นิสัยกิเลสเป็นอย่างนั้น ถ้าอยู่นานไปมันรู้สึก ทั้งๆ ทีแรกไปมันกลัว ครั้นอยู่ไปนานๆ มันอาจจะเทียบลึกๆ กันนะว่า อยู่ที่น่ากลัวก็ไม่เห็นอะไรมาทำอะไร มันก็คงว่างั้นแหละนะ อยู่นี้นานๆ ก็ไม่เห็นมีอะไรมาทำอะไร ทีนี้มันก็ไม่กลัวละซี ไม่กลัวมันก็ขี้เกียจ ความขี้เกียจขึ้นแล้ว พลิกใหม่เอาใหม่ เปลี่ยนเรื่อยอยู่นั้น เปลี่ยนเรื่อยเพื่อปลุกใจเจ้าของตลอดๆ อันนี้มันคงเป็นตามนิสัย สำหรับนิสัยเราเป็นอย่างนั้น ไม่มีใครบอกมันหากเป็นของมันเอง พอรู้สึกว่ามันผิดแปลกประหลาดเพื่อจะเป็นไปในทางลบแก้ใหม่ๆ ทันทีเรื่อย แต่งานทางจิตมันเข้าขั้นเข้าภูมิที่มุ่งหน้าต่อธรรมไปโดยลำดับและต่อธรรมล้วนๆ แล้ว อยู่ที่ไหนมันอยู่ได้หมดนั่นแหละ
เบื้องต้นที่เราฝึกหัดต้องหาอุบายสถานที่สำคัญเป็นสิ่งแวดล้อม เป็นสิ่งหนุนความเพียรของเราให้ดีโดยลำดับลำดา พอตั้งรากตั้งฐานแล้วมันอยู่ไหนอยู่ได้นั่นแหละ การพิจารณามันก็เปลี่ยนอารมณ์ของมัน เช่น เวลาเราฝึกหัดเบื้องต้นนี้จิตของเราวอกแวกคลอนแคลนขี้ขลาดน่ากลัวเป็นประจำนิสัย เราก็บริกรรมพุทโธ ขั้นแรกให้อยู่กับพุทโธ ไม่ให้ไปอยู่กับความว่ากล้าว่ากลัวว่าเสือว่าสัตว์ว่าเนื้อ ไม่ให้ไปอยู่ ถ้าคิดอย่างนั้นปั๊บมันเพิ่มความกลัวทันทีนะ ให้คิดอยู่กับพุทโธไม่กลัว คิดกับพุทโธติดแนบไป สุดท้ายพุทโธกับใจสั่งสมธรรมเข้าเรื่อยๆ ใจก็สง่าขึ้นมา แน่นหนามั่นคงขึ้นมา คิดออกไปข้างนอกก็ไม่กลัว แต่ก่อนคิดไม่ได้นะ คิดเรื่องนอกกลัวทันที ทีนี้พอมันมีฐานอันดีแล้วคิดออกไปข้างนอกมันก็ไม่กลัว นั่นมันก็รู้ นี่ขั้นเบื้องต้นเราฝึกเราอย่างนี้ก่อน
พอจิตเป็นสมาธิ ทีนี้จิตมีความแน่นหนามั่นคง กำหนดดูนี้ความรู้นี้เด่นๆ อยู่กับความรู้นั้นด้วยสติ ขั้นนี้อยู่นี้ ขั้นแรกอยู่กับคำบริกรรม ขั้นที่สองมาอยู่กับความรู้ที่เด่นเป็นสมาธินี้ อยู่กับนี้ สติจ่ออยู่นี้ พอขั้นต่อไปพิจารณาทางด้านปัญญา ออกทางด้านปัญญาพิจารณาแยกธาตุแยกขันธ์นี้ ไม่แยกแต่ธาตุขันธ์ของเราละซิ เสือกลัวมันตรงไหน แน่ะไล่หาเสือละที่นี่ แยกธาตุแยกขันธ์เสือ เป็นอย่างนั้นนะ อย่างที่เคยเขียนไว้ในปฏิปทาฯ หรือไง นี่ก็คืออุบายที่เคยพิจารณามาแล้วทั้งนั้น แต่เอามาเพียงเอกเทศ ที่มาเขียนไว้พอประมาณ พอมันออกทางด้านปัญญามันแยกธาตุแยกขันธ์แยกไป มันไปกลัวเสือ เสือมีอะไรถึงกลัวมัน มันมีกี่ธาตุ แน่ะ มันแยก เสือมีกี่ธาตุมีกี่ขันธ์ไล่เข้าไป เรามีกี่ธาตุกี่ขันธ์ไล่เข้าไป
เริ่มตั้งแต่กลัวตามันหรือ ตาเราก็มีไม่เห็นกลัวตาเราไปกลัวตาเสือทำไม นั่นมันแก้กันนะ กลัวอะไรมัน ถ้าว่ากลัวเล็บ เล็บเราก็มีไม่เห็นกลัวไปกลัวเล็บเสือทำไม กลัวฟันมัน ฟันเราก็มีไม่เห็นกลัวไปกลัวฟันเสือทำไม ลวดลายอะไรเราก็มีลายเต็มตัว นั่นละเรียกว่าธรรมแก้กันเข้าใจไหม คือกิเลสมันจะหาเรื่องผูกมัดเราให้กลัวนั้นกลัวนี้ให้อ่อนลงไปนั่นซิ เราก็แก้ซิแก้ปุ๊บ ๆ ว่ากลัวเล็บ เล็บเราก็มีไม่เห็นกลัว เสือมีอะไรเราก็มีเท่ากันเราไม่เห็นกลัว แล้วไปกลัวมันทำไม สุดท้ายมาจนตรอก มาจนตรอกที่ว่ากลัวหางมันหรือ ทีนี้เราไม่มีหางว่าไง มันออกช่องหนึ่งจนได้นะ กลัวหางมันเหรอ จะว่าหางเราก็มีไม่เห็นกลัวเหมือนกับข้อเปรียบเทียบอย่างอื่น ทีนี้เราไม่มีหางว่าไง
พอไปถึงหางจนตรอก กลัวหางมันเหรอ ทีนี้เราไม่มีหาง ถ้าว่าจะยกหางเรา หางเราก็มีไม่เห็นกลัว มันไม่มีหางละซิ กลัวหางมันเหรอ ตั้งแต่ตัวมันเองไม่เห็นกลัวแล้วไปกลัวมันทำไม แน่ะไปอย่างนั้นนะมันแก้ เห็นไหมล่ะ ตั้งแต่ตัวมันเองมันยังไม่เห็นกลัวหางกับก้นมันติดกันอยู่มันไม่เห็นกลัว เราไปกลัวอะไรเราอยู่ห่างๆ แน่ะมันแก้ไปอย่างนั้นนะ นี่อันหนึ่ง จากนั้นก็แยกออกเป็นขนเป็นเล็บเป็นหนังเป็นเนื้อ ไล่หาตัวเสือมันไม่มี นี่ถึงขั้นปัญญามันจะเทียบกันอย่างนี้ ดูแล้วอะไรมันก็เป็นธาตุเป็นขันธ์เหมือนกันไม่ทราบว่ากลัวหาอะไร มันก็ผ่านไปๆ
ทีนี้พอพิจารณาปัญญาชำนิชำนาญเข้า มองดูข้างนอกมันจะชำนาญเหมือนกันนะ ว่าสัตว์ว่าเสือว่าธาตุนี้มันแตกกระจัดกระจาย ๆ ไปทันที ๆ เพราะความชำนิชำนาญทางสติทางปัญญามันแก้กันทันท่วงที ๆ ไปเรื่อย ๆ ปัญญาละเอียดเท่าไรพิจารณาข้างนอกก็ละเอียดพอๆ กันไม่ผิดกัน จนกระทั่งที่ว่ามันถึงขั้นที่มันว่างมันเปล่าของมัน ยกอะไรเทียบขึ้นมานี้ไม่ได้นะ พอปรุงพับดับพึบๆ ถึงขั้นที่มันจิตว่างนะ มันจะเป็นขั้นเสือขั้นเปรตขั้นผีอะไรก็แล้วแต่ ปั๊บเข้ามานี้มันก็รู้เสียว่าสังขารไปปรุง ปรุงพับเป็นภาพขึ้นมาดับปุ๊บรู้ทั้งข้างนั้นข้างนี้ มันประสานกันรู้ทันทีๆ แล้วก็ไม่ทราบไปกลัวอะไร เราเป็นบ้าต่างหาก แน่ะ เราว่าอันนั้นเป็นนั้นอันนี้เป็นนี้ ตัวไปวาดภาพตัวนี้ต่างหาก มันก็มารู้ตัวนี้เสียมันก็ไม่ตื่นเงา ตัวมันอยู่นี้ ไม่ตื่นตัวแล้วตื่นเงาหาอะไร มันก็เรื่อยไปอย่างนั้น
ทีนี้ไปอยู่ไหนไปได้นะ ตั้งแต่เริ่มแยกธาตุแยกขันธ์ไปถึงขั้นว่างแล้วความกล้าความกลัวไม่เห็นสนใจนะ มีแต่เอาสิ่งเหล่านี้มาฝึกซ้อมใจของเราให้มันละเอียดลออไปเรื่อยๆ ไปอย่างนั้น นี่วิธีภาวนามันเป็นขั้นเป็นตอนนะ นี่หมายถึงว่าพวกเนยยะ พวกพอฉุดพอลากกันไปได้เป็นอย่างนี้ แต่พวกขิปปาภิญญาที่ท่านรู้เร็วนั้นท่านพึบเดียวไปเลยนะ ต่างกัน เหมือนกับเราเขียนหนังสือนี่ ฝึกหัดเขียนทีแรกเช่น
เราฝึกหัดเรียนเป็นอย่างนั้น แต่ผู้ชำนิชำนาญมาแล้ว พอว่าท่านนี้มันมาพร้อมกันหมดเลย อันนี้ผู้ที่รู้อรรถรู้ธรรมรวดเร็วก็ไปพร้อมๆ กันอย่างรวดเร็ว เราอยู่ในขั้น ก.ไก่ ก.กา ก็ต้อง ก.ไก่ ก.กา สระอา ไม้เอกไม้โทเสียก่อนแหละ ต่อไปมันก็ท่านได้เหมือนกัน พอถึงขั้นชำนาญแล้วมันพึบๆ ของมัน เป็นเองนะ
ถึงขั้นเป็นเอง มันเหมือนกับว่าเรานี้เป็นคนหนึ่ง ระหว่างคู่ต่อสู้ธรรมะกับกิเลสฟัดกันเหมือนกับว่าเป็นอันหนึ่ง เหมือนเราอยู่นอกเวทีดูระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกันบนเวที ประหนึ่งว่าเราอยู่นอกนะ มันสนุกดูลวดลายของกิเลสกับธรรมฟัดกันๆ นั่นเป็นอย่างนั้นนะ แล้วมันจะไปสนใจกับวันกับคืนปีเดือนอะไร ก็เหตุการณ์มันเกิดอยู่กับตัวเอง เหล่านั้นไม่ได้เกิดอยู่กับเรา มืดแจ้งไปว่าเขาเฉยๆ ตัวนี้ว่าไม่ว่ามันก็เกิดของมัน เมื่อมันยังมีอยู่มันก็ต้องได้พิจารณากันตรงนี้ แก้กันตรงนี้อยู่ตลอดเวลา มันจึงลืมวันลืมคืนไปคนเรา เมื่อมันฟัดกันอยู่ตลอด เหมือนนักมวยต่อยกันเขาจะไปดูเวล่ำเวลาอะไร ดูไม่ได้นะตาย นักมวยคนไหนไปดูเวลา มีแต่ฟัดกันตลอด ระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกันดูเวลาไม่ได้นะ เข้าวงในเป็นอย่างนั้นแหละ
เรื่องของใจนี่ อะไรจะไปรู้กว้างขวางยิ่งกว่าใจไม่มี ในสามแดนโลกธาตุนี้ไม่มีอะไรเกินใจไปได้เลย เวลาหมอบก็หมอบสุดขีด มืดสุดขีด โง่สุดขีด คือใจถูกกิเลสครอบไว้หมดเลย อะไรๆ กิเลสต้องเป็นผู้บงการเป็นผู้นำหน้าๆ ธรรมะเรานี้ด้อมๆ ตามกิเลส นี่เวลากำลังธรรมไม่มีเป็นอย่างนั้น ต้องด้อมตามกิเลส กิเลสฉุดลากถลอกปลอกเปิกไปไม่เสียดาย เนื้อหนังมังสังอะไรขาด-ขาดไป อะไรยังอยู่ก็วิ่งตามกิเลสไป ไม่เห็นโทษนะ เพราะฉะนั้นจึงว่ากิเลสมันแหลมคมมากนะ เหนือแล้วมันถึงรู้นี่ ทีนี้พอมันเหนือกันเข้า ๆ มันก็เห็นโทษของกันและกันเข้าไปเรื่อยๆ จิตมันสว่างออกไปแล้วนี่
ความสว่างของจิตไม่มีประมาณอะไร อะไร ๆ มีขอบเขต ความสว่างของจิตไม่มี ครอบได้ทั่วโลกธาตุ ถ้าไม่มีโลกธาตุก็เรียกว่ามันก็ไม่มีที่วัดที่ตวง ว่าโล่งไปหมดเท่านั้นเองพอ ว่างไปหมดเลย นั่น ถ้ามันมีเครื่องวัด เช่นว่าครอบโลกธาตุ คือความสว่างมันเหนือโลกธาตุเสีย ครอบ นี่ละจิตออกเต็มฤทธิ์เต็มเดชตามนิสัยวาสนาของแต่ละราย อันนี้ก็ไม่ได้เหมือนกันหมดนะ คำว่าสว่างก็สว่าง ออกจากจิตที่บริสุทธิ์ด้วยกัน ความสว่างกระจ่างแจ้ง กว้างแคบลึกตื้นหยาบละเอียดไปตามวาสนาอีกนะ ส่วนความบริสุทธิ์นี้เหมือนกัน ไม่มียิ่งหย่อนกว่ากัน
แผ่กระจายเหมือนต้นไม้ต้นนี้นะ เอาๆ ต้นตะเคียน ชื่อเดียวกันต้นไม้ประเภทเดียวกันเอามาปลูกด้วยกัน ต้นไม้ตะเคียนจริงแต่กิ่งก้านสาขาของไม้ตะเคียนแต่ละต้นๆ ไม่เหมือนกันนะ นี่ก็เหมือนกันคำว่าต้นตะเคียนก็เหมือนจิตที่บริสุทธิ์ กิ่งก้านสาขาของต้นตะเคียนก็คือนิสัยวาสนา เป็นเครื่องประกอบของแต่ละองค์ๆ ที่สำเร็จลงไปแล้ว กว้างแคบลึกตื้นหยาบละเอียดต่างกัน พากันเข้าใจหรือเปล่าล่ะ เพราะฉะนั้นจึงต่างกันที่ท่านยกไว้เป็นเอตทัคคะคือเลิศคนละทางๆ ก็ไม่เหมือนกันเองจึงยกแยกให้คนละทาง เช่นยกตัวอย่าง พระสารีบุตรยกให้เลิศทางปัญญา พระโมคคัลลาน์เลิศทางฤทธาศักดานุภาพ
แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายถึงว่าพระสาวกทั้งหลายเหล่านั้นไม่มีปัญญานะ มีแต่คนนี้แหลมกว่าเพื่อน ยกอันนี้ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งเสีย ทางฤทธาศักดานุภาพนี้ก็เหมือนกัน ไม่ใช่เก่งแต่พระโมคคัลลาน์ องค์อื่นก็เก่งแต่องค์นี้เด่นกว่าเพื่อน ยกให้เป็นเสีย ไม่ได้หมายถึงว่าท่านเหล่านั้นไม่เป็นๆ นะ เป็น หากมีสูงมีต่ำต่างกันอย่างนั้นเอง ท่านจึงยกให้คนละทิศละทาง สาวก ๘๐ องค์ได้รับเอตทัคคะคือความเลิศต่างๆ กันเป็นลำดับลำดา อันนี้เกี่ยวกับเรื่องนิสัยวาสนา ส่วนความบริสุทธิ์นั้นเหมือนกันนั่นแหละ ไม่ได้ผิดกัน
เวลามันเป็นในใจนี้พูดให้ใครฟังไม่ได้นะ เจ้าของเป็นขึ้นมาเท่าไรมันค่อยจับเงื่อนได้ เงื่อนที่จะเชื่อความจริงจากพระพุทธเจ้าทั้งหลายนี้ มันจับเอาจากตัวเองนั่นแหละมา สิ่งที่เราไม่รู้ก็ตามความเชื่อมันฝังแล้ว ยอมรับเลย เพราะสิ่งที่รู้ๆๆ นี้กับที่พระพุทธเจ้าสอนไว้แล้วไม่ได้ผิดกันแม้กระเบียดเดียวๆ เรารู้ตามที่ท่านสอนจริงๆ อันไหนที่เราไม่รู้กว่านี้มันก็ซึ้งถึงกันหมดเลยนะ อันไหนที่เราไม่เห็นเราไม่เชื่อไม่ได้นะ เพราะสิ่งที่ยืนยันให้เป็นพยานแห่งความเชื่อนี้มันฝังอยู่ในหัวใจแล้ว ยกความบริสุทธิ์เสีย ความบริสุทธิ์นั้นซึ้งด้วยกันทันทีแหละ พอตรัสรู้ปึ๋งขึ้นมานี้หมดปัญหาเลยในบรรดาพระพุทธเจ้าทั้งหลายกี่พระองค์
ถ้าเทียบแล้วก็เหมือนน้ำในมหาสมุทรทะเลหลวงนั่นแหละ พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วจิตท่านรวมตัวเป็นธรรมธาตุ เหมือนน้ำมหาสมุทรทะเลหลวงนั่นแหละ พอจิตของเราปั๊บเข้าสู่น้ำมหาสมุทรทะเลหลวงแล้ว จิตดวงเดียวนี้ปั๊บนี้เป็นมหาสมุทรเหมือนกันหมดเลยเข้าใจไหมล่ะ อันนี้จิตที่บริสุทธิ์มันก็แบบเดียวกันหมดเลย แล้วไปทูลถามพระพุทธเจ้าหาอะไร ข้อเปรียบเทียบเข้ามาก็อย่างนี้ละ แล้วสิ่งที่รู้อันนั้นก็เหมือนกัน เราจะไม่รู้ทุกแง่ทุกมุมก็ตาม เชื้อแห่งความรู้ความฝังลึกต่อพระพุทธเจ้ามันบอกอยู่ในตัวของมันแล้ว จากที่เรารู้เราเห็นมานี้น่ะ พระพุทธเจ้าว่าอย่างนั้น แต่เรายังไม่รู้เราไม่เชื่อเป็นไปไม่ได้นะ มันซึ้งเพราะเชื้อใหญ่อยู่กับใจของเราที่เป็นสักขีพยานต่อกันแล้วนี้ มันวิ่งถึงกันหมดนะ วันนี้พูดเรื่องจิตตภาวนาบ้าง ให้พากันเข้าอกเข้าใจนะ
ธรรมะพระพุทธเจ้านี้เลิศเลอสุดยอดแล้ว เราเกิดมาไม่มีวาสนาตายทิ้งเปล่าๆ อย่าว่านะ ใครจะอวดใหญ่โตขนาดไหนก็อวดแบบอึ่งอ่างกับวัวนั่นแหละ เป็นยังไงอึ่งอ่างกับวัว นิทานอีสป ก็มีในธรรมนะนี่ ดูเหมือนในมงคลทีปนี เวลาเราอ่านไปพบ เขาเอามาเขียนไว้ในนิทานอีสป ตั้งแต่สมัยเราเรียนหนังสืออยู่เป็นนักเรียนเรายังจำได้ ที่ว่าไก่แจ้ตัวหนึ่งคุ้ยเขี่ยหาอาหาร คืออยู่ในนิทานอีสปนะ ตั้งแต่เราเรียนหนังสือเราอ่าน ครูให้ท่องเราก็อ่านก็ท่องตามประสาเด็กนั่นแหละ
ไก่แจ้ตัวหนึ่งคุ้ยเขี่ยหาอาหาร ไปพบพลอยเม็ดหนึ่งงามดีมีค่ามาก จึงร้องเปรยๆ ขึ้นว่า นี่ถ้าเจ้าของของเจ้ามา เขาคงเก็บเจ้าไปฝังไว้ในหัวแหวนตามเดิม เพราะพลอยต้องไปฝังไว้ในหัวแหวนตามเดิม แต่นี้เจ้าไม่มีประโยชน์อะไรแก่เรา สู้ข้าวสุกข้าวสารเมล็ดเดียวก็ไม่ได้ ว่าแล้วก็คุ้ยเขี่ยเลยไปในแปลงอื่นๆ นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ของที่ดีย่อมเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่รู้จักใช้เท่านั้น ไก่แจ้ไม่ได้เรื่องเข้าใจไหม มันก็เป็นอย่างนั้น นี่ท่านเอาออกมาจากนิทานอีสป นิทานอีสปออกมาจากหนังสือมงคลทีปนีไปเห็นนู้น อ๋อ ออกไปจากนี้เอง นี่ที่ท่านพูดไว้อย่างนั้น
แล้วพูดเรื่องอะไรมานี่ลืมแล้วนะ มานิทานอีสป ยังงั้นแหละทุกวันนี้พูดไปลืมไปแล้วนะ เลยไม่ต่อกัน ไอ้ที่ว่ามันเป็นประโยชน์น่ะ ผู้ไม่เป็นประโยชน์ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไร คนโมฆะอย่างพวกเรานี้เห็นอรรถเห็นธรรมนี้มันสู้ข้าวสุกข้าวสารไม่ได้ พลอยเม็ดนั้นคืออรรถคือธรรมมันสู้ข้าวสุกข้าวสารไม่ได้ สู้พวกกินพวกนอนไม่ได้เข้าใจไหม นี้เป็นข้าวสุกข้าวสารอันนี้ กินแล้วนอนได้สบาย พลอยนี้กินแล้วไม่ได้นอน ยังหิวข้าวอยู่แหละ เพราะฉะนั้นจึงสู้ข้าวสุกข้าวสารไม่ได้ พวกนี้กินอิ่มท้องแล้วนอนสบายเลย นี่ละจิตของเรา
เออ เราพูดเรื่องธรรมะเลิศเลอ พวกเราที่ยังไม่ได้เห็นก็เหมือนไก่แจ้ไปพบพลอยนั่นแหละ พอไปเจอจริง ๆ พวกที่มีสติปัญญาเจอเข้าไป พลอยเท่านั้นคว้าเม็ดเดียวเท่านั้นพอ ธรรมะปึ๋งเข้าหัวใจอันเดียวเท่านี้พอหมดโลกนี้ ไม่มีจะหิวโหยกับอะไรอีกแล้ว พอเต็มเหนี่ยว ไม่มีอะไรที่จะบกพร่องในหัวใจที่เต็มไปด้วยอรรถด้วยธรรมแล้วนี้ ถ้าไม่มีวาสนาตายแล้วตายเล่าอยู่นั้นนะ เห็นชั่วว่าดีเห็นดีเป็นชั่วไปถกเถียงกันขัดแย้งวันยังค่ำ สุดท้ายก็เราเป็นผู้รับเคราะห์ ความขัดแย้งนั้นคือผลแห่งความชั่วช้าลามกและกองทุกข์ จะรวมอยู่กับผู้ขัดแย้งจากหลักความจริง พากันจำเอา วันนี้พูดเท่านั้นละเหนื่อย พูดไปพูดมาไม่ทราบว่าพูดอะไรๆ ได้ศัพท์ได้แสงได้เนื้อได้อะไรหรือเปล่าก็ไม่รู้วันนี้
เมื่อวานนี้ไปเทศน์ที่สีชมพู ทองคำได้ ๔๓ บาท ๙๑ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๖๒๔ ดอลล์ เงินสดได้ ๖๗๐,๘๖๖ บาท นี่เขาขอครึ่งหนึ่งที่โรงพยาบาลสีชมพู เราก็ให้แล้ว ให้อุลตราซาวด์เครื่องหนึ่งดูเหมือน ๗ แสน ก็สั่งมาเรื่อยๆ ให้ไปเรื่อยเราจำไม่ค่อยได้นะราค่ำราคา เมื่อวานนี้ก็ให้ไปแล้วค่าอุลตราซาวด์ ๗ แสน อันนี้ ๖ แสนก็เรียกว่าขาดทุน แล้วต้องควักกระเป๋าเราอีก แต่ยังดีกว่าเรายกให้หมดเลย เป็นของเขาบ้างของเราบ้างบวกกัน
ทองคำทั้งหมดเวลานี้เราได้ ๒,๖๔๑ กิโล ทองคำทั้งหมดทั้งที่หลอมแล้วและยังไม่หลอมนะ เอาละเลิกกัน
เปิดดูข้อมูล วันต่อวัน ทันต่อเหตุการณ์ หลวงตาเทศน์ถึงเรื่องอะไร
www.luangta.com