สรุปทองคำและดอลลาร์เมื่อวันที่ ๙ วานนี้ทองคำได้ ๕ บาท ๙๙ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๒๖๐ ดอลล์ เวลานี้ทองคำได้ทั้งหมด ๒,๔๘๒ กิโลแล้ว
(วิทยาลัยอาชีวศึกษา จ.นครสวรรค์ จะมาทอดผ้าป่า วันที่ ๑๓ มิถุนา ๔๔ เวลา๙ โมงเช้า) ที่เขาบอกมาเขาก็เตรียมจะมาอยู่แล้วเราก็เพียงรับทราบ หากว่าไม่มีธุระอะไรจำเป็นในระยะนั้นก็ควรรอ ความหมายว่างั้น หรือขัดข้องด้วยเหตุผลกลไกอะไรก็บอกไป เราเทศน์ทั่วประเทศไทยนะ เรียกว่าเทศน์หมดทุกจังหวัดเลย จังหวัดไหนที่ยังไม่เทศน์ดูไม่มีนะ นอกจากซ้ำ ๆ ที่เรายังไม่เทศน์ไม่มี เทศน์ทุกจังหวัดเลย บางจังหวัดก็ซ้ำ ที่ซ้ำมากกว่าเพื่อนก็ยกกรุงเทพไว้เสีย นอกนั้นก็พวกสุรินทร์ ๓ หน ศรีสะเกษ ๓ หน อุบล ๒ หน เชียงใหม่ ๒ หน เชียงราย ๒ หน เรียกว่าเทศน์ทุกจังหวัด ในประเทศไทยเรานี้มีกี่จังหวัดเทศน์ทุกจังหวัดฟังซิ อย่างน้อยจังหวัดละหน ๆ นอกจากนั้นที่ยังไม่ได้ขึ้นเวทีมากนะ เทศน์บนเวทีนี้มีน้อยกว่าที่ใต้เวที อันนี้มากทีเดียว
ประเทศไทยเวลานี้มี ๗๖ จังหวัด เทศน์นับเอาจังหวัดละครั้ง ๗๖ ครั้งเทศน์ฟังซิ ทางภาคใต้เราก็พูดแล้ว คือภาคใต้เป็นภาคที่รวมยอด เพราะภาคใต้เป็นภาคใหญ่ เราจึงรวมเอาครั้งสุดท้ายภาคใต้ทั้งหมดว่างั้นนะ การเทศนาว่าการ เพราะฉะนั้นเราจึงเสียใจที่ไม่ได้ไปเทศนาว่าการให้พี่น้องทางภาคใต้เราฟัง เราเสียใจจริง ๆ นะคือมันขาดความเจตนาของเราอย่างยิ่ง ขาดสะบั้นไปเลย เวลาเทศน์ไป ๆ เราพูดเราไม่ได้พูดถึงกำลังวังชาของเรา เราพูดถึงการเทศน์ธรรมดา ๆ ไม่ได้คิดถึงธาตุถึงขันธ์นั่นซิ เวลาเทศน์ไป ๆ ธาตุขันธ์มันอ่อนลง ๆ จนวาระสุดท้ายก็ต้องออกอุทาน เสียใจไม่ได้ไปเทศน์โปรดพี่น้องทางภาคใต้เรา
ซึ่งตามธรรมดาเราก็ไปหมดทุกภาคอยู่แล้ว เทศน์ทั่วประเทศไทยว่างั้นเถอะ หมายถึงทั่ว ๆ ไปเราเทศน์ทั่วประเทศไทยทุกภาคมาแต่ก่อน แต่เวลาที่จะนำชาติบ้านเมืองของเรานี้ เรามุ่งหมายเอาว่า ทางภาคใต้นี้เป็นภาคใหญ่เราจะรวมเป็นครั้งสุดท้าย แล้วก็จะเทศน์หมดทั้งภาคเลย ครั้นเทศน์ไป ๆ อ่อนลง ๆ จนกระทั่ง อ้าว เห็นท่าไม่ได้การ ๆ เข้าไปเรื่อยเลยหมดหวัง จึงออกอุทานด้วยความเสียใจ นอกนั้นก็ไปเทศน์หมดแล้ว โห ธาตุขันธ์มันไม่ได้ฟังใครนี่วะ
คิดดูตั้งแต่ไปเทศน์ในสถานที่ที่ว่าพอเทศน์ได้อยู่บ้าง ก็ต้องได้ประคองธาตุขันธ์ตลอดเวลานะ เราจะเทศน์ไปตามอรรถตามธรรมตามความมุ่งหมายจริง ๆ ไม่ได้ทุกวันนี้ ธาตุขันธ์ต้องระวังอยู่อย่างนี้ ๆ การเทศน์ไปความระวังในธาตุขันธ์นี้เป็นไปพร้อม ๆ กัน เหมือนน้ำไหลบ่า ๆ จุดศูนย์กลางคือการเทศน์ ที่เป็นน้ำไหลบ่าคือได้ระวังการเทศน์ธาตุขันธ์ของเรา ถ้าธรรมออกหนักไปกระเทือนธาตุขันธ์ มันต้องผ่อนหนักผ่อนเบาอยู่นั้น เทศน์จึงไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย เราบอกตรง ๆ เราเทศน์ไม่ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ธาตุขันธ์อ่อนลงมากแล้วเดี๋ยวนี้ เทศน์ต้องระวังธาตุขันธ์มากกว่าเรื่องธรรม
ธรรมเราไม่ได้มีอะไรนี่ เรื่องธาตุขันธ์มีเต็มตัว เรื่องอรรถเรื่องธรรมสมควรจะเทศน์หนักเบามากน้อยเพียงไรนี้ มองดูไม่ใช่คุยนะ มองดูปั๊บนี้มันจ้าไปหมดเรียบร้อยแล้ว มันรู้ตั้งแต่ยังไม่เทศน์ว่างั้นเถอะน่ะ ธรรมเป็นอย่างนั้นนะ แต่ธาตุขันธ์มันถูไถไปมา ทั้งจะไปทั้งจะถอยทั้งจะล่มจะจม มันก็ต้องประคองกันทั้งธาตุทั้งขันธ์ เพราะฉะนั้นจึงไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยการแสดงธรรมแต่ละครั้ง ๆ ในสถานที่ต่าง ๆ เป็นอย่างนั้นนะพูดตรง ๆ เลย
ธรรมพระพุทธเจ้าไม่งั้นจะว่าเลิศเลอเหนือโลกได้ยังไง โลกุตรธรรมคือเหนือสมมุติโดยประการทั้งปวง เรียกว่าโลกุตรธรรม แปลว่าธรรมเหนือโลก โลกนี่หมายถึงโลกสมมุติทั้งหมด ธรรมนี่แดนเหนือสมมุติ ท่านถึงเรียกว่าโลกุตรธรรม มันจ้าเข้าในหัวใจซีหัวใจดวงใดก็ตาม ไม่ต้องไปหาพระพุทธเจ้าว่าอยู่ที่ไหน จ้าอยู่นี้เป็นอันเดียวกันเหมือนน้ำในมหาสมุทรที่เคยพูดแล้วนั้น เราจะไปหาดูมหาสมุทรที่ไหน มองดูนี้ก็เป็นมหาสมุทร จ้าถึงกันหมด จ่อลงปั๊บนี่ถึงกันหมดแล้ว นี่ละพุทธะแท้ ธรรมะแท้ ที่ว่าองค์ศาสดาแต่ละองค์ ๆ แท้เป็นอย่างนี้
พระสรีระของท่านเป็นเรือนร่างของธรรมชาตินี้ มีเกิดมีตายมีเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดาอย่างที่เราเห็น แต่สำหรับโลกสมมุตินิยมก็ต้องเรียนถึงพระสรีระคือรูปร่างของพระพุทธเจ้า เรือนร่างนั่นเอง เรือนร่างของธรรมอันเลิศอยู่ข้างในนั่น อันนั้นจะไปขัดข้องอะไรกับสิ่งใดว่างั้นเลย ไม่มีอะไรขัดข้อง โล่งไปหมดทั่วแดนโลกธาตุอะไรจะมาผ่าน แดนสมมุติอยู่ใต้แล้ว อันนี้เหนือสมมุติทั้งหมดแล้วอะไรจะขึ้นไปแทรกไปแซงไปลบได้ล่ะ ไม่งั้นจะเรียกว่าโลกุตรธรรม ว่าธรรมเหนือโลกได้หรือ เหนือตลอดเวลา ไม่ว่าธรรมะขั้นใด ๆ เหนือตลอดเวลา นี่เรียกว่าโลกุตรธรรม
ให้มันเห็นในหัวใจนั่นซี ไม่เห็นในหัวใจก็อย่างว่าแหละ ทำอะไรก็เหยาะ ๆ แหยะ ๆ ถ้าเป็นเรื่องของกิเลสแล้วอะไรขาดช่างหัวมัน แม้ที่สุดเสื้อกางเกงหลุดลง ซิ่นผ้าหลุดลงเหลือแต่หำแต่ควยแต่หีมันก็วิ่งตาม ถ้าเป็นกิเลสนะ ถ้าเป็นธรรมนี่ โอ๊ย ไม่อยากสนใจ พูดอย่างชัด ๆ อย่างนี้ละ นี่ละเหนือโลกขนาดไหน ธรรมดูโลกก็ดูอย่างนั้น ถ้าจะดูแบบโลกแล้วธรรมดูไม่ได้ว่างั้นเลย ต้องดูด้วยความสงสารประสานกันเข้า ถึงเหม็นก็ดมขมก็กลืน คืบคลานไปอย่างนั้น ขยี้ขยำไปอย่างนั้น ก็รู้ว่ามันเหม็น ส่วนสาระที่จะพอเป็นประโยชน์บ้างมันอยู่ในนั้น ก็ต้องหยิบต้องค้นหาเอาอยู่อย่างนั้น เป็นยังไงก็ทนเอา ๆ นี่พระพุทธเจ้าสอนโลกสอนด้วยความเมตตานะ ไม่มีเมตตาสอนไม่ได้เลย ดูไม่ได้ว่างั้นนะ
ผู้ที่อยู่ในวงนั้นมันมี ที่จะไปลากไปเข็นขึ้นมามี จึงต้องไปขยี้ขยำกับกองมูตรกองคูถถังขยะคือโลกสมมุติอันนี้ ให้พากันเข้าใจไว้นะ เราพูดเราเปิดหัวใจเราพูดเลยเราไม่ได้วัดรอยศาสดา ธรรมชาตินั้น มหาสมุทรทะเลหลวงธรรมธาตุอันเดียวกันแล้ว ใครจะว่าประมาทใคร เหยียบย่ำทำลายใครมีไหม น้ำมหาสมุทรเป็นอันเดียวกันหมดแล้ว อะไรจะเหยียบย่ำทำลายดูถูกเหยียดหยามกันได้ไหม น้ำมหาสมุทรทั้งหมดหยดไหนจะดูถูกกันได้มีเหรอ นี้ธรรมธาตุทั้งหมดก็เป็นอย่างนั้น ปั๊บลงไปก็กระเทือนหมดมหาสมุทร ปั๊บลงไปกระเทือนหมดถึงธรรมธาตุที่ครอบโลกธาตุอยู่เวลานี้ นี่ละองค์ศาสดาเป็นธรรมธาตุนี้ ปั๊บเข้าไปนี้ถึงหมด
นั่นซีจึงว่าใครว่าพระพุทธเจ้า อย่างที่เขาพูดใน สมฺพุทฺเธ เราอ่านไป ๆ ถึงบทสุดท้ายว่าขอกราบนมัสการพระพุทธเจ้าถึงสองล้านหรือว่าไง แล้วก็เขียนฟุตโน๊ตไว้ข้างล่างว่าเหลือเชื่อ เขาก็พูดเป็นภาษาของโลกนั่นแหละไม่ได้บอกว่าเหลือเชื่อ เหมือนหนึ่งว่ากลืนไม่ลง คือไม่เชื่อว่าพระพุทธเจ้าจะมีถึงสองล้านองค์ พอเราอ่านไปเห็นจุดนี้สลดสังเวชทันที โถ มนุษย์นี้เป็นอย่างนี้นะ เอาตาบอดไปลบของจริง อะไรก็ลบหมดไม่มี ๆ ของจริงมียังไง ๆ เห็นหมด นั่น แล้วมันเข้ากันได้เหรอ พระพุทธเจ้ามีเท่าไร ๆ ก็ลงในมหาสมุทรทะเลหลวงหมด มากหรือน้อยฟังซิน่ะ แล้วเราจะไปลบล้างว่ามหาสมุทรไม่มีหรือมหาสมุทรนี้เหลือเชื่อได้เหรอ
เราจะเอาแม่น้ำลำคลองไปแข่งกับมหาสมุทรได้เหรอพิจารณาซิ แม่น้ำลำคลองมันใหญ่ไหม นี้ก็ไหลลงมหาสมุทร มหาสมุทรเป็นที่รับน้ำทั้งหลายทั่วแดนโลกเรานี่ ลงในมหาสมุทรหมด อันนี้ธรรมธาตุก็เหมือนกัน ครอบโลกธาตุ เหนือนี้อีกเป็นไหน ๆ แต่ไม่มีอะไรจะมาเทียบ ก็เอามหาสมุทรทะเลหลวงเทียบ นี้เพียงเล็กน้อยนะ ธรรมธาตุนั้นเลยทุกอย่าง จึงเรียกว่าเหนือสมมุติไปหมดไม่มีอะไรจะคำนึงคำนวณ มากไหม พระพุทธเจ้าอุบัติแต่ละพระองค์ ๆ มากี่กัปกี่กัลป์ ๆ มาจนกระทั่งป่านนี้ แล้วยังจะตรัสรู้ต่อไปอีก ๆ พอตรัสรู้ปึ๋งก็เป็นธรรมธาตุ ๆ ไปด้วยกัน เป็นอย่างนั้นนะ เราอ่านในนั้นเราสลดสังเวช โฮ้ เป็นอย่างนี้มนุษย์เรา
สมฺพุทฺเธ นวุตฺตรสเต อฏฺฐจตฺตาฬีสสหสฺสเก วีสติสตสหสฺสานิ นมามิ สิรสา อหํ ดูเป็นบทสุดท้ายที่เขาเขียนฟุตโน๊ตลงไว้ข้างล่าง เราอ่านแล้วเราสลดสังเวชนะ คือในนั้นแปลออกว่าขอกราบพระพุทธเจ้าดูว่าสองล้านองค์หรืออะไร เขาว่ามันเหลือเชื่อ เหลือกลืน สองล้านองค์กับความจริงมันเข้ากันไม่ได้เลย จะมาว่าอะไรสองล้านองค์ นับตั้งแต่วันเกิดจนกระทั่งถึงวันตาย ผู้ที่ว่าไม่เชื่อพระพุทธเจ้ามันก็ยังนับไม่ครบมันตายก่อน มากไหมพระพุทธเจ้า เราคำนวณได้ไหมพระพุทธเจ้ากี่กัป เลยกี่กัปกี่กัลป์ ไม่ทราบว่ากี่กัปกี่กัลป์นับไม่ได้เลย กัปหนึ่งนานเท่าไรท่านก็บอกไว้แล้ว อายุของชั่วระยะกัปหนึ่งนานเท่านั้น ๆ แล้วกี่กัปกี่กัลป์มาตรัสรู้มาเรื่อย แล้วยังจะเป็นไปเรื่อยอย่างนี้
เหมือนกับกิเลส สายทางของกิเลสไม่มีฝั่งมีฝา คือไม่มีเงื่อนต้นเงื่อนปลาย ยาวขนาดไหน ธรรมก็เป็นอย่างเดียวกัน เหนือไปตลอด ๆ ให้หดย่นกว่ากิเลสไม่มี เป็นแต่เพียงว่าคนไม่สามารถจะรื้อฟื้นขึ้นมาทำประโยชน์แก่โลกได้เท่าที่ควรและได้มากเท่านั้นเอง ธรรมจึงเป็นประหนึ่งว่าไม่มี
หัวใจมันจะเหมือนอะไร ใจดวงนี้ถึงเรียกว่านักรู้ล่ะซี ไม่มีอะไรที่จะรู้ยิ่งกว่าใจ ทุกสิ่งในสามแดนโลกธาตุหยุดอยู่อันเดียวคือผู้รู้ รู้ไปหมดเลย สิ่งเหล่านั้นมีหรือไม่มีก็รู้ผ่านไปเลย เวลาท่านแยกออกไปสู่สมมุติ อะไรจะมีมากมีน้อยขนาดไหนความรู้นี้ผ่านหมดเลย ถ้าจากนั้นไม่ยุ่งกับสิ่งเหล่านี้ ก็ว่างหมดเลย นั่นเห็นไหม ความรู้นี้ไม่มีสิ่งใดสมมุติที่จะเข้าไปเจือปนความรู้ในหลักธรรมชาตินั้นเลย ว่างไปหมด ท่านจึงว่า
สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ โมฆราช สทา สโต
อตฺตานุทิฏฺฐึ อูหจฺจ เอวํ มจฺจุตฺตโร สิยา
เอวํ โลกํ อเวกฺขนฺตํ มจฺจุราชา น ปสฺสติ
พระพุทธเจ้าเองเป็นผู้สอนพระโมฆราช ดูก่อน โมฆราช เธอจงเป็นผู้มีสติทุกเมื่อ ฟังซิสติทุกเมื่อ ให้เผลอทุกเวลานะพวกเรา มันขัดกันนะ พระพุทธเจ้าสอนพระโมฆราชว่า เธอจงเป็นผู้มีสติทุกเมื่อ พวกเราให้โง่ตลอดเวลาเลย อย่ามีสติ แล้วพระพุทธเจ้าว่า ดูก่อน โมฆราช เธอจงเป็นผู้มีสติทุกเมื่อ พิจารณาโลกให้เห็นเป็นของสูญเปล่า ฟังซิโลกขนาดไหน สูญเปล่าในหัวใจ ไม่เข้ามาผ่านในหัวใจได้เลย โลกเขาเป็นโลกอยู่งั้นแหละ แต่ไม่มีอันใดที่จะเข้ามาผ่านในหัวใจได้เลย แล้วถอนอัตตานุทิฏฐิความเห็นว่าตนว่าตัวเป็นต้นนั้นเสีย แล้วจะข้ามพ้นพญามัจจุราชเสียได้ แล้วพญามัจจุราชจะมองไม่เห็นผู้พิจารณาโลกเป็นของสูญเปล่าอยู่อย่างนี้ แปลให้เต็มศัพท์ว่างั้น
เวลาดูโลกนี้มันครอบไปหมด ถ้าจิตไม่ออกไปสู่สมมุติ เหลือแต่ธรรมชาติของธรรมธาตุล้วน ๆ แล้วว่างหมดเลย ไม่มีอะไรผ่าน จึงว่าโลกเป็นของสูญเปล่า มันสูญในหัวใจ ไม่มีอะไรเข้ามาผ่านหัวใจเลย เรียกว่าสูญ โลกอันนั้นเขามีอย่างนั้นแหละ เอ้า ถ้าไม่เชื่อไปเปิดดูไอ้หยองไอ้ปุ๊กกี้ในกรงมีไหม มันก็มีของมัน แต่มันไม่มาเกี่ยวกับความรู้ก็เหมือนไอ้ปุ๊กกี้มันไม่มี ความรู้เวลาให้เป็นความรู้ล้วน ๆ แล้วไม่เกี่ยวกับสมมุติใด ๆ เลยนี้ว่างไปหมดเลย สุญฺญโต โลกํ ไปหมด เวลาแยกออกก็มีตามธรรมชาติ เป็นขั้นเป็นตอน นี่ละจิตดวงนี้ใครเป็น ไม่ใช่พระพุทธเจ้าพระอรหันต์เป็นไม่ได้ว่างั้นเลย จะทำยังไงก็ไม่เป็น ถ้าเป็นแล้วไม่บอกก็เป็น เหมือนน้ำลงมหาสมุทรแล้วเป็นทะเลหลวงด้วยกันหมด ถ้ายังไม่ลงยังไม่เรียก
จึงอดคิดไม่ได้ คือพูดไม่ได้พูดด้วยความดูถูกเหยียดหยามโลกนะ เรื่องความเมตตาไม่ต้องพูดครอบตลอดเวลาเลย เมตตานี้จะไม่พรากจากธรรมเลย ธรรมกับเมตตาจะไปตามกัน ท่านตำหนิก็ตามตำหนิด้วยความเมตตา ชมก็ชมด้วยความเมตตา ตำหนิด้วยความเมตตาคือควรจะแก้จะไขจะถอดจะถอนสิ่งไม่ดีนั้น ที่ถูกตำหนินั้นว่างั้นเถอะ อันที่ดีแล้วก็ส่งเสริมให้ดีขึ้น ควรจะดีขึ้นด้วยการส่งเสริมท่านก็ส่งเสริม ทั้งตำหนิทั้งชมนี้เต็มไปด้วยความเมตตาของธรรมทั้งหลาย ท่านจึงไม่มีที่ว่าจะดูถูกเหยียดหยามโลก ไม่มี เรื่องธรรมแล้วไม่มี จะตำหนิติชมเป็นไปด้วยความเมตตาทั้งนั้น เหนือโลกตลอดเวลา
ทีนี้เวลาเราพูดถึงเวลาที่ไปสัมผัสสัมพันธ์เกี่ยวกับโลกกับธรรมที่มันทำลายกันก็คือ กิเลสกับธรรมทำลายกัน กิเลสมันหนาเท่าไรยิ่งยกตัวให้สูงขึ้น ๆ แล้วก็เหยียบย่ำทำลายธรรมลงไปในตัวนั่นแหละ ทั้ง ๆ ที่เจ้าของเหยียบย่ำเจ้าของนะ ธรรมจะไปเหยียบย่ำท่านได้ยังไง แต่เจ้าของนั่นแหละเหยียบย่ำเจ้าของ ยังเย่อหยิ่งยังโอ่อ่าในการเหยียบย่ำเจ้าของอีก มันโง่ขนาดไหนมนุษย์เรากี่ชั้นกี่ภูมิ
เราอย่าว่าแต่ทางโลกทางสงสารเลยนะ ตั้งแต่ทางด้านธรรมะก็เหมือนกัน เวลาเรียนยังไม่รู้อะไร ๆ ก็เป็นธรรมดา ๆ พอเรียนรู้สอบได้ชั้นนั้น สอบได้ก็คือตั้งเป็นความนิยมขึ้นมา ความยอมรับขึ้นมา คนนั้นได้ชั้นนั้นชั้นนี้ แล้วก็เชื่อถือกันยอมรับกัน คนนั้นได้ชั้นนั้นชั้นนี้ขึ้นไป หลวงตาบัวได้นักธรรมตรี โธ่ คึกคักนะ นักธรรมโท ขึ้นเรื่อย ๆ พอได้นักธรรมเอก ทั้งจะถองจะอะไรใครมายุ่งไม่ได้เราสูงกว่าใคร ขึ้นฟาดมหาแล้ว โอ๋ย จนจะยกตัวไม่ได้มันหนักมหา ความจริงมันหนักส้วม ความยึดความถือของเลวว่าเป็นของดี เวลาเรียนไปมันเป็นอย่างนั้นไม่ว่าใคร
มันหากเป็นอยู่ในจิตนะ ไม่ได้ตั้งใจจะไปโอ้อวดกับใครละ มันหากเป็นอยู่ในจิตของตัวเองนั่นแหละ เพราะธรรมชาตินี้ต้องยกตัวเสมอ กิเลสต้องยกตัว นอกจากนั้นก็เหยียบคนอื่นลง กิเลสไปไหนไม่ได้ราบรื่น ต้องกระทบกระเทือนไปเรื่อย ๆ ธรรมไม่กระทบกระเทือน สำหรับธรรมแล้วไม่มีกระทบกระเทือน ไปที่ไหนเย็นไปเลย ๆ ทีนี้เวลาเรียนไป ๆ ได้อย่างนั้นแล้ว ออกปฏิบัติละซิที่นี่ พอออกปฏิบัติลบล้างกิเลสภายในใจ ๆ มันก็ลบล้างชั้นภูมิของตัวเองที่เย่อหยิ่งจองหอง โอ่อ่าฟู่ฟ่ามาแต่ก่อนลงเป็นลำดับลำดา ทีนี้ชั้นไหนภูมิไหนลบไปหมดเลยไม่มีเหลือ ไม่ทราบว่าชั้นไหน เฉย ไม่ได้สนใจเลย ธรรมเต็มหัวใจแล้วไม่มีชั้น ธรรมเอกไม่มีอะไรแข่ง อย่างเดียวเท่านั้นไปเลย มันเป็นอย่างนั้น
เพราะฉะนั้นเวลาไปเห็นที่ขัดหูขัดตาแล้ว ไม่รู้กี่ครั้งกี่หนกระทบกระเทือนมาตลอด ระหว่างกิเลสกับธรรมเหยียบย่ำทำลายกัน แล้วสลดสังเวชเหมือนกันนะ เห็นแล้วสลดสังเวช โลกเรียนมามากเท่าไรเหยียบย่ำธรรมลงไปมาก ๆ ต้องมีธรรมเข้าแทรก ๆ ความรู้วิชาทั้งหลายที่เรียนมาจึงจะพอเป็นประโยชน์และเป็นประโยชน์เป็นลำดับไป ถ้ามีแต่โลกล้วน ๆ เป็นไฟทีเดียวเผาไปหมด พากันจำเอาไว้ อย่าไปคิดใส่ผู้หนึ่งผู้ใดนะ ให้ดูหัวใจเจ้าของ สอนนี้สอนผู้มาฟังให้นำไปคิดไปอ่านเจ้าของ อันใดที่เป็นภัยดังที่กล่าวมานี้ มันก็เป็นภัยต่อตัวเองนั้นแหละ ท่านสอนก็สอนเราที่กำลังเป็นภัยแก้ถอดถอนออก อย่างนั้นเรียกว่าฟังธรรมด้วยความถูกต้อง
ฟังแล้วเพื่อไปเหยียบย่ำคนนั้นไปยกยอคนนี้ไม่ถูก ต้องดูจุดผิดจุดถูกอยู่กับตัวเอง ท่านสอนมาจะเข้ามาสู่จุดถูกหรือผิดคือหัวใจของเรา ถ้าสอนไปนี้ผิดตรงไหนเรารีบแก้ของเรา ถูกตรงไหนก็ยกกันขึ้น ๆ ส่งเสริมกันขึ้น นี่เรียกว่าผู้ฟังเทศน์ถูก คือฟังเทศน์เป็นได้ผลได้ประโยชน์ พากันจำเอานะ เพราะท่านเทศน์ท่านเทศน์โดยธรรมล้วน ๆ วันนี้พูดเพียงเท่านั้นละ เหนื่อยแล้ว
(ในบทสวดมนต์กรณียเมตตสูตร ลงท้ายว่า กาเมสุ วิเนยฺย เคธํ น หิ ชาตุ คพฺภเสยฺยํ ปุนเรตีติ ว่าไม่ถึงความนอนในครรภ์อีก แล้ววงเล็บว่าถึงโสดาปัตติมรรคแล้ว)
แล้วเราล่ะเข้าใจถูกแล้วยังล่ะ ถ้าเรายังเข้าใจเขวอยู่ก็ยังเข้าใจผิดอีก คนนี้เป็นคนผิดมากกว่าเพื่อนเข้าใจไหม การสวดมนต์ท่านไม่เอาเรื่องเอาราวต่อกัน ท่านสวดเป็นพักๆ เป็นวรรค อันนี้พูดเรื่องนี้เรื่องนั้นเป็นวรรคเป็นตอนไป เราก็พิจารณาเป็นวรรคเป็นตอนไปอย่างนั้นซิ ไม่ว่าสวดมนต์บทใด ส่วนมากท่านจะมีเป็นวรรคใครตอนของเราไปเรื่อยๆ อันนี้เมตตาบ้าง อันนั้นไปอันนั้นบ้างอันนี้ๆ บ้าง เวลาสวดไปฟังไป ที่มีต่อเนื่องกันไปเลยก็มีตั้งแต่มหาสมัยสูตรเข้าใจไหม มหาสมัยสูตรนั่นพูดถึงเรื่องพวกเทพทั้งหลายทั่วจักรวาลทั่วแดนโลกธาตุ ที่มาเฝ้าพระพุทธเจ้า พระองค์เวลานั้นรับสั่งให้พระสงฆ์สาวก ๕๐๐ องค์มีพระอรหันต์ล้วนๆ นั่นฟังซิ รับสั่งให้มาป่ามหาวัน ใกล้กรุงกบิลพัสดุ์ มหาวันแปลว่าป่าใหญ่
พระองค์รับสั่งให้พระสงฆ์ทั้งหลายเข้ามาในป่านี้ ทำความสงบเพื่อจะได้ดูพวกเทพทั้งหลายทั้งแดนโลกธาตุนี้จะมาชุมนุมกันในป่านี้ในคืนวันนั้น พระองค์จะเป็นผู้แสดงธรรมแก่พวกทวยเทพทั้งหลาย บรรดาสาวกใครมีความสามารถวาสนาลึกซึ้งกว้างแคบขนาดไหน ก็จะได้เห็นพวกเทพทั้งหลายที่มาจำนวนมากมาย ตามกำลังแห่งความรู้ความสามารถของตนๆ เข้าใจไหมจึงรับสั่งให้พระสงฆ์ทั้งหลายมา พระองค์เป็นผู้แสดงพระโอวาทให้บรรดาพวกเทพทั้งหลายนับแต่ท้าวมหาพรหมลงมา พวกยักษ์พวกผีพวกเปรตพวกมาร พญาครุฑ พญานาค ท้าววิรูปักขะ หมดสกุลๆ พูดง่ายๆ ว่าอย่างนั้นนะ เพราะท่านบอกว่าสกุลเลย พวกโคตรพวกแซ่ของพวกนี้มาหมด ไม่ได้มาธรรมดา
ท่านเทศนาว่าการนี้ท่านแสดงแก่พวกเทพทั้งหลายตามเรื่องของผู้มาเกี่ยวข้อง เทศนาว่าการสอนเป็นลำดับลำดาของผู้มาเกี่ยวข้องๆ แต่เป็นเรื่องของพวกเทวดาล้วนๆ ไม่มีมนุษย์เข้าเจือปนเลย ในสูตรนี้สูตรเทวดา ครั้นเวลาท้าวมหาพรหมมาแล้วก็พระสงฆ์เข้าเฝ้าก็รับสั่งพระสงฆ์ เป็นยังไงได้เห็นไหมพวกเทวดาทั้งหลายที่มาในสามแดนโลกธาตุมาเฝ้าเราตถาคตนี้มาพร้อมหน้ากันหมด พวกพระสงฆ์ทั้งหลายก็พูดถึงเรื่องความรู้ความสามารถของตนที่ได้เห็นเทวดา พวกนั้นเป็นอย่างนั้นพวกนี้เป็นอย่างนี้เรื่อยไป
แล้วพระองค์เป็นผู้สรุปเองว่า ที่พวกเธอทั้งหลายเห็นนั้นน่ะเพียงเล็กน้อยตามนิสัยวาสนาของตน แต่เราตถาคตนี้เห็นหมดเลย จากนั้นก็ไล่โคตรไล่แซ่ของพวกครุฑพวกพญานาคพวกท้าววิรูปักขะ พวกนี้มีโคตรอย่างนั้นๆ ชื่ออย่างนั้นบอกไปหมดเลย นี่เรียกว่าบอกทั้งโคตรทั้งแซ่ เทวดามาหมด เรียกว่าสูตรนี้เป็นสูตรที่สอนพวกเทพล้วนๆ ไม่มีเรื่องอื่นมาเจือปน เราก็เห็นสูตรเดียวที่ไม่มีเรื่องอื่นใดเข้ามาเจือปน นอกนั้นมี สูตรนี้ว่าไปอย่างนี้แล้วอันนั้นเข้ามาสับปนกันไปๆ เข้าใจไหมล่ะจึงไม่ติดต่อกัน
เช่นอย่างกรณียเมตตสูตรก็เหมือนกัน ไปถึงวรรคเมตตาก็เมตตา ไปอีกวรรคหนึ่งก็ไปอย่างหนึ่ง ๆ ตอนท้ายกรณียเมตตาสูตร น หิ ชาตุ คพฺภเสยฺยํ ปุนเรตีติ นี้ดูเหมือนเกี่ยวกับพวกพระโสดาหรือพวกอะไรที่ว่าจะไม่นอนในครรภ์อีก นั่นเราก็ลืมแล้วแหละ แต่พอว่านี้มันเข้าใจทันทีเพราะเคยเข้าใจมาอยู่แล้ว พวกที่ไม่มานอนในครรภ์คือไม่มาเกิดในท้องแม่อีกความหมายว่าอย่างนั้น เมตฺตญฺจ สพฺพโลกสฺมึ มานสมฺภาวเย อปริมาณํ อุทฺธํ อโธ จ ติริยญฺจ อสมฺพาธํ อเวรํ อสปตฺตํ ติฏฺฐญฺจรํ นิสินฺโน วา.คือจะนั่งจะนอนอยู่ที่ไหนก็ดี ให้ได้รับความเมตตาจากเราทั้งหมด เมตตาธรรมนี้ทั่วโลก โลกสฺมึ นั่น เมตฺตญฺจ สพฺพโลกสฺมึ มานสมฺภาวเย อปริมาณํ ไม่มีประมาณบรรดาสัตวโลก ทั้งเบื้องบนเบื้องล่างด้านขวางสถานกลาง มีในนั้นหมดเลย อุทฺธํ อโธ จ เบื้องสูงเบื้องต่ำบอกไว้หมด ทั้งยืนทั้งเดินทั้งนั่งทั้งนอนว่าอย่างนั้น ติฏฺฐญฺจรํ หมายถึงยืนอยู่ก็ดี นิสินฺโน วา สยาโน วา.นั่งอยู่ก็ดีนอนอยู่ก็ดีว่าไปๆ
ท่านไม่กล่าวถึงแต่ว่าพวกนอนในครัวไม่ตื่นไม่ภาวนาเท่านั้น เพราะท่านเบื่อท่านไม่พูดถึงพวกเราเข้าใจไหม ว่าไปตีไปอย่างนั้นแหละ จากนั้นก็ไปถึง ทิฏฺฐิญฺจ อนุปคมฺม สีลวา ทสฺสเนน สมฺปนฺโน.ผู้มีความรู้ความเห็นถึงพร้อมด้วยศีล แล้วก็จะไม่มาเกิดในครรภ์ว่าอย่างนั้นใช่ไหม ถ้ามาว่าเป็นจุดอย่างนี้มันก็ไม่กว้างขวาง ผู้ไม่นอนในครรภ์ก็มีพระอรหันต์เท่านั้น นอกนั้นนอนหมด ลากออกมันก็วิ่งเข้าครรภ์เข้าใจไหม
ผู้เป็นพระอรหันต์นี้ลากเข้าก็ไม่เข้า ไอ้ผู้ยังไม่เป็นพระอรหันต์นี้ลากออกมันวิ่งเข้าอยู่นั่นแหละ ไม่ได้เข้าทางหีมันก็เข้าทางก้นแม่มันเข้าใจไหม เพราะมันอยากเข้า กิเลสมันลากเข้าความหมาย เราไม่ได้พูดเรื่องหยาบเรื่องโลนนะ คือน้ำหนักของกิเลสกำลังของกิเลสมันดึงเข้าให้เกิดให้ตาย พระอรหันต์ปึ๋งออกไปเลยเข้าใจ แล้วอะไรอีกล่ะ(พระอรหันต์เป็นอย่างนั้นหมดเลยหรือคะ) เราก็ไม่อยากตอบขี้เกียจตอบด้วย ตอบอะไร ให้ไปหางมเงาไม่อยากงม เรามันไม่อยากงมนะ ลากเราไปหางมเงานั้นเงานี้เราไม่อยากไป ถ้าหัวคนอย่างนี้ปั๊วะเลยอย่างนั้นเอา มันจะได้หงายหมาให้ดูเข้าใจไหม หางมนั้นงมนี้ไม่อยากงมนะนี่
ก็มันพูดจริงๆ มันจ้าอยู่นี้หมดแล้วจะให้ถามว่าอะไร นี่จึงสอนโลกด้วยความเมตตาล้วนๆ เปิดออกหมด เราไม่เคยสนใจกับถังขยะแขยะจะมาดูถูกเหยียดหยามว่าโอ้ว่าอวด ไม่สนใจจริงๆ นะ เพราะเหล่านี้ก็รู้แล้วว่าถังขยะ อันนี้ไม่ใช่ถังขยะก็รู้แล้ว ดีที่ไม่ขี้รดลงไปอีกหาถังขยะนั่นอีก ข้ามมันไปเฉยๆ ไม่ปวดขี้ฟาดลงในถังขยะ เพิ่มขี้เข้าไปอีกทีนึงเข้าใจไหม เอาละ
เปิดดูข้อมูล วันต่อวัน ทันต่อเหตุการณ์ หลวงตาเทศน์ถึงเรื่องอะไร
www.luangta.com