(ผู้ฟังเทศน์นักเรียน ร.ร.ราชินูทิศ ๑๒๐ คน ประชาชน ๕๐๐ คน)
พระวัดนี้ส่วนมากไม่ค่อยฉันจังหันกันนะ มีประจำมาตั้งแต่เริ่มสร้างวัด ดูท่านจะถูกกับทางอดอาหารมากกว่าอย่างอื่น นี่ละอุบายวิธีการประกอบความพากเพียร ท่านจึงแสดงไว้ธุดงค์ ๑๓ ข้อนั้น คืออุบายวิธีการสนับสนุนความพากเพียรให้สะดวกและง่ายขึ้นเป็นลำดับ แล้วแต่ใครจะต้องการชนิดไหน ถูกจริตจิตใจยังไงแล้วก็เลือกเอามาปฏิบัติ เช่น เนสัชชิ ไม่นอน ไม่นอนกี่คืน กำหนดให้ได้ตัวเอง แล้วการภาวนาในระยะไม่นอนเป็นยังไงบ้าง สังเกตผลอีก
สำหรับเราเองไม่ถูกกับการอดนอน ไม่ถูก ในธุดงค์ ๑๓ เนสัชชิ ไม่นอน ประกอบความพากเพียรตลอด ๆ กลางคืน แต่สำหรับเราเองไม่ถูกนิสัย ทดลองดูหลายคืนนะ ไม่นอนเลย ความเพียรแทนที่จิตใจจะผ่องใสคล่องแคล่วว่องไวกลับทึบ ร่างกายทึบ จิตใจก็เลยกลายเป็นเรื่องทึบ ๆ ไปด้วย ไม่คล่องแคล่ว เอ๊ ไม่ถูก ทดลองดูทุกอย่าง ไม่ถูก
นี่ละการฝึกทรมานตนเพื่อความเป็นคนดี อย่างพระพุทธเจ้าท่านทรงสอนวิธีการต่าง ๆ ให้เพื่อการฝึกทรมาน เพราะกิเลสมันเก่งมากอยู่แล้ว จึงต้องสอนวิธีการที่จะชำระกิเลสให้เบาบางลงไป ความดื้อด้านของคนเราก็จะค่อยเบาลงไป กิเลสพาให้ดื้อด้าน ธรรมท่านไม่ดื้อ วิธีการต่าง ๆ เป็นวิธีการที่จะฝึกจิต ตัวคึกตัวคะนอง ตัวมืดตื้อ ให้เบาลง ๆ อย่างที่ว่านี่ เนสัชชิ การอดนอน
สำหรับเราเองไม่ถูก ทีนี้บทเวลามาถูกก็มาถูกเรื่องอดอาหาร แน่ะ แปลกอยู่นะ ทดสอบดูความเพียรจากอดอาหาร พอคืนแรกผ่านไปแล้ว วันแรกผ่านไปการอดอาหารนะ จิตใจค่อยมีสติสตังดีขึ้น ๆ ความเพียรดีขึ้น ๆ ความเพียรคือความหนุนความพยายาม สติสตังดีขึ้น จิตใจค่อยสงบผ่องใสเรื่อย ๆ ทดสอบดู มันรู้กันตั้งแต่ต้นแหละเรื่องอดอาหาร รู้มาแต่ต้นเลย อดไปหลายวันเท่าไร จิตใจยิ่งผ่องใสยิ่งสงบ สติยิ่งดีขึ้น ๆ จากนั้นพิจารณาทางด้านปัญญาก็ค่อยเริ่มไหวตัวได้เร็ว สังเกตดูการประกอบความเพียร
การขบการฉันธรรมดานี้ ความเพียรสำหรับเราเองคนหนาไม่ค่อยได้เรื่อง ยิ่งฉันให้อิ่มหมีพีหมาไปแล้วเลยกลายเป็นหมาไปเลย ไม่ได้เรื่อง นั่นละการประกอบความเพียรต้องสังเกตตัวเอง สักแต่ว่าทำ ๆ ไม่สังเกต ไม่ค่อยมีผล แสดงว่าทำไปอย่างทื่อ ๆ ไม่ใช้หัวคิดปัญญา ท่านแสดงไว้ในหลายข้อ ๆ ก็เพื่อเหมาะสมกับจริตนิสัยของใคร ๆ จะเลือกเอาไปใช้ ๆ ทีนี้เมื่อถูกกับใครท่านก็นำเอาไปใช้ เช่นอย่างอดอาหารนี้ ไม่มีตรง ๆ ในธุดงควัตร แต่รวมแล้วเรียกว่าอุบายวิธีการชำระจิตใจด้วยความเพียร แต่ไปมีในบุพพสิกขาซึ่งเป็นเรื่องพระวินัยของพระ ไปเกี่ยวโยงกับธรรมท่านอธิบายให้ฟังถึงเรื่องการอดอาหาร ท่านแยกไว้ ๒ ประเภท
การอดอาหารเพื่อโอ้เพื่ออวดเป็นแบบโลก ๆ นั้น ท่านปรับโทษตลอดเวลาทุกความเคลื่อนไหว นั่นฟังซิ ปรับโทษตลอดเลยถ้าอดอาหารเพื่อโอ้เพื่ออวด เป็นเรื่องของกิเลสว่างั้นเถอะ ปรับโทษตลอด ปรับอาบัติ ถ้าอดเพื่ออรรถเพื่อธรรม เพื่อความพากเพียรแล้ว อดเถิด นั่งฟังซิอดเถิด เราตถาคตอนุญาต บอกไว้เลย จากนั้นก็ชมเชยเรื่องการขบการฉันน้อยไปในแง่ต่าง ๆ ของธรรม คือถ้าจะให้บัญญัติลงในจำพวกธุดงค์ ๑๓ ไม่มี แต่มีในแง่อื่น สำหรับเราเองถูกทางอดอาหาร เพราะฉะนั้นจึงต้องได้หนักทางนี้ซิ เมื่อมันถูกมันได้ผลยังไง ทุกข์ยากลำบากก็ต้องทนไปคนเรานะ
เริ่มต้นมาตั้งแต่ออกปฏิบัติในพรรษาแรกเลยละ ออกมาปฏิบัติ อดอาหาร ทดลองเห็นได้ผล ทีนี้ก็เอาเรื่อย หนักเรื่อย ๆ คือ อาหารเป็นเครื่องหนุนร่างกาย ร่างกายมีกำลังมันก็ทับจิต เพราะร่างกายมีกำลังมันเป็นเครื่องเสริมกิเลส เสริมกิเลส กิเลสต้องทับจิต ภาวนาไม่ได้เรื่องได้ราว ตั้งสติสตังไม่ค่อยได้เรื่องอีกเหมือนกัน ทีนี้พออดอาหารเข้ามันรู้สึก พอเริ่มอดสติค่อยดีขึ้น ความง่วงเหงาหาวนอนเริ่มไม่ค่อยมีในคืนแรกนะ ไม่ฉันวันนั้นกลางคืนไม่ค่อยง่วง พอวันสองวันสามเข้าไป ทีนี้สติดีขึ้น ๆ ความง่วงเหงาหาวนอนนี้ถึง ๓ คืนไปแล้วไม่มีนะ ความโงกง่วงไม่มี ผู้อดอาหารนอนน้อยมาก สติดี อะไร ๆ มาสัมผัสรู้ได้เร็ว ๆ ก็ทราบว่า นี่ถูกแล้ว เมื่อถูกแล้วไม่บำรุงยังไง ก็ต้องหนุนทางมันถูก
ด้วยเหตุนี้เองหลวงตาจึงทุกข์มากเกี่ยวกับเรื่องอดอาหาร เข้าพรรษา ๑๐ ท้องเสียแล้วนะ พรรษา ๑๐ ท้องเสีย เวลาเราไม่ฉันกี่วันก็ตามก็จะเอาอะไรมาถ่าย มันไม่ได้ถ่าย ทีนี้พอฉันนี้ตกบ่ายมาถึงค่ำ เวลาเสือเที่ยวนั่นแหละ มันไล่เข้าไปถาน ถานอยู่ในป่าในเขา เสืองับคอเมื่อไรก็ได้ใช่ไหมล่ะ ไอ้นี่มันก็ไล่เราลงถานล่ะซี ก็เลยไม่กลัวเสือ บางทีคิดเหมือนกันนะนั่งอยู่ในถาน ถานภูเขาที่ไหนมันก็เป็นถานหมด กลางคืนมันไล่นั่นซิ ถ่ายจนกระทั่งหมดในท้อง แล้วไปกี่หนนั่นกลางคืน กลางคืนมืด ๆ ไปถ่ายกลางคืนดึก ๆ ในเวลาเสือเที่ยวเสียด้วย ก็อยู่ในป่าเสือ
บางทีคิดเหมือนกัน นี่เวลานั่งนี้เสืองับจะทำยังไง มันคิดนะแย็บ มันรับกันทันทีนะ ถ้ากลัวเสือมาทำไม ปั๊บเลย ก็จะต้องสู้ทุกอย่างจึงเรียกว่านักรบ มันแก้กันทันทีนะ มันคิดแวบหนึ่ง อันนี้แก้ปั๊บตกหายไปเลย ถ้าเสริมมันดูซิ โอ๋ย ตัวสั่นอยู่นั้นเลย ทั้งขี้แตกทั้งตัวสั่นละ ถ้าไปเสริมมัน โอ๋ย ตายเลยอย่างนั้น กลัวมากขึ้นนะ นี่มันแก้กันปั๊บเลย นี่เรียกว่าธรรมกับกิเลสแก้กันแก้อย่างนั้น แก้อยู่ภายในของผู้ภาวนา ผู้ไม่ภาวนาพูดให้ฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง ถ้าผู้ภาวนารู้กันทันที ๆ เลย อุบายวิธีการจะขึ้นที่นี่ เหมือนกิเลสขึ้นภายในใจ เพื่อความผูกมัดรัดรึงเรา บีบบี้สีไฟเรา ธรรมะเบิกออกแก้ออก มันแก้กันภายใน ๆ
พอพูดอย่างนี้ก็ทำให้
ลงมาจากภูเขาเดินบิณฑบาตมาบ้านเขามันไม่ถึงหมู่บ้าน กะว่าจะถึงแล้วจะไปแล้ว คิดว่าจะถึงมันยังไม่ถึง ไปถึงกลางทางไปไม่ไหวแล้ว ก้าวขาไม่ออกเลยไปนั่งอยู่นั้น นั่งมันก็ไม่ได้เผลอนี่ นั่งกับความเพียรตลอด จิตลงได้อดอาหารแล้วมัน โห มันดีดผึง ๆ อยู่ภายใน มันไม่ได้เหมือนข้างนอกนะ ข้างนอกอืดอาดหรือว่าแข็งแรง ร่างกายแข็งแรง กิเลสแข็งแรง ร่างกายอ่อนเครื่องเสริมกิเลสก็อ่อน สติปัญญาทางด้านธรรมะก็ขึ้นล่ะซิ บางทีมันทะเลาะกันระหว่างขันธ์กับจิต คือขันธ์เกี่ยวกับร่างกาย ความหิวโหย กับจิตใจที่สงบผ่องใสคล่องแคล่วว่องไวในทางความเพียร
บางทีพอไปนั่ง เวลาไปนั่งลง เดี๋ยวผุดขึ้นมาแล้ว กิเลสมันต่อยก่อนนะ ขึ้นมา นี่เห็นไหม ท่านอดอาหารจะฆ่ากิเลสให้ตาย แต่เวลานี้ท่านกำลังจะตายก่อนกิเลสรู้ไหม นั่นขึ้นแล้วนะ ท่านอดอาหารเพื่อจะฆ่ากิเลสให้ตาย แต่กิเลสยังไม่ตายท่านกำลังจะตายรู้ไหม ตายเพราะความอดอาหารนั่นแหละไม่ใช่อะไร ทางนี้มันขึ้นปั๊บเลย ก็การกินกินมาตั้งแต่วันเกิดจนกระทั่งบัดนี้ไม่เห็นวิเศษวิโสอะไร อดเพียงเท่านี้จะตายหรือ ตายก็ตายซิ นั่นมันแก้กันปั๊บ ดีดผึงเลย มันแก้กัน มันขึ้นอยู่เรื่อย ๆ นี่พูดเปิดให้ฟังเสียนะธรรมะภายในใจ
ยิ่งใจสว่างกระจ่างแจ้งเท่าไรนี้ ธรรมะกับกิเลสฟัดกันอยู่ภายใน ไม่มีใครรู้ด้วย มันซัดกันอยู่ภายใน มันแก้กัน ๆ เหมือนนักมวยแชมเปี้ยนเทียว ขึ้นถึงขั้นแล้ว กิเลสมันก็เร็วของมัน เพราะมันเคยครอบครองวัฏจักรในหัวใจเรามานี้กี่กัปกี่กัลป์ มันคล่องตัวขนาดไหน ทีนี้เวลาเราฟิตตัวขึ้นมา ธรรมมีความแก่กล้าสามารถที่จะทัดทานกันได้แล้วก็ฟัดกันล่ะซี อุบายวิธีของกิเลสขึ้นแบบหนึ่ง ธรรมะแก้กันตกพับ ๆ เรื่อย ก้าวเรื่อย ๆ นี่เราพูดถึงเรื่องว่าธรรมกับกิเลสเกิดด้วยกัน ไม่ได้มีแต่ธรรมเกิด ธรรมกับกิเลสไปด้วยกัน เป็นคู่ต่อสู้กันไปเรื่อย ๆ ทีนี้เวลากิเลสแทรกขึ้นพับ ธรรมะจะรับกันทันที แก้กันตกไปเรื่อย ๆ
นี่เราพูดถึงเรื่องว่ามันผุดขึ้นภายในใจ เป็นถ้อยเป็นคำขึ้นมาเลยนะ เหมือนเราพูดแต่ไม่ได้ยินเสียง หากเป็นถ้อยเป็นคำขึ้นมาให้รู้ชัดเจน บอกเราอย่างชัดเจน อย่างที่ว่า นี่เห็นไหม ท่านอดอาหารเพื่อฆ่ากิเลสให้ตาย แต่เวลานี้กิเลสยังไม่ตาย ท่านกำลังจะตายรู้ไหม มันจะขู่เราว่างั้นเถอะ ขู่เราให้อ่อน โอ๊ย ตายแล้ว ทางนี้ก็ขึ้นรับกัน ก็กินก็กินมาตั้งแต่วันเกิดไม่เห็นวิเศษวิโสอะไร อดเพียงเท่านี้จะตายเหรอ เอ้า ตายก็ตายซี แน่ะมันแก้ปั๊บไปเลยพุ่งเลย นี่เราพูดถึงเรื่องอดอาหาร
เราได้กำลังทางด้านจิตใจนี้ เด่นมากทางอดอาหาร ไม่ว่าจะทางด้านสมาธิ ไม่ว่าทางด้านปัญญา อดอาหารได้ผลทั้งนั้น ดีด้วยกันเลย ไม่ว่าจิตจะหยาบจะละเอียดขนาดไหน การอดอาหารเป็นเครื่องเสริมตลอดเลย เพราะฉะนั้นเราจึงได้หนุนตลอดเวลาจนกระทั่งท้องเสีย เสียมาตั้งแต่พรรษา ๑๐ ฟังซิน่ะ ถึง ๑๖ ปี พรรษา ๑๖ จึงหยุด ไม่อดอาหารอีกต่อไป เริ่มตั้งแต่พรรษา ๘ พรรษา ๗ ออกจากเรียนหนังสือ พรรษา ๘ ขึ้นเวทีแล้ว นั่นละถึง ๑๖ ปี ท้องเสียตั้งแต่พรรษา ๑๐ เริ่มเสียแล้ว เสียก็ไม่สนใจ มีแต่พุ่ง ๆ กับอรรถกับธรรม
คำว่าท้องเสียคือ เวลาตอนเช้าเราฉันจังหัน พอฉันแล้วนี้ตกตอนบ่ายมาท้องจะร้องโก้กเก้ก ๆ มันไม่ย่อย เรียกว่าเครื่องย่อยอาหารมันคงจะอ่อนไป ไฟธาตุมันคงอ่อน พอตกค่ำมานี้ถ่ายออกหมด จากนั้นมาก็อดต่อไปเลย จนกระทั่งถึงวันฉัน มันจะตายจริง ๆ ค่อยฉัน เวลาอดก็มันถ่ายหมดแล้วจะเอาอะไรมาถ่ายอีก พอฉันเสร็จเอาอีกกลางคืนถ่ายหมด ไม่สนใจเลย จนกระทั่งพรรษา ๑๖ อดเพียง ๓ วันถ่ายหมด พรรษา ๑๖ บางทีเอาเพียง ๓ วันก็มี ๔ วันก็มี เพราะมันอ่อนมากแล้วธาตุขันธ์ แต่ใจมันยิ่งแข็งขึ้นเรื่อย ๆ ใจพาแข็งนั่นละมันถึงไม่หยุดการอดอาหารไม่ถอย ไปที่ไหนมีแต่อดทั้งนั้นแหละเรา เรียกว่าทุกข์ทรมานมากที่สุด คือการอดอาหารเป็นทุกข์ทรมานมาก
พอพรรษา ๑๖ ล่วงไปแล้ว ลงเวทีว่าให้ตรง ๆ อย่างนี้เลย ทีนี้ก็ผ่อนปรนตามเรื่องราวของมัน ฉันลงไปมันก็ถ่ายของมันอยู่เรื่อย ก็ถ่ายมาเรื่อยจนกระทั่งถึงเวลามันจะเอาใหญ่ตอนจะตาย มันถ่ายไม่หยุดนะ ท้องมันเสียมาแล้วเอาอะไรมาฉันมันก็ถ่ายของมันอยู่อย่างนั้น แต่ไม่รุนแรง หากถ่ายเรื่อย ๆ จนกระทั่งมารุนแรงเอาตอนที่จะช่วยชาติบ้านเมือง พอดียาระงับได้ หายไปเลย
นี่พูดถึงเรื่องการประกอบความพากเพียร แล้วแต่จริตนิสัยของใครนะ ถูกต้องทางไหนให้เจ้าของพิจารณาเอง คัดเลือกเอง อย่างเรานี้มันคัดเลือกไปได้อดอาหารแบบจะตายว่างั้นเถอะ อย่างอื่นไม่ดี ถ้าอดอาหารดี จิตสงบแล้วก็แน่วเลยเทียว ยิ่งคล่องตัว ทางด้านสมาธิจิตสงบแน่ว คล่องตัว ทีนี้ออกทางด้านปัญญาก็หมุนติ้วเลย นี่อดอาหาร ทีนี้เวลาเราฉันไป สมาธิก็เป็นสมาธิ แต่มันเหมือนรถบรรทุกของหนัก จะไม่คล่องตัว มีลักษณะอย่างนั้น ทั้ง ๆ ที่มันวิ่งนั่นละแต่ก็วิ่งด้วยความหนักของรถ วิ่งเหมือนกัน แต่ว่ารถหนักวิ่งกับรถเบาวิ่งมันต่างกัน อันนี้ก็เหมือนกันมันรู้อย่างนั้นนี่นะ ทีนี้ทางด้านปัญญาก็แบบเดียวกัน ปัญญานี้คล่องตัว หมุนรอบตัว ๆ พอฉันจังหันลงไปแล้วปัญญาถึงรอบตัวก็ตาม มันก็วิ่งแบบนั้นแหละวิ่งแบบรถหนัก มันก็รู้ พอเปลื้องอันนี้ปั๊บมันดีดผึง ๆ เลย เป็นอย่างนั้นนะ
การฝึกทรมานตัวเองต้องสังเกตความเพียรตัวเอง วิธีการยังไงเกิดผลเกิดประโยชน์ หนุนความเพียรให้ดีขึ้นให้สังเกตตรงนั้น ไม่ใช่ทำสักแต่ว่าทำ สุ่มสี่สุ่มห้านั้นไม่ดี ต้องใช้สติปัญญารอบคอบในภาคปฏิบัติของตัวเอง สำหรับเรามันมาถูกทางอดอาหาร เพราะฉะนั้นจึงปล่อยไม่ได้เลย อดอาหารปล่อยไม่ได้ ตั้งแต่ขึ้นเวทีตลอดถึง ๑๖ พรรษา เป็นเวลา ๙ ปี นี่ปล่อยไม่ได้แหละ มันเริ่มจับได้ตั้งแต่ปีแรกเลย ซัดกัน โถ เหนื่อยแสนสาหัส ไม่มีได้อยู่สะดวกสบาย อาหารการขบการฉันจะฉันตามสบายไม่ได้ เพราะกิเลสมันลุกลาม ได้เท่าไรกินเท่าไรไม่พอ ธรรมะตีไว้ ๆ ธรรมะเป็นฝ่ายตีไว้ไม่งั้นมันจะเลยเถิด ถ้าเลยเถิดแล้วก็ไปทางฝ่ายกิเลส จมไปเลย ถ้าธรรมะหักห้ามเอาไว้มันก็ค่อยเบา อย่างที่อดอาหารนี่ หักห้ามเอาไว้ ภาวนาก็ดีขึ้น ๆ ตลอดเวลา
จนกระทั่งถึงได้อัศจรรย์ในใจตัวเองซิ เวลาจิตมันสว่างไสวทั้ง ๆ ที่กิเลสยังครอบหัวมันอยู่ แต่กิเลสมันบางไปมาก มันสว่างไสวจนเกิดความอัศจรรย์ในตัวเอง บางทีอัศจรรย์จริง ๆ รำพึงขึ้น โถ จิตนี้ทำไมถึงอัศจรรย์เอานักหนา สว่างไสวจ้าอยู่ภายใน ร่างกายของเรานี้เป็นเหมือนแก้วครอบตะเกียงเจ้าพายุนั่นละดูเอา ไส้ตะเกียงมันอยู่ภายในนั้นคือใจ มันส่องกระจ่างออกมานี้ แก้วครอบที่เป็นกระจกนี้มันก็ส่องกระจายไปนอกเลย อันนี้ร่างกายของเรามันเหมือนกับแก้วครอบ จิตที่สว่างอยู่ภายในมันกระจายออกมานี้ออกหมดเลย เพราะเหตุนั้นมันถึงอัศจรรย์ซิ เพียงขั้นนี้มันก็อัศจรรย์ของมัน จนรำพึงเจ้าของถึงขนาดที่ว่า ทำไมจิตถึงได้อัศจรรย์เอานักหนา ๆ ดูซิน่ะ ยิ่งมันเปิดออกหมดแล้วจะเอาอะไรมาปิดล่ะที่นี่ ฟังซิ มันก็จ้าของมันล่ะซิ
นี่ละการฝึกตัวเองเพื่อความเป็นคนดี พี่น้องลูกหลานทั้งหลายให้พากันฝึก ไม่ได้แบบนั้นก็ตาม ขอให้แบบลูกศิษย์มีครู มีการฝึกการทรมานหักห้ามต้านทานตัวเองบ้าง ถ้าจะปล่อยเลยตามเลยไม่มีใครดีในโลกนี้ จมไปด้วยกันหมด อำนาจของกิเลสต้องฉุดลากลง ๆ ความโลภฉุดลากลง ได้เท่าไรไม่พอ เอาจนตาย ราคะตัณหาได้เท่าไรไม่พอ เอาจนตาย ๆ ความอิ่มพอของความโลภ ของราคะตัณหา ไม่มีพอ เหมือนไฟได้เชื้อ เราเสาะแสวงหาตามความต้องการมันเท่าไร นั่นเท่ากับเสาะแสวงหาเชื้อไฟ ได้มาเท่าไรเผาเรื่อย ๆ ให้เรื่องกิเลสตัวนี้อ่อนตัวเพราะการส่งเสริมมันไม่มี มีแต่จมลง ๆ สุดท้ายคนก็หมดคุณค่าไม่มีราคาอะไรเลย นั่นเพราะกิเลสทำลายนั่นเอง จึงต้องได้ฝึกกัน
ฝึกดีเป็นพลเมืองดี เป็นชาวบ้านชาวเมืองมีศีลมีธรรม ก็ต้องฝึกให้อยู่ในความพอดี มีขอบมีเขตในการปฏิบัติตัว ไม่ใช่ปล่อยเลยตามเลย ไม่ว่าเด็กผู้ใหญ่ต้องฝึกตัวตามขั้นตามภูมิของตัวเองไปเรื่อย ๆ ต่อไปมันก็ชินเอง เมื่อมีกรอบมีฝั่งมีฝามันก็ไปตามกรอบตามแถวทางของมัน ถ้าไม่มีแล้วเตลิดเปิดเปิง ลงแต่เหวแต่บ่อแต่คลองทั้งนั้นแหละ กิเลสจะลากลงถ่ายเดียว คำว่าลากขึ้นไม่มี ไม่มีกิเลสตัวใดจะลากคนขึ้น ให้ได้รับความบรรเทาเบาทุกข์ ไม่มี มีแต่ลากลงเพื่อล่มจม ๆ ถ้าธรรมะมีมากน้อยนี้ฉุดขึ้น ๆ เพราะฉะนั้นธรรมจึงเป็นของจำเป็นมากในโลกนี้
นี่ก็เพราะโลกไม่สนใจกับอรรถกับธรรม และไม่รู้เลยว่าธรรมเป็นยังไง โลกถึงได้พากันจมตลอดเวลา ทั้ง ๆ ที่เพลินกับกิเลสอยู่ ว่าบ้านนั้นเจริญบ้านนี้เจริญ หัวใจมันเป็นไฟด้วยกันไม่ได้ดู ตรงนั้นตรงที่ไฟเผา เผาอยู่ที่หัวใจนะ ไม่ได้เผาอยู่ที่สมบัติเงินทองข้าวของ ยศถาบรรดาศักดิ์ มันเผาอยู่ที่หัวใจด้วยกันทุกคน ถ้าใครไม่มีธรรมยิ่งเผามากที่สุดเลย ดูหัวใจเจ้าของจะรู้ทันที เวลาไหนที่มีความสะดวกสบายไม่มี เอาเงินทองข้าวของ เอ้า ขึ้นไปนั่งอยู่บนกองทอง มันก็เป็นไฟเผาอยู่บนกองทองกองเงินนั่นแหละ สมบัติพัสถานอะไรมีมากน้อย เอ้า ขึ้นไปนั่งอยู่โน้น ก็เป็นฟืนเป็นไฟเผาอยู่โน้น ถ้าหัวใจเป็นไฟด้วยกิเลสเผานะ ถ้าหัวใจนี้จืดจางลงไปด้วยอำนาจของธรรมแผดเผาแล้ว อยู่ไหนก็สบาย ๆ
จากนั้นก็ย่นเข้ามาหาพระกรรมฐานท่าน พระกรรมฐานท่านไม่ได้ยุ่งกับอะไร บริขาร ๘ เท่านั้นติดตัวไปเลย ไปที่ไหนสบายหมด ไม่ว่าจะการอยู่การกินการหลับการนอนใช้สอยอะไร นอนก็นอนสบาย ที่ไหนร่มไม้ชายคา ล้มตูมลงไปพอหลับครอก ๆ ได้หนหนึ่งพอ พอสบาย ตื่นขึ้นมาฟัดแล้วกับกิเลสตลอดเวลา ท่านไม่ได้เป็นห่วงเป็นใยอะไร มีแต่ฟัดกับกิเลสตัวข้าศึก ๆ อันนั้นเบาลงความสุขเด่นขึ้น ๆ จิตใจมีความสว่างไสว มีสง่าราศี มีคุณค่า ขึ้นมาภายในหัวใจตัวเอง แต่ก่อนกิเลสปิดไว้หมดไม่ให้เห็นคุณค่าของใจ ให้เห็นแต่คุณค่าของกิเลส เอามูตรเอาคูถโปะหัวใจเอาไว้ไม่ให้เห็นเลย หัวใจที่เลิศเลอ เพราะฉะนั้นจึงได้เอาธรรมนี้เบิกออกชะออกล้างออก ก็ค่อยสว่างกระจ่างแจ้ง ค่อยรู้เนื้อรู้ตัวขึ้นมา รู้บุญรู้บาปขึ้นมาเรื่อย ๆ ภายในใจ
รู้บาปด้วยตำรับตำรานี้เป็นอีกอย่างหนึ่ง มันด้านนะ รู้บาปด้วยตำรับตำราด้วยความจำมานี้ เวลาความอยากขึ้นมานี้บาปบุญไม่มีนะ ถ้าเป็นเรื่องรู้ภายในใจนี้ อะไรขึ้นมามันรู้ทันที ระลึกเรื่องบาปขึ้นมามันรู้แล้ว สะเทือนในหัวใจ ระลึกถึงบุญสะเทือนในหัวใจ บาปบุญเกิดขึ้นที่นี่ ๆ จะไม่รู้ได้ยังไง ผู้รู้-รู้อยู่เห็นอยู่ การสร้างบาปสร้างบุญสร้างอยู่ที่หัวใจ ใจเป็นนักรู้ทำไมจะไม่รู้กัน นี่ละผู้รู้ภายในท่านมีหิริโอตตัปปะนะ พอคิดอันใดขึ้นมาถ้าเป็นความไม่ดีนี้ท่านปัดทันที เปิดทางให้ความดีเกิดขึ้นเรื่อย ๆ ความดีเกิดขึ้นมากก็ส่งเสริมเราให้ดีขึ้น ๆ
นี่ละการฝึกหัดตัวเองต้องมี ไม่มีไม่ได้คนเรา ไม่ว่าเด็กไม่ว่าผู้ใหญ่ ชาติชั้นวรรณะใดก็ตาม ถ้าปราศจากการฝึกอบรมจิตใจด้วยธรรมแล้วดีไม่ได้ ธรรมนี้เป็นธรรมธาตุ เป็นกลาง ๆ ใครจะนับถือไม่นับถือ ธรรมก็เป็นธรรมอยู่นั้น ถ้าคนมีธรรมในใจก็ยึดธรรมที่เป็นความถูกต้องดีงามเข้ามาปฏิบัติตนเอง ดัดแปลงตนเองไปตามสายของธรรม มันก็ดีขึ้นไปเรื่อย ๆ มีขอบมีเขตมีฝั่งมีฝาซิคนเรา ต้องมีการฝึกนะไม่ฝึกไม่ได้
คิดดูซิพระพุทธเจ้าก็เคยแสดงไม่รู้กี่ครั้งแล้ว ฝึกหรือไม่ฝึก แทบเป็นแทบตาย สลบไสลถึง ๓ หน เป็นยังไง นั่นละศาสดาของพวกเราฝึกขนาดนั้นนะ เริ่มต้นตั้งแต่เสด็จออกทรงผนวช มีความสุขเมื่อไรพระพุทธเจ้า สิทธัตถราชกุมารน่ะ ตั้งแต่เสด็จออกทรงผนวช ตัดฟันพระทัย เหมือนว่าขั้วหัวใจจะขาดสะบั้นลงไปเพราะความห่วงใยประเทศชาติบ้านเมือง ตัดออกหมดเลย นั่นเป็นความทุกข์ทรมาน ครั้นออกไปแล้วก็ได้รับความทุกข์ทรมานในการประกอบความพากเพียร การอยู่การกินทุกอย่าง หาความสะดวกไม่ได้ กษัตริย์ออกบวชเท่ากับตกนรกทั้งเป็นนั่นแหละ เรียกว่าตกจากสวรรค์ก็ลงนรกเลย ทุกข์ขนาดไหน แล้วฝึกทรมานไม่ถอย ได้เป็นศาสดาเอกของโลก ทีนี้ครอบไปหมดเลย ความสุขอันนี้คุ้มค่ากัน
เราเป็นลูกศิษย์ตถาคต ต้องมีการฝึกอบรมตนบ้าง อย่าปล่อยเลยตามเลยนะไม่ดี ไม่ว่าหญิงว่าชาย ไม่ว่าผู้ใหญ่ผู้น้อย เด็กก็เป็นเด็กเกเร โตขึ้นมาก็เป็นนักเลงโต สุดท้ายก็เอาเรือนจำอย่างน้อยละเป็นที่ตาย มากกว่านั้นเขาฆ่า นักเลงโตมักจะถูกฆ่า ไม่ค่อยจะไปตายในเรือนจำ ตายอยู่ตามป่าตามเขา เขาฆ่าล่ะซิ นักเลงโตไม่ค่อยได้ตายในเรือนจำละนะ มันจะไปตายตามป่าตามเขาตายไม่มีป่าช้า ถูกเขาฆ่าเขาฟันล่ะซิ เขาทำลายเอา ไปทำลายเขานี่ เขาก็เป็นคน โจรมันได้ชีวิตมากี่ชีวิตล่ะ มันก็ชีวิตเดียว ถูกฆ่าก็ตายเหมือนกัน นี่ละถ้าคนไม่มีการฝึกฝนอบรมตนเองก็เป็นอย่างนั้น ถ้าฝึกฝนอบรมตนเองแล้วก็เป็นคนดีเรื่อย ๆ ไป ดีจนหาที่ต้องติเจ้าของไม่ได้ เพราะการฝึกของเจ้าของเอง ให้พากันจำเอานะทุกคน ๆ เอาละวันนี้พูดเพียงเท่านั้น เหนื่อย ให้พร
มีอะไรมาเยี่ยมธรรมดาไม่ใช่เหรอ (คืออย่างนี้ค่ะ มาทำบุญแล้วก็มาบอกหลวงตาว่า ลูกชายลงสมัครผู้แทนค่ะ) ผู้แทน อู๊ย ลงอะไรเราไม่อยากเล่นด้วย เราขี้เกียจ อ้าวจริง ๆ เราไม่ค่อยเสริมถ้าอย่างผู้แทนสมัยปัจจุบันนี่ ใครเป็นผู้แทนเหมือนปล่อยหมาเข้าถาน จับหางดึงออก หางขาดมันยังไม่ยอมออกจากถาน ผู้แทนสมัยปัจจุบันนี้ผู้แทนหมาเข้าถาน พอโดดเข้าถานแล้ว จับหางดึงออกนี้ไม่ยอมออก หางขาดมันไม่ออก มันยังฟาดถานอยู่นู้น เราไม่อยากเล่น อย่าให้เป็นผู้แทนอย่างนั้นนะ (ค่ะ) ถ้าเป็นผู้แทนแบบหมาเข้าถานเราไม่เล่นด้วยเลย เราพูดจริง ๆ เพราะไม่อยากเห็นหมาหางขาด ผู้แทนหางขาดในถาน (หัวเราะ) เท่านั้นละ พูดเท่านั้นละ อย่างนั้นละธรรมะ ภาษาธรรม เด็ด ๆ เลย จบแล้วมีเท่านั้นละ
(หลวงตาขา ขออนุญาตแจกนามบัตรลูกชายที่สมัครผู้แทน) แจกไหนก็ไปแจก อย่ามาแจกอยู่ที่นี่ อย่ามายุ่ง ไปหาแจกไหนก็ไปเถอะเราไม่เสริม พูดจริง ๆ นะเราเป็นพระเราไปตามเรื่องตามราวของเรา จะไปทำอะไรก็แล้วแต่ แต่อย่ามายุ่งกับเราก็แล้วกัน พระเป็นอย่างนั้นนะ พูดอย่างตรงไปตรงมา เอาละไป เท่านั้นละ หาแจกไหนก็แจก ถ้าเป็นคนดีไม่ต้องแจกก็ได้ ถ้าไม่ดีไปแจกที่ไหน ติดอยู่ทุกเสาโทรศัพท์ โทรเลข เสาไฟฟ้าติดไปหมด จะสร้างบ้านอย่างนั้น สร้างเรือนอย่างนี้ โขงชีมูล เกิดมาแต่โคตรพ่อโคตรแม่มันเคยตั้งโครงการอะไร พอจะเป็นผู้แทนมันว่า โขงชีมูล ขึ้นมาแล้ว พอเข้าไปแล้วเหมือนหมาเข้าถาน เงียบ โขงชีมูลไม่ทราบไปไหน หายเงียบหมดเลย อย่าให้พูดอีก ขี้เกียจพูด เท่านั้นละ อย่างนั้นละธรรม ตรงไปตรงมา ถ้าสะอาดเห็นด้วย ไม่สะอาดไม่เล่นด้วย เราพูดเหล่านี้พูดเป็นกันเองนะ ฟังด้วยเหตุด้วยผลก็แล้วกัน อย่าไปคิดต่าง ๆ นานาว่าหลวงตาบัวดุอย่างนั้นอย่างนี้ เราไม่ได้ดุใคร เราพูดในฐานะลูกศิษย์กับอาจารย์ ว่ากันบ๊งเบ๊ง ๆ จบแล้วหายเงียบไปเลย เท่านั้นละ
เป็นยังไงลูกหลานมาฟังเทศน์ ได้คติตัวอย่างไปปฏิบัติบ้างไหมล่ะ เอาไปปฏิบัตินะ เราเป็นนักเรียนแต่เด็ก เป็นนักเรียนรุ่นมัธยมไม่เคยเป็น ไปฟาดเอาดอกเตอร์เลยทีเดียว เห็นไหมนี่ ได้ ๒ ดอกเตอร์ เรียนจบ ป.๓ โดดขึ้นใส่ดอกเตอร์เลยเทียว เป็นอย่างนั้นนะ อ้าวมันก็เป็นจริง ๆ ใช่ไหมล่ะ เรียนจบแค่ ป.๓ ประถม ๓ แต่ก่อน หลวงตาเรียนจบประถม ๓ แล้วออกเลย เพราะแต่ก่อนไม่มีประถม ๔ มีประถม ๓ เท่านั้น พอจบแล้วออก ใครไม่ออกก็ไปเรียนมัธยมที่อุดร เราไม่ไป ทีนี้จากประถม ๓ แล้วฟาดขึ้นถึงดอกเตอร์เลยเทียว นี่ได้ ๒ ดอกเตอร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง เขาก็ให้ดอกเตอร์หนึ่ง มหาวิทยาลัยขอนแก่นเขาก็ให้ดอกเตอร์หนึ่ง ไม่อย่างนั้นธรรมศาสตร์จะให้ก่อนเพื่อน ธรรมศาสตร์เขาไปปรึกษาผู้ใหญ่ดู เขาจะขอถวายดอกเตอร์ให้เรา พวกธรรมศาสตร์เขาไปปรึกษาผู้ใหญ่ อู๋ย อย่าไปยุ่งท่านนะ เดี๋ยวถูกดุแหลกนะ ก็เลยสงบ ทีนี้ทางมหาวิทยาลัยขอนแก่นโผล่ขึ้น เขาขึ้นเองเราไม่ได้ไปเกี่ยว ดอกเตอร์มหาวิทยาลัยขอนแก่น ดอกเตอร์มหาวิทยาลัยรามคำแหง
พูดถึงเรื่องราชาคณะอีกเหมือนกันนะ ก็หลวงตาบัว ๆ ฟาดขึ้นชั้นราชเลย ออกจากชั้นราชฟาดชั้นธรรมเลย มันก็แปลก ๆ อยู่นะ โดดจาก ป.๓ ขึ้นดอกเตอร์เลย
ว่ายังไง อุภโต ๆ มันหมายความว่ายังไง เอามาแปลให้ฟังหน่อยน่ะ (อุภโต เขาแปลว่า เป็นสอง แต่ไม่มีคำชี้แจง) ไม่มีคำชี้แจง นี่เราปฏิบัติมาอย่างนี้เราพูดให้ฟังแล้ว พระเณรของเรา เราพูดอย่างนั้นจริง ๆ มันเป็นขึ้นในใจของเราไม่ต้องไปเรียนจากไหน มันเป็นในนี้เราก็บอกอย่างนี้เลย ตามธรรมดาพระทั้งหลาย นิสัยของใครจะรวมแบบไหน ๆ จิตรวมนะ จะรวมไปตามแบบเก่า ๆ แบบนั้น ๆ เช่น สงบ ๆ ไปเลยเรียบไปเลยเรื่อยไปเลย ผู้ที่สงบแบบรวมพึบ ๆ นี้มักจะเป็นนิสัยอย่างนั้นเรื่อย ๆ ไป
เราก็บอกตรง ๆ เราไม่เป็นอย่างนั้น มันเป็นขึ้นในหัวใจของเราเอง การพิจารณาเวลามันจะสงบของมัน ต้องเป็นธรรมชาติของมันนะไปแต่งไม่ได้ เราไม่เคยคาดเคยคิดว่าจะเป็นขึ้นมา ทีนี้พอพิจารณาลงไปแล้วแน่วลงไปอย่างนี้มี เป็นจำนวนมาก ทีนี้เวลาพิจารณาลงไปถึงเวลามันรอบตัวของมันแล้วผึงเลย อันนี้ผาดโผนมาก แบบผึงเลยนี่ ผิดคาดผิดหมาย มันจะรู้จะเห็นอะไรผิดคาดผิดหมาย อันนี้แปลกมาก ส่วนสงบเรียบลงไปนี้มันเหมือนซึมซาบ ความรู้มันซึมซาบ แต่ความรู้อันนี้ผึงมันโดดไป พลิกแพลงเปลี่ยนแปลงได้หลายสันพันคม เราก็ได้พูดให้พระได้ฟัง สำหรับเราเองไม่เป็นอย่างนั้นนะ เราจึงเรียกว่าเราเป็นอุภโตในภาคปฏิบัติ เราบอกอย่างนี้ ใครไม่บอกในนั้นก็ตามมันก็เป็นในนี้
เราก็เห็นอยู่ในตำราอีกด้วยว่าอุภโต ๆ ท่านก็ไม่อธิบายไว้เหมือนกัน แต่เวลามันเป็นกับเรามันเป็นอย่างนี้ อุภโต ตั้งแต่เริ่มต้นมันจะแสดงแล้วนะ ถ้าสงบมันสงบของมันไปเอง ที่มันจะดีดผึงนี้มันก็เป็นของมันไปเอง ทีนี้เมื่อเวลามันไม่เป็นจะทำให้เป็นก็ไม่เป็นนะ ต้องเป็นเองทั้งนั้น ไม่ว่าจะภาคสงบเรียบ ไม่ว่าจะภาคผึงเลย ต้องเป็นของมันเอง เราเป็น ๒ ภาคเราก็บอกอย่างนั้น
เปิดดูข้อมูล วันต่อวัน ทันต่อเหตุการณ์ หลวงตาเทศน์ถึงเรื่องอะไร ทาง internet
www.luangta.com