อนุโลมเรื่องแก้ข่าว
วันที่ 19 สิงหาคม 2545
สถานที่ : ไม่ระบุ
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :

ค้นหา :

วันที่ ๑๘ เมื่อวานนี้ทองคำได้ ๑ กิโล ๔ บาท ๘๐ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๓๗๘ ดอลล์ กฐินทองคำ ๘๔,๐๐๐ กองนั้น เป็นทองคำ ๑๐๖ กอง เท่ากับน้ำหนัก ๒๖ บาท ๒ สลึง เงินสดได้ ๑,๘๑๒ กอง เทียบกับเงินไทย ๒,๘๙๙,๒๐๐ บาท รวมกฐินทั้งหมดได้ ๑,๙๑๘ กอง ยังขาดอยู่อีก ๘๒,๐๘๒ กอง กรุณาทราบตามนี้ จะขยับเข้าเรื่อย จวนเท่าไรก็ยิ่งหนักเข้า ๆ เรื่อย พี่น้องชาวไทยเราทั้งหมดต้องเอาจริงเอาจังในข้อกำหนดกฎเกณฑ์เพื่อจะอุ้มชาติบ้านเมืองของเรา ต้องเอาจริงเอาจังด้วยกันทุกคน อย่างไรต้องขึ้นเรื่อย ๆ ยังอีก ๓ เดือนกว่า ๆ กว่าจะถึงวันที่ ๒๖ ตุลา พอจวนวันเข้ามา ๆ ต้องเน้นหนัก ๆ ดีไม่ดีรายเดียวฟาดขึ้นร้อยกองก็ได้ ไม่งั้นไม่ทันกัน เดี๋ยวนี้ก็ยังไปตามประสีประสาสะเปะสะปะไปเสียก่อน พอจวนเข้ามาจริง ๆ ซัดเลยได้ ๘๔,๐๐๐ กองเป็นไรไป

 แมวได้หรือยัง (ยังเจ้าค่ะ) ยังเป็นบ้าอยู่หรือ หลวงตาไปพูดกับ ต.ช.ด.มาเมื่อสักครู่นี้ก่อนบิณฑบาต เขาจับแมวได้แล้วที่โรงไม้เวลา ๖ ทุ่มกว่านิดหน่อย ไล่กันมันจนตรอกเข้าอยู่โรงไม้ ๖ ทุ่มกว่านะเมื่อคืนนี้ ตอน ๔ ทุ่มกว่าเราไปเห็นไฟอยู่ข้างในพาบพิ้บๆ หลายแห่ง เราคิด พวกนี้กำลังหาแมว เราขี้เกียจไปบวกโรงด้วย เป็นแต่คอยดูว่าพรุ่งนี้เช้าจะว่ายังไง เมื่อเช้านี้เวลาออกไปศาลาใหญ่หน้าประตูวัด เลยเรียก ต.ช.ด.มาถาม ว่าได้แล้ว ได้ที่ไหน ได้ที่โรงไม้ เพราะเหตุไรถึงได้ เอาแบบไหนถึงได้มัน บอกว่าไล่กันไป หลายคนต่อหลายคนมันจนตรอกวิ่งเข้าไปในโรงไม้ เลยไปได้ที่นั่น เราก็เลยสั่ง รถใครมาจังหวัดไหนไกลที่สุด มอบให้จังหวัดนั้นไป คือเรียกว่าเนรเทศพร้อมเลย ตัวไหนเหมือนกันหมด ส่งตัวไหนต้องเนรเทศทั้งนั้น

 อย่างใกล้ก็หนองคาย จังหวัดเลยบ้าง หนองคายบ้าง สกลนครบ้าง ศรีสะเกษบ้าง อุบลบ้าง อย่างนี้ละเรื่อย บางทีโคราชก็มี ได้ตัวไหนเอาไปปล่อยเนรเทศ โถ มันเก่งมากนะมันเข้ามาได้ยังไง ที่ว่ามันขึ้นไม้ไผ่มานี้ เรายังไม่เชื่อนักนะ เพราะมันสูง มันทำไมจึงจะฉลาดเอาเหลือประมาณยิ่งกว่าคน มันจะต้องเข้าไปกอไผ่เสียก่อน แล้วขึ้นกอไผ่ จึงไต่ไปโน้นแล้วถึงจะลง ปัญญาแมวไม่สืบไม่ต่อเหมือนปัญญามนุษย์ ยิบแย็บ ๆ ออกนี้ขาดไปเลย ปัญญามนุษย์มันสืบมันต่อกัน เราจึงไม่แน่ใจ

 เมื่อวานซืนที่ไปดูข้างใน ไปดูชัดเจน ว่ามันจะขึ้นได้จริง ๆ เหรอ ดู ไม่แน่ใจว่ามันจะใช้ความพยายามแบบปัญญาของมนุษย์ สัตว์นี้ปัญญาอย่างนี้จะไม่มี ไม่แน่ใจกลับออกไป แต่สั่งแล้วนะไม้ไผ่ลำนี้ให้เอาออก สั่งเรียบร้อยแล้ว แล้วออกไปข้างนอกไปดูที่กอไผ่ เขากำลังเอาลง มาดูมุมเสารู้สึกว่าปักใจว่าจะขึ้นตรงนี้ คือเสาที่เขาตอกเขาจะทำเป็นกำแพง เสาอยู่ใกล้ชิดกับมุมเสากำแพงเรา มันอาจมานี้ โดดปั๊บขึ้นนี้ก็ได้ เลยสั่งพระเดี๋ยวนั้นเลยให้เอาสังกะสีมาตีรอบนี้หมด เอาเดี๋ยวนี้นะนี่ยังไม่ค่ำ พระก็เอาสังกะสีไปตีรอบ นั่นเห็นไหมมันยังไม่ได้แน่ใจ พอบอกแล้วประมาณพอสมควร ตอนจวนค่ำออกไปอีกไปดูอีก เออ ไม่เป็นไรละ ให้มันยกโคตรแมวมามันก็เข้าไม่ได้ ตายใจ วันนี้ได้แมวแล้วเบาใจ

 โห เป็นภัยน้อยเมื่อไร แมวเข้ามาตัวหนึ่งนี้ กระแต กระต่าย หมดนะ พวกนี้มันไม่ขึ้นอยู่กับว่าหิวโหยแล้วมากิน ๆ อิ่มแล้วไม่กัดอย่างนี้ไม่ได้นะ แมวนี่พอเจอปั๊บกัด กินไม่กินไม่สำคัญกัดเรื่อย นี่ที่สัตว์ฉิบหายเพราะแมวด้วยเหตุนี้เอง จึงต้องได้ทำกัน โฮ้ เรารักเราเมตตาจริง ๆ กับสัตว์ เอาใจใส่มากทีเดียว เมื่อวานเย็นก็เข้าไปไม่ใช่เหรอ เข้าไปถาม จับได้ไหม บอกว่าไม่ได้ นั่นละถึงกลับออกมาอีกมาหาพวก ต.ช.ด. หาพระอีก คือเอาให้ได้ มันอยู่ในบ้านมันเคยมากินสัตว์ในวัดแล้ว ส่วนมากมันฉลาด กินแล้วกลางคืนมันกลับไปบ้านมัน พอดึก ๆ กลางคืนวันหลังมาอีกมากินอีกแล้วข้ามไปบ้าน ถ้าอยู่ข้างในใครเจอเข้าก็ไล่มัน ทีนี้ตัวนี้มันยังไงถึงอยู่นะเมื่อวาน ถึงขนาดจับได้เลย

 ถ้าเจอแมวให้รีบบอกพระนะ บอกใครก็ตามคนในวัดของเรา พวก ต.ช.ด. หรือใครก็ได้ แล้วพระท่านจะบอกกัน พวก ต.ช.ด.จะบอกกันไปจับออก โห สัตว์เวลานี้กำลังเยอะนะสัตว์ในวัดเรา พวกกระต่ายมาก กระแตก็เยอะ เดี๋ยวนี้มีอยู่ทุกแห่งกระแต ข้างนอกก็มี เข้าไปข้างในก็มี ข้างในมากกว่าข้างนอก เข้าไปในครัวเราจะหาดูแต่กระแต ทางนี้(เขตพระ) ก็บอกเอาไม้ไปกองเอาไว้ คือสัตว์พวกนี้ถ้ามีที่โล่ง ๆ เขาจะไม่มา เวลาหลบภัยหลบยาก ต้องมีไม้ไปกองๆ ไว้เป็นแห่ง ๆ เวลาเขามาเจออันตรายหรือหลบภัยปั๊บเขาเข้ากองไม้ๆ

 นี่เราสั่งพระแล้วให้พระเอาไม้ไปกอง แล้วมันก็มาจริง ๆ นะ ทางจงกรมเราแต่ก่อนมันไม่ค่อยมา ไม่เห็น เดี๋ยวนี้มาเรื่อยๆ มันเข้ากองไม้ อย่างนั้นนะ คือถ้าที่ไหนมีที่หลบภัยพวกกระแตนี่ชอบไป เพราะมันโล่ง หากว่ามีเหตุการณ์อะไรวิ่งหนีไม่ทัน เขากัดเอาแล้ว ถ้ามีกองไม้ปั๊บเข้ากองไม้เลยมันก็พ้นภัย เราจึงได้หาไม้ทำไว้เป็นกอง ๆ เป็นแห่ง ๆ ส่วนมากจะเอาไปไว้ที่โรงอาหาร กระแตมักจะมากินนี่ แล้วมีกองไม้อยู่ที่นี่เป็นแห่ง ๆ ไป

 สงสารจริง ๆ นะสงสารสัตว์ ไม่ใช่ธรรมดา ถ้าแมวได้เข้าวัด เราถ้าพูดภาษาโลกก็เรียกว่าเราจะไม่สบายเลยถ้าแมวเข้าวัด มันกระเทือนถึงสัตว์ในวัดที่เราดูแลรักษาอยู่ด้วยความเมตตา แมวตัวเดียวเท่านั้นมาเป็นมหาภัยต่อสัตว์ เพราะฉะนั้นจึงไม่สบายใจถ้ามันไม่ออกเสียก่อน วันนี้ค่อยสบายใจจับได้แล้ว ไม่งั้นจะเอาอีกวันนี้ ดีไม่ดีจะพากันไล่กันทั้งวัด

 พวกทางร้อยเอ็ด จังหวัดไหนต่อจังหวัดไหนหลายจังหวัด ส่วนมากลูกศิษย์อาจารย์ศรี มหาวีโร มา พระประมาณสักไม่ต่ำกว่า ๒๐๐ มัง มากันเยอะเมื่อวาน เราก็เทศน์อบรมพระ เพราะนาน ๆ จะได้ยินได้ฟังอรรถธรรมทีหนึ่ง เมื่อวานอบรมพระเป็นส่วนมาก พระก็คนก็มีภัยเหมือนกัน ประชาชนก็รักษาแบบหนึ่ง พระก็รักษาแบบพระ สอนก็เข้าใจกันหมด เมื่อวานนี้ก็ได้ทองคำ ๑ กิโล ๓ บาท ๑๓ สตางค์ บวกกับภายในวัดเข้าไปแล้วเป็น ๑ กิโล ๔ บาท ๘๐ สตางค์ ดอลลาร์ทางนู้นได้ ๓๕๐ รวมกันแล้วเป็น ๓๗๘ ดอลลาร์ ทองคำที่มอบเข้าคลังหลวงแล้วเวลานี้ นี่หมายถึงที่มอบเรียบร้อยแล้ว ๕,๐๕๙ กิโลครึ่ง เหลือจากนั้นยังไม่เข้า เช่นเราได้ทีหลังมานี่หลังจากมอบแล้ววันที่ ๑๑ เมษา ๔๕ ได้ทองคำ ๒๐๑ กิโล ๖๑ บาท ๙๓ สตางค์ ที่ได้หลังจากมอบแล้ว รวมทองคำทั้งหมดได้ ๕,๒๖๑ กิโล นี่เรียกว่าทั้งหมด ทั้งเข้าแล้วและยังไม่เข้า

 อันนี้เราก็จับติดเหมือนกันนะ ได้วางจุดไหนไว้แล้วตามติด ๆ จริงจังทุกอย่าง นี่เราก็พยายามตามติดถึงตัวทองคำก็ ๑๐ ตัน ตามรอยมันเข้าไป มันมีหลายรอยตามเข้าไป ตัดรอยนั้นตัดรอยนี้เข้าไป ต่อไปก็ถึงตัว พระที่จะไปในงานธนาคารชาติทีแรกว่าจะเอา ๓๐ เราดูพระยังไม่ครบวัดต่าง ๆ เลยให้เพิ่มขึ้นอีก มันควรจะถึง ๖๐ ก็เอา ถึงแค่ไหนเราก็สั่ง เอา เท่านั้นพอ กำหนดที่พอ เรียกว่าสมบูรณ์แบบอยู่ที่พอ เราจะเป็นคนกำหนดพระ ทีแรกให้เอา ๓๐ นะ ทีนี้เวลามากำหนดวัดต่าง ๆ ยังไม่ทั่วถึงวัดเลย พระองค์สำคัญ ๆ ยังไม่ได้ ติดตามเอาเหล่านี้มา แล้วทีนี้มันเศษมันเหลือเท่าไร มันควรจะถึง ๖๐ ก็เอา เราไม่ว่า ขอให้เป็นมงคลในความต้องการของเราด้วยการพิจารณาเรียบร้อยแล้ว ๆ เราก็พอใจ เราจะเอาจุดนั้น

 เวลานี้ว่า ๓๐ ไม่แน่แล้วละ มันขึ้นไปแล้ว เวลานี้ ๓๐ กว่าแล้ว เลยให้พระท่านติดตามดูวัดนั้นวัดนี้ ให้ได้วัดที่มีพระจำเป็นๆ ให้เอามาให้ได้ทุกองค์ ๆ เสร็จเรียบร้อยแล้วจึงเสนอไปทางธนาคารชาติเขา จากนั้นจะทำยังไงก็ไม่ยากแหละ เพราะเรื่องพระอยู่กับเราทั้งหมด ทางธนาคารชาติมอบให้เรา ทีแรกทางธนาคารชาติอยากได้ ๖๐ ที่ว่าเราตัดลงเอา ๓๐ นี้ก่อน หากว่ามีเหตุผลเหนือนี้ เราจะแก้ นี่ก็แก้แล้วเห็นไหมล่ะ ถ้าเหตุผลเหนือ ๓๐ นี้ไปอีกแล้วเราจะแก้ นี่เริ่มแก้แล้วนะ เวลานี้ได้ ๓๐ กว่า เพราะพระที่เราต้องการ ๆ ที่สำคัญ ๆ ยังไม่ได้ครบ เราจึงต้องติดตามให้ได้มา นั่นละที่ว่าเหตุผลที่ควรจะแก้เราแก้ แก้แล้วนะ ๓๐ กว่าแล้ว

 ที่พูดข้อที่หนึ่ง เกี่ยวกับเรื่องประชาชนเราก็เลยเห็นตามนั้น ถ้าเกี่ยวกับเราแล้วไม่ต้องเลย พวกนี้มันจะไม่ยอมรับความจริงอะไรทั้งหมด เราเอาจุดใหญ่นี่ พวกนี้จะไม่ยอมรับความจริงทั้งนั้น แต่ผู้ที่ยอมรับความจริงด้วยเหตุด้วยผลมีอยู่มาก ที่เรียกว่าเป็นคนดี เอ้า ถ้าจะเขียนแก้เรื่องเหลือบเรื่องแหลบอะไรนั้นก็เขียนได้ เพื่อประชาชนทั้งหลายเขาได้ทราบเรื่องราว เราก็อนุโลมลง

 ข้อที่สองเกี่ยวกับกฐิน ๘๔,๐๐๐ กองนี้เราก็จะแยกไปให้พระวัดต่าง ๆ และประชาชนที่อยู่ในความเกี่ยวข้องของพระ ให้แต่ละหน่วยแต่ละวัด ๆ พิจารณากันเอง ช่วยกฐินแต่ละกอง ๆ แต่ละแห่งๆ ในที่นั้น ๆ นี่อันหนึ่ง ข้อนี้เราเห็นด้วยทันทีเลย แต่ข้อที่เกี่ยวกับเรื่องการแก้ข่าวของพวก จดหมายเขาโจมตี เหลือบ ๆ ยุง ๆ อะไรนั้นเราไม่สนใจ แต่นี้มาพิจารณาถึงเรื่องประชาชนที่มีความสนใจอยากจะรู้จะเห็นสิ่งเหล่านี้ยังมีอยู่มาก เพื่อท่านเหล่านี้จะได้เข้าใจ จึงยอมให้เขาเขียนแก้ข่าวอะไรต่ออะไร สำหรับเราแล้วเราไม่แก้ เราแน่ในหัวใจเราแล้ว ใครจะมาโจมตีอะไรก็ไม่มีความหมาย ความจริงนี้เหยียบแหลกหมดเลย ไม่มีอะไรเหลือ ความจริงอันเดียวเท่านั้นเหยียบแหลกหมด เราจริงทุกสัดทุกส่วน บริสุทธิ์เต็มเหนี่ยว เขาจะหาเรื่องใส่เราเท่าไร ๆ เราจึงไม่สนใจ

 แต่นี้เวลาท่านมาปรึกษาหารือ เกี่ยวกับเรื่องอยากให้ประชาชนทั้งหลายได้ทราบ เรื่องการแก้ข่าว ที่เขาหาเรื่องว่าเป็นพวกเหลือบพวกอะไรเหล่านี้นะ เราก็เลยอนุโลมให้เพื่อประชาชนจำนวนมาก สำหรับเราแล้วเราไม่สนใจกับใคร ๆ ทั้งนั้น ความจริงมียังไง เราจะก้าวเดินตามความจริง ๆ เพื่อประโยชน์แก่ส่วนรวมเท่านั้น อันนี้มีคนจำนวนมากที่ยังไม่เข้าใจเรื่องนี้ ก็ให้เขาได้เข้าใจบ้าง เราก็ปล่อยไป เอ้า จะเขียนก็เขียนได้ ก็มีเท่านั้นสองข้อที่ปรึกษาหารือกัน ข้อที่สองเกี่ยวกับเรื่องกฐินแต่ละกอง ๆ ที่จะกระจายไปตามวัดต่าง ๆ ในแถวกรรมฐานของเรา วัดกรรมฐานนั่นแหละมีอยู่ทั่วไป ออกไปทุกแห่งทุกหนรวมกันมา อันนี้เราเห็นด้วยทันทีเลย

 เราเหนื่อยทุกวัน วันไหนเหนื่อยทุกวัน เมื่อวานนี้เทศน์ดูเหมือน ๔๖ นาที ก็เท่านั้นแหละ เหนื่อยมากเมื่อวาน เทศน์ก็เทศน์เรื่อย ๆ ไปมันก็ยังเหนื่อยนะ ได้ ๔๖ นาทีจบเมื่อวานนี้

 พี่น้องทั้งหลาย หลักพุทธศาสนานี่โปรดทราบทั่วหน้ากันว่า หลักของกรรมคือหลักพุทธศาสนาแท้ เชื่อบุญเชื่อกรรมนี้คือเชื่อศาสนาโดยแท้ ถ้าไม่เชื่อบุญเชื่อกรรมจะถือกี่ศาสนาไม่มีความหมายหมด ศาสนาพุทธของเราเป็นศาสนาชั้นเอกตั้งลงในหลักแห่งกรรม เชื่อบุญเชื่อกรรม พระพุทธเจ้าทรงทำความปรารถนามาด้วยบุญด้วยกรรม เมื่อบุญกรรมสมบูรณ์แล้วเป็นศาสดาขึ้นมา เป็นศาสดาขึ้นมาด้วยอำนาจแห่งการบำเพ็ญตามบุญตามกรรมของพระองค์มา ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า สร้างแถวทางที่ให้เป็นศาสดา จนกระทั่งได้เป็นศาสดาตามแถวทางที่ถูกต้องนี้ที่เรียกว่ากรรม เป็นศาสดาขึ้นมา บรรดาสาวกทั้งหลายก็เหมือนกัน

 สัตว์ทั่วโลกนี้มีกรรมเป็นของตัวด้วยกันทุกคน ไม่เว้นแต่ละรายนะ ไม่ว่าสัตว์น้ำ สัตว์บก สัตว์ประเภทไหน ๆ มีกรรมติดแนบ ๆ อยู่ด้วยกัน เพราะฉะนั้นให้พากันเชื่อบุญเชื่อกรรม อย่าเชื่อความอยากความทะเยอทะยาน จะทำเราให้ล่มจมได้ไม่สงสัย ให้ฝืนนะ ความไม่ดีทั้งหลาย มันอยากมากเท่าไรให้ฝืนกันอย่างหนัก เรียกว่าเอาตัวรอดออกมา ถ้าเป็นไปตามความอยากมากซึ่งเป็นความเสียหายนั้นจมได้ไม่สงสัย เอาเลยๆ ต้องเอาให้หนักนะ อันนี้ก็เป็นคติอันหนึ่งที่จะได้นำมาสอนพี่น้องทั้งหลาย เราก็เชื่ออย่างนี้ ที่ว่าสละตายเลย วันนี้นั่งตลอดรุ่งจะเคลื่อนย้ายไปไหนไม่ได้ นี่เรียกว่าฝังลงเลย จะเอาให้เห็นความจริงในวันนี้

 นั่งหัวค่ำ บางวันตะวันยังไม่ตก นั่งแล้วนะ ฟาดตะวันโผล่ขึ้นมา กี่ชั่วโมง มันจะถึง ๑๓–๑๔ ชั่วโมงก็ได้เป็นบางคืนนะ นี่ละที่ว่าความจริง เอากันอย่างจริง ๆ นี่ก็เชื่อกรรม เราจะได้รู้ได้เห็นธรรมด้วยอำนาจแห่งการปฏิบัติเด็ดเดี่ยวเฉียบขาด ทีนี้ก็ซัดกันลงจริง ๆ ถึงขั้นจะเป็นจะตาย เอา มันจะเป็นจะตายจริง ๆ เอาดู อะไรจะตายก่อนตายหลัง มันไม่ได้ถอยนะ ร่างกายของเราเหมือนซุงทั้งท่อน ทุกขเวทนาเหมือนไฟลามไฟเผาซุงทั้งท่อน ร่างกายของเราเหมือนซุงทั้งท่อน ทุกขเวทนาที่โหมตัวเข้ามาเหมือนไฟเผาร่างกายเผาซุงทั้งท่อน

 ทีนี้เมื่อมันเต็มที่แล้ว เอา อะไรจะตายก่อนตายหลังให้รู้ ในร่างกายของเรานี้มีจิตเป็นตัวการอยู่นี้ อะไรจะตายก่อนตายหลังให้รู้กันถึงขีดนี้ ให้รู้กันวันนี้ ฟัดกันลงด้วยสติปัญญาหมุนเป็นธรรมจักรเลย เวลานั้นทุกข์มากเท่าไร เราจะไปทนเฉย ๆ ไม่ได้นะ นอนตายละอย่างนั้น ไม่ใช่มรรค ไม่ใช่ทางดำเนินเพื่อรู้เพื่อเห็นธรรมทั้งหลาย จึงต้องสอดกันเข้าไปถึงขนาดที่ว่าเอามันจะตาย อะไรจะตายก่อนตายหลังจะดูให้เห็นชัดเจน ปัญญาฟาดลงไป ๆ ครั้นสุดท้ายมันมาเห็น เมื่อต่างอันต่างจริงแล้วมันก็ถอนพรวด ไอ้เรื่องที่เป็นข้าศึกต่อกัน ที่สำคัญว่าเจ็บที่นั่นปวดที่นี่ อันนั้นเป็นเราอันนี้เป็นของเรา มันไปถือกรรมสิทธิ์ว่าเป็นเราเป็นของเราไปเสียหมด ความหึงความหวงความทุกข์มันก็มากขึ้น ๆ

 ทีนี้เอาสติปัญญาหยั่งลงไป เรื่องความทุกข์ความทรมานอะไรเป็นทุกข์ สังขารร่างกายเป็นทุกข์ สังขารส่วนไหนว่าเป็นทุกข์แยกออกมา หมดทั้งร่างกายนี่เวลาตายแล้วเอาไปเผาไฟมันแสดงอาการยังไงบ้าง ไม่มี เวลานี้เป็นอยู่ยังไงมันถึงได้เดือดได้ร้อนนัก ไล่กันไปตั้งแต่หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เข้าไปข้างในข้างนอก ถามอะไรเป็นทุกข์ มันก็ไม่เห็นมีอะไรเป็นทุกข์ ถามเข้ามาหาทุกข์จริง ๆ ทุกข์ก็ไม่ได้นิยมว่ามันเป็นทุกข์ แล้วใครไปสำคัญมั่นหมายว่าสิ่งเหล่านี้เป็นทุกข์ มันย้อนมาหาจิตแล้วจิตนี้เป็นตัวกลมายา สัญญาอารมณ์หลอก กิเลสอยู่ในนั้นมันหลอก

 พิจารณาย้อนเข้ามา จิตนี้เป็นตัวการตัวหลอกลวงตัวเอง ตัวการก็คือกิเลสอยู่ในจิตนี่ มันหลอกลวง ตีเข้ามาหาจิต ตีออกไปตีเข้ามา ย้อนหน้าย้อนหลัง สุดท้ายก็มาเข้าใจความจริง ร่างกายนี้ไม่ได้เป็นทุกข์ คนตายแล้วเอาไปเผาไฟไม่เห็นแสดงอะไรถ้าว่าร่างกายเป็นทุกข์ ร่างกายไม่ได้เป็นทุกข์ อะไรเป็นทุกข์ไล่เข้ามา ตั้งแต่พวกอวัยวะต่าง ๆ ไล่กันหมดแล้ว รวมแล้วร่างกายไม่ได้มีทุกข์เลย แล้วทุกข์อันนี้มาจากไหน ใครเป็นคนให้ความหมายว่าอันนั้นเป็นทุกข์ อันนี้เป็นทุกข์

 ไล่เข้าไป ถึงทุกข์จริง ๆ ทุกข์เขาก็ไม่มีความหมาย เขาไม่ได้ว่าเขาเป็นทุกข์ แล้วใครไปให้ความหมายเขา ไล่เข้าไปถึงจิตละซี พอเข้าไปถึงจิตก็ไปทราบตัวจริงอยู่นั้น อ๋อ ตัวนี้เป็นตัวหลอก พอมารู้ตัวนี้ตัวหลอก มันก็ถอนจากความสำคัญนั้น ทีนี้ต่างอันต่างจริง ร่างกายทุกส่วนเป็นของจริง เวทนาเป็นของจริง จิตก็เป็นของจริง ธรรมที่เป็นความสงบจะแสดงขึ้นมา กาย เวทนา จิต ธรรม มันจริงทุกอย่างแล้ว ต่างอันต่างจริงแล้วก็ลงผึงเลย นี่ที่ได้พูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง เรื่องความสัตย์ความจริง เชื่อกรรม เอาเถอะน่ะมันจะตายก็ให้มันตาย ตายต่ออรรถต่อธรรมไม่เป็นไร ไม่ลงนรก

 สุดท้ายมันก็รู้ขึ้นมา อย่างที่ว่ามันจ้าขึ้นมา เคยรู้เคยเห็นเมื่อไร ไม่เคยคาดเคยคิด ก็เพราะสิ่งเหล่านี้ปกคลุมไว้ อันนั้นเป็นเรา อันนี้เป็นของเรา เป็นต้น มันควบคุมเอาไว้หมดไม่ให้มองเห็นความจริง พอปัญญาสอดเข้าไปๆ เบิกออกๆ มันก็รู้ สิ่งทั้งหลายที่ว่าร่างกายเป็นทุกข์หมดปัญหาเลย เวทนาเป็นอะไรเขาก็ไม่มีความหมายอะไร ผู้ให้ความหมายก็คือใจ ใจก็มารู้ตัวแล้ว สติปัญญาตีเข้าไปนั้น ใจก็เป็นความจริงอันหนึ่ง เป็นนักรู้ ซัดเข้าไปก็พังเลย จิตมันก็จ้าขึ้นมา นี่กรรมอันหนึ่ง ความเด็ดเดี่ยวเฉียบขาดเพื่อรู้เห็นความจริงทั้งหลาย เช่นอะไรจะตายก่อนตายหลังเอาให้รู้กัน ทดสอบหาขนาดนั้น มันก็รู้จริง ๆ

 นี่ที่ได้มาพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ล้วนแล้วแต่ผ่านมาทั้งนั้นที่มาพูด เพราะฉะนั้นจึงอาจหาญชาญชัยในการพูด ไม่มีคำว่าสะทกสะท้าน การดำเนินมาหนักเบามากน้อยตัวเองทำ ไม่ใช่คนอื่นคนใดทำ รู้ขึ้นมาด้วยจากผลของการทำตัวเองก็เจ้าของรู้ เมื่อเป็นเช่นนั้นใครจะมาเป็นผู้ให้คะแนนตัดคะแนนได้ ไม่มีใคร มีแต่เรา เขาไม่ทำมาตัดคะแนนให้คะแนนแก่เรามีความหมายอะไร เราเป็นผู้ทำเอง เป็นผู้ตัดเป็นผู้ให้คะแนนตัวเองต้องเชื่อตัวเอง กรรมอยู่กับเรา ซัดกันลงไปตรงนั้น ถึงได้จ้าขึ้นมา วันนั้นเป็นปฐมฤกษ์ จากนั้นมานี้กล้าหาญไม่ต้องบอกเลยนะ

 อันนี้เรายังไม่เคยรู้ก็รู้ขึ้นมาแล้วในวันนี้ อัศจรรย์เกิดคาดเกินหมาย ด้วยอำนาจแห่งความพากเพียรที่สละตายกันเลย แล้วเวลามันจ้าขึ้นมาอย่างนั้น วันหลังก็เอาตายเข้าว่า มันจะเป็นยังไงก็เป็น ธรรมชาติที่อัศจรรย์ได้เห็นแล้ว มุ่งต่อธรรมชาติอัศจรรย์ แล้วก็ก้าวเดินด้วยหลักปัจจุบัน มันก็จ้าขึ้นมาเรื่อย ๆ นี่แหละเหตุมีความเข้มแข็งขนาดไหน ผลก็แสดงความพึงพอใจขึ้นมาเป็นลำดับลำดา จึงให้เชื่อบุญเชื่อกรรม อย่างเวลานี้เราจะพูดตามหลักธรรมชาติว่าบุญว่ากรรมว่าบาปอะไรนี้ในหัวใจเราไม่มี กิริยาอยู่กับโลก ธาตุขันธ์นี้เป็นโลก เมื่อธาตุขันธ์เป็นโลกการปฏิบัติตัวเองก็ให้เหมาะสมกับธาตุขันธ์นี้เป็นโลกเหมือนกันกับโลกทั่ว ๆ ไป อะไรควรเว้นๆ ที่ปฏิบัติมายังไงต้องปฏิบัติตามเดิมนั้น เพราะธาตุขันธ์ยังเป็นสมมุติอยู่ ส่วนจิตที่จะผ่านไปแล้วก็ตาม นั้นเป็นเรื่องของจิต แต่คลุกเคล้าอยู่ในโลกสมมุติก็คือร่างกาย วาจา การกระทำ ต้องได้ปฏิบัติตามขอบเขตของสมมุตินี้ตลอดไปจนกระทั่งถึงวันตาย พากันเข้าใจเอานะ

 เรื่องบาปเรื่องบุญไม่มีในใจนั่น หมดไปตั้งแต่กิเลสขาดสะบั้นลงไป ท่านจึงเรียกว่า ปุญญปาปปหินบุคคล ผู้มีบุญและบาปอันละเสียหมดแล้ว ได้แก่พระอรหันต์ มันก็รู้ขึ้นมาในตัวเอง ผ่านไปหมดแล้ว ที่ดิ้นอยู่นี้มีแต่เรื่องสมมุติ ขันธ์ของเรานี้ก็เป็นสมมุติ สมมุติต่อสมมุติปฏิบัติกันให้ถูกต้องเท่านั้นเอง เรื่องจะให้จิตนี้มารับบาปรับบุญกับกิริยาที่ทำไม่มี มันขาดสะบั้นไปตั้งแต่ขณะที่กิเลสขาดลงไปจากใจ มันเห็นชัด ๆ อย่างนี้จะไปถามใคร ไม่ถามใคร

 เวลาอยู่ในโลกสมมุติก็ต้องปฏิบัติ เช่นอย่างพระปฏิบัติตามหลักธรรมหลักวินัย ทั้งพระธรรมดา ทั้งพระอรหันต์ปฏิบัติแบบเดียวกัน เพราะธาตุขันธ์มีเสมอกันต้องปฏิบัติให้พอเหมาะพอดีกับโลกสมมุติ จนกระทั่งจิตหรือว่าธาตุขันธ์ขาดสะบั้นลงไปนั้นมันก็หมดปัญหาไป นี่ท่านรักษาเป็นขั้น ๆ อย่างนี้ ส่วนจิตแล้วตั้งแต่ขณะกิเลสขาดลงไปแล้วไม่มีอะไรสามแดนโลกธาตุนี้จะไปทำจิตให้กำเริบแบบใดก็ตาม ไม่มี ดีหรือชั่วไม่มี เพราะดีหรือชั่วก็เป็นฝ่ายสมมุติทั้งหมด ท่านจึงเรียกว่า ปุญญปาปปหินบุคคล บุญบาปละหมด เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นทางเดิน บาปเป็นเครื่องกดขี่ บุญเป็นเครื่องสนับสนุน เหมือนบันไดขึ้นบ้านของเรา เมื่อขึ้นถึงบ้านแล้วบันไดก็เป็นบันได บ้านก็เป็นบ้านไป ขาดจากกันไปแล้ว จิตขาดจากอันนี้ไปแล้วจึงไม่มี บุญไม่มี บาปไม่มีในจิต ตั้งแต่ขณะกิเลสขาดลงไปแล้วท่านหมดปัญหาโดยสิ้นเชิง ไม่มีอะไรเหลือเลย

 แต่ที่ยังมีอยู่ที่ต้องปฏิบัติรักษาอยู่ก็คือธาตุขันธ์ ธาตุขันธ์นี้เป็นสมมุติล้วน ๆ เหมือนโลกทั่ว ๆ ไป เพราะฉะนั้นกิริยาปฏิบัติจึงให้เหมาะสมกับสมมุติ สมมุติของธาตุขันธ์ของพระของเณรของประชาชนมันต่างกันในเพศ เพศของพระต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามพระ เพศของญาติโยมก็ตามเรื่องของโยมไป เมื่อเป็นพระปฏิบัติตามหลักศีลหลักธรรมของพระ ท่านรักษาไปจนกระทั่งวันท่านนิพพาน ท่านไม่ทำลาย เป็นคนละวรรคละตอน นี่ละโลกเป็นอย่างนี้

 ถ้าพูดถึงเรื่องจิตตั้งแต่ขณะตรัสรู้ขึ้นไปปั๊บลงเท่านั้นหมดเลยไม่มีอะไรเหลือ จิตเมื่อพ้นแล้วไม่มีปัญหาอะไรเลยในแดนโลกสมมุติ โลกธาตุนี่ กามโลก รูปโลก อรูปโลกเป็นกองสมมุติทั้งหมด จิตผ่านไปหมดแล้ว สิ่งเหล่านี้จึงไม่ไปเกี่ยวข้องได้เลย นั่นละท่านว่าบรมสุข บรมสุขที่ว่าสุขอย่างยิ่ง ๆ นี้ก็ต้องเอาสมมุติเข้าไปใส่นะ ที่ว่าสุขอย่างยิ่งหรือสุขอย่างยอดเยี่ยมอะไรอย่างนี้ในพระนิพพาน นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ ปรมํ ๆ สุขอย่างยอดอย่างเยี่ยม ท่านก็เอาใส่เข้าไป ธรรมชาติแท้ ๆ คืออะไร พูดไม่ถูก ใครจะไปคาดก็คาดไม่ได้ ท่านเองท่านก็ไม่คาดผู้ท่านเป็น แต่เมื่อมีสมมุติก็ต้องแยกออกมาอย่างนี้ เป็นนิพพาน เป็นอันนั้นเป็นอันนี้ไป ธรรมชาตินั้นไม่สงสัย

 อย่างที่เถียงกันนิพพานเป็นอัตตาอนัตตายุ่งกันไปหมด ถ้าลงเข้าถึงนิพพานจริง ๆ แล้วไปถามหาอะไร พวกที่มันเห่ามันก็เห่า เมื่อมันเห่านักก็ให้มีหมาอยู่ตัวหนึ่งเข้ามาตัดสิน เห่าว้ากลงไป อัตตาอนัตตาเป็นนิพพานพ่อแม่มึงยังไง ก็ว้ากสักทีหนึ่ง ท่านผู้รู้แล้วท่านหายสงสัยแล้ว เหล่านี้เป็นสมมุติทั้งหมด มันเป็นนิพพานได้ยังไง เพียงเท่านั้น อันนั้นไม่ได้เป็นอันนี้ อย่างเขียนไว้ที่ว่านิพพานคือนิพพานเป็นอื่นไปไม่ได้ ออกมาตัดสมมุติที่กำลังกัดแทะกันยุ่ง เรื่องแยกนิพพานเป็นอัตตาเป็นอนัตตา

 ให้พากันเชื่อกรรม ใครก็ตามคนที่ไม่เชื่อกรรม เป็นคนหมดความหมายแล้วตั้งแต่มีชีวิตอยู่ จะทำตั้งแต่ความชั่วช้าลามกซึ่งเป็นเครื่องดึงดูดของกิเลส เครื่องผลักดันของกิเลสออกเพื่อทำความชั่วเท่านั้น คนยังเชื่อบุญเชื่อกรรมอยู่แล้วถึงอยากทำยังมีขยะ ๆ นะ โห นี่เป็นบาปนะอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่กล้าทำ แม้ทำก็ไม่หนักมือ ไม่ทำตามอารมณ์ของใจโดยถ่ายเดียว มีขยะมีระมัดระวัง ผู้นี้ถึงเป็นบาปก็ไม่เป็นมากเหมือนผู้ที่ทุ่มลงไปเลยโดยที่ว่าไม่เชื่อบุญเชื่อกรรม ผู้นี้จม ไม่มีอะไรเหลือคนนี้นะ เราเกิดมาได้รับพระพุทธศาสนาเป็นธรรมอันเลิศเลอแล้วขอให้ยึด ให้กราบให้ไหว้ ให้สนิทใจ ให้ตายใจ ฝากเป็นฝากตายกับท่าน อย่าไปฝากกับกิเลสมันพาเราให้ล่มจมมามากต่อมากแล้ว

 พระพุทธเจ้าไม่มีพระองค์ใดที่จะทำโลกให้มีความล่มจม องค์นั้นให้เจริญองค์นี้ให้ล่มจม ไม่เคยมีในพระพุทธเจ้าทุกพระองค์เลย รื้อขนสัตว์โลกขึ้นจากทุกข์โดยลำดับ ๆ แต่กิเลสตัวไหนก็ตัวนั้นลากลงทั้งนั้น ให้จำอันนี้ให้ดี แล้วตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ ฝึกหัดตนเองด้วยความขยันหมั่นเพียร ต้องฝืน ถ้ากิเลสมีอยู่ในใจมากน้อยต้องฝืนทั้งนั้นแหละ เพราะกิเลสลากลง เราลากขึ้น ๆ จนกว่าถึงขั้นที่ว่าธรรมมีอำนาจมากแล้ว อย่างที่เคยพูด ได้รั้งเอาไว้ ๆ นั่นไม่มีที่จะบังคับให้สู้กับกิเลส ไม่มี มีแต่พุ่ง ๆ ๆ เลย เรียกว่ารั้งเอาไว้ให้อยู่ในความพอเหมาะพอดี อย่าให้มันเลยเถิดเตลิดเปิดเปิงซึ่งไม่ใช่ธรรมเหมือนกัน ความพอดีคือธรรม

 เมื่อมันหนักหรือเมื่อยล้าพักเสียก่อน เช่นท่านสอนว่าให้พักสมาธิให้เข้าสู่สมาธิ อย่าใช้กิริยาอาการเป็นการทำงานด้วยปัญญา พักให้จิตสงบอยู่ในสมาธิเป็นอารมณ์อันเดียว อันเป็นการสั่งสมกำลังขึ้นในนั้น นี่อันหนึ่ง อันหนึ่งจะรับประทานอาหาร นอนหลับได้ เรียกว่าพักธาตุพักขันธ์ พอตื่นขึ้นมาแล้วเอาเลย ต้องมีการพักอย่างนั้น จิตที่มีความแกล้วกล้าสามารถแล้วปรกติแล้วยังไงก็จะไม่พัก จะหมุนจี๋ตลอดเลย ต้องมีธรรมเป็นเครื่องกระตุกเอาไว้ให้อยู่ในความพอดี นี้ในตำราก็มีเราเรียนไปก็เห็นในตำรา แต่ก่อนมันไม่ได้ปฏิบัติ เรียนจริงๆ มันก็มีในตำราอ่านไป ๆ

 ท่านบอกถึงเวลาพักให้พัก ถึงเวลาทำงานคือด้วยสติปัญญาให้ทำเป็นระยะเป็นเวลา ท่านบอกไว้นะ แต่เวลามันเข้าถึงตัวของเราแล้ว มันลืมพักไปนะ คือความเพลินที่จะให้หลุดพ้นจากทุกข์นี้เหมือนนิพพานอยู่ชั่วเอื้อม ๆ นี่ละที่จิตใจมันหักโหมมากต่อความพากเพียร มันจะไม่รู้จักยับยั้งชั่งตัวอยู่ในความพอดี มันจะหมุนของมันติ้ว ๆ จึงต้องมีธรรมข้อนี้ให้พัก ให้เข้ามาพัก ถึงเวลาพักแล้วพักเสียก่อน แล้วค่อยออกก้าวเดินใหม่ ท่านเทียบในปริยัติ ท่านบอกแนวรบนักรบ ถึงกาลเวลารบๆ ถึงเวลาหลบซ่อนพักผ่อนหย่อนตัว ให้หลบให้ซ่อนพักผ่อนหย่อนตัว ท่านพูดไว้ในปริยัติ ไม่ใช่แต่นักรบ ๆ จะเอาแต่ชัยชนะใส่ตูม ๆ ทีเดียวตายได้ แพ้ได้ ต้องมีการหลบหลีกปลีกตัว มีการพักผ่อน ทุกอย่างท่านแสดงไว้ในนั้นหมด

 อันนี้การทำความพากเพียร ถึงเวลาที่ธรรมมีกำลังกล้ารู้ด้วยกันทุกคน นี่ละที่ว่าธรรมเป็นอัตโนมัติ แก้คนให้หลุดพ้นจากทุกข์ได้อัตโนมัติ แก้กิเลสโดยอัตโนมัติเป็นอย่างนี้แหละ ธรรมถึงขั้นนี้แล้วไม่มีใครบอกก็รู้เอง จะไม่มีเวลายับยั้งเลย มีแต่หมุนติ้ว ๆ เพลินที่จะให้หลุดพ้นจากทุกข์โดยถ่ายเดียว ประหนึ่งว่านิพพานอยู่ชั่วเอื้อม ๆ มันก็หมุนใหญ่ล่ะซิ ชั่วเอื้อมก็ตามมันจะตายเดี๋ยวนี้เห็นไหม พักเสียก่อน แน่ะบอกให้พักเสียก่อน เวลามีกำลังแล้วค่อยเอื้อมใหม่ ความหมายว่าอย่างนั้น จะเอื้อมเดี๋ยวนี้ ๆ มันกำลังจะตายรู้ไหม ให้พักเสียก่อน พอได้กำลังแล้วค่อยเอื้อมใหม่ ความหมายว่างั้น ท่านจึงให้พัก

 นี่ละเรื่องธรรม เรียกว่าธรรมนี้ประกาศก้องกับกิเลสเสมอกันเลยนะ เวลากิเลสมีกำลัง อย่างสัตว์ทั่ว ๆ ไป กิเลสมีกำลังกิเลสเป็นอัตโนมัตินะ ไม่ว่าคิดว่าปรุง กระดิกพลิกแพลงอะไร ๆ กิเลสจะออกทำงานๆ โดยอัตโนมัติของมัน ไม่ว่าจะได้รู้ได้เห็น ได้ยินได้ฟังหรือคิดอ่านตามลำพังตัวเอง ก็เป็นเรื่องของกิเลสพาคิด นี่เรียกว่ากิเลสทำงานโดยอัตโนมัติบนหัวใจสัตว์ แล้วก็สร้างทุกข์ให้สัตว์ นี่เวลามันมีกำลังมาก เราจะประกอบความพากความเพียรมันฝืน ความคิดตามเรื่องของกิเลสไหลรื่นไปเลย ความคิดตามอรรถตามธรรมนี้ขลุกขลัก ติดตมติดโคลน เช่น เราจะนึกพุทโธ ๆ นี้ไม่ได้นะ หนักมาก ถ้านึกกับกิเลสเป็นบ้าไปเลย

 นี่ละความคิดเหมือนกัน ความคิดนี้เป็นฝ่ายมรรค ฝ่ายจะชะจะล้าง พุทโธเป็นต้น เรียกว่าสังขารอันนี้เป็นสังขารฝ่ายมรรค สังขารเป็นฝ่ายสมุทัยมันคิดมันปรุงตามเรื่องของมัน อันนี้เป็นเรื่องของสมุทัย เราจะเอาสังขารฝ่ายนี้ระงับมันยากนะ มันอยากปรุงไปตามกิเลส นี่เวลากิเลสมีกำลังมาก ทีนี้พอเราพยายามฝืนเข้า ๆ แล้วก็เห็นผลขึ้นมาเป็นความสงบเย็นใจ เพราะสังขารเป็นฝ่ายมรรคนี้ชะล้างหรือว่าบังคับความฟุ้งซ่านวุ่นวายให้สงบตัวลงไปด้วยบทธรรมอันนี้ เห็นคุณค่า ทีนี้ถึงจะลำบากมันก็ฝืน เพราะเห็นผลอยู่แล้วมันก็ฝืนกันไป ต่อไปก็ค่อยราบรื่น ๆ จนกระทั่งถึงขั้นที่ว่าธรรมก็เป็นอัตโนมัติเหมือนกัน แล้วยังไงก็ไม่ถอย

 กิเลสเป็นอัตโนมัติ ทีนี้ธรรมก็เป็นอัตโนมัติแล้วฆ่ากิเลสโดยอัตโนมัติของตนเอง ไม่ต้องได้บีบบังคับบัญชาอะไรเลย มันจะหมุนของมันเรื่อย ฆ่ากิเลสเรื่อย ๆ ไม่มีเวลา เพราะจิตขั้นนี้จะไม่มีเผลอ สติปัญญาขั้นอัตโนมัติแล้วจะไม่มีคำว่าเผลอ มันจะหมุนของมันไปโดยหลักธรรมชาติ ๆ อยู่อย่างนั้นตลอด เป็นอัตโนมัตินะที่นี่ อยู่ที่ไหนเป็นอัตโนมัติหมด เว้นแต่หลับ พอตื่นขึ้นมาจับแล้ว ไม่ทราบว่าขึ้นเวทีเมื่อไร พอตื่นขึ้นมาต่อยกันแล้ว ๆ นี่ละปัญญาเป็นอัตโนมัติ ปัญญาธรรม สติธรรม ความเพียรก็เป็นวิริยธรรม เป็นธรรมไปหมดเลย ถ้าลงถึงขั้นอัตโนมัติแล้วทุกอย่างเป็นอัตโนมัติไปตาม ๆ กันหมด

 จากนี้ก็ฆ่ากิเลสเรื่อย ๆ เป็นอัตโนมัติ ๆ จากสติปัญญาอัตโนมัติก้าวเชื่อมเข้าไปถึงมหาสติมหาปัญญา อันนี้เชื่อมไปเลย ซึมซาบไปเลย สติปัญญาอัตโนมัติยังเหมือนว่าเป็นวรรคเป็นตอนๆ ถึงจะถี่ยิบก็เป็นวรรคเป็นตอนเหมือนเขายำลาบ แต่ถ้าลงเป็นมหาสติมหาปัญญาแล้วซึมซาบไปเลย ต่างกันอย่างนี้ ประเภทเหล่านี้ประเภทอัตโนมัติทั้งนั้นนะ กิเลสนี่รอวันตาย พวกสติปัญญาอัตโนมัติ จนกระทั่งถึงมหาสติมหาปัญญานี้มีแต่ กุสลา ธมฺมา กิเลสเรื่อยไปเลย กิเลสมีแต่คอยจะตาย จำให้ดีนะ

 นี่ละธรรมพระพุทธเจ้าสด ๆ ร้อน ๆ อยู่อย่างนี้ ขอให้ปฏิบัติ อยู่ในหัวใจทุกคน หัวใจเราไม่มีวัย กิเลสไม่มีวัย ธรรมไม่มีวัย เอาขึ้นมาประกอบกันเมื่อไรได้เมื่อนั้น ประกอบตีกิเลส กิเลสก็พังได้ๆ กิเลสตีธรรม ธรรมก็พังได้ แล้วแต่เจ้าของจะหมุนไปทางไหน ให้เจ้าของคิดเอง ฟังให้ชัด ๆ ก็ว่า กิเลสไม่มีวัย ไม่มีแก่เฒ่าชรา ธรรมก็ไม่มีวัย ไม่มีเฒ่าแก่ชราได้ ให้เรายึดเอาอันนี้ หมุนไปทางกิเลสเป็นกิเลสขึ้นมา ไม่ว่ากลางค่ำกลางคืนเวลาไหน เป็นกิเลสขึ้นมาได้ทุกเวลา ธรรมนี่หมุนไปทางธรรมก็แบบเดียวกันเป็นธรรมขึ้นมาได้ทุกเวลา สมกับว่าอกาลิโก

 กิเลสก็เป็นอกาลิโก ธรรมก็เป็นอกาลิโก อยู่ในท่ามกลางคือเรา จะยึดอันใดเป็นหลักเป็นเกณฑ์ ยึดธรรมก็ธรรมเป็นสมบัติของเราขึ้นมา ยึดกิเลสกิเลสก็เป็นข้าศึกต่อเราขึ้นมาโดยทันทีทันใดนั่นแหละ ให้ยึดอยู่ที่หัวใจนะ ปฏิบัติเอาอย่างนี้ แล้วจะได้เห็นชัด ๆ พอถึงขั้นอัตโนมัตินี้แล้วยังไงก็ไม่รอ เรื่องวันที่จะสิ้นสุดวิมุตติหลุดพ้นนี้ เหมือนว่านิพพานอยู่ชั่วเอื้อม นิพพานก็คือว่าสิ้นทุกข์หมดแล้ว อยู่ชั่วเอื้อมๆ หมุนติ้ว ๆ เลย เรื่องทุกข์เรื่องลำบากเป็นเรื่องของกิเลสจะหาเข้ามากีดมาขวาง กล่อมไปด้วยนะ อันนี้ให้ระวังให้ดี ถ้าจะสร้างคุณงามความดีประเภทใดก็ตาม เรื่องของกิเลสจะขวางเข้ามาทันที มีมากมีน้อยขวางตลอด ให้ทำไม่ได้

 คนที่หนามากนี้มันก็ขวางมาก เงินบาทหนึ่งจะให้ทาน ถือแล้วถือเล่าดูแล้วดูเล่า สุดท้ายเงินทุกวันนี้เป็นเงินกระดาษเปื่อยเลย เพราะเหงื่อมือ มันกำแล้ววาง กำแล้วแบ ๆ สุดท้ายเงินกระดาษเปื่อยเลยไม่ได้ทาน นี่ละความตระหนี่มันขยำเอาแหลก เรื่องธรรมแล้วจับปุ๊บ ๆ เลย นั่นเห็นไหม เอาละพอ

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก