กิเลสเกิด ธรรมเกิด
วันที่ 5 มิถุนายน 2544
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๔

กิเลสเกิด ธรรมเกิด

(ขอให้ธาตุขันธ์ของครูบาอาจารย์อยู่ต่อไป ช่วยชาติสำเร็จ และช่วยลูกศิษย์ต่อไปเจ้าค่ะ) ลูกศิษย์หลวงพ่อสังวาลย์เหรอ ให้หลวงตาอยู่นาน ๆ งั้นเหรอ เอามาแข่งกันเดี๋ยวนี้ อายุเท่าไร อายุหลวงตาเท่าไร เอาอายุมาแข่งกันใครนานกว่ากัน อยากให้หลวงตาอยู่นาน ๆ อีกหลวงตามันร่วมร้อยแล้ว นี่ได้กี่ปี (หลวงตาเป็นองค์ที่วิเศษ) วิเศษยังไง หาเรื่อง ยุ่งไม่เข้าท่า ช่วยโลกก็ช่วยอยู่แล้ว อยู่ไปจนกระทั่งสิ้นลมหายใจถึงจะตาย ถ้ายังไม่สิ้นลมหายใจไม่ยอมตาย สู้จนสุดขีดนะ

เราก็เคยบอกแล้วว่า ในชีวิตของเรามีสองครั้งนี้ ครั้งแรกก็คือช่วยตัวเอง นี้ก็เรียกว่าทุ่มเลย ไม่มีอะไรเศษอะไรเหลือไว้เป็นเครื่องอาลัยว่า มีคุณค่ายิ่งกว่าความเป็นพระอรหันต์ อันนั้นฝังหัวใจลึกมากทีเดียว ทุ่มลงในจุดคำว่าอรหันต์ ๆ เท่านั้น เพราะฉะนั้นชีวิตจิตใจจึงไม่มีอะไรมีความหมายยิ่งกว่าอันนั้น แล้วทุ่มลงเลยหลังจากได้รับโอวาทจากพ่อแม่ครูจารย์มั่น เป็นที่ลงใจอย่างเต็มเหนี่ยวแล้ว ลงจริง ๆ ด้วยนะ จากนั้นก็ก้าวขึ้นสู่เวที อยู่ในป่าในเขาตามถ้ำเงื้อมผาตลอดเลย ไม่ยอมไปกับใคร ถ้าว่ากรรมฐานแปลกเพื่อนฝูงบ้างก็คือเรา แต่สำหรับหลวงปู่มั่นยกให้นะ ท่านโดดเดี่ยวตลอดเวลา อยู่ในป่าในเขาบรรดาลูกศิษย์ลูกหาเข้าไปพึ่งพิงอาศัยท่านนี้ ท่านก็ไม่ให้อยู่ ท่านไล่ออกไปอยู่ที่นั่น ๆ ท่านอยู่องค์เดียว ๆ

อาจจะเป็นนี้ละมั้งที่เป็นเหตุให้ท่านได้ขู่พระเณร เวลาท่านถามเราว่าจะไปกี่องค์ เราบอกไปองค์เดียว โอ๋ย ขึ้นทันทีเลยนะ ท่านมหาไปองค์เดียวใครอย่าไปยุ่งท่านนะ ส่ายนิ้วไปตามพระที่นั่งข้าง ๆ ใครอย่าไปยุ่งท่านมหานะ ให้ท่านไปองค์เดียว ๆ อย่างนี้ตลอดนะ พอบอกว่าไปองค์เดียวลาท่านทีไรนี้ ต้องขึ้นอย่างนี้ตลอดเลย อาจจะเป็นเพราะท่านดำเนินมาแล้วอย่างนั้นก็ได้ ท่านเห็นผลยังไง ๆ แล้วเอานั้นมาสอนลูกศิษย์ใช่ไหมล่ะ มาเสริมเราที่ไปองค์เดียว เพราะเวลาเราสืบทราบ โห ท่านอยู่กับใครเมื่อไร ท่านไม่อยู่ เป็นความจำเป็นจริง ๆ พวกพระเข้าไปหาท่าน ท่านให้อยู่ชั่วระยะเท่านั้นนะไม่ให้อยู่นาน จากนั้นก็ไล่ออกไปให้ไปอยู่ตามนั้น ๆ ในที่ต่าง ๆ สำหรับท่านเองอยู่องค์เดียว ๆ โดดเดี่ยว ๆ

ตอนที่ท่านอาจารย์ฝั้นท่านเล่าให้ฟังนี้ โอ๊ย ถึงใจเหลือเกินนะเรา ท่านไปจากโคราชท่านอยู่วัดป่าศรัทธารวม ท่านไปหาพ่อแม่ครูจารย์มั่นที่เชียงใหม่ ตอนนั้นเรายังเรียนหนังสืออยู่ พอไปถึงวัดเจดีย์หลวงวันนั้น วันหลังท่านมาแล้ว เห็นไหมเก่งไหมล่ะ ออกมาจากป่าแล้ว มาก็พอดีท่านอาจารย์ฝั้นท่านกำลังอยู่บนกุฏิ คุยอยู่กับใครไม่รู้ ท่านมาจอดรถกึ๊กนี่ แต่ก่อนรถไม่ค่อยมี ท่านจะได้รถมาจากไหนไม่ทราบได้ยินว่าอย่างนั้น แต่ก่อนรถ โอ๋ย อดอยากมากที่สุดเลย แต่เพราะท่านเป็นที่เคารพของผู้ใหญ่ทางเจ้าเมืองเชียงใหม่ ท่านเหล่านี้เคารพท่านมากมาดั้งเดิม อาจจะได้รถจากนี้ก็ได้ พอรถมาจอดกึ๊กข้างหน้า

นี่ท่านอาจารย์ฝั้นเล่าให้ฟังเองนะ พอมองไป อ้าว นี่ท่านอาจารย์ โดดลงกุฏิเลย หือ ครูจารย์มายังไง ๆ ก็มารับท่านนั่นละ ขึ้นเลยทันที ก็มารับท่านแหละ แล้วครูจารย์ทราบได้ยังไง ทราบไม่ทราบก็จะเป็นไร ว่าอย่างนั้นเลย เอาไปเลย นั่นเห็นไหม ท่านรู้แล้วกลางคืน ใครไปบอกท่านอยู่ในป่าในเขา บึ่งมาถึงเลย แล้วมันก็เข้ากันได้ตอนไปอยู่กับท่าน พอคิดว่าจะไปที่ไหน ๆ พอคิดเท่านี้ พอตอนเย็นมาเอาแล้วหรือตอนเช้า ที่นั่นไม่ดีสู้ที่นี่ไม่ได้ คือทางนี้คิดแล้วคิดว่าอยากไปที่นั่นที่นี่ ท่านตอบ ที่นั่นไม่ดีสู้ที่นี่ไม่ได้ เจ้าของจะคิดขึ้นเมื่อไรก็ตอบปั๊บ ๆ

ทีนี้พออยู่กับท่านแล้ว เพราะความเคารพเทิดทูนทุกอย่าง เพราะความมุ่งมั่นในธรรมทั้งหลาย บวกกันเข้าแล้วรู้สึกมันเต็มมันตื้นในหัวใจได้ไปอาศัยท่าน คิดไปหาท่าน อยู่ ๆ ท่านไปรับเราที่หน้ากุฏิเลยนี้มีเหรอ ท่านว่านะ ใครไปบอกท่าน เราสืบเสาะถามที่ไหนก็ไม่รู้ ก็เราไม่ได้บอกใครท่านว่างั้น คิดอย่างวันนี้วันหลังท่านก็โผล่มาแล้ว เร็วขนาดนั้นนะ บอกมารับท่าน ครูบาอาจารย์รู้ได้ยังไง รู้ไม่รู้ก็จะเป็นไร ใส่อย่างนั้นปั๊วะเลย ทีนี้ตอนกลางคืนล่ะซีมานั่งภาวนา กำลังพิจารณานี้ โฮ้ เวลาจิตมันสว่าง นั่นเห็นไหมล่ะ นี่ละการหาธรรมเห็นธรรม การหาโทษเจอโทษ การหาธรรมเจอธรรมอย่างนี้ ธรรมกับโลก กิเลสกับธรรม มีอยู่ด้วยกันสม่ำเสมอมาตั้งกัปตั้งกัลป์ไม่มีอะไรยิ่งหย่อน เป็นพื้นฐานดั้งเดิมมา ถ้าเป็นน้ำก็เรียกว่าฝั่งนี้ฝั่งธรรม ฝั่งนี้ฝั่งกิเลส มีมาดั้งเดิมทั้งสองฝั่ง

พอจิตพิจารณา ๆ ลงไป ๆ บทเวลามันรวมนี้มันจ้าไปหมดเลย พอมันจ้าแล้วก็กำหนดไปหาหลวงปู่มั่น ไปท่านจ้อเราอยู่แล้ว ท่านว่างั้นนะ พอจ้อแล้วเราก็หมอบคลานกลับมา วันนั้นจิตมันสว่าง โอ๊ย เรียกว่าแทบทั้งคืนเลย ท่านเองท่านก็ไม่ได้นอนสำหรับหลวงปู่มั่นนะ ท่านอาจารย์ฝั้นก็ไม่ได้นอน รับกัน ญาณต่อญาณรับกันเห็นไหมล่ะ ฟังซิพี่น้องทั้งหลาย นี่ละธรรมพระพุทธเจ้าออกตลาดไม่ได้มีเหรอ ของจริงมีอยู่ออกตลาดไม่ได้มีเหรอ ของปลอมเกลื่อนโลกทำไมออกได้ไม่มีใครสะทกสะท้าน แต่ของจริงออกมาขยะแขยง มันเป็นบ้ากันทั้งโลก โลกนี้กำลังจะเป็นบ้ากันหมดนะของจริงไม่ยอมรับ

พอตื่นเช้ามา ธรรมดาท่านอยู่กระต๊อบ เขาทำร้านให้ท่านอยู่เล็ก ๆ ท่านไม่ชอบใหญ่โต พอซุกหัวนอนได้พอสำหรับหลวงปู่มั่น นี่ละ รุกฺขมูลเสนาสนํ เข้ากันเผงเลยเทียว อยู่ตามรุกขมูลร่มไม้ นี่ท่านอยู่ในกระต๊อบ ตามธรรมดาท่านงับประตู คือท่านมีอะไรขัดไว้ประตูนิดหน่อย พอแก๊กกั๊กเท่านั้นข้างในทางนี้ก็ไสประตูออก แล้วก็เข้าไปเอาสิ่งของ เช่น บาตรอะไร ๆ ของท่าน กาน้ำ จะออกไปฉัน วันนั้นพอไปเปิดประตู พอเปิดประตูปั๊บท่านกึ๊กออกมาเลย มายืนอยู่ประตูเลย นี่ท่านอาจารย์ฝั้นท่านพูดด้วยความตื่นเต้น ไม่จืดไม่จางสด ๆ ร้อน ๆ เล่าให้ฟังอยู่ที่วัดอุดมสมพร ยืนกึ๊กตันประตูเลยไม่ยอมให้เข้า ทางนี้ก็นั่งคุกเข่าอยู่นี้

เป็นยังไง เห็นหรือยังธรรมอยู่ที่ไหน ศาสนาอยู่ที่ไหน เจริญที่ไหน ไล่เบี้ยเข้าไปกึ๊ก ๆ เลยเทียว เห็นหรือยังศาสนาเห็นหรือยัง ศาสนาเจริญที่ไหน ๆ เมืองอินเดียเหรอ สว่างที่ไหน โอ๋ย ท่านพูดหมุนติ้ว ๆ เลย พอเสร็จแล้ว ผมดูท่านทั้งคืนเมื่อคืนนี้ ผมไม่ได้นอนนะเมื่อคืนนี้ ก็พอดีกับทางนี้ส่องเข้าไปทีไรท่านจ้ออยู่แล้ว ก็หมอบกลับมา ๆ เมื่อคืนผมไม่ได้นอนทั้งคืนนะผมดูท่าน เป็นยังไง ทีนี้ความสว่างเห็นแล้วยัง ศาสนาอยู่ที่ไหน อยู่ที่เมืองอินเดียเหรอ ว่างั้นนะ ใส่เปรี้ยง ๆ

นี่เราพูดถึงเรื่องพ่อแม่ครูจารย์มั่นเที่ยวกรรมฐาน ท่านเด็ด ทีแรกเกี่ยวกับเรื่องเราช่วยเราก่อน คือว่าไปแต่องค์เดียว ก็ได้รับคำเสริมจากพ่อแม่ครูจารย์มั่น ท่านคงจะเอาเรื่องของท่านมาสอนเราเสริมเรา ท่านไม่เคยขัดถ้าว่าเราไปองค์เดียว ขึ้นทันทีเลย เอ้อ ท่านมหาไปองค์เดียวนะ ใครอย่าไปยุ่งท่านนะ ชี้นิ้วเลยส่าย เพราะมีพระมีเณรนั่งอยู่ ใครอย่าไปยุ่งท่านนะท่านมหาไปองค์เดียว เท่านั้นละ องค์อื่นตั้งแต่ไปสององค์ท่านยังไม่ยอมให้ไปนะ จะไปกี่องค์ ไปสององค์ ถ้าสมควรแล้วท่านเงียบก็ไป ถ้ายังไม่แน่ใจ พอว่าจะไปสององค์ ท่านว่าไปทำไม นั่นเห็นไหมล่ะ พอว่าไปทำไมเท่านั้นก็ต้องหยุดกึ๊กเลยฝืนท่านไม่ได้ มันหากเป็นอยู่ในนั้นแหละ

เราว่าไปองค์เดียว ท่าน เอ้อ ขึ้นทันทีเลย ทีไรทีนั้นนะ เพราะฉะนั้นเราจึงเที่ยวกรรมฐานมีแต่องค์เดียวเราทั้งนั้น ไม่ได้ไปกับหมู่กับเพื่อน ถ้าสมมุติว่าไปด้วยกันทีแรกก็แยกกันออก คือออกไปนี้ก็ไปแยกทางกันนั้นเสีย คือออกไปพร้อมกันเฉย ๆ เช่น วันนี้จะออกสององค์หรือสามองค์แล้วก็ไปพร้อมกัน ไม่ได้ชวนกัน พอทราบแล้วก็ไปด้วยกันเลย ต่างคนต่างไป อย่างนี้มีบ้างนะ ส่วนมากเราไปองค์เดียว ออกองค์เดียวเลย นี่หมายถึงว่ามีแฝงอยู่บ้าง เช่น ไปองค์หนึ่งสององค์ไปด้วยกัน ยังไม่ได้แยกกัน ไปแยกกันข้างหน้า องค์นี้ออกทางนั้น ๆ สำหรับเรานี้ออกแล้วก็ไปเลย ๆ ตลอดเวลา

นี่ละเรื่องความทุกข์ความทรมานในการฆ่ากิเลส เราจึงได้มาประกาศให้พี่น้องทั้งหลายทราบอย่างเต็มปากของเรา เพราะเราได้ขึ้นเวทีผ่านมาแล้วทุกด้านทุกทาง ไม่สงสัยทั้งเหตุคือการดำเนิน ไม่สงสัยทั้งผลที่ได้รับมากน้อย ผ่านเวทีแล้วนี่ขึ้นมาบนเวทีคือหัวใจ หัวใจเป็นเวที กิเลสกับธรรมเป็นนักต่อสู้ซัดกันบนเวที เวทีแรกก็คือใจ เวทีที่สองคือร่างกาย บอบช้ำถึงร่างกาย บอบช้ำทางจิตใจแล้วยังไม่แล้ว อันที่สองเวทีคือกาย เช่น นั่งมากเดินมากอย่างนี้ อดนอนผ่อนอาหาร นี่ล้วนแล้วตั้งแต่เรื่องทางกาย กระทบกระเทือนทางกาย ส่วนจิตกับกิเลสก็ฟัดกันอยู่บนนั้น อันนี้ไม่ค่อยจะมีเวลาลงเวทีละ ฟัดกันไม่มากก็น้อยอยู่งั้น หากมีของมันอยู่ในนั้นพูดยาก ๆ นะ

นี่เป็นอย่างนี้ เราไม่ได้คิดว่าเราจะมาเป็นอย่างนี้นะ ที่จะมาช่วยชาติบ้านเมืองเราไม่เคยคิด มีแต่จะเอาเจ้าของให้พ้น พูดอย่างเต็มปากเพราะเป็นอยู่ตั้งแต่เรียนหนังสืออยู่โน้น มุ่งอยากเป็นพระอรหันต์ เรียนหนังสืออยู่เราก็ไม่เคยละนะ เพราะฉะนั้นจึงได้ทำหลบ ๆ ซ่อน ๆ อยู่ในวัดไหนก็ตาม วัดราษฎร์วัดหลวงวัดอะไรก็ตาม นิสัยอันนี้จะไม่ปล่อยวาง แต่ไม่ให้ใครทราบนะว่าเราภาวนา มันหากเป็นอยู่ในจิตนั่นแหละ

เรียนหนังสืออยู่กับพวกลิงพวกค่างก็อยู่ไปเสีย กิริยาท่าทางเขาเป็นลิงเป็นค่าง เราก็เป็นกับเขาไปเสียภายนอกนะ ธรรมดาพวกปริยัติมีพูดหยอกพูดเล่นกันธรรมดาในฐานะของพระที่คุ้นกัน พูดกันธรรมดานี่เรียกว่าลิง ส่วนกิริยาท่าทางที่ปฏิบัติต่อกันในฐานะที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เหมือนแขนซ้ายแขนขวาไม่มีผิดมีถูกต่อกัน มันก็หยอกเล่นกันได้ธรรมดาเป็นบางกาล อันนี้เราก็เป็นกับเขาเสีย แต่เรื่องภาวนาเราไม่เคยพูด ไม่เคยพูดเลย ตั้งแต่เรียนหนังสืออยู่ก็ปฏิบัติอยู่อย่างนั้นเรื่อยมา จนกระทั่งออก ไม่เคยพูดเรื่องภาวนาให้ใครฟัง ฝังไว้ลึก ๆ

เดินจงกรมกลางคืนก็ไม่ให้ใครทราบ หลบ ๆ ซ่อนเดินกลางคืน เวลาหมู่เพื่อนมาเจออย่างนี้ ทำอะไร อ๋อ นั่งนานมันเหนื่อย เปลี่ยนบรรยากาศเดินบ้าง ว่าไปอย่างนั้น ถ้าพูดว่าเดินจงกรมมันแหย่ทันทีนะ เราเคยเผลอนี่ ทำอะไร บอกเดินจงกรม หือ จะไปสวรรค์นิพพานเดี๋ยวนี้หรือ คอยกันหน่อยน่ะ เรียนหนังสือจบเสียก่อนแล้วค่อยไปด้วยกัน ว่าอย่างนี้นะ มันน่าโมโหเข้าใจไหม จะว่าอะไรก็พวกเดียวกัน ทีนี้ก็หลบซ่อนไปละ นี่พูดถึงเรื่องเราปฏิบัติตัวของเรา เอาจริงเอาจังทุกอย่าง เพราะฉะนั้นกิริยาท่าทางพี่น้องทั้งหลายก็ทราบแล้ว นี่ละกิริยา ทีนี้มันกลายมาเป็นกิริยาของธรรมล้วน ๆ แล้ว แต่ก่อนกิริยาอันนั้นกับกิเลส ถ้าว่าโมโหมันโมโหจริง ๆ ว่าเอา-เอาจริง ๆ ว่าซัด-ซัดเลย ว่าต่อยต่อยเลย เป็นแบบโลกเข้าใจไหม ถ้าเป็นแบบโลกมันเป็นอย่างนั้น ถ้าเป็นแบบธรรมนี้มีแต่กิริยาเฉย ๆ แต่ภายในเป็นธรรมล้วน ๆ ต่างกันตรงนี้นะ

ทีนี้กิริยาท่าทางซึ่งเป็นนิสัยเดิมมันก็ไม่ละ ควรเด็ดเด็ด ควรดุดุ นี้เป็นกิริยา แต่สิ่งที่เข้ามาบังคับสิ่งที่มาเป็นเจ้าของนั้นมันกลับเป็นธรรมเสียหมด แต่ก่อนเป็นกิเลส ธรรมไม่ค่อยมี ถ้าว่าโมโหก็เป็นกิเลสฟาดกันเลย ทีนี้ธรรมไม่มีอย่างนั้น ถึงกิริยาท่าทางอย่างไรก็สักแต่เป็นกิริยา แต่อำนาจของเมตตานั้นครอบไว้ ๆ จะเด็ดขาดขนาดไหนมีแต่เรื่องความเมตตาครอบ ๆ ครอบไปเลยกิเลสไม่มี มันต่างกันตรงนั้นเท่านั้นเอง

ทีนี้เวลาเอากันเต็มเหนี่ยวเหมือนว่าตกนรกทั้งเป็น ๆ ตลอดมาเลย หาความสุขความสบายไม่ได้ แต่มันไม่ได้ว่าเจ้าของเป็นทุกข์นะ ถ้าว่าเจ้าของเป็นทุกข์ลำบากลำบนนี้มันถอยนะ ทีนี้มันไม่เคยคิด มันทุกข์ขนาดไหนก็ทุกข์ ความมุ่งมั่นมันอยู่จุดนั้น มันก็บืนใส่นั้น ๆ ตลอดไปเลย จนกระทั่งพูดให้มันเต็มยศก็ว่ามันลงเวทีแล้ว หมู่เพื่อนเกาะตลอดเวลา หลบหลีกหมู่เพื่อน เหมือนนักโทษเหมือนผู้ต้องหา ไปที่ไหนไม่ได้หมู่เพื่อนคอยเกาะคอยยึด หลบนี้ไปอยู่นี้ประมาณอาทิตย์สองอาทิตย์ หลบไปอยู่โน้น แล้วหลบไปอยู่โน้น ๆ อย่างนั้นตลอดนะ หมู่เพื่อนเกาะ

อันหนึ่งอาจจะได้จากคำพ่อแม่ครูจารย์ที่ว่าก็ได้นะ ประการหนึ่งก็เห็นกิริยาของเราอยู่แล้ว กิริยาท่าทางเป็นยังไง หมู่เพื่อนก็หากเป็นเองนั่นแหละ ความเกรงขามเป็นเอง มันหากเป็นเองนั่นแหละ เพราะกิริยาของเราไม่เคยอ่อนแอท้อแท้ อยู่กับครูบาอาจารย์หมู่เพื่อน คอยแนะคอยเตือนตลอดเวลา เช่น พ่อแม่ครูจารย์อยู่หนองผือนี้เราเหมือนกับว่าเป็นรองเจ้าอาวาสอยู่ลับ ๆ นั่นแหละ แต่ไม่ได้บอกนะ พระเณรมากลัวเรามากกว่าท่าน เพราะเราเป็นคนสอดส่องดูแลพระเณร ใครไม่ดียังไงเรียกมาเตือน ๆ ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่กับเราหมด ให้ท่านเป็นร่มโพธิ์ร่มไทร เพราะพวกเรามาเอง ท่านไม่ได้ไปหาอาราธนานิมนต์มา ครั้นมาแล้วอย่ามาทำความหนักอกหนักใจให้ท่าน เราก็คิดเห็นใจอย่างนั้น จึงต้องคอยดูแลหมู่เพื่อนตลอดเวลาอยู่อย่างนั้นตลอด หนัก

อยู่กับหมู่กับเพื่อนนี่เราหนักมากทีเดียว เป็นหูเป็นตาทุกอย่างเลย เวลาอยู่กับท่านก็เป็นอย่างนั้น ทีนี้เวลาออกจากท่านเอาละที่นี่นะ แล้วใครจะมาทะลึ่งกับเราได้ไม่มี พระเณรเราพูดจริง ๆ กลัวรองพ่อแม่ครูจารย์มั่นลงมา เพราะกิริยามันเหมือนเสือ พอตบตบเลย เด็ด ๆ จริง ๆ ทุกสิ่งทุกอย่างเราเป็นอย่างนั้น เวลาออกท่านก็รู้ล่ะซีครูบาอาจารย์อย่างหลวงปู่มั่นท่านก็รู้ล่ะซี กิริยาของเราเป็นยังไง เพราะฉะนั้นเวลาไปองค์เดียวท่านถึงไล่เลย เสริมเลยเทียว เอ้า ไป ๆ เป็นอย่างนั้น ทีนี้หมู่เพื่อนไม่ยุ่งเราก็ไป เด็ดขนาดนั้นละ เด็ดตลอด ๆ เลย มาทีไรมีแต่หนังห่อกระดูกลงมา ลงมาจากภูเขาหนังห่อกระดูก คือมันจะตาย กินหรือไม่กินมันไม่สนใจ ถ้าลงได้ขึ้นเวทีแล้วกี่วันค่อยกินข้าว ไม่อย่างนั้นไม่เอา เพลินกับเรื่องภาวนา

อดอาหารนานเท่าไร ๆ ร่างกายอ่อนเท่าไร ๆ ธรรมยิ่งขึ้น ๆ สองอย่างนี้มันฟัดมันเหวี่ยงกันมันต่อสู้กัน ทางธาตุขันธ์มันก็จะตาย แต่ทางจิตใจเวลาให้ขบให้ฉันแล้ว พอร่างกายมีกำลังบ้างแล้ว จิตใจมักมีลักษณะอืดอาดเหมือนกับรถบรรทุกของหนัก มันก็รู้ ทีนี้พอร่างกายเบาลงมากเท่าไร ๆ ร่างกายอ่อนเท่าไรจิตยิ่งดีดผึง ๆ พอถึงเวลาที่จะฉันทางด้านจิตใจไม่อยากฉัน ทางด้านร่างกายก็จะตาย ตกลงก็ผ่อนหนักผ่อนเบา บางทีก็ขึ้นภายใน ขึ้นภายในที่เราจับได้ชัด ๆ ก็คือว่า เราเดินไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน กำหนดว่าจะไปให้ถึงหมู่บ้านเขา คือก่อนที่จะฉันวันไหนกำหนดเสียก่อน ถ้าวันนั้น ๆ เราค่อยฉันนี้จะเดินทางถึงหมู่บ้านเขาไหมบิณฑบาต กำหนด ๆ กะว่าพอถึงในวันนั้น เอา วันนั้นไปฉัน

พอถึงวันนั้นแล้วไปมันยังไม่ถึงบ้านเขานะ ไปพักอยู่กลางทาง เหน็ดเหนื่อยก้าวขาไม่ออกมันอ่อนขนาดนั้น เพราะอดอาหารหลายวัน ไม่ใช่อดธรรมดา ฉันวันหนึ่งหรืออย่างมากสองวัน ถ้ามันอ่อนมากจริง ๆ ก็ให้อีกสักวันหนึ่ง ธรรมดาจะมีแต่วันเดียว ๆ ฉัน แล้วหยุดหายเงียบ ๆ ไปเลย ทีนี้เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้วมันก็อ่อนมากร่างกาย พอไปถึงกลางทางกำลังไปไม่ไหวแล้ว นั่ง ทางนี้ขึ้นแล้วที่นี่ นี่เรียกว่ากิเลสเกิดไม่ใช่ธรรมเกิด พอเรานั่งปั๊บสักเดี๋ยวขึ้นมาเป็นคำ ๆ เลยภายในใจนี้ นี่เห็นไหมท่านอดอาหารเพื่อจะฆ่ากิเลสให้ตาย แต่เวลานี้กิเลสยังไม่ตายท่านกำลังจะตายรู้ไหม ขึ้นแล้วนะ นี่เรียกว่ากิเลสเกิด นี่มารจะทำให้เราท้อถอยอ่อนแอหรือท้อใจ คือกลัวตายนั่นเองพูดง่าย ๆ

ท่านกำลังจะตายรู้ไหม พอทางนั้นขึ้นปั๊บดับลงไปปั๊บ ทางนี้ก็ขึ้นรับกันเลย อ๋อ การกินนี้กินมาตั้งแต่วันเกิดก็ไม่เห็นวิเศษวิโสอะไร อดเพียงเท่านี้จะตายหรือ เอ้า ตายก็ตาย นั่นเห็นไหมมันแก้กัน ดีดผึงเลย นี่ละคราวหลังนี้เรียกว่าธรรมเกิดแก้กัน คราวก่อนเป็นกิเลสเกิด คราวหลังนี้ธรรมเกิดแก้กัน ๆ ไปอย่างนั้นเรื่อย ๆ นี่เราพูดถึงเรื่องเราประมวลมาถึงเรื่องความเราสมบุกสมบัน ที่ได้ลำบากลำบนมากที่สุดนี้เป็นเวลา ๙ ปี โห เหมือนไม่ได้ลืมหูลืมตานะ หนักมากจริง ๆ เพราะเอาจริงเอาจังทุกอย่างตามนิสัยของตัวเอง จริงทุกอย่าง ถ้าลงได้ทำอะไรแล้วไม่มีอ่อน

ออกจากนั้นมาแล้วเพื่อนฝูงก็เกาะ ๆ ก็สอนหมู่เพื่อนมา ลำดับแรกก็สอนพระเสียก่อนอยู่ในป่าในเขา ครั้นต่อมาก็มาเกี่ยวกับโยมแม่ ทีนี้มันก็เกาะเต็มวัดอย่างนี้ นี้ก็ยังไม่แล้ว บ้านเมืองเป็นยังไง ๆ กระเทือนมาทางนั้น กระเทือนมาทางนี้ หลายด้านหลายทางมีแต่กระเทือนเรื่องบ้านเมืองจะล่มจะจม เอ๊ ยังไงกัน ๆ คิดแล้ว นี่ละเหตุที่จะได้เคลื่อนออกมาไม่ใช่อะไรนะ แต่ก่อนอยู่ธรรมดา ๆ พูดแง่ใดมามีแต่แง่บ้านเมืองจะจม ๆ หาความเป็นมงคลไม่ได้ มีแต่เรื่องจะจม คนทั้งประเทศจะจมเพราะคนสองสามคนเท่านั้น ฟังแล้ว ๆ มันสะเทือน ๆ

เอา ถ้าพูดถึงเรื่องดอลลาร์เขาเหยียบหัวเรา ของเขาดอลลาร์เดียวฟาดเราไป ๕๖-๕๗ บาทว่าไง หัวเรา ๕๖-๕๗ คนถูกตีนเขาตีนเดียว ดอลล์ ๆ เดียวนั้นเหยียบ ๆ แล้วก็ติดหนี้เขาเท่าไร เรายังไม่ลืมลูกศิษย์มาพูดเรื่องราวให้ฟังที่เขาไปเอามาจากต้นขั้วที่ถูกต้อง ว่าเมืองไทยเราเวลานี้คิดเฉลี่ยแล้วติดหนี้ต่างประเทศอยู่ คน ๖๒ ล้านคนติดหนี้เขาคนละ ๕ หมื่น โถ ยิ่งกระเทือนใหญ่นะ แล้วการก่อการสร้างอะไรล้มเหลว ๆ ทุกแห่งทุกหน มันบอกเข้ามากระเทือนเข้ามา ๆ หนักเรื่อย เอ๊ ยังไง ๆ พิจารณา

เอ้า พูดให้มันเต็มเหนี่ยว พิจารณาเรื่องจะหาทางออก จะหาทางออกแบบไหน ๆ พิจารณารอบไปหมด แล้วย่นเข้ามา ๆ หาทางไหนก็ไม่ได้ ๆ ย่นเข้ามาจนกระทั่งถึงตัวเราเอง พอบืนไปแคบ ๆ ก็ตาม พอบืนไปได้เอาบืน ที่มันโล่งมันปิดตัน โล่งแล้วปิดตัน โล่งตรงไหนปิดตันตรงนั้น ๆ ไปได้ยังไงโล่งกับปิดตัน โล่งกับความล่อ ปิดตันนั่นความฆ่าความสังหาร ล่อไปสังหารมีอย่างเหรอ ย้อนเข้ามา ๆ จึงมาถึงตัว คับแคบแต่ไม่ตีบตัน พอหลวมตัวก็เอาเท่านั้นละที่นี่ หาที่ไหนไม่ได้แล้ว เพียงพอหลวมตัวนี้ เอา แค่นี้ก็เอา มันไม่กว้างก็ไม่กว้างเสียก่อน แต่มันหลวมตัวก็เอาละ จากนั้นก็ประกาศเท่านั้นซี จึงได้ออกช่วยโลก นี่เรื่องราวเป็นอย่างนั้น

ครั้นออกมาก็ดังพี่น้องทั้งหลายเห็น ได้เงินมาเท่าไร ๆ จากพี่น้องทั้งหลาย เราก็จะมอบเข้าคลังหลวง เป็นเรื่องของอรรถของธรรมของพระล้วน ๆ ไปเลย ไม่ได้เกี่ยวกับการบ้านการเมืองการกินการกลืนอย่างนี้นะ ทีนี้เวลาเอาเข้าไปแล้วมันไม่เป็นอย่างนั้นซี มันไปโดนเอาพวกยักษ์พวกผี มันก็ซัดกันเท่านั้นซี เรื่องราวมันถึงได้เป็นขึ้นมา ก็เห็นอย่างนี้ละ มีเจตนาเมื่อไร เหตุการณ์บังคับให้เป็นก็ต้องเป็นคนเรา นี่เรื่องราว นี่เป็นลำดับที่สอง

นี่เราก็ตั้งหน้าตั้งตาช่วยจริง ๆ นะช่วยบ้านเมือง ทุกสิ่งทุกอย่างเด็ดเดี่ยวเฉียบขาดทุกอย่าง เพื่อช่วยบ้านช่วยเมือง เช่นเดียวกับเราเด็ดกับตัวของเรา จึงได้มาเป็นผู้นำพี่น้องทั้งหลายพูดวอก ๆ อยู่อย่างนี้เอง ขอให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบ ได้พากันตั้งอกตั้งใจปฏิบัติหน้าที่การงาน ขอให้มีหลักแหล่งบ้างเถอะ ชาวไทยเรารู้สึกว่าเหลวไหล เหลวไหลมาก นี้เอาธรรมมาจับ เราในฐานะเป็นครูเป็นอาจารย์สอน ผิดพลาดตรงไหน อ่อนแอตรงไหนก็สอนก็บอก เพื่อจะได้ฟิตตัวขึ้นให้เข้มแข็งขึ้น เช่น หลักขนบประเพณีอันดีงามของชาติไทยเรานี้ รู้สึกจะไม่ค่อยมีเหลือนะเวลานี้ ถูกพวกคนไม่มีศาสนา พวกเปรตพวกผีพวกคึกพวกคะนองมันกินมันกลืนไปหมดทุกอย่าง การอยู่การกินทุกอย่าง การแต่งเนื้อแต่งตัวเป็นเปรตเป็นผีไปตามเขาหมด ขนบประเพณีอันดีงามไม่มี

แล้วอะไรมาคว้ามับ ๆ นี้เสียมากเมืองไทยเรา ไม่ค่อยมีหลักมีเกณฑ์อะไรเลย นี่เรียกว่าไม่มีหลักใจ ถ้ามีหลักใจ ลูกเขาเป็นลูกเขา ลูกเราเป็นลูกเรา เท่านั้นพอ เรารักลูกเรา เราเลี้ยงดูลูกเรา ลูกเขาเป็นลูกเขา เขาเลี้ยงดูของเขาเอง เขารักของเขาเอง ลูกของเราหลานของเรา วงศ์สกุลของเรา เป็นลูกเป็นหลานเป็นวงศ์สกุลของเรา เราเลี้ยงดูรับผิดชอบของเราเอง เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้วมันก็เป็นวรรคเป็นตอน เป็นกลุ่มเป็นก้อน เป็นคนละสัดละส่วน มันก็ต่างคนต่างมีหลักด้วยกัน เขาก็มีความรู้สึกอย่างนั้น เราก็มีความรู้สึกอย่างนั้น ต่างคนต่างตั้งหลักขึ้นเป็นหลักเกณฑ์แห่งตัวเอง เอาลูกกับพ่อกับแม่เป็นหลักเกณฑ์ ทั้งบ้านทั้งเมืองต่างคนต่างเอาลูกเอาพ่อเอาแม่เป็นหลักเกณฑ์ ต่างอันก็แน่นหนามั่นคงขึ้นมา ต่างคนต่างมีหลักเกณฑ์มาคละเคล้ากันเข้าก็เป็นคนมีหลักเกณฑ์

นี่ชาติไทยของเราก็เหมือนกัน อะไรเข้ามา ๆ ก็ตามเราต้องดูเสียก่อน นั่นของเขา นี่ของเรา นั่นลูกเขา นี่ลูกเรา นั่นสมบัติเขา นี่สมบัติเรา เวลาอะไรเข้ามาผ่านจะมากระทบกระเทือนกับสมบัติของเราคือลูกของเราอย่างไรหรือไม่ ถ้าไม่มากระทบกระเทือนจะเป็นการส่งเสริมลูกของเรา เอ้า เอามา ถ้าจะเป็นการทำลายลูกของเราสมบัติของเราในบ้านของเรา นิสัยตลอดขนบประเพณีของเราแล้ว ตัดออก ๆ นั่นจึงเรียกว่าคนคัดเลือก นี่อะไรมาคว้ามับ ๆ เห็นของเขาดีกว่าของเรา เห็นลูกเขาดีกว่าลูกเรา ทุกอย่าง ๆ เมื่อเห็นของเขาดีกว่าของเราแล้วก็วิ่งตามเขา วิ่งตามเขามันจะมีเวลาเป็นหลักเป็นเกณฑ์ได้ยังไง ต้อย ๆ อยู่อย่างนั้น ให้พากันคิดบ้างนะสิ่งเหล่านี้

เราเป็นคนไทยทั้งชาติ อ่อนแอมากในเรื่องขนบประเพณีอันดีงามและหลักใจไม่ค่อยมี เหลวไหล ๆ ตลอด บอกชัดเจนอย่างนี้นะธรรม ธรรมท่านมีหลักมีเกณฑ์ของท่าน ต่างคนต่างมีหลักมีเกณฑ์ด้วยกัน พากันยึดกันถือ สิ่งใดที่เป็นสมบัติของเราให้ต่างคนต่างทะนุถนอม ต่างคนต่างส่งเสริมกัน เมื่อคนหนึ่งได้รับการส่งเสริมแล้วมันมีแก่ใจที่จะผลิตขึ้นมา ไม่ว่าสินค้าสินขายสิ่งใดก็ตามขายไปได้เงินได้ทองเข้ามาบำรุง มันก็มีแก่ใจคนเรา เมื่อมีแก่ใจแล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาผลิตของนี้ดีขึ้นเรื่อย ๆ แล้วเมืองนอกสู้ไม่ได้ ถ้าเรามีแก่ใจเสียอย่างเดียวเท่านั้น ถ้าไม่มีแก่ใจเหลวไปตลอดนะ ให้พากันจำเอาไว้ข้อนี้น่ะ

โฮ้ มันทุกขังจริง ๆ นะ ธรรมะนี้ดูจริง ๆ ดูจริงสอนจริงด้วย ไม่มีคำว่าสะทกสะท้าน ว่าจะกลัวกับอะไร จะกล้ากับอะไร ไม่มีเรื่องธรรม เหนือตลอด เรื่องธรรมเหนือตลอด ผิดบอกว่าผิด ถูกบอกว่าถูก ไม่มีคำว่ากล้าว่ากลัวว่าอะไรทั้งนั้น สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องของสมมุติ ธรรมเหนือสมมุติแล้ว วันนี้ก็พูดเพียงเท่านี้ละนะ มันก็มากพอสมควรแล้ว เท่านั้นละ

เมื่อวานทองคำได้ ๑๑ บาท ๑ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๔๒ ดอลล์ วันมากวันน้อยติดเครื่องพักเครื่องเร่งเครื่องเป็นลำดับลำดาไป

ลูกศิษย์ ขอถวายดอลลาร์ ๒๐๐ ดอลล์ บูชากัณฑ์เทศน์หลวงตาเจ้าค่ะ ของหนู ๑๐๐ ของพ่อบ้าน ๑๐๐ ค่ะ

หลวงตา โห ได้ตั้ง ๒๐๐ เหรอ ไม่ใช่เล่นนะนี่เอะอะมา ๒๐๐ แล้ว ตั้งเค้าได้ ๒๐๐ แล้ว คณะลูกศิษย์ทางกรุงเทพฯ และสวนแสงธรรมที่ได้นำอาหารแห้งมาถวายหลวงตาเมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ที่ผ่านมาได้มีปัจจัยที่เหลือถวายเพิ่มอีก โถ ตั้งมากมาย เราจะต้องไปเรียนหลักสูตรใหม่มั้ง เราอ่านยังไม่ถึงมัน ได้มีปัจจัยมาถวายเพิ่มอีก ๑๒๐,๐๐๐ บาทใช่ไหม (ใช่ครับผม) เราอ่านผิดเราจะไปเรียนใหม่มาอ่าน ทางนี้ให้เตรียมหาเงินไว้เราเรียนมาเราจะได้วิชาสูงใช่ไหม เงินต้องสูงซิ ไม่งั้นไม่สมเกียรติเรา เราเรียนมาสูงเข้าใจไหม เอาละพอใจ พอใจกับคณะลูกศิษย์วันนี้ได้เงินตั้ง ๑๒๐,๐๐๐ แล้ว (ถวาย ๑๐๐ ครับ) เออนั่น ๓๐๐ แล้ว

ลูกศิษย์ ขอกราบขอขมาหลวงตาเจ้าค่ะ พระจากอเมริกาฝากถวายนาฬิกาสำหรับพระใช้เจ้าค่ะ

หลวงตา ฝากถวายหลวงตา แล้วมาขอขมาอะไรล่ะ

ลูกศิษย์ หลวงตาอย่าพึ่งดุเจ้าค่ะ

หลวงตา มันพิลึกนะมองเห็นหน้ากลัวแล้วกลัวดุ ทั้ง ๆ ที่กำลังนอนหลับครอกๆ มองเห็นกลัวแล้วกลัวดุ คนหลับอยู่ยังจะมาดุได้เหรอ กลัวขนาดนั้นนะ โห เอาละไม่ดุ จะให้รางวัลด้วยซ้ำนะ ให้รางวัลเลย วันนี้เลยพูดเรื่องอะไรกุดๆ ด้วนๆ ความจดความจำมันตัดเรื่อยๆ นะ เรื่องหลวงปู่มั่นนี่เห็นไหมล่ะท่านอย่างนั้นละ ท่านนั่งอยู่กุฏิท่าน จิตของท่านอาจารย์ฝั้นสว่างจ้าขึ้นทางนู้น เห็นไหมล่ะจิตรู้จิตไหมพิจารณาซิ ธรรมดาที่ว่าท่านคิดอะไรที่จะไปนี้มาเตือนแล้ว ที่นั่นสู้ที่นี่ไม่ได้ขึ้นเลยนะตัดบทเลย อย่าไปสู้ที่นี่ไม่ได้ คืออยู่กับท่านนี้ดีกว่าที่จะไปอยู่ที่ไหน ท่านคิดว่าท่านจะไปที่นั่นๆ ที่นั่นสู้ที่นี่ไม่ได้ ทางนี้ก็หมอบ

บทเวลาจิตนี้สว่างขึ้นทางนั้นจ้า โห ตอนเช้ามาเปิดประตูแล้วไม่ยอมให้เข้า ยืนตันประตูนั้นซัดเปรี้ยงๆ ศาสนาเจริญที่ไหน รู้ที่ไหน เห็นแล้วยังเห็นศาสนา ศาสนาอยู่ที่ไหน ๆ หรือเมืองอินเดียซัดกันเลย นั่นเห็นไหมท่านรู้ขนาดนั้น เสร็จแล้วท่านก็ขมวดลงมาว่าผมไม่ได้นอนนะเมื่อคืนนี้ ดูท่านทั้งคืนนั่นแหละ ทางนี้ก็ดู ต่างคนต่างดูกัน ทางนี้ดูแบบหมอบ ทางนั้นดูแบบแมวเข้าใจไหม เห็นไหมจิตเวลามันสว่าง ก็อย่างที่ว่าท่านอาจารย์ฝั้นมาวัดเจดีย์หลวงท่านก็ทราบทางนู้นแล้ว ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อล่ะ ก็ท่านเห็นอย่างนั้นท่านรู้อย่างนั้น ท่านปฏิบัติอย่างนั้น

เหมือนคนตาบอดทั้งศาลานี้ เอา ยกตัวอย่างนะ เหมือนคนตาบอดทั้งศาลานี้ อยู่ด้วยกันบอดทั้งหมด แล้วมีคนตาดีคนเดียว คนตาดีนี้เขาเดินไปนี้ มีต้นเสากี่ต้นก็ตามเขาจะหลบเสาต้นนี้หลบเสาต้นนั้น ผ่านออกทะลุศาลาแล้วจึงเป่านกหวีดปี๊ดทางนู้น ให้พวกนี้วิ่ง พวกตาบอดวิ่ง คนนี้ชนต้นนั้นคนนั้นชนต้นนั้น ชนนอนดารดาษอยู่นี้ ไปไม่ได้สักคนเข้าใจไหมข้อเทียบเคียง นี่ละเป่านกหวีดปี๊ด รีบด่วน ก็รีบด่วนชนต้นเสา มันไม่ไปนั่นละคนตาบอด เอาเป็นประมาณได้ไหม คนตาดีออกไปแล้วไปอยู่โน้นแล้ว เรียกคนตาบอดมาเป่านกหวีดปี๊ดเอารีบๆ ก็ชนต้นไม้ นั่นอย่างนั้นนะ เอาละพอ

เป็นยังไงล่ะข้อเปรียบเทียบ เป่านกหวีดเรียกคนตาบอดให้รีบด่วนเป็นยังไง คนตาดีไปยืนอยู่นู้นแล้ว แล้วเป่านกหวีดเรียกคนตาบอด เอามารีบด่วน ฟังเสียงปึ๊งปั๊งๆ คือหัวชนต้นเสา แทนที่มันจะไปหานู้นมันไม่ไป มันเข้าหาต้นเสา นั่นละคนตาบอด บอกไปสวรรค์นิพพานเป่านกหวีดปี๊ดๆ ให้ไปสวรรค์นิพพานมันลงนรกปึ๋งปั๋งๆ เข้าใจไหม เข้าได้ไหมข้อเปรียบเทียบเป่านกหวีด พวกเรามันพวกปึ๋งปั๋งๆ วิ่งตามเสียงนกหวีด

วันนี้ได้หลายดอลล์ ๓๐๐ กว่าดอลล์แล้วนะ แล้วทองคำได้ ๒ บาท ๕๐ สตางค์ ขึ้นทุกวันแหละ มาทางนี้ขึ้นทุกวัน ถ้าเราไปทางนู้นก็ขึ้นทางนู้น ขึ้นทางนู้นขึ้นทางใหญ่ขึ้นมากขึ้นทางนี้น้อยแต่ขึ้น หัวหน้าไปทางไหนขึ้นทางนั้นเรื่อยๆ ไอ้หมีระวังให้ดีนะ นั่น ไปทางนู้นให้เอาหนังสะติ๊กไล่ยิงมัน อย่าให้มันไปนะต่อไปนี้ มันมีกระต่ายมีลูกเต้าอยู่หลายตัว มันจะไปทำลายลูกกระต่าย ทีนี้ต้องขู่มันเลย โห ไม่ได้นะ ไอ้หมาตัวนี้มันเอาจริงด้วยนะ เจอที่ไหนกัดเลยไม่ถอย จึงต้องได้ระวังกันให้มากหมาตัวนี้กับไอ้ดำ ๔ ดำ เหมือนกันนะ อันนั้นยิ่งเร็ว เพราะหมานี้เป็นพันธุ์เยอรมันเขาเลี้ยงไว้สำหรับล่าสัตว์ ล่าหนู เก่งมาก

เพราะฉะนั้นเวลามันเข้าไปนี้มันได้แทบทุกทีนะมันเข้าไปทีไร บางทีได้ถึงตะกวด มันกัดตะกวดได้นะมันไม่ได้กลัว จนพระองค์หนึ่งนี้ได้หนีจากวัด เพราะหมา ๔ ตัวนี้ หมาไอ้ดำไอ้หนึ่ง ไอ้สอง ไอ้สาม ไอ้สี่ มันเป็นหมาดำด้วยกันแล้วลูกแม่เดียวกัน ๓ ตัว ตัวหนึ่งมาก่อน มันไปติดพระอยู่ข้างในกุฏิพระอยู่ข้างใน ครั้นเวลาไปติดพระ พระไล่ออกมามันไม่ยอมมา พระไปไหนตามไป ทีนี้สัตว์เข้าไปนั้นไม่ได้นะ ไล่กัดแหลก แล้วจะทำยังไงจะแก้ไขยังไง ตกลงเลยต้องให้พระองค์นี้หนีจากวัด มันจำเป็นจะทำยังไง เอาพิจารณาซิ เรื่องการพิจารณาผมก็เห็นอย่างนี้แหละ ตกลงเลยต้องให้ท่านหนีเสียก่อน แล้วหากว่าจะมาก็มาทีหลังเอา คราวนี้เป็นอย่างนี้ไล่มันไม่ออกมันอยู่ด้วยบริเวณนั้น ทีนี้สัตว์เข้าไปแถวนั้นไม่ได้มันไล่กัดแหลกหมด

จะทำยังไงไปไหนจะตามมาเรื่อยๆ แหละมันติด ตกลงพระองค์นั้นเลยได้หนีจากวัดนะ พอมาคราวหลังเปลี่ยนกุฏิไปอยู่กุฏิอื่น ทำท่าไม่รู้จักกับหมา ๓-๔ ตัวมันเลยเฉย เดี๋ยวนี้ค่อยอยู่ได้นะ พระก็อยู่ได้ หมาก็อยู่ได้ อ้าว พูดให้มันถึงเหตุถึงผลก็มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ถึงขนาดได้ไล่พระออกจากวัดทั้งๆ ที่ไม่มีความผิด คือหมามันติด ไปไหนมันติด ถ้ามันไปอยู่ที่นั่นแล้วสัตว์ตัวไหนเข้าไปมันไล่กัด ๔ ตัวนี่ จึงต้องได้เอากันแบบนั้น ไล่พระหนีเสียก่อน มาคราวหลังเปลี่ยนกุฏิใหม่แล้วไม่คุ้นกับหมาอีกเลย หมา ๓-๔ ตัวไม่คุ้นกันเหมือนว่ามาคนละโลก อย่างนี้ค่อยอยู่ได้นะพระองค์นั้น เขาก็ไม่ติดใจนะมาเที่ยวสอง คือพระท่านไม่เล่นด้วยเลย ท่านเฉย มาทำอะไรท่านก็เฉย สุดท้ายเขาก็ถอย

เมื่อวานนี้ไปส่งสิ่งของภูเรือ นั่นก็รถแอมบูแลนซ์รถพยาบาลไม่มี มีรถ ๒ คันๆ หนึ่งใช้ไม่ได้เลย ยังเหลืออยู่คันเดียว เราก็เลยให้คันหนึ่งเมื่อวานนี้ เวลานี้กำลังสั่ง ๒ คันนะ คันหนึ่งที่บ้านแท่น รถพยาบาล แล้วก็ภูเรือคันหนึ่ง เวลานี้สั่งพร้อมกัน ๒ คันแล้วเอ๊กซเรย์ สหัสขันธ์ ไม่มีเวลานะเราต้องได้ตบเอาไว้ไม่งั้นไม่ได้นะ เข้ามาทุกด้านทุกทางรอบวัดเลย เราต้องตบเอาไว้ ๆ ให้อันหนึ่งอันดับสองต่อไป อันไหนมีความจำเป็นมากก็ให้อย่างที่ภูเรือนี้ เราก็ให้เลยเมื่อวานนี้ไม่อิดไม่เอื้อน ให้เลย ทั้งๆ ที่เราก็ไม่มีเราให้เลย ถูไถกันไปอย่างนั้นแหละ

คุณหญิงก็คงจะชินแล้วกับภาษาอันนี้ คงจะชินแล้วมังกับภาษาในวัดป่าบ้านตาด ยังไม่ชินก็ต้องมาฝึกหัดเรื่อยนะ กิริยามารยาทคำพูดคำจาภาษาของป่ากับภาษาของชาวกรุงต่างกัน เพราะฉะนั้นจึงต้องมาเรื่อยๆ แหละจะได้เข้าเนื้อเข้าหนังไป ภาษานี้จะได้เข้าดี

ทุกคนให้เตือนกันนะ ที่บอกแล้วนะ ไอ้หมีอย่าไปคุ้นกับมันแต่นี้ต่อไป มันมีลูกกระต่ายแล้วจะเกิดเหตุ เราเป็นห่วงมากนะ ไปดูเรื่อยกลัวจะบกพร่อง เดี๋ยวมันเอาลูกกระต่ายไปกินแล้วไม่ได้นะ เราเข้มงวดกวดขันมากทางนี้ก็เหมือนกันทางนี้แมว (สาย ๆ มันเข้าไปเรื่อย) มันเข้าไปเรื่อยก็ซัดเรื่อยซิหนังสะติ๊ก คือหนังสะติ๊กไม่ได้ยิงหมาแหละ ยิงขู่ เข้าใจไหมใส่เปี๊ยะมันวิ่งเลยมันกลัว ในวัดนี้พระมีหนังสะติ๊กทั้งนั้นแหละ แต่ไม่เคยยิงถูกหมา มีแต่แค้กเท่านั้นก็เปิดแล้วๆ ไม่ได้ถูกมันง่ายๆ แหละ เพราะไม่ได้ยิงใส่มัน คือพวกนี้มันกลัวหนังสะติ๊ก พอยิงแค้กนี้ก็ไปเลยเผ่นเลย ต้องมีไว้ขู่ไม่งั้นไม่ได้เพื่อรักษาความปลอดภัยของสัตว์ พระท่านมีไว้อย่างนั้นละ ถ้าไปไม่เข้าท่าเดี๋ยวหนังสะติ๊กปาไปแล้ว พอแค้กนี้ก็วิ่งกลับเลย ไม่สู้กับหนังสะติ๊ก กลัวมาก

เปิดดูข้อมูล วันต่อวัน ทันต่อเหตุการณ์ หลวงตาเทศน์ถึงเรื่องอะไร

www.luangta.com


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก